พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

(one-eye)๕๕๕๕ห่วงและฝาครอบเป็นของใหม่ (มือผี) เดี๋ยวจะเปลี่ยนที่ร้อยเป็นเถาจากต้นไม้ที่มีอายุที่ใกล้เคียงกัน ใครพบเห็นแจ้งด้วย(good)

 

อย่างลุง แนะนำใช้เถาวัลย์เปรียง หรือเถาสะค้านตัวยาประจำธาตุลมน่าจะเหมาะกับลุง เพราะลุงมีอาการปวดเมื่อยตามตัว หุ..หุ...

 

[Embarrass ไอเถาที่ลุงเพชรพูดนี่ จะให้ผมใช้ผูก(คอ) หรือใช้ต้ม(คนดู) chearr

 

pig_cryy2นี่ตาลุงหนู๋ ตาลุงข้างข้างบ้านแกจะจำจนลูกบวชเลยหรือ ถามให้หน่อยนะ

 

pity_pigมีลูกปัด ของยุคลพบุรี(ละโว้) แต่ไม่กล้าโชว์ โฮ้ไม่กี่ร้อยปี ฝีมือยังห่างกันมาก อายๆๆ ตาลุงเพชรเมื่อตืนค้นใหม่อีกรอบ จุจุจุจุมีรอยบิ่นเห็นเนื้อใน เหมือน องค์ครูสีเขียว ของท่าน เนื้อนอกหลอกตาได้โดนๆๆๆ ไม่เห็น ไม่รู้ ก็ไม่มี เท็คนิคชั้นสูงมักๆๆ แบบนี้นะสนุกแล้วละ ตาลุงข้างบ้าน ตาลุงหนู๋ เตรียมพร้อม

 

ลุงๆเอาเถาสมุนไพรมาร้อยมาผูกนี่แน่นหนานะครับ แถมยังได้กลิ่นไอของตัวยาแก้ลมอีกต่างหาก ผมว่ามัน classic มากๆเลยนะ ลองดูๆ ไม่ลองไม่รู้...

ลุงอ.จ.กูรูน้องนู๋จำแม่นครับ เจอปิดตาสังฆาฏินี่ไม่ได้เลยจริงๆ กล่าวขานกันมากๆ วันหนึ่งจะกลายเป็นตำนาน ว่าแล้วโชว์ซะ กรุเนปาล...

 

(good)ตาลุงเพชร ตาลุงหนู๋ ที่ถามว่าแรงไหม?นะ ที่ตาลุงเพชรถือไปวันนั้นสามองค์นั่นนะ มีหนึ่งองค์ที่พกติดตัวแล้วละ เชิญไปได้เวลาลงตัวพอดี ไม่ธรรมดานะ เหมาะสำหรับเวลานี้มากๆ

 

ที่ลุงให้ข้อ...ผมติดตัวตลอดครับ อยู่ในชุดกรุเนปาลนั่นแหละ..หุ..หุ..

 

deeja__aตาลุงเพชร ตาลุงหนู๋ ตาลุงข้างบ้าน นิ้วนางนะผมห้อยเดียวนะตั้งแต่เชิญท่านมา ขอบอก ขอบอกว่า(good) ไม่มีปัญญาที่จะนำองค์ที่ท่านเพชรให้มาห้อย แต่มองๆๆกรอบอยู่ถ้าใส่กรอบได้ต้องนิมนต์ท่านคุ้มครอง ไม่ไหว ไม่ไหว คุณไสย์เต็มบ้านเต็มเมือง ต้องป้องกันตัวเองให้ปลอดภัยไว้ก่อน ก่อนที่จะโดน.....

 

:z5มีเสียงสั่งมา หรือฟ้าลิขิต ก็ไม่รู้ ให้ยูแจ้ง แนะนำว่าท่านใดมี องค์พระอุปคุตก็ให้นิมนต์มาห้อยหรือทำการบูชาและขอบารมีท่านคุ้มครอง ดอกไม้ที่บูชา หาง่ายมากๆๆคือดอกมะลิเท่านั้น ตั้งจิตเป็นที่มั่น นึกถืงท่าน ความดีที่มีอยู่ในตัว ท่านรู้เอง เมื่อไม่ชั่วมากๆๆ ขอให้ท่านคุ้มครอง น่าลองทำดูนะfly_pig

 

