BBC เขย่าความเชื่อศาสนิกชนทั่วโลก

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย hearsay, 21 กันยายน 2011.

?

คุณเชื่อหรือไม่

Poll closed 12 ตุลาคม 2011.
  1. เชื่อ

    0 vote(s)
    0.0%
  2. ไม่เชื่อ

    0 vote(s)
    0.0%
  3. ไม่ออกความคิดเห็น

    0 vote(s)
    0.0%
  1. hearsay

    hearsay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +186
    สารคดี ที่จัดทำโดย BBC ที่พยายามค้นหาความจริงที่ว่า พระเยซูคริสต์ตายขณะถูงตรึงกางเขนจริงหรือ ? และมีความสงสัยในช่วยประวัติที่หายไปของพระเยซูระหว่าง อายุ 13-30 พรรษา พร้อมการวิเคราห์ช่วงเวลาการเสียชีวิตและบุคคลสำคัญที่ เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ช่วงนั้น พร้อมบทวิเคราะห์จากนักศาสนวิทยาและนักวิจัยทั้งหลายผู้แสวงหาความจริง เรื่องนี้ ?? โดยเฉพาะมีช่วงหนึ่งที่พระเยซูได้เดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนาสายมหายานกับ ลามะที่อินเดีย เมืองแคชเมียร์

    Yuz Asaf - Wikipedia, the free encyclopedia สถานที่ที่กล่าวอ้าง

    ที่ศรีนาคาร์หรือขอเรียกตามลิ้นไทยๆว่าศรีนคร เมืองหลวงแห่งแคว้นแคชเมียร์หรือกัษมิระในภาคเหนือของอินเดียนั ้นมีที่เก็บศพแห่งหนึ่งชื่อว่า โรซาบัล (ROZA BAL) ตั้งอยู่ที่ตำบลกันยาร์ (KAN YAR) ห่ างจากตัวเมืองศรีนครเพียง 3 กม.เท่านั้น โรซาบัลเป็นอาคารชั้นเดียวหลังคาเหลี่ยมแบบเรียบๆ กว้างยาวราวๆ 10 เมตร ทาสีขาว ภายในเคยมีเรือนไม้กรุโปร่งสูงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสูงจรดเพดานครอบ หลุมศพที่อยู่ใต้ดินอีกชั้นหนึ่ง ปัจจุบันเรือนไม้นี้ถูกเปลี่ยนเป็นกระจกทั้ง 4 ด้านแทน แต่ก็ไม่อาจเห็นหรือเข้าถึงหลุมศพใต้ดินอยู่ดี

    ป้ายภายนอกบอกไว้ว่าผู้มี่ทอดร่างอยู่ในหลุมศพนี้คือ ยุซ อาซาฟ (YUZ ASAF) ไม่มีอะไรในที่เก็บศพนี้ที่จะบ่งบอกถึงความสำคัญเป็นพิเศษของชา ยผู้นี้ นอกเสียจากที่พื้นใกล้เรือนคลุมหลุมศพนั้นมีรอยประทับฝ่าเท้าสอ งข้าง ฝ่าเท้าแต่ละข้างมีรอยแผลที่เกิดจากการถูกตอกตะปูตรึงกางเขน ชาวพื้นเมืองบอกว่าหลุมศพนี้คือหลุมศพของจีซัส ไครสต์ พระเยซูเจ้า องค์ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์!


    เป็นไปได้หรือที่พระเยซูจะเสด็จมาไกลถึงที่นี่ พระองค์มาเมื่อไร และมาทำไม


    เรื่องนี้ นักประวัติศาสตร์หลายคนเห็นพ้องต้องกันว่าพระเยซูเคยเสด็จมาทาง ตะวันออก และอาจมาถึงอินเดียแต่ช่วงเวลาที่เดินทางมานั้น นักประวัติศาสตร์มีความเห็นแตกแยกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่า พระองค์รอดพระชนม์จากการถูกตรึงกางเขน แล้วเสด็จมาอินเดีย อีกฝ่ายบอกว่าพระเยซูทรงใช้ “ช่วงชีวิตที่หายไป” คือระหว่างวัย 13 – ประมาณ 30 ชันษา อันเป็นช่วงวัยที่ขาดหายไปเฉยๆ ไม่มีการกล่าวถึงในพระคัมภีร์นั้น เดินทางมายังอินเดีย ก็คือตามหาชนเผ่ายิวที่หายสาบสูญไปแต่โบราณกาล และเชื่อว่าน่าจะมาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่ภาคเหนือของอินเดียนี้เ อง


