พบปะ พูดคุย ประสาเพื่อนพ้องน้องพี่ แบบกันเอง

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย tiger-k007, 6 มิถุนายน 2011.

  1. ลับแล

    ลับแล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    854
    ค่าพลัง:
    +848
    <TABLE style="MARGIN: auto auto auto 4.95pt; WIDTH: 106.86%; mso-cellspacing: 1.5pt; mso-yfti-tbllook: 1184" class=MsoNormalTable border=0 cellPadding=0 width="106%"><TBODY><TR style="HEIGHT: 16.5pt; mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; PADDING-BOTTOM: 0.75pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; PADDING-LEFT: 0.75pt; WIDTH: 99%; PADDING-RIGHT: 0.75pt; HEIGHT: 16.5pt; BORDER-TOP: #f0f0f0; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; PADDING-TOP: 0.75pt" width="99%">เจริญสติ .........ไปทำไม???
    วันนี้ ลับแลอยากจะคุยกับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆเรื่อง"การเจริญสติหรือ การเจริญสมาธิ "นะคะ<O:p</O:p

    การเจริญสติหรือ การเจริญสมาธิ หรือเรียกง่ายๆว่า "การทำความรู้สึกตัว"ในอิริยาบถต่างๆ

    ;aa56สติ สำคัญจริงรึ ....???<O:p</O:p

    :VOสติ คือ.....ความรู้สึกตัว

    rabbit_heartสมาธิ คือ....การตั้งใจ<O:p</O:p


    :z2ทำไม ต้องฝึกสติ ?


    แม้แต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายก็ล้วนแต่เจริญสติด้วยกันทั้งสิ้น.......ไม่ว่า จะเป็นหลวงปู่ทวด หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่แหวน หลวงปู่ชา ฯลฯ แต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์เหล่านี้ ท่านล้วนแต่เคยฝึกจิตมาอย่างชนิดไม่ย่อท้อ จะเรียกว่า"ท่านเพียรฝึกอย่างชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพัน"ก็ว่าได้
    ({) หลังจากผ่านความเพียรอย่างไม่ย่อท้อนั้นแล้ว ในที่สุด ท่านจึงได้ "มีสติทุกอิริยาบถ"กันเลยทีเดียว(ไม่ว่าจะเข้าห้องน้ำห้องท่าก็ไม่มีเว้นเลย...แม้แต่วินาทีเดียว จะทำธุระใดๆในห้องน้ำก็ตามแต่ กล่าวได้ว่า"สติอยู่แนบแน่นทุกอนุวินาทีกันทีเดียวเชียว ) จนกระทั่งเข้าสู่พระนิพพานในที่สุด

    fairy3สติเมื่อฝึกบ่อยๆ จะกลายเป็น"มหาสติ"(มันจะเริ่มต่อกันเป็นเส้นสายยาวขึ้นเรื่อยๆตามชั่วโมงบินของผู้ฝึกค่ะ)

    :z12คนเราโดยปกติ จะมีอารมณ์ต่างๆเกิดขึ้นในใจ หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาเยือนในจิตใจเราอยู่ตลอดเวลาแต่ละวันมีไม่รู้กี่อารมณ์กี่ความรู้สึก (ที่เขาเรียกอารมณ์ต่างๆว่า"กิเลส"นั่นแหละค่ะ)<O:p</O:p

    ;aa50 เดี๋ยวก็อารมณ์ดี เดี๋ยวก็อารมณ์ร้าย เดี๋ยวเสียใจ เดี๋ยวดีใจเดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวหงุดหงิด ที่เขาเรียกกันว่า เป็น"ทาส"ของอารมณ์ไงล่ะคะ
    <O:p</O:p:z3ทำไม จึงพูดว่า "เป็นทาสของอารมณ์" ???



    ......ก้อเพราะว่า ความรู้สึกหลากหลายที่กล่าวมา มันนึกจะเกิดมันก็เกิด เหนือการควบคุมของปุถุชนคนธรรมดา เราไม่สามารถปลดปล่อยอารมณ์ต่างๆนั้นได้ คนที่ไม่เคยฝึกจิตมาอย่างดี หมายถึงไม่เคยฝึกเจริญสติ ไม่เคยฝึกสมาธิ เราจะปล่อยวางอารมณ์ไม่ได้เลย มีเรื่องอะไรมากระทบจิตใจ เราจะ"แบก"มันไว้หมด บางเรื่องบางคน แบกนานเป็นหลายเดือนเป็นปีเลยก็มี จนในที่สุดมีอาการป่วยทางจิตนั่นแหละค่ะ เพราะเกิดจากการที่จิตแบกอารมณ์ต่างๆไว้และคิดซ้ำซากบ่อยๆไงคะ :)@ถ้าฝึกจิตมาบ้างสักหน่อย...... ก็จะคุมอารมณ์ได้หน่อย :'( ถ้าฝึกจิตมามาก.....ก็จะคุมอารมณ์ได้มาก )
    (kiss)ถ้าฝึกจิตมาค่อนข้างมากในระดับดีจะคุมอารมณ์ได้ดี จิตจะสงบเร็ว ปล่อยวางอารมณ์ได้เร็วค่ะ)<O:p</O:p




    (sing)คำว่า "ถ้าไม่ได้ฝึกจิตมาดี จะควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้" จะเป็นอย่างไร?<O:p></O:p>






    หมายถึง เกิดอารมณ์ชนิดดี หรือไม่ดี ก็ทำให้มีผลต่อจิตใจ ใจมันฟูมันแฟบอยู่ตลอดเวลาไปตามอารมณ์ที่มากระทบนั้น ถ้าจิตพอใจ จิตก็ฟู ถ้าจิตไม่ชอบใจ จิตก็แฟบ เรียกว่า ฟูๆแฟบๆ ตลอดเวลา เปรียบเสมือนคนที่พกเข็มแหลมคมติดตัวนะคะ เผลอทีไร เข็ม....แทงเอาทุกทีเลย (อารมณ์ต่างๆก็เปรียบเสมือน"เข็เเหลมคม"ที่พกติดตัว นั่นเอง


    (eek) เมื่อใดที่จิตก็มีอารมณ์ที่สุดโต่ง(ดีใจจัด เสียใจหนัก ฯลฯ) เมื่อมีอารมณ์ดีหรือไม่ดีสุดโต่ง จิตมักจะคิดซ้ำซากอยู่เช่นนั้นบ่อยๆครั้งแล้วครั้งเล่า เช่น ผิดหวัง จะเรื่องอะไรก็แล้วแต่ สมมุติว่า ผิดหวังรักคุด.........เราก็นั่งคิดเรื่องเหตุการณ์นั้น ซ้ำๆซากๆบ่อยๆ โดยใจไม่ได้มีเวลาที่จะพักผ่อนเลย จนในที่สุดป่วยทางใจเมื่อป่วยทางใจมากๆเข้าจะไปไหนล่ะคะ ?<O:p</O:p






    :z8 ก็ต้องไป"โรงพยาบาลโรคจิต "หรือโรงพยาบาล"บ้า" นั่นแหละค่ะ(นี่คือเรื่องจริงของคนไข้ส่วนหนึ่งที่บ้าจนต้องเข้าโรงพยาบาลโรคจิตค่ะ)<O:p</O:p




    (cry)เช่นกันนะคะเมื่อเจอเรื่องที่ดี ก็คิดซ้ำซาก ดีใจ ปลื้มใจหลงตนเอง มีเวลาไม่ได้ นั่งคิดแล้วคิดอีก ผลสุดท้าย ก็เพี้ยนได้เหมือนกันค่ะ<O:p</O:p




    yimm ฉนั้น ไม่ว่าอารมณ์ดี หรือไม่ดี ก็ตาม คำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาสอนให้เราทำ"อุเบกขา"ปล่อยวาง ให้หมดนะคะ (ต้อง"เจริญสติ"บ่อยๆในชีวิตประจำวัน..........ถึงจะปล่อยวางได้ง่าย