ก็ลุงไฟดูดแจ้งแล้วไม่ใช่หรือครับ...s6..s.6.. ท่านใดเชื่อ และมีศรัทธาองค์หลวงปู่พระอุปคุตเถระเจ้า ก็ให้นิมนต์หลวงปู่ท่านขึ้นคอได้แล้วครับ กำลังของหลวงปู่ท่านใหญ่มาก ทั้งปราบมาร บันดาลโชค ครบเครื่องครับ ท่านบอกว่า บุคคลใดที่มีสายใยเชื่อมโยงต่อกันในอดีตชาติจนเวลานี้ก็จะช่วยปกป้องคุ้มกัน อาราธนาหลวงปู่ท่านขึ้นคอคราใดก็รักษาศีล ๕ ให้มั่นคง จะไม่ยอมให้พลาดเลยทีเดียว ทุกวันพระก็ใส่บาตรสวดมนต์ระลึกถึงท่านอย่างสม่ำเสมอ แบบนี้อยู่ในสายตาของหลวงปู่ท่านแน่นอน....

วันนี้ผมได้พบพระกรุฟ้าแดดฯ พิมพ์เล็ก อายุ ๑,๔๐๐ ปี และพระทวารวดีจากแดนใต้ ๒ องค์ เนื้อหาไม่ธรรมดาครับ ใครว่าพระทวารวดีหายาก อยู่ที่ว่า พบแล้วจะทราบหรือไม่ว่าเป็นพระทวารวดี...เฉลี่ยปีละบาท ขนาด ๓ นิ้วเศษ....

 

.


คำบอกเล่าจากอดีตนักโทษประหาร กับชีวิตที่ถูกจองจำ

​

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Youtube.com โพสต์โดย DuangAesthetic

เราคงได้ยินข่าวในช่วงที่ผ่านมาว่า รัฐบาลเดินหน้าเอาจริงเอาจริงกับการปราบปรามยาเสพติด ทำให้ขบวนการค้ายาเสพติดถูกเจ้าหน้าที่จับกุมได้เป็นจำนวนมาก และจุดจบของผู้ค้ายาเสพติดก็คือการที่ต้องมีชีวิตที่ถูกพันธนาการอยู่ภายในเรือนจำ ขณะที่อีกหลายคนถูกพิพากษาให้รับโทษประหาร

รายการตีสิบ เมื่อคืนวันอังคารที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา ได้บุกไปถึงเรือนจำกลางบางขวาง เพื่อนำเสนอเรื่องราวของสังคมภายในคุกที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อน โดยแขกรับเชิญของรายการตีสิบในเทปนี้ เป็นอดีตนักโทษประหาร 3 คน ที่ต้องคดียาเสพติดทั้งสิ้น และยินยอมให้เปิดเผยใบหน้า พร้อมเล่าถึงบรรยากาศและความรู้สึกของคนที่กำลังจะตายภายในเรือนจำให้คนภายนอกได้รับรู้

​

คนแรก คือ "สวงค์" กระทำความผิดในข้อหาร่วมค้ายาเสพติด (ฝ่ายเก็บเงิน) และถูกตัดสินประหารชีวิต แต่ได้รับพระราชทานอภัยโทษมา 4 ครั้ง จึงเหลือโทษจำคุก 29 ปี 7 เดือน ปัจจุบันเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม สวงค์ บอกว่า ที่ยินยอมเปิดเผยใบหน้า เพราะต้องการให้คนภายนอกที่คิดจะกระทำความผิดได้รับรู้ถึงสังคมภายในคุก จะได้ไม่กล้ากระทำความผิด

คนที่ 2 คือ "เดชา" กระทำความผิดข้อหาขนยาเสพติดข้ามชาติ ได้รับโทษเด็ดขาดประหารชีวิต แต่เดชาก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษ จึงเหลือโทษจำคุก 43 ปี ปัจจุบันเป็นนักโทษชั้นดีมาก เดชา บอกว่า ที่ยอมเปิดเผยใบหน้า เพื่อต้องให้การครอบครัวได้เห็นหน้า เนื่องจากไม่ได้เจอหน้ากันมานานเป็นสิบปีแล้ว

และคนสุดท้าย เป็นชาวเขาเผ่าลีซอ ชื่อ "ลาวจ้าง" เขาเป็นหัวหน้าขบวนการค้ายาเสพติด เครือข่ายขุนส่า ซึ่งได้รับโทษประหารชีวิตเช่นกัน ปัจจุบันเป็นนักโทษชั้นกลาง แต่เพิ่งได้รับการปลดโซ่ตรวนเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

