***กสินใน 1 วัน / อรูปฌาน4 ใน 1 วัน***

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย GluayNewman, 18 ธันวาคม 2011.

  1. nspparama

    nspparama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +178
    ขออนุโมทาบุญด้วยนะครับ
    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะครับ สาธุ
     
  2. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ระหว่างรอคำตอบจากคุณอิ่มสบาย
    ผมโพส The Matrix ต่อนะครับ

    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif][if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif][if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot]Matrix 3 [/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]นีโอ เกิดใหม่ เป็นผู้ปลดบล่อย เหมือนคติของพุทธศาสนานิกายหนึ่ง(จำไม่ได้ครับ)[/FONT]
    [FONT=&quot]สืบทอดโดยการเกิดในภพใหม่ สืบทอดความเป็นผู้ปลดปล่อย สืบทอดความเป็นพุทธะ[/FONT]
    [FONT=&quot]นีโอเปลี๋ยนไป๋ เค้าเห็น [/FONT][FONT=&quot]Matrix เป็นเพียงโค้ทตัวเลขวิ่งไปมา ต่างจากที่เคยเห็น[/FONT]
    [FONT=&quot]พลังของนีโอเพิ่มขึ้นจนน่าประหลาดใจ นีโอไม่ต้องหลบกระสุนอีกแล้ว....เค้าหยุดกระสุนปืนได้[/FONT]
    [FONT=&quot]นีโอทำลายสมิธได้โดยการลบโค้ททิ้ง สมิธหมดสิทธิ์เข้าสิงร่างคนอื่นได้อีก ร่างแตกสลายกระจุยกระจายไป[/FONT]
    [FONT=&quot]สร้างความตระหนกให้กับนักสืบทั้งหลาย และก็สร้างความหวังใหม่(ไม่ใช่พรรคนะ) อย่างเจิดจ้ากับเพื่อนๆ นีโอ[/FONT]
    [FONT=&quot]ภาคแรกก็จบลงด้วยการที่จิตนีโอกลับเข้าร่างที่ยานทัน ก่อนที่หุ่นยนต์จะมาทำลายยาน[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]โลกที่ดูสวยงาม ศิวิไลท์ กลับบังมุมที่มืด ระทมทุกข์ แล้งแค้น ไว้ดั่งโลก [/FONT][FONT=&quot]Matrix ที่บัง โลกไซอ้อนไว้[/FONT]
    [FONT=&quot]ผู้รู้ จึงเห็นได้ว่าโลกนี้ไม่ได้สวยสดงดงาม เห็นได้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสอยู่ระคนไปด้วยความทุกข์[/FONT]
    [FONT=&quot]"มีแต่ความทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น มีแต่ความทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ และมีแต่ความทุกข์เท่านั้นที่ดับไป"[/FONT]
    [FONT=&quot]หาได้มีความสุขเลย โอ...[/FONT][FONT=&quot]Matrix ใย..เราถึงไม่เห็นมัน.... เรากำลังถูกหุ่นยนต์เสียบท่อนำโปรแกรมเข้าสู่สมองอยู่หรือ[/FONT]
    [FONT=&quot]อวิชชาเสมือนโปรแกรม [/FONT][FONT=&quot]Matrix ที่ทำให้การเห็นความจริงของเราผิดเพี้ยน[/FONT]
    [FONT=&quot]นีโอ ผู้ที่เป็นผู้ปลดปล่อย.... ผู้ที่มีเชื้อแห่งความเป็นพุทธะ จึงมีสติ มีความรู้สึกตัว[/FONT]
    [FONT=&quot]เกิดความเอ่ะใจว่าโลกที่เราอาศัยอยู่อาจไม่ใช่โลกจริง....[/FONT]
    [FONT=&quot]และเมื่อเค้าเห็นโลกจริง โลกแห่งไซอ้อนแล้ว เค้าก็ได้ทำหน้าที่ของผู้ปลดปล่อย[/FONT]
    [FONT=&quot]พัฒนาศักยภาพ พร้อมทั้งเป็นกำลังใจให้แก่ผู้อื่น....[/FONT]
    [FONT=&quot]ต่อไปนีโอก็จะทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้อื่นในลำดับต่อไป เป็นผู้ปลดปล่อยคนจากสิ่งลวง[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]แม้พี่น้องวาชอสกี้ จะแสดงความจริงตรงนี้ผ่านภาพยนต์ได้ดี [/FONT]
    [FONT=&quot]แต่เค้ายังศึกษาพุทธศาสตร์ไม่ถึงแก่น มี ทุกข์[/FONT][FONT=&quot]--สมุทัย-...แต่ไม่มี นิโรธ-มรรค[/FONT]
    [FONT=&quot]แสดงให้เห็นความจริงเพียงครึ่งเดียว... ทุกข์ ....แต่ไม่ได้แสดง....หนทางพ้นทุกข์[/FONT]
    [FONT=&quot]จึงมีความรู้เพียงว่า ชีวิตนี้เป็นทุกข์ ต้องต่อสู้ต่อไป...[/FONT]
    [FONT=&quot]ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ไม่มีทางพ้นทุกข์.... บางทีผมก็สงสัยว่า....[/FONT]
    [FONT=&quot]นีโอจะตามปลดปล่อยคนออกจาก [/FONT][FONT=&quot]Matrix ทำไม ปล่อยให้เค้าอยู่กันในสิ่งที่ลวง[/FONT]
    [FONT=&quot]แต่มีชีวิตที่มีความสุข มีชีวิตชีวา ดีกว่า ดีเสียกว่าจะต้องมาเผชิญความจริงอันขมขื่น[/FONT]
    [FONT=&quot]อยู่อย่างลำบาก แล้วแถมต้องเข้าสู่ภาวะสงคราม ลำบากสุดๆ เสี่ยงต่อความเป็นความตายด้วย[/FONT]
    [FONT=&quot]แบบนี้ จะไปปลดปล่อยพวกเค้ามาทำไม....[/FONT]
    [FONT=&quot]ปล่อยเค้าไปเถ้อะ หุ่นยนต์ก็ดูแลได้ดีอยู่แล้ว....[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]พระพุทธเจ้าท่านทรงชี้ให้เห็นทุกข์และทางพ้นด้วย[/FONT]
    [FONT=&quot]ให้เข้าใจว่า โลกนี้เป็นเพียงมายา ไม่มีอะไรจริง[/FONT]
    [FONT=&quot]แม้แต่ความทุกข์ ก็เป็นสิ่งเกิดดับ ไม่ได้ของจริง เป็นเหมือนเมฆหมอก ที่เปลี่ยนผันไปเรื่อย[/FONT]
    [FONT=&quot]เห็นความจริงที่ซ่อนอยู่ในความจริงอีกที เห็นว่าแท้จริง ทุกข์ก็ไม่ใช่ของจริง[/FONT]
    [FONT=&quot]ไม่มีจริง ไม่มีแม้แต่สิ่งที่เรียกว่าตัวตน ไม่มีอะไรจะระบุได้ว่าเป็นตัวตน[/FONT]
    [FONT=&quot]ทุกอย่างอยู่ในอาการเลื่อนไหล เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา [/FONT]
    [FONT=&quot]เหมือนกับหลอดไฟ ที่เราเห็นว่ามันสว่างต่อเนื่อง แท้จริงมันกระพริบตลอดเวลา[/FONT]
    [FONT=&quot]ผู้ที่เข้าถึงตรงนี้จะทราบได้ว่าตัวตนไม่มี ความทุกข์ก็ไม่มี...[/FONT]
    [FONT=&quot]มีแต่ภาวะธรรมชาติ ที่เป็นไปตามกระแสของเหตุปัจจัย ต่อเนื่องกันไปไม่มีปลายทางสิ้นสุด[/FONT]
    [FONT=&quot]แต่หากเห็นตรงนี้ เห็นถึงที่สุด ก็จะเห็นซึ่งทางออกจากทุกข์ ออกจากกระแสความแปรผันนี้ [/FONT]
    [FONT=&quot]เป็นสิ่งเดียวที่กล่าวได้ว่า เป็นของจริง เป็นของจริงอย่างเดียวในจักรวาล สิ่งอื่นเป็นมายาหมด [/FONT]
    [FONT=&quot]เป็นสิ่งที่ไม่รู้จักเกิด จักดับ ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นอะไร อธิบายลักษณะไม่ได้ อธิบายปุ๊ป ผิดปั๊ป[/FONT]
    [FONT=&quot]สิ่งที่อยู่เหนือสิ่งทั้งปวง จริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งนี้ เราจะสามารถสัมผัสได้[/FONT]
    [FONT=&quot]หากเป็นเพราะความอัศจรรย์แห่งจิต ที่สามารถเข้าถึง สัมผัส และ บรรลุในสิ่งนี้ได้[/FONT]
    [FONT=&quot]เป็นความอัศจรรย์อย่างเหลือล้น นับเป็นการค้นพบอันยิ่งใหญ่ที่สุดในมวลมนุษย์ชาติ[/FONT]
    [FONT=&quot]สิ่งประดิษฐ์ที่ซับซ้อนทั้งหลายแหล่บนโลก กลายเป็นเรื่องเด็กๆ ไปทันที ถ้าเทียบกับการค้นพบสิ่งนี้[/FONT]
    [FONT=&quot]พวกเราคงทราบกันดีว่าพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติศัพท์สมมุติเรียกสิ่งนี้ว่าอะไร[/FONT]
    [FONT=&quot]เป็นแค่บัญญัติศัพท์ เพื่อให้ทราบ แต่แท้จริงตั้งชื่อไม่ได้.....[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]ครับ... เป็นสิ่งที่เราควรให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง หากเราเห็นความจริงทั้งโลก [/FONT][FONT=&quot]Matrix และ โลกไซอ้อนแล้ว[/FONT]
    [FONT=&quot]Matrix เสมือนตัวแทนของโลกแห่งความสุข ไซอ้อนคือตัวแทนโลกความทุกข์[/FONT]
    [FONT=&quot]อยู่เหนือทั้งสองโลก คือภาระกิจจริงแห่งมนุษย์เรา..... ปลดปล่อยตัวเอง[/FONT]
    [FONT=&quot]เราโชคดีแล้วครับ พบพุทธศาสนา อยู่ในประเทศไทย....ฝรั่งรู้จักความจริงแค่เศษเสี้ยว...[/FONT]
    [FONT=&quot]ฝากไว้นะครับ [/FONT]
     