    เรื่องของเรื่องก็คือ ปีที่ 597 ก่อนคริสต์กาล พระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์ แห่งอัสซีเรียทำลายเมืองเยรูซาเล็มและกวาดต้อนชาวยิวไปเป็นทาสใ นกรุงบาบิโลนของพระองค์ อีก 47 ปีต่อมา พระเจ้าไซรัสมหาราช แห่งเปอร์เซียตีได้บาบิโลนบ้างเป็นกงเกวียนกำเกวียนและได้ปรดปล ่อยชาวยิวเป็นอิสระ ชาวยิวซึ่งทั้งหมดมีอยู่ 13 เผ่าก็อพยพกระจัดกระจายกันไป คงเหลือที่กลับไปยังดินแดนจูเดียเพียง 2 เผ่า อีก 10 เผ่าไม่ทราบว่าแตกฉานซ่านเซ็นไปที่ไหนกันบ้าง แต่นักวิชาการเชื่อว่ายิวพลัดถิ่นเหล่านี้ไปตั้งรกรากทั้งในอียิปต์ เปอร์เซีย อิหร่านอัฟกานิสถาน และภาคเหนือของอินเดีย หรือกัษมิระนี่เอง


    อือม์.....มาไกลจริงๆ


    ร่องรอยที่ยืนยันว่าคนกัษมิระน่าจะสืบเชื้อสายมาจากชาวยิวก็คือ ความเหมือนคล้ายทางภาษาและขนบธรรมเนียมประเพณี จากการศึกษาวิเคราะห์พบว่ามีชื่อเผ่า ชื่อตระกูลกว่า 90 ชื่อที่เหมือนกันระหว่างกัษมิระกับอิสราเอล ชื่อสถานที่อีกกว่า 70 แห่งก็ดูจะมาจากรากศัพท์เดียวกัน ธรรมเนียมบางอย่างของกัษมิระก็คล้ายคลึงกับของชาวยิว เช่น พิธีถือศีลบริสุทธิ์ 40 วันของสตรีที่เพิ่งคลอดบุตร การประกอบอาหารโดยไม่ใช้น้ำมัน เครื่องแต่งกายบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมวกของผู้ชาย และการฝังศพโดยทอดร่างผู้ตายตามแนวตะวันออก- ตะวันตก ซึ่งยังคงถือปฏิบัติกันอยู่จนทุกวันนี้ และแตกต่างจากธรรมเนียมของศาสนาอิสลาม ศาสนาที่ครอบงำดินแดนแห่งนี้มานาน ที่ฝังศพตามแนวเหนือ-ใต้ เป็นที่น่าสังเกตว่า โรซาบัลสร้างในแนวตะวันออก-ตะวันตก แม้จะสร้างขึ้นในระยะที่อิทธิพลศาสนาอิสลามแผ่เข้ามาแล้ว อันแสดงว่าผู้ตายไม่น่าจะเป็นมุสลิม


    นอกจากนั้น การศึกษาวิจัยของศูนย์มานุษยวิทยาด้านพงศ์พันธุ์แห่งมหาวิทยาลั ยลอนดอนซึ่งทำการทดลองกับกลุ่มชนที่เชื่อว่าเป็นลูกหลานชาวยิวใ นอินเดีย ได้ผลว่าชนกลุ่มนี้มีความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนกับชาวยิวแห่งเยเ มนและชนเผ่าในอาฟริกาใต้ ที่เชื่อว่าเป็นกลุ่มหนึ่งของยิวอพยพหลังบาบิโลนแตกเช่นกัน