    :mad: ไม่ใช่ไปรอทำตอน......สวดมนต์กลางคืนก่อนนอนขอบอกว่า"ไม่ทันการณ์"ค่ะ"



















    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    (ping)สติ จึงเป็นเสมือน....เครื่องตักเตือน ควบคุม อารมณ์และความรู้สึกต่างๆของเราไม่ให้ตกอยู่ในอารมณ์ต่างๆ เช่นความโลภ โกรธ หลง และทำให้เราพ้นจากอารมณ์ไม่ดีต่างๆหรือพูดง่ายว่าเราจะวาง"ปล่อยวาง"ได้ง่าย ยิ่งชั่วโมงบินของการฝึก"สติ"มีมากเท่าไร เราจะยิ่ง"ปล่อยวาง"ได้มากเท่านั้น จิตเราจะยิ่งสงบสุขมากขึ้นเท่านั้น เพราะสติจะเป็นตัวเข้าไปพิจารณาและควบคุมอารมณ์ต่างๆ เช่น เวลาที่เราโกรธ เขาก็ไม่ได้ห้ามอย่าโกรธ .....แต่ให้กำหนดรู้ตัวว่าเรากำลังโกรธนะ ฝึกแบบนี้บ่อยๆ เดี๋ยวอารมณ์โกรธ(หรืออารมณ์ใดๆก็ตาม)จะค่อยๆซาไปเอง (จะซาเร็วขึ้นกว่าเดิม)
    :z3 นอกจากนี้การฝึกสติบ่อยๆ ทำให้หายจากการเป็นคนฟุ้งซ่าน หายจากการเป็นคนชอบวิตกจริต หายจากการที่เป็นคนชอบคิดมาก หายจากการเป็นคนที่ขาดความมั่นใจในตนเองได้ และนานๆไปจะกลายเป็นคน"หนักแน่น" ไม่โกรธง่าย หรือโกรธง่ายแต่หายเร็ว(ขึ้น) เวลามีอะไรมากระทบ จะไม่หวั่นไหวง่ายๆ
    (ping-love แต่หากเราไม่ฝึกสติเลย บางคนบอกว่า ฉันก็มีชีวิตอยู่ได้ แถมสุขสบายดีอีกด้วย ไม่เห็นจะต้องไปฝึกไปเฝิกมันเลยไอสติเนี่ย ขอบอก แม้เราจะมีลาภ ยศ เงินทองกองเท่าภูเขาเพียงใด พอเจอเรื่องน่าเสียใจเข้าจังๆ นั่งหัวเข่าทรุด ก็มีมามากแล้ว
    (u) เพราะจิตที่ไม่ได้ฝึกเลย....เคยชินกับการรับความเจ็บปวดได้ง่าย (ชินกับการรับอารมณ์ต่างๆ แล้วฟูแฟบตามสิ่งที่มากระทบนั้นนั่นเอง)
    (good)จึงเป็นที่มาของการแบ่งจิตไว้หลายระดับด้วยกัน
    qsqu จิตที่ไม่ได้ฝึกมาเลยนั้น(นั่นคือจิตของปุถุชน) เปรียบเสมือน เนื้อสด เมื่อโดนมีดเฉือน ย่อมเกิดบาดแผลสด เลือดไหล เจ็บปวดสุดจะบรร-ระ-ยาย(พูดง่ายๆว่า จิตของปุถุชน เป็นจิตที่ไม่ได้รับการฝึกสติ จิตจึงมีความอ่อนไหวและหวั่นไหวง่ายมากๆ เมื่อเจอเรื่องน่าดีใจหรือเจอเรื่องน่าเสียใจ จึงรับอารมณ์นั้นเต็มๆ ......"เต็มแก้ว"เสียจน"ล้นแก้ว"เลยก็ว่าได้ในบางคน บางคนแค่ซึมเศร้า บางคนประชดชีวิต บางคนถึงขั้นฆ่าทำร้ายตนเอง เป็นเพราะไม่เคย"ฝึกจิต"นั่นเอง ถ้าเป็นบ้าน เขาเรียกว่า "บ้านนั้นไม่แข็งแรงทนทาน เพราะไม่มีการตอกเสาเข็มนั่นเอง)
    qsquส่วนจิตที่ฝึกมาบ้างแล้ว(จิตของผู้ปฏิบัติธรรมที่ฝึกมามากแล้ว) เปรียบเสมือนหิน เมื่อมีดกรีดลงบนหิน ก็มีร่องรอยของบาดแผล แต่ไม่เจ็บมากนัก
    qsquส่วนจิตที่ฝึกมาอย่างดีแล้ว จิตนั้น เปรียบเสมือนน้ำ เมื่อมีดกรีดลงบนน้ำ แล้วยกมีดขึ้นจากน้ำ จะไม่เห็นร่องรอยการกรีดของมีดบนผิวน้ำนั่นเลย (นั่นหมายถึง จิตที่พบเจอเรื่องเจ็บปวดหรือไม่ก็ตาม แต่หาได้มีผลให้จิตระคายเคือง ไม่มีผลให้จิตฟูหรือเเฟบได้ แค่จิตรับรู้แล้วผ่านไป นั่นก็ คือจิตของ"พระอรหันต์"ที่ฝึกมาอย่างดียิ่งแล้ว )
    chearrการ เจริญสติ นั้น ใครได้"ปฏิบัติ" ถือว่าเป็นคนที่มี"บุญวาสนา"มากทีเดียว และจะได้"บุญกุศลสูง"มากๆอีกด้วย
    ฝึกสติทุกวัน จะได้บุญทุกวัน ทำได้ง่าย และทำได้ทุกสถานที่ ทำได้"ทุกเวลาทุกโอกาส"
    dencee และทุกๆ ครั้งที่มีการฝึกสติ จะช่วยตัดกรรม ลดเคราะห์กรรม ตัดภพชาติให้สั้นลง เสริมดวงชะตาให้รุ่งโรจน์โชติช่วงชัชวาล...ยิ่งๆขึ้นไป
    :z1 จิตจะสงบได้มากน้อยแค่ไหน เพียงใด อยู่ที่"ชั่วโมงบิน"ของการฝึกค่ะ?
    .........เราสามารถฝึกสติได้ทุกอิริยาบถ จะ.......เดิน เขียนหนังสือ ยิ้ม หัวเราะ ฟังเพลง อาบน้ำ ทำกับข้าว อ่านหนังสือ คุยโทรศัพท์ ฯลฯ ตัวอย่าง เช่น เรากำลังเขียนหนังสืออยู่ ตอนแรกๆ เราก็ยังคิดฟุ้งซ่าน นึกถึงหน้าแฟนอยู่ แต่พอนึกได้(ได้สติ) ก็กำหนดทำความรู้สึกตัวว่าเรากำลังเขียนหนังสืออยู่ (หมายถึงรู้ในกิริยาอาการที่ทำอยู่นะคะ ไม่ใช่นั่งนึกว่าเขียน แต่รู้สึกตัวขณะเขียน หรือที่เรียกว่า "ตามรู้กิริยาที่กำลังทำนั่นเอง )
    (||) ถ้าเรากำหนดสติในกิริยาที่ทำเมื่อไหร่ ความคิดเรื่องอื่นจะหายไปทันที (จะต้องแทนที่กันตลอดเวลา ถ้าสติอยู่ ความฟุ้งซ่าน(คิดเรื่องอื่นๆ)จะหายไป แต่ถ้าความฟุ้งซ่านอยู่ สติจะหายไป ให้สังเกตแค่นี้ง่ายนิดเดียวนะคะ )
    hello8 เพียงคุณกำหนด"รู้สึกตัว"ในกิริยาต่างๆที่กำลังทำอยู่ตลอดวัน บางช่วงอาจเผลอลืม"กำหนด"สติไปบ้าง แต่พอนึกได้
    ให้"กำหนด"ทันที
    (tm-love)ต่อไปจะเกิดความชำนาญขึ้นเอง และนานๆไปจะเป็นอัตโนมัติด้วย
    บุญจากการฝึกสติ สูงกว่าการตักบาตร ถวายสังฆทาน ทำบุญสร้างโบสถ์ และอีกหลายบุญที่เป็นบุญในระดับทาน ระดับศีล เพราะเป็นบุญที่เกิดจากการฝึกสมาธิไงคะ บางคนฝึกไปนานๆ จะกลายเป็นคนมีลางสังหรณ์แม่นหรือบางคนอาจจะกลายเป็นคนมีอภิญญา6 ไปเลยก็มีค่ะ

