กิเลส กรรม วิบาก ในการปฏิบัติ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิษณุ12, 20 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
     
  2. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
     
  3. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    <CENTER>ทานสูตร
    </CENTER>[๔๙] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ฝั่งสระโบกขรณีชื่อคัคครา
    ใกล้จัมปานคร ครั้งนั้นแล อุบาสกชาวเมืองจัมปามากด้วยกัน เข้าไปหาท่าน
    พระสารีบุตรถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าว
    กะท่านพระสารีบุตรว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ธรรมีกถาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มี
    พระภาค พวกกระผมได้ฟังมานานแล้ว ขอได้โปรดเถิด พวกกระผมพึงได้ฟัง
    ธรรมีกถาของพระผู้มีพระภาค ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
    ถ้าอย่างนั้นท่านทั้งหลายพึงมาในวันอุโบสถ ท่านทั้งหลายพึงได้ฟังธรรมีกถาใน
    สำนักพระผู้มีพระภาคแน่นอน อุบาสกชาวเมืองจัมปารับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว
    ลุกจากที่นั่ง อภิวาทกระทำประทักษิณแล้วหลีกไป ต่อมา ถึงวันอุโบสถ อุบาสก
    ชาวเมืองจัมปาพากันเข้าไปหาพระสารีบุตรถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควร
    ข้างหนึ่ง ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรพร้อมด้วยอุบาสกชาวเมืองจัมปา เข้าไป
    เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ครั้น
    แล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทานเช่นนั้นนั่นแล
    ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก พึงมีหรือหนอแล
    และทานเช่นนั้นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
    พึงมีหรือพระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสารีบุตร ทานเช่นนั้นนั่นแล
    ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก พึงมี และทาน
    เช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก พึงมี ฯ
    สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ทาน
    เช่นนั้นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก
    อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนใน
    โลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ
    พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังให้ทาน มีจิต
    ผูกพันในผลให้ทานมุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้
    เสวยผลทานนี้ เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่อง
    ลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์ ดูกร
    สารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ พึงให้ทาน
    เห็นปานนี้หรือ ฯ
    สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทาน มีจิต
    ผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่าตายไปแล้วจักได้
    เสวยผลทานนี้ เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย
    แห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราช สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่
    แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ดูกรสารีบุตร ส่วนบุคคลบางคน
    ในโลกนี้ ไม่มีหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน
    ไม่คิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แล้วให้ทาน แต่ให้ทานด้วยคิดว่า
    ทานเป็นการดี เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม
    เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์แก่สมณะหรือพราหมณ์
    ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้พึงให้ทาน
    เห็นปานนี้หรือ ฯ
    สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มี
    จิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไป
    แล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี เขาผู้นั้นให้ทาน
    นั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ เขาสิ้น
    กรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่
    ความเป็นอย่างนี้ ฯ
    ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า
    ทานเป็นการดี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราก็
    ไม่ควรทำให้เสียประเพณี เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย
    แห่งเทวดาชั้นยามา เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว
    ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ
    ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดา
    มารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี แต่ให้ทานด้วย
    คิดว่า เราหุงหากิน สมณะและพราหมณ์เหล่านี้ ไม่หุงหากิน เราหุงหากินได้
    จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหาไม่สมควร เขาให้ทาน คือ ข้าว
    ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิต เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ
    หมดความเป็นใหญ่ แล้วยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ
    ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า
    เราหุงหากินได้ สมณะและพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้ เราหุงหากินได้ จะ
    ไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร แต่ให้ทานด้วย
    คิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี
    วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี
    วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี บูชามหายัญ ฉะนั้น เขาให้ทาน คือ
    ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดี เขาสิ้นกรรม สิ้น
    ฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ
    ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เรา
    จักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี ฯลฯ
    และภคุฤาษี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิด
    ความปลื้มใจและโสมนัส เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย
    แห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็น
    ใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ
    ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อ
    เราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็น
    เครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม
    เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์
    ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ พึงให้
    ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ
    สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลผู้ไม่มีความหวังให้ทาน
    ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เรา
    ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า การให้ทานเป็นการดี
    ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสีย
    ประเพณี ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้
    หุงหากินไม่ได้ จะไม่ให้ทานแก่ผู้ที่หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร ไม่ได้ให้ทานด้วย
    คิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี
    วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาช-
    *ฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี ผู้บูชามหายัญ ฉะนั้น และไม่ได้
    ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตจะเลื่อมใส จะเกิดความปลื้มใจและ
    โสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไป
    ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ
    หมดความเป็นใหญ่แล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ดูกร
    สารีบุตร นี้แลเหตุปัจจัย เป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้
    ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก และเป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบาง
    คนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ



    <CENTER></CENTER><CENTER>จบสูตรที่ ๙
    </CENTER>

    เจ้าเก่า เจ่ขวัญ

    สีแดงนั้นเรียกว่า การหวังผล การหวังผลเรียกว่า กิเลสได้หรือไม่เจ้าเก่า

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 กุมภาพันธ์ 2012
  4. สูญเปล่า

    สูญเปล่า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +0
    นักปฏิบัติต้องแบ่งกิเลสแบ่งเราครับ
    ต้องรู้ว่าอะไรคือกิเลสอะไรคือเรา
    กิเลสมันหวงไม่อยากทำบุญเราฝืนทำบุญ
    มันอยากทำ 5 บาท เราทำ 10 บาท
    ฝืนทรมานกิเลส

    เดินจงกรมไม่ถึงชั่วโมงกิเลสมันเหนื่อยอยากพัก
    เราไม่พักเดินต่อให้ครบ 4 ชั่วโมงอย่างที่ตั้งใจ
    มีความเพียรเป็นเครื่องเผาผลาญกิเลสอย่างนี้ครับ

    ฝึกหัดไปบ่อยๆ ธรรมจะมีกำลังเราจะเป็นธรรม
    ตั้งหน้าตั้งตาต่อสู้กิเลสตลอดเวลา
    สติก็มีกำลังเป็นเงาตามตัวครับ

    ใหม่ ๆ จะเหมือนหลวงตาว่า
    หือ กิเลสมันทำเราหงายหมา เพราะกิเลสมีกำลังมากกว่า
    ต่อมาเรามีกำลังขึ้น
    หือ กิเลสมึงก็มีท้องเหมือนกันเหรอ ชกท้องกิเลสได้ดัง ๆ ล่ะครับ
     
  5. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    กุศลเหตุให้เกิด กุศล เช่น?

    กุศลเหตุให้เกิด อกุศล เช่น?

    อกุศลเหตุให้เกิด อกุศล เช่น?

    อกุศลเหตุให้เกิด กุศล เช่น?

    ได้เป่า เจ้าเก่ากำลังสอง^^

    เดี๋ยวมานะ ไปแบ่งรายได้กระจ่ายสู่ชุมชนก่อน^^
     
  6. ต้นปลาย

    ต้นปลาย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    629
    ค่าพลัง:
    +69
    การอยากอธิบายธรรม ให้คนอื่นเข้าใจได้ถูกทางเป็นกิเลส ระดับไหนครับ
     
  7. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    วิจัยเองบ้างสิค๊าบ
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2012
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ถ้าอธิบาย เพราะใจรักการอธิบาย ชอบทำ ก็เรียกว่า มีฉันทะ
    ไม่ได้ทำเพราะกิเลสความอยาก คนที่ฉันทะในการงาน จะทำเพราะ
    มีแรงบันดาลใจ ไม่ได้หวังอะไร ทำเพราะรักที่จะทำแบบนั้น

    แต่ถ้าอยากอธิบายธรรมเกิดจากกิเลส มันมีทุกข์ตามมาเพราะกิเลสตัวเหตุ
    เช่นโมหะ หลงตัวเองคิดว่ารู้ก็อยากอธิบายอยากแสดงออกถึงความรู้ในตัว อยากอวดตัว
    โลภะ อธิบายเพราะอยากได้บุญแห่งธรรมทาน
    โทสะ เพราะเก็บกดความไม่รู้ อยากพิสูจน์ความรู้ตัวเอง
    พวกที่อธิบายเพราะกิเลส ยิ่งทำยิ่งมึนยิ่งหลง เพราะจะสติจะเกิดน้อยลงไปเรื่อยๆ
    ถูกโลภะโมหะโทสะครอบงำจิตแทน จากเริ่มต้นเหมือนจะดี ลงท้ายจะกลายเป็น
    ดำน้ำหรือทะเลาะกับคนที่เห็นต่างจนไปอีก หรือไม่ก็ยิ่งอธิบายยิ่งออกทะเล
    เพราะมึนหัว หนัก ไม่แจ่มใส คิดไรๆ ไม่ออก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2012
  10. วันเบาๆ

    วันเบาๆ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2012
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +2
    ทฤษฏีเยอะ ปริยัติแยะ ไม่ได้ช่วยอะไรนะ