  3. zion

    zion สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +17
    ใครว่าฝรั่งโง่ ดูให้ ถึง จะเห็นว่า ne o ได้ปลดปล่อยจิตตัวเองแล้ว ( ไม่ใช่แค่เสี้ยว แบบที่คนไทยชอบทำ) ยังไงก็ขอขอบคุณที่เอามาลงให้ได้อ่านกัน
     
  4. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ปฏิบัติธรรมเชิงเสวนา – สมาธิ ธรรมชาติ ให้มา

    ใครจะทราบว่าธรรมชาติให้สมาธิเร<wbr>ามาอยู่แล้ว
    เป็นคุณสมบัติพื้นฐานอย่างหนึ่ง<wbr>ของจิต เป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่ทุกคนต้องมีอยู่แล้ว
    แต่เราส่วนมาก (จริงๆ เกือบทุกคน) ไม่ทราบตรงนี้
    สิ่งที่มีอยู่ตลอดเวลาด้วยซ้ำ ....ทุกเวลา ทุกขณะ
    แค่รู้จักมัน ....แล้วคุณจะพบสมาธิธรรมชาติ
    ถ้าเราพบแล้ว ก็ยากลำบากในการฝึกฝน
    ซึ่งแตกต่างจากสมาธิตามความเชื่<wbr>อเดิมๆ ของเรา ว่าฝึกยากเย็น
    และผลของมันทรงคุณค่า ลดละกิเลส ทำให้ชีวิตผาสุก และชีวิตดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

    ถ้ารู้จักสมาธิแบบนี้แล้ว จะรู้จักหนทางของ “สุขาปฏิปทา”
    มาพบกันนะครับ ผมจะชี้แนะให้

    วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม 2555

    http://www.facebook.com/<wbr>events/393723403971449/<wbr>?context=create
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2012
  5. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ขอโทษนะครับ ทีแรกลงวันที่ผิด ไปลงเป็น 25 กุมภาพันธ์ 2555 แก้ไขแล้วนะครับ

    วันนี้ลงเรื่องปัญหาที่นักปฏิบัติพบบ่อยนะครับ

    เพ่ง - พิจารณา

    ผมได้รับรู้เรื่องปัญหาของการปฏ<wbr>ิบัติธรรมเนื่องจากตัวอักษรในตำ<wbr>ราพาไขว้เขว
    นับเป็นปัญหาคลาสสิกอันหนึ่งซึ่<wbr>งนักปฏิบัติธรรมส่วนมากมักจะเจอ

    อันที่หนึ่ง คำว่า “พิจารณา” เช่น มีสติพิจารณาว่ากายเป็นสักว่าธา<wbr>ตุตามธรรมชาติ,
    เป็นขันธ์ 5, ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา ฯลฯ
    ผมเองก็เคยตกหลุมพรางทางปัญญาอั<wbr>นนี้ หลงคิดพิจารณาอยู่เป็นเวลาแรมปี
    คิดวนเวียนอยู่อย่างนั้น แต่ก็ไม่เคยรู้สึกจริงๆ ซักที ว่ากายเป็นสักว่าธาตุ จริงๆ
    ก็ยังมีความรู้สึกว่า “เป็นเรา” อยู่เต็มๆ ไม่เห็นจะเป็นธาตุ หรือ ขันธ์ 5 ตรงไหน
    มารู้ทีหลังว่า การพิจารณาแบบนี้ มันเป็น “ความคิด”
    และความคิดก็เป็นการปรุงแต่งอย่<wbr>างหนึ่ง
    สรุปแล้วเราก็ยังวนเวียนอยู่ในค<wbr>วามปรุงแต่ง ซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์
    ไม่ได้ออกไปไหนเลย ไม่ใช่วิธีออกจากความทุกข์นี่(ห<wbr>ว่า)
    นี่เป็นจุดอ่อนจากตำราต่างๆ ไม่เว้นแม้ในพระไตรปิฎกเลย
    มันเป็นความผิดพลาดทางการแปล หรือทางภาษาทำให้ผู้ปฏิบัติไขว้<wbr>เขว และเสียเวลาชีวิตเปล่าๆ

