พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    เป็นเรื่อง!ขึ้นเงินเดือนบรรจุใหม่ 15,000 แล้วคนเก่าๆแก่ๆไม่ได้อะไร "มีชัย"บอกเขาทำตามหาเสียงแล้ว!

    [​IMG]



    นายอักษร บุตรโคตร ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางกล่ำ ได้ตั้งคำถามเรื่องครม.ขึ้นเงินเดือน ป.ตรี 15,000บาท ข้าราชการบรรจุใหม่ ข้าราชการทำงานเกิน 10 ปี ไม่มีปรับฐานเงินเดือน มายังนายมีชัย ฤชุพันธุ์ กรรมการกฤษฎีกาและอดีตประธานวุฒิสภา


    ปลัดอบต. ถามเรื่องครม.ขึ้นเงินเดือน ป.ตรี 15,000บาท ข้าราชการบรรจุใหม่ ข้าราชการทำงานเกิน 10 ปี ไม่มีปรับฐานเงินเดือน ท่านอาจารย์มีชัย มีข้อคิดเห็นประเด็นนี้อย่างไรครับ

    ก่อนอื่น ก็ขอแสดงความยินดีด้วยที่ข้าราชการบรรจุใหม่ วุฒิป.ตรีได้เงินเดือน 15,000.บาท(รวมค่าครองชีพ)


    ข้อ1. เรื่องครม.ขึ้นเงินเดือน ป.ตรี 15,000บาท ข้าราชการบรรจุใหม่ ข้าราชการทำงานเกิน 10 ปี ไม่มีปรับฐานเงินเดือน ท่านอาจารย์มีชัย มีข้อคิดเห็นประเด็นนี้อย่างไรครับ..?

    ข้อ2. ข้าราชการที่ทำงานเกิน 10 ปี ไม่ได้รับอานิสงค์ เรื่องขึ้นเงินเดือน+ค่าครองชีพ ตามมติครม.ครั้งนี้เลย ครับ น่าจะไม่เป็นธรรม นะครับ ท่านอาจารย์มีชัย ว่าไหมครับ ...?


    (ข้าราชการผู้ได้ผลกระทบในประเด็นนี้ 1.ข้าราชการพลเรือน ที่ทำงานเกิน10ปี น่าจะประมาณ 1 ล้านคน และข้าราชการส่วนท้องถิ่น กทม.พัทยา,อบจ,เทศบาล และอบต. ที่มีรวมประมาณ 8,000 แห่ง จะนวนที่ได้รับผลกระทบ ประมาณ 50,000คน) โดยรัฐบาลชอบอ้างว่า ปรับโครงสร้างเงินเดือนข้าราชการ 1.5 หมื่นบาทต่อเดือนให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล


    ผมทำงานราชการส่วนท้องถิ่น ตำแหน่งปลัดอบต.รับราชการเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2540 เงินเดือน 6,360 บาท ทำงาน 10 ปี 1 ต.ค 2549 ได้เงินเดือน 15,170 บาท ปัจจุบันเงินเดือน 23,080 บาท(15ปี) กว่าจะได้เงินเดือน หนึ่งหมื่นห้า ต้องสิบปี ครับ เรื่องค่าใช้จ่าย หรือครับ ค่าน้ำมันรถ เดือนละประมาณ ห้าพันบาทผ่อนบ้าน+รถยนต์ เหลือเงินใช้จ่าย ไม่ถึงแปดพันต่อเดือนครับ และคิดว่าข้าราชการหลายๆๆท่านก็คงไม่แตกต่างกันครับ


    ข้อ3.ท่านอาจารย์ ครับ จะมีวิธีได ให้ข้าราชการทำงาน คนเก่าๆๆ+แก่ๆๆ 10 ปีขึ้นไปได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นมาบ้างครับ

    (ในเมื่อ ก.พ หรือ ก.พ.ร ที่ดูแลเรื่องเงินเดือนข้าราชการ น่าจะรู้เรื่องดีกับไม่ทำน่าที่แทนข้าราชการ )


    ข้อที่4. กระผมมีความคิดเห็นในเรื่องนี้ มีวิธีแก้ 2 ประเด็น ครับ คือ


    4.1.ปรับฐานเงินเดือนข้าราชการ เพิ่ม ปีละ 10 % เป็นเวลา 3 ปี โดยเท่าเทียมกัน พร้อมมติครม.เรื่องนี้


    4.2 ให้เงินค่าครองชีพ(ค่าประสบการณ์ทำงาน) ดังนี้


    -กรณีที่1.ข้าราชการบรรจุใหม่มีวุฒิต่ำกว่าป.ตรี เงินเดือน+ค่าครองชีพ ตามนโยบายรัฐบาลหาเสียงเงินเดือน 9,000 บาท(เฉลี่ยวันละ 300 บาท) เพื่อความแตกต่างกับข้าราชการเดิม ก็ให้ค่าประสบการข้าราชการที่ทำงานเดิมปีละ 300 บาทแต่ไม่เกินสิบปี 3,000บาท เช่น ทำงานมา 5ปี เงินเดือน 10,200บาท เมื่อรวมค่าประสบการณ์ 5 ปีปีละ300 ก็เท่ากับ(1,500บาท)รับเงินเดือนละ11,700บาท


    -กรณีที่2. วุฒิป.ตรี บรรจุใหม่เงินเดือน+ค่าครองชีพ 15,000บาท เฉลี่ยวันละ 500 บาท ตามนโยบายรัฐๆหาเสียง ข้าราชการเก่าก็ให้ค่าประสบการณืปีละ 500บาท แต่ไม่เกินสิบปี(5,000บาท) เช่นผม ทำงานมา 15 ปี ปัจจุบันเงินเดือน 23,080 บาท ค่าประสบการณ์ปีละ 500 บาท เกินสิบปีรับ 5,000 บาท รวมรับเงินเดือนเดือนละ 28,080บาทต่อเดือน เป็นต้น



    นายอักษร บุตรโคตร ให้ข้อมูลมติครม. 31 มกราคม 2555 ประกอบดังนี้

    ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 31 มกราคม ได้เห็นชอบกฎ ก.พ.ว่าด้วยเรื่องการรับเงินเดือนข้าราชการ พ.ศ. .... เพื่อปรับโครงสร้างเงินเดือนข้าราชการ 1.5 หมื่นบาทต่อเดือนให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2555

    สำหรับโครงสร้างเงินเดือนข้าราชการใหม่จะเป็นดังนี้


    ในปีที่ 1 ข้าราชการวุฒิ ปวช.จะมีเงินเดือนขั้นต่ำ 7,620 บาท ขั้นสูง 8,080 บาท ในปีที่ 2 จะปรับเพิ่มเป็นเงินเดือนขั้นต่ำ 9,000 บาท อัตราขั้นสูง 9,900 บาท, ข้าราชการวุฒิ ปวส.ในปีที่ 1 จะมีเงินเดือนขั้นต่ำ 9,300 บาท ขั้นสูง 9,860 บาท ปีที่ 2 จะปรับเพิ่มเป็นเงินเดือนขั้นต่ำ 10,500 บาท ขั้นสูง 11,550 บาท, ข้าราชการวุฒิ ป.ตรี ในปีที่ 1 จะมีเงินเดือนขั้นต่ำ 11,680 บาท ขั้นสูง 12,390 บาท ในปีที่ 2 จะปรับเพิ่มเป็นเงินเดือนขั้นต่ำ 15,000 บาท ขั้นสูง 16,500 บาท


