พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    อนุโมทนาบุญทุกประการด้วยครับ
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วางแผนก่อนทำประกัน ตอนรู้จักแล้วจะเข้าใจ...ประกันชีวิต

    ไปทำความรู้จักกับประกันแต่ละประเภทว่า เป็นอย่างไรกันบ้าง เพื่อให้เข้าใจและประกอบการตัดสินใจเลือกใช้บริการประกัน และ “ประกันชีวิต”....

    โดย...สวลี ตันกุลรัตน์

    หลังจากไปทำความเข้าใจเรื่อง “การบริหารความเสี่ยง” ถึงสองสัปดาห์ติดต่อกัน น่าจะพอเป็นไอเดียได้ว่า ในสถานการณ์แบบไหนควรจะเลือกใช้วิธีการอะไรในการบริหารความเสี่ยง และในสถานการณ์ใดบ้างที่ควรจะเลือก “ซื้อประกัน” เพื่อโอนความเสี่ยงของเราไปให้คนอื่นช่วยรับผิดชอบ

    ทีนี้ก็ถึงเวลาที่จะขยับเข้าไปใกล้อีกนิด ไปทำความรู้จักกับประกันแต่ละประเภทว่า เป็นอย่างไรกันบ้าง เพื่อให้เข้าใจและประกอบการตัดสินใจเลือกใช้บริการประกัน และ “ประกันชีวิต” จะเป็นประกันประเภทแรกที่จะไปทำความรู้จักกัน
    และเช่นเดิมที่ข้อมูลส่วนใหญ่ยังอ้างอิงจากชุดวิชาการวางแผนประกันภัย หลักสูตรวางแผนทางการเงิน ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน สถาบันกองทุนเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

    4 แบบ 6 สไตล์

    แม้จะได้ชื่อว่า “ประกันชีวิต” เหมือนกัน แต่ประกันชีวิตสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 แบบ (หลักๆ) ซึ่งแต่ละแบบจะมีความแตกต่างกัน และเพื่อที่จะเอาใจลูกค้าที่มีความต้องการหลากหลาย บริษัทประกันจึงนำเอาแบบประกันชีวิตที่มีอยู่ 4 แบบ มาผสมกันจนเกิดเป็น “ประกันชีวิตแบบพิเศษ” ขึ้นมา



    1.แบบชั่วระยะเวลา (Term Life Insurance)

    เป็น ประกันชีวิตที่จะให้ความคุ้มครองกรณีที่ผู้เอาประกันเสียชีวิตในเวลาที่ กำหนด โดยบริษัทจะจ่ายผลประโยชน์ให้เท่ากับจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ แต่ถ้าครบสัญญาแล้วผู้เอาประกันยังมีชีวิตอยู่ ก็จะไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลย เพราะเป็นแบบประกันที่ไม่มี “มูลค่าเงินสด”

    แต่เป็นแบบประกันที่มีเบี้ยประกันต่ำที่สุด หรือประมาณ 1% ของทุนประกัน ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับความคุ้มครองที่ได้รับ

    ขณะ ที่การจ่ายเบี้ยสามารถจ่ายได้ 2 แบบ คือ จ่ายแบบครั้งเดียว หรือจ่ายแบบรายปีเท่ากันทุกปีเท่ากับระยะเวลาความคุ้มครอง หรืออาจจะจ่ายน้อยกว่าระยะเวลาให้ความคุ้มครองก็ได้

    2.แบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance)

    ประกันชีวิต แบบนี้ ชื่อบอกชัดเจนอยู่แล้วว่า จะให้ความคุ้มครองกันไปตลอดชีวิตของผู้เอาประกัน (ไม่ใช่ชีวิตของคนขายประกัน) เพราะฉะนั้นไม่ว่าผู้เอาประกันจะเสียชีวิตเมื่อไร ตอนไหน บริษัทจะต้องจ่ายผลประโยชน์เท่ากับจำนวนเงินเอาประกันที่ซื้อไว้

    นอกจากนี้ ยังเป็นแบบประกันที่อัตราเบี้ยประกันต่ำเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะไม่ต่ำเท่ากับแบบชั่วระยะเวลา โดยเบี้ยประกันจะอยู่ระหว่าง 1.5-3% ของทุนประกัน แต่ก็ยังถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับความคุ้มครองตลอดชีวิต

    แต่ก่อนที่จะคิดทำประกันแบบนี้ ต้องเป็นการวางแผนระยะยาว โดยเฉพาะการเลือกจ่ายเบี้ยระยะยาวๆ หรือชำระเบี้ยไปตลอดชีพเช่นเดียวกับระยะเวลาความคุ้มครอง นอกจากนี้ เมื่อทำประกันแบบนี้|ไปแล้วพยายามอย่าคิด “ถอนตัว” เพราะจะได้เงินคืนน้อยมากหากเลิกสัญญาก่อนกรมธรรม์ครบกำหนด