​

ลาวจ้าง เล่าว่า ที่ยอมเปิดใจครั้งนี้ เพื่อต้องการให้คนตระหนักถึงโทษของยาเสพติด และชีวิตของเขาก็จะเป็นอุทาหรณ์ให้กับลูก ๆ หลาน ๆ ได้รู้ว่า หากยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด จุดจบก็คือการได้รับโทษภายในคุก อย่างเช่นเขาที่ใช้ชีวิตอยู่ในคุกมาแล้ว 12 ปี โดยมีโซ่ตรวนหนักราว ๆ 3 กิโลกรัม และเชื่อมต่อกัน ผูกติดอยู่ที่ขาทั้งสองข้างตลอด 24 ชั่วโมง อันเป็นสัญลักษณ์ที่หมายถึง นักโทษคนนี้ต้องโทษประหารชีวิต และกำลังนับถอยหลังถึงวันพิพากษา

อดีตนักโทษประหารทั้งสามคน เล่าถึงความรู้สึกที่รู้ว่าตัวเองต้องรับโทษประหาร ก่อนจะได้รับพระราชทานอภัยโทษภายหลังว่า มันเป็นความรู้สึกที่มืดมน มองไม่เห็นอะไรในวันนี้และข้างหน้า เหมือนกับการใช้ชีวิตให้ผ่านพ้นไปวัน ๆ เพราะไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าตัวเองจะต้องจบชีวิตลงในวันไหน โดยเฉพาะหากวันไหนที่นักโทษต้องขึ้นตึกเร็วขึ้น บรรยากาศในหมู่นักโทษวันนั้นจะเงียบ วังเวง หลอนไปตาม ๆ กัน เพราะรู้แล้วว่าในช่วงเย็น ๆ ราว 4 โมง จะต้องมีใครสักคน หรืออาจจะเป็นตัวเองก็เป็นได้ ที่จะต้องถูกควบคุมตัวออกไปยังห้องประหารชีวิต และไม่มีวันจะได้กลับมา

​

เดชา เล่าว่า ความรู้สึกแบบนั้นมันเป็นความรู้สึกที่ต้องประสบเองถึงจะสัมผัสความทรมานได้ เพราะขนาดผู้ต้องขังบางคนที่ยังไม่ถึงกำหนดประหารชีวิต แต่เพื่อนที่เพิ่งนั่งทานข้าวอยู่ด้วยกันดี ๆ กลับถูกพาตัวออกไปประหาร ผู้ต้องขังคนนั้นก็ถึงกับช็อกจนเป็นอัมพาตมาถึงทุกวันนี้ ซึ่งนี่คือความรู้สึกที่น่ากลัวซึ่งเกิดขึ้นกับสภาพจิตใจของนักโทษประหาร เพราะทุกคนจะต้องกดดันทุกครั้ง เมื่อได้ยินเสียง "แก๊ก" ที่ผู้คุมจะเข้ามาพาคนออกไปห้องประหารชีวิต

ส่วน สวงค์ บอกว่า สำหรับคนที่ถูกประหารก็แค่เดินจากไปเท่านั้น แต่คนที่รอการประหารมีความทุกข์ทรมานยิ่งกว่า เพราะทุกคนจะต้องกดดันทุกครั้ง และหากใครยังไม่ถึงคิว ก็ต้องถูกบีบหัวใจแบบนี้ไปตลอดระยะเวลาที่อยู่ในเรือนจำ จนทำให้นักโทษประหารหลายคนต้องเข้าตรวจสุขภาพจิตอยู่เรื่อย ๆ

สำหรับนักโทษประหารชีวิตที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในแดนสนธยาที่ไร้อิสรภาพแห่งนี้แรก ๆ ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองใหม่ทุกอย่าง แม้กระทั่งการใช้ชีวิตประจำวัน อย่างการใส่กางเกง ถอดกางเกง ทั้ง ๆ ที่มีโซ่ล่ามขาทั้งสองข้างอยู่ ก็ต้องฝึกฝนและหัดเอาเอง รวมทั้งการเดินการวิ่งที่ไม่คล่องตัวเหมือนเดิมอีกต่อไป แต่หากวันใดที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษให้พ้นจากโทษประหารชีวิต คน ๆ นั้น จะถูกปลดโซ่ตรวนภายใน 90 วัน และก็เปรียบเสมือนเป็นการเกิดใหม่อีกครั้ง เพราะอย่างน้อยก็รู้แล้วว่า เราจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไป

แม้ว่าบรรยากาศในเรือนจำจะไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่นัก เพราะต้องอยู่กับความเครียด และบีบคั้นหลาย ๆ อย่าง แต่นักโทษหลายคนที่ได้เข้ามาอยู่ในดินแดนแห่งนี้เป็นเวลานาน ก็ได้ค้นพบสัจธรรมในชีวิต โดยเฉพาะเรื่องความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก เพราะที่ผ่านมา คนส่วนใหญ่ที่มาเยี่ยมนักโทษประหารก็คือ พ่อแม่วัยแก่เฒ่า และญาติพี่น้อง ขณะที่หลายคนยังไม่เคยพบหน้าภรรยาอีกเลยนับแต่วันที่ก้าวเข้ามาในคุก

​

อย่างเช่น สวงค์ ที่บอกว่า ภรรยาทิ้งเขาไปหลังจากเขาถูกตัดสินโทษประหาร และมีแต่พ่อแม่ญาติพี่น้องเท่านั้นที่มาเยี่ยม ส่วนพ่อที่ตอนนี้อายุ 74 ปีแล้ว ก็บอกเขาว่า ตอนนี้พยายามจะวิ่งทุกวัน และเลิกดื่มเหล้า เลิกสูบบุหรี่อย่างสิ้นเชิง เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง จะได้มีชีวิตอยู่รอทันเห็นวันที่เขาออกจากเรือนจำ และนั่นก็ยิ่งทำให้เขารู้ซึ้งถึงความรักของครอบครัวมากขึ้น

ขณะที่ เดชา ก็บอกว่า เขาได้ค้นพบสัจธรรมเรื่องความรักที่มีต่อครอบครัวเช่นกัน โดยตอนที่เขาติดคุกนั้น เขามีลูกสาวอายุ 4 ขวบ แต่เขาไม่เคยให้ลูกสาววัย 4 ขวบ เข้ามาเยี่ยมเขาเลยสักครั้งเดียว และให้ญาติ ๆ ช่วยกันปิดบังเรื่องที่เขาติดคุกไว้ไม่ให้ลูกรู้ เพราะไม่อยากให้ลูกมีภาพความทรงจำที่ต้องเจอพ่อผ่านลูกกรง จนถึงปัจจุบัน ลูกสาวของเขาอายุ 16 ปีแล้ว ซึ่งโตเป็นผู้ใหญ่พอที่จะสามารถรับเรื่องราวต่าง ๆ ได้ เขาจึงตัดสินใจโทรศัพท์บอกเรื่องนี้กับลูก ซึ่งวินาทีที่ลูกสาวรับรู้ก็มีเสียงสะอื้นมาตามสาย และบอกว่าไม่เสียใจที่มีเขาเป็นพ่อ

อย่างไรก็ตาม หลังจากการคุยโทรศัพท์ครั้งนั้น เดชา ก็ยังไม่ได้คุยกับลูกสาวอีกเลย ซึ่งเขาก็กำลังใจจดใจจ่อรอที่จะได้พบลูกในวันพบญาติในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า และเตรียมปรับความเข้าใจกับลูกสาว พร้อมกับฝากคำเตือนไปยังลูกสาวว่า อยากให้ลูกใช้สติอยู่ในสังคม เพราะสังคมภายนอกมีอันตรายอยู่มาก และอย่าทำพลาดเหมือนที่พ่อเคยทำมาแล้ว นอกจากนั้น เดชาก็บอกว่า ยังไม่เคยเจอหน้าแม่เลยสักครั้งเช่นกัน ตั้งแต่ที่เข้ามาอยู่ในคุก มีแต่เขียนจดหมายส่งไปให้ จึงได้เอ่ยปากขอโทษที่ไม่ได้ดูแลแม่ให้ดีผ่านรายการตีสิบ

