พบปะ พูดคุย ประสาเพื่อนพ้องน้องพี่ แบบกันเอง

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย tiger-k007, 6 มิถุนายน 2011.

  1. ลับแล

    ลับแล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    854
    ค่าพลัง:
    +848
    คิดถึง......ทุกคน ตั้งแต่เมื่อคืนนะคะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2996[1].jpg
      2996[1].jpg
      ขนาดไฟล์:
      78.4 KB
      เปิดดู:
      22
  2. ลับแล

    ลับแล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    854
    ค่าพลัง:
    +848
    (พี่รุ่ง..)กำลังมันส์ จบอีกแล้ว เอิ๊ก...เอิ้ก......
    :z16พี่รุ่งคะ
    ลับแลมาอ่านข้อความของพี่รุ่งเช้าวันนี้ รู้สึก"ขำ"มากๆค่ะ (ทำให้หัวเราะ อารมณ์ดีแต่เช้าเลยล่ะค่ะ)
     
  3. ลับแล

    ลับแล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    854
    ค่าพลัง:
    +848
    :z2แด่.......แฟนทุกคน<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เมื่อวานลับแลถามว่าความเร็ว 100 ก.ม.ต่อช.ม.เร็วหรือไม่คะ?
    fairy3 แต่จริงๆแล้ว ถ้ามีคนขี่รถตัดหน้ากะทันหันแบบ 90 องศาขนาดนั้น ต่อให้ความเร็ว
    20 ก.ม.ต่อช.ม. ความงามก็ไม่”เหลือ”แล้วค่ะ<o:p></o:p>
    (tm-love)และต่อให้คนขับรถเก่งกาจฉกาจฉกรรจ์ขนาดไหน?
    สภาพที่ออกมาก็คงจะไม่พ้นสภาพ”เละตุ้มเป๊ะ”หรอกค่ะ<o:p></o:p>
    :z14ถ้าไม่”เละตู้มเป๊ะ” ก็ไม่คิดบ้างหรือคะว่าลับแลจะสูญเสีย”อวัยวะ”บ้างหรือไม่???<o:p></o:p>
    :z17และลับแลซึ่งเป็นคนฝึกสติจนเป็นอัตโนมัติ เมื่ออยู่ในเหตุการณ์ที่รถถูกตัดหน้าแบบตั้งฉากแบบนั้น
    rabbit_อยากรู้ไหมคะว่า ลับแลมีสภาพอารมณ์และความรู้สึกเป็นอย่างไร?<o:p></o:p>
    :mad:ที่ลับแลเขียนๆ ได้สอดแทรกข้อคิดทางธรรมให้แฟนๆได้ทราบด้วย และเขียนโดยเอา”ชีวิตเป็นเดิมพัน”เพื่อเป็นธรรมทานด้วยนะคะ(ไม่มีกั๊กไม่มี"กิ๊ก"และเพื่อให้แฟนๆได้ประโยชน์จริงๆนะคะ)<o:p></o:p>
    :'( ฉะนั้น อดใจรอหน่อยนะคะ<o:p></o:p>
    12.30 น.จะมีคำตอบให้ค่ะ<o:p></o:p>
     
  4. โต้งชลบุรี

    โต้งชลบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,474
    ค่าพลัง:
    +18,351
    สวัสดีพี่น้องชาวกระทู้ทุกท่านครับ
     
  5. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    ปาฎิหาริย์แห่งแรงอธิษฐาน

    การทำจิต[​IMG]
    ให้สะอาดด้วยหลักแห่งพุทธะ

    หลักการชำระจิตใจให้สะอาดตามแบบพุทธนี้ หากจะเรียกอีประการว่าการ "สร้างบุญ"
    ก็ได้ เพราะบุญตามความหมายของพจนานุกรมพุทธศาสตร์ โดย ท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธิ์ ปยุตโต) กล่าวว่า คือ "เครื่องชำระสันดาน" เป็นความดี กุศลและความสุขอันหมายถึง ความประพฤติชอบทางกาย วาจา ใจ และกุศลธรรม

    บุญนั้นเป็นอาหารแห่งจิตบริสุทธิ์
    การชำระจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาดขั้นแรกคือต้อง ชำระกิเลสหรือสิ่งปรุงแต่งในสันดานของธรรมชาติมนุษย์ ให้หมดก่อนเป็นอันดับแรกนี่คือ "ความตระหนี่" เพราะเมื่อคนเราถูกความตระหนี่เข้าครอบงำจิตใจแล้ว ก็เหมือนเป็นยางเหนียวที่เกาะกุมจิตไม่ให้สะอาดอยู่ร่ำไป ไม่อาจชำระจิตให้สะอาดได้เพราะต้องการของ "ปรุงแต่ง" มาเจือจิตให้หม่นหมองลงไปอยู่เรื่อยๆ

    1.ทาน
    เครื่องมือในการชำระล้างจิตที่มีความตระหนี่ก็คือ "การให้ทาน" การทำทานเป็นการสละทรัพย์ภายนอก ที่ตัวเองมีโดยมุ่งหวังว่าทรัพย์นั้นจะได้รับประโยชน์และความสุข ทานนั้นมี 2 แบบ ที่รู้จักกันดีและทำได้ง่ายมากก็คือ วัตถุทานและอภัยทาน

    ทานที่เป็นวัตถุทานก็เช่น เงินทอง ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่เรามีอยู่และได้มาด้วยความสุจริต องค์ประกอบของการให้ทานแล้วจิตจะมีความบริสุทธิ์อยู่ได้ต้องประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ประการได้แก่

    1. วัตถุทานหามาได้ด้วยความบริสุทธิ์
    เพราะถ้าหากวัตถุที่หามาไม่มีความบริสุทธิ์ จิตที่จะให้ก็มีความหม่นหมองลงไปด้วย เช่น สมมติว่าอยากจะทำทานโดยการฆ่าสัตว์อย่างโค กระบือหรือปลา เพื่อนำมาทำอาหารถวายพระ สิ่งไม่บริสุทธิ์เพื่อจะชำระใจให้บริสุทธิ์ก็ย่อมไม่ผ่องใส ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นการซื้อเนื้อสัตว์มาจากผู้อื่นโดยที่ตัวเองไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการฆ่าสัตว์เมื่อนำมาทำทานก็จะมีความบริสุทธิ์เกิดกับจิตใจมากกว่า
    วัตถุทานนั้นรวมถึงแหล่งที่มาของเงินที่มาซื้อวัตถุทานด้วย วัตถุทานที่มีความบริสุทธิ์โดยการแสวงหามาโดยชอบธรรมนั้น ไม่ได้จำกัดความว่าจะต้องเป็นของมีค่า มีมากหรือน้อยก็ไม่สำคัญ ขอเพียงว่าเราหาทรัพย์นั้นมาได้ตามกำลังและศรัทธาตั้งมั่นในความดี ยิ่งเราลำบากมากโดยชอบธรรม ยิ่งจะได้บุญมากเป็นเงาตามตัว

    2. เจตนาที่ให้ต้องบริสุทธิ์
    จุดมุ่งหมายของการให้ทานก็เพื่อขจัดความโลภ ที่ว่าเจตนาที่บริสุทธิ์นั้นต้องบริสุทธิ์ด้วยกัน 3 ระยะคือ
    *ระยะก่อนที่จะให้ทาน
    *ระยะที่กำลังให้ทาน
    *ระยะหลังจากให้ทานไปแล้ว
    มีความบริสุทธิ์คือมีความรู้สึกเป็นสุขอิ่มเอมใจสมบูรณ์ทั้งสามช่วง และจิตใจจะสะอาดยิ่งขึ้นไปอีกหากใช้ปัญญาพิจารณาวัตถุทานที่ให้นั้นว่า
    บรรดาทรัพย์สินสิ่งของทั้งหลายที่คนเรานิยมชมชอบให้การยกย่องและหวงแหนเอาไว้ด้วยความตระหนี่และโลภนั้น ที่จริงแล้วก็เป็นของที่มีอยู่และสร้างขึ้นมาประจำโลก เป็นสมบัติกลางไม่ใช่ของใครคนหนึ่งโดยเฉพาะ เป็นของที่มีอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่เราเกิดมา