    <O:p
    3.แบบสะสมทรัพย์ (Endowment Insurance)

    ลักษณะของ ประกันชีวิตแบบนี้เริ่มสลับซับซ้อนมากขึ้น เพราะเป็นการผสมกันระหว่างประกันชีวิตอย่างน้อย 2 แบบ คือ แบบชั่วระยะเวลา กับ แบบสะสมทรัพย์แท้จริง โดยผู้เอาประกันจะได้รับผลประโยชน์ตามจำนวน ถ้ามีชีวิตอยู่จนครบสัญญา แต่หากเสียชีวิตในระหว่างที่กรมธรรม์ยังไม่สิ้นสุด บริษัทจะจ่ายผลประโยชน์ให้ผู้รับผลประโยชน์

    เพราะฉะนั้นประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์จึงเป็นทั้งการให้ความคุ้มครองและ การออมทรัพย์ ทำให้กลายเป็นแบบประกันชีวิตที่ได้รับความนิยมสูงมากในประเทศไทย เพราะคนซื้อประกันจะคิดว่า “มีแต่ได้กับได้” และเมื่อเทียบกับประกันชีวิตแบบอื่นๆ แล้วแบบสะสมทรัพย์จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

    ขณะที่อัตราเบี้ยประกันจะวิ่งอยู่ระหว่าง 5-20% ของทุนประกัน และในบางกรณีอาจจะมากกว่า 20% แต่บริษัทประกันจะบอกว่า ผลตอบแทนที่จะได้รับสูงถึง 200-300% หรืออาจจะ 400% ของทุนประกันในบางกรณี (แต่อย่าตื่นเต้นเกินไป เพราะหากลองคำนวณผลตอบแทนจากการลงทุนในแต่ละปี จะน่าตกใจยิ่งกว่า เพราะเหลือแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้น)

    4.แบบบำนาญ (Annuities)

    ประกันชีวิตแบบนี้มีอยู่ใน ตำรามานานแล้ว โดยเรียกว่า “ประกันชีวิตแบบเงินได้ประจำ” แต่เราเพิ่งจะมีโอกาสได้รู้จักประกันแบบนี้อย่างจริงๆ จังๆ ก็เมื่อปลายปีที่ผ่านมานี้เอง ในชื่อว่า ประกันชีวิตแบบบำนาญ โดยบริษัทจะจ่ายผลประโยชน์เฉพาะกรณีที่ผู้เอาประกันมีชีวิตอยู่จนถึงอายุที่ กำหนดไว้เท่านั้น โดยจ่ายเป็นประจำในลักษณะเดียวกับ “เงินบำนาญ”

    อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในทางทฤษฎีจะบอกว่า บริษัทจะจ่ายผลประโยชน์เฉพาะการมีชีวิตอยู่เท่านั้น แปลว่า หากบังเอิญเสียชีวิตไปก่อนก็จะไม่ได้รับผลประโยชน์ แต่สำหรับคนไทยอาจจะโชคดีอยู่หน่อย เพราะกรมธรรม์ที่ออกมาส่วนใหญ่จะกำหนดให้มีการจ่ายผลประโยชน์ให้ผู้รับผล ประโยชน์ในกรณีผู้เอาประกันเสียชีวิตด้วย

    5.ประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit Linked)

    ถือเป็น พัฒนาการของประกันชีวิตขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง เพราะประกันชีวิตควบการลงทุน เป็นประกันชีวิตที่ขายควบกับกองทุนรวม ทำให้มีการคุ้มครองชีวิตตามแบบของประกัน กับการลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งในส่วนของการลงทุนนี้เองจะเป็นตัวกำหนดผลตอบแทนที่ผู้เอาประกันจะได้รับ รวมทั้งความเสี่ยงด้วย

    เมื่อผู้เอาประกันมีสิทธิเลือกที่จะลงทุนด้วยตัวเอง ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตัวเอง เพราะฉะนั้นผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับอาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าประกัน ชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ที่บริษัทประกันจะจัดการเรื่องการนำเบี้ยประกันที่ได้ไปลงทุน โดยที่ผู้เอาประกันไม่มีสิทธิรู้เลยว่า บริษัทนำเงินไปลงทุนอะไร และความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน

    6.ประกันชีวิตแบบ Universal Life

    เป็นประกันชีวิต อีกแบบหนึ่งที่เป็นเรื่องใหม่ของคนไทย โดยเป็นส่วนผสมของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ กับ การลