พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

จัดหนักสำหรับผู้ชมชอบพระสมเด็จวังหน้า...เคยเห็นกันไม๊...

 

:z3อ้าๆๆ เอ้อๆๆอุ้ยๆๆอุ๊บๆๆอ้าคๆๆๆๆๆ(tm-love)

 

หูยยยย...ลุงไฟดูดครับ ผมเพิ่งลงภาพไปได้ไม่ถึง ๔ ชม. มีสูบภาพไป ๕ ครั้งแล้ว เหลือให้สูบได้อีก ๕ ครั้งเท่านั้น..เดี๋ยวนี้รู้ทันกันจริงๆเลยนะครับ...

 

สูบภาพกันไวจริงๆ ค่อยๆสูบกันนะครับ เดี๋ยวจะสำลักกัน เอาไว้ลงภาพพระสมเด็จหมดแล้ว จะลงให้ชมแบบรวมseries กันใหม่อีกครั้ง แต่จำนวนครั้งอาจจะเหลือให้ download เพียง ๓-๕ ครั้งเท่านั้นครับ ของดีมีรวมให้ชมกันไม่บ่อยครับ..

 

เมื่อวานนี้ชม"พระชานุ+พระชงฆ์+พระบาท" พระทวารวดีคูบัว กันไปแล้ว วันนี้ชม"พระพาหุ+พระหัตถ์มือ"กัน มาชมกันถึงความงดงามของพระทวารวดีที่ว่างามนั้นงามเพียงใด...

 

พรุ่งนี้ผมจะลงภาพด้านหลังของพระทวารวดีคูบัวให้ชมกัน อย่าพลาดนะครับ แล้วที่สำคัญจะเผยให้ดูว่า เนื้อในของพระทวารวดีคูบัวพิมพ์นี้เป็นยังไง จะเป็นไปด้วยความบังเอิญหรือไม่ก็ไม่ทราบ บังเอิญว่า ผมมีของเปรียบเทียบเนื้อในสิ่งหนึ่งให้ชมกัน ตั้งแต่ได้ของสิ่งนี้มา ผมยังไม่เคยเปิดเผยให้ผู้ใดได้ทราบเลย แล้วท่านไปดูกันเอง ว่าคืออะไร...

 

สวัสดีครับพีๆ และลุงๆ ทุกท่าน
2-3วันนี้กระทู้คึกคักมากนะครับ...ผมเข้ามาไม่ทันรูปของพี่ๆและลุงๆ ทันอยู่รูปของพี่เพชรบ้างบางรูป ส่วนของลุงหนู๋นี่ไม่ทันได้ดูเลยครับ...:'(

 

.

อ้างอิง:
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong
.


ขอขอบคุณพี่สิทธิพร และผู้ช่วยเหลือทุกๆท่าน

ผมได้รับ CD มาเรียบร้อยแล้ว

ผมกำลังจะรวมรวมองค์ความรู้ต่างๆ (เป็นบางส่วน) มามอบให้กับสมาชิกชมรมพระวังหน้า

แต่ว่า จะมอบให้ฟรี หรือ มอบให้โดยมีเงื่อนไข ขอเวลาพิจารณาอีกครั้ง

รับรองว่า จุใจจริงๆ เท่าที่ผมเห็น

vb vb


.
</TD></TR></TBODY></TABLE>
อ้างอิง:
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ santisayan
(||)นี่นะนายหนุ่ม กติกา เงื่อนไข ขอให้จัดใหญ่ๆๆ จัดหนักๆๆ จัดให้คักๆๆ จัดให้งงๆๆไปเลยนะน้อง พี่ขอมาได้มิ ได้มิ:love:
</TD></TR></TBODY></TABLE>
อ้างอิง:
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร:::
ตอนไปดูทอผ้าก็เตรียมไปด้วยละกัน ดูทอผ้าเสร็จก็ดูพระปิดตากัน ตาลุงข้างบ้านเขาแน่จริง รู้ไปทุกอย่าง ได้มีโอกาสคุยด้วย ถึงรู้ว่า ที่ลุงเขารู้ทุกอย่างไม่ใช่อะไรหรอก สมัยหนึ่งลุงเขาถูกคนปรามาสหนัก ลุงเขาเลยฮึดพยายาม ไม่ได้"ไม่ได้" ไม่ได้"ต้องได้" ซุ่มฝึกวิชาทั้งเนื้อดิน เนื้อชิน เนื้อปูนสอ ฯลฯ ที่สำคัญพระกรุสำคัญๆ อย่างกรุวัดประยูรฯ วัดราชบูรณะ วัดสามปลื้ม ฯลฯ หรือกระทั่งกรุฮอด ก็ได้จากปากหลุมก่อนส่งเข้าพิพิธภัณฑ์ส่วนหนึ่ง ว่ากันองค์หนึ่งก็เกือบครึ่งแสนก็มี ลุงเขาบอกว่า "แค่ขอดูเนื้อเท่านั้น" ลุงลองคิดดูเอานะครับ เนื้อชั้นครูของพิพิธภัณฑ์ลุงเขาเห็นมากับตาแบบนั้นผ่านตา ผ่านมือ ทุกวัน ทำไมลุงเขาจะไม่ทราบว่า พระที่วงการสะสมกัน เนื้อหาเป็นยังไง แล้วเนื้อหาที่ถูกต้องจริงๆเป็นยังไง แน่นอนว่า ของในพิพิธภัณฑ์ วงการยังไม่รู้จัก และไม่มียังอีกมากมาย ลุงเขายิงนกทีเดียวได้ ๒ ตัว นอกจากได้รู้เห็นเนื้อชั้นครูแล้ว ลุงเขายังมีตัวอย่างที่ลุงเขาบอก"แค่ขอดูเนื้อ" มิน่า... ลุงเขาถึงบอกว่า มีแต่ในพิพิธภัณฑ์เท่านั้น ทีนี้ลุงยังจะเข้าใจว่า พระที่ลุงเขาได้มาน่ะ โคตรแพงหรือไม่ครับ เสียเงินครึ่งแสน แต่คุยได้ทุกวันเท่าที่อยากคุย ให้ดูเท่าที่อยากให้ดู เงินทางโลกครึ่งแสนแลกกับความรู้ทางโลก และทางธรรมของแท้ และยังได้ของแท้เนื้อเดียวกับพิพิธภัณฑ์ในครอบครองอีกต่างหาก(แม่เจ้า!!! ขนาดเฝ้าพระพิมพ์จากปากหลุมก่อนส่งเข้าพิพิธภัณฑ์ แบบนี้หายสงสัยกันหรือยัง..)