ขณะที่ลาวจ้าง บอกว่า ชีวิตที่ผ่านมา เขาเคยใช้ชีวิตอย่างราชา จับเงินเป็นสิบล้าน ร้อยล้าน แต่เมื่อถูกจับ ทุกสิ่งทุกอย่างก็หายไปหมด กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว ส่วนภรรยาก็ขอแยกทาง ซึ่งเขาก็เข้าใจดี เพราะเขาเป็นคนที่ไม่มีอนาคต และช่วงแรก ๆ ที่เจอเหตุการณ์เช่นนี้ ก็เหมือนกับฟ้าผ่าเปรี้ยงกลางใจ ทำให้เขามีอาการทางจิต ต้องกินยาแก้เครียด ยาลดความซึมเศร้า ยานอนหลับ เพื่อไม่ให้มีอาการหวาดระแวง เพราะแม้แต่ฝันก็ยังฝันร้ายว่า เพื่อนถูกพาไปประหารบ้าง เพื่อนผูกคอตายในห้องน้ำบ้าง และก็มีหลายคนที่ทนสภาพแบบนี้ไม่ไหว แอบสะสมยาไว้ฆ่าตัวตายบ้างก็มี

​

ในตอนท้าย ทั้งสามคนก็ขอฝากแง่คิดไปยังคนภายนอกที่กำลังยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด หรือคิดจะยุ่งเกี่ยว ว่า หากเป็นไปได้อย่าไปยุ่งกับยาเสพติดเลย เพราะที่ผ่านมาพวกเขาต้องประสบกับความสูญเสียหลายอย่างที่ไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้เลย ทั้งสูญเสียเวลา สูญเสียครอบครัว สูญเสียอิสรภาพ หรือลองนึกภาพดูว่า หากขังตัวเองอยู่ในห้องสัก 2 วัน จะสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่มีอิสรภาพได้หรือไม่

"หากคนภายนอกไม่ได้สัมผัสความรู้สึกตรงนี้ ก็คงไม่เข้าใจและไม่รู้จริง ๆ ว่ามันทรมานขนาดไหน ไม่รู้จะอธิบายยังไง มันเหมือนกับคนถูกน้ำร้อนลวก ถ้าไม่โดนเองก็ไม่รู้ว่ามันเจ็บปวดขนาดไหน และหากวันใดที่ได้ออกไปจากตรงนี้แล้ว ก็คงจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอีกแน่นอน เพราะเข็ดแล้ว"

​

และนี่ก็คือการเปิดใจของอดีตนักโทษประหาร ซึ่งพัวพันกับคดีค้ายาเสพติดแทบทั้งสิ้น หวังว่า เรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอุทาหรณ์ให้คนที่กำลังเดินทางผิดได้กลับตัวกลับใจ ก่อนที่จะต้องกลายเป็นคนไร้อิสรภาพที่กว่าจะสำนึกได้ว่าตัวเองทำผิดพลั้งไปมันก็สายไปเสียแล้ว

<EMBED src=http://www.youtube.com/v/U_aKONb5NaE?version=3&hl=th_TH width=420 height=315 type=application/x-shockwave-flash></EMBED>


<EMBED src=http://www.youtube.com/v/UkOaKpgVsfQ?version=3&hl=th_TH width=420 height=315 type=application/x-shockwave-flash></EMBED>


<EMBED src=http://www.youtube.com/v/Uqu3XTxtbMA?version=3&hl=th_TH width=420 height=315 type=application/x-shockwave-flash></EMBED>


<EMBED src=http://www.youtube.com/v/stgS5RianFs?version=3&hl=th_TH width=420 height=315 type=application/x-shockwave-flash></EMBED>


<EMBED src=http://www.youtube.com/v/abVgWnf0joU?version=3&hl=th_TH width=420 height=315 type=application/x-shockwave-flash></EMBED>


<EMBED src=http://www.youtube.com/v/TLLvbKo2pxU?version=3&hl=th_TH width=420 height=315 type=application/x-shockwave-flash></EMBED>
​

-http://hilight.kapook.com/view/68707-

.

 

พระสมเด็จวังหน้า.....แบบนี้เคยเห็นกันหรือเปล่า....

 

(f)จบข่าวจากผู้มีอุปการคุณ(น้องหนุ่ม)ขอบคุ้ณๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

 

.