    ชาวยุโรปผู้หนึ่งที่จุดประกายเรื่องที่พระเยซูเสด็จมาอินเดียก็ คือ โนโตวิช (NICHOLAS NOTOVITCH) ชาวรัสเซีย ผู้เป็นนักหนังสือพิมพ์ และนักเขียนสารคดีการเมือง หนังสือที่เกี่ยวกับการเมืองรัสเซียของเขาทำให้เขามีชื่อเสียงไ ปทั่วยุโรป ปี 1877 เขาเดินทางไปยังอัฟกานิสถาน ปากีสถาน และอินเดีย เพื่อศึกษาชีวิตและความเชื่อของผู้คนในดินแดนนั้น ที่ลาดัค (LADAKH) ดินแดนที่ขนาบข้างด้วยกัษมิระและทิเบต เขาตกจากหลังม้าบาดเจ็บ และได้การดูแลรักษาจากพระลามะรูปหนึ่งที่อารามเฮมิสกุมพา อันเป็นวัดใหญ่ที่สุดของลาดัค เป็นวัดที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง สิ่งก่อสร้างและสถูปประดับประดาด้วยเพชรและพลอยมีค่า พระประธานเป็นทองคำแท้ และยังมีภาพประวัติพระพุทธองค์ที่วาดบนผืนผ้าอายุนับร้อยปีเป็น ของคู่วัดที่รู้จักกันดี โนโตวิชพักอยู่ที่วัดเฮมิสจนคุ้นเคยกับพระลามะรูปนั้น ถึงขนาดที่ท่านเอาม้วนคัมภีร์โบราณที่เขียนเป็นภาษาทิเบตโดยนัก ประวัติศาสตร์พุทธศาสนามาให้โนโตวิชดู ซึ่งโนโตวิชก็สนใจมากและได้คัดลอกบางส่วนที่สำคัญตามที่ล่ามแปล ให้ฟังไว้ คัมภีร์นั้นเล่าถึงเรื่องราวของบุคคลที่ชื่อ อิสซา (ISSA) ตั้งแต่เกิดจนตาย


    แล้วมาเกี่ยวกับพระเยซูอย่างไรหรือ


    ก็อิสซานั้นเป็นชื่อเรียกพระเยซูในภาษาอิสลาม เชื่อว่ามาจากรากศัพท์ภาษาฮีบรูหรืออราเมอิคว่า YESHUA (คำว่า JESUS นั้นเป็นคำในภาษากรีกและลาตินที่ใช้ถ่ายทอดพระคัมภีร์ หาใช่คำในภาษาฮีบรูดั้งเดิมไม่) ตามคัมภีร์ดังกล่าว อิสซา หรือที่เชื่อว่าคือพระเยซูได้เดินทางมายังอินเดียตั้งแต่อายุประมาณ 13 ปี โดยผ่านมาทางอิหร่าน อัฟกานิสถาน และปากีสถานปัจจุบัน(เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยโบราณของชมพูทวีป นั่นคือเมืองตักกสิลา ราชธานีของแคว้นคันธาระ ปัจจุบันอยู่ในประเทศปากีสถาน วรรณะพราหมณ์และกษัตริย์จะเดินทางมาไกลเพื่อมาร่ำเรียนศิลปวิทยาที่นี่ และศาสตร์18ประการ ก็มาเรียนที่นี่ครับ) พระเยซูได้ร่ำเรียนพระเวท และปรัชญาต่างๆอยู่ที่นั่นจนอายุ 29 ปี จึงเดินทางกลับจูเดีย


    เรื่อง ราวนี้จึงเท่ากับเป็นคำตอบอย่างดีว่า ใน “ช่วงชีวิตที่หายไป” ของพระเยซูนั้น พระองค์หายไปไหน


    ต่อมาปี 1894 หลังจากโนโตวิชเดินทางกลับยุโรป เขาก็ตีพิมพ์เรื่องราวที่เขารู้เห็นมาจากอารามเฮมิสเป็นหนังสือ ชื่อ THE UNKNOWN LIFE OF CHRIST หนังสือเล่มนี้และตัวโนโตวิชเองได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว ้างขวาง ซึ่งแน่ล่ะ ส่วนใหญ่เป็นไปในทางลบ บ้างก็ว่าโนโตวิชยกเมฆ ไม่เคยเดินทางไปยังอามรามที่ว่า บ้างก็ว่าอารามเฮมิสและม้วนคัมภีร์ดังกล่าวไม่มีอยู่จริง ซึ่งก็น่าสงสัยอยู่เหมือนกัน เพราะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนยืนยันความมีอยู่ของคัมภีร์นั้น (แต่การค้นคว้าในปัจจุบันดูจะสนับสนุนเรื่องราวของโนโตวิชและคั มภีร์แห่งวัดเฮมิส แม้จะไม่พบคัมภีร์ที่ว่านั้น ซึ่งป่านนี้คงเปื่อยยุ่ยไปหมดแล้วกระมัง)