คำว่า"แค่ขอดูเนื้อ" แล้วได้ความรู้ทั้งทางโลก และทางธรรมนี่ ก็เพราะว่าสามารถสืบเสาะประวัติศาสตร์การเผยแผ่ธรรมะมายังดินแดนสุวรรณภูมิผ่านศิลปะของพระพิมพ์ เขาเรียกว่ายังเหลือร่องรอย หรือเค้าลางของประวัติศาสตร์เอาไว้ให้ศึกษาได้บ้าง พูดแบบนี้อาจจะไม่เห็นภาพ เอาไว้ผมจะยกตัวอย่างหนึ่งผ่านพระพิมพ์ของลุงไฟดูดให้เห็นครับ จะได้ตาสว่างกันซะที แต่เชื่อไม๊ครับ ต่อให้บอกขนาดนั้น เอามาให้ดูขนาดนั้น ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี การนำเอามาตีแผ่กันให้เห็นจะๆ ผลดีคือ คุณๆได้เห็นกันทันทีมันง่ายเกินไปครับ แต่ผลเสียคือ การไม่เคยใส่ความพยายามในการศึกษาอย่างหนัก ก็จะไม่เข้าใจในทันทีได้ เพราะอะไรหรือ? ก็เพราะกว่าที่เขาจะได้ความรู้แท้จริงแบบนี้มา เขาลงทุนขนาดหนักครับทั้งเงินทอง เวลา และการสืบค้นหาข้อมูลทุกรูปแบบ แต่หากลงทุน ลงแรงไม่เท่าเขาก็อย่ามาคุย และรีบด่วนสรุปว่า "ไม่มี" เพราะของที่"ไม่รู้ว่ามี" ยังมีมากกกว่าของที่"รู้ว่ามี" ทำนองใบไม้กำมือเดียวนั่นแหละครับ...

ตาลุงข้างบ้านกว่าจะเก่งขนาดนั้น ก็ด้วยหนังสือปู่เล่มละ ๓๐๐,๐๐๐ นั่นแหละ หนังสือปู่อย่าอ่านผ่านๆ มันไม่ใช่นิตยสารรายปักษ์ หรือข่าวซุบซิบซุป'ตา ข่าวลือ ให้ข่าวแล้วมาตามแก้ในฉบับต่อไป แต่นั่นคือ ประมวลความรู้ขั้นเทพ เหนือเสี้ยนมากมายหลายๆๆๆขุมs ผมเคยบอกไปแล้วว่า ความรู้ปู่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทุกกระบวนท่า ไร้รูป ไร้รอย พบเหตุการณ์เฉพาะหน้าก็เอาตัวรอดได้ด้วยความรู้ปู่นี่แหละครับ ไม่ใช่ใสซื่อทื่อตามตำรา แถมจำไม่ได้อีกต่างหาก การถ่ายทอดความรู้ของปู่ก็เป็นไปแบบธรรมชาติมาก และมีสาระมากมาย ไม่ใช่แบบหนังสือพระทั่วไปที่เราเห็นกันเกลื่อน มีรูปให้ดู มีทำขยายใหญ่ให้ดูตำหนิ ทรงพิมพ์ ตำราปู่มีความรู้มากกว่านั้นมากมาย ความรู้แบบนี้ ๓๐๐,๐๐๐ ยังน้อยไป...
</TD></TR></TBODY></TABLE>
อย่างที่คุณเพชรว่าไว้ เรื่องของหนังสือ

หนังสือวิเคราะห์พระสมเด็จและสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า เขียนมาเมื่อปีไหน

