***กสินใน 1 วัน / อรูปฌาน4 ใน 1 วัน***

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย GluayNewman, 18 ธันวาคม 2011.

  1. bigboom007

    bigboom007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    319
    ค่าพลัง:
    +570
    อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้คับ ส่วนตัวมีประสบการณ์ฝึกสติสายหลวงพ่อเทียน แค่3วันก็เห็นผลแล้วคับถ้าทำแบบจิงจัง

    ปล.ขอเสริมบทกลอนของ คุณ luerat

    สติมาปัญญาเกิด
    สติเตลิดมักเกิดปัญหา
    สติมาหมาไม่กัด
    คุมสติไม่ถนัดก็กัดกับหมา
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    วิธีการของคุณ GluayNewman เป็นวิธีการมุงเน้นไปเพื่อเดินปัญญาครับ เป้าหมายเพื่อความละเอียด ความบริสุทธิ และหลุดพ้นของจิต ถ้าทำตามที่คุณกล่าว จะข้ามเรื่อง ความสามารถพิเศษต่างๆ ไปเลยเพราะว่าจิตจะไม่สนใจครับ(ถ้าคิดจะย้อนไปฝึกความสามารถพิเศษต่างๆก็ทำได้ง่าย)...
    กิริยาที่คุณบอกว่าเป็นอัตโนมัต นั้นเค้าเรียกว่า มหาสติครับ
    ข้อดี ที่เห็น นะครับ
    1.ไม่เน้นเรื่องการทำสมาธิแบบวิธีการ เพราะการเจริญสติแบบนี้ ก็เหมือนการทำสมาธิไปในตัวอยู่แล้วแต่ใช้กำลังสมาธิเล็กน้อย เป็นการทำสมาธิในลักษณะลืมตา เลยไม่จำเป็นต้องมาทำสมาธิแบบมีวิธีการ(แต่คนส่วนมากอาจจะสงสัยว่าเป็นไปไม่ได้เพราะเค้าใจคลาดเคลื่อนว่า สมาธิต้องอยู่ในแบบวิธีการ)
    2.สามารถทำได้ทุกอริยาบท สามารถทำได้และปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้อย่างแยบยล โดยที่ไม่มีใครทราบว่าคุณกำลังเจริญสติอยู่ จะยกเว้นก็ตอนทำงานต้องใช้ อิทธิบาท 4 อย่างจริงจัง ก็ยังเป็นการฝึกสมาธิอีกแบบเหมือนกัน
    3.จะทราบกิริยาของจิต อะไรเป็นจิต ฐานของจิตอยู่ตรงไหน อะไรเป็นความคิดที่เกิดจากจิต อะไรเป็นความคิดที่เกิดจากขันธ์ 5 ส่วนนามธรรม(แยกรูปแยกนาม) กิริยาเค้าเป็นอย่างไร
    4.แต่ใน กรณี ที่จะมาทำสมาธิแบบวิธีการ ก็ไม่มีผลเสียอะไร ข้อดี คือ ในครั้งต่อๆไปของการทำสมาธิ ถ้าสามารถแยกจิตกับกายได้ชั่วคราว จะสามารถบังคับจิตให้อยู่ในร่างกายได้ไม่ออกไปท่องเที่ยวที่ไหนเพราะกำลังสติทางธรรมคอยตามควบคุมอยู่ ถึงออกไปก็ไม่หยึดติด เพราะสติทางธรรมจะตามดูตลอด
    5. มีโอกาสที่จะละร่างกายได้ ถ้าสามารถใช้จิต ดูอวัยวะภายในร่างกายตัวเองได้
    6. มีโอกาสเห็น จิตที่เป็นนามธรรม และเห็นขันธ์ 5 ในรูปแบบ นามธรรมได้
    เท่าที่ผมทราบ อาจารย์ที่จะสอน แบบนี้ จะเป็นพระที่ผ่านเรื่อง ฤิทธิ์ เรื่องอภิญญา มาแล้วและท่านก็ทำได้ด้วย..แต่เห็นว่าไม่ใช่ทางหลุดพ้น..เลยยึดการสอนลักษณะนี้ ให้กับลูกศิษย์ เพราะไม่อยากให้เสียเวลา และวิธิการนี้ ก็เหมาะกับสภาพสังคมเมืองในปัจจุบันด้วย......ประมาณนี้ก่อนนะครับ
    ปล. อรูป ที่คุณกล่าว ในความหมายผม หมายถึง คุณต้องถึงจุดที่จิตกับกายแยกกันเด็ดขาด(ชั่วคราวก่อนนะครับ) ที่เค้าเรียก ฌาน 4 นะครับ..เพียงแต่ว่าคุณรักษา อารมย์นี้ไว้นานขี้นกว่าปกติเท่านั้นเอง(โดยสามารถตัดเครื่องกางกั้นจิตใจได้ นิวรณ์ นั่นหละครับ) แล้วไปพิจารณา ความว่าง อากาศ หรือ อะไรนะครับ..
    ปล. กสิณ ของคุณ ถึงจุดที่ คุณเห็นอะไรเหมือน ดูวีดีโอ หรือยัง คือมีมิติ มีความใส แต่ต่างที่สภาพแวดล้อมของสิ่งที่เห็นเท่านั้น ที่ไม่เหมือนเราลืมตาทั่วไป...
    โดยสรุปส่วนตัวนะครับ
    1. ผมพอจะเข้าใจที่คุณพยายามจะสื่อ
    2.ผมเห็นด้วยกับวิธีการที่คุณปฎิบัติ
    3.ผมพอจะทราบถึง กิริยาต่างๆ ที่จะเกิดกับคุณ
    4.และผมว่าวิธีที่คุณกำลังทำอยู่ เป็นวิธีที่ดีมาก ได้ผลเพราะเน้น ให้จิตสะอาด บริสุทธิ จนถึงขั้นไม่มีกิเลส(เข้าเขตนิพพานไปเลย แต่มักจะไม่พูดคำว่า นิพพาน)ผู้สอนมักจะบอกว่า เพื่อไม่ให้กับมาเกิดอีก และจะเน้นว่ากายเรานี่หละก้อนทุกข์
    ผมเข้าใจประมาณนี้นะครับ
    อนุโมทนาสาธุ กับคุณด้วยนะครับ
     