    ในอินเดียเองก็มีผู้เปิดประเด็นเรื่องนี้ไว้เช่นกัน ฮาซรัต เมียร์ซา กูแลม อาหมัด (HAZRAT MIRZA GHULAM AHMAD) ชายชื่อยาวชาวอินเดียผู้เป็นปราชญ์คนหนึ่งของศาสนาอิสลามได้เขี ยนหนังสือเรื่อง JESUS IN INDIA ไว้เป็นภาษาอูรดู(ภาษาอูรดู เป็นภาษาอินเดียแขนงหนึ่ง เป็นภาษาราชการของปากีสถาน ภาษาเขียนคืออักษรอาหรับ) เมื่อปี 1899 ในหนังสือนี้กล่าวว่าพระเยซูทรงรอดพระชนม์ชีพจากการถูกตรึงกางเขน แล้วเดินทางมาพำนักในอินเดียจนกระทั่งพระชนมายุ 120 ปีจึงสิ้นพระชนม์ และพระศพก็ถูกฝังอยู่ที่โรซาบัลในศรีนคร

    ประเด็นสำคัญใน “Jesus in India” ของ**แลม อาหมัด นั้นต่างจากเรื่องของโนโตวิชที่พระเยซูของท่านอาหมัดเสด็จมาอินเดียภายหลัง จากการถูกตรึงกางเขน และเขายังบอกด้วยว่าพระสงฆ์แห่งพุทธศาสนาได้นำคำสั่งสอนของพระเยซูไปปรับใช้ โดยอ้างว่าเป็นพระวจนะของพระพุทธองค์ ซึ่งข้ออ้างและความเห็นของเขาดูจะไม่เป็นที่ชอบใจของศาสนิกชนทั้งพุทธและ คริสต์เท่าไหร่


    กูแลม อาหมัด ยังกล่าวถึงโรซาบัลด้วยว่าเขาได้ไปสำรวจสอบถามคนท้องถิ่นใกล้เค ียงที่เก็บศพแห่งนั้น ได้ความว่า โรซาบัลนี้สร้างมาแล้วประมาณ 1900 ปี (ในสมัยของอาหมัด) และผู้ที่ถูกฝังอยู่ก็คือชาวต่างชาติคนหนึ่ง ซึ่งเดินทางมายังดินแดนนี้ เพื่อสั่งสอนผู้คนเมื่อประมาณ 600 ปีก่อนพระนะบีมะหะหมัด ชาวพื้นเมืองเรียกชายผู้นี้ว่า ยุซ อาซาฟ


    อันที่จริง ความคิดที่ว่าพระเยซูมิได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนนั้นมิใช่ของใหม่ เคยมีผู้สันนิษฐาน วิเคราะห์และโต้แย้งมาก่อนหน้านี้นานแล้ว เหตุผลสนับสนุนก็คือ ประการแรก พระเยซูถูกตรึงกางเขนอยู่ไม่นานนัก จากเที่ยงถึงบ่ายสามโมงเท่านั้น เนื่องจากวันนั้นเป็นวันซับบาธ วันสำคัญทางศาสนาของชาวยิว จึงจะไม่ปล่อยนักโทษทิ้งคาอยู่บนกางเขนจนตะวันตกดิน


    ประการที่สอง เมื่อเข้าใจกันว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์แล้วนั้น ทหารโรมันได้เอาหอกแทงที่สีข้างของพระองค์ ซึ่งก็มีน้ำและเลือดพุ่งออกมา อันแสดงว่าพระองค์ยังมีพระชนม์อยู่ เลือดจึงยังไหลเวียน เพราะถ้าพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว เลือดจะจับตัวเป็นก้อนแข็ง ไม่พุ่งออกมาจากบาดแผลเช่นนี้


    ประการที่สาม ปิลาตเจ้าเมืองจูเดียได้มอบพระศพพระเยซูแก่โจเซฟแห่งอริมาเธีย ซึ่งเป็นสานุศิษย์คนสำคัญ โจเซฟก็ย่อมมีโอกาสลอบนำ “พระศพ” ไปรักษาพยาบาล และยังปรากฏด้วยว่าเจ้าหัวขโมยอีก 2 คนที่ถูกตรึงกางเขนพร้อมกับพระเยซูนั้นก็ไม่ตายเช่นกัน ความเป็นไปได้ที่พระองค์จะรอดพระชนม์จึงยิ่งน่าเชื่อมากขึ้น


    นอกจากนั้น ในพระคัมภีร์เองก็กล่าวถึงเหตุการณ์ภายหลังการตรึงกางเขนว่า พระเยซูยังเสด็จมาพบปะสนทนา รับประทานอาหาร และเดินทางร่วมกับศิษยานุศิษย์ ถ้าเราไม่ถือว่าเรื่องราวตรงนี้เป็นความเปรียบ ซึ่งก็มิได้มีทีท่าว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น เราก็เห็นจะต้องยอมรับว่าพระเยซูอาจมิได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเข นตามที่เคยเข้าใจ