    ส่วนข้าราชการวุฒิ ป.โท จะมีเงินเดือนขั้นต่ำในปีที่ 1 จำนวน 15,300 บาท ขั้นสูง 16,220 บาท และในปีที่ 2 จะมีเงินเดือนขั้นต่ำ 17,500 บาท และขั้นสูง 19,250 บาท


    ทั้งนี้ เมื่อคำนวณจากฐานเงินเดือนปัจจุบันของข้าราชการวุฒิ ป.ตรี ที่รับอยู่จำนวน 9,140 บาท กับฐานเงินเดือนขั้นต่ำที่จะถูกปรับเพิ่มในปีที่ 2 เท่ากับว่า เงินเดือนจะได้ปรับขึ้นถึง 64% ส่วนวุฒิ ป.โท จะปรับขึ้น 45% จากฐานเงินเดือนปัจจุบัน 12,000 บาท และ วุฒิ ป.เอก ปรับขึ้น 24% จากฐานปัจจุบัน 17,000 บาท อย่างไรก็ตาม การปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบ 2 ครั้งดังกล่าว ให้มีผลใช้บังคับพร้อมกับการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุในปีที่ 1


    และปีที่ 2 ตามบัญชีเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนสามัญ โดยปรับเงินเดือนชดเชยให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายผู้เข้ารับราชการในตำแหน่งระดับแรกบรรจุ ก่อนวันที่มาตรการนี้มีผลบังคับอย่างน้อย 10 ปี ผลจากการปรับเงินเดือนชดเชย จะต้องไม่ทำให้ผู้ซึ่งเคยได้รับเงินเดือนสูงกว่า กลายเป็นผู้ได้รับเงินเดือนต่ำกว่าผู้ดำรงตำแหน่งในประเภทและระดับเดียวกัน ที่บรรจุในวุฒิเดียวกัน


    นายมีชัยตอบคำถามว่า


    1. ไม่มีความเห็นหรอกครับ เพราะรัฐบาลก็บอกตรง ๆ ว่าเป็นการปรับตามนโยบายที่หาเสียงไว้ ตอนหาเสียงเขาก็บอกอยู่แล้วว่าจะปรับให้ปริญญาตรีได้ ๑๕,๐๐๐ บาท คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ติดใจว่า แล้วคนที่ทำงานอยู่เก่าจะทำอย่างไร ทุกคนพอใจที่คนจบปริญญาตรีได้ ๑๕,๐๐๐ บัดนี้รัฐบาลก็ทำตามสัญญาแล้ว จะไปว่าอะไรได้เล่า ต่อไปเวลาใครเขาหาเสียงถ้าไม่แน่ใจอย่างไรก็ต้องถามเขาเสียให้ถ่องแท้ อย่าไปนึกเอาเองว่า แล้วเขาจะขึ้นให้เป็นลูกระนาด

    2. เมื่อเงินเดือนเกิน ๑๕,๐๐๐ แล้ว ก็ถูกต้องตรงตามนโยบายที่หาเสียงแล้ว


    3. ก.พ. กับ ก.พ.ร. เขาก็ต้องทำตามนโยบายของรัฐบาล เมื่อรัฐบาลมีนโยบายเพียงเท่านี้ เขาจะไปทำให้เกินนโยบายได้อย่างไร เพราะรัฐบาลเป็นคนอนุมัติงบประมาณ


    4. ข้อเสนอของคุณก็ดีอยู่ แต่ใครจะขึ้นให้ล่ะ แล้วจะเอาเงินที่ไหน คงต้องรอไปอีก ๓ ปีกว่า เลือกตั้งคราวหน้า ก็ถามไถ่เสียให้ละเอียดก่อนจะลงคะแนนเลือกใคร

    ข้าราชการน่ะยังดี ถึงอย่างไรถ้าเงินเดือนไม่ถึง ๑๕,๐๐๐ ก็ได้ขึ้นกันทั่วหน้า แต่พนักงานของมหาวิทยาลัยนี่สิ รัฐบาลท่านบอกว่าไม่ขัดข้องที่จะปรับให้ แต่ให้ไปหาเงินเอาเอง

    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1328326314&grpid=&catid=02&subcatid=0202-

    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border:1px inset"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nongnooo [​IMG]
    ยังโหวงอยู่ ปล่าวอ่ะครับ ตาลุงข้างบ้านฝากมาโชว์ ลุง อ.เพชร โดยเฉพาะครับ ปีละ่ไม่ถึง 20ตังค์ มือผีปล่าวครับ ดีปล่าวแรง ปล่าวครับ

    [​IMG]

    </td> </tr> </tbody></table>

    อ่า ตอนบ่ายๆ ลุง อ.เพชร โทร.มาหาผม

    คงมีแว่วๆไป แบบว่า สามเหลี่ยม

    ตกลงว่า ที่แว่วๆไป ดีป่าวครับ แรงป่าวครับ vb vb

    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    “พิมพ์-แชท-คลิกหนัก”พักบริหารข้อมือ

    วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 00:00 น.


    [​IMG]



    “เมื่อยนิ้ว ข้อมือ บางครั้งปวดร้าวขึ้นไปที่แขน” เป็นหนึ่งอาการพบบ่อยในหมู่หนุ่มสาวยุคไอที ยามใช้งานสารพัดเครื่องมือสื่อสารรวมทั้งคอมพิวเตอร์นานเป็นประจำ การพิมพ์ จิ้ม กด อย่างเมามันส์ในลักษณะเกร็งนาน ๆ (ทั้งที่รู้ และไม่รู้ตัว) เป็นสาเหตุสำคัญนำมาซึ่งปัญหาดังกล่าว ดังนั้น เพื่อ 10 นิ้ว ทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ จึงต้องหมั่นถนอมด้วยการ “คลายเส้น” เป็นระยะ

    เริ่มจาก คว่ำมือ เหยียดแขน และข้อศอกไปข้างหน้า จากนั้น ใช้มืออีกข้างจับเฉพาะส่วนฝ่ามืองอเข้าหาตัว ค้างไว้ประมาณ 10-15 วินาที สลับกับการให้เหยียดแขน และข้อศอกไปข้างหน้าในลักษณะหงาย จากนั้น ใช้มืออีกข้างจับฝ่ามือที่หงายให้งอเข้าหาตัว ค้างไว้ประมาณ 10-15 วินาทีเช่นกัน จนรู้สึกตึงบริเวณข้อมือ และแขน