    โดยผ่านการเป็นเจ้าของมาแล้วนับไม่ถ้วน เพียงแต่เปลี่ยนจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง จนตกมาถึงตัวของเรา เราก็ได้กินได้ใช้เป็นชั่วคราวแล้ว สิ่งเหล่านั้นก็ต้องตกทอดเปลี่ยนมือไปเป็นของคนอื่นๆ อีกต่อไป เป็นกฎแห่งความไม่เที่ยง

    ที่สำคัญวัตถุต่างๆ ที่เป็นทรัพย์สินนั้นเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็อยู่อย่างนั้นให้คงสภาพเดิมตลอดไปไม่ได้จะต้องผุพัง บุบสลายไปไม่มีตัวตนเหมือนกับร่างกายของคนเราเอง เมื่อเกิดมาก็เติบโตเจริญขึ้นเป็นหนุ่มสาวแล้วก็แก่เฒ่า แล้วก็ตายลงในที่สุดเหมือนกัน (คำพระท่านว่าหมายถึง ลักษณะของไตรลักษณ์ คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป)

     
  6. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    สวัสดีค่ะคุณโต้ง [​IMG] ถูกรางวัลมั้ยคะ..

    วันนี้ลางานค่ะ โดนฝน ไอ จาม เมื่อวานก็โดนอีก เลยขอหยุดหนึ่งวันค่ะ
     
  7. คนชอบพระ

    คนชอบพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2011
    โพสต์:
    2,017
    ค่าพลัง:
    +923
    กำลังหัดถ่ายรูปพระกริ่ง ใครเก่งถ่ายรูปช่วยคอมเม้นต์ด้วยนะครับ
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    เมื่อเจตนามีความบริสุทธิ์ทั้งสามระยะคือ ทั้งก่อนให้ กำลังให้ และ หลังจากให้
    ควรมีปัญญามาพิจารณาสภาพ ของวัตถุทานเหล่านั้นลงไปด้วย ก็จะทำให้เจตนาของการให้ทานมีความบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้นจิตก็จะยิ่งมีความสะอาดมากยิ่งขึ้น
    แต่เรื่องเจตนาในการทำทานด้วยจิตใจที่สะอาดนี่ ต้องให้ความระมัดระวังเหมือนกัน เพราะถ้าไม่ระมัดระวังในเจตนาจิตก็จะเศร้าหมองลงไปอีกตัวอย่างเช่น การทำทานเพราะเอาหน้าโดยแม้มีทรัพย์มากแต่ไม่ได้มุ่งสงเคราะห์ผู้อื่น แต่ต้องการสร้างชื่อเสียงของตนเองให้มากขึ้น ไม่ได้มุ่งทำเพื่อขจัดความโลภและอยากได้ที่มีอยู่ในใจ อย่างนี้ใจก็ยังไม่สะอาด

    อีกตัวอย่งหนึ่งคือ ทำทานเพราะเสียไม่ได้ ต้องตั้งใจทำกลัวเสียหน้าใครๆ เขาก็ทำจึงต้องสละทรัพย์มาทำทานด้วยความจำใจยังมีความตระหนี่หวงแหนอยู่ หรือแม้แต่นึกโกรธที่มีคนเดินมาบอกบุญจิตก็จะเศร้าหมองลงไปอีก

    ทานที่ให้ผลบุญมากนั้นขอให้ยึดหลักของสับปุริสทาน 8 ตามหลักของพระพุทธศาสนาคือ
    1. ให้ของสะอาด
    2. ให้ของประณีต
    3. ให้ของเหมาะกาล ให้ถูกเวลา
    4. ให้ของสมควร ให้ของที่ควรแก่เขา ซึ่งเขาจะใช้ได้
    5. พิจารณาเลือกให้ ให้ด้วยวิจารณญาณ เลือกของเลือกคนที่จะให้ ให้เกิดผลประโยชน์มาก
    6. ให้เนืองนิตย์ ให้ประจำให้สม่ำเสมอ
    7. เมื่อให้จิตผ่องใส
    8. ให้แล้วเบิกบานใจ
     
  9. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    ถ่ายภาพสวย...พระก็งดงามค่ะ..[​IMG]
    เป็นพระกริ่งของที่ไหนค่ะ
     
  10. อั๋นวัดสาม

    อั๋นวัดสาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    4,259
    ค่าพลัง:
    +9,022
    พระกริ่งสวยจนคอมเม้นต์ไม่ออกเลยเรา:cool:
     
  11. โต้งชลบุรี

    โต้งชลบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,474
    ค่าพลัง:
    +18,351
     
  12. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    3. ผู้รับทานต้องมีความบริสุทธิ์
    ในข้อนี้คำพระท่านว่า ผู้รับต้องมี "เนื้อนาบุญที่ดี" คำว่าเนื้อนาบุญนี้ อธิบายายอย่างง่ายๆ เปรียบเทียบเอาเป็นผืนนา ในการทำนาถ้าผืนนามีความเรียบที่ไม่สม่ำเสมอสูงๆ ต่ำๆ เวลาหว่านข้าวปักดำลงไปและน้ำที่ไปสร้างความอุดมสมบูรณ์จึงไม่ตีเสมอกัน ตรงที่น้ำน้อยข้าวก็จะแคระแกร็นไม่โตเต็มที่
    ตรงไหนที่มีน้ำมากๆ น้ำก็จะท่วมจนสูงมิดยอดข้าว กินปุ๋ยได้ไม่เต็มอิ่มอย่างนี้เรียกว่า "เนื้อนาไม่ดี" ถ้าเป็นเนื้อนาที่ดีต้องมีความ "เรียบเสมอกัน" หว่านหรือปักดำลงไปแล้วข้าวขึ้นเสมอกัน น้ำเสมอกันตรงรากหว่านปุ๋ย ปุ๋ยก็ลงรากได้ทั่วถึง นี้ คือ "เนื้อนาที่ดี"

    การทำทานก็เหมือนกันตัวบุคคลที่เป็นผู้รับทานเป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่สุด เพราะแม้วัตถุทานมีความบริสุทธิ์มาเพียงใด หรือเจตนาขณะทั้งก่อนให้ทาน ระหว่างให้ทาน และหลังทำทานไปแล้วดีแค่ไหน ถ้าผู้รับทานเป็นผู้ไม่เหมาะสม ความบริสุทธิ์แห่งใจที่แท้ก็ไม่เกิดรังจะให้เกิดความเสียดายหลังแก่ผู้ทำทานให้เท่านั้น เหมือนหว่านข้าวลงไปในน่าที่ไม่เสมอกัน
    เพราะฉะนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนที่เป็น ฆราวาส จึงควรทำบุญกับนักบวชหรือผู้ทรงศีลมากกว่าบุคคลอื่นๆ ก็เพราะผู้รับมีความบริสุทธิ์มากกว่าคนธรรมดาทั่วๆ ไปนั่นเอง แม้ในปัจจุบันก็ต้องเลือกทำ