    :z5พรุ่งนี้ มาติดตามกันดูนะคะว่า......
    " คนที่ฝึกสตินานๆบ่อยๆ จนเเทบจะเป็น"อัตโนมัติ"ของการฝึกแล้ว เมื่อต้องพบเจอกับอุบัติเหตุทางรถยนต์ชนิด ที่มีสิทธิ์รอด(ชีวิต)เพียงแค่1 % จะเป็นอย่างไร.....???""
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2012
  2. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    พระโพธิสัตว์สิทธัตถะสำนึกได้ว่า ไม่ควรจะอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานานเพราะต้องแสวงหาทางดับทุกข์นั้นให้ได้ แต่เพื่อให้เป็นไปตามกรรมกำหนดจึงได้ให้สัญญากับพระเจ้าพิมพิสารว่า หากได้บรรลุธรรมแล้วจะเสด็จมาโปรดพระองค์และชาวเมืองเป็นพวกแรก

    จากนั้นก็ได้ทรงเดินทางไปหา อาฬารดาบส กาลามโคตร ทรงศึกษากับพระอาจารย์อาฬารดาบส ถึงเรื่องการเข้าสมาบัติสำเร็จฌาน 8
    คือ รูปฌาน 4 และ อรูปฌาน 4 ซึ่งถือเป็นความรู้ทางธรรมอันสูงสุดของอาจารย์ หลังจากพระองค์ได้บำเพ็ญสมาธิจนบรรลุฌาน ทั้ง 8 แล้วอาจารย์ก็หมดภูมิความรู้ที่จะสอนต่อไปอีก

    พระโพธิสัตว์จึงได้เสด็จไปยังเมืองพาราณสีเพื่อศึกษาต่อกับพระอาจารย์อุททกดาบส รามบุตร ซึ่งพระองค์ก็ใช้เวลาศึกษาอยู่ไม่นานก็สำเร็จ แต่ก็พบว่ายังไม่ใช่ธรรมะชั้นสูงสุดที่จะทำให้สำเร็จมรรคผลถึงนิพพานได้ จึงได้ปฏิเสธคำเชิญของอาจารย์ที่จะอยู่ร่วมเป็นอาจารย์ช่วยสั่งสอนศิษย์ทั้งหลาย จึงได้ลาและออกแสวงหาธรรมโดยพระองค์เองต่อไป

    เวลาผ่านไปหลายปี พระโพธิสัตว์สมณโคดมได้ทดลองการบำเพ็ญเพียรทั้งหมด ไม่ว่าการบำเพ็ญแบบเดียรถีย์ ที่เป็นแนวปฏิบัติของนักบวชของอินเดียในสมัยโบราณ
    ที่ต้องทรมานร่างกายในแบบต่างๆ เช่น การประพฤติตนเปลือยกาย ไม่ยอมรับอาหารที่เขาให้ หรือฉันอาหารที่เก็บไว้วันเดียวบ้างเจ็ดวันบ้าง เดินเขย่งเท้าหรือนอนบนที่นอนที่ทำด้วยหนาม เป็นต้น

    ในขณะที่ประทับอยู่ อุรุเวลาเสนานิคม ก็มีชายกลุ่มหนึ่งมาจากเมือกบิลพัสดุ์มาตามหาสมณโคดม นำโดย "ท่านอัญญาโกนทัญญธะ" พราหมณ์ผู้เป็นหัวหน้า ได้พาพวกมาเข้าเฝ้าด้วยความเลื่อมใส และทั้งหมดขออยู่รับใช้ที่นั่น จนกว่าพระโพธิสัตว์จะได้บรรลุธรรม

    พระโพธิสัตว์ได้ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาจนพระวรกายซูบผอมดำคล้ำเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกโดยการบำเพ็ญขั้นสุดท้ายนี้คือ การบริโภคอาหารน้อยลงจนถึงหยุดกินอาหารไปเลย เหล่าพราหมาณ์ทั้ง 6 ที่ตามมารับใช้ต่างก็ช่วยกันดูและพระโพธิสัตว์อยู่ตลอด พระองค์ได้ทำการทรมานตนเองจนเกือบจะสิ้นพระชนม์อยู่หลายวัน

    แต่สำหรับท้าวสักกะเทวราชหรือพระอินทร์นั้น ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพระองค์ และยังเกรงว่าความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวนี้จะเกิดความสูญเปล่า ดังนั้นในคืนที่ 49 แห่งการบำเพ็ญเพียรก่อนที่ร่างของพระองค์กำลังจะดับสูญไปเพราะความทุกข์ทรมาน

    พระองค์ได้ยินเสียงพิณจากนักดนตรี ที่แล่นเรือผ่านมาตามแม่น้ำ ซึ่งก็คือพระอินทร์แปลงกายมา โดยที่นักดนตรีปลอมนั้นแกล้งตั้งสายพิณให้หย่อนบ้างและตึงบ้างสลับกันไป

    จนกระทั้งพระอินทร์ตั้งเสียงพิณจนสุดจนสายขาดผึงไป

    เพราะเสียงพิณที่แตกต่างกัน ทำให้พระองค์ได้ตะหนักถึงความสำคัญ "จิตกับกาย" หรือนามกับรูปเป็นครั้งแรกว่า ในขณะนี้พระองค์ได้ทรมานร่างกายมากเกินควร เพราะธรรมชาติของร่างกายสามารถทนได้เพียงเท่านี้ หากดื้อดึงจะใช้จิตเคี่ยวเข็ญร่างกายจนเกินกว่ากำลังก็คงไม่อาจบรรลุธรรมได้แน่ และทำให้พระองค์นึกถึง ตอนที่พระองค์ยังทรงพระเยาว์อยู่ในงานแรกนาขวัญขณะที่อายุได้ 8 พรรษา ได้นั่งอยู่ใต้ต้นหว้าที่ร่มเย็นและมีใจเป็นสมาธิมาก ถือศีล งดเว้นจากเรื่องทางโลกทั้งหลายจนได้บรรลุฌาณเบื้องต้น รู้เท่าทัน "จิต" และมีความสุขจากการรับรู้นั้น

    ทำให้เกิดความสงบจากสิ่งเจือปนทางจิต (กิเลส) ทั้งปวง เมื่อตระหนักได้ดังนี้ พระองค์ก็ได้ยินเสียพิณที่ได้ขึ้นสายใหม่ที่เสียงมีความพอดีบรรเลงได้ไพเราะจึงได้เลิกทรมานกายเพราะตระหนักแล้วว่า