ขนาดนั้นยังเป็นระดับปรมาจารย์

ผมได้องค์ความรู้จากหนังสือมามากพอสมควร

แต่ปู่ประถมสอนมาบ่อยครั้งว่า อย่าเรียนรู้เหมือนลิงที่ผูกไว้ที่หลัก

ลิงมันจะรู้เพียงบริเวณที่โซ่ที่คล้องคอมันยาวไปถึงเท่านั้น

ส่วนอื่นๆที่อยู่นอกเหนือจากโซ่ที่คล้องคอมัน เช่นในป่าใหญ่ ลิงมันจะไม่รู้เรื่องเลย

ดังนั้น ผมจะมอบให้(โดยมีเงื่อนไข)สำหรับท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้าที่สนใจเท่านั้น ผมกำลังคิดและร่างกติกาอยู่ ขอเวลาอีกสักพัก

ในแผ่นCD ในชุดนี้ จะเป็นพื้นฐานที่ผมเองได้เรียนรู้มา และ มีสิ่งที่ล้ำค่าอยู่ เช่น รูปคฑา (สมัยรัชกาลที่ 5) หรือ แผ่นทองคำ (ที่คุณเพชรบอกว่า เป็นลายแทง) ทั้งสองเรื่องนี้ ผมบอกได้ว่า แม้แต่เห็นยังหาชมได้ยาก

ผมจะทยอยเก็บตังซื้ออุปกรณ์ที่จะใช้ในการถ่ายรูป วัตถุมงคลบางอย่าง ต่อให้มีพระวังหน้าจำนวนมากกกกกกกกกกกกกกกกก ยังสู้วัตถุมงคลที่ว่านี้เพียงชิ้นเดียวก็ไม่ได้ และหาได้ยากมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ผมเองจะทยอยไลท์ข้อมูลลงแผ่นไปเรื่อยๆก่อนครับ

ผมจะมอบให้สำหรับท่านที่มีความสนใจไฝ่รู้เท่านั้น และต่อไปนี้จะไม่คะยั้นคะยอและดันให้เรียนรู้กันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผม , คุณnongnooo ,คุณเพชร และอีกหลายๆท่าน กว่าจะเดินทางมาได้ขนาดนี้ หนทางเดินไม่ได้เดินบนกลีบกุหลาบ แต่เดินบนหนามกุหลาบและหนามตะบองเพชรมาโดยตลอด และหากว่าจะไปหาความรู้ที่ผิด ก็ไม่ว่ากัน เพราะแต่ละท่าน เลือกกันเองครับ

sithiphong
15/3/2555

.<!-- google_ad_section_end -->

 

พี่หนุ่มครับผมได้โอนเงินร่วมทำบุญ วาระ3 แล้วครับเมื่อวาน ช่วงบ่าย 3 จำนวน 200 บาท
อนุโมทนาบุญด้วยครับ

 

ลุงเพชรครับ อย่างนี้ผมก็อดดูภาพนะสิครับ:'( เพราะ2-3 วันผมจึงจะได้เข้ามาเปิดอ่าน แย่เลย!!!!

 

.

ก่อนซด"ซุปหูฉลาม"ถ้วยต่อไป...คุณแน่ใจ !!แล้วหรือของแพงดีเสมอไป




ซุปหูฉลาม อาหารไฮโซ อาหารอันตรายทั้งฉลาม และคน โดยศจ.เกียรติคุณนายแพทย์ประเสริญ ทองเจริญ ราชบัณฑิต



ความจริงแล้ว ปลาทั้งหลายไม่มีหู ปลามีแต่ครีบ เอาไว้ว่ายน้ำ ฉลามก็คือปลาชนิดหนึ่ง ที่มีความว่องไวปราดเปรียว มีเขี้ยวที่แหลมคม มีอันตรายแก่นักว่ายน้ำในทะเลและมหาสมุทร จะถูกทำร้าย เนื้อฉีกได้ง่ายๆ



แต่ปลาฉลามก็คือปลา ย่อมแพ้คน คนเราไปเอาครีบโตๆ มาตากแห้ง และนำไปปรุงอาหารที่เขาว่ากันว่าแสนจะโอชะหลายอย่าง เช่น ซุบหูฉลาม หูฉลามผัดแห้ง เป็นที่พึงปรารถนาของ บรรดาเศรษฐี หรือ บุคคลผู้มีรสนิยมสูง ที่พวกเราหลายคนนิยมเรียกว่าพวก “ไฮโซ”



ตัวผมเองเป็นประเภทรายได้ต่ำ แต่บางทีนานๆทีก็มีเจ้ามือพาไปเลี้ยงที่เหลาบ้าง ลำพังตัวเองขึ้นเหลาไม่ไหว ต้องเดินตามไฮโซไปบ้าง จำได้ว่ามีอยู่ครั้ง สองครั้ง ได้ไปรับประทานซุบหูฉลามที่อร่อยที่ภัตตาคารไหหว่าเทียนที่หาดใหญ่ ทราบว่าตอนนี้รวยมากไปเลยหยุดกิจการไปแล้ว คงทำให้ฉลามหายเสียวครีบไปได้หน่อย