    ส่วนหลักฐานที่ว่าพระเยซูเดินทางมาอินเดียนั้น ด็อกเตอร์ฟิดา ฮัสเนน (FIDA HASSNAIN) อดีตผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์และโบราณสถานแห่งกัษมิระ ได้ค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลผู้มีลักษณะคล้ายพระเยซูที่ป รากฏตัวในอินเดีย และดินแดนใกล้เคียงตามเอกสารประวัติศาสตร์ คัมภีร์ในศาสนา และตำนานต่างๆ ซึ่งก็ได้พบเรื่องราวนี้มากมาย อย่างในพระคัมภีร์ภาวิชยะ มหาปุราณะ คัมภีร์ 1 ใน 18 เล่มของคัมภีร์ปุราณะอันศักดิ์สิทธิ์ของฮินดู ซึ่งรวบรวมขึ้นเมื่อ ค.ศ.115 นั้น กล่าวถึงการพบปะระหว่างพระเจ้าชาลิวาหณะกับบุคคลผู้เป็นที่เคาร พคนหนึ่งที่ชื่อ อิซา-มาซิห์ (ISA-MASIH) อิซาเล่าความเป็นมาของเขาว่า


    “ข้าคือบุตรของพระเจ้า เกิดจากมารดาพรหมจารี ข้ามาจากต่างดินแดน อันเป็นที่ซึ่งปราศจากความจริง...ข้าปรากฏกกายในฐานะเมสซิอาห์. ..”


    ในหนังสือ RAUZAT-US SAF หนังสือประวัติศาสตร์ของเปอร์เซีย ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1417 บอกไว้ว่า “เยซูผู้มีสันติสุข ถูกขนานนามว่าเมสซิอาห์ เพราะพระองค์เป็นนักเดินทางผู้ยิ่งยง... พระองค์เดินทางจากดินแดนของพระองค์ไปยังนาสสิเบน ซึ่งเป็นระยะทางไกลมาก พระองค์มีสาวกมาด้วยคนหนึ่ง ซึ่งพระองค์ทรงส่งเขาไปเผยแพร่คำสั่งสอนในเมือง”


    ในศตวรรษที่ 10 นักวิชาการชาวมุสลิมชื่อ อัล-เชค อัล-ซาอิด-อุส-ซาดิค (AL-SHAIK AL-SAID-US-SADIQ) บันทึกการสืบค้นทางวัฒนธรรมไว้เป็นหนังสือเรื่อง อิคมาอัล-อุด-ดิน (IKMAUL-UD-DIN) กล่าวถึงชาวต่างชาติผู้หนึ่งซึ่งมีลักษณะคล้ายพระเยซูเป็นอย่าง ยิ่งและมีชื่อว่า ยุส อาซาฟ “ แล้วยุส อาซาฟก็มาถึงเมืองที่เรียกว่ากัษมิระ เขาเดินทางไปทั่วกระทั่งความตายพรากชีวิตเขาไป เขาสั่งให้บาบัดผู้สาวกเตรียมหลุมศพให้เขาแล้วเขาก็นอนลงโดยเหย ียดขาไปทางตะวันตก วางศรีษะไปทางตะวันออกจากนั้นก็สิ้นใจ” ในหนังสือเล่มเดียวกันนี้ยังบอกด้วยว่า ยุส อาซาฟ สั่งสอนธรรมะโดยใช้นิทานเปรียบเทียบ นิทานเรื่องหนึ่งคือ “ผู้หว่านเมล็ดพืช” ซึ่งคล้ายคลึงเป็นอย่างยิ่งกับนิทานเปรียบเทียบของพระเยซูในพระ คัมภีร์ (มาร์ค 4.3.20)


    นอกจากนั้น ยังมีหลักฐานที่น่าแปลกอย่างหนึ่งที่เชื่อมโยงพระเยซุกับผู้ที่ ชื่อ ยุส อาซาฟ กับเมืองศรีนคร กล่าวคือที่วิหารตากัต สุไลมาน (TAKHAT SULAIMAN แปลว่าบัลลังก์แห่งสุไลมานหรือก็คือโซโลมอนนั่นเอง) ที่ทะเลสาบดาลในศรีนครนั้นมีจารึกที่เสาวิหารว่าผู้ที่สร้างเสา นี้คือใคร สร้างขึ้นเมื่อใด และลงท้ายว่า “ณ เวลานั้น ยุส อาซาฟ ประกาศตนเป็นผู้พยากรณ์ ปี 50 กับ 4 เขาคือเยซู ผู้พยากรณ์และบุตรแห่งอิสราเอล” ปี 54 ที่กล่าวถึงในจารึกนั้นเทียบได้กับปี ค.ศ.78 เป็นเวลาภายหลังจากพระเยซูถูกตรึงกางเขน ถ้าเชื่อตามจารึกนี้ก็ดูเหมือนว่าพระเยซูจะเสด็จมาศรีนครจริงๆ


