พบปะ พูดคุย ประสาเพื่อนพ้องน้องพี่ แบบกันเอง

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย tiger-k007, 6 มิถุนายน 2011.

  1. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    ส่วนที่เล่าลือกันมาแต่โบราณว่า ใครศึกษาร่ำเรียนวิชาอาคมหรือศาสตร์ลี้ลับต่างๆ แล้วผิดครูนอกครู จะถูกลงโทษด้วยวิธีต่างๆ อย่างน้อยที่สุดก็คือ หาความเจริญก้าวหน้าในชีวิตไม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงเพราะครูที่ลงโทษพวกเขาให้มีอันเป็นไปต่างๆ เช่นนั้น ก็คือ ครูยักษ์ และครูฤาษี ซึ่งฝ่ายหลังนี้แม้จะถือพรต แต่ก็ยังมีโทสะโมหะอยู่มาก ยังไม่มีความมั่นคงในพรหมวิหาร 4 เพียงพอที่จะเป็นเทพได้ หรือถ้าเป็นเทพได้ก็จะไม่ทำเช่นนี้

    ครูยักษ์และครูฤาษีนี้สำคัญ มีอยู่ในทุกสายวิชาโบราณต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนาฏศิลป์ ศิลปะการแสดงสาขาต่างๆ หรือแม้แต่ไสยศาสตร์ เป็นผู้คอยควบคุมจริยธรรมของผู้เรียนรู้วิชาเหล่านี้ เพราะการเรียนรู้วิชาอาถรรพ์ต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ผู้ศึกษามีความรู้ความสามารถในการที่จะให้คุณและให้โทษแก่ปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปได้ ด้วยอำนาจของวิชาที่ร่ำเรียนมา

    เช่น วิชานาฏศิลป์นั้น แม้จะดูเหมือนเป็นศิลปะการแสดง แต่วิชานาฎศิลป์นี้เดิมเป็นส่วนหนึ่งของเทววิทยา ใช้ในการประกอบพิธีกรรม ซึ่งสามารถให้คุณและให้โทษแก่ผู้อื่นได้อย่างแน่นอน
     
  2. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    ส่วนไสยศาสตร์นั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่า ไม่ว่าจะเป็นมนต์ขาว มนต์ดำ ล้วนให้คุณและให้โทษแก่ผู้อื่นได้ทั้งสิ้น

    แม้ว่าการแอบอ้างองค์เทพชั้นสูง จะไม่ทำให้ร่างทรงเหล่านั้นถูกเหล่าเทพลงโทษ และในขณะเดียวกันการเรียนรู้วิชาการทรงเจ้าเข้าผี ที่มีการไปครอบครู รับขันธ์กันตามตำหนักจ่างๆ ก็ไม่ใช่สายวิชาที่มีครูบาอาจารย์มาแต่โบราณ เช่น ครูยักษ์ ครูฤาษี คอยควบคุมความประพฤติของผู้ศึกษาอยู่แล้ว เพราะเป็นวิชาอุปโลกน์ที่คนสมัยนี้คิดกันขึ้นมา

    แต่บรรดาร่างทรงต่างๆ ก็ยังคงประสบชะตากรรมที่ร้ายแรงยิ่งกว่าการลงโทษจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ เพราะแม้ว่าครูยักษ์ ครูฤาษีจะโกรธง่าย โกรธแรงสักเพียงใด ก้ยังมีความเมตตาอยู่ หากถูกลงโทษแล้วสำนึกผิด ไปขอขมาลงโทษก็หาย เป็นอันพ้นจากโทษภัยเหล่านั้นได้

    สิ่งที่เขาไม่มีทางหนีนั้นคือ กรรม

    เพราะโทษภัยที่เกิดจากการกระทำที่ผิดธรรมชาติและเกิดจากการกระทำของตนเอง เป็นกรรมซึ่งให้ผลทั้งชาตินี้ ชาติหน้า ชาติต่อไป โดยไม่อาจบรรเทาได้ด้วยการสำนึกผิดหรือทำพิธีขอขมา เพราะใครก็ตามที่ทำสิ่งชั่วร้าย ก็หมายความว่าเขาเลือกที่จะลงโทษตัวเขาเองอยู่แล้ว ไม่ใช่มีใครมาเลือกที่จะลงโทษหรือไม่ลงโทษเขา
     