    คำว่า "ทำบุญอย่าถามพระ หรือ ตักบาตรอย่าเลือกพระ"เห็นที่จะใช้ในสมัยนี้ไม่ได้ ลองเปรียบเทียบดู พระในสมัยพุทธกาลมีความบริสุทธิ์มากเพราะจุดมุ่งมายของการบวช ท่านมุ่งจะหนีให้พ้นวัฏสงสาร มุ่งทำมรรคผล ทำนิพพานให้แจ้งเพียงอย่างเดียวอย่างอื่นท่านมิได้ปราถนา
    แต่พระสมัยนี้มีเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเหมือนครั้งพุทธกาล เพราะมักถือมาบวชด้วคติ 4 ประการ คือ
    *บวชเป็นประเพณี
    *บวชหนีทหาร
    *บวชผลาญข้าวสุก
    *หรือบวชเพื่อเอาสนุกตามเพื่อนประเภท อกหัก หลักลอย คอยงาน หรือสังขารเสื่อม
    ไม่รู้จะไปไหน ก็ไปบวชดีกว่าอยู่สบายดีโดยไม่สนใจพระธรรมวินัย ฯลฯ

    การเลือกที่จะให้พระผู้รับก็ต้องพิจารณาให้ดีๆ เสียก่อนหากเป็นพระภิกษุ ก็ต้องแน่ใจว่าพระท่านนั้นเป็นผู้ที่ปฏิบัติดี เรียนรู้พระธรรมวินัยจริงๆ จึงจะเป็นผู้ที่สมควร จะรู้ได้อย่างไร ต้องใช้วิธีสังเกตก็คือ ต้องหมั่นไปวัดทำกิจกรรมทางศาสนาบ่อยๆ สังเกตดูเจ้าอาวาส ดูพระลูกวัดดูวัตรปฏิบัติของท่าน ดูว่าท่านมีวินัยมากน้อยแค่ไหน ปฏิบัติธรรมสวดมนต์สม่ำเสมอหรือเปล่า วัดสะอาดสะอ้านหรือไม่ ถ้าวัดสะอาดเป็นระเบียบมากแสดงว่า พระวัดนั้นและปฏิบัติธรรมเรียนธรรมกันจริงๆ เพราะวินัยจะเป็นเครื่องกำหนดการปฏิบัติ ทั้งกิจกรรมภายนอกและความประพฤติต่างๆ ไปในตัว

    เพราะอย่างนี้พระพุทธองค์ถึงได้มีพระดำรัสตรัสเอาไว้เรื่องเนื้อนาบุญว่า แม้วัตถุทานที่มีความบริสุทธิ์ เจตนาทำทานก็บริสุทธิ์แต่ผลบุญของความบริสุทธิ์จะเกิดขึ้นได้มากน้อยขึ้นอยู่กับเนื้อนาบุญตามลำดับของผู้รับคือ
    สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ผู้ไม่มีศีล มนุษย์ผู้มีศีล 5 มนุษย์ผู้ที่มีศีล 8 สามเณร สมมติสงฆ์ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามลำดับ

    การที่พระองค์จัดลำดับไว้อย่างนี้เพราะว่า เป็นการทำทานหากได้ทำให้กับผู้รับ ที่ยิ่งมีความบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ ผู้ให้ก็ยิ่งมีความรู้สึกอิ่มเอิบใจเป็นสุขมากเท่านั้น ไม่มีความรู้สึกเสียดายหรือตระหนี่เกาะกุมหัวใจต่อไป
     
  13. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
     
  14. คนชอบพระ

    คนชอบพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2011
    โพสต์:
    2,017
    ค่าพลัง:
    +923
    พระกริ่งฐิตสีโล ออกวัดไตรมิตร ของหลวงปู่หมุนครับ คนไม่ค่อยนิยม

    ผมมีปัญหากับฉากหลัง รูปแรกผมใช้ reflex ฉากหลังสะท้อนไปมา เลยมองเห็นเป็นเส้นยาวๆ แถวด้านหลัง ถ้าใช้ reflex รูปจะดูมีมิติหน่อยดังรูปข้างบน

    รูปข้างล่างไม่ได้ใช้ reflex ช่วย ฉากหลังดูดีหน่อย แต่รูปดูแห้งๆ ไม่มีมิติ
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    แต่ทานอีกประเภทหนึ่ง ที่พระพุทธองค์ยกย่องว่าได้บุญกุศลและทำให้จิตใจบริสุทธิ์มากที่สุดก็คือ การให้ "อภัยทาน" เพราะการให้อภัยคือการไม่ผูกใจโกรธ ไม่อาฆาตจองเวรใคร สิ่งนี้ไม่ใช่ทานทางวัตถุแต่เป็น "ทานทางใจ" เป็นการบำเพ็ญเพียรทางจิตอย่างหนึ่งที่ทานอย่างอื่นมุ่งเน้นลดละความโลภ
    แต่การให้อภัยจะลด ละกิเลสกองใหย่ ที่มาเกาะกุมใจ และมีความอันตรายกว่าก็คือ ความโกรธ การให้อภัยทานกับคนอื่นๆ ได้จึงนับได้ว่า เป็นการชำระกิเลสได้สูงไปอีกชั้น จิตก็จะมีความบริสุทธิ์มากขึ้น

    ตัวอย่างเรื่องการให้ทาน เพื่อมุ่งชำระความตระหนี่ในจิตใจให้มีความบริสุทธิ์ และยังอนิสงส์ทำให้จิตปราถนาจะหลุดพ้นไปจากสังสารวัฎด้วยปัญญา ก็มีตัวอย่างของอริยบุคคลในพุทธกาลอีกท่านหนึ่ง

    นับถอยหลังไปก่อนสมัยพุทธกาลอยู่ในช่วงของ "พระวิปัสสีพุทธเจ้า" (ตามวงศ์ของพระพุทธเจ้าแล้วเป็นพระพุทธเจ้าลำดับที่ 19 การที่พระองค์นามว่า "วิปัสสี" นั้น เพราะสามารถมองเห็นพระองค์จากความมือที่เกิดจากการกะพริบตาในระหว่างกลางคืน และมองเห็นพระองค์ได้ในเวลากลางคืนตาเปล่า มีพราหมณ์อุบาสกคนหนึ่งชื่อว่า
    "เอกสาฎกพราหมณ์" แปลว่าพราหมณ์ผู้มีผ้าห่มเพียงผืนเดียว อาศัยอยู่กับภรรยาและมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก

    เอกสาฎกพราหมณ์เป็นพราหมณ์ที่มีความยากจนมาก แม้แต่เครื่องนุ่งห่มที่ทำเป็นผ้าห่มไว้นอนในตอนกลางคืนก็มีเพียงผืนเดียว และต้องใช้ผ้าร่วมกับตอนที่ต้องออกไปข้างนอกเอามาห่มคลุมกายด้วย เวลาที่ฝนตก พราหมณ์ผู้นี้ก็ต้องรีบวิ่งกลับกลับอย่างร้อนรนและทุลักทุเลทุกครั้งด้วยความกลัวว่าผ้าจะเปียกและจะไม่มีผ้าที่จะนุ่ง

    วันหนึ่งฝนก็เกิดตกมาโดยไม่คาดฝัน เอาสาฎกพราหมณ์ก็รีบกลับบ้านเช่นเคย ด้วยความที่รีบร้อนจึงเป็นเหตุให้ผ้าไปเกี่ยวกับไม้ขาดรุ่งริ่ง แถมผ้ายังเปียงโชกไปหมด ทำให้ภรรยาโกรธมากด้วยความเสียดายผ้าห่มที่มีเพียงผืนเดียว แต่พอเอกสาฎกพราหมณ์บอกว่า จะมีการแสดงธรรมโดยพระวิปัสสีพุทธเจ้าในวันมะรืน ซึ่งพระองค์จะแสดงธรรมในรอบเจ็ดปีต่อหนึ่งครั้งเท่านั้น