  3. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    คุณnopphakan สรุปได้ดีมากจริงๆ ขออนุญาตเซฟเก็บไว้เลยนะครับ

    ก่อนอื่นขอเพิ่มเติมอีกนิดว่าผมยังมีโลภ โกรธ หลง อยู่นะครับ
    ยังต้องมีขบวนการในการรู้จัก และจัดการกิเลสที่ยังมีอยู่
    เพียงแต่ว่ากิเลสเหล่านั้น ไม่บีบคั้นจิตใจให้เป็นทุกข์ได้เลย....

    เรื่องกสินและอรูปฌาน จะพูดไปแล้ว ที่ผมฝึกเพราะว่ามีความป่วยเป็นเหตุ
    ไม่ได้ฝึกเพื่อต้องการฤทธื์ทางใจแต่อย่างใด แค่บำบัดโรค หรือระงับเวทนาที่เกิดขึ้น

    กสินที่ผมฝึกไม่มีนิมิตเลย มีแต่อาการของ ดิน น้ำ ลม ไฟ คือ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง
    และใช้อาการนั้นเข้าไปบำบัดโรค ...โดยการเอาเย็นไปสู้กับเวทนาที่มันรู้สึกร้อนๆ ในศีรษะ
    หรือเอาความอ่อนไปสู่กับเวทนาที่มันตึงแน่น

