เปิดตำนานหลวงพ่อทิม วัดละหารไร่

"""""""""""""""""""""""""""""
ผมก็เป็นบ่อย ๆ ครับ

 

โอ่...พิมพ์หัวโต มาใหม่ เนื้อแน่นๆ เต็มๆ สุดยอดครับ ดีใจด้วยที่ได้ของดี..........({)

 

สวยงามมากครับ
พี่ว่า ก่อนนำไปคล้องคอ..น่าจะเคลือบเนื้อพระสักหน่อยนะครับ ..ป้องกันเนื้อกระเทาะ และ ความชื้นเข้าองค์พระจพทำให้เนื้อพระราน (ระเบิดจากด้านในครับ)

 

กราบหลวงปู่ทิม
สวัสดียามเย็น อ.แก้วสว่าง
สวัสดียามเย็น คุณโต้ง คุณรัก น้าต๋อย คุณเสือ น้องนอ และทุกท่าน

คุณโต้ง...ชูชก สวยจัง (อยากมีมั้ง)​

 

อะไรขาวๆหรือครับ ไม่เห็นอะไรนอกจาก สวัสดียามเย็นของวันศุกร์ คาดว่ารถน่าจะติดมากๆๆ วันนี้ ขอให้เดินทางปลอดภัยนะครับ

 

ขอบใจมาก..น้องนอ
พี่ไม่เกรงใจนะครับ...เอาขาวๆมาฝากพี่
ที่อยู่...เดี๋ยว พี่ส่งไปให้นะครับ
คริคริ

 

ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ

พระพิมพ์สมเด็จ..ที่รักผมบอกว่าสวยงามครับ และฝากขอบคุณมากด้วยครับ
แต่มีเงื่อนไขว่า ..ให้ผมหาจีวรสวยๆ..สีเหลืองทองอร่าม..ห่มให้ด้วยซิครับ...งานเข้า 555

 

ขอบ้านเลยที่ด้วยครับ ซองพัสดุ พึ่งถูกตีกลับมา

 

ขอนอกเรื่องครับ ฉากโบเก้ด้านหลังใช้ไฟอะไรครับพี่ สวยมาก

 

สูตรนี้ น่าจะใช่กระดาษฟลอยด์สีทอง สะท้อนกับแสง
แล้วใช้ระยะของเลนส์ละลายฉากหลังเอานะครับ เลยมองเหมือนดวงไฟ
จริงๆ ถ่ายมาโครหลังก็เบลอเช่นนี้ละครับ เพราะระยะเลนส์ไกลกว่าระยะวัตถุ
ผิดถูกอย่างไร ให้ท่านนอร์มาเฉลย เพราะกระผม มือสมัครเล่น...

 

หลวงปู่ทิม อิสริโก...........

 

ขลังมากกกกกกดดดดด(^___^)

 

น้ากับคุณนอระดับโปรแล้ว ถ่ายแต่ละรอบงามๆทั้งนั้น

 

ขอบคุณครับพี่

บางทีลองถ่ายเล่นๆมันไม่เป็นดวงๆ ซักที สงสัยความยาวโฟกัสไม่พอ
ผมใช้เลนส์ kit 18-55

 

พอครับ ถ้าใช้ในระดับมาโคร (2.5 cm) น่าจะบิดซูมไปสัก 40 - 50
แต่ถ้าถ่ายบุคคคล ต้องซูมเยอะๆ หน่อย ลองๆ ดูครับ ว่าฉากหลังจะละลายไหม
ผมอธิบายไม่ค่อยเก่ง.....

 

เป็นเทคนิกมือสมัครเล่นอย่างผม...ตามที่น้าต๋อยอธิบายไว้เลยคร้าบบบบ
ผมอาศัยเน้นมาโครเยอะๆแล้วยิงแสงแฟรชให้ไปกระทบกระดาษวาวๆด้านหลังขององค์พระอ่ะครับ...(^__^)....จริงๆอยากโปรแบบหลายๆท่านบ้าง,แต่ไม่มีอุปกรณ์กล่องไฟ+กระจกอ่ะครับบ..แหะๆ

 

กล้องผม500D ก็ใช้เลนส์kitที่ติดมากับกล้องเลยอะครับบบ....ลองฝึกถ่ายเล่นๆบ่อยๆแล้วจะค่นพบเอกลักษณ์ประจำตัวครับบบ...เอาใจช่วยยย(^__^)