    อีกคำหนึ่งคือ คำว่า “เพ่ง” เช่น เพ่งรูปนาม
    เมื่ออ่านตามนี้แล้ว ผู้ปฏิบัติก็ทำอาการเพ่ง คือเอาจิตไปจดจ่อกับความรู้สึกท<wbr>ี่เป็นรูป หรือนาม
    ผมเองก็ทำมาก่อน(คือลองมาเยอะคร<wbr>ับ) เพ่งใหญ่เลย หวังว่าจะเห็นรูป หรือ นาม แยกกัน ตามตำรา
    มันก็เห็นจริงครับ ยอมรับว่าได้ผล แต่เวลาผ่านไปเป็นปี (อีกแล้ว) ก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นครับ
    เห็นนู้น เห็นนี่ เหมือนจะเข้าใจเยอะ แต่สุดท้ายมาตายตรงที่ มี “เรา” อยู่เต็มๆ เหมือนเดิม
    คือกิเลสดูจะลดลง แต่ตราบใดที่มี “เรา” ตระหง่านอยู่ กิเลสก็พร้อมจะเกิดขึ้นได้เสมอ
    เปรียบเสมือน ตัดกิ่งต้นไม้ สักวันมันก็งอกขึ้นมาอีก เพราะไม่ได้ขุดรากออก

    ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าทั้งสองข้อเป<wbr>็นหลุมพราง ผมพบวิธีออกมาแล้ว
    อันแรก เรื่องพิจารณา เราต้องออกจากความคิด คือ ออกจากสิ่งปรุงแต่ง
    โดยการไปเห็น สิ่งที่ไม่ปรุงแต่ง คือจิตที่เฉยๆ ไม่ตามกระแสปรุงแต่ง เป็นจิตว่าง
    เมื่อเราเห็นจิตชนิดนี้ ความปรุงแต่งจะหายไปเอง
    เหมือนเราอยู่ในห้องมืด แล้วเปิดสวิทช์ไฟขึ้น ความมืดก็พลันหายไป
    ไม่ต้องคิดพิจารณาแล้ว แค่เห็นจิตว่าง
    พอจิตว่าง ก็จะเห็น รูปนาม, ขันธ์ 5 ฯลฯ เอง โดยไม่ต้องคิด เห็นได้เองเลยครับ
    เข้าใจเลยว่า การพิจารณา เป็นหน้าที่ของจิต เราไม่ต้องไปพิจารณาอะไรเลย
    มีความเข้าใจ ลึกซึ้งและตัวตนของเราก็ลดลงด้ว<wbr>ย ความรู้สึกว่าเป็นเราลดลง บางครั้ง”เรา”ก็หายไปเลย
    อัศจรรย์จริงๆ บอกตัวเองได้เลยว่าค้นพบทางออกแ<wbr>ล้ว ออกจากความมีตัวตนแล้ว
    ขุดไปถึงรากต้นไม้แล้ว

    อันที่สองเรื่องเพ่ง เข้าใจว่า คำนี้แปลมาจากคำว่า ฌาน
    การปฏิบัติจริงๆ ไม่ต้องเพ่ง ครับ เพราะการเพ่งเป็นการ block จิต ให้ไปจดจ่อกับอะไรซักอย่าง
    ซึ่งการรู้ธรรม คือการเข้าใจความจริงตามธรรมชาต<wbr>ิ
    การเข้าใจแบบนี้ต้องเปิดอายนะคื<wbr>อตา หู จมูก ลิ้น กาย ละที่สำคัญที่สุด ใจ ให้เป็นอิสระ
    เราจึงจะสามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในทวารทั้ง 6 ได้อย่างอิสระ
    ไม่ใช่การไปจดจ่ออยู่กับสิ่งใดส<wbr>ิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว
    อันนี้อธิบายยาก แต่คนที่มีประสบการณ์มาคงพอจะทร<wbr>าบว่า
    ถ้าไปเพ่งรู้อะไรมากๆ จะเครียด ตึง จิตใจก็แข็ง ไม่เป็นธรรมชาติ
    แถมมีการขัดแย้งกับผู้อื่นได้ง่<wbr>าย และความคิดปรุงแต่งก็มากด้วย
    ทางแก้เรื่องนี้คือการมีสติแบบส<wbr>บายๆ ไม่ต้องตั้งใจทำมาก
    สิ่งที่ธรรมชาติให้มานั้น พอเพียงอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรเพิ่มเติม
    ขอให้”รู้” เพียงอย่างเดียว คนส่วนมากจะ “หลง” ไม่ได้ “รู้”
    มีสติไปถึงจุดหนึ่ง จิตจะไปทำหน้าที่ “เห็น” คือไปเพ่งเอง เพ่งแบบเบาๆ
    สรุปว่าการเพ่ง ก็เป็นหน้าที่ของจิตอีก ไม่ใช่เราไปเพ่งครับ กว่าจะเข้าใจได้ก็หลงมาหลายปี

    วันนี้ฝากไว้สองเรื่องก่อนนะครั<wbr>บ ขอให้ทุกท่านหาทางของตนเองให้เจ<wbr>อ
    เพื่อเดินไปสู่จุดมุ่งหมายสูงสุ<wbr>ดที่จิตปรารถนา คือพ้นทุกข์
     
  6. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    เรื่องนี้ผมตั้งใจจะไปพูดที่เสวนา
    แต่ผมขอชี้แจงให้ฟังตรงนี้ก่อนก็แล้วกันครับ


    จริตการฝึกฝนตนเอง แบ่งกว้างๆ ได้ 2 จริต
    คือสมถยานิก และ วิปัสสนายานิก

    สมถยานิก คือการเจริญสมาธิก่อน แล้วเกิดปัญญาทีหลัง หรือเรียกว่า สมาธิอบรมปัญญา
    ส่วนวิปัสสนายานิก คือการเจริญปัญญา (หรือฝึกสติ) ก่อนแล้วเกิดสมาธิภายหลัง เรียกว่า ปัญญาอบรมสมาธิ


    ทั้ง 2 จริต สุดท้ายก็ต้องไปถึงจุดหมายเดียวกัน คือความหลุดพ้น ถ้าเดินทางถูก
    แต่วิธีการเบื้องต้นอาจไม่หมือนกัน ซึ่งบางทีก็กลายเป็นข้อโต้แย้งกัน....สำหรับผู้หัดเดินใหม่ ว่าต้องปฏิบัติอย่งนี้ๆ ถึงจะถูก อย่างนี้ผิด ...เพราะเหตุที่ยังไม่ถึงจุดที่เกิดทั้งสองส่วน สมาธิและปัญญา จึงเข้าใจเช่นนั้น