    สิ่งนี้ทำให้ผมนึกถึงคำว่า ลักขณูปนิชฌาน ฌานที่เพ่งลักษณะ เพ่งที่อาการ
    ไม่ใช่ฌานที่เพ่งอารมณ์หรือนิมิต (อารัมณูปนิชฌาน)
    แต่ในตำราอธิบายว่า ลักขณูปนิชฌาน คือการเพ่งไตรลักษณ์
    อันนี้ก็เล่าให้ฟังกัน ตามความรู้สึกจริง ที่ไม่ตรงกับตำรานะครับ
    แต่จะเรียกว่าอย่างไร ก็ไม่สำคัญ ถ้าใช้บำบัดโรคได้ ก็สำเร็จตามเป้าหมายแล้ว
    สรุปว่า กสินที่ผมฝึก ไม่มีนิมิตเลยครับ

    ผมจะค่อยๆ เล่าถึงการปฏิบัติของผม และวิธีการที่ทำให้ชีวิตผมค่อยๆ พ้นจากความทุกข์นะครับ
    ผมขอแบ่งเป็น 2 ส่วน ก็แล้วกัน
    1 ส่วนวิปัสสนา ส่วนที่จะพาพ้นทุกข์ ตามที่คุณ nopphakan ได้ช่วยอธิบาย
    2 ส่วนสมถะ ที่มาฝึกทีหลัง หลังจากที่เกิดสมาธิขั้นขณิกะตามธรรมชาติแล้ว
    สมถะช่วยบำบัดเวทนาทางกาย คือค่อยๆ รักษาโรคที่ผมรักษาไม่หายมาตลอด 8 ปี

    การเล่าอาจไม่เรียงตามลำดับนะครับ ...แต่รับรองว่าผู้ติดตามจะได้รับประโยชน์แน่ๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2011
  4. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ไม่รู้นี่ จะรู้ไหมว่าไม่รู้
    ไม่เห็น จะเห็นไหมว่าไม่เห็น
    ก็ต้องรับฟังไปเรื่อยๆละครับ
    ว่าแต่พี่เล่าปัง ผ่านมาแล้วนี่ ผลของสมถะที่ว่า อยู่นานไหม
    แล้วทำอย่างไรจึงสะดุ้งออกจากภพได้ครับ
    และหากภพนั้นไม่สุดที่ตายล่ะ
    ต้องว่ากันที่วาสนาบารมีหรือเปล่า
     
  5. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,431
    ในมุมมองของผมนะครับ(อาจจะไม่ใช่ก็ได้ครับ)

    คุณสามารถกำหนดสติระลึกได้ไม่ลืมตัวตลอดเวลา สิ่งนั้นเรียกว่า ฐีติภูตัง เพียงแต่ว่าคุณไม่ได้อนุรักขนาปธานครับ และคุณสามารถกำหนดจิตให้เกิดปิติ คือความเบากาย เบาใจ นั้นได้ครับ แต่ไม่ใช่อรูปฌาน4ดังที่คุณเข้าใจครับ เพราะว่าอรูปฌาน2 ขึ้นไปนั้น คุณต้องสามารถกำหนดเข้าฌานสมาบัตินั้นได้ครับ การพิจารณาของคุณหยั่งลงไปในเห็นภาวะกายสงบ ใจสงบ รู้เห็นด้วยใจ เกิดปิติซาบซ่านอิ่มกายอิ่มใจด้วยจิตวิเวก เกิดปิติสุขที่เป็นสุขเหนือสุข

    ขอให้เจริญในธรรม
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ก็นั่นแหละ คุณ กะละล้วย คนใหม่

    ผมมาทักทาย ก็เพื่อให้ คุณ สนใจกลับเข้ามาดูที่เงื่อนของภพ ซ่ึงมันจะ
    ต้องมี ชรา และ มรณะ อยู่แล้ว เวลานั้นจะเนิ่นนานแค่ไหนมันไม่ใช่สาระ
    ของคนกำหนดรู้ทุกข์ เพราะเขาดูว่ามันมี ชาติ ชรา มรณะ นี่เขาดูกัน
    ตรงนี้ ถ้าคุณกะละล้วย คนใหม่ อธิษฐานวาจาออกมาว่า