    ต่อด้วย การงอนิ้วมือโดยให้ปลายนิ้วแตะบริเวณโคนนิ้วช้า ๆ แล้วค่อย ๆ คลายออกให้นิ้วเหยียดตรง ทำประมาณ 15-20 ครั้ง

    และ ทำมือจีบ โดยใช้นิ้วหัวแม่มือแตะกับนิ้วชี้ นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วกลาง นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วนาง และนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วก้อย จีบสลับกันเป็นลำดับ ทำประมาณ 1-2 นาที

    จบด้วย การประสานมือยืดแขนไปด้านหน้าเต็มที่ จากนั้น ยกแขน 2 ข้างขึ้น มือประสานไว้เหนือศีรษะ ยืดแขนเหนือศีรษะเต็มที่เช่นกัน โดยให้ข้อศอกตึง ค้างไว้นับ 1-10 ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง

    ทุกท่าให้บริหารสลับทั้งซ้าย และขวา ด้วยแรงที่นุ่มนวลพอเหมาะ พร้อมหายใจเข้า-ออกช้า ๆ จะช่วยลดความเมื่อยล้า ตึงตัวของเส้นเอ็นแขน ข้อมือ และนิ้ว ทั้งยังกระตุ้นระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อให้พร้อมทำงานด้วย.

    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์



    -http://www.dailynews.co.th/citizen/10347-

    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    นิทานสอนใจ : ผมอยากได้รองเท้า <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" valign="middle" align="left">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" valign="middle" align="left">5 กุมภาพันธ์ 2555 09:26 น.</td></tr></tbody></table>

    มีครอบครัวเล็ก ๆ ครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ในกระท่อมปลายนา พ่อแม่มีอาชีพทำนา ส่วนลูกชายคนเดียวอายุสิบขวบเรียนอยู่ที่โรงเรียนใกล้บ้าน มาระยะหลังฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ข้าวในนาก็ไม่ออกรวงสวยเหมือนแต่ก่อนและพากันล้มตายไปเป็นจำนวนมาก พ่อกับแม่ก็เห็นว่า ถ้าดันทุรังอยู่ต่อไปคงได้อดตายกันทั้งสามคน และลูกก็ไม่ได้เรียนหนังสือ พวกเขาจึงตัดสินใจพาลูกชายอพยพเข้าไปอยู่ในเมืองและหางานทำ แต่งานก็หายากเต็มที ในที่สุดทั้งสองก็ใช้เงินที่พอมีติดตัวไม่มากลงทุนค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้เงินมาเท่าไรก็เก็บไว้เพื่อใช้เป็นทุนการศึกษาของลูกชายจนหมด

    โรงเรียนในเมืองต่างจากโรงเรียนในชนบทลิบลับ นอกจากค่าเทอมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีกจิปาถะที่มีมากกว่าแล้ว เด็กนักเรียนในเมืองยังมีอุปกรณ์การศึกษาครบครัน และมีชุดนักเรียนขาว ๆ ใส่กันอีกด้วย ลูกชายชาวนานั้นเมื่อครั้งยังเรียนอยู่ในโรงเรียนชนบทก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่อง นี้ เพราะเด็ก ๆ ส่วนใหญ่ที่นั่นต่างเดินเท้าเปล่าไปโรงเรียน ชุดนักเรียนเก่าแค่ไหนก็ใส่ได้ ไม่อายเพื่อน แต่สำหรับโรงเรียนในเมืองแล้ว ความขาดแคลนถือเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้น

    วันหนึ่งลูกชายกลับมาที่ห้องเช่าเล็ก ๆ และบ่นกับพ่อแม่ว่า ไม่อยากไปโรงเรียนอีกแล้ว

    "ทำไมล่ะลูก" ผู้เป็นแม่ถามด้วยความตกใจ เพราะการศึกษาคือสมบัติยั่งยืนอย่างเดียวที่แม่ผู้ขาดแคลนอย่างนางจะหามาให้ ลูกได้ ขอเพียงลูกตั้งใจเรียนเท่านั้นนางก็ไม่เหนื่อยเลย

    "ผมอายเพื่อน" ลูกชายบอก "เพื่อน ๆ ที่โรงเรียนใส่ชุดนักเรียนสะอาด ๆ ทั้งนั้น แล้วทุกคนก็ใส่ถุงเท้ากับรองเท้ากันหมดเลย มีผมคนเดียวที่ใส่เสื้อเหลืองอ๋อยไปโรงเรียน แถมยังเดินเท้าเปล่าไปอีก เดินไปไหนก็มีแต่คนมอง ผมไม่ชอบเลย"

    "เราไปโรงเรียนเพื่อหาความรู้นะ ไม่ได้ไปประชันชุดสวยกับใคร ลูกไม่น่าจะคิดมาก" ผู้เป็นพ่อติง แต่คนเป็นแม่เข้าใจจิตใจของลูกดี นางหันไปบอกสามีว่า

    "อย่าว่าลูกเลยนะพี่ เราพาลูกมาอยู่ในเมืองเขาก็เห็นเพื่อนมีของใช้ดี ๆ ก็ต้องอยากมีเหมือนคนอื่นบ้างเป็นธรรมดา อันที่จริงชุดนักเรียนของลูกก็เริ่มจะคับแล้ว ถึงลูกไม่พูดฉันก็คิดจะซื้อให้แกใหม่อยู่พอดีน่ะแหละ"

    ผู้เป็นพ่อเงียบไป เขาติดตามและเริ่มเห็นด้วยกับภรรยา ฝ่ายภรรยาเมื่อเห็นสามีไม่ขัดก็หันมาบอกลูกชายว่า "แม่ต้องขายของเก็บเงินอีกสักสองสามวันก่อนนะ แต่ก็คงซื้อชุดนักเรียนชุดใหม่ให้ลูกได้แค่สองชุด ลูกต้องซักและผลัดกันใส่เอาเอง"

    "ได้ครับแม่" ลูกชายรีบรับคำพร้อมกับยิ้มแฉ่ง

    สามวันต่อมา แม่ก็ซื้อชุดนักเรียนชุดใหม่มาให้ลูกชายสองชุด ลูกชายเห็นแล้วดีใจมากถึงกับกระโดดโลดเต้น แต่เขาก็หารองเท้านักเรียนไม่เจอ จึงร้องถามแม่ว่า

    "รองเท้านักเรียนล่ะครับ ถุงเท้าด้วย"

    ผู้เป็นพ่อกุมขมับและร้องขึ้นมาทันที "โอยลูก แกจะเอาอะไรจากพ่อแม่นักหนา แค่เสื้อผ้าสองชุดนั้น เงินเก็บของเราก็แทบจะหมดบ้านอยู่แล้ว นี่พ่อกับแม่ยังไม่รู้เลยว่าจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อของมาขายต่อ"

    "แต่ถ้าไม่มีรองเท้า ผมก็ไม่อยากไปโรงเรียน" เด็กชายหันไปออดอ้อนแม่ "ผมจะเดินได้อย่างไรถ้าไม่มีรองเท้าใส่ไปโรงเรียน แม่ก็รู้ว่าดินในเมืองมันร้อนขนาดไหน"