ขอขอบคุณพี่สิทธิพร และผู้ช่วยเหลือทุกๆท่าน

ผมได้รับ CD มาเรียบร้อยแล้ว

ผมกำลังจะรวมรวมองค์ความรู้ต่างๆ (เป็นบางส่วน) มามอบให้กับสมาชิกชมรมพระวังหน้า

แต่ว่า จะมอบให้ฟรี หรือ มอบให้โดยมีเงื่อนไข ขอเวลาพิจารณาอีกครั้ง

รับรองว่า จุใจจริงๆ เท่าที่ผมเห็น

vb vb


.------------

<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->:::เพชร:::<!-- google_ad_section_end -->

-http://palungjit.org/threads/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้.22445/page-2521-

#50410
คราวนี้นำภาพๆหนึ่งในนิตยสารรายเดือน "ศักดิ์สิทธิ์" ปีที่ ๑๙ ฉบับที่ ๔๕๒ วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๔ มาให้ชมกัน ก่อนผมจะมารู้จักลุงหนุ่มน้อย กระทู้พระวังหน้าที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก และพี่ๆน้องๆเพื่อนๆชาวพระวังหน้าด้วยซ้ำไป พระเทพปริยัติวิธานเป็นผู้ใด ลอง search หากันเองนะครับ ท่านมอบอะไรก็ลองส่องกันดู ..."พระสมเด็จฯ ของหลวงปู่สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี)" ขนาดใหญ่ ๑ ใน ๓ องค์ ซึ่งกรุแตกที่ "วัดพระแก้ว"....

พระชั้นผู้ใหญ่ระดับเจ้าคณะจังหวัด จะทุศีลมอบของหลอกลวงผู้คนหรือ?? ระหว่างเสี้ยนพระที่หากินกับการขายพระเครื่อง กับพระสงฆ์ระดับเจ้าอาวาสมีชื่อเสียง คุณๆจะเชื่อผู้ใดก็คิดเอาครับ

อยากให้ผู้สะสมพระวังหน้า วังหลวงได้เก็บเอกสารต่างๆที่ผม post นี้ เป็นหลักฐานเอาไว้อ้างอิง"ความมีอยู่ ความมีจริงของพระวังหน้า วังหลวง"กันนะครับ ส่วนจะแท้ หรือเทียมก็ต้องไปว่ากันอีกที ยังมีอีกหลาย shots ใครว่าไม่จริงก็แล้วไป หลักฐานหลายอย่างปรากฎอยู่โทนโท่ ก็ยังไม่เห็นมีผู้ใดมาหักล้างข้อมูลผมได้ซักคน ผมให้ชื่อ และตัวตนของพระสงฆ์องคเจ้าทั้งพระอาจารย์ณรงค์ วัดภูค่าว หรือพระเทพปริยัติวิธาน เจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์ ไปสอบถามให้หายสงสัยกัน แต่อย่าไปรบกวนเวลาปฏิบัติธรรมของท่านละกัน ให้ติดต่อผ่านเลขาฯของท่านอีกทีจะดีกว่า...



-http://palungjit.org/threads/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้.22445/page-2521-

<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->:::เพชร:::

ไหนๆก็มาเผยกันขนาดนี้เอาอีกซักที่ก้ได้ ไปหาชมที่"พิพิธภัณฑ์วัดพระธาตุศรีจอมทอง จ.เชียงใหม่"กันได้ครับ พระพิมพ์ใหญ่ขนาดนี้ประดิษฐานอยู่ในตู้ ผมนำมาอ้างอิงแต่ละที่ล้วนเป็นวัดทั้งสิ้น พูดกับฆราวาสอย่างกลุ่มผมอาจจะไม่สนิทใจที่จะเชื่อ ก็ไปสอบถามเจ้าอาวาสที่วัดกันทั้ง ๓ แห่งนั่นแหละ...

กระซิบบอกกันครับว่า บางทีคุณๆที่เป็นเสี้ยนพระที่บอกว่า"พระหน้าวัง" "พระพิมพ์ที่ไม่มีในสารบบ" "พระพิมพ์ที่ปั้นแต่งเรื่องขึ้นมา" อาจจะเคยไปที่วัดนี้มาก่อน และอาจจะเผลอไปกราบ"พระวังหน้า"ที่เคยเผลอเข้าใจผิดไปว่า"พระหน้าวัง"เข้าให้แล้วก็ได้นะครับ หุ...หุ...<!-- google_ad_section_end -->




-------------

<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->:::เพชร:::
นำมาวางไว้ที่เดียวกัน เพื่อให้เพื่อนได้ชมกันถนัดตาว่า ของจริงหรือไม่ เลยนำสิ่งที่ผมเห็นกับตา ๒ ข้างที่วัดภูค่าวที่เกริ่นไปข้างต้นมาให้ชมกัน แล้วหากมีโอกาสเดินทางกลับบ้านกลับช่อง ไปเที่ยวแถบนั้น จะเสียเวลาซักครั้งในชีวิตไปกราบพระอาจารย์ณรงค์ และชมพิพิธภัณฑ์ของทางวัดก็จะเป็นการดี เห็นกับตา สอบถามกับปากจะได้มั่นใจในข้อมูล ไม่อ้ำอึ้งเมื่อถูกเสี้ยนพระที่ซักเสียงดัง...