    ก็ให้เป็นเรื่องของเวลาพิสูจน์ นี่ผมก็จะเอาตรงนี้แหละ มาพูดเพื่อให้ได้ยิน
    คำนี้ ก็เท่ากับผมทำสำเร็จ

    ทีนี้ คุณปรารภออกมาดังก้องฟ้า ยังกับ พยาราชสีห์ก็ไม่ปานว่า ตนกำลัง
    อยู่ในห้วงเวลาของการ พิสูจน์

    คนที่กำลังพิสูจน์ตน จะพึงทำอย่างไร พึงเที่ยวสอนเขาไปทั่วหรือไม่ อันนี้ก็แล้ว
    แต่ว่า เสียงที่เปล่งออกมาแบบราชสีห์นั้น มันดังจากข้างในหรือเปล่า หรือดังแค่
    ข้างนอก ไม่ได้ดังออกมาจกาฐานจิตข้างใน ที่มีศีล สมาธิ ปัญญา แทงตลอด
    ถ้าดังมาจากข้างใน ผมก็เชื่อว่า บางอย่างมันเห็นได้ไม่ยาก

    จะต้องไปอ้างวาสนาบารมีเอาข้างหน้าอีกไหม คนเป็นเขารู้ว่า กำลังใช้วาสนาบารมี
    ให้หมดเปลืองไปต่างหาก เปล่งวาจาออกมาดั่ง บันลือสิงหนารถ แต่ถ้ามันไม่ได้ออก
    มาจากฐานของจิต มันจะบั่นทองกำลังทุกสิ่งที่สะสมมาให้มลายหายอย่างหมดเปลืองอยุ่
    แล้วต่างหาก ป่วยการจะไปถามเอา เวลาข้างหน้าว่า จะปรากฏ วาสนา บารมี ยิ่ง
    ใหญ่เป็นตัวพิสูจน์ไหม

    ก็ลองพิจารณาดูนะ

    ส่วนเรื่อง ที่ผมไม่นิยมเล่าการปฏิบัตของตัวเอง เพราะ มันเข้าข่าย "อวดดี"
    ซึ่ง พระที่ตั้งชื่อให้วันแรกที่ผมเกิด ท่านเขียนึคำทำนายทักมาด้วยว่า อย่า "อวดดี"
    ก็เลยไม่นิยมแสดงผลงานของตัวเท่าไหร่

    สู้ให้คนเห็นว่า "อวดจำ" ไม่ได้ ถ้าเมื่อไหร่มีคำดำริว่า ผมเอาแต่ "อวดจำ" อันนี้
    ผมถือว่าผมทำสำเร็จ คือ ไม่ได้ "อวดดี" ไง ซึ่งไม่ว่าจะ อวดไปทางไหน ยัง
    ไงก็ไม่พ้นเรื่องนินทา ที่คู่สรรเสริญ ของขี้ๆ ห้อมล้อมทางเดินอยู่ดี ดังนั้น ให้เลือก
    ระหว่าง "อวดดี" กับ "อวดจำ" ผมชอบให้คนว่าผมทางด้าน "อวดจำ" ก็ชื่อได้ว่า
    ผมปฏิบัติตามคำสอนของพระ

    * * * *

    แล้วที่ผมมาชี้ๆ มาผลักๆ ให้คุณกะเด้งซ้าย กระเด้งขวา จนเข้า ล๊อค ผมจนได้
    นี่เพราะอะไร ถ้ามีปฏิภาณไหวพริบนะ อ้อ คุณนิวรณ์นี่ถ้าจะเคยทำอย่างคุณกะละล้วย
    มาแล้ว เลยทำให้ทราบร่องทางที่จะไหลไปได้ เลยผลักให้ตกไปในทางได้ในที่สุด