    ที่ประหลาดไปกว่านั้นก็คือ มีการกล่าวอ้างว่าที่ชายแดนปากีสถานต่อกับอินเดียก็มีหลุมศพของ โทมัส สาวกของพระเยซูที่ตำนานเล่าว่าติดตามพระเยซูมาด้วยและคือบาบัด สาวกของยุส อาซาฟ นั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้น บางตำนานก็เล่าเลยไปถึงว่าพระเยซูแต่งงานกับหญิงชาวพื้นเมืองแล ะมีลูกหลานสืบต่อมา จึงมีชาวกัษมิระคนหนึ่งชื่อนายซาฮิบ ซาดา บาซารัต ซาลีม ได้อ้างว่าตนเป็นเชื้อสายของพระเยซูที่สืบต่อกันมาเป็นตระกุ ลให ญ่อีกด้วย


    ใครคือผู้ที่ถูกฝังอยู่ในโรซาบัลนั้นยังคงเป็นปริศนาที่โต้แย้ง กันอยู่ แต่ ซูซาน โอลสัน (SUZANNE OLSSON) หญิงเก่งนักวิจัยอิสระคนหนึ่งก็ได้พยายามขออนุญาตขุดค้นหลุมศพน ี้ พร้อมทั้งมีแผนที่จะเอาตัวอย่างเนื้อเยื่อจากศพไปพิสูจน์ดีเอ็น เอด้วย แต่ความพยายามของเธอยังไม่สำเร็จ ต้องพบกับอุปสรรคมากมายทั้งทางศาสนาและรัฐบาลท้องถิ่น จนบางครั้งก็เสี่ยงต่อความปลอดภัยของตนเอง เราก็เลยยังไม่ได้ข้อสรุปกันเสียที ไม่เช่นนั้นประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์ศาสนาอาจต้องพลิกผันก ็ได้ ใครจะรู้

    บทความจาก หนังสือ ต่วยตูนพิเศษ ฉบับเดือนตุลาคม 2547

    เขียนโดย เอื้อนทิพย์

    ปล.กัษมีระ เป็นชื่อเมืองโบราณ ปัจจุบันคือ แคชเมียร์
     
  2. doctornattapong

    doctornattapong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +16
    น่าตื่นเต้นดีครับ
    ว่าแต่
    จะเกิดความเสียหายยังเหรอครับ
    หากช่วงชีวิตของพระเยซูจะถูกเติมเต็มในช่วงอายุ13-30พรรษาด้วยเรื่องราวดังกล่าว
    ทำไมคริสตจักรถึงไม่พยายามต่อเติมเรื่องราว
    พระองค์เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่มีสาวกมากที่สุดในโลก
    แต่ประวัติหายไปตั้งแต่13-30ปี
    ผมว่าพาวเว่อร์ของคริสตจักรน่าจะขุดหลุมศพดังกล่าวมาพิสูจน์ดีเอ็นเอได้อย่างง่ายดายนะครับ
    อย่างพุทธประวัติหากตัดเรื่องพุทธปาฏิหาริย์ออกไป ก็มีความชัดเจนมากทั้งสถานที่เกิดเหตุ ทั้งพยานบุคคล
    ทั้งวันที่เวลาอ้างอิงได้หมด
    อยากทราบครับ ท่านใดมีข้อคิดเห็นบ้างครับ ว่าคริสตจักรเค้าจริงจังกับเรื่องนี้หรือไม่เพราะอะไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2011
  3. hearsay

    hearsay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +186
    ต้องเข้าใจนิดว่าคริสต์เน้นเรื่องศรัทธาเป็นหลัก แต่ทั้งนี้ความศรัทธานั้นต้องไปในทิศทางเดียวกันตามที่วาติกันต้องการดังจะ เห็นได้จากมีการตั้งศาลศรัทธาขึ้นในยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์ของยุโรป ซึ่งช่วงดังกล่าวเรียกว่ายุคมืด และเหตุผลหนึ่งที่ไม่มีการไปแตะเรื่องพวกนี้ผู้เขียนคิดว่าหากผลออกมาดังข้อสันนิษฐาน ก็จะเกิดความวุ่นวายและคนบางกลุ่มก็จะเอามาเป็นข้ออ้างในการโจมตีหรือหาประโยชน์จากเรื่องดังกล่าว