    "โรงเรียนใกล้แค่นี้ ทนร้อนนิดเดียวไม่เป็นไรหรอกน่า" ผู้เป็นพ่อพูดเสียงแข็ง "ความรู้อยู่ที่รองเท้าหรือไง มันอยู่ที่ความขยันหมั่นเพียรของแกต่างหาก"

    "อย่าดุลูกนักเลยพี่ ลูกกลัวไปหมดแล้ว" แม่ปรามพ่อก่อนจะหันไปพูดกับลูกชายว่า "ลูกเอ๋ย แม่ก็อยากให้ลูกมีเหมือนเพื่อน ๆ นั่นแหละ แต่แม่ไม่มีเงินเหลือแล้วจริง ๆ ลูกอดทนเดินเท้าเปล่าไปโรงเรียนอีกสักพักเถอะนะ"

    เด็กชายปล่อยโฮทันทีเมื่อรู้ว่าจะไม่มีทางได้ใส่รองเท้าไปโรงเรียนเหมือนเด็กคนอื่น ๆ เขานั่งร้องไห้ทั้งคืนจนผล็อยหลับไป

    รุ่งเช้าเด็กชายงอแงจะไม่ไปโรงเรียนเพราะไม่มีรองเท้านักเรียนใส่ เขาเอาแต่พูดว่า "ผมอยากได้รองเท้า...ผมอยากได้รองเท้า" อยู่อย่างนั้น คนเป็นพ่อไม่สนใจเดินไปจัดของใส่รถเข็นเพื่อนำออกขาย แต่คนเป็นแม่สงสารลูกชายจึงเฝ้าปลอบโยน และพูดให้เห็นถึงความสำคัญของการไปโรงเรียน จากนั้นจึงเดินไปส่งลูกที่โรงเรียนด้วยตัวเอง

    เด็กชายออกจากบ้านไม่กี่ก้าวก็ทำหน้าเบ้ "โอย ผมแสบเท้าครับแม่ แม่ดูสิผมไม่มีรองเท้าใส่แล้วผมจะไปโรงเรียนได้อย่างไร" พูดจบก็ร้องไห้ออกมาอีก ผู้เป็นแม่นั้นมีใจสงสารลูกอยู่แล้ว แต่ก็ยังใจแข็งกึ่งจูงกึ่งลากจนพาลูกไปถึงหน้าประตูโรงเรียนจนได้ ลูกชายก็ยังร้องไห้ไม่ยอมหยุด และในตอนนั้นเองที่เขาเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินมาแต่ไกล เด็กคนนั้นต้องใช้ไม้เท้าช่วยเดิน เพราะขาของเขาด้วนไปข้างหนึ่ง เขาเดินด้วยความยากลำบาก แต่ก็ยังพยายามเดินไปเรื่อย ๆ จนผ่านหน้าเด็กชายและแม่ของเขาเข้าไปข้างในโรงเรียน สองแม่ลูกมองเด็กคนนั้นด้วยความตกตะลึง

    "ผมไม่อยากได้รองเท้าแล้ว ครับแม่ แค่มีเท้าสองข้างให้เดินไปไหนได้สะดวกก็เป็นบุญมากแล้ว ต่อไปผมจะไม่ร้องไห้เอาร้องเท้าจากแม่อีก ผมสัญญาครับ" ลูกชายหันไปพูดกับแม่ของเขาในที่สุด

    บทสรุปจากผู้แต่ง

    ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวในชีวิต แต่คงมีหลายครั้งทีเดียวที่เราคิดว่าเราไม่มีในสิ่งที่ควรจะมี ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วเราอาจจะไม่จำเป็นต้องมีสิ้งนั้นไว้เลยก็ได้ แต่ที่เราอยากได้ก็เพราะว่าคนอื่นมี แต่เรายังไม่มีต่างหาก

    ในขณะที่เราเองคิดว่าตัวเองโชคร้าย ไม่มีความพร้อมในเรื่องต่าง ๆ และหมดกำลังใจที่จะทำสิ่งใด เราเคยหันมองคนอื่นบ้างไหม ทำไมเขายังอยู่ได้ ทั้ง ๆ ที่มีน้อยกว่าเราเองเสียอีก ถ้าเราเป็นนักเรียน เราอาจจะหมดกำลังใจไปโรงเรียนเพราะไม่ใช่คนเรียนเก่ง และในโรงเรียนก็สอนแต่วิชาการน่าเบื่อทั้งวัน แต่ในขณะที่เราเองกำลังหาวด้วยความเบื่อหน่ายนั้น เด็ก ๆ อีกมากมายกลับต้องทำงานและถูกเฆี่ยนตีอย่างทารุณอยู่ในโรงงานนรกที่ไหนสัก แห่งหนึ่ง เด็กพวกนี้อยากมีชีวิตอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ แค่ได้รู้จักชีวิตแบบนั้นสักวินาทีก็ยังดี แต่พวกเขาทำไม่ได้เพราะไม่มีโอกาส

    ดังนั้นถ้าเกิดเป็นลูกของพ่อแม่ซึ่งไม่ค่อยซื้ออะไรให้เลย ทำให้ต้องหัวเสียกระฟัดกระเฟียดใส่พ่อแม่อยู่บ่อย ๆ และนินทาว่าท่านตระหนี่เหลือร้าย แต่รู้หรือไม่ว่า เด็ก ๆ อีกหลายคนต้องเกิดมาโดยไม่มีพ่อแม่เป็นของตัวเองด้วยซ้ำ ถ้าคิดว่าบ้านของเราหลังเล็กเกินไป ลองนึกถึงคนที่นอนใต้สะพานดูเถิด เขาพอใจเพียงได้อะไรสักอย่างหนึ่งมากันแดดกันฝนไปวัน ๆ และถ้าเราคิดว่ารถของเราเก่าจนตกรุ่นไปแล้ว คนที่ต้องวิ่งตากฝนอยู่บนถนน คนที่ต้องยืนโหนรถเมล์เป็นชั่วโมง ๆ ลองคิดดูว่า เราโชคดีแค่ไหนกับชีวิตในทุกวันนี้

    ///////////////

    ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา



    -http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000016076-

    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    8 เคล็ดลับเพื่อความสำเร็จในการกล้าที่จะรวย <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" valign="middle" align="left">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" valign="middle" align="left">2 กุมภาพันธ์ 2555 12:14 น.</td></tr></tbody></table>


    ท่าม กลางสังคมที่เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ หลาย ๆ ครอบครัวต้องเผชิญกับสภาวะขึ้น ๆ ลง ๆ ทั้งราคาน้ำมัน รวมไปถึงราคาสินค้าที่มองไปทางไหนก็มีแต่ข้าวของราคาแพง ทำให้ครอบครัวจำนวนไม่น้อยเกิดความหวาดหวั่น และไม่ไว้ใจกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เป็นอยู่