    ในหมู่นักปฏิบัติบางท่านเชื่อว่า การฝึกตนเองต้องเริ่มจากการทำสมาธิ อย่างเดียว
    จึงพยายามปฏิบัติเพื่อให้เกิดสมาธิตรงนี้ โดยไม่ได้คำนึง (หรือไม่ทราบ) ถึงจริตของตนว่าเป็น สมถยานิก หรือ วิปัสสนายานิก
    ผู้ที่ฝึกไม่ตรงกับจริต ก็จะเสียเวลามาก เพราะฝึกแล้วไม่ก้าวหน้า
    ผมเองก็เคยเสียเวลาตรงนี้มาหลายปี ฝึกสมาธิอย่างเคร่งครัด แต่ไม่ค่อยได้ผล กว่าจะมาทราบทีหลังว่าตนเองเป็นวิปัสสนายานิก

    เมื่อได้ฝึกในทางที่ตรงจริต จึงมีความก้าวหน้ารวดเร็วอย่างเห็นได้ชัด
    จนทุกวันนี้กล้าจะประกาศว่า ความทุกข์ของผมมันน้อยมากๆ
    ไม่ว่าจะผัสสะกับอะไรแรงๆ ก็ตาม...จะมีปัญหาหนักๆ ป่วยมากๆ หรือแม้จะเป็นเรื่องเฉียดตาย ก็ไม่ได้เกิดความหวั่นไหวเลย


    การรู้จักสมาธิธรรมชาตินี่คือวิถีของวิปัสสนายานิก
    สมาธิที่เกิดจากปัญญา คือการเจริญสติเป็นเบื้องต้น แล้วก็เกิดสมาธิตามธรรมชาติ สั่งสมไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นสมาธิในระดับฌานในที่สุด
    ผมเชื่อว่า น้อยคนจะทราบว่า การเจริญสติ จะทำให้เกิดสมาธิระดับฌานได้
    ผมกล้ายืนยันว่า ฌานทุกฌาน ตั้งแต่ 1-8 บังเกิดแน่นอนครับ จากการเจริญสติ ถ้าเดินถูกทาง

    ทีนี้มาถึงคำถามว่า
    จะทราบได้อย่างไรว่าเราเป็น สมถยานิก หรือ วิปัสสนายานิก

    ทางที่ดีที่สุด คือลองด้วยตัวเองครับ
    ระยะเวลา 3-6 เดือน ก็พอจะบอกตัวเองได้แล้ว
    แต่ถ้าใครไม่ทราบเรื่องจริตนี้ รับรองได้ว่าจะทนฝึกในทางที่ไม่ตรงจริตไปเรื่อยๆ แม้จะไม่ค่อยได้รับผลเท่าไหร่...อันนี้เกิดจากศรัทธาครับ

    ถ้าทราบแล้วว่า ไม่ใช่ทางเดินของเรา ต้องเปลี่ยนวิธีครับ ไม่งั้นเสียเวลาชีวิตมากๆ ผมเองเสียเวลาตรงนี้มาเป็น 10 ปีครับ
    พอรู้จักเส้นทางจริงๆ ในเวลาสั้นๆ 2 ปีกว่า ชีวิตก็เป็นอิสระจากความทุกข์ไปได้มาก ไม่โดนความทุกข์บีบคั้นในเรื่องใดๆ
    ....มากจนปลดเกษียณตัวเองจากการงานทางโลกได้ครับ
    ทุกวันนี้ทำงานเผยแพร่อย่างเดียว ทั้งๆ ที่ไม่ใช่คนมีตังค์ และสุขภาพก็ไม่ดีด้วย


    **************************************
    ประสบการณ์ผม ผมบอกได้เลยว่าคนยุคนี้ เป็นวิปัสสนายานิกกันเกือบทั้งหมด
    ยกเว้นคนที่มี "ของเก่า" เท่านั้น จึงจะไปได้ดีกับวิธีของสมถานิก
    ทำไมผมถึงพูดอย่างนั้น

    เพราะสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมในยุคปัจจุบัน สอนคนให้อยู่กับความคิด
    ให้ใช้ความคิดมาเป็นเครื่องชี้นำชีวิต เราเรียนมาก คิดมากกว่าคนสมัยก่อนเยอะ
    เพราะฉะนั้น การเพ่ง หรือข่มอารมณ์ จึงทำได้ยากเย็น
    สมาธิเกิดยาก ถึงเกิดแล้วก็เสื่อมง่าย เป็นผลจากจิตที่เคยชินจะปรุง ไม่ชินกับการหยุด
    เมื่อพยายามจะต่อสู้กับความคิดมากๆ ในที่สุดก็จะเครียด
    การปฏิบัติก็จะวนเวียนอยู่ ไปไหนไม่ได้


    ผมพบทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคนยุคปัจจุบัน
    สติ ...ทำให้รูจักสมาธิตามธรรมชาติ ที่จะจัดการความคิดอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
    ไม่ใช่การเพ่ง การข่ม การกำหนดใดๆ แต่เป็นการ "รู้"
    ทางของวิปัสสนายานิก ซึ่งสุดท้ายผลลัพท์ไม่ได้ต่างกันกับ สมถยานิกเลย
    สติ สมาธิ ปัญญา รวมทั้งอภิญญาต่างๆ บังเกิดขึ้นหมด แค่รู้จัก และเดินให้ถูกทาง
    มิฉะนั้น ในพุทธกาล ทำไมมีผู้ฟังธรรมแล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์ที่มีอภิญญาได้
    เป็นเตวิชโช ฉฬภิญโญ หรือปฏิสัมภิทัปปัตโต แค่ฟังธรรม ไม่ได้ไปฝึกสมาธิเลย
    ไม่ทราบเคยอ่านพบกันหรือเปล่า

    เรื่องนี้อาจมีคนบอกว่าเป็น "ของเก่า" ของท่านเหล่านั้น
    ผมจะบอกว่ามีส่วนถูก และอยากจะบอกมากไปกว่านั้นว่า ผู้ที่ข้ามพ้นปุถุชนแล้ว
    แม้พระอริยเจ้าเบื้องต้น มีฌาน มีอภิญญาทุกท่าน จะมีของเก่าหรือไม่ก็ตาม
    ที่บอกว่า สุขวิปัสสโก ....พ้นอย่างแห้งแล้ง สำหรับผม ผมบอกว่า ไม่จริงครับ
    แต่เรื่องนี้ แล้วแต่จะเชื่อกันหรือไม่ เป็นสิ่งที่อธิบายไปก็จะถกเถียงกันเปล่าๆ


    สิ่งเดียวที่จะพิสูจน์ได้คือ ลอง ครับ
    พระพุทธเจ้าก็ตรัส กาลามสูตรเอาไว้แล้ว อย่าปลงใจชื่อตามอะไร หรือ ใครทั้งส้น
    ให้ ลองปฏิบัติดูก่อน แล้วจะเชื่อตามผลที่เกิดกับตัวเอง ได้เองเลย ไม่ต้องเชื่อตาม
    เมื่อเห็นจริงแล้ว จะเกิดความเคารพสูงสุดชนิดที่ให้ชีวิตได้ต่อท่านผู้ชี้ทางถูกต้องให้กับเราเองครับ
    ทุกวันนี้ ผมถวายให้ชีวิตกับพระพุทธเจ้า พระรัตนตรัย โดยพยายามเผยแพร่ในหนทางของท่านอย่างสุดความสามารถ
    เริ่มมีผู้ที่ได้รับผลมากพอสมควรแล้ว ชีวิตเริ่มเปลี่ยน ความทุกข์และปัญหาชีวิตลดลงอย่างรวดเร็ว....