    การเดินสายกลาง ที่ไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนจนเกินไปนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มกราคม 2012
  3. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    การปฏิบัติที่ตึงเกินไป ทำให้ร่างกายที่เต็มไปด้วยความหิวก่อให้เกิดทุกข์ จึงหันมาบริโภคน้ำและอาหารเพื่อร่างกายที่แข็งแรงอีกครั้ง

    เหล่าพราหมณ์ทั้ง 5 คน พอได้ทราบว่าพระโพธิสัตว์ได้กลับมาบริโภคอาหารอีกครั้ง ด้วยความที่ไม่ทราบถึงหลักความจริงในเรื่องการเดินสายกลาง ก็จึงเกิดความเสื่อมศรัทธาในตัวพระองค์ ต่างพาหนีไปไม่ขออยู่รับใช้อีก แต่พระพุทธองคืก็ตั้งมั่นในทางสายกลางที่ได้ค้นพบต่อไปเพราะรู้แล้วว่า "หากร่างกายดี จิตก็ดีงาม สมาธิก็มีความตั้งมั่น" จึงเป็นทางที่จะนำไปสู่การหลุดพ้นได้

    และในช่วงนั้นเองก็มีบุคคลผู้หนึ่งเข้ามามีบทบาทในการตรัสรู้และเป็นเหตุเนื่องมาจากการ
    "อธิษฐาน" เสียด้วย นั่นก็คือ นางสุชาดา ซึ่งเป็นธิดาเศรษฐีแห่งตำบลอุรุเวลาเสนานิคมแห่งหนึ่ง ซึ่งนางได้ตั้งจิตอธิษฐานต่อเทวดาที่ต้นไทรว่า หากนางมีครอบครัวและได้บุตรชายนาจะนำ "ข้าวมธุปายาส" มาถวายกับเทวดา (ข้าวมธุปายาสนั้นเป็นข้าวที่หุ้งด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง)

    ซึ่งในขณะนั้น พระโพธิสัตว์ได้กลับมาบริโภคอาหารจนร่างกายแข็งแรงแล้ว ทำให้ผิดพรรณและร่างกายกลับมามีความสดใสเปล่งปลั่งสมกับลักษณะมหาบุรุษอีกครั้ง นางสุชาดาได้เห็นก็เชื่อว่าต้องเป็นเทวดาอย่างแน่นอน นางจึงเอาข้าวมธุปายาสเข้าไปถวาย พร้อมทั้งอธิษฐานอีกครั้งว่า "ข้าพเจ้าได้บรรลุความปราถนาแล้ว ขอให้ท่านได้บรรลุความปราถนาเช่นเดียวกัน"
     
  4. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    การอธิษฐานครั้งที่สองของพระโพธิสัตว์ จึงได้บังเกิดขึ้นจากการถวายข้าวมธุปายาสนี้ เพราะหลังจากที่พระองค์ ได้เสวยข้าวจนหมดแล้วก็ได้เดินนำถาดทองไปที่ริมแม่น้ำเนรัญชรา เพื่อตั้งจิตอธิษฐานบารมีอีกครั้งว่า

    "ถ้าเราจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้ถาดนี้จงลอยทวนกระแสน้ำไป"

    ปาฏิหาริย์ครั้งที่ 2 จึงเกิดขึ้นทันตาเห็นทันที เมื่อถาดถูกปล่อยจากพระกรหรือมือของพระองค์แล้ว ถาดที่หนักอึ้งก็หมุนลอยทวนกระแสน้ำไปเรื่อยๆ ด้วยแรงอธิษฐาน และจมสู่นาคพิภพไปรวมกับถาดอีก 3 ใบของพระพุทธเจ้าในภัทรกัปปัจจุบัน

    อธิบายแทรกเพิ่มตรงนี้นิดหน่อย "ภัทรกัป" คือการ อุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าในยุคปัจจุบันมี 5 พระองค์ คือ
    พระกกุสันธะ พระโกนาคมณ์ พระกัสสปะ พระโคดม (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)
    และ พระศรีอริยเมตไตรย ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป

    หลังจากถาดได้ลอยทวนน้ำไปแล้วพระองค์ก็เกิดควมแน่วแน่และมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่า พระองค์จะได้ตรัสรู้อย่างแน่นอน จึงได้เสด็จไปยังโคนต้นโพธิ์ทางทิศตะวันออก ขณะที่กำลังจะประทับนั้นเอง ก็มีคนหาบหญ้าที่ชื่อว่า "โสตถิยะ" ผ่านมาได้เห็นลักษณะที่น่าเลื่อมใสงามสง่าของพระโพธิสัตว์ทางทิศตะวันออก จึงได้ทำการถวายหญ้าคา 8 กำ
    มาปูลาดเป็นอาสนะให้ประทับนั่ง พระองค์ทรงรับเอาไว้และนำไปประทับนั่งใต้ต้นโพธิ์ นั่งขัดสมาธิหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ก่อนที่พระองค์จะบำเพ็ญเพียรภาวนาเพื่อการหลุดพ้นก็ "ตั้งจิตอธิษฐานเป็นครั้งที่สาม" กำหนดใจให้สงบตั้งมั่นและทรงอธิษฐานว่า

    "แม้เลือดในร่างกายจะแห้งเหลือแต่หนัง เอ็นหุ้มกระดูกก็ตาม หากยังไม่ได้บรรลุพระธรรมอันประเสริฐสูงสุดนั้น เราจะไม่ลุกขึ้นจากบัลลังก์แห่งนี้"

    ทันใดนั้งเองเทวดาทั้งหลายทั่วทั้งชั้นฟ้า ต่างก็ได้รับรู้ถึงการอธิษฐานจิตของพระองค์ในครั้งนี้ จึงได้พากันลงมาสดุดีบูชามหาบุรุษด้วยดอกไม้ ของหอมต่างๆ และโมทนาบุญที่บังเกิดขึ้นในครั้งนั้น

    แต่ยังมีเทพองค์หนึ่งที่ต้องการขัดขวางการบรรลุธรรมของพระองค์คือ "พญาวสวัตดีมาร" ซึ่งเป็นถึงผู้ปกครองชั้นสูงสุดของสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น (สวรรค์กามาวจร)

    พญามารนั้วเกรงว่าผู้ใดบรรลุธรรมแล้ว จะมีอำนาจพ้นจากกามสุข ซึ่งเป็นอำนาจของตนเองที่ใช้ปกครองเทวดาทั้งหลาย ได้ยกกองทัพมารจำนวนมหาศาลมาประชิด โดยที่พญาวสวัตดีมาร ได้ขี่ช้างชื่อ "คีรีเมขล์" ที่มีความสูงถึง 150 โยชน์มาด้วย ทำให้เหล่าเทวดาพากันถอยหนีไปหมด

    ณ บัดนั้นพระโพธิสัตว์ได้ทรงตั้งพระทัย มุ่งจิตที่บริสุทธิ์ของพระองค์ให้สู้กับธรรมชาติฝ่ายต่ำ และยกจิตของพระองค์เองให้สูงขึ้นเหนือสิ่งที่เป็นความสุขชั่วคราวทั้งหลาย ที่เคยได้ประสบมาแล้วตั้งแต่ครั้งยังทรงเป็นเจ้าชายอยู่ให้พ้นจากกิเเลสมากเหล่านี้

    พญามารได้ออกปากขับไล่พระโพธิสัตว์ให้ลุกออกจากโพธิบัลลังก์โดยอ้างวา บัลลังก์ที่พระองค์ประทับนั่งอยู่นั้นเป็นของพญามารเอง เพราะหน้าที่บงการชีวิตของเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้ประสบทุกข์หรือสุขนั้น เป็นหน้าที่ของพญามารแต่เพียงผู้เดียว