    วันนี้ทีมงาน Life & Family มีหลักคิดดี ๆ เพื่อความสำเร็จในการกล้าที่จะรวยจาก คุณสุวภา เจริญยิ่ง กรรมการ ผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) อีกหนึ่งผู้ทำงานในแวดวงการเงินมากว่า 25 ปี และเจ้าของผลงานสร้างชื่ออย่าง "อายุเท่าไรก็รวยได้ ถ้าใช้เงินเป็น" และ "มีลูกกี่คนก็รวยได้ ถ้าใช้เงินเป็น" มาฝากกัน ส่วนจะมีหลักอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลยครับ

    1. ต้องกล้าที่จะยอมรับว่า ปัจจุบันเราอยู่ในสถานะไหน

    การยอมรับสถานะของตัวเอง และครอบครัวคือตัวควบคุมให้เรารู้จักใช้จ่ายอย่างเหมาะสม เช่น เราเป็นคนเงินเดือนไม่มาก มีภาระต้องเลี้ยงดูพ่อกับแม่ ทำให้การใช้เงินต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี เพราะไม่เช่นนั้นอาจเกิดการติดขัดได้

    2. ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน ทั้งระยะสั้น และระยะยาว

    การตั้งเป้าหมายในระยะสั้นลองมองแบบเป็นรายเดือนดูก่อนก็ได้ว่า เดือนนี้จะต้องเหลือเก็บเท่าไร ส่วนในระยะยาว คือการวางแผนเกษียณไว้เลย เช่น ต้องการมีเงินสักเท่าไรในช่วงเวลานั้น อาจจะ 20 ปี หรือ 30 ปีข้างหน้า เพื่อมาสอดรับกับเป้าหมายรายเดือนของเราว่าจะต้องใช้เครื่องมืออะไรทำให้ เงินงอกเงย แต่กระนั้นไม่ควรตั้งเป้าหมายที่มันยากเกินไป เช่น อยากเก็บเงินเดือนละ 5,000 ทั้ง ๆ ที่ได้เงินเดือน ๆ ละ 15,000 บาท

    3. เริ่มต้นเก็บเงินเดี๋ยวนี้

    ปัจจุบันคนเรามีอายุยืนขึ้น หรือพูดง่าย ๆ คือ แก่ง่ายตายช้า โดยอายุเฉลี่ยของคนไทยเพิ่มขึ้นกว่าในอดีตมาก ผู้ชายไทยมีอายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณ 75 ปี ในขณะที่ผู้หญิงไทยมีแนวโน้มที่อายุยืนถึง 80 ปี ซึ่งอายุที่ยืนยาวขึ้น หมายถึงมีระยะเวลาในการใช้เงินหลังเกษียณเพิ่มขึ้นด้วย ส่งผลให้ต้องเตรียมเงินเพื่อใช้ในการเกษียณเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้น หากไม่เริ่มต้นเก็บเงินตั้งแต่เนิ่น ๆ อาจเกิดปัญหาในการใช้ชีวิตตอนแก่ชราได้ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในชีวิตที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งค่ากิน และค่ารักษาพยาบาล รวมไปถึงขนาดของครอบครัวที่เล็กลง ส่งผลให้ชีวิตในวัยเกษียณของใครหลายคนต้องพึ่งพาตัวเองมากขึ้น

    4. กำหนดเป้าหมายที่ต้องการ และลงในรายละเอียด

    การกำหนดเป้าหมายจะช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างมีทิศทางมากขึ้น และทราบว่าจะทำให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างไร จากนั้นก็ควรเช็กสุขภาพทางการเงินเพื่อสำรวจดูว่าคุณมีหนทางที่จะทำเป้าหมาย ให้เป็นจริงได้มากน้อยแค่ไหน เช่น มีแผนจะนำเงินไปลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงยอะไรบ้าง มีกำหนดระยะเวลาเท่าไร เป็นต้น ส่วนในกรณีที่มีเป้าหมายหลายอย่างในช่วงเวลาเดียวกัน สิ่งที่สำคัญคือ การรู้จักจัดลำดับความสำคัญของแต่ละเป้าหมาย โดยพิจารณาถึงความจำเป็นและเป้าหมายหลักในชีวิตเป็นสำคัญ

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" align="Center"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="400"> <tbody><tr> <td valign="Top" width="400" align="center"> [​IMG] </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td height="5" valign="top" align="center">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> 5. กำจัดอุปสรรค

    การกำจัดอุปสรรคทางการเงินถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งเราต้องรู้จักทำบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างเป็นระบบ เพราะนั่นจะทำให้เรารู้ว่าในแต่ละเดือนเราใช้จ่ายอะไรไปบ้าง และควรจะต้องตัดอะไรที่ไม่จำเป็นออกไปบ้าง

    6. มีวินัย และสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการเก็บออม และทำบัญชีรายรับรายจ่าย

    7. เข้าใจในเรื่องการลงทุนและอัตราผลตอบแทน

    การออม และการลงทุนควรมีความหลากหลาย เพื่อกระจายความเสี่ยงและต่อยอดการออมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เช่น ถ้ามีการออมเดือนละ 10,000 บาท และนำไปลงทุนในอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังเทียบกับจำนวนปี คุณจะเห็นความมหัศจรรย์ของดอกเบี้ยทบต้นและความสม่ำเสมอในการออม คือ แม้จะออมเงินเดือนละ 10,000 บาท แต่ถ้าทำผลตอบแทนได้ในระดับ 15 เปอร์เซ็นต์ในระยะเวลา 3 ปี จะมีเงินเก็บสูงถึงเกือบ 449,830 บาท และถ้ายังออมได้สม่ำเสมอในระยะเวลา 15 ปี คุณจะมีเงินเก็บถึง 6,163,660 บาทเลยทีเดียว

    8. เริ่มต้นก่อนมีชัยไปกว่าครึ่ง

    ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ คือ น้อง ก. ลงทุนปีละ 10,000 บาท ตั้งแต่อายุ 18 ปี ได้ผลตอบแทนปีละ 10% และลงทุนถึงอายุ 30 ปี แล้วปล่อยเงินลงทุนทิ้งไว้ โดยไม่ลงทุนเพิ่มจนอายุ 65 ปี น้องก.จะมีเงินต้น (10,000 บาท X 13 ปี) เท่ากับ 130,000 บาท และจะมีเงินเก็บตอนอายุ 65 ปี เท่ากับ 6,900,000 บาท

    ส่วนพี่ ข.ลงทุนปีละ 20,000 บาท ตั้งแต่อายุ 30 ปี ได้ผลตอบแทนปีละ 10% และลงทุนต่อเนื่องจนอายุถึง 65 ปี พี่ข.จะมีเงินต้น (20,000 บาท X 35 ปี) เท่ากับ 700,000 บาท และจะมีเงินเก็บตอนอายุ 65 ปี เท่ากับ 5,420,000 บาท

    ดังนั้น น้องก.เริ่มต้นลงทุนก่อนย่อมมีชัยไปกว่าพี่ข.อย่างเห็นได้ชัด โดยการลงทุนที่ว่านี้ เป็นการจัดสรรหรือกระจายเงินลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทต่าง ๆ เช่น ลงทุนกับกองทุนรวมตลาดเงิน พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ หรืออื่น ๆ เป็นต้น