    เวลาเสวนา นอกจากการเจริญสติ ฝึกความรู้สึกตัวแล้ว ผมจะมีองค์ความรู้เหล่านี้ใ<wbr>ห้ด้วย จึงอยากให้สละเวลาไปร่วมเสว<wbr>นากันน่ะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2012
  7. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot]คุณสมบัติเดิมของจิต[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]เรา.... ผู้ปฏิบัติพยายามฝึกฝนจิตให้ สงบ นิ่ง และตั้งมั่น[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ฝึกในรูปแบบต่างๆ เช่นการทำสมาธิ การกำหนดสติ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]จิตสงบ นิ่ง และตั้งมั่นแล้ว ก็จะไม่มีความทุกข์มารบกวนจิตใจได้...[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]ในความจริงแล้ว คนส่วนมาก (รวมทั้งผมด้วย...เมื่อก่อน) ไม่ทราบว่า....[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]คุณสมบัติเดิมๆ ของจิต สงบ และนิ่ง อยู่แต่เดิม อยู่แล้ว[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เป็นคุณสมบัติของจิตเองเลย ไม่ต้องไปทำอะไร มันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว....[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]แต่ที่มันไม่สงบ ไม่นิ่ง เพราะความเคยชินของจิตที่จะไหลไปตามกระแสความคิด[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เพราะความไม่รู้....จึงปล่อยตัว ไหลไปตามกระแสความคิด[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]จิตจึงเสียคุณสมบัติเดิมไป....[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]ทีนี้....ถ้าเราเพียงรู้จักว่าจิตเดิมนิ่งอยู่แล้ว และไม่ปล่อยไหลไปตามกระแสความคิด[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เวลาจิตจะไปตามความคิด รู้จักมัน.... แล้วถอนตัวออกมา[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]จิตก็จะสงบ และนิ่งเอง โดยไม่ต้องพยายามไปทำให้นิ่ง[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]แค่รู้จัก และรู้ได้ว่า อ๋อ...จิตเดิม สงบอยู่แล้ว นิ่งอยู่แล้ว[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]มันเป็นคุณสมบัติของจิตอยู่แล้วครับ ....เป็นความลับของธรรมชาติ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ถ้าเราไปพยายามทำให้นิ่ง มันจะยิ่งดิ้น ยิ่งไม่นิ่ง สังเกตุไม๊ครับ[/FONT][FONT=&quot]
    ปล่อยเฉยๆ รู้จักมันนิดนึง มันก็กลับสู่สถาพเดิม คือนิ่ง สงบ[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]ทีนี้เราคอยระวัง จิตนิ่งแล้ว อย่าให้จิตไหลไปตามกระแสความคิด[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]คอยหมั่นดูว่า จิตกำลังไปตามความคิดแล้ว ก็กลับมาตั้งหลักใหม่[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]กลับมารู้จักสภาพเดิมของจิต จิตก็จะกลับมาปกติ นิ่ง และสงบได้อย่างเดิม[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]รู้จักแบบนี้มาเข้าๆ มีความนิ่ง ความสงบต่อเนื่อง ไปเรื่อยๆ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]จิตก็จะตั้งมั่นขึ้นมา เพราะสงบต่อเนื่อง[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เป็นสมาธิได้โดยไม่ต้องฝึก ตั้งมั่นได้.... แค่รู้จัก และระวังไปเรื่อยๆ เท่านั้นครับ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ที่สำคัญอีกอย่าง หมั่นรู้สึกตัวเอาไว้ครับ...[/FONT]
    [FONT=&quot]
    นี่ไงครับ เป้าหมาย ที่เราต้องการ สงบ นิ่ง และตั้งมั่น[/FONT]
    [FONT=&quot]ผมแถมคุณสมบัติเดิมของจิตอย่างอื่นให้ทราบด้วย[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ว่าง โปร่ง เบา เบิกบาน คล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง สดใส...[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ล้วนเป็นคุณสมบัติเดิมๆ ของจิตทั้งนั้น[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ไม่ต้องไปทำให้มันมี มันมีอยู่แล้ว...แค่รู้จักมันเท่านั้นครับ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]เป็นกลไกของธรรมชาติครับ ธรรมชาติเดิมๆ เค้าดีอยู่แล้ว[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]จะมาเสียก็เพราะจิตมีกิเลสนี่แหละครับ เสียคุณสมบัติเดิมไปซะงั้น[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ถ้ารู้แบบนี้แล้ว การพ้นไปจากความทุกข์ คงไม่ยากแล้วใช่ไม๊ครับ....[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
     
  8. นวสูตร

    นวสูตร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +22
    ถ้าผมคิดไม่ผิด

    ก็ลงที่ มหาสติปัฏฐาน
    ผิดถูกยังไงแนะนำด้วยนะครับ
     
  9. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ใช่ครับ...สติปัฏฐาน คือกลวิธีที่จะทำให้เรารู้จักจิตเดิมๆ

    การรู้ว่าอยู่ในอิริยาบทใดในปัจจุบัน เป็น กายานุปัสนา สติปัฏฐาน
    รู้ว่าสบายหรือไม่สบายนปัจจุบัน ก็เป็น เวทนานุปัสนา สติปัฏฐาน
    รู้ว่าจิตมีความโลภ โกรธ หลง หรือ คิดอะไรหรือเปล่านปัจจุบัน เป็น จิตตาปัสนา สติปัฏฐาน
    รู้ว่าจิตไม่ได้ปรุงอะไรแล้ว โปร่ง เบา นิ่ง สงบ เป็นจิตเดิมๆ แล้วนปัจจุบัน เป็น ธรรมานุปัสนา สติปัฏฐาน

    แท้จริง เป็นสิ่งเดียวกันหมด ด้วยพระปรีชาของพระพุทธเจ้า ท่านทรงจำแนกให้เรามีอุบายวิธี เรียกว่าสติปัฏฐาน ในการเข้าถึงธรรมชาติเดิมที่ไม่มีทุกข์ได้ครับ

    กิจของเราคือรู้จักสติปัฏฐานที่ถูกต้อง ถ้าตรงตามพุทธวจนะจริง ขณะนั้นไม่มีทุกข์เลยครับ..
    แต่ด้วยมนุษย์เกิดมาพร้อมอวิชา ย่อมกลับไปสู่ความหลง ก่อทุกข์ได้อีกเนืองๆ
    เรารู้จักสติปัฏบฐานแล้ว...เราก็นำกลอุบายนี้ฝึกต่อไปจนถึงที่สุด มีสติได้ในทุขณะจิต เป็นอันจบกิจครับ
     