ภาพชุดนี้ผมไปถ่ายกับมือมาเมื่อราวปีพ.ศ. ๒๕๔๘ post ให้ชมไปไม่น้อยกว่า ๑๐ หนแล้วครับ




























-http://palungjit.org/threads/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้.22445/page-2521-

.
<!-- google_ad_section_end -->

 

:z2บุคคลพวกนี้ร้ายเหลือ เหลือร้าย เช่นตาลุงเพชร นายกวง ตาลุงไฟดูดหรือไฟสูบ ตาลุงข้างบ้าน ป้าสองพันปี เหล่านี้เป็นต้น ถ้าผมเจอตำรวจ จะแจ้งตำรวจว่าคนร้ายเหลืออยู่ที่นี่นะท่าน โดยเฉพาะนายกวง ช่างกล้านะ...อิอิอิ(y)

 

(||)นี่นะนายหนุ่ม กติกา เงื่อนไข ขอให้จัดใหญ่ๆๆ จัดหนักๆๆ จัดให้คักๆๆ จัดให้งงๆๆไปเลยนะน้อง พี่ขอมาได้มิ ได้มิ:love:

 

dannce_ผมว่านะ วันหลังไปหลอกอีตาลุงไฟสูบกันดีกว่า นะลุงเพชร เราไปขอดูพระปิดตาวังหน้าอย่างเดียว ผมเห็นนะแกมีเกือบห้า..หกสิบพิมพ์ แล้วเราถ่ายรูปเก็บไว้ แกจำไม่ได้หมดนะพอแกลืมๆๆเราก็ยิ้มละซิ ตาลุงข้างบ้านก็เช่นกัน มีมาก แกฝากธนาคารไว้(มิน่าละธนาคารถึงรวยจัง) ถามถึงพระอะไรแกตอบได้หมด มันน่าไหม?ละ

 

ตอนไปดูทอผ้าก็เตรียมไปด้วยละกัน ดูทอผ้าเสร็จก็ดูพระปิดตากัน ตาลุงข้างบ้านเขาแน่จริง รู้ไปทุกอย่าง ได้มีโอกาสคุยด้วย ถึงรู้ว่า ที่ลุงเขารู้ทุกอย่างไม่ใช่อะไรหรอก สมัยหนึ่งลุงเขาถูกคนปรามาสหนัก ลุงเขาเลยฮึดพยายาม ไม่ได้"ไม่ได้" ไม่ได้"ต้องได้" ซุ่มฝึกวิชาทั้งเนื้อดิน เนื้อชิน เนื้อปูนสอ ฯลฯ ที่สำคัญพระกรุสำคัญๆ อย่างกรุวัดประยูรฯ วัดราชบูรณะ วัดสามปลื้ม ฯลฯ หรือกระทั่งกรุฮอด ก็ได้จากปากหลุมก่อนส่งเข้าพิพิธภัณฑ์ส่วนหนึ่ง ว่ากันองค์หนึ่งก็เกือบครึ่งแสนก็มี ลุงเขาบอกว่า "แค่ขอดูเนื้อเท่านั้น" ลุงลองคิดดูเอานะครับ เนื้อชั้นครูของพิพิธภัณฑ์ลุงเขาเห็นมากับตาแบบนั้นผ่านตา ผ่านมือ ทุกวัน ทำไมลุงเขาจะไม่ทราบว่า พระที่วงการสะสมกัน เนื้อหาเป็นยังไง แล้วเนื้อหาที่ถูกต้องจริงๆเป็นยังไง แน่นอนว่า ของในพิพิธภัณฑ์ วงการยังไม่รู้จัก และไม่มียังอีกมากมาย ลุงเขายิงนกทีเดียวได้ ๒ ตัว นอกจากได้รู้เห็นเนื้อชั้นครูแล้ว ลุงเขายังมีตัวอย่างที่ลุงเขาบอก"แค่ขอดูเนื้อ" มิน่า... ลุงเขาถึงบอกว่า มีแต่ในพิพิธภัณฑ์เท่านั้น ทีนี้ลุงยังจะเข้าใจว่า พระที่ลุงเขาได้มาน่ะ โคตรแพงหรือไม่ครับ เสียเงินครึ่งแสน แต่คุยได้ทุกวันเท่าที่อยากคุย ให้ดูเท่าที่อยากให้ดู เงินทางโลกครึ่งแสนแลกกับความรู้ทางโลก และทางธรรมของแท้ และยังได้ของแท้เนื้อเดียวกับพิพิธภัณฑ์ในครอบครองอีกต่างหาก(แม่เจ้า!!! ขนาดเฝ้าพระพิมพ์จากปากหลุมก่อนส่งเข้าพิพิธภัณฑ์ แบบนี้หายสงสัยกันหรือยัง..)