เห็นภาพในหนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่งเมื่อวันที่ ๙ มีนาคมที่เพิ่งผ่านมา เขาเอาภาพครีบฉลามกำลังตากให้แห้ง ตากอยู่กับพื้นบนลานข้างถนนในฮ่องกงนับพันๆครีบทีเดียว น่าหดหู่ อีกไม่ช้า เราคงจะเล่าเรื่องหูฉลามให้เด็ก ๆ ฟังโดยให้เด็กดูจากรูปเท่านั้นเอง ตัวจริงที่แสดงในอะควาเรียมอาจไม่มีเหลือ




วันนี้ ผมจะเอาเรื่องที่ผมเพิ่งจะไปพบรายงานการวิจัยที่เผยแพร่ออกมาเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้ เกี่ยวข้องกับอันตรายในการกินหูฉลาม มาเล่าให้ฟังกัน เป็นการเตือนสติเอาไว้ แต่ใครไคร่บริโภคตามใจปาก ผมก็คงไปขัดคอขัดลิ้นของท่าน ก็อ่านดูเอาไว้ประดับความรู้ทั่วไปบ้างก็แล้วกัน



อวัยวะที่เราเอามาบริโภคกันนั้น เป็นครีบของฉลาม คนไทยเราเรียกเพี้ยนไปเป็นหูฉลาม ฝรั่งเรียกว่า Shark fin ฟินแปลว่าครีบ ซึ่งถูกต้อง แต่ความนิยมคือความนิยม ไปเปลี่ยนกันยาก




อันที่จริง บทรายงานที่ผมจะนำมาเล่านี้ อาจจะช่วยเปลี่ยนใจหลายท่านให้บริโภคหูฉลามลดลง เป็นการช่วยชีวิตปลาฉลาม ให้ถูกล่าน้อยลง ที่ผมได้ยินได้ฟังมา เขาเล่ากันว่า เมื่อชาวประมง ล่าฉลามมาได้แล้ว จัดการตัดเอาครีบออกทั้งสองข้าง แล้วโยนกลับลงทะเล ไม่ใยดีว่าจะไปตายหรือไปรอด ซึ่งจริงๆแล้วก็ไปไม่รอด เพราะชาวประมงไม่ต้องการเนื้อฉลาม ซึ่งไม่อร่อยและเหม็นคาวจัดมาก


ผมจำกลิ่นคาวได้เพราะตอนเป็นนิสิตชั้นปีที่ ๑ เรียนวิชาชีววิทยาภาคปฏิบัติ หรือเรียนแล็บ ที่คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต้องเรียนวิชาชำแหละกบ ชำแหละฉลาม จำได้ว่ามีกลิ่นคาวมากแทบจะเลิกกินปลาทีเดียว




เรากลับเข้าเรื่อง มาหาบทรายงานการวิจัยต่อไปดีกว่า ผมได้อ่านพบข่าวในวารสารชื่อ AsianScientist ฉบับวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ รายงานโดยคุณ รีเบ็คคา ลิม ข่าวนี้อ้างอิงถึงรายงานวิจัยดั้งเดิมซึ่งตีพิมพ์รายงานไว้ในวารสาร Marine Drugs* ฉบับต้นตออีกทีหนึ่ง ชื่อเรื่องว่า Cyanobacterial Neurotoxin β-N-Methylamino-L-alanine (BMAA) in Shark Fins โดยผู้เขียนบทรายงานชื่อ มอนโดและคณะ (Mondo K et al) จะสรุปให้อ่านกันดังนี้


“นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยไมอามี สหรัฐอเมริกา วิจัยพบว่าในหูฉลาม มีสารพิษ ที่ก่อพิษร้ายแรงต่อระบบประสาทของมนุษย์ได้ โดยจะไปทำให้มีการเสื่อมของเซลล์ประสาท ทำให้เกิดโรคของระบบประสาทได้ เช่น “โรคอัลไซเมอร์ โรค ลู เกห์ริก หรืออีกชื่อเรียกว่าโรค อะไมโอโทรปิค แลเทอรัล สเคลอโรสิส – (Lou Gehrig disease or Amyotrophic lateral sclerosis, เรียกย่อๆว่า ALS)




การกินซุปหูฉลาม คือ การกินกระดูกอ่อนครีบของปลาฉลาม นักวิจัยได้เอาตัวอย่างครีบฉลามหลายพันธุ์ เป็นฉลามสดๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นฉลามพันธุ์ที่นิยมนำเอามาบริโภคกัน ซึ่งผมไม่ทราบว่าในภาษาไทยเรียกพันธุ์อะไรกันบ้าง ได้แก่ blacknose, blacktip, bonnethead, bull, great hammerhead, lemon, และ nurse sharks ฉลามพวกนี้ ล่ามาจากน่านน้ำทะเลฟลอริดาใต้ พบว่า มีสารที่มีชื่อว่า บีต้า-เอ็น-เมธิล อะมิโน-แอล-อะลานีน ( β-N-Methylamino-L-alanine เรียกชื่อย่อๆว่า BMAA) ซึ่งเป็นสารพิษต่อระบบประสาท