    ภรรยาได้ยินดังนั้นก็ดีใจหายโกรธทันที รีบเอาผ้าห่มมาตากให้แห้ง โดยทั้งคู่ได้ตกลงกันว่า จะผลัดกันไปฟังธรรมโดยช่วงเช้าให้ภรรยาไปฟังเพราะถือว่าหญิงไม่ควรออกนอกบ้านตอนกลางคืน ส่วนเวลากลางคืนเอาสาฎกพราหมณ์จะไปเอง

    เมื่อถึงวันแสดงธรรม พระวิปัสสีพุทธเจ้าก็ประทับอยู่บนธรรมาสน์ที่ประดับไว้อย่างงดงาม ทรงแสดงธรรต่อหน้าฝูงชน โดยมีพระเจ้าพันธุมราช ประทับร่วมฟังธรรมอยู่ภายในม่านหลังธรรมาสน์ด้วย ในช่วงหัวค่ำขณะที่ เอกสาฎกพราหมณ์นั่งฟังธรรมอยู่ท่ามกลางฝูงชนก็เกิดความรู้สึกอิ่มใจซาบซึ่งในรสพระธรรมเป็นอันมาก
    เมื่อใจเกิดความปิติเกิดศรัทธาตามมา เอกสาฎกพราหมณ์จึงคิดจะถวายผ้าห่มเพียงผืนเดียวที่ตนเองมีอยู่ แต่คิดอย่างไรก็ยังคิดไม่ตกเพราะหากถวายผ้าไปแล้วก็ไม่มีจะห่ม เวลาออกไปข้างนอกก็ไม่อาจจะออกนอกบ้านได้
    (ขออธิบาย เครื่องแต่งกายของพราหมณ์นั้น มีเพียงผ้านุ่งคล้ายสบงในท่อนล่างและผ้าห่มปิดกายท่อนบน เวลาอยู่ในบ้านจะเปลือยท่อนบนหากเป็นชาย หากเป็นหญิงก็จะมีผ้าคาดอกเอาไว้ และต้องห่มผ้าปิดกายด้านบนให้มิดชิดไม่ให้อุจาดตา)
     
  16. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    ลองนำออกมาถ่ายข้างนอก ....โดยใช้แสงธรรมชาติวิธีวัดแสง
    คิดว่าภาพจะมีมิติค่ะ...(เป็นพระกริ่งของหลวงปู่หมุน....พระดังนิคะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 มกราคม 2012
  17. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    เอกสาฎกพราหมณ์คิดย้อนกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบว่าจะถวายผ้าดีหรือไม่ ลังเลอยู่นานจนเวลาเลยเที่ยงคืนไปแล้วในที่สุดก็ตกลงปลงใจว่าจะถวายให้ได้
    เพราะการได้ฟังธรรมของพุทธเจ้าวิปัสสีหนึ่งครั้งในเจ็ดปีนั้นเป็นสิ่งที่ถือว่าคุ้มค่าแล้ว พอเอกสาฎกพราหมณ์นำผ้าเพียงผืนเดียวไปถวายแก่พระวิปัสสีพุทธเจ้าเป็นทาน ก็ได้ตะโกนขึ้นมาดังๆว่า "เราชนะแล้ว" อยู่หลายครั้ง

    ฝ่ายพระเจ้าพันธุมราชซึ่งเป็นพระราชาก็เกิดความสงสัย ว่าใครมาตะโกนว่าชนะแล้วๆ ขณะแสดงธรรมอย่างนี้ จึงสั่งให้อำมาตย์ไปถามดู เอกสาฎกพราหมณ์อธิบายถึงการกล่าวเช่นนั้นว่าสิ่งที่เขาได้ทำหมายถึง การแสดงความยินดีที่เขาสามารถเอาชนะ "ความตระหนี่" ในใจได้ถือเป็นสิ่งอัศจรรย์มากสำหรับตัวเขาเอง เปรียบเสมือนนักรบที่เพิ่งได้ชัยชนะมาจากสมรภูมิก็ไม่ปาน

    เมื่อพระเจ้าพันธุราชได้ทราบเช่นนั้นจึงตระหนักว่า พราหมณ์อย่างเอกสาฎภนั้นได้ทำในสิ่งที่สมควรกระทำ แต่ตัวของพระเจ้าพันธุมราชเองเป็นถึงพระราชากลับยังไม่รู้ถึงสิ่งที่ควรกระทำ เมื่อมีสติระลึกได้สั่งให้อำมาตย์นำผ้าคู่หนึ่งไปมอบแก่เอาสาฎกพราหมณื

    แต่เมื่อเอกสาฎกพราหมณ์ได้รับผ้าแล้ว กลับคิดว่าการที่ตนเองได้นั่งนิ่งอยู่ในลานธรรม พระราชาก็ไม่ได้พระราชทานผ้าหรือทรัพย์ใดๆ ให้ แต่เพียงเพราะตนเองได้ทำการสรรเสริญพระพุทธเจ้าด้วยการถวายผ้า พระราชาจึงประทานผ้ามาให้ จึงคิดว่าไม่สมควรที่จะใช้ผ้าที่ได้มาเพราะอาศัยพระพุทธคุณ

    เมื่อคิดได้ดังนั้นเอกฎกพราหมณ์จึงนำผ้าทั้งสองผืน ที่พระราชาพระราชทานให้ถวายต่อพระวิปัสสีพุทธเจ้าไปแทน เมื่อพระเจ้าพันธุมราชได้เห็นการกระทำของเอาสาฎกพราหมณ์ ก็ได้พระราชทานผ้าให้แก่พราหมณ์ไปอีก 1 คู่ แต่เมื่อรับผ้าแล้วพราหมณ์ก็ถวายต่อพระพุทธเจ้าอี ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพระราชาพระราชทานผ้าทวีขึ้นไปจนถึง 32 คู่

    เมื่อมาถึงผ้าคู่ที่ 32 นั้น เอกสาฎกพราหมณ์เห็นว่าอาจเป็นการเรียกร้องที่จะได้ผ้ามากขึ้นเรื่อยๆ จึงขอรับผ้าคู่ สุดท้ายเอาไว้ โดยที่ผืนหนึ่งตนเองจะนำไปใช้ ส่วนอีกผืนก็จะมอบให้ภรรยาเป็นการถนอมน้ำใจของพระราชาไปด้วย ทำให้พระราชาพอพระทัยในตัวของเอกสาฎกพราหมณ์เป็นอย่างมาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 มกราคม 2012
  18. Norragate

    Norragate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    19,518
    ค่าพลัง:
    +37,735
    สวัสดีครับทุกๆท่าน.....
    ขอความโชคดีมีชัยจงบังเกิดในวันนี้เทอญ.....

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 222n_resize.jpg
      222n_resize.jpg
      ขนาดไฟล์:
      198.3 KB
      เปิดดู:
      138
  19. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    ครั้งหนึ่งในฤดูหนาว พระเจ้าพันธุมราชได้พระราชทานผ้ากัมพลแดง (ผ้าที่ทอด้วยขนสัตว์อย่างเช่น ผ้าสักหลาด) ให้กับเอาสาฎกพราหมณ์เพื่อให้ใช้นุ่งห่มมาฟังธรรมในครั้งต่อไป เอาสาฎกพราหมณ์ เห็นว่าคงเป็นการไม่เหมาะสมที่จะเอาผ้าเนื้อดีมีค่ามาห่อหุ้มร่างกาย จึงตัดสินใจนำผ้านั้นไปทำเป็นเพดานเหนือที่บรรทมของพระวิปัสสีพุทธเจ้าในพระคันธกุฎี เมื่อพระราชมีโอกาสเข้าเฝ้าพระวิปัสสีพุทธเจ้า ณ พระคันธกุฎีที่ประทับ พอแลเห็นผ้าที่ให้พราหมร์ไปก็จำได้ และได้ตระหนักถึงความรู้จักทำในสิ่งที่สมควรกระทำของเอกสาฎกพราหมณ์ แต่พระองค์กลับไม่รู้จักอีกครั้ง จึงได้พระราชาทานทรัพย์สินและสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ มากมายให้และแต่งตั้งเอกสาฎกพราหมณ์ให้เป็น ปุโรหิตประจำราชสำนักอยู่ใกล้ชิดพระองค์ต่อไป

    เอาสาฎกพราหมณ์ได้ประกอบคุณงามความดี บำเพ็ญทานอยู่เป็นประจำจนสิ้นชีวิต ก่อนที่จะสิ้นชีวิตก็มีความปราถนาจะได้พบกับพระพุทธองค์อีกครั้ง โดยหวังจะได้เป็นพระสาวกของพระองค์ในบวรพระพุทธศาสนาเพื่อความหลุดพ้น จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานขอให้เกิดอีกครั้งเป็นชาติสุดท้าย

    ด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์สะอาด ปราศจากความตระหนี่และบุญบารมีที่ได้สั่งสมมาเป็นเวลานานในสมัยพุทธกาล เอกสาฎกพราหมณ์ก็ได้กลับมาเกิดเป็น "ปีปผลิมาณพ" ผู้ร่ำรวยมหาศาลแห่งตระกูลพราหมณ์มหาติถะ ณ กรุงราชคฤห์แคว้นมคธ ซึ่งต่อมาได้ สละเพศฆราวาสออกบวชพร้อมกับภรรยา กลายเป็น "พระมหากัสสปะเถระ" พระอรหันต์สาวกในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

    และมีเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับพระมหากัสสปะเถระอีกครั้งกล่าวคือเมื่อครั้งแรกที่พระพุทธองค์ได้ประทานโอวาทธรรม 3 ประการคือ
    *ประการแรก ให้มีความพึงละอายและเกรงใจในหมู่พระภิกษุทั้งหลายทั้งที่เป็นผู้เฒ่าและผู้บวชใหม่ให้มาก
    *ประการที่สอง คือ ให้ตั้งใจฟังธรรมด้วยจิตที่เป็นกุศลและพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมนั้น
    *ประการสุดท้าย คือ ให้พิจารณาร่างกายว่ามีลักษณะเป็นไตรลักษณ์ เป็นของไม่เที่ยงและเปลี่ยนแปรได้เสมอ

    หลังจากได้ประทานพระโอวาทแล้ว ก็ทรงพระดำเนอนไปสักพักและประทับนั่งที่ใต้ต้นไม้ข้างทาง พระมหากัสสปะรู้ทันจึงได้พับผ้าสังฆาฎิของตนเองเป็น 4 ทบ แล้วนำไปปูลาดเป็นอาสนะถวายพระพุทธเจ้าและขอมอบผ้าผืนนั้นให้พระองค์ได้ใช้ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "แล้วท่านจะให้อะไรนุ่งห่มกาย" พระมหากัสสปะก็ทูลขอผ้าบังสุกุล (ผ้าที่อธิษฐานเอาจากศพ) ของพระพุทธเจ้ามาทำเป็นผ้าสังฆาฎิแทน

    พระพุทธองค์จึงทรงเปลี่ยนผ้าบังสุกุลกับผ้าสังฆาฏิของพระมหากัสสปะ เหตุการณ์นี้ถึงกับทำให้แผ่นดินดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนจะเป็นการกราบทูลว่า พระพุทธองค์ทรงกระทำในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเพราะผ้าบังสุกุลที่พระพุทธองค์ใช้นั้น ไม่เคยประทานแก่สาวกรูปใดเลย

    พระมหากัสสปะเมื่อได้ผ้าบังสุกุลของพระพุทธองค์มาใช้ ก็ไม่ได้เกิดความลำพองใจว่า ตนเองจะได้เป็นที่โปรดปรานของพระพุทธเจ้ากลับตระหนักเพียงว่า จะต้องกระทำความดีให้มากยิ่งขึ้น ให้สมกับที่พระองค์ถวายผ้าบังสุกุลมาให้ใช้
    พระมหากัสสปะจึงได้ปฏิบัติธุดงควัตร (ข้อปฏิบัติเพื่อขูดกิเลส 13 ประการ) อย่างเคร่งครัด ด้วยดวงจิตที่สะอาดบริสุทธิ์แน่วแน่มาแต่ครั้งเยาว์วัยและจากการอธิษฐานในอดีตชาติ ท่านได้ปฏิบัติธรรมด้วยธุดงควัตรอยู่ 7 วัน พอเข้าวันที่ 8 ท่านได้บรรลุอรหันต์
     