    พูดซื่อๆ อาการอย่างคุณผมทำมาหมดแล้ว ก็เลยมาเตือนในฐานะคนเคยเดิน
    แต่ก็ไม่ได้ล้ำหน้าไปมากอะไร ผมยังหันหลังกลับมาดูทางเก่าของตนเสมอ พอ
    เจอใครเดินตรงนั้น ก็ ส่งเสียง เห้ยๆ มาข้างหน้านี่ ส่วนเขามาแล้ว จะเดิน
    แซงผมไป ผมก็ไม่ว่านะ เพราะผมก็ยังเพลินกับการ เหลียวดูคนที่มาข้างหลัง
    อยู่ดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2011
  7. ชัยมงคล

    ชัยมงคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2007
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,473
    มารอฟังต่อครับ ตัวผมชอบเพ่งลมหายใจ พอมาฟังคลิปหลวงพ่อสมบูรณ์ช่วยคลายได้มากเลยครับ
     
  8. LoveViolet

    LoveViolet สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +10
    มาลงชื่อฟังต่อค่ะ
     
  9. smith999

    smith999 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +3
    แนวทางการปฏิบัติ เพื่อมรรคผลนิพพาน ก็ไม่พ้นมหาสติปัฏฐาน 4 นับตั้งแต่อานาปานสติขึ้นมา แนวทางหลวงพ่อสมบูรณ์ ก็เป็นเรื่อง อริยาบถใหญ๋ อริยาบถย่อย ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ที่มีแนวปฏิบัติกันอยู่หลายสาย ทั้งหลวงปู่มั่น วัดมหาธาตุ หลวงพ่อเทียน ก็เพียงแต่สร้างแนวปฏิบัติ หรือการบ้านให้บรรดาลูกศิษย์ได้ประพฤติปฏิบัติ อันไหนดีกว่ากันคงบอกไม่ได้ เพราะต้องอาศัยจริตของแต่ละบุคคล
    ถ้าวัดกันจริงๆก็ต้องดูที่คุณภาพและปริมาณ ว่าจำนวนศิษย์ในแต่ละแนวปฏิบัติที่หลุดพ้น(นิพพาน)เป็นที่ยอมรับกันมีมากเท่าไร ยังไงก็ดูพระไตรปิฎกเป็นหลัก เอาไว้เทียบเคียง อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวเหมือนกันครับ ผมยังเพิ่งเริ่มใหม่ ผู้ศึกษาใหม่อยู่ ขอยกเอาคำสอนพระพุทธองค์เป็นศาสดาสูงสุดไว้ก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2011
  10. ครึ่งชีวิต

    ครึ่งชีวิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,178
    ค่าพลัง:
    +15,103
    อนุโมทนา สาธุ ขอรับ.....
     
  11. suthipongnuy

    suthipongnuy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +1,428
    อ่านคราวๆแล้ว รู้สึกว่า จขกท. ประสบการณ์ปฏิบัติคล้ายๆกับผมนะ แต่ผมยังไม่ได้อะไรเลยนะครับ

    เช่น คุณบอกว่าเคยฝึกเจริญสติตามแนวทางหลวงพ่อเทียน - อันนี้ผมก็เคยไปปฏิบัติ ผลที่ได้รับคือ เข้าใจว่า สติ คืออะไร ความฟุ้งซ่านลดลง เข้าใจทุกข์มากขึ้น แต่ไม่ถึงขึ้นแยกรูป นามได้นะ

    คุณบอกว่าง่วงตลอดเวลา อันนี้ผมก็เป็น ง่วงตลอด

    คุณบอกว่าป่วยหลายๆอย่าง ผมก็เคยเป็น คิดมาก เครียดจนต้องกินยาจิตเวช จนต้องพยายามทำสมาธิให้ได้ถึง ฌาน เพื่อให้อาการบรรเทาลง

    ผมขออนุญาติเรียนรู้ประสบการณ์ของ จขกท. เพื่อนำมาปรับใช้กับตัวผมเองครับ :cool:
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ส่วนเรื่องอื่นๆ..คุณพอเข้าใจได้ดีแล้วครับ..
    อนุโมทนาสาธุครับ
     