  3. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทวดาไม่จำเป็นต้องลงโทษเพราะ "กฎแห่งกรรม" ก็ลงโทษร่างทรงอยู่แล้ว กฎแห่งกรรมก็คือ ส่วนหนึ่งของกฎธรรมชาติ ไม่มีใครฝึนกฎของธรรมชาติได้ การยินยอมเปิดทางให้ฝีเข้ามาอาศัยแฝงร่างด้วยการรับขันธ์ ไม่ว่าจะทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือทำไปเพราะอำนาจกรรมเก่าบันดาล หรือทำไปด้วความสำคัญผิด ทั้งหมดก็เป็นสิ่งกระทำเลือกได้เพราะไม่มีใครมาบังคับให้ทำ

    ดังนั้นการนับถือสิ่งใดก็ตาม ถ้านับถืออย่างมีสติปัญญาและมีเหตุผลเมื่อเกิดความไม่แน่ใจหรือปัญหาใดขึ้นมา ก้จะหาทางออกได้เสมอ

    ปัญญาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนมี สุดแต่ว่าจะรู้จักใช้หรือไม่เท่านั้น

    "คนที่ไม่ได้สะสมบารมีมาตั้งแต่อดีตชาติ และในชาตินี้ไม่ได้สร้างตนโดยการสวดมนต์ไหว้พระ ไม่รู้จักให้ทาน ศีล ภาวนา ก็จะ เปิดให้พูดภาษาเทพได้ยาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 มกราคม 2012
  4. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    การรับขันธ์
    สาเหตุหลักๆ ของคนเราที่จะไปรับขันธ์กันก็เพราะ "ความทุกข์ที่ถาโถมเข้ามาใส่"
    เมื่อถูกทักว่า "มีองค์" ต้องทำการรับขันธ์จึงจะทไห้ความทุกข์ทั้งหลาย ไม่ว่าด้านสุขภาพ หน้าที่การงาน เงินทอง หรือความรักนั้น มีความเจริญก้าวหน้าหรือดีขึ้นตามลำดับ

    บางคนเมื่อถูกทักว่ามีองค์ต้องไปรับขันธ์ ก็เลยเข้าใจว่า ไปรับแล้วจะช่วยให้คลายทุกข์ยากได้ แต่ก่อนที่จะไปทำอะไรอย่างนั้น เราต้องเข้าใจในเรื่องการรับขันธ์ให้ดีและถ่องแท้เสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่

    ความเข้าใจกรณีการรับขันธ์
    การรับขันธ์นั้น เปรียบเหมือนข้อตกลงระหว่างมนุษย์กับเทพในการประพฤติปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ให้เป็นเหมือนเทพมีความศักดิ์สิทธิ์ดังนั้นผู้ที่จะรับขันธ์ต้องมั่นใจก่อนว่า ตนเองมีจิตใจแน่วแน่พอที่จะกระทำตามข้อตกลงที่เป็นสัญญาระหว่างตัวเรากับองค์เทพต่างๆ ได้

    ขันธ์ 5 ของมนุษย์นั้น ประกอบไปด้วย รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์
    สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
     
  5. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    ส่วนเทพเป็นจิตวิญญาณ มีขันธ์เพียง 3 ขันธ์ คือ
    เวทนาขันธ์
    สัญญาขันธ์
    วิญญาณขันธ์

    จึงต้องอาศัยการแต่งขันธ์ 5 ของมนุษย์ ที่จัดตบแต่งขึ้นมาเป็นตัวแทนของตน การรับขันธ์เป็นการยอมรับเป็นร่างให้กับเทพองค์นั้นๆ
    ที่สำคัญยังหมายถึงข้อตกลงระหว่างเทพกับมนุษย์ผู้ตกลงปลงใจยอมรับหน้าที่เป็นสังขารขันธ์ให้กับองค์เทพผู้นั้นไว้ใช้ร่างของตนสร้างบารมี

    โดยมีองค์เทพผู้ทำพิธีมอบขันธ์ให้เป็นสักขีพยาน หากแม้นมีใครระหว่างเทพกับมนุษย์มีการผิดข้อตกลง ก็ต้องเดือดร้อนถึงผู้เป็นครูที่เป็นสักขีพยาน จะต้องทำหน้าที่ว่ากล่าวตักเตือนผู้กระทำผิดต่อไป

    เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า "รับขันธ์นั้นไปเพื่อปฏิบัติและทำความดี"
    ไม่ใช่เพื่อมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์เหนือผู้อื่น

    ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รับเพื่อ
    "ทำให้แจ้งในขันธ์" ไม่ใช่รับขันธ์ 5 เพื่อให้ผีเจ้าเข้าทรง แต่ต้องการให้แจ้งแก่ใจในรูปธรรมทั้งหลายด้วยการใช้ปัญญา ดังนั้น ก่อนจะปฏิบัติตนว่าเราจะทำอย่างไร ก็ขอให้เข้าใจในความหมายที่แท้จริงของขันธ์ 5 เสียก่อน...

    ชีวิตคือขันธ์ 5 ตามพุทธศาสนา ชีวิตคือ ผลรวมขององค์ประกอบ 5 ตัว หรือสิ่งของ 5 อย่าง มารวมตัวกันเข้าตามภาษาธรรมะว่า ขันธ์ 5
     
  6. Norragate

    Norragate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    19,518
    ค่าพลัง:
    +37,735
    คุณนวลนอนดึกจัง (^____^)
     
  7. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    คำว่า ขันธ์ แปลว่า หมวดหมู่ ชนิด ประเภท อันเป็นคำภาษา บาลี ได้แก่
    1. รูปขันธ์ กองรูป
    2. เวทนาขันธ์ กองเวทนา
    3. สัญญาขันธ์ กองสัญญา
    4. สังขารขันธ์ กองสังขาร
    5. วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ

    ทั้งหมดนี้ เรียกได้ว่า เป็นองค์ประกอบของชีวิต ซึ่งอธิบายได้ดังนี้
    1.รูปขันธ์
    คือ กองรูปหรือส่วนที่เป็นรูปธรรม อันหมายถึง ร่างกายและสิ่งที่เกิดจากร่างกาย เช่น พฤติกรรมและคุณสมบัติต่างๆ เช่น เสียง สี กลิ่น รส เพศ เป็นต้น รูปขันธ์แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ "มหาภูตรูป" รูปใหญ่ หรือรูปหลัก และ"อุปาทายรูป"
    รูปอาศัยหรือรูปแฝงอยู่ในรูปใหญ่นั้น

    1.1 มหาภูตรูป ประกอบด้วยธาตุ 4 ได้แก่
    ปฐวีธาตุ หมายถึง ธาตุดิน
    อาโปธาตุ หมายถึง ธาตุน้ำ
    วาโยธาตุ หมายถึง ธาตุลม
    และเตโชธาตุ หมายถึง ธาตุไฟ

    1.2 อุปาทายรูป มี 24 อย่าง ได้แก่
    1.2.1 ปสาทรูป 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้นและกาย
    1.2.2 โคจรรูป (รูปที่เป็นอารมณ์ของอินทรีย์) 4 คือ เสียง กลิ่น รส
    1.2.3 ภาวรูป (รูปที่เป็นเพศ) 2 คือ ความเป็นหญิง(อิตถีภาวะ) และความเป็นชาย
    (ปุริสภาวะ)
    1.2.4 ชีวิตรูป หมายถึง ชีวิต (รูปที่เป็นชีวิต) 1 คือ ชีวอินทรีย์
    1.2.5 อาหารรูป (รูปคืออาหาร) 1 คือ กวฬิงการาหาร (อาหารคือคำข้าวที่เรากินเข้าไป)
    1.2.6 ปริเฉทรูป (รูปกำหนดสถานที่เป็นหลัก 1 คืออากาศธาตุ ได้แก่ ช่องว่างที่มีอากาศหายในร่างกาย
    1.2.7 วิญญัติรูป (การเคลื่อนไหวเพื่อให้รู้ความหมาย) 2 อย่าง คือ กายวิญญัติ (ความเคลื่อนไหวทางกาย) และวจี วิญญัติ (ความเคลื่อนไหวทางวาจา)
    1.2.8 หทัยวัตถุ (ที่ตั้งของจิต 1)
    1.2.9 วิการรูป (อาการที่ทำให้ผิดปกติ) 3 คือ ลหุตา (ความอ่อน) มุทุตา (ความเบา)
    และกัมมัญญตา (ความควรแก่การงาน)
    1.2.10 ลักขณรูป (อาการที่เป็นเครื่องกำหนด) 4 คือ อุปจยะ (การก่อตัวหรือเจริญเติบโต) สันตติ (ความสืบต่อ) ขรตา (ความทรุดโทรม) และอนิจจา (ความแปรปรวน)