คำว่า"แค่ขอดูเนื้อ" แล้วได้ความรู้ทั้งทางโลก และทางธรรมนี่ ก็เพราะว่าสามารถสืบเสาะประวัติศาสตร์การเผยแผ่ธรรมะมายังดินแดนสุวรรณภูมิผ่านศิลปะของพระพิมพ์ เขาเรียกว่ายังเหลือร่องรอย หรือเค้าลางของประวัติศาสตร์เอาไว้ให้ศึกษาได้บ้าง พูดแบบนี้อาจจะไม่เห็นภาพ เอาไว้ผมจะยกตัวอย่างหนึ่งผ่านพระพิมพ์ของลุงไฟดูดให้เห็นครับ จะได้ตาสว่างกันซะที แต่เชื่อไม๊ครับ ต่อให้บอกขนาดนั้น เอามาให้ดูขนาดนั้น ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี การนำเอามาตีแผ่กันให้เห็นจะๆ ผลดีคือ คุณๆได้เห็นกันทันทีมันง่ายเกินไปครับ แต่ผลเสียคือ การไม่เคยใส่ความพยายามในการศึกษาอย่างหนัก ก็จะไม่เข้าใจในทันทีได้ เพราะอะไรหรือ? ก็เพราะกว่าที่เขาจะได้ความรู้แท้จริงแบบนี้มา เขาลงทุนขนาดหนักครับทั้งเงินทอง เวลา และการสืบค้นหาข้อมูลทุกรูปแบบ แต่หากลงทุน ลงแรงไม่เท่าเขาก็อย่ามาคุย และรีบด่วนสรุปว่า "ไม่มี" เพราะของที่"ไม่รู้ว่ามี" ยังมีมากกกว่าของที่"รู้ว่ามี" ทำนองใบไม้กำมือเดียวนั่นแหละครับ...

ตาลุงข้างบ้านกว่าจะเก่งขนาดนั้น ก็ด้วยหนังสือปู่เล่มละ ๓๐๐,๐๐๐ นั่นแหละ หนังสือปู่อย่าอ่านผ่านๆ มันไม่ใช่นิตยสารรายปักษ์ หรือข่าวซุบซิบซุป'ตา ข่าวลือ ให้ข่าวแล้วมาตามแก้ในฉบับต่อไป แต่นั่นคือ ประมวลความรู้ขั้นเทพ เหนือเสี้ยนมากมายหลายๆๆๆขุมs ผมเคยบอกไปแล้วว่า ความรู้ปู่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทุกกระบวนท่า ไร้รูป ไร้รอย พบเหตุการณ์เฉพาะหน้าก็เอาตัวรอดได้ด้วยความรู้ปู่นี่แหละครับ ไม่ใช่ใสซื่อทื่อตามตำรา แถมจำไม่ได้อีกต่างหาก การถ่ายทอดความรู้ของปู่ก็เป็นไปแบบธรรมชาติมาก และมีสาระมากมาย ไม่ใช่แบบหนังสือพระทั่วไปที่เราเห็นกันเกลื่อน มีรูปให้ดู มีทำขยายใหญ่ให้ดูตำหนิ ทรงพิมพ์ ตำราปู่มีความรู้มากกว่านั้นมากมาย ความรู้แบบนี้ ๓๐๐,๐๐๐ ยังน้อยไป...

 

เช้านี้ติดธุระ เลยนำภาพพระสมเด็จที่ลุงไฟดูดบอกว่า อยากให้ลองชม พระสมเด็จ ๘๐ ล้าน