ศาสตราจารย์ แม็ชและคณะ ได้เริ่มทำการวิจัยมาตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๕๒ โดยศึกษาวิจัยในผู้ป่วยโรค Alzheimer’s Disease และ ALS พบว่ามีระดับสาร BMAA ในสมองสูงมากในสมอง ๑ มิลลิกรัมพบปริมาณที่สูงถึง ๒๕๖ นาโนกรัม ในขณะที่คนปกติจะตรวจไม่พบว่ามีสารนี้ในสมองหรือมีแต่เพียงกระเส็นกระสายเล็กน้อยเท่านั้นเอง การวิจัยล่าสุดรายงานว่าพบสารดังกล่าวในครีบฉลามในปริมาณตั้งแต่ ๑๔๔ ถึง ๑,๘๓๖ นาโนกรัมทีเดียว


สาร BMAA นี้ พบว่ามีความสัมพันธุ์เกี่ยวข้องกับโรคระบบประสาทเสื่อมในประชาชนชาวเกาะกวมมาก่อน กล่าวคือจะมีเซลล์ประสาทมีการเปลี่ยนแปลงทั้งรูปร่างและการทำหน้าที่ของเซลล์ประสาท



สาร BMAA คืออะไร แหล่งกำเนิดต้นตออยู่ที่ใหนและเกิดขึ้นได้อย่างไร


สาร BMAA มีชื่อเต็มว่า บีต้า-เอ็น-เมธิลอะมิโน-แอล-อะลานีน ( β-N-Methylamino-L-alanine) เป็นสารที่มีคุณสมบัติทางชีวเคมีเป็นกรดอะมิโน แต่ไม่ใช่โปรตีน ผลิตขึ้นในธรรมชาติโดยแบคทีเรียที่มีชื่อว่า cyanobacteria และรู้จักกันในนามว่า สาหร่ายสีน้ำเงินอมเขียว หรือ blue-green algae ซึ่งมีบางท่านเรียกเป็นภาษาไทยว่า “สาหร่ายน้ำเงินแกมเขียว” ถ้าใช้คำว่า “อม” น่าจะเหมาะกว่าคำว่า “แกม”


สาร Beta-N-Methylamino-L-alanine นี้เป็นสารพิษ หากฉีดให้แก่ลิงรีซุส จะทำให้ลิงมีพฤฒิกรรมเปลี่ยนแปลง มีกล้ามเนื้อลีบฝ่อลง ถ้าสารนี้ไปรวมเข้ากับเซลล์สมองจะทำให้ เซลล์สมองตาย สารนี้ มีคุณสมบัติคล้ายกรออะมืโนอะลานีน จึงไปรวมกับเซลล์สมองทำให้เกิดสารเชิงซ้อนและทำให้เซลล์ตายได้






cyanobacteria สาหร่ายสีน้ำเงินอมเขียว หรือ blue-green algae คืออะไร


ไซยาโนแบคทีเรีย มีลักษณะเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว รูปแบบทั้งตัวเป็นเซลล์มีสารพันธุกรรมและไม่มีเยื่อหุ้มนิวนิวเคลียส ทำให้สามารถเจริญแบบเพิ่มจำนวนได้โดยการแบ่งตัว


ไซยาโนแบคทีเรีย สามารถปรับตัวได้สูงมากโดยการ สร้างเมือกห่อหุ้มเซลล์ และในเซลล์จะมีถุงลมเพือการพยุงตัว หาสภาวะที่เหมาะสมในการสังเคราะห์แสง มีเม็ดสีช่วยในการต่อต้านแสงอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ แบคทีเรียนี้ จะอาศัยอยู่ทั่วไปบริเวณชายฝั่งทะเล


สาหร่ายสีเขียวอมน้ำเงินพวกที่ดำรงชีวิตอยู่อย่างอิสระ และดำรงชีวิตร่วมกับสิ่งที่มีชีวิตอื่นๆ ทำให้เกิดปรากฎการณ์ที่เรียกกันว่า Blue tide ซึ่งในภาษาไทยเรียกกันว่า “ขี้วาฬ” นั่นเอง และยังมีสาหร่ายสีแดงอีกที่ทำให้เกิด Red tide ก็มี


ปลาฉลามเป็นปลาที่มีอายุยืน อยู่ในธรรมชาติอยู่ได้นาน คงจะกินสาหร่ายน้ำเงินอมเขียวที่เกิดในทะเลเข้าไป จึงมีการสะสมสารพิษดังกล่าวนั้นได้มาก นักบริโภคหูฉลามน่าเพลาปากลงหน่อยนะ ได้ข่าวมาเลยเอามาเล่าสู่กันฟัง ชาวไฮโซที่นิยมบริโภคหูฉลามบ่อยๆ จะสะสมสาร BMAA ทีละน้อยๆ จนมากพอที่จะไปทำให้เป็น “อัลไซเมอร์” ได้เหมือนกันนะครับ


-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1331795042&grpid=01&catid=&subcatid=-

.

ก่อนซด"ซุปหูฉลาม"ถ้วยต่อไป...คุณแน่ใจ !!แล้วหรือของแพงดีเสมอไป : มติชนออนไลน์=

.