  20. ลับแล

    ลับแล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    854
    ค่าพลัง:
    +848
    hello11ต่อ ตอนใกล้”มือ”มัจจุราช((tm-love)อ่านกันให้”ตาแฉะ”กันไปเลยนะคะวันนี้ ลับแลอุตส่าห์พิมพ์ไว้ตั้งแต่เมื่อคืนนะนี่ ยอมอดหลับอดนอนนะคะ...ที่รักคะ?)
    hello4หลวงพ่อจรัลเคยเล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังว่าครั้งหนึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งแถวๆจังหวัดสิงห์บุรีนี่แหละค่ะเธอเป็นชาวบ้านชาวไร่ชาวนาเธอกำลังตั้งครรภ์แก่จัดคืนหนึ่ง เธอปวดท้องคลอดมาก แต่ด้วยความที่บ้านของเธออยู่ในบริเวณทุ่งนา ทำให้การพาตัวเธอออกจากบ้านลำบากลำบนมากๆ ญาติๆและสามีได้ช่วยกันหามตัวเธอข้ามทุ่งนาออกมาที่ถนนใหญ่ ซึ่งมืดมิดสนืทใจเหมือนกับใจเธอในตอนนั้นลยนะคะ<O:p</O:p
    qsquเหตุที่ใจเธอ”มืดมิด”เพราะระหว่างนั้น ที่เธอและญาติๆกำลังรอเพื่อจะโบกรถราอาศัยไปโรงพยาบาล ไม่ว่าผ่านมากี่คันต่อกี่คัน ไม่มีจอดรับเธอเลยซักคันเดียว จนในที่สุดเธอผู้น่าสงสารและน่าเวทนาเป็นยิ่งนักได้เสียชีวิตลงข้างถนนดินแดงตรงนั้นเอง<O:p></O:p>
    :VO หลวงพ่อจรัล ท่านเล่าว่า เมื่อเธอเสียชีวิตลง ก่อนเสียชีวิต เธอโกรธและอาฆาตคนขับรถทุกคันที่ไม่ยอมจอดรับเธอเลย จนทำให้เธอต้องเสียชีวิตลงพร้อมลูกน้อยในท้องของเธอ จิตที่อาฆาตนั้น ทำให้เธอยืนรอและคอยแกล้งรถทุกคันที่ผ่านมาบริเวณที่เธอเสียชีวิต และคอยแกล้งให้เขาเกิดอุบัติเหตุ หลวงพ่อจรัลท่านเป็นพระภิกษุที่มีสมาธิสูง มีฌานแล้ว ท่านสามารถติดต่อและรับทราบว่าวิญญาณตนนี้อาฆาต เมื่อท่านผ่านตรงบริเวณที่เธอเสียชีวิต ท่านรู้ทุกอย่างที่ “วิญญาณตนนี้.”ทำในการแกล้งคนอื่นให้เกิดอุบัติเหตุ ท่านได้สื่อกับเธอโดยขอร้องว่าเป็นบาป อย่าได้ทำเช่นนั้นเลย เธอยอมรับปากหลวงพ่อ แต่เธอบอกว่า”เธอเองจะไม่ทำเช่นนั้นแล้ว แต่วิญญาณอื่นตรงจุดที่เธอตายนั้นยังมีอยู่ ตรงนั้นเธอไม่สามารถห้ามเขาได้” เธอบอกหลวงพ่อจรัลเช่นนั้นนะคะ นี่เป็นการยืนยันว่า “วิญญาณเร่ร่อนบนถนนมีจริง เมื่อไม่มีการเชิญวิญญานๆก็ยังคงอยู่ตรงนั้น<O:p></O:p>
    และวิญญาณแต่ละตน ก็มีนิสัยดั้งเดิมที่แตกต่างกัน เป็นนิสัยเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่นั่นแหล่ะค่ะ ใครเคยดื้อเกเร ตายไปก็ยังเป็นนิสัยเดิมอยู่ แค่เปลี่ยนภพภูมิเท่านั้นเอง นั่นแสดงว่า นิสัยเดิมเป็นอย่างไร ก็จะเหมือนเดิมเมื่อตายนั้นเอง<O:p></O:p>
    dannce_ ลับแลเคยบอกแล้วนะคะว่า ลับแลเป็นคนฝึกสติมานานหลายปีแล้ว ประมาณ 10 ปีเศษค่ะ มีคำกล่าวเปรียบเปรยเรื่องจิตไว้อย่างน่าฟังวว่า สติเปรียบเสมือน “เชือก” จิตเปรียบเสมือน “ลิง” <O:p></O:p>
    chearrจิตมักอยู่ไม่”นิ่ง” สังเกตตนเองไหมคะว่า พอเราเผลอๆเดี๋ยวเราก็จะคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ สลับไปสลับมาตลอดเวลานะคะ เพราะจิตของเราไม่ได้รับการฝึก(ไม่ได้ฝึก”สติ”ค่ะ จิตจึงวิ่งเหมือนกับ”ลิง”ตลอดเวลาเลยนะคะ) <O:p></O:p>
    wel lcome_pink แต่เมื่อใดเราเริ่มฝึกสติ จิตเราจะเริ่มเข้าที่ เริ่มแข็งแกร่งขึ้น เริ่มใจเย็นมากขึ้นและเริ่มปล่อยวางง่ายขึ้นค่ะ (จะเห็นผลจากการฝึกเท่านั้นนะคะ ........ลองพิสูจน์ดูด้วยการฝึกทุกวันนะคะ) พอจิตเริ่มคิด ให้นึกกำหนดสติทันที <O:p></O:p>
    (deejai) ทันทีที่เรา”เริ่ม”กำหนด”สติ” เท่ากับเรากำลังหว่าน”เชือก” ไปดึงจิต(ซึ่งเปรียบเสมือน”ลิง”)กลับมาให้”จิต”อยู่กับตัวนั่นเอง<O:p></O:p>
    และถ้าเราทำอย่างนี้บ่อยๆทุกๆวันล่ะคะ? อะไรจะเกิดขึ้น???<O:p></O:p>
    :z3สมาธิเราจะก้าวหน้าเพิ่มขึ้น บุญกุศลจะเพิ่มขึ้นมากมายมหาศาล เพราะมันเป็นบุญระดับสูงค่ะ<O:p></O:p>
    catt7 การฝึกสตินั้น ในระยะแรกๆเราเป็นคนต้อง”ฝืน”ดึงจิตกลับมา แต่พอฝึกแบบนี้”บ่อยๆ และชั่วโมงบินสูงขึ้น จิตจะเป็นฝ่าย”สะกิด”ให้เรารู้ตัวเองว่าต้อง”กำหนดสติ”ค่ะ<O:p></O:p>
    พูดง่ายๆว่า “ฝึกไปนานๆ สติจะมาสะกิดเอง”นะคะ(เราจะไม่ต้อง”ฝืน”เหมือนครั้งแรกๆที่เราฝึกอีกต่อไปค่ะ)<O:p></O:p>
    (one-eye)ต่อ ตอนที่รถถูกตัดหน้ากะทันหันนะคะ<O:p></O:p>
    เมื่อจู่ๆรถแมงกะไซค์คันนั้น ซึ่งมีผู้ชายคนหนึ่งอายุ ประมาณ45 ปี ผอม ผิวดูกลางๆ2 สีไม่ขาวไม่ดำ ใส่เสื้อเชิ๊ดสีขาวขุ่นๆ นุ่งผ้าถุงลาย(คล้ายคนอิสลามในความรู้สึกของลับแลนะคะ เขาขี่รถคนเดียวค่ะ) เขาขี่ ตัดหน้ารถลับแลอย่างกระะทันหันโดยไม่เกรงใจและโดยท่าทีที่ไม่แยแสเลย โดยไม่คาดคิดแบบ 90 องศา ลับแลรับรู้ทุกอย่างค่ะ เพราะรถเขาขี่เข้ามาในลักษณะขวางรถลับแลเป็นเส้นตรงจากถนนทางขวามือของลับแล จนรถแมงกะไซค์ของเขามาชิดติดหน้ากันชนของลับแลเลย รถที่กำลังขับมาด้วยความเร็วพอสมควรเลย กลับมาถูกรถอื่นตัดหน้ารวดเร็วเช่นนี้ เตรียมงานได้เลยค่ะ<O:p></O:p>