    นอกเหนือจาก 8 ข้อในข้างต้นแล้ว เราคงต้องยอมรับในความจริงอีกอย่างหนึ่งว่า คนจะรวยไม่ใช่เพราะเก็บเงินเก่ง แต่การใช้จ่ายอย่างมีสติ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่างหากคือเส้นทางสู่เศรษฐีในอนาคต



    -http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000014907-

    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    วันนี้บ้านของคุณปลอดภัยจากหัวขโมยแล้วหรือยัง <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr> <td class="body" valign="middle" align="left">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" valign="middle" align="left">1 กุมภาพันธ์ 2555 17:43 น.</td> </tr></tbody></table>
    -http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000014201-

    ในยุคข้าวยากหมากแพง แถมมีการเปิดบ่อนการพนันและแหล่งอบายมุขอยู่ทั่วทุกหย่อมหญ้า ไม่แปลกที่จะทำให้คนในประเทศไทยเราสิ้นคิดหันไปเป็นโจรกันมากขึ้น บางทีอาจถึงเวลาที่จะต้องปรับบ้านเสียใหม่ให้พร้อมรับมือกับคนสิ้นคิดเหล่า นั้นกันแล้วก็เป็นได้ วันนี้ ทีมงาน Life & Family จึงมีแนวทางดี ๆ ที่จะช่วยให้บ้านปลอดภัยและหัวขโมยไม่อยากเข้าใกล้มาฝากกัน จะเป็นอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลยค่ะ

    1. ติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัย

    "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" ไม่น่าแปลกหากเราจะขอยกเรื่องการติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยให้กับบ้านมา ไว้เป็นข้อแรก เพราะหากบ้านของท่านผู้อ่านอยู่ในจุดเสี่ยง การติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัย กล้องวงจรปิด สัญญาณเตือนภัย ฯลฯ เอาไว้ก็สามารถช่วยป้องกันชีวิต และทรัพย์สินจากหัวขโมยได้ เพราะเหล่าตีนแมวหากต้องเจอกับเสียงเตือนภัยที่ดังลั่นบ้านลั่นซอย พวกเขาก็ถอยเหมือนกัน

    2. ดูแล-ซ่อมแซมบ้านให้เรียบร้อย

    สำหรับท่านที่ปลูกบ้านไม้ หากไม้บางชิ้นผุ กรอบหน้าต่างพัง เหล่านี้อาจเป็นช่องทางให้หัวขโมยลอบเข้าต้วบ้้านได้ ดังนั้นควรเปลี่ยนหรือซ่อมให้เรียบร้อย รวมถึงติดตั้งกลอน กุญแจ ให้แน่นหนา

    3. เปิดไฟให้ทางเข้าบ้านสว่าง

    การเปิดไฟให้บริเวณทางเข้าบ้านสว่างเป็นประโยชน์กับตัวเจ้าของบ้าน โดยเฉพาะในเวลาที่คุณไม่อยู่ หรือมีเหตุต้องกลับบ้านดึก อย่างไรก็ดี การเลือกหลอดไฟ หากใช้วัตต์ต่ำจะดีกว่าการหลอดไฟที่วัตต์สูง เพราะในเวลากลางคืน หากเปิดไฟที่วัตต์สูง ๆ ให้แสงสว่างมาก ๆ ทิ้งไว้จะทำให้เกิดจุดบอดที่โจรสามารถใช้ซ่อนตัวได้

    4. ดูแลพื้นที่รอบตัวบ้านให้ดี

    หากมีสนามหญ้าหน้าบ้านควรตัดเล็มบ่อย ๆ หรือหากปลูกต้นไม้เอาไว้ ควรดูแลตัดแต่งกิ่งไม่ให้รกรุงรัง เพราะความรกรุงรังนี้เองจะเป็นที่ซ่อนตัวให้กับหัวขโมยได้ แต่เจ้าของบ้านก็ไม่ควรมองพื้นที่รอบบ้านเป็นจุดอ่อน เพราะข้อดีของการมีสนามหญ้าก็คือ คุณสามารถปลูกต้นไม้ที่มีหนามแหลมคมเอาไว้บริเวณหน้าต่าง หรือจุดที่สามารถปีนเข้าบ้านได้ในชั้น 1 เพราะมันจะเป็นตัวสร้างความยุ่งยากชั้นดี เวลามีใครคิดย่องเบาเข้าบ้านคุณ

    สำหรับใครที่มีโรงรถ ห้องเก็บของอยู่นอกบ้าน ก่อนเข้านอนในตอนกลางคืน ควรปิดล็อกให้เรียบร้อย เพราะหัวขโมยอาจหยิบเอาบันไดที่คุณเก็บไว้ในห้องเก็บของปีนขึ้นสู่ตัวบ้าน ได้

    5. เก็บทรัพย์สินอย่างชาญฉลาด

    คนที่เป็นโจรมืออาชีพมักจะทราบว่าเจ้าของบ้านซ่อนของมีค่าไว้ที่จุด ใดบ้าง เช่น หัวเตียงในห้องนอน เราจึงไม่ควรนำของมีค่าไปซ่อนในจุดนั้น ที่สำคัญ เวลาซื้อข้าวของเครื่องใช้ใหม่มา ก็ไม่ควรวางกล่องสินค้าเอาไว้หน้าบ้าน หรือทิ้งไว้ที่ถังขยะหน้าบ้านที่คนเดินผ่านไปผ่านมาสามารถมองเห็นได้ เพราะนั่นอาจเป็นเครื่องชี้บอกให้ทราบว่า มีอะไรอยู่ในบ้านคุณบ้าง

    นอกจากนั้น การวางของมีค่าไว้บริเวณหน้าต่างก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ เพราะหากมีใครมาด้อม ๆ มอง ๆ หน้าบ้าน เขาก็อาจเห็นของมีค่าเหล่านั้น และนำไปสู่การวางแผนย่องเบาเข้าบ้านคุณก็ได้

    6. รักษาข้อมูลส่วนบุคคล

    โจรวันนี้จะขึ้นบ้านทั้งที เขาไม่มองแต่อัญมนี ทองหยอง หรือว่าทรัพย์สินมีค่าแล้ว ข้อมูลส่วนบุคคล และข้อมูลทางการเงินก็เป็นสิ่งที่มีมูลค่าสำหรับโจรเช่นกัน ดังนั้น พยายามตั้งพาสเวิร์ด หรือหาทางจำกัดจำนวนผู้ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ให้ได้ ความเสี่ยงที่จะถูกขโมยข้อมูลก็จะน้อยลง