 

วาระบุญที่ 3 ปี 2555 การบรรจุพระวังหน้า

วาระบุญ การบรรจุพระวังหน้า(ในกล่องสเตนเลส) โดยฝากท่านประธานชมรมพระวังหน้าไปบรรจุสถานที่(แล้วแต่ความเห็นของท่านประธานชมรมพระวังหน้า) และการถวายพระวังหน้า แด่พระภิกษุสงฆ์ทางภาคใต้ (โดยฝากท่านน้องปฐมเป็นตัวแทนชมรมพระวังหน้าและผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้า)

เงินที่ทุกๆท่านร่วมทำบุญมาในวาระนี้ ผมจะนำไปทำบุญต่อ จำนวนเงินทั้งหมด ผมจะแบ่งออกเป็น 4 กองบุญ โดยบุญที่จะทำมีดังนี้

1.การพิมพ์ประวัติหลวงปู่พระอานนท์เถระเจ้า จำนวน 350 ชุด (โดยแจกพร้อมกับรูปพระอานนท์เถระเจ้า ที่ผมได้บอกบุญไปในวาระที่ 2 ปี 2555)

2.การถวายผ้าป่า ณ.สวนทิพย์โลกอุดร ต.แม่งอน อ. ฝาง จ.เชียงใหม่ ( งานบวชพระภิกษุ ที่สวนทิพย์โลกอุดร ที่ผมบอกบุญไปในวาระที่ 1 ปี 2555 บวชพระสงฆ์ จำนวน 44 รูป บวชสามเณร จำนวน 4 รูป ณ.วัดสันติวนาราม ( วัดหนองผักหนาม ) ต. แม่คะ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ โดยพระครูสุเมธปัญญาคุณ เจ้าคณะอำเภอ) และ งานบุญการถวายภัตตาหาร 1 มื้อ + น้าปาณะ 3 มื้อ แด่ พระอาจารย์ + พระบวชใหม่ 40 รูป + สามเณร 4 รูป รวม 45 รูป

3.ถวายผ้าป่าเพื่อสร้างหอพระไตรปิฎกใหม่ ณ.วัดแม่คาว ต. สันพระเนตร อ.สันทราย จ. เชียงใหม่ โดยพระครูสมุห์เสิมสุข ( โทรฯ 086-6705856 ) เนื่องจากหลังเดิมผุพังใช้การไม่ได้ ต้องรื้อและสร้างใหม่ทั้งหมด (วันจันทร์ที่ 9 เมย. 2555 เวลา 9.59 น)

4.งานบุญการทอดผ้าป่าสามัคคีเพื่อสร้างกำแพงสำนักปฎิบัติธรรมสวนมะม่วง ต.ท่าฉนวน อ.มโณรมณ์ จ.ชัยนาท ในวันที่ 15 เมษายน 2555




เริ่มทำบุญตั้งแต่วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2555
สิ้นสุดงานบุญนี้ในวันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2555

รายละเอียดผมส่งให้ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้าและท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้าทุกๆท่านเรียบร้อยแล้ว

ส่วนท่านที่เคยร่วมทำบุญในวาระบุญที่ 1 ปี 2555 มาแล้ว มีความประสงค์ที่จะร่วมทำบุญในวาระบุญที่ 3 ปี 2555 สามารถแจ้งความประสงค์เข้ามาได้ครับ

โมทนาบุญทุกประการ
sithiphong
2/3/2555

.

-http://palungjit.org/threads/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้.22445/page-2500-

http://palungjit.org/threads/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้.22445/page-2500
.

อ้างอิง:
<table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="alt2" style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Nui28
พี่หนุ่มครับผมได้โอนเงินร่วมทำบุญ วาระ3 แล้วครับเมื่อวาน ช่วงบ่าย 3 จำนวน 200 บาท
อนุโมทนาบุญด้วยครับ
</td></tr></tbody></table>
อ้างอิง:
<table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="alt2" style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong
วาระบุญที่ 3 ปี 2555 การบรรจุพระวังหน้า

วาระบุญ การบรรจุพระวังหน้า(ในกล่องสเตนเลส) โดยฝากท่านประธานชมรมพระวังหน้าไปบรรจุสถานที่(แล้วแต่ความเห็นของท่าน ประธานชมรมพระวังหน้า) และการถวายพระวังหน้า แด่พระภิกษุสงฆ์ทางภาคใต้ (โดยฝากท่านน้องปฐมเป็นตัวแทนชมรมพระวังหน้าและผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้า)

เงินที่ทุกๆท่านร่วมทำบุญมาในวาระนี้ ผมจะนำไปทำบุญต่อ จำนวนเงินทั้งหมด ผมจะแบ่งออกเป็น 4 กองบุญ โดยบุญที่จะทำมีดังนี้

1.การพิมพ์ประวัติหลวงปู่พระอานนท์เถระเจ้า จำนวน 350 ชุด (โดยแจกพร้อมกับรูปพระอานนท์เถระเจ้า ที่ผมได้บอกบุญไปในวาระที่ 2 ปี 2555)

2.การถวายผ้าป่า ณ.สวนทิพย์โลกอุดร ต.แม่งอน อ. ฝาง จ.เชียงใหม่ ( งานบวชพระภิกษุ ที่สวนทิพย์โลกอุดร ที่ผมบอกบุญไปในวาระที่ 1 ปี 2555 บวชพระสงฆ์ จำนวน 44 รูป บวชสามเณร จำนวน 4 รูป ณ.วัดสันติวนาราม ( วัดหนองผักหนาม ) ต. แม่คะ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ โดยพระครูสุเมธปัญญาคุณ เจ้าคณะอำเภอ) และ งานบุญการถวายภัตตาหาร 1 มื้อ + น้าปาณะ 3 มื้อ แด่ พระอาจารย์ + พระบวชใหม่ 40 รูป + สามเณร 4 รูป รวม 45 รูป