    แต่พระโพธิสัตว์ก็ไม่ได้ลุกขึ้น ตามความประสงค์ของพญามาร บุญบารมีทั้งหมดที่ได้สั่งสมมา ตั้งแต่ครั้งอดีตชาติจะเป็นสื่อกลางและธรณีที่ประทับนั่งอยู่จะเป็นพยาน หลังจากนั้นก็ใช้ปลายนิ้วของพระหัตถ์ด้านขวาชี้ลงไปที่ธรณี

    ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อทั่วทั้งปฐพีเกิดการสั่นไหวแม้แต่ท้องฟ้าก็ร้องคำราม พระแม่ธรณีได้ผุดขึ้นมาจากแผ่นดินเพื่อเป็นพยานและได้ถือเอาหลักฐานที่พระโพธิสัตว์กล่าวอ้าง มาแสดงให้ปรากฎแก่สายตาของพญามาร

    พระแม่ธรณีได้บีบมวยผมที่ชุ่มไปด้วย "บุญบารมี" ของพระโพธิสัตว์ ที่ได้บำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่ต้นจนมีปริมาณมากจนไม่อาจจะประมาณได้ น้ำปริมาณมหาศาลได้พัดท่วมมารนั้นจนหายไปหมดสิ้นและด้วยอำนาจแห่งบุญบารมีได้ซัดเหล่ามารลอยไกลจนถึงเขตมหาสมุทร
     
  5. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    ฝ่ายพญามารก็ยังไม่ยอมแพ้ หมายมั่นจะนำกำลังที่เหลือกลับไปแต่เมื่อกลับไปแล้วก็ถูกฟ้าผ่าลงมาอีก จึงยอมแพ้ต่อพระโพธิสัตว์ พญามารเกรงในพระราชอาญาและบารมีจึงออกปากสรรเสริญต่อพุทธเดชานุภาพของพระองค์ว่า

    ไม่มีบุคคลใดที่มีความเสมอเหมือนพระโพธิสัตว์ไม่ว่าในเทวโลกหรือในมนุษยโลกก็ตาม และพระองค์จะช่วยให้เหล่ามนุษย์ได้พ้นจากสังสารวัฏได้อย่างแน่นอน

    พระโพธิสัตว์ได้ชัยชนะเหนือความชั่วร้ายได้ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ทันได้ลับขอบฟ้า จากนั้นพระองค์ก็ได้กำหนดจิตให้เข้าสู่สมาธิทรงรำลึกถึงความทุกข์แห่งการเวียนว่าย ตาย เกิดที่วนเวียนเกี่ยวเนื่องกันไปไม่ยอมสิ้นสุด จนจิตเป็นสมาธิในเวลาเย็น ก็เกิดปัญญาหยั่งรู้ถึงชาติที่เคยเกิดมาก่อน พอเวลาได้เลยไปถึงค่อนคืนแล้วก็ทรงเกิดปัญญา หยั่งรู้การเกิด การตายของเหล่าสัตว์ทั้งหลาย พอถึงเวลาใกล้รุ่งเข้าก็เกิดปัญญาหยั่งรู้ถึงธรรมที่มีความดับแล้วซึ่งกิเลสทุกอย่าง ในตอนนี้จิตของพระองค์ได้พ้นจากกิเลสในสันดานที่เกิดจากความใคร่ (กามาสวะ) กิเลสที่หมักหมมอยู่ในกมลสันดานทำให้อยากเกิด อยากมี อยากเป็นอยู่ตลอดเวลา (ภวาสวะ) และกิเลสที่หมักหมมอยู่ในสันดานทำให้ไม่รู้ตามความเป็นจริง (อวิชชาสวะ) คือพ้นแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวงบรรลุอรหันต์

    ในที่สุดการค้นหาของพระองค์สิ้นสุดลง ทรงตรัสรู้กาลายเป็น "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า"
    โดยมีเหล่าเทวดาได้พากันลงมาโมทนาบุญกุศลให้มากมาย ในเวลานั้นภายหลังการบรรลุธรรมอันสูงสุดของพระพุทธองค์พื้นปฐพีก็กึกก้องดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วอีกครั้ง

    ขั้นตอนการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ก็สิ้นสุดลงด้วยประการฉะนี้จากตัวอย่างในการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธองค์ จะเห็นได้ชัดถึงพลังแห่งการอธิษฐานนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และต้องมีปัจจัยเป็นองค์ประกอบที่ดีงามจึงจะบรรลุถึงความสำเร็จได้

    และพิมพ์บทต่อไป จะมาดูกันว่า "ปัจจัย" ที่ว่านั้น มีอะไรบ้าง


    ค่อยมาพิมพ์ต่อนะคะ [​IMG]
     
  6. rungaran

    rungaran เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    15,573
    ค่าพลัง:
    +57,322
    :cool:
    :cool:
    สวัสดีครับ คุณ ลับแล
    พี่ไปเที่ยว มาเก๊า มาครับ แหะ ไปฟรีครับ
    กิน เที่ยว ดูโชว์ นอน เข้าบ่อนดูเขาเล่นเราช่วยลุ้นแหะ +ช๊อปกันกระจาย
    4โมงเช้ากิน โจ๊กหมู(ไก่)กาแฟ
    เที่ยง กิน เป็ดย่างห่านย่าง กิ๋นตุ๋น หมูย่าง หมูกรอบ ต้มเลือดกับผักกาด และน้ำซุปอะไรไม่รู้แต่อร่อยมาก
    บ่าย2 เที่ยว จุดสำคัญ แต่ละที่เรียกเป็นภาษาจีนจำไม่ได้ครับ ชื่อเรียกยากมากขอบอก เอิ้ก เอิ้ก+ช๊อปกันให้กระจาย ตามสบายครับ(ใครเข้า Casino)เชิญ
    ใครไม่เข้าก็ไปนอนที่โรงแรมช่วงตอนเย็น ทุ่มครึ่งตื่นกิน บุฟเฟ่+(สลับกับสุกี้)แล้ว ชื้ออาหาร+ไปกินต่อที่โรงแรม Star World Hotel ตี3
    เข้าCasino ครับ ใครเล่นเชิญ ใครไม่เล่นก็ช่วยลุ้นครับ ตามสบาย
    ตี5กลับเข้าโรงแรมนอน
    4โมงเช้า นอนไม่ทันมันส์ พวกๆ....ที่คุมบ่อนเอารถมารับไปกินบะหมี่เกี้ยวกุ้ง
    สูตร มาเก๊า+ซุป อร่อยมากๆครับ ตบด้วยกาแฟ ขนมปังหมูสไตล์จีนๆแต่อร่อยสุดๆครับ เดินชมตึก+ศาลเจ้าแม่ที่สำคัญจำชื่อไม่ได้ครับ แหะ
    เที่ยงกิน อะไรหว่า...อ้อ ติ๋มซำ แล้วเที่ยว +ช๊อปตามสบายครับ เอิ้ก เอิ้ก
    จากวันที่ 10-13(6โมงเย็นกลับถึงไทย 3ทุ่ม ค้างกับเพื่อนที่ ชลบุรี เที่ยวต่อครับ ดึกๆทานข้าวต้ม แล้วนอนครับ วันที่ 14 กลับชะอำโดยปลอดภัยครับ
    เงินที่เอาไปเที่ยวอยู่ครบครับ เพราะฟรีทุกอย่าง แถมได้เงิน pocket momey
    อีก +ของฝากลูก+ภรรยา ก็ฟรีอีกครับ+55 ก่อนกลับก็บอกเพื่อน คราวหน้าจะไปใหนบอกครับ แต่ต้องฟรีถึงจะไปด้วย เอิ้ก เอิ้ก
    ทุกๆคนจำไว้นะครับ ของฟรีนี่ดี และขลังมากๆครับ :cool:
     