  10. ksuchet

    ksuchet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2005
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +6,060
    สวัสดีครับ ลุงชัย เป็นความบังเอิญในเรื่องเดียวกันเสมอ ผมได้พบและพยายามเรื่องนี้มาประมาณอาทิตย์แล้วครับเบาขึ้นมาก อนุโมทนาบุญกับคุณกล้วยด้วยครับ
     
  11. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ยินดีครับ งั้นผมลงคลิ๊ปหลวงพ่อให้เพิ่มเติมนะครับ
    ท่านไปที่ DMG มี 6 ตอนครับ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=PLvw-xeaV40&list=PLD60B1629B06C8114&feature=view_all]หลวงพ่อสมบูรณ์ ธรรมบรรยาย14 - YouTube[/ame]
     
  12. นวสูตร

    นวสูตร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +22

    พอดีผมได้ไปฝึกทางวัดอัมพวัน หลวงพ่อจรัญ
    พอเราฝึกได้ระยะนึงถ้ามีความก้าวหน้า ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ทำธุระส่วนตัว ทำงาน จะมีลักษณะรู้การกระทำตลอด พูดก็จะมีสติรู้ว่าอะไรควรพูด ไมเกรนที่ผมเคยเป็นก็หาย จะมาก็ตอนที่ไม่ค่อยได้สำรวมสติก็จะมา แต่พอนั่งสมาธิสักพักก็หาย จะรู้สึกอิ่มอย่างบอกไม่ถูก กินน้อยแต่อิ่ม นอนก็เหมือนไม่ได้หลับรู้ตัวตลอดแต่ไม่เพลียไม่ง่วงมากมาย ตื่นก็ตรงเวลาถ้าบอกกับตัวเองไว้ว่าตื่นเวลาเท่าไร อันนี้เป็นอาการที่ผมฝึกแบบเต็มที่ครับ(เมื่อก่อนนะ ตื่นตี3 เดิน 1 นั่ง 1 นั่งรถไปทำงานตี 5 ครึ่ง ตอนเย็นก็ 1 ทุ่ม เริ่มปฏิบัติ เวลาทำงานก็เอาสตืตามในการทำงานนั้นๆตลอด) เด๋วนี้ไม่ค่อยได้ทำ ก็จะทรงอารมณ์ไม่ค่อยได้เหมือนตอนปฏิบัติตอนนั้นครับ
    แชร์กันนะครับ ผิดถูกยังไงแนะนำด้วยครับ
     
  13. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ปัญหาสำคัญที่ถือเป็นปัญหาซ่อนเร้น จนบางทีผู้ปฏิบัติอาจไม่ได้ให้ความสำคัญ
    คือสติที่ถูกต้อง ที่เรียกว่าสัมมาสติ ถ้าเกิดสติแล้ว จิตจะหยุดคิด
    หมายถึงหยุดปรุงแต่ง ....
    นั่นคือ กำลังโกรธอยู่ มีสติแล้วความโกรธดับ
    ฟุ้งซ่านอยู่ มีสติแล้ว ฟุ้งซ่านดับ
    ฯลฯ

    การมีสติรู้ แ่ต่อารมณ์ไม่ดับ ยังไม่ใช่สัมมาสติ
    จึงอยากขอเชิญผู้ที่ตระหนักถึงการเข้าใจสติตัวจริง ที่บริสุทธิ์ตามธรรมชาติ ปราศจากการปรุงแต่ง เข้าร่วมปฏิบัติธรรมเชิงเสวนาครับ...


    ปฏิบัติธรรมเชิงเสวนา - สติบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ


    การเจริญสติ ปัญหาที่พบมาส่วนใหญ่คือ สติที่เจริญ ไม่ใช่สติบริสุทธิ์
    รู้ตัวอยู่ว่าทำอะไร....รู้อยู่ว่าอยู่ในอริยาบทไหน.... รู้ว่าโกรธ... รู้ว่าคิดอะไร รู้ว่าอยากได้โน่นนี่...
    แต่รู้แล้ว ความคิด ความโกรธ ความฟุ้งซ่านไม่ดับ ยังคิด ยังโกรธ ยังอยากได้โน่นนี่อยู่
    รู้แล้วยังปรุงแต่งอยู่...คุณกล้วยB2 เรียกว่า สติแบบบ้านๆ

    คำว่าสติ ที่เป็นสัมมาสติ จะต้องประกอบด้วยสัมปชัญญะ คือ “ความรู้สึกตัว”
    จึงจะสามารถก้าวร้าวต่อความคิด ตัดขาดความคิดได้ ตัดฟุ้งซ่าน โกรธ อยาก ฯลฯ ได้

    เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียด หลงกันได้ง่าย กับสติแบบบ้านๆ
    แม้แต่ผมเองก็ยอมรับว่ายังติดขัดเรื่องนี้อยู่พอสมควร

    เสวนาคราวนี้ คุณกล้วยB2 จะขอย้ำให้ทุกคนทราบถึงความรู้สึกตัวบริสุทธิ์ตามธรรมชาติจริงๆ
    สติที่เป็นสัมมาสติ สติที่จะพาตัดขาดความคิด พาให้พ้นทุกข์ได้ในปัจจุบัน
    ถ้ายังไม่ทราบถึงตรงนี้อย่างชัดเจน การปฏิบัติธรรม จะหลงทางได้ง่าย ไม่ก้าวหน้า
    พบคุณกล้วยB2 มาเน้นย้ำแบบเต็มๆ ชัดๆ ....เพื่อความไม่เนิ่นช้า แก้ข้อติดขัดทั้งปวง


    ******* วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน 2555 เริ่มบ่ายโมง ********
    ดูรายละเอียด และลงชื่อได้ที่นี่ครับ

    http://www.facebook.com/events/375084785864117/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2012
  14. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    นี่คือโปรไฟล์คลิ๊ป ของคุณกล้วยB2 (ศิษย์พี่ของผม ที่บังเอิญชื่อเหมือนกัน) พูดถึงสติบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ
    ที่อธิบาย "รู้เฉยๆ" ของหลวงพ่อเทียน

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=_vxCpa4HJNM"]ตามรอยหลวงพ่อเทียน - YouTube[/ame]
     
  15. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ช่วงนี้ค่อนข้างยุ่ง พึ่งจะได้มีวลาอ่านยาวๆ.....
    ขอขอบคุณคุณ @sookjai ที่เข้ามาช่วยแนะนำแนวทางปฏิบัติด้วยนะครับ
     
  16. นวสูตร

    นวสูตร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +22
    ขอขอบคุณทุกๆความรู้ที่ให้
    ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่าน
    ขอให้ทุกท่านเจริญยิ่งๆขึ้นไปครับ...สาธุ..สาธุ..สาธุ อนุโมทนา...:VO
     
  17. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ในการเสวนาทุกครั้ง จะมีการชี้แนะให้รู้จักการปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงวิธีการที่จะพ้นทุกข์ได้
    โดยอาศัยสติสัมปชัญญะเป็นหลัก (สติปัฏฐาน 4)
    ถือหลักว่า ผู้ที่เข้าร่วมจะต้องได้รับประโยชน์เต็มที่