    เมื่อรวมธาตุทั้ง 4 ซึ่งจัดเป็นมหาภูตรูป (รูปใหญ่) เมื่อนำมารวมเข้ากับอุปทายรูป (รูปอาศัย 24) แล้วก็จะเป็น 28 อย่างรวมรูปทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วเรียก "รูปขันธ์"

    ความหมายโดยรวมทั้งหมดของรูปขันธ์ จึงหมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประสาทสัมผัสของเราสามารถรับรู้ได้ในชีวิตนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 มกราคม 2012
  8. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    อยากต่อเรื่องขันธ์อีกนิดค่ะ คุณนอร์ :d
     
  9. nudjinnong

    nudjinnong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,161
    ค่าพลัง:
    +3,012
    สวัสดีปีใหม่พี่ๆทุกท่านนะครับ ผมเข้ามาตามอ่าน แต่ไม่ค่อยได้โพสไม่ว่ากันนะครับ
    ผมก็อยากโพส แต่ไม่รู้จะพิมพ์อะไรครับ สาระผมไม่ค่อยจะมี 555+

    ขอให้พี่ๆทุกท่านสุขภาพแข็งแรงครับ คิดสิ่งใดของให้สมปรารถนา โรคภัยอย่าได้เบียดเบียนนะครับ ^_^
     
  10. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    2. เวทนาขันธ์ คือ กองเวทนา
    คือ กองเวทนา เวทนานี้จริงๆ แล้วก็ "ความรู้สึก" หมายถึง ส่วนที่เป็นความรู้สึกอันเกิดจากการรับรู้อารมณ์ต่างๆ แบ่งออกเป็น 3

    2.1 สุขเวทนา รู้สึกดีใจ
    2.2 ทุกขเวทนา รู้สึกเสียใจ
    2.3 อทุกขมสุขเวทนา รู้สึกไม่เสียใจและไม่ดีใจ บางทีเรียกอุเบกขาเวทนา คือรู้สึกเฉยๆ

    3. สัญญาขันธ์
    คือ กองสังขาร หมายถึง "กองแห่งความจำ" ในวิถีชีวิตของคนคนหนึ่ง ถ้าไม่มีความพิการทางสมองก็จะสามารถจดจำวัตถุ บุคคล และเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาทางประสาทสัมผัสได้ดังต่อไปนี้
    3.1 รูปสัญญา ความจำรูปได้
    3.2 สัททสัญญา ความจำเสียได้
    3.3 คันธสัญญา ความจำกลิ่น
    3.4 รสสัญญา ความจำรสได้
    3.5 โผฐัพพสัญญา ความจำสิ่งสัมผัสกายได้
    3.6 ธัมมสัญญา ความจำเรื่องราวต่างๆ หรือเป็นภาพได้

    4.สังขารขันธ์
    คือ กองสังขาร หมายถึง "ส่วนที่เป็นความปรุงแต่งจิตให้ดี" หรือชั่วหรือเป็นกลางๆ กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า เป็นคุณสมบัติต่างๆ ของจิตมีเจตนาเป็นตัวนำที่ปรุงแต่งจิตให้เป็นกุศลหรืออกุศล สังขารแบ่งออก เป็น 3 อย่าง
    4.1 ปุญญาภิสังขาร สภาวะที่ปรุงแต่งจิตดี หรือเป็นกุศล
    4.2 อปุญญาภิสังขาร สภาวะปรุงแต่งจิตชั่ว หรือเป็นอกุศล
    4.3 อเนญชาภิสังขาร สภาวะปรุงแต่งจิตไม่ดีไม่ชั่ว คือ ศีลไม่ดีไม่ชั่ว

    5.วิญญาณขันธ์
    คือ กองแห่งความรู้ หมายถึง ความรู้แจ้งอารมณ์ต่างๆ ที่มากระทบเข้าทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบกับสิ่งเร้าภายนอก คือ อารมณ์ต่างๆ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งสัมผัส และมโนภาพหรือ ธัมมรมณ์ ก็จะเกิดความรู้สึก เช่น เมื่อตากระทบกับรูป โดยมีแสงสว่างเป็นสื่อกลางก็จะเป็นความรู้ทางตา ที่เรียกว่า จักขุวิญญาณขึ้น
     