  7. Norragate

    Norragate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    19,518
    ค่าพลัง:
    +37,735
    พี่ลับแลกับคุณนวลสุดยอดมากครับบบบบบ(^^)
     
  8. rungaran

    rungaran เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    15,573
    ค่าพลัง:
    +57,322
    :cool:
    ยินดีต้อนรับ ครับ คุณ ขมังเวท
    ภาพพ่อแม่ครูบาอาจาร์ยสายพระป่า งามและ ขลังมากครับ
     
  9. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,495
    ค่าพลัง:
    +19,462
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
     
  10. ลับแล

    ลับแล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    854
    ค่าพลัง:
    +848
    (tm-love)พี่รุ่งคะ
    ดวงพี่รุ่งสมพงค์กับชื่อจังเลยนะคะ
    งานนี้ลับแล ตา:mad:"แดง"หมดแล้วค่ะ
    :z16 ขนาดไปฟรีนะคะ แต่ลับแลแอบดู.......ตอนพี่รุ่ง กำลังจะออกเดินทาง
    ท่าทางพี่รุ่ง.......เดินไม่ค่อยรอด(คล้ายๆไม่อยากจะไปแน่ะค่ะ ทีหลังพี่รุ่ง"อย่าถอดหัวใจ"ไว้ในกระทู้นี้สิคะ....)
    :z8 จะได้"ไปรอด"(หมายถึง"ไปไหว"ไงคะ.....)
     
  11. ลับแล

    ลับแล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    854
    ค่าพลัง:
    +848
    bubuน้องNorคะ
    ขอบคุณสำหรับคำชม...ของน้องค่ะ
    พี่ลับแลเขียนแบบนี้ เรียกว่าได้บุญจาก"ธรรมทาน"ค่ะ
    :z6พี่ลับแลเขียนจากการ"ปฏิบัติ"นะคะ
    ......นั่งนึกไป "เขียนไป"เรื่อยๆ ค่ะ
    yimmน้อง Nor คะ ลองเอาเคล็ดลับที่พี่ลับแลบอกไปปฏิบัติดูนะคะ จะทำให้"ดวงชะตาชีวิต"ดีขึ้นเรื่อยๆค่ะ
    :z2ถ้าดวงกำลังตกให้ปฏิบัติ ทาน(หยอดเหรียญใส่กระปุกทุกวัน3 บ. 5 บ.ก็ตามแต่ ...ตามกำลัง)
    ศีล(อาราธนาศีล,สมาทานศีล 5 ก่อนนอน )
    ภาวนา (นั่งสมาธิก่อนนอน 5-10 นาที ค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละนิดนะคะ ฝึกสติในขณะเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน) ทุกๆวันอย่างต่อเนื่อง เดี๋ยวจะค่อยๆดีขึ้นเองค่ะ
    qsquน้อง Nor คะ ต้องสวดบทพาหุงมหากานะคะ ขนาดคนที่เป็นเจ้าของกิจการโรงงานเสื้อผ้าใน กทม.ไปหาหลวงพ่อจรัลที่วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี เพื่อขอคำแนะนำจากหลวงพ่อจรัลว่า "กิจการโรงงานล้มละลาย" ขอให้หลวงพ่อแนะนำว่า ทำอย่างไรดี ?
    chearrหลวงพ่อจรัล บอกว่า ให้ไปสวดบทพาหุงมหากา
    เจ้าของกิจการ บอกว่า "เขาไม่ค่อยว่าง ให้ภรรยาสวดแทนได้ไหม?"
    หลวงพ่อบอกว่า "ไม่ได้หรอกนะ ดวงชะตาของใคร คนๆนั้นต้องสวดเอาเอง"
    denceeและหลวงพ่อยังพูดอีกว่า "คิดเอาเองว่า ถ้าคุณบอกว่าไม่ว่าง แล้วยังล้มละลายอยู่แบบนี้ กับถ้าคุณมีเวลาสวด แล้วทำให้คุณดวงดีขึ้นกลับมามั่งมีเหมือนเดิม คุณจะเลือกชีวิตแบบไหน?
    (smile)ตกลงเขา"ยอมสวด"ค่ะ
    และให้"บน"หลวงปู่ที่ตนเองนับถือ ขอพรท่านเรื่อง........(อะไรก็ว่าไป) บอกว่าถ้าสำเร็จแล้ว ลูกจะบวชถวายอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน กี่วันก็ว่าไป (ถ้าเป็นเรื่องหนักใจมากๆ ให้บนบวชให้เหมาะสมกับเรื่องหน่อย แต่ถ้าเป็นเรื่องไม่หนักมาก ก็บนบวชซัก 7 วัน หรือ 2 สัปดาห์ก็ได้ค่ะ)
    rabbit_jump การบวชโดยไม่ต้องออกค่าใช้จ่าย
    วัดพระธรรมกาย มีจัดเป็นระยะๆนะคะ คอยติดตามดู
    :z7เคล็ดลับอีกอย่าง หมั่นทำบุญทำทาน ร่วมงานบุญต่างๆ
    fairy3เรื่องที่บนกับเรื่องที่ทุกข์ต้องบนให้พอเหมาะกันนะคะ การบน จึงจะเห็นผลเร็วขึ้นค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2012
  12. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    องค์ประกอบสำคัญในการอธิษฐาน

    พลังอำนาจและปาฎิหารย์แห่งการอธิษฐาน

    การอธิษฐานนั้นมีอยู่ 3 ประการก็คือ
    หนึ่ง พลังจิตที่บริสุทธิ์ สะอาด
    สอง บุญบารมีที่ได้สะสมมาทั้งในอดีตชาติจนถึงปัจจุบัน
    สาม จุดประสงค์แห่งการอธิษฐานที่ถูกธรรม ถูกต้อง เป็นสิ่งดีงาม

    การอธิษฐานนั้นเป็นสิ่งที่จะเอื้อประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น ถูกต้องทางธรรมไม่ขัดแย้งกัน การอธิฐานนั้นจึงจะมีความสัมฤทธิผลได้

    จิตบริสุทธิ์ พื้นฐานที่สำคัญยิ่ง
    การอธิษฐานเป็นการจดจ่อแน่วแน่ของจิต จิตของคนเราจะมีพลังอานุภาพมากก็ต่อเมื่อจิตมีความบริสุทธิ์ และเมื่อจิตจดจ่อและตั้งมั่นอยู่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานๆ เข้า จิตจะสามารถน้อมนำสิ่งที่ต้องการนั้นมาสู่เราได้ แต่สิ่งที่น้อมนำมาเป็นเรื่องของผล ก่อนจะมีผลก็ต้องมีเหตุก่อน

    เราต้องสร้างเหตุที่ดีให้เกิดขึ้นก่อนแล้วจึงจะได้ผลที่ดีตาม เรื่องนี้สำคัญมาก

    พลังจิตเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะเป็นองค์ประกอบในการอธิษฐาน เราจะอธิษฐานอะไรได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ขึ้นอยู่กับพลังจิตของเรานี่แหละ เปรียบเทียบเหมือนคนไข้กับคุณหมอ คุณหมอไม่สามารถจะทำการรักษาคนไข้ให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ได้เลย จนกว่าจะทำให้คนไข้มีจิตใจที่แข็งแรงสมบูรณ์เสียก่อน