    นี่คือตัวอย่างบางส่วนครับ
    เป็น experiment ความรู้สึกตัวจริงๆ

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=7rYGeu2S-VA"]http://www.youtube.com/<wbr>watch?v=7rYGeu2S-V[/ame]
     
  18. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    การขึ้นเขา มีหลายทาง

    ผมเคยได้ยินครูบาอาจารย์กล่าวไว้ว่า การขึ้นเขามีหลายทาง แต่จุดหมายเดียวกัน
    ได้ยินมานานแล้ว ว่าครูบาอาจารย์สายวัดป่า สอนว่า
    การปฏิบัติธรรม ใพิจารณากาย ให้เห็นตับไตใส้พุง เห็นเป็นของไม่งาม
    หรือให้เห็นมันสลายไปเป็นกองกระดูก จนเป็นกองฝุ่น
    ผมเคยลองทำดู แล้วรู้สึกว่า มันเป็นการคิดเอาเอง
    เข้าใจว่า เป็นการสร้างภาพขึ้นในใจ เพื่อให้ใจสงบจากกามราคะ
    แค่เป็นบาทฐานเพื่อให้ใจสงบ เพื่อให้ทำสมาธิง่าย

    แต่เมื่อไปฟังครูบาอาจารย์ (ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อท่าน).... ท่านบอกว่า สมัยก่อนท่านก็สงสัยเหมือนกัน
    ท่านไปถามครูบาอาจารย์ของท่านอีกที
    ว่าการพิจารณาแบบนี้ เป็นการคิดเอาเองหรือเปล่า (ซึ่งตรงกับที่ผมคิดพอดี)
    ครูบาอาจารย์ตอบว่า ....ต้องทำสมาธิไปก่อน....
    นั่งหลับทำสมาธิ จนไปถึงจุดหนึ่ง ยังไม่ต้องพิจารณา
    มันจะต้องถึงจุดนั้นแล้วครูบาอาจารย์จะบอกให้เอง มันจะมีสัญญาณว่าจิตพร้อมแล้ว
    ถึงจะมาพิจารณากายได้ แล้วจิตจะปล่อยวางได้จริงๆ พ้นได้จริง
    ไม่ใช่นั่งสมาธิปั๊ปแล้วมาพิจารณาเลย...
    ผมไม่ได้ถามนะครับ ว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร ต้องทำสมาธิยังไง
    ทราบว่านี้เป็นอุบายวิธีของผู้ที่มีจริตเป็น สมถะยานิก ท่านมีอุบายวิธีของท่าน

    เลยถึงบางอ้อวันนี้ ว่า ที่ว่าทางขึ้นเขามีหลายทางจริงๆ
    แต่ละคนอาจมีวิธีปฏิบัติที่ไม่เหมือนกัน ตามจริต
    ส่วนเราเองไม่มีจริตแบบนี้ ฝึกไปก็จะเสียเวลาเปล่า เพราะเคยลองมาแล้ว
    บางคนต้องฝึกสมาธิก่อน แต่บางคนต้องเจริญสติครับ
    ผมเองหลงทำสมาธิอยู่ 3 ปี ดีมั่ง ไม่ดีมั่ง สรุปแล้ว เสียเวลาเปล่า
    พอมาเจริญสติ ไม่กี่เดือน ชีวิตดีขึ้นเลย ความทุกข์ลดลง




    เพราะฉะนั้น ข้อคิดอันนี้ จึงบอกได้ว่า เราต้องรู้จักตัวเองให้มาก
    แล้วเราก็จะพบวิธีที่เหมาะสมกับเรามากที่สุด เราจะทราบได้อย่างไร
    ก็ต้องลองปฏิบัติดูซักระยะหนึ่ง ดูจากสภาวะจิต และผัสสะนี่แหละครับ
    กิเลสที่เกิดจากผัสสะ โดยเฉพาะอัตตานี่เป็นตัวดัชนีชี้วัดครับ
    ถ้ามันลดลงแสดงว่าใช่ เน้นที่อัตตานะครับ ...แม้กิเลส โลภ โกรธ หลง ลด แต่อัตตาเพิ่มขึ้น แสดงว่ามันไม่ใช่
    เรื่องอัตตานี่ละเอียดนะครับ ผมเคยเห็นแล้ว ผู้ปฏิบัติหลายท่าน ดูสงบดี แต่อัตตาเยอะน่าดู
     
  19. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ในส่วนตัวผม มองดูแล้วรู้สึกว่า สภาพสังคมปัจจุบัน คนถูกสอนให้คิด คิดๆๆๆ แล้วก็คิด
    และสภาพแวดล้อมก็เต็มไปด้วยความปรุงแต่งทั้ง รูป รส กลิ่น เสียง
    ห่างไกลชีวิตที่อยู่กับธรรมชาติ เหมือนคนสมัยก่อน
    ถ้าอยู่กับธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่งมาก ไม่ได้ถูกสอนให้คิดมากๆ การทำสมาธิของคนสมัยก่อนจึงไม่ใช่เรื่องยาก
    การมีความคิดมากๆ จิตจะรวมได้ยาก ยิ่งพยายามไปหยุดความคิดมากๆ ฝีนตัวเองมากๆ
    พยายามข่มความคิด มากเข้าๆ มันก็เครียด และก็อาจติดเพ่งได้
    เพราะความคิดมันช่างมากมาย และรวดเร็ว อีกทั้งซับซ้อนข่อนเงื่อน เหลือเกิน
    ผมเห็นมาเยอะแล้วครับ ที่บ่นกันว่า ทำสมาธิไม่ได้ จิตใจไม่สงบเลย....

    ผมจึงเห็นว่า การเจริญสติในรูปแบบของหลวงพ่อเทียน ของหลวงพ่อสมบูรณ์ เป็นวิธีการที่เหมาะสมกับยุคสมัยนี้
    เพราะวิธีนี้ ไม่จำเป็นต้องทำสมาธิก่อน ไม่จำเป็นต้องหาที่สงบ
    ปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวันอันแสนยุ่งเหยิง อึกทึกครึกโครม เต็มไปด้วยความปรุงแต่งฉาบทา นี้ได้เลย
    หลวงพ่อเทียนบอกว่า "ยิ่งคิดยิ่งดี ....ยิ่งคิด ยิ่งรู้"
    แค่มีสติรู้สึกตัวให้เป็น ความคิดก็จะถูกบั่นทอนลงไปเอง
    แล้วก็จะเห็นความคิด รู้จักความปรุงแต่ง รู้จักความดับไปของความปรุงแต่ง คือความดับทุกข์
    ผมขอเรียกว่าวิธีแบบ วิปัสสนายานิก

    ความคิดฟุ้งซ่าน สถานที่ไม่สงบจึงเป็นปรปักษ์ต่อ สมถะยานิก.... แต่ ไม่เป็นปัญหากับ วิปัสสนายานิก




    ดังนั้น ...ขอให้ทุกท่านเข้าถึงวิธีการที่เหมาะกับจริตของตน เพื่อความพ้นทุกข์ได้ไวๆ นะครับ
    ****ผมเองได้จัดปฏิบัติธรรมเชิงเสวนา เพื่อแนะแนวทางนี้อยู่****
    ..... และะพูดเสมอ ไม่ต้องเชื่อก็ได้ แต่ให้มาลองวิธีนี้ดูซัก 6 เดือน.....
    ถ้าดี มาเดินทางกันต่อ....ถ้าไม่ได้ผล ก็หาทางอื่นที่เหมาะสมกว่าครับ....
    .