 

กราบหลวงปูทิม
สวัสดีครับอาจารย์แก้วสว่าง และเพื่อนๆ ขอให้สุขภาพแข็งแรงทุกท่านครับ เข้ามาตามอ่านตลอดครับ

 

<link rel="File-List" href="file:///C:%5CUsers%5CASUS%5CAppData%5CLocal%5CTemp%5Cmsohtml1%5C01%5Cclip_filelist.xml"><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <wunctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <wontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><style> <!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Angsana New"; panose-1:2 2 6 3 5 4 5 2 3 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:-2130706429 0 0 0 65537 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Angsana New";} @page Section1 {size:595.3pt 841.9pt; margin:72.0pt 90.0pt 72.0pt 90.0pt; mso-header-margin:35.4pt; mso-footer-margin:35.4pt; mso-paper-source:0;} div.Section1 {page:Section1;} --> </style><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot]ครับช้างเผือกที่เกจิอาจารย์ท่านได้กล่าวไว้ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงการที่ได้ร่ำเรียนรู้และศึกษาฝึกฝนวิชาอาคมต่างๆจนสามารถทำได้จนสำเร็จ และก็มีจิตกุศลที่ดีที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและมีความต้องการปรารถนาที่จะให้มีความหลุดพ้นจากกิเลสในทุกๆสิ่งทั้งหลายทั้งปวงหรือในสิ่งที่เป็นอกุศลมูลต่างๆได้ ซึ่งหลวงปู่ทิม อิสริโก แห่งวัดละหารไร่ท่านก็เปรียบได้เสมือนกับช้างเผือกที่อยู่ในป่าที่ไม่ยอมออกมาให้ผู้คนได้รับรู้หรือเห็นได้หรือเป็นการโฆษณากล่าวขานให้เป็นที่เลื่องลือกัน ซึ่งของดีนั้นก็ย่อมรู้ได้กันเอง โดยเฉพาะการที่หลวงปู่ทิมท่านได้ไปศึกษาและเรียนรู้เรื่องการทำปลัดขิกกับหลวงพ่ออี๋ ซึ่งอาจด้วยความขยัญและความุ่งมั่นปรารถนาที่จะต้องการเรียนรู้อย่างจริงจังได้ ซึ่งก็ทำให้ครูบาอาจารย์ท่านได้เห็นถึงความขยัญหมั่นเพียรจนมาประสบเป็นผลสำเร็จได้ โดยเฉพาะการใช้อำนาจิตในระดับอภิญญานั้นซึ่งเป็นการใช้สมาธิในขั้นสูงนั้น ในตำนานเก่าของเมืองระยองเคยกล่าวกันไว้เป็นที่เลื่องลือกันว่า ในยุคสมัยก่อนนั้นเมืองระยองเป็นแหล่งกำเนิดเกจิชื่อดังต่างๆมากมายที่มีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวขานกัน ซึ่งจะนับกันมาตั้งแต่ในยุคสมัยของหลวงปู่สังข์เฒ่าซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดของเกจิอาจารย์ที่เริ่มกล่าวขานกันมา ซึ่งจากนั้นก็น่าจะเป็นยุคของหลวงพ่อทอง แห่งวัดน้ำคอกเก่าและหลวงพ่อกราด แห่งวัดซากกอไผ่ ซึ่งถือว่าเป็นเกจิในยุคแรกเริ่มที่มีชื่อเสียงกันจนมาถึงยุคของหลวงพ่อวงษ์ แห่งวัดบ้านค่าย ที่ท่านมีชื่อเสียงที่โด่งดังมากในยุคกาลสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่โดยเฉพาะเรื่องน้ำมนต์รักษาคนบ้านั้นเป็นที่เลื่องลือกันมาก ซึ่งต่อมาน่าจะเป็นยุคของหลวงพ่อโต