    เรื่องจิตนี่คนเรานั้น ได้ติดตัวกันมาก่อนตั้งแต่แรกเกิดกันทุกคนแล้ว นอกจากจะมีติดตัวกันมาตั้งเกิดแล้ว ยังติดมาจากภพชาติในอดีตก่อนอีกต่างหาก หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องราวของผู้ที่มีพลังจิตสูงๆ ผู้ที่สามารถระลึกชาติ และสามารถนำมาช่วยเหลือคนอื่นในด้านต่างๆ ได้ด้วย

    เรื่องนี้เรียกได้ว่าเป็น "จิตฐานเดิม" ที่มีติตตัวมาตั้งแต่ก่อนเพราะในอดีตนั้นคนเหล่านี้เคยมีการสะสม และการปฏิบัติมาแล้วหลายภพหลายชาติมาก่อน เรียกว่ามีอยู่ในเชื้อในตัวอยู่แล้ว เพียงแต่มีการฝึกฝนเพิ่มเติมในปัจจุบันเพียงเล็กน้อย จิตก็มีความเข็มแข็งขึ้นมาได้เพราะมีฐานเดิมหรือจิตเดิมอยู่แล้ว และเมื่อนำจิตที่มีความเข็มแข็งนี้ไปใช้จึงประสบความสำเร็จได้เกือบทุกครั้งไป นี่เป็นเหตุผลที่สำคัญว่า ทำไมบางคนตั้งจิตอธิษฐานในบางสิ่งบางอย่างเพียงครั้งหรือสองครั้งก็ได้รับการตอบสนอง แต่กับบางคนกลับกลายเป็นเรื่องที่ยากแสนยาก เพราะจิตฐานเดิมไม่มีความมั่นคงเพียงพอ

    หรืออาจจะเป็นเพราะกรรมในอดีตส่งผลมาถึง เช่นในอดีตอาจเคยติดสุรา หรือมีสิ่งที่คอยรบกวนจิตประสาททำให้เกิดความอ่อนแออยู่เสมอ จิตได้เคยถูกทำลายมาก่อน หรือจิตเคยอยู่ในสัตว์ที่อยู่ในภูมิของเดรัจฉานที่มีชีวิตอยู่เพียงโดยสัญชาตญานไม่มีการพัฒนา

    พอได้เกิดมาในภพชาติปัจจุบัน จิตจึงไม่มีพลังมากพอ ฝึกเท่าไหร่ก็ไม่ได้ผล หรือจิตก้าวหน้าได้ช้า พอนำจิตไปใช้ก็ไม่มีพลังมากพอจะส่งให้เกิดผลสำเร็จ พออธิษฐานอะไรก็ไม่ค่อยเกิดผล

    แต่เรื่องได้ผลหรือไม่ได้ผลนั้นต้องมีเรื่องของ "กรรม" เข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญเกี่ยวข้องด้วย เพราะถึงแม้ว่าในอดีตทำบุญเรื่องจิตมาดีแต่ปัจจุบันทำไม่ดีไม่ได้ฝึกฝนต่อ ก็ไม่ส่งผลต่อการอธิษฐานอะไร

    ส่วนคนที่ทำดีหมั่นสร้างกรรมดีเป็นพื้นฐานในปัจจุบันอยู่ตลอดเวลา แต่พลังจิตอ่อน หากได้ฝึกฝนอย่างต่อเนื่องจิตก็จะมีความเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อนำจิตไปใช้เพื่อการอธิษฐาน แม้อาจจะเห็นผลช้าแต่ก็รับรองว่าจะได้ผลอย่างแน่นอนเพราะบุญนั้นเป็นอาหารแห่งจิต
     
  13. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    เข้าใจเรื่องพลังจิต
    หลายคนต้องการเสาะหาคำตอบที่ว่า ถ้าจิตและพลังจิตมีอยู่จริงแล้ว เหตุใดจึงมองไม่เห็นหรือไม่อาจจะจับต้องได้ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เพราะในเมื่อมีจริงก๋จ่อ
    พิสูจน์ให้เห็นจริงไ สิ่งที่มองไม่เห็นและไม่มีตัวตนจะพิสูจน์แบบนี้ จึงทำให้หลายคนไม่เชื่อในเรื่องของจิตที่มีในตนจึงไม่อาจจะฝึกฝนให้มันแข็งแกร่งขึ้นมา

    เรื่องบางเรื่องที่วิทยาศาสตร์หาคำตอบหรือพิสูจน์ไม่ได้นั้น ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอยู่จริง!

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้คำจำกัดความเกี่ยวกับลักษณะของจิตว่า
    อสรีรํ แปลว่า ไม่มีร่างกาย
    คุหาสยํ แปลว่า มีคูหาเรือนกายเป็นที่อาศัย

    ซึ่งคำที่มาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าองค์นี้ ได้ครูบาอาจารย์สำคัญท่านหนึ่งที่วงการพระพุทธศาสนารู้จักท่านดี ในฐานะครูบาอาจารย์ด้านอภิธรรมและในด้านอื่นคือ
    พระเทพวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตันโณ) ท่านได้เมตตา ขยายความเอาไว้ใน
    หนังสือกฎแห่งกรรม ที่จัดพิมพ์ไว้เป็นธรรมทานอธิบายเรื่องของจิต เพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจกันได้ง่ายว่า

    "จิตนี้เป็นนาม ไม่ใช่รูป จึงไม่อาจจะมองเห็นได้ เพราะมันไม่มีรูปร่าง ไม่มีสี ไม่มีเสียง จึงไม่อาจจะจับต้องได้ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ใดๆ แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ซึ่งสามารถรู้ได้และ สังเกตได้จากพฤติกรรมที่แสดงออกมา

    เช่น เมื่อดีใจ เสียใจ มีความโกรธ ความโลภ หรือมีความสุขเพราะจิตแสดงออกทางกายให้ปรากฎ เช่นเดียวกับความรู้ แม้จะไม่มีตัวตนแต่ก็มีอยู่จริง แสดงออกได้ว่ามีหรือไม่มี มีน้อยหรือมีมาก ตัวเราเองย่อมรู้ชัดได้ด้วยตัวเอง เพราะจิตเป็นตัวทำหน้าที่จดจำ นึกคิด สั่งงาน เก็บได้กระทั่งกรรมและกิเลสเอาไว้ คนที่มีความสามารถบางคนสามารถใช้พลังจิต หรืออำนาจจิตของตนเองสะกดคนอื่นได้ด้วย"

     
  14. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    ในศาสตร์สมัยใหม่ [​IMG]
    นักจิตวิทยาชื่อก้องโลกอย่าง ซิกมันต์ ฟรอยด์
    อธิบายว่า จิตทำหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ซึ่งมีอยู่ 3 ลักษณะ
    1. จิตรู้สำนึก (Consclous mind) เป็นสภาวะจิตที่ระลึกว่าคนเรากำลังทำอะไร แสดงพฤติกรรมแบบไหนออกมาให้สอดคล้องกับหลักหรือเหตุการณ์แห่งความเป็นจริง
    2. จิตกึ่งสำนึก (Suvconsclous mind) เป็นสภาวะจิตที่ระลึกถึงได้ รู้ว่ามีอยู่แต่ไม่ได้แสดงออกมาในขณะนั้นหรือเวลาปัจจุบัน และเป็นส่วนตัวที่รู้ตัวอยู่ แต่สามารถดึงจิตออกมาใช้ได้ทุกเมื่อตามที่ต้องการ
    3. จิตใต้สำนึก (Unconsclous mind) เป็นสภาวะจิตใจที่ไม่อยู่ในสภาวะที่จะรู้ตัวหรือระลึกถึงไม่ได้ในเวลานั้นและถูกซ่อนอยู่ เป็นเหมือนสิ่งที่ถูกฝังลึกอยู่ในจิตใจ แต่มีอิทธิพลจูงใจต่อพฤติกรรมและการดำเนินชีวิตของคนเรามากที่สุด