    ช่วยอยู่อ่ยาง ช่วยไห้รู้สึกว่าภูมิใจ ใจฟู

    ใจฟูนี่ก็วิปัสสนูกิเลสนะครับ

    ได้ธรรมะมาแล้ว ปฏิบัติด้วย

    สิง่ที่ต้องการอยู่ตรงนี้ ผลอยู่อยู่ตรงนนี้

    ใจเบา ใจใส ใจไม่ขุ่นมัวไหม

    ในเวลา24ชั่วโมง

    ลงสังเกตดูว่า ใจเรา

    มีสิ่งที่มากระทบ พอกระเทือนแล้ว

    ละได้เเร็วแค่ไหน วางได้มากน้อยเท่าไหร่

    ปริยัติ เป็นแค่สัญญา

    แต่การปฏิบัติเป็นของจริง
     
  11. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    สมมุติ ว่า อ่านบอร์ดแล้ว
    ก็หันมองใจตัวเอง

    เช่น อ่านคำพิมพ์คำนั้นคำนี้ แล้วใจเกิด ยินดี เกิดยินร้าย
    แล้วฝึกทำสติรู้ตามความยินดี ยินร้ายที่เกิดกับใจตน
    เป็นประจำทุกวัน ในการอ่านบอร์ด

    อันนี้เรียกว่าการปฏิบัติธรมได้อ่ะป่าวพี่
     
  12. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    สติปัฏฐาน ๔ สู้ว๊อย
     
  13. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    การหวังผลเป็นกิเลสดิ เข้าข่ายโลภะมูลจิต

    โลภะนี้เป็น กิเลส เจ่ก็ยอมรับอ่ะนะ
    แสดงว่า กิเลสก็เป็นปัจจัยให้ไปสุคติ ได้ ถูกมั๊ย

    ทีนี้ จิตที่มีโลภะ มีตัวนำ ก็เรียกว่า โลภะมูลจิต

    จิตมีโลภะเป็นตัวผสมโรง แต่ผลกลับได้คือ กุศลอานิสงส์ไปสุคติ
    ทีนี้ จะเรียกว่า ทำทานแบบนี้ขาดสติได้หรือไม่
    หากเรียกว่าขาดสติ แต่ก็มีผลของกุศลจากทานที่ให้ไปยังสุคติ
    เจ่ว่าไง


    สำหรับเรื่อง อะไรติดใจผมก็นำเสนอในการพิมพ์นี่ล่ะ
    คิดว่า มีเหตุมีผลอะไรก็พิจารณาเอา ก็เพียงนำมาคิด
    หาเรื่องถามตอบไปเรื่อยๆ
    วันไหนเจ่อารมณ์อยากพิมพ์ก็พิมพ์ อารมณ์บ่จอยก็บ่ว่าไร

    สำหรับเรื่องสะสมนี่
    ต้องไปตั้งอีกกระทู้เพราะต้องแจกแจงยาวเฟื้อยเลย หุหุ


    กิเลส(โลภะ)
    กรรม(กระทำทานด้วยหวังผล)
    วิบาก(ไปเสวยผลสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา)
     
  14. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    กล้ายกมาตัวอย่างมา ก็ต้องกล้าวิจัยในการตอบซิคร๊าบ

    กลัวหรา

    กลัวให้รู้ว่ากลัว มีประโยชน์นะ^^
     
  15. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    .......นานาจิตตัง..!
     
  16. วันเบาๆ

    วันเบาๆ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2012
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +2
    ผมคิดว่าได้นะครับ

    มีแต่ได้กับได้

    อ่านทุกวัน แล้วอ่านอย่างมีสติ

    สุดยอดครับ

    สตินี่

    ถ้าเปรียบดังรอยเท้า

    ทุกรอยเท้า

    จมลงหายไปอยู่ในสติหมดละ

    ยิ่งถ้าเจริญจนเป็นมหาสตินี่ สุดยอดเลยครับ
     
  17. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ทำบุญ สร้างกุศล ที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา

    ทีจิตคิดทำบุญ กุศลก็เกิดแล้ว

    แต่ขณะทำ คิด คิด คิด รวมๆแล้ว คือ ก็คือเป็นกุศลไม่มีปัญญาเกิดร่วม

    แต่ขณะทำ คิด ลงทุนน้อย หวังผลมาก คือ โลภะที่ทำอยู่
     
  18. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    นานาจิตตัง
     
  19. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    แปลว่า จิตไม่เที่ยงหรือ
     
  20. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ทีนี้ แม้เราจะอ่านปริยัติ หรือจะสนทนานำเสนอปริยัติ ถามตอบ

    อะไรก็ตาม เราก็ฝึกได้ถูกไหมครับ

    ปัญหามันมีอยู่ว่า เราจะไปรู้กับเขาคนอื่นหรือไม่ว่า เขากำลังฝึกอยู่
    หรือไม่ฝึกอยู่ ถูกไหม
     

แชร์หน้านี้

Loading...