    :z2 ลับแลเคยอ่านเจอหนังสือธรรมะเล่มหนึ่งนานมาแล้ว ว่าวันหนึ่งมีพระภิกษุรูปหนึ่ง เดินทางโดยรถแท็กซี่ไปสถานที่แห่งหนึ่ง ระหว่างการเดินทาง เกิดอุบัติเหตุโดยไม่คาดฝัน ถูกรถคันอื่นพุ่งจากข้างถนนมาตัดหน้ารถของท่าน ท่านเล่าว่า”สติมาทันทีที่เกิดเหตุ”<O:p></O:p>
    ลับแลเพิ่งเข้าใจคำพูดของพระภิกษุรูปนั้น ในวันที่....เกิดเหตุนี่เองค่ะ<O:p></O:p>
    :z14ด้วยความที่ลับแลฝึกสติมานาน ลับแลรู้สึกตัวดีทุกอย่าง “สติ”ที่เคยฝึกมาอย่างดีเป็นเวลานานหลายปี มาทันทีโดยอัตโนมัติ ลับแลนั่งมองเหตุการณ์โดยรับรู้อย่างปกติทุกอย่าง ไม่มีอาการตกใจแต่อย่างใด ไม่ได้มีความคิดหวาดกลัว”ตาย”อยู่ในใจเลยแม้แต่น้อย (ปกติหากคนไม่ได้ฝึกสติมาก่อน ลับแลเชื่อว่า จะต้อง”ตกใจ...ส่งเสียงหวีดร้องแน่นอน โดยเฉพาะเป็นผู้หญิงด้วยนะคะ) แต่ลับแลไม่มีเสียงหวีดร้องแม้แต่คำเดียว แถมลับแลยังนั่งนึกอยู่ในใจเมือนคนปกติทันทีว่า “เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องแปลก ทำไมผู้ชายคนนี้ จึงตัดหน้ารถเรากะทันหันแบบ 90 องศาเช่นนี้ ตามปกติของคนธรรมดาทั่วไปจะต้องกลัวตาย จะต้องไม่ทำเช่นนี้ แต่นี่ดูเขาขี่ทำหน้าเฉยเมย (ไม่หันมามองเลย) เขาทำเหมือนทองไม่รู้ร้อน ตอนที่กำลังตัดหน้า เขาขี่ช้าๆเนิบๆด้วยซ้ำไป ไม่มีท่าทีตกใจ หรือรีบร้อนเลยแม้แต่นิดเดียว” แถมที่แปลกยิ่งไปกว่านั้น คือ เมื่อรถเขากำลังอยู่ในลักษณะตัดหน้าแบบกระชั้นชิดติดกับบังโคลนหน้ารถที่ลับแลนั่ง มันกลับไม่มีเสียงกระทบกระแทกกันเลยแม้แต่น้อยนิด มันอะไรกันนี่ (แต่ต้องขอบอกแฟนๆนะคะว่า ตอนนั้น มันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ลับแลไม่ทันได้นึกว่าเขาเป็น”วิญญาณ”หรือไม่??? มันเร็วเกินไปที่จะนึกค่ะ เพียงแต่นึกถึงเหตุการณ์เฉพาะหน้าอยู่ว่า “ทำไมแปลก เขาไม่ตกใจ ไม่มีเสียงเหล็กกระแทกกันเท่านั้นเอง”<O:p></O:p>
    ไม่น่าเชื่อว่าลับแลไม่มีเสียงร้อง ไม่มีสีหน้าตกใจเลย แม้แต่ในใจก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ <O:p></O:p>
    catt8เป็นไปได้หรือคะ ที่ลับแลจะเป็น"เช่นนั้น"???<O:p></O:p>
    ลับแลเคยบอกแฟนๆแล้วว่า สติทำให้เราปล่อยวางโดยอัตโนมัติค่ะ อย่าลืมว่า ลับแล “ฝึกมานานหลายปีแล้วนะคะ และมีความเพียรในการฝึกด้วย<O:p></O:p>
    อย่างขณะพิมพ์เรื่องเล่าอยู่นี้ บางช่วงที่คิดได้ ลับแลยังฝึกอยู่เลยค่ะ <O:p></O:p>
    catt8 ทันทีที่เขาขับตัดหน้ารถ “ก้อง” เคยสอนลับแลขับรถเสมอ เคยบอกลับแลมาก่อนนี้ว่า”เวลาเจอเหตุการณ์กระทันหัน อย่า”เบรก”รถเด็ดขาด คำอื่นจำไม่ได้นะคะ มีบอกเพิ่มอีก “ลับแลถามทันทีว่า “ทำไมเบรกไม่ได้?” เขาบอกว่า”ถ้าขับมาด้วยความเร็ว แล้วเราแตะเบรก เราจะเสียหลักทันที” ลับแลก็ถามต่อทันที ถ้าจำไม่ผิด เขาจะบอกว่า”ให้ประคองพวงมาลัยให้ดี “ อะไรอีก......ก็จำไม่ได้จริงๆค่ะ<O:p></O:p>
    :z2 และแล้วคำสอนของ”ก้อง”ในวันก่อนโน้น ลับแลก็ได้พบเจอ”ภาคปฏิบัติ”ของเขาในวันที่เกิดเหตุนี้เอง<O:p></O:p>
    ด้วยความแร็วขนาดนั้น “ก้อง”ไม่ยอมแตะเบรกค่ะ แต่”ก้อง”ประคองรถ เหมือนกับงูเลื้อยไปเลื้อยมา ประมาณ 4-5 ครั้ง (ช่างเป็นบุญของลับแลและก้องเสียจริงๆ บนถนนตอนเกิดเหตุนั้น ไม่มีรถตามหลังมาเลยและไม่มีรถสวนมาแม้แต่คันเดียว ซึ่งปกติถนน 2 เลนขนาดนั้น เวลาประมาณ 4 ทุ่มเศษนั้น รถยังพลุกพล่านตลอดเวลาค่ะ เพราะเป็นเส้นทางยอดนิยมที่คนสงขลา-หาดใหญ่ ใช้สัญจรกันตลอดเวลาไม่เคยหยุดหย่อนเลยในเวลาหลายปีที่ผ่านมา เป็นไปได้อย่างไรวันนี้ไม่มีรถตามมาซักคัน ไม่มีรถสวนมาซักคัน “ก้อง”ประคองรถเลี้ยวไปเลี้ยวมา(นึกเอาเองนะคะว่ารถที่มาด้วยความเร็วเป็น 100 จะเลี้ยวโค้งซักขนาดไหนคะ......ในแต่ละเลี้ยว และถ้ามีรถสวนมาซักคันล่ะคะ รู้ๆอยู่ว่าถนนสายนี้รถแต่ละคันวิ่งเร็วมากเหมือนจรวด ขนาดมดซักตัวออกมา....ยังไม่เคยรอดชีวิตเลยค่ะ แต่ในที่สุด “ก้อง”ก็ประคองความโค้ง จนรถเลี้ยวเข้าสู่เส้นทางตรงบนถนนได้ในที่สุดค่ะ แต่เมื่อ"ก้องหันหลังกลับไปชำเลืองดูชายคนนั้น กลับไม่เห็นแม้แต่"เงา"ของเขาเลยนะคะ ซึ่งก้องบอกว่าตอนเกิดเหตุ เขาเห็นเป็นผู้ชาย 2 คนขี่แมงกะไซค์ ซึ่งตรงกันข้ามกับลับแลที่เห็นเพียงคนเดียวเท่านั้นค่ะ<O:p</O:p
    <O:p</O:pเป็นครั้งแรกที่ลับแลได้รับรู้ว่า”ก้อง”ไม่เพียงแต่ซ่อมรถยนต์เก่งเท่านั้น แต่”ก้อง”สุดยอดในการขับรถยนต์อีกด้วย เขาเคยสอนเคล็ดลับหลายสิ่งหลายอย่างให้แก่ลับแลเสมอๆ<O:p></O:p>
    :VO ก้อง”เมื่อประคองรถเข้าสู่เส้นทางตรงของถนนได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พูดคำแรกกับลับแลว่า”เป็นเพราะเธอทำบุญเก่ง ถึงรอดได้อย่างปาฏิหาริย์เช่นนี้ และที่สำคัญ เธอไม่มีเสียงหวีดร้องเลย ฉันจึงไม่รู้สึกเสียสมาธิตกใจกับเสียงเธอ” (เขาบอกว่า ถ้าเกิดลับแลหวีดร้องตกใจ เขาอาจจะเสียสมาธิ ประคองรถไม่ได้ดีถึงขนาดนี้ เพราะระหว่างที่เขากำลังเสียหลักอย่างแรงและกำลังประคองรถเลื้อยไปมา ขอย้ำนะคะว่า”สติ”อยู่กับลับแลตลอดเวลาค่ะ ลับแลนั่งดูแบบปกติเลย ลับแลรู้สึกว่าพอสติมา จิตมันไม่ได้ไปคิดเรื่องอื่นนะคะ มันมองเห็นจริงแต่มันไม่ได้คิดตามเหตุการณ์ภายนอกที่เกิดค่ะ มันเหมือนเรา”รับรู้” แต่ไม่ได้เกิดอารมณ์ไปตามเหตุการณ์นั้น เพราะสติกับจิตมันอยู่ที่เดียวกันไงคะ <O:p></O:p>