    จิตใต้สำนึกของคนเรานี่แหละ ที่มีความสำคัญมาก ฟรอยด์ ได้แบ่งจิตใต้สำนึกลงไปอีก
    ถึง 3 ส่วน คือ
    *อิด (ld) หมายถึงจิตเป็น "สัญชาตญาณดิบ" เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่มีติดตัวคนเรามาตั้งแต่เกิด เช่น มีความรัก โลภ โกรธ หลง เป็นความรู้สึกพื้นฐานที่ทุกคนต้องมีติดตัว

    *อีโก้ (Ego) เป็นจิตใต้สำนึกอยู่ตรงกลาง ระหว่างสัญชาตญาณดิบและ "คุณธรรม"
    คอยทำหน้าที่ไม่ให้คนเราแสดงสัญชาตญาณดิบออกมามากเกินไป เช่นคอยควบคุมจิตในการรับประทานอาหารอย่างพอดี รู้จกรักษามารยาททางสังคม เป็นต้น

    *ซูเปอร์อีโก้ (Super Ego) เป็นพลังจิตที่ได้เรียนรู้ด้านค่านิยม คุณธรรม ความดีความชั่วเป็นพลังงานที่ดีมาคอยกั้นการแสดงออกทาง (อิด) เพียงอย่างเดียว แต่พลังงาด้านนี้ก็ไม่อาจแสดงออกมาทางคุณธรรมเพียงอย่างเดียวเช่นกัน ต้องมีอีโก้คอยดึงไม่ให้แสดงออกถึงคุณธรรมมากเกินไป จิตใต้สำนึกทั้งสามนี้จึงอยู่ร่วมในร่างกายของมนุษย์ และทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์

    สรุป จิตของคนเรานี้ดังเดิมก็เหมือนน้ำใสๆ สะอาดๆ น้ำเป็นของเหลวต้องมีที่อยู่ก็ต้องหาภาชนะใส่ให้มัน เช่น ขวดน้ำ แก้วน้ำ ใส่มันลงไปในภาชนะรูปร่างแบบไหนก็กลายเป็นรูปร่างอย่างนั้น เช่น ใส่ในขวดน้ำก็กลายเป็นรูปขวด ใส่ในแก้วน้ำก็กลายเป็นรูปแบบแก้ว ซึ่งภาชนะนี้ก็เปรียบเสมือนร่างกายของคนเรา...
     
  15. Norragate

    Norragate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    19,518
    ค่าพลัง:
    +37,735
    สาระของพี่ลับแลและคุณนวลผสมผสานกันได้กลมกล่อมมากๆครับ...(^__^)
     
  16. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    สวัสดีค่ะคุณนอร์ ที่ขอนแก่น เป็นอย่างไรบ้าง
    วันนี้ไม่มีท่านใดให้ชมพระเลยหรือคะ..[​IMG]
     
  17. Norragate

    Norragate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    19,518
    ค่าพลัง:
    +37,735
    จะเงียบแค่ไหนก็ตาม..ยังมีผมคนหนึ่งที่จะนำพระที่เรารักและบูชามาให้ท่านๆได้ชมกันนะครับคุณนวล... ^___^

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  18. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    นั้นฟังธรรมะกันต่อ.....
    พระพุทธศาสนาวันอาทิตย์กันนะคะ...[​IMG]

    คำสอนของหลวงปู่ดูล อตุโล
    แห่งวัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ ที่ท่านได้เทศนาสั่งสอนเรื่องการที่จิตของเราปรุงแต่งเอาไว้ เพื่อให้ทุกท่านเจริญในธรรมและเข้าใจในเรื่องจิตได้ง่าย หลวงปู่ดูล ท่านเทศน์ไว้ว่า
    "แท้จริงแล้วจิตนั้นก็คือ พุทธหรือสิ่งที่สูงสุด ไม่มีพุทธะอื่นใดที่ไหนอีก ไม่มีจิตอื่นใดที่ไหนอีก จิตที่บริสุทธิ์มันแจ่มจ้าและไร้ตำหนิ เช่นเดียวกับความว่าง คือมันไม่มีรูปร่างหรือปรากฎการณ์ใดๆ เลย ถ้าเราใช้จิตของเราให้ปรุงแต่งความคิดฝันไปต่างๆ นั้น ก็เท่ากับเราได้ทิ้งเนื้อหาอันเป็นสาระเสีย แล้วไปผูกพันตัวเองอยู่กับรูปธรรมซึ่งเป็นเปลือก

    จิตนั้นเป็นเหมือนความว่าง ซึ่งภายในนั้นไม่มีความสับสนและไม่มีความไม่ดีต่างๆ เห็นได้จากเมื่อดวงอาทิตย์ผ่านไปในที่ว่างแห่งน้นย่อมส่องแสงไปได้ทั้งสี่มุมโลก เพราะว่าเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นย่อมให้ความสว่าบทั่วไปทั้งผืนโลก ความว่างที่แท้จริงนั้นมันไม่ได้สว่างขึ้น และเมื่อพระอาทิตย์ตกความว่างก็ไม่ได้มือดลง ปรากฎการณ์ของความสว่างและความมือดย่อมสับเปลี่ยนซึ่งกันและกัน

    แต่ธรรมชาติของความว่างนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง จิตของพุทธและของสัตวโลกทั้งหลายก็ย่อมเป็นเช่นนั้น"

    จากคำเทศน์ของหลวงปู่ดูล แสดงให้เห็นว่า จิตนี้แท้จริงแล้วไม่ใช่จิตที่เกิดความคิดที่ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัยต่างๆหรือกิเลสใดๆ เป็นสิ่งที่อยู่ต่างหากปราศจากความเกี่ยวข้องกับรูปธรรมใดๆ ในโลกอย่างสิ้นเชิง ในทางธรรมแล้วการที่ทำให้จิตว่างเปล่าไร้การปรุงแต่งปราศจากกิเลสทั้งหมด ก็คือการเข้าถึงความสว่าง หมายถึง "พระนิพพาน"
    นั้นเอง
     
  19. rungaran

    rungaran เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    15,573
    ค่าพลัง:
    +57,322
    เอาภาพพระสวยๆมาโชว์ ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • lk.jpg
      ขนาดไฟล์:
      0 bytes
      เปิดดู:
      128
    • re.jpg
      ขนาดไฟล์:
      0 bytes
      เปิดดู:
      122
  20. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    หลวงปู่ทวดงดงามค่ะ อยากจะบอกว่า นั่งพิมพ์อยู่หน้าจอ ก็มีพี่ใจดีนำพระมาให้...
    หลวงปู่ทวดในดวงใจ "หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด"

    *รุ่นสร้างกำแพงเจดีย์วัดพุทธาธิวาส อ.เบตง จ.ยะลา...
    (พี่ไปราชการมานำมาให้ หลวงปู่ทวดมาโปรดอีกแล้ว)

    *พระหลวงปู่ทวดรุ่นเหยียบน้ำทะเลอันดามัน
    พระว่านวัดถ้ำเสือ จ.กระบี่ (ขอบคุณพี่รุ่งค่ะ)

    *พระหลวงปู่ทวด-พระอุปคุต
    เพื่อความเป็นสิริมงคล-และความปลอดภัย

    *พระหลวงพ่อทวด- นครสวรรค์

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มกราคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...