3.ถวายผ้าป่าเพื่อสร้างหอ พระไตรปิฎกใหม่ ณ.วัดแม่คาว ต. สันพระเนตร อ.สันทราย จ. เชียงใหม่ โดยพระครูสมุห์เสิมสุข ( โทรฯ 086-6705856 ) เนื่องจากหลังเดิมผุพังใช้การไม่ได้ ต้องรื้อและสร้างใหม่ทั้งหมด (วันจันทร์ที่ 9 เมย. 2555 เวลา 9.59 น)

4.งานบุญการทอดผ้าป่าสามัคคีเพื่อสร้างกำแพงสำนักปฎิบัติธรรมสวนมะม่วง ต.ท่าฉนวน อ.มโณรมณ์ จ.ชัยนาท ในวันที่ 15 เมษายน 2555




เริ่มทำบุญตั้งแต่วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2555
สิ้นสุดงานบุญนี้ในวันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2555

รายละเอียดผมส่งให้ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้าและท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้าทุกๆท่านเรียบร้อยแล้ว

ส่วนท่านที่เคยร่วมทำบุญในวาระบุญที่ 1 ปี 2555 มาแล้ว มีความประสงค์ที่จะร่วมทำบุญในวาระบุญที่ 3 ปี 2555 สามารถแจ้งความประสงค์เข้ามาได้ครับ

โมทนาบุญทุกประการ
sithiphong
2/3/2555

.

-http://palungjit.org/threads/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้.22445/page-2500-

http://palungjit.org/threads/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้.22445/page-2500
.
</td></tr></tbody></table>

โมทนาบุญทุกประการ

 

.
กบินทร์บุรี 21-4-2555

วัดหลวงพ่อโอภาสี 22-4-2555
.
<!-- google_ad_section_end -->

 

;aa38ต้องขอขอบคุณ กับข่าวที่มีประโยชน์ต่อผู้ชมรายการ ของพี่หนุ่ม ครับท่านthx1

 

ลืมแม่พิมพ์ไปหรือเปล่าครับ...และของชิ้นสำคัญที่ว่าคือ ไม้ครูน้อย ไม้ครูใหญ่ ไม้อาจารย์ใหญ่หรือเปล่าครับ...

ยังไงก็เผื่อผมซักชุดนะครับ ผมกลัวว่าจะไม่อยู่ในเงื่อนไขการได้รับข้อมูลจริงๆ ว่าไม๊ลุงไฟดูด เงื่อนไขเยอะ...

 

.

สิ่งที่คุณเพชรว่า คงต้องอยู่ในชุดต่อไป แต่ไม่ใช่สิ่งที่ผมบอกว่า พิเศษ

แต่มีบางท่านก็เคยเห็นแล้ว เช่น คุณNongnooo เห็นที่ไอดิว , คุณกุ้งมังกอนและคุณMEA เห็นที่บ้านผม

ส่วนเงื่อนไข ต้องคอยติดตาม แต่เงื่อนไขเพื่อชมรมพระวังหน้าของเราไงครับ



.

 

เอ่อ..ชุดพิเศษที่ว่านี่ จะเบลอๆๆๆๆ เห็นไม่ชัดเจน แล้วก้อ มีประทับตรายี่ห้อ สงวนลิขสิทธิ์ แล้วมีระบายสีแดง ม่วง เขียว ดำ น้ำเงิน รึเปล่าครับ หุ...หุ...

 

ที่สำคัญ ยังมีสิ่งที่ผมเชื่อว่า หาชมได้ยากมากที่สุดเช่นกัน

สิ่งนี้คุณกุ้งมังกอนและคุณMEA เห็นมาแล้วเช่นกัน และหลายๆท่านก็เห็นในโทรศัพท์มือถือของผม แต่อย่างไรก็ตาม รูปในมือถือผมก็ไม่ชัด ดูไม่เต็มตา


.

 

หากลงในซีดี

ต้องเป็นรูปที่ชมได้เต็มตาแน่นอน
.

สดชื่น คลายร้อน ไปกับไอศกรีมกะทิสูตรโบราณ





เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ narellan

ตอน นี้ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็เจอแต่ไอร้อนที่พวยพุ่งขึ้นจากพื้นดิน ยังนับไม่รวมแสงแดดในช่วงกลางวันที่ร้อนจนทำให้หลาย ๆ คน แทบจะเป็นลมกันเลยทีเดียว ทางกระปุกดอทคอมจึงนำเมนูไอศกรีมเย็น ๆ รสชาติกลมกล่อมแบบไทย ๆ มาฝากกัน นั่นคือ ไอศกรีมกะทิสูตรโบราณ ซึ่งสูตรนี้ไม่ต้องใส่นม หรือใส่ครีม ก็อร่อยล้ำ เย็นฉ่ำ ชื่นใจกันได้ง่าย ๆ แต่ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ คุณ narellan ที่นำวิธีทำสุดแสนจะง่ายนี้มาแบ่งปันกัน ....เอาล่ะ อย่ารอช้า เรามาดูขั้นตอนการทำไอศกรีมกะทิกันเลยดีกว่า