  11. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    สวัสดีปีใหม่ค่ะน้องโอ๊ต....
    พรใดที่ประเสริฐ ขอส่งมอบให้น้องมีสุขภาพแข็งแรง..มีความสุข ปราถนาสิ่งใดขอให้ได้สมดังที่ปราถนานะคะ... แวะมาคุยค่ะ กลางวันพี่รุ่ง น้องพล คุณนอร์ น้องสุข คุณคนชอบพระ และหลายท่าน อยู่ค่ะ ส่วนพี่กลางวันไม่ค่อยได้เข้าค่ะ จะมายามวิกาลค่ะ...:d
    คุณ อั๋นก็อยู่ค่ะ..

    *กระทู้หลวงพ่อทิมพี่ก็ไม่ได้เข้าค่ะ เพราะไม่ค่อยรู้เรื่องหลวงพ่อทิมเลย...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 มกราคม 2012
  12. nudjinnong

    nudjinnong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,161
    ค่าพลัง:
    +3,012
    สวัสดีครับพี่นวล พี่นวลนอนดึกจัง รักษาสุขภาพด้วยนะครับผม:cool::cool:
     
  13. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    วิญญาณ มีหน้าที่ 2 อย่าง คือ วิญญาณธาตุ และวิญญาณขันธ์
    วิญญาณธาตุ หมายถึง ตัวรู้ คือ จิต
    วิญญาณขันธ์ หมายถึง อาการที่จิตรู้อารมณ์ต่างๆ วิญญาณขันธ์อาจดับได้ทั้งๆ ที่วิญญาณธาตุยังมีอยู่

    สำหรับขันธ์ 5 นี้ เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าเป็นอย่างไร เพราะว่าขันธ์ 5 นี้ จะเห็นปรากฎอยู่ทุกที่ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ มนุษย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เป็นกระบวนการธรรมชาติเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ประกอบด้วยส่วนต่างๆ มารวมกันเกิดขึ้น ชีวิตมนุษย์ประกอบด้วยส่วนต่างๆ อยู่ 5 ส่วน คือ
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ทั้ง 5 ส่วนนี้ เมื่อถูกนำมาย่อลงเป็น 2 คือ
    รูปกับนามหรือกายกับจิต กระบวนการชีวิตนี้เป็นกระบวนการธรรมชาติที่ยืดยาว มีการเวียนว่าย ตาย เกิดหลายภพหลายชาติ ด้วยอำนาจกิเลส กรรม วิบาก เป็นกระบวนการที่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ ดับไป ตามเหตุปัจจัยนั้นๆ

    ส่วนเรื่องของความตาย เป็นเพียงการยุติของกระบวนการชีวิตชั่วระยะหนึ่ง ในชีวิตหนี่งชาติหนึ่งภพหนึ่งเท่านั้น จากนั้นกิเลส กรรมวิบากก็จะส่งผลให้ไปเกิดในชาติใหม่ภพใหม่ภพใหม่อีกต่อๆ ไปไม่มีที่สิ้นสุด กระบวนการธรรมชาตินี้จะสิ้นสุดลงจริงๆ ก็ต่อเมื่อคนเราละความชั่วทั้งหลาย กระทำความดีทั้งปวงให้ถึงที่สุด และประการสุดท้ายให้ละทิ้งความดีและความชั่วทั้งหมด อันหมายถึง "การบรรลุพระนิพพาน" คือไม่มีกิเลสตัณหา ดับราคะ โทสะ โมหะ ดับทุกข์หรือดับภพดับชาติไม่มีการเวียนว่าย ตาย เกิดอีกต่อไป...