    7. ทำบ้านให้เหมือนมีคนอยู่

    การมีแสงไฟ เสียงทีวี หรือเสียงวิทยุดังออกมาจากบ้าน เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บอกว่า บ้านนั้นมีคนอยู่ และคนที่เป็นโจรมักไม่อยากย่องเข้าไป แต่หากคุณมีเหตุต้องออกจากบ้านไป ลองตั้งเวลาเปิดปิดทีวี-วิทยุเอาไว้ก็ได้เช่นกัน หรือติดเซนเซอร์ตรวจจับแสง เมื่อค่ำลง พระอาทิตย์ตก หลอดไฟก็จะเปิดได้เองโดยอัตโนมัติ เป็นต้น

    8. ทำความรู้จักกับเพื่อนบ้าน

    ในยุคทุนนิยมครองเมือง ต่างคนต่างทำงาน ไม่มีใครเสียเวลามาทำความรู้จักกัน นั่นยิ่งทำให้เหล่านักย่องเบาได้ใจ แต่หากคุณมีเพื่อนบ้านที่ดี คนเหล่านี้จะเป็นอีกด่านหนึ่งของการป้องกันโจรร้าย โดยเฉพาะเวลาที่คุณไม่อยู่บ้าน ก็ยังมั่นใจได้ว่า บ้านข้าง ๆ ยังช่วยเป็นหูเป็นตาแทนคุณได้นั่นเอง

    9. ทำรายการข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน

    ในกรณีที่มีขโมยขึ้นบ้าน หากคุณมีการจดว่าคุณมีสมบัติใดอยู่บ้าง จะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ และบริษัทประกันภัยในการติดตามหาตัวคนร้าย และทรัพย์สินที่หายไป รวมถึงการชดเชยค่าเสียหายให้คุณและครอบครัวได้ แต่ถ้าไม่อยากเสียเวลาจด ก็มีวิธีที่ง่ายกว่า เช่น ใช้กล้องดิจิตอลถ่ายรูปทรัพย์สินมีค่าของคุณเอาไว้ และไรท์ลงซีดี หรือส่งเข้าอีเมล (ไม่ควรอัดเป็นภาพ เพราะหากโจรเจอแฟ้มภาพ ก็จะยิ่งเสียหายหนักยิ่งขึ้น)

    10. มองบ้านด้วยมุมมองของโจร

    หลังจากทำทั้ง 9 ข้อมาแล้ว ลองเปลี่ยนมุมมาเป็นโจรดูบ้าง ด้วยการเดินสำรวจรอบบ้าน และถามตัวเองว่า หากเราเป็นโจร เราจะลอบเข้าไปในบ้านหลังนี้ได้อย่างไร ที่สำคัญ อย่าเดินคนเดียว ควรมีเพื่อน หรือเพื่อนบ้านมาเดินด้วย เพราะเขาอาจมองเห็นในรายละเอียดที่คุณมองข้ามไป

    การทำให้บ้านของคุณยากที่จะเข้าถึง และยากที่จะหนีกลับไปให้ได้ นั่นก็อาจทำให้เหล่านักย่องเบาสิ้นคิดมองข้ามบ้านของคุณแล้วค่ะ

    เรียบเรียงบางส่วนจาก quizzle.com


    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    แนะวิธีนอน-นั่งช่วยทุกบ้านห่างไกลอาการปวด <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" valign="middle" align="left">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" valign="middle" align="left">1 กุมภาพันธ์ 2555 11:57 น.</td></tr></tbody></table>

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="body" valign="baseline" align="left">เป็นที่ทราบกันดีว่า การป้องกันอาการบาดเจ็บ และการเคลื่อนของกระดูกสันหลังสามารถทำได้ง่าย ๆ จากอิริยาบถท่าทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการนอน การลุก การนั่งซึ่งจะมีท่าที่ถูกต้อง แต่หลาย ๆ ครอบครัวมักมองข้าม และไม่ค่อยใส่ใจเท่าที่ควร ยกตัวอย่างบางคน พอเวลาตื่นนอนก็ลุกขึ้นมาพรวดพราด ทำให้กล้ามเนื้อและกระดูกสันหลังที่มีความตึงหรือบิดในขณะที่กำลังนอนหลับ เกิดการคลาดเคลื่อนส่วนใดส่วนหนึ่งของกระดูกสันหลังอย่างฉับพลันได้

    ดังนั้น หากผู้อ่านท่านใดไม่อยากทุกข์ทรมานกับอาการปวดเมื่อย วันนี้ทีมงาน Life & Family มีวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องเกี่ยวกับอิริยาบถต่าง ๆ มาฝากทุกครอบครัวกันครับ ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น พิชช์ฌามุก สิงห์ปัน นักกายภาพบำบัด ประจำสถาบันพัฒนาโครงสร้างดีสปายน์ ได้ให้ข้อแนะนำและวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องไว้ดังนี้

    1. การนอน ไม่ ควรนอนคว่ำเพราะเวลาที่เรานอนคว่ำท่านี้จะบังคับให้เราต้องบิดลำคอไปด้านใด ด้านหนึ่งเส มอ ซึ่งจะทำให้กระดูกสันหลังบริเวณคอเกิดความตึง เพราะถูกบิดจากท่านอนที่ไม่ถูกต้องทั้งคืน อาจทำให้เกิดอาการล็อคหรือเรียกว่าคอตกหมอน ตื่นขึ้นมาก็จะรู้สึกเมื่อยคอ หรือคอเคล็ด ดังนั้นท่านอนที่ถูกต้องและดีต่อกระดูกสันหลังก็คือท่านอนหงายเพราะถือเป็น ท่าที่รองรับกระดูกสันหลังได้เป็นอย่างดี

    </td> </tr> <tr> <td class="body" valign="baseline" align="left"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" align="Center"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="400"> <tbody><tr> <td valign="Top" width="400" align="center"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" valign="baseline" align="left">ท่านอนหงาย</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td height="5" valign="top" align="center">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> สำหรับท่านใดที่ชอบ "นอนตะแคง" แม้ ท่านอนตะแคงจะไม่ใช่ท่านอนที่เหมาะสำหรับร่างกายและกระดูกสันหลังแล้ว เพราะท่านอนตะแคงจะเป็นท่าที่ทำให้บริเวณกระดูกสันหลังส่วนล่างลงไปช่วงขา ถูกการกดทับ ควรหาหมอนข้างหรือหมอนใบเล็ก ๆ มาวางแทรกไว้ระหว่างขาทั้งสองข้างเพื่อรับน้ำหนักและช่วยป้องกันการกดทับ นั่นเอง

    </td> </tr> <tr> <td class="body" valign="baseline" align="left"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" align="Center"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="300"> <tbody><tr> <td valign="Top" width="300" align="center"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" valign="baseline" align="left">ท่านอนตะแคง</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td height="5" valign="top" align="center">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> 2. การลุกนั่ง บางครั้งหลังจากตื่นนอนคนส่วนใหญ่มักจะลุกขึ้นทันที อาจทำให้กระดูกสันหลังที่ตึงเครียดตลอดทั้งคืนเกิดการคลาดเคลื่อนได้ ดังนั้น ท่าที่ถูกต้องและช่วยถนอมกระดูกสันหลังคือ ควรเปลี่ยนจากท่านอนหงายให้ค่อย ๆ นอนตะแคงโดยหันหน้าไปทางด้านที่เราต้องการ หลังจากนั้นค่อย ๆ ลุกและพยุงตัวขึ้นนั่งให้ตรง แล้วจึงลุกขึ้นยืนและทำกิจวัตรประจำวันต่อไป