    ด้วยความปรารถนาดี ต้องการให้พ้นทุกข์กันจริงๆ ....
    ไม่ได้มายืนกระต่ายขาเดียว แบบว่า ทางนี้ถูก ทางอื่นผิด ไม่ใช่แบบนั้นครับ
    .....การขึ้นเขามีได้หลายทางครับ .....
     
  20. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot]สิ่งที่เรียกว่าปัญญา [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]อันนี้เป็นความเข้าใจผิดของหลายๆ คน รวมทั้งเป็นปัญหาในเรื่องของภาษาด้วย[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]คำว่าปัญญาในในภาษาไทย ไม่แยกอย่างชัดเจน ชื่อซ้ำกันครับ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ปัญญามี 3 อย่าง:-[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]1 ปัญญาที่เกิดจากการฟัง- สุตุมยปัญญา[/FONT]
    [FONT=&quot]2 ปัญญาที่เกิดจากการคิด- จินตมยปัญญา[/FONT]
    [FONT=&quot]3 ปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา-ภาวนามยปัญญา[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]ปัญญา 2 อย่างแรก คือปัญญาในระดับความจำและความคิดนั่นเอง[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เป็นปัญญาชนิดที่เราต้องระวัง ความคิดนั้นระวังจะกลายเป็นความปรุงแต่ง[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]บางคนเข้าใจว่าความคิดเป็นปัญญาที่ช่วยให้พ้นทุกข์[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เป็นสิ่งที่จะพาให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พาให้บรรลุธรรม[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ไปคิดว่ามันไม่เที่ยงนะ มันเป็นทุกข์ หรือมันไม่ใช่ตัวตน มันเป็นการปรุงแต่งทางความคิดครับ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]พูดแบบนี้ ไม่ใช่ว่าปัญญา 2 อย่างนี้ไม่มีประโยชน์ มีครับ มีมากด้วย[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ที่เราได้รู้จัก เข้าใจ และปฏิบัติธรรมได้ เพราะเริ่มจากปัญญา 2 อย่างนี้แหละครับ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ต้องได้รับฟังก่อน ได้คิดพิเคราะห์ว่ามันถูกต้องหรือเปล่า เมื่อทำความเข้าใจแล้ว[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อเห็นว่าคำาสอนนี้จริง มีประโยชน์แล้ว จึงลงมือปฏิบัติใช่ไม๊ครับ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]แล้วทีนี้ต้องระวังอะไร......[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]คือบางคน (จริงๆ หลายคน) ไปติดอยู่แค่การคิดวิเคราะห์ไงครับ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เวลาศึกษาธรรมะ เข้าใจได้แล้ว ก็คิดๆๆๆ ว่า มันไม่เที่ยง มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]หรือไปคิดว่าไม่ใช่เรา ไม่มีตัวตน หรือแม้แต่ไปคิดถึงความว่าง คิดว่า จิตว่าง เป็นต้น[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ก็ได้ยินได้ฟังมา แล้ววิเคราะห์แล้วว่าจริง เกิดศรัทธา ก็คิดวิเคราะห์ต่อไม่หยุด[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]มันไม่เที่ยงแบบโน้น แบบนี้ มันว่างอย่างนี้ ยิ่งวิเคราะห์ยิ่งเห็นจริง ยิ่งเกิดศรัทธา ก็วิเคราะห์ต่อไปอีก[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]แล้วความซับซ้อนของความคิดแต่ละคนไม่เท่ากันด้วย จะคิดได้ลึกซึ้งมากน้อยเพียงไร[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]มันก็ช่วยได้จริงๆ นะครับ เวลาทุกข์ ไปวิเคราะห์มันว่ามันไม่เที่ยง[/FONT][FONT=&quot], ช่างมัน, มันไม่ใช่ตัวตน[/FONT]
    [FONT=&quot]มันเป็นเช่นนั้นเอง[/FONT][FONT=&quot], มันเกิดดับ, กูไม่เอากะมึงแล้วโว้ย ฯลฯ ตามความคิดและความจำ[/FONT]
    [FONT=&quot]มันก็ช่วยให้พ้นทุกข์ได้ คิดแล้วก็หายทุกข์ได้ แต่ก็เป็นชั่วคราว หรือเป็นบางทีเท่านั้น[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]อย่างที่บอกครับ ปัญญา 2 อย่างนี้มีประโยชน์.....[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ถ้าติดอยู่แค่ตรงนี้ มันเป็นการเข้าใจผิดน่ะซิครับ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เข้าใจว่าการใช้ความคิด ความทรงจำ การพิจารณาต่างๆ แบบนี้ คือการปฏิบัติธรรม[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]โดยเฉพาะคำว่าพิจารณาๆ นี่ เป็นกันเยอะครับ ไปคิดพิจารณาเข้าไป....[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]จนเข้าใจว่าตนรู้ธรรม เข้าใจธรรมะแล้ว แบบนี้เรียกว่า ติด[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ติดอยู่ในวังวนของการคิดปรุงแต่ง ปรุงแต่งธรรมะ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ไม่รู้และไม่เข้าใจว่าปัญญาแบบนี้ เป็นแค่ปัญญาเบื้องต้นเท่านั้น[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ปัญญาเบื้องต้นเป็นปัญญาที่จะนำไปสู่ปัญญาที่ 3 ภาวนามยปัญญา[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]ถ้าคนติดตรงนี้มากๆ วันๆ จะคุยฟุ้งแต่ธรรมะ โดยไม่สนใจว่าคนอื่นจะสนใจฟังหรือเปล่า[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]แล้วขัดแย้งก็ไม่ได้นะครับ ไม่พอใจเลย เถียงใหญ่เลย....[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เคยเจอไม๊ครับ คนเป็นแบบนี้....ผมเองก็เคยเป็นคนแบบนี้ สารภาพเลย[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]แบบนี้ ....ไม่เกิดปัญญาอย่างที่ 3 ไม่ถูกฝา ไม่ถูกตัว ไม่พ้นทุกข์แน่นอน[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ยังมี "ตัวกู" ผู้พิจารณาธรรมะ..ผู้รู้ธรรมะ ตัวเบ้อเร่อเลย มันปรุงแต่งน่ะครับ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]แต่อย่างที่บอก ปัญญา 2 อย่างนี้มีประโยชน์ มากด้วย ถ้าไม่ติด ถ้ารู้จักและใช้ให้เป็น[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]แต่หลวงพ่อบอกว่า “มันรู้ก็จริง....ความรู้สึกมันไม่ไป”[/FONT]
    [FONT=&quot]จะใช้เป็นได้อย่างไร ต้องพึ่งปัญญาตัวที่ 3 ครับ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
     

แชร์หน้านี้

Loading...