    ในโลกทางสังคมนั้น กระบวนการมีชีวิตของปุถุชนมีกิเลสทั่วไปยังต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้น เกิดในภพและชาติต่างๆ ทั้งหลาย สูงบ้างต่ำบ้าง ดีบ้างเลวบ้าง คือ เกิดในนรกบ้าง เกิดเป็นสัตว์บ้าง เดรับฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง เป็นมนุษย์บ้าง เป็นเทวดาบ้าง หรือเป็นพรหมบาง ตามแรงเหวี่ยงของกิเลส กรรมและวิบากที่ตนทำเอาไว้ กระบวนการชีวิตจะเกิดจะดับจะมีปัญหาหรือไม่มีปัญหาขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่อาศัยกันเกิดขึ้น
     
  14. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    ความหมายของการรับขันธ์ต่างๆ
    ขันธ์ 5 หมายถึง การรับศีล 5 มาปฏิบัติโดยเคร่งครัด ซึ่งขันธ์ 5 นี้ ก็คือยังสามารถร่วมหลับนอนกับสามีหรือภรรยาตนเองได้เท่านั้น (กาเมสุมิจฉาจารา เวระมณี) ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าไปรับเข้า มิฉะนั้นอาจถูกลงโทษได้

    ขันธ์ 8 หมายถึง การรับศีล 8 ซึ่งจะต้องประพฤติพรหมจรรย์ห้ามร่วมหลับนอนกัน แม้เป็นสามีภรรยา งดเว้นอาหารมื้อเย็น สวดมนต์ไหว้พระ เจริญสมาธิภาวนา เหมือนการถือศีลบวชพราหมณ์นั่นเอง

    ขันธ์ 9 หมายถึง การรับศีลอุโบสถ ถือศีล 8 เคร่งครัด เด็ดดอกไม้ไม่ได้ ดมดอกไม้หรือเครื่องหอมก็ไม่ได้ กินแต่อาหารเจหรือมังสวิรัติ

    ขันธ์ 10 หมายถึง ศีลของสามเณรหรือสามเณรี ก็เท่ากับการถือบวชโดยถือสิกขาบท 10 ประการ

    ขันธ์ 16 หมายถึง ศีลของนักบวช 227 ที่มุ่งการบำเพ็ญสมาธิภาวนา กินอาหารมื้อเดียว งดเว้นของสดของคาว กินแต่ผลไม้ เผือกมัน ไม่เที่ยวเดินพลุกพล่าน อยู่ด้วยการสำรวมปฏิบัติ นั่งสมาธิเป็นที่เป็นทางแทบจะทำตัวเหมือนนักบวช เพียงแต่เป็นการบวชใจไม่ได้บวชกายเท่านั้น

    ดังนั้นหากถือปฏิบัติตามที่กล่าวมาแล้วไม่ได้ ก็จงอย่าได้ไปรับขันธ์ เป็นอันขาด

    หากแม้นมีใครแนะนำให้รับขันธ์ ก็จงพิจารณาให้ถ้วนถี่เสียก่อนเพราะการรับขันธ์นั้นไม่ใช่เพียงนำมาบูชาเท่านั้น จะต้องปฏิบัติเป็นประจำด้วยก็คือ การสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ แผ่เมตตาถึงองค์เทพที่รับมาด้วยจึงจะถูกต้อง ไม่เช่นนั้นแล้วอาจสร้างปัญหาให้เดือดร้อนได้ถือว่าผิดสัจจะที่รับมา....
     
  15. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    ปฏิบัติตัวอย่างไร
    เมื่อรับขันธ์มาแล้ว ให้ชีวิตดีไม่มีตกอับ

    ในการปฏิบัติตนเมื่อไปรับขันธ์ใดๆ มาก็ตาม แสดงว่าท่านต้องการจะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เมื่อรับมาแล้ว ก็เสมือนมีหน้าที่และคุณสมบัติพิเศษบางประการที่ต่างจากคนทั่วไป

    การรับขันะนั้น ผู้รับต้องไปทำและปฏิบัติตนที่ขันธ์ของตัวเองไปทำรูป นาม ขันธ์ 5 ให้ปรากฎชัดหมายความว่า ต้องหัดทำจิตใจให้เป็นสมาธิ คือ อย่างน้อยๆ ก็ขอให้จิตใจมีระดับสมาธิสั้นๆ เสียก่อน

    จุดมุ่งหมายคือ ให้ สมาธิของตนเองนั้นได้เข้าสู่ขันธ์โดยรูปธรรมนามธรรมโดยเพื่อรับรู้ว่า
    ความสุขและความทุกข์ทั้งหลาย นั่นคือความไม่แน่นอน