ส่วนผสม

1. กะทิกล่อง หรือกะทิกระป๋องสูตรเข้มข้น ขนาด 560 มิลลิลิตร
2. น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
3. เกลือ ¾ ช้อนชา
4. ไข่ไก่ 1 ฟอง
5. เนื้อมะพร้าวอ่อนขูดเป็นเส้น (มีหรือไม่มีก็ได้)




วิธีทำ

1. เทกะทิทั้งหมด ผสมกับน้ำเปล่า 2 ถ้วย หรือถ้ามีน้ำมะพร้าว ก็ให้ใช้น้ำมะพร้าว กับน้ำเปล่าอย่างละ 1 ถ้วย เพื่อเพิ่มความหอมหวานของกะทิมากขึ้น
2. นำกะทิไปตั้งไฟ แล้วค่อย ๆ เทน้ำตาลทรายผสมลงไป จากนั้นคนให้เข้ากันจนกะทิเดือด
3. นำกะทิมาพักให้เย็น จากนั้นเทใส่ภาชนะที่เหมาะกับการแช่เย็น



4. นำภาชนะดังกล่าวไปแช่ในช่องแข็ง จนกะทิเริ่มแข็งตัว
5. ในการแช่กะทิ ให้สังเกตุว่ากะทิเริ่มเป็นเกล็ดหรือยัง หากเริ่มเย็นจนเป็นเกล็ดแล้ว สามารถนำออกจากตู้เย็น โดยไม่ต้องรอให้กลายเป็นน้ำแข็ง ซึ่งขั้นตอนนี้อาจใช้เวลานานพอสมควร
6.นำกะทิดังกล่าวมาปั่น หากไม่มีเครื่องปั่นสำหรับทำไอศกรีม สามารถใช้เครื่องปั่นน้ำผลไม้ธรรมดาแทนได้ค่ะ



ปั่นครั้งที่ 1

นำกะทิใส่เครื่องปั่น และปั่นจนกว่าเนื้อไอศครีมจะละเอียด จากนั้นนำไปแช่ในช่องแข็งอีกรอบ



ปั่นครั้งที่ 2

เมื่อเนื้อไอครีมที่ปั่นรอบแรกเริ่มเป็นน้ำแข็ง ก็ให้นำออกมาปั่นใหม่อีกครั้ง โดยคราวนี้ให้ใส่ไข่ขาวลงไป 1 ฟอง เมื่อเครื่องปั่นตีกะทิกับไข่ขาวจนเข้ากันแล้ว จะเห็นว่าเนื้อไอศครีมขาว และฟูขึ้น จากนั้นจึงนำไปแช่ในช่องแข็งอีกรอบ



ปั่นครั้งที่ 3

นำไอศกรีมที่แช่จนเป็นเกร็ดแล้วมาปั่นอีกรอบ เพื่อให้เนื้อไอศกรีมเนียนฟูมากยิ่งขึ้น หากใครชอบทานไอศกรีมกะทิ แบบมีเนื้อมะพร้าวด้วย ให้นำเนื้อมะพร้าวอ่อนที่เราขูดไว้ มาผสมกับไอศกรีมกะทิที่ปั่นในรอบที่สาม แต่ในครั้งนี้ควรปั่นเพียงเล็กน้อยพอให้เนื้อมะพร้าวเข้ากันค่ะ หรือจะปั่นรอบที่สามให้เสร็จก่อน แล้วค่อยใส่เนื้อมะพร้าวแล้วปั่นอีกนิดก็ได้ค่ะ





เพียงแค่นี้ เราก็จะได้ไอศกรีมกะทิแสนอร่อย เอาไว้ทานเพื่อคลายร้อนกันแล้วล่ะ...อ้อ เคล็ดลับความอร่อยของไอศกรีมกะทิจะอยู่ที่การปั่นเนื้อไอศกรีมให้ละเอียด ยิ่งปั่นหลายรอบ เนื้อไอศกรีมก็จะยิ่งเนียนฟูมากขึ้น แต่วิธีที่เรานำมาฝากนี้จะเป็นแบบเร่งรัดจ้า

ใครลองนำสูตรนี้ไปทำแล้วได้ผลอย่างไรบ้าง อย่าลืมแวะมาคุยกันบ้างนะจ๊ะ ขอให้ทุกคนอร่อยกับไอศกรีมกะทิสูตรโบราณจ้า

-http://women.kapook.com/view40457.html-
.

http://women.kapook.com/view40457.html
.

 

black_pigลายแทงแผ่นทองอย่าให้เหมือนที่สุพรรณบุรีนะ พระเครื่อง ยุคอยุธยา แต่ว่าเขียนใหม่เป็นสมัยพระเจ้าลิไท แผ่นลายแทงก็ทำขึ้นมาใหม่ หาอ่านได้ในหนังสือที่ประถมเขียนไว้ละคร้าบ ส่วนแผ่นแท้ ไม่รู้ ไม่รู้ catt3