    แม้ปัจจุบันก็ยังมีหน่วยงานดังกล่าวที่เรียกว่าหน่วยพิสูจน์ศรัทธา ที่จะคอยไปตามที่ต่างๆที่มีการกล่าวอ้างว่ามีปาฎิหารย์จากพระเจ้า ยกตัวอย่างเช่นเกิดมีรูปหน้าพระเยซูขึ้น หน่วยนี้ก็จะไปพิสูจน์ว่าเกิดจากปาฎิหารย์จริงหรือฝีมือมนุษย์ สาเหตุสำคัญคือคงไม่อยากให้มีความงมงายเกิดขึ้นเหมือนดังเช่นประเทศสารขัณฑ์

    แต่อันที่จริงเรื่องราวจะเป็นเช่นใดก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าคำสอนดังกล่าวที่ท่านนำมาสั่งสอนนั้นสามารถนำไปใช้ได้จริงมิใช่หรือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2011
  4. สุปราณี (ปู)

    สุปราณี (ปู) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    163
    ค่าพลัง:
    +1,296
    ศาสนจักรเขาจะ ไม่ทำอย่างนั้นแน่นอนค่ะ เพราะเป็นการทำให้ความเชื่อของพวกเขาลดน้อยลง และไม่มีใครที่จะยอมรับความจริงได้ว่า พระองค์จะมีการเดินทางออกไปจากต่างถิ่นที่ท่านถือกำเนิด ถ้าคิดแล้วสิ่งที่เคยเชื่อถือมานานนับศตวรร จู่ๆจะต้องถูกปรับเปลี่ยน คนทุกคนที่ถือความเชื่อเดิมๆก็ต้องออกมาประท้วงกันแน่นอน เพราะสิ่งที่ระบุไว้ในหนังสือใบเบิ้ล จะบอกย้ำเรื่องความเชื่อ จงเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า ความเชื่อเท่านั้นที่จะทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้ ฉันเคยอยู่ศาสนาคริสตมาประมาณ 6 ปี อ่านหนังสือใบเบิ้ลของศาสนาคริสต ตั้งแต่ปฐมกาล การสร้างโลก หน้าแรก จนถึง วิวรณ์ วันล้างโลก กุลียุค หน้าสุดท้าย แม้วันนี้ฉันก็เชื่อเช่นกันว่าพระเจ้ามีจริง และฉันก็เชื่อพระพุทธเจ้า เพราะความจริงที่พระองค์พิสูจณ์ได้ ความเป็นจริงโลกใบนี้ก็เป็นเพียงสิ่งที่ถูกต่างขึ้นมา ศาสนามีสอนเหมือนกันก็คือ ศีล5 เป้าหมายเดียวกันคือการให้มนุษย์ทุกคนอยู่ในศีล และเป็นคนดี ละบาปชั่ว การที่จะเอาศาสนามาโต้เถียงว่าใครของใครดีกว่า ความจริงต้องเอาสิ่งที่ศาสนาสอนนั้นออกมาเปรียบดูว่าข้อสำคัญของศาสนานั้นๆสอนอะไร จุดประสงค์ก็ต้องการสอนคนให้เป็นคนดี ตรงนี้แหละที่เป็นสิ่งสำคัญใช่มั้ยค้ะ ลองถามใจคุณดูก่อนว่า ถ้าคุณมารู้ตอนหลังบรรพบุรุษของพวกเราที่เป็นคนไทย อดีตเคยเป็นคนมอญ คนเขมร คุณจะยอมรับความเป็นไปได้มากน้อยเท่าไหร่ บางคนรับได้ บางคนรับไม่ได้ ศาสนจักรของเขาก็เช่นกัน ถ้าคนที่เชื่อมั่นในตำนาน ก็คงไม่ยินดีในสิ่งที่ได้ข้อมูลใหม่เป็นแน่ คุณว่าใช่มั้ยค้ะ
     