    ความรู้ว่าชีวิตของคนเรานั้นเป็นทุกข์บังคับไม่ได้และเมื่อมีความสุข ก็บังคับไม่ได้ เมื่อต้องเสียใจก็บังคับไม่ได้ โกรธก็บังคับไม่ได้ ต้องการให้สมาธิยึดตรงนั้นให้แม่นยำ เพื่อรับรู้ความรู้สึกทั้งหลายที่เข้ามาหาตัว ทุกอย่างล้วนเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    เมื่อจิตใจรับรู้ดังกล่าวแล้ว อุปาทานทั้งหลายก็จะไม่ไปยึดเหนี่ยวความเสียใจ หรือ ความโกรธแต่ประการใด จิตมันก็ไม่มีอุปาทาน แสดงว่า จิตใจของตนเองได้รับทราบขันธ์ดีแล้ว

    ขันธ์ของตัวเองถึงจะถูกต้องสมบูรณ์เป็นการรับขันธ์ ไม่ใช่รับเอาขันธ์มาแล้วไปนั่งที่โน่น นั่งที่นี่ นั่งในถ้ำในป่าก็ไม่ได้ผล เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องเข้าใจตัวเอง เข้าใจขันธ์ เข้าใจรูปธรรม เข้าใจนามธรรม เข้ารู้จักจดจำความดี ไม่ใช่ไปจดจำความชั่ว

    เมื่อเข้าใจพื้นฐานแห่งขันธ์แล้ว ก็ขอให้นำข้อปฏิบัติตนต่างๆ สำหรับการรับขันธ์มาเพื่อความสุขและความเจริญรุ่งเรืองของชีวิต...

    (หลับฝันดีค่ะ)...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 มกราคม 2012
  16. พลศิริ

    พลศิริ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    7,978
    ค่าพลัง:
    +18,982
    อรุณสวัสดิ์เช้าวันพฤหัสบดีครับพี่น้อง
    อนุโมทนาบุญทั้งหมดทั้งมวลกับทุกท่านด้วยนะครับ
    ซำบายดีกันนะครับ ชัยภูมิหนาวอีกแล้วครับ พี่พี่ซำบายดีกันนะครับ
    รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับพี่น้อง
    ห่วงนะถึงได้บอก
    ^^___^^
     
  17. puedpunon

    puedpunon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    7,130
    ค่าพลัง:
    +16,090
    สวัสดียามเช้ากับทุกๆท่านครับผม...
     
  18. puedpunon

    puedpunon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    7,130
    ค่าพลัง:
    +16,090
    แหวนหลวงปู่หมุนสวยมากครับครับ...ไม่ทราบว่าเนื้่ออะไรครับ:cool:
     
  19. พลศิริ

    พลศิริ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    7,978
    ค่าพลัง:
    +18,982
    หวัดดียามเช้้าเช้าครับพี่ปึ๊ด หลวงปู่ซำบายดีนะครับผม พี่ก็ซำบายดีนะครับ ฝากกราบงามงามที่ัตักท่านแทนผมด้วยซักครั้งนะครับพี่:cool:
     
  20. puedpunon

    puedpunon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    7,130
    ค่าพลัง:
    +16,090
    สวัสดีครับพี่นวล...ผมเองเคยพบร่างทรงฤษีนารอดครับ แหะๆๆ
    สมัยนั้น พ่อ/แม่ท่านเชื่อ กลัวเราจะติดทหาร ก็เลยพาไปอาบน้ำมนต์
    คนเค้าว่าศักดิ์นัก เวลาเข้าทรงหลังจะโก่ง ถือไม้เท้า พูดเสียงแก่ๆ
    คนไม่สบายก็เสกยาให้กิน ยาอะไร? ยาพาราขององค์การเภสัชเราๆนี้แหละครับ
    สมัยนั้นคงยังไม่มีไทลินอล แหะๆๆ บางคนขอน้ำมนต์ก็แกะเอาน้ำขวดขุ่น
    ออกมาจากแพ็คมาให้ 555 ผมเห็นก็แปลกๆใจ แต่ก็นะตามใจ พ่อ/แม่
    สรุปผลการจับใบดำใบแดงของผม ในวันที่ ๗ เมษา ๔๓ คือ ทบ.๒ ลพบุรี ฮ่าๆๆๆ :cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...