    แต่กรณีของคนที่ตกใจสุดขีดหวีดร้องเสียงหลง เป็นเพราะ “สติ”กับ”จิต” ไปอยู่”นอกตัว”ไงคะถึงเป็นเช่นนั้น....<O:p></O:p>
    ถามว่าตอนเกิดเหตุ ลับแล”ตั้งใจฝึกสติ”หรือไม่???<O:p></O:p>
    :z1 เปล่าเลยค่ะ เพราะเหตุการณ์มันเกิดรวดเร็วเกินกว่าจะไปนึกถึงสติหรืออะไรทั้งสิ้นนะคะ แต่เป็นเพราะจิตเคยฝึกสติมาบ่อยๆ จนเคยชินเป็น<O:p</O:pอัตโนมัติไงคะ<O:p></O:p>
    ;aa8อะไรที่เป็น”อัตโนมัติ” มันจะเป็นไปเอง โดย”ไม่ต้องสั่ง”แล้วนะคะ <O:p></O:p>
    และอย่าลืมว่า การที่ลับแลฝึกสติมาบ่อยๆ อานิสงส์ของการฝึกนั้นมัน”ลดเคราะห์กรรมโดยปริยายอยู่แล้วนะคะ กล่าวคือ หากกำลังจะมีเคราะห์กรรมใหญ่ จะบรรเทาเป็นเคราะห์เล็ก หากมีเคราะห์เล็ก จะหายหมดไปเลยนะคะ” <O:p></O:p>
    รู้แล้ว.......รีบๆปฏิบัตินะคะ<O:p></O:p>
    sleeping_rbลับแลได้ยิน”ก้อง”พูด แทบไม่เชื่อหูตนเองเลยจนนิดเดียว เพราะปกติ”ก้อง”ไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องของ”ธรรมะ”เลย แต่ด้วยความที่เราเป็น”ญาติ”กัน เขารับรู้อยู่เสมอเหมือนญาติๆคนอื่นๆในตระกูลว่า “ลับแลเป็นคนชอบทำบุญทำทาน ไปบวชชีทุกปีไม่เคยขาด ฝักใฝ่ในบุญ” <O:p</O:pแสดงว่า “ก้อง”ก็เชื่อเรื่องบุญเหมือนกัน (เขาคงจะซึมซับจากลับแลโดยไม่รู้ตัวกระมัง)<O:p></O:p>
    black_pig แต่ในเรื่องของการขับรถ เขาเคยทักลับแลหลายครั้งว่า “ทำไม ลับแลชอบชับรถมือเดียวทั้งๆที่บางทีเขาสังเกตว่าขับรถเร็วเสียด้วย ก้องสอนลับแลเสมอว่าถ้าขับเร็ว ต้องจับ 2 มือ และจับให้มั่น..ให้แข็งแรง และก่อนออกรถก่อนสตาร์ทรถ ให้เหยียบคลัทช์ก่อน คือ เดี๋ยวนี้ลับแลขับช้าเหมือนใช้น้ำมันตราเต่าแล้วค่ะ แต่ก่อนที่ขับเร็ว ลับแลต้องขอสารภาพว่า บางทีลับแลขับไปฟังเพลงไปด้วย ความสบายใจขณะขับ เผลอก็เอามือไปวางเล่นๆที่หน้าตักค่ะ เขามักจะสอนลับแลเสมอๆ รวมถึงเรื่องชอบซัดโค้ง?”<O:p></O:p>
    fly_pigขอบอกนะคะ อาจารย์ที่สอนคนแรกไม่บอกนี่คะ (เลยซัดโค้งแบบนี้มานานแล้ว เห็น”ก้อง”ตกใจ 2-3 ครั้งแล้วที่มานั่งรถเวลาลับแลขับ ซึ่งจริงๆแล้วลับแลไม่ได้ทำเก๋ไก๋อะไรหรอกค่ะ แต่เพราะไม่ทราบจริงๆ เมื่อก้องทัก ลับแลนึกได้ว่า คนขับรถเก่งอย่าง”ก้อง”ยังตกใจ ลับแลเลยต้องรีบกลับมาทบทวนตนเองใหม่ในเวลาต่อมา<O:p></O:p>
    yimmที่เล่าเกี่ยวกับการสอนขับรถของ”ก้อง”เพราะว่า “ส่วนหนึ่งเป็นความสามารถของเขาในการขับรถด้วย “จึงทำให้ลับแลรอดชีวิตมาได้นะคะ<O:p</O:p
    ;34แต่เบื้องหลังของการรอดชีวิต จริงๆแล้ว คือ เรื่อง“บุญ”ตัวเดียวเลยค่ะ<O:p></O:p>
    bubuหากไม่ใช่”บุญ”วันนั้น คนขับรถอาจไม่ใช่”ก้อง”แน่นอน <O:p></O:p>
    ทำไมลับแลถึงรอดชีวิตมาได้คะ???<O:p></O:p>
    :z3สำหรับลับแลเอง ขอบอกว่า ที่ลับแลรอดชีวิตมาได้ เพราะปัจจุบันชาติ ลับแล ทำทาน ถือศีล(ก่อนนอนเป็นส่วนใหญ่) และทำสมาธิภาวนา(ขณะเคลื่อนไหวมากที่สุดค่ะ หลังๆนี้เพิ่งเริ่มนั่งสมาธิมานานประมาณ 1 ปีเศษค่ะ) เวลาไหว้สวดมนต์แต่ละคืน ลับแลจะอาราธนาหมด......พระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลโลก ก่อนออกจากบ้าน ลับแลจะว่าคาถาก่อนขับรถทุกครั้งค่ะ(บทไหนก็ได้นะคะ ให้นึกถึงครูบาอาจารย์เจ้าของคาถาก็พอแล้วค่ะ) นอกจากนี้ลับแลมักจะสงเคราะห์ญาติๆตามกำลังเมื่อเขาเดือดร้อน(เพราะอดใจไม่ได้จริงๆที่จะไม่ช่วยนะคะ) ที่สำคัญ ลับแลชอบเผยแผ่ธรรมมากๆ มักจัดทำเอกสารฉบับย่อแบบอ่านแล้ว เข้าใจง่าย.....ไม่น่าเบื่อ ทุกระดับการศึกษา แม้แต่คนในที่ทำงานของลับแลเอง ลับแลก็ดึงเข้าเส้นทางธรรมมาหลายคนแล้วนะคะ ที่สำคัญที่สุดคือ คนในตระกูลของลับแลเอง ไปวัดไปบวชชีกันเกือบทุกคนค่ะ เมื่อถึงหน้าบวชชีพราหมณ์ (ทั้งชายทั้งหญิง) <O:p></O:p>
    catt15 เมื่อถึงงานเดือนสิบของชาวใต้ ซึ่งถือเป็นงานบุญใหญ่ ทุกตระกูลของคนใต้จะต้องไปทำบุญเพื่อรับ-ส่ง ปู่ย่าตายาย ญาติๆที่ล่วงลับไปแล้ว<O:p></O:p>
    :z15วงศาคณาญาติของลับแลไปกันเกือบทุกคนค่ะ เรียกว่า ญาติรุ่นหนุ่มๆสาวๆนี่แหละนะคะ "นัดเจอกันที่วัดค่ะ" หลายคนด้วยนะคะ <O:p></O:p>
    fairy3love_คนไปวัดบางคนเห็นลับแลนัดกับญาติผู้ชายยังหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่วัดในงานเดือนสิบ เขาอมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เห็นเรายืนคุยกันจู๋จี๋ นึกว่าเป็นแฟนกัน <O:p></O:p>
    wel lcome_pinkเปล่าเลยค่ะ ...........เรายืนคุย”ธรรมะ”และแลกเปลี่ยนเรื่อง”สิ่งลี้ลับ”กันค่ะ<O:p></O:p>
    catt3 ตา"แฉะ".....กันแล้วยังคะ...........ที่รัก(ของคนอื่น) ???<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...