  5. kongsin

    kongsin Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +71
    (เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยโบราณของชมพูทวีป นั่นคือเมืองตักกสิลา ราชธานีของแคว้นคันธาระ ปัจจุบันอยู่ในประเทศปากีสถาน วรรณะพราหมณ์และกษัตริย์จะเดินทางมาไกลเพื่อมาร่ำเรียนศิลปวิทยาที่นี่ และศาสตร์18ประการ ก็มาเรียนที่นี่ครับ) พระเยซูได้ร่ำเรียนพระเวท และปรัชญาต่างๆอยู่ที่นั่นจนอายุ 29 ปี จึงเดินทางกลับจูเดีย
    พ.ศ. 1 ถึง 500 เป็นช่วงที่มหาวิทยาลัยแห่งแรกของโลกเกิดขึ้นและถูกทำลาย
    ก่อน พ.ศ. 500 มหาวิทยาลัยนั้นชื่อว่า มหาวิทยาลัยนาลันทา
    ศาสตร์18ประการ เนื้อที่ของอาคารเรียนทุกศาสตร์รวมกันราวสองพันไร่
    ห้องสมุดถ้าจำไม่ผิด (ราวๆ 100 ถึง 200 ไร่) เป็นอาคารเลยนะครับ
    และพระเยซู เป็นนิสิตแห่งมหาวิทยาลัยแห่งนี้ และสำเร็จอภิญญาหกด้วย
    จากนั้นมหาวิทยาลัยแห่งนี้ถูกทำลายด้วยคนอิสราม เผาและฆ่าพระสงฆ์ราว 200,000 รูป ที่เหลือหนีออกนอกประเทศโดยการถอดจีวรออกแล้วห่มผ้าโพกหัว
    หลัง พ.ศ. 500 จึงได้บูรณะ มหาลัยขึ้นใหม่ ชื่อว่า มหาวิทยาลัยวลภี มีถึงทุกวัน และแยกสาขาไปเป็น มหาวิทยาลัยตักศิลา ครับ
    จากตำราหนังสัตว์โบราณ (ขอสงวนที่เก็บ)
    ผู้ที่เป็นนิสิตสืบสายปริยัติทุกท่านคงได้สัมผัสนะครับ

     
  6. kongsin

    kongsin Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +71
    จากเรื่องราวที่ผมกล่าวนะครับ เดียวเข้าใจผิด ผมได้มาจากตำราหนังสัตย์นะครับ
    พอดีเข้าไปหาข้อมูลอาจไม่ตรงกันในบางตอน เช่น จำนวน และ เวลา
    ใช้วิจารณญาณนะครับ
     
  7. highmask

    highmask สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +8
    มีหลายอย่างเลย ที่ คริสตศาสนา คล้ายครึง กับ ศาสนาพุทธ เหมือน copy มา


    ศาสนาคริส ยังมีเรื่อง ตกเถียง ที่ไปเกี่ยวพัวพันเป็นความลับกับ ราชวงค์ ของ อิยิป เลย

    เคยได้ยินมาว่า พระเยซู ที่จริงเเล้ว คือ ลูก ของ Mark Antony กับ คลีโอพัดตราองค์สุดท้าย ลูกของพวกเค้า ชื่อว่า Caesarion

    ลองไป search คำว่า Caesarion ใน google ดู เเล้วมันจะ จะขึ้น auto ข้างหลังว่า Jesus***

    Caesarion เกิด เป็นช่วง เวลาเดียวกับ ที่ Jesus เกิดพอดี

    วีดีโอนี้เกี่ยวกับ กระทู้ ครับ



    ถ้าอยากดูเนื้อเรื่องที่พวกเรากำลัง สนใจยู่ตอนนี้ ให้ ดู ช่วงท้ายๆ (ที่ประมาณ 8นาที 55วิ) ของ วีดีโอ เเรก ได้เลยครับ หรือดู อันที่ 2 เลยก็ได้ เเต่จะพลาดช่วงเปิดนำ
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=0EfBeLH0IJQ"]9. The Ring of Power - The Queen [9 29] - YouTube[/ame]


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=2mBlDLeGtVM"]10. The Ring of Power - King of Kings [10 29] - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=R3ZBjgAeKrE"]11. The Ring of Power - The Empire [11 29] - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=q2dY2SSr7tg"]12. The Ring of Power - The Cult of Amen [12 29] - YouTube[/ame]



    ขอบคุณที่เปิดรับ ดู ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2011
  8. highmask

    highmask สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +8
    ขุดๆๆๆๆๆๆๆๆๆ:boo:
     
  9. Jubb

    Jubb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,267
    ค่าพลัง:
    +2,134
    เดี๋ยวมาอ่าน[​IMG]
     
  10. ไอ้นอกโลก

    ไอ้นอกโลก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    572
    ค่าพลัง:
    +72
    ค่อยอ่านพร้อมกันนะครับบ..
     
  11. Jubb

    Jubb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,267
    ค่าพลัง:
    +2,134
    ไม่ใช่ถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวหรือครับ!!??[​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...