  13. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ขอคุณคุณ Nopphakan อีกทีนะครับ สำหรับในส่วนสมถะ
    ในส่วนวิปัสสนา ผมมีวิธีที่เร็วกว่านั้นครับ...ว่างๆ จะมาเล่าให้ฟัง ติดไว้ก่อน ช่วงนี้ยุ่งสักหน่อย

    ส่วนคุณนิวรณ์ ก็ขอบอกตรงตรงๆ ว่า ผมเชื่อคุณไม่ได้จริงๆ นะครับ ขอโทษด้วย
    เพราะเกรงว่า ถ้าเชื่อ หรือปฏิบัติตามที่คุณว่า จะกลายเป็นคนแบบคุณน่ะครับ
     
  14. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    กั๊กๆ คนมี ธรรมสูงส่ง มีธรรมเป็นใหญ่กว่าเรื่องทางโลก

    มีความสามารถในการเข้าสมาธิ เพื่อพักจิตได้รวดเร็ว

    กลับ บอกปัดกล่าวธรรม อ้างว่า เหนื่อยจิต เหนื่อยใจ

    ทั้งๆที่ เข้าสมาธิได้ไว ได้อย่างยอดเยี่ยม มีวิธีเร็วกว่าได้เรื่อยๆ
    แต่......เหนื่อยเฉยเลย

    เอาเถอะนะ ผมได้เตือนคุณแล้ว และ อย่าไปกล่าวเลยว่ากลัว
    จะเป็นแบบผม

    คุณนั่นหนะ รับรองได้เลยว่า อีกหน่อย เหมือนผมที่เคยผ่านๆมาแน่ๆ

    ดีไม่ดี เป็นคนแบบผม ที่ได้มากกว่า ที่ผมเป็น เสียด้วยซ้ำ
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ไว้จะแวะมาติดตามเรื่องราวนะครับ..
     
  16. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    คุณชัยมงคลครับ
    การผ่นอคลายเป็นการวางภาระทางจิตลงครับ
    ฟังหลวงพ่อต่อเลยนะครับ

    แล้วจะทราบว่า "ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรดับ" เป็นสภาวะที่เห็นได้เดี๋ยวนี้...แค่รู้จักวิธี
    ไม่ต้องรอเป็นพระอรหันต์อย่างที่เข้าใจกันครับ
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=nvUV7QHa4XU"]หลวงพ่อสมบูรณ์02 - YouTube[/ame]

    ส่วนเรื่องราวของผม รอสักนิดนะครับ ว่างแล้วจะมาเล่าต่อ
     
  17. smith999

    smith999 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +3
    เห็นแบบพระอรหันต์กับเห็นแบบคุณกล้วยเห็นคงต่างกันเยอะครับ เห็นแจ้งกับเห็น รู้แจ้งกับรู้ มันต่างกันครับ "ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรดับ" ก็คงหมายถึง "นิพพาน" ผมไม่ได้ว่าแนวทางที่คุณปฏิบัติไม่ถูกต้องนะครับ จริงๆเท่าที่ศึกษาก็เป็นแนวมหาสติปัฏฐานนั่นแหละ แต่เพิ่มอะไรที่ปลีกย่อยเข้าไปแค่นั้นเอง
     
  18. KelG

    KelG สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +5
    การฝึกแบบนี้เป็นการฝึกสติธรรมดา ไม่น่าจะเข้าถึงฌานได้นี่นา
     
  19. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    คุณ Smit999
    ใช่ครับ ปุถุชนเห็น "นิพพานชิมลอง"
    ส่วนพระอริยเจ้า "ตกกระแสนิพพาน"

    คุณKelG
    ฌานมาฝึกทีหลังครับ
     
  20. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    ปกติกำหนดการที่หลวงพ่อสมบูรณ์จะลงมากรุงเทพดูได้ที่ไหนครับ เผื่อได้ไปฟังธรรมจากท่านน่าจะจุใจกว่า :)
     

แชร์หน้านี้

Loading...