    </td> </tr> <tr> <td class="body" valign="baseline" align="left"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" align="Center"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="300"> <tbody><tr> <td valign="Top" width="300" align="center"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" valign="baseline" align="left">ท่าลุกนั่ง (เริ่มจากบนลงล่าง)</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td height="5" valign="top" align="center">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> 3. การนั่ง ควร นั่งบนเก้าอี้ที่มีส่วนที่หนุนหรือรองรับกับกระดูกสันหลัง หรือมีพนักพิงข้างหลัง การนั่งพิมพ์งานหลังควรตรง ข้อศอกตั้งฉาก 90 องศา โดยที่เท้าสัมผัสกับพื้น หากไม่สามารถนั่งเช่นนี้ได้ให้หาที่วางขาให้เข่าอยู่ในลักษณะเท่ากัน และควรมีการหยุดพัก 1-2 นาที ทุก ๆ 20-30 นาที ลุกขึ้นและผ่อนคลาย พยายามนั่งให้หลังชิดพนักเก้าอี้ทุกครั้ง ไม่ควรนั่งจมลงไปในเก้าอี้ เพราะจะทำให้หลังงอได้ และไม่ควรนั่งเก้าอี้ที่มีพนักเก้าอี้ใหญ่มากเกินไป เพราะจะทำให้ต้องเขยิบเข้าไปนั่งกลางเก้าอี้ ทำให้ขาไม่ได้รับน้ำหนัก อาจทำให้ปวดหลังได้

    4. การก้ม โดย เฉพาะคนที่ชอบก้มหน้าในขณะที่ใช้คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ไอแพด หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ท่านี้จะทำให้เกิดอาการปวดคอ และที่สำคัญหากก้มเป็นเวลานาน ๆ จะส่งผลต่อการหายใจ ซึ่งจะทำให้การหายใจเอาออกซิเจนเข้าสู่ปอดได้น้อย ทางที่ดี ควรจะมีการหยุดพักและเงยหน้าขึ้นพร้อมกับหายใจเข้ายาว ๆ ทำบ่อย ๆ ก็จะช่วยทำให้อ๊อกซิเจนเข้าไปยังปอดและไปยังสมองและเซลล์ต่าง ๆ ได้มากขึ้น ร่างกายก็จะทำงานได้ปกติ

    </td> </tr> <tr> <td class="body" valign="baseline" align="left"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" align="Center"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="400"> <tbody><tr> <td valign="Top" width="400" align="center"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" valign="baseline" align="left"> ท่าผ่อนคลายหลังจากก้มเป็นเวลานาน ๆ </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td height="5" valign="top" align="center">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> รู้แบบนี้แล้ว ลองนำไปปรับใช้กันดูนะครับ</td></tr></tbody></table>

    -http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000014294-

    .
     
  8. TrainSSS

    TrainSSS สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +4
    สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังครับพี่เพชร ขอให้พี่เพชร...ไม่เจ็บ ไม่จน รวยๆยิ่งขึ้นตลอดไปครับ:d
    เน็ตล่มมาสองวัน...ลงแดงแย่เลยครับ
     
  9. TrainSSS

    TrainSSS สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +4

    ช่วงนี้ไม่มีโหวงเลยครับ...ตั้งแต่พี่ไฟดูดมานี่ มันส์ขึ้นมาถนัดใจเลยครับ:cool:
     
  10. Nui28

    Nui28 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +7
    เพิ่งมาเปิดอ่าน ขอสุขสันวันเกิดย้อนหลังด้วยครับ อาจารย์เพชรขอให้มีความสุขมากๆครับ ขอให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตแข็งแรงตลอดไปครับ :cool:
     
  11. Nui28

    Nui28 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +7
    ขออนุโมทนาด้วยครับบบบบบบบบๆ
     
  12. faidood

    faidood Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2012
    โพสต์:
    403
    ค่าพลัง:
    +31
    ( ช่วงนี้ไม่มีโหวงเลยครับ...ตั้งแต่พี่ไฟดูดมานี่ มันส์ขึ้นมาถนัดใจเลยครับ:cool:<!-- google_ad_section_end --> ) (good)มันส์จะอะไรขไหนหนาด ฮะพ่อคุ้ณๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ:VO
     
  13. faidood

    faidood Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2012
    โพสต์:
    403
    ค่าพลัง:
    +31
    (||)ตาลุงข้างบ้าน สงสัยคงเก็บอาการไม่อยู่แน่ๆๆ [Embarrassส่วนตาลุงเพชรยังคิดไม่ตกว่าจะแจกหรือไม่ ฝนฟ้ามาเตือนแล้วนะ จะมาหาว่าไม่บอกไม่ได้นะ (smile)นี่นะนายหนุ่มห้ามทำการใดๆๆเด็ดขาดนะ นอกจากยิ้มเท่านั้น catt3rabbit_run_awayรักนะ:love:
     
  14. TrainSSS

    TrainSSS สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +4
    confirmครับ...วันนี้เข้ามาตามอ่าน กระทู้ช่วง3-4วันนี้ขับเคลื่อนด้วยHigh Power ขนาดไม่เห็นรูปนะครับนี่ (เปิดให้ดูหน่อย...เปิดให้ดูหน่อยซิ) อิอิ:d
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อุ๊ปส์

    ยิ้มครับยิ้ม

    และรอต่อคิวรับพระจาก ลุง อ.เพชร ครับ

    .
     
  16. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    3เหลี่ยมอารายครับ ไม่เห็นทราบเลยครับ ลุง อ. หนุ่มครับ หุ หุ
     
  17. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    รอ ลุง อ.เพชร จนเมื่อยแล้วคร๊าบ หุ หุ
     
  18. faidood

    faidood Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2012
    โพสต์:
    403
    ค่าพลัง:
    +31
    อุ๊ปส์

    ยิ้มครับยิ้ม

    และรอต่อคิวรับพระจาก ลุง อ.เพชร ครับ (good)ถูกต้องแล้วคร้าบๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
     
  19. faidood

    faidood Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2012
    โพสต์:
    403
    ค่าพลัง:
    +31
    (รอ ลุง อ.เพชร จนเมื่อยแล้วคร๊าบ หุ หุ<!-- google_ad_section_end --> )ลุงเพชรกล้าๆๆแล้วจะรุ่ง(ริ่ง)แน่ๆๆ(sing)
     
  20. faidood

    faidood Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2012
    โพสต์:
    403
    ค่าพลัง:
    +31
    pity_pigนี่นะตาลุงข้างบ้าน ปิดตาเนื้อขาวที่เราไม่รู้.....เป็นอย่างไร ผ้าไหมลายดอกพิกุล ละอย่าบอกว่างงงงงงงนะdannce_
     

แชร์หน้านี้

Loading...