แห่งวัดเขาบ่อทองซึ่งท่านจะมีชื่อเสียงมากสมัยนั้นท่านจะมีชื่อเสียงพร้อมๆกับหลวงพ่อสอด แห่งวัดปากน้ำระยองโดยเฉพาะตะกรุดที่ท่านสร้างจากใบลานโดยต้องระเบิดลงไปทำในใต้น้ำซึ่งปัจจุบันนี้หาได้ยากมากแต่หลวงพ่อสอดท่านจะดังอยู่ในพื้นที่และกลุ่มพวกเรือประมงต่างๆ ซึ่งพอหลังจากนั้นก็มีเกจิชื่อดังต่างๆในยุคสมัยเดียวกันอย่างอาทิเช่น หลวงพ่อทาบ แห่งวัดกระบกขึ้นผึ้ง หลวงพ่อหิน วัดหนองสนม หลวงพ่อทัต วัดห้วงหิน หลวงพ่อเพ่ง วัดละหารใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเริ่มเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นซึ่งเป็นที่กล่าวขานกัน จนมาถึงยุคของหลวงพ่อทิม แห่งวัดละหารไร่ ซึ่งท่านมีชื่อเสียงมานานและเป็นเกจิอาจารย์ในยุคสมัยเดียวกัน แต่หลวงปู่ทิมท่านจะดังเงียบๆอยู่ในพื้นที่และหมู่บ้านใกล้เคียง ซึ่งท่านจะไม่ค่อยจะยินดีกับชื่อเสียงต่างๆ แต่ก็ด้วยวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัด อาคมที่เข้มขลังและจิตที่แน่วแน่ทำให้ท่านเริ่มมีชื่อเสียงและเป็นที่กล่าวขานกันมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งเราจะเห็นว่าการสร้างปลัดขิกให้มีความขลังและมีความเชื่อมั่นกันถึงอำนาจของพุทธคุณนั้น ซึ่งเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงกันนับตั้งแต่หลวงพ่อขริก แห่งวัดสาวชะโงกซึ่งอาจจะนับว่าเป็นเกจิอาจารย์ที่เป็นต้นกำเนิดของการสร้างปลัดขิก และในยุคต่อมาเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงที่โด่งดังและเป็นที่ร่ำลือถึงความมหัศจรรย์ของปลัดขิกได้ก็คือหลวงพ่อเหลือ แห่งวัดสาวชะโงก และหลวงพ่ออี๋แห่งวัดสัตหีบ ซึ่งปัจจุบันนั้นเป็นที่นิยมกันมากในหมู่ที่นิยมเครื่องราง ซึ่งด้วยจากประสบการณ์จากการที่ได้นำไปใช้ โดยพุทธคุณของปลัดขิกนั้นมีอานุภาพทางด้านแคล้วคลาด คงกระพัน และเมตตามหานิยมนั้นเป็นเลิศ ยิ่งคนในยุคสมัยก่อนนั้นจะนิยมเอาปลัดขิกนั้นฝนทาเป็นยาซึ่งเมื่อโดนแมงป่องหรือตะขาบกัดหรือสัตว์มีพิษต่างๆได้ และเป็นที่กล่าวกันว่าปลัดขิกนั้นสามารถนำมาทำน้ำมนต์คลอดลูกได้และยังสามารถทำน้ำมนต์แก้คุณต่างๆได้ ซึ่งเราจะเห็นว่าอานุภาพของปลัดขิกสามารถมีพุทธคุณที่ครอบจักรวาลได้ เมื่อปลัดขิกนั้นสามารถเสกให้ถูกต้องตามตำราโบราณที่ได้บันทึกหรือสืบทอดกันมา และเกจิอาจารย์ต่างๆในเมืองระยองนั้นการสร้างปลัดขิกที่มีชื่อเสียงและเป็นที่เสาะหากันมากคงจะไม่มีองค์ใดที่จะเกินไปกว่าหลวงปู่ทิม แห่งวัดละหารไร่ด้วยการที่ท่านได้หมั่นฝึกฝนและเรียนรู้จากหลวงพ่ออี๋ แห่งวัดสัตหีบและหลวงพ่อเหลือ แห่งวัดสาวชะโงก และสามารถฝึกฝนจนสามารถประสบเป็นผลสำเร็จได้ จนหลวงพ่ออี๋ท่านได้กล่าวกับหลวงพ่อวงษ์แห่งวัดบ้านค่ายว่าเมืองระยองเขาก็มีช้างเผือกเหมือนกันนะ ซึ่งช้างเผือกที่ว่านี้ก็คือหลวงปู่ทิม แห่งวัดละหารไร่นั่นเองซึ่งเป็นตำนานที่ได้กล่าวขานกันเรื่อยมา และในการนี้ผมได้นำปลัดขิกของหลวงปู่ทิมที่ท่านได้ปลุกเสกไว้เมื่อในยุคแรกๆ มาให้ทุกท่านได้ชมกันครับ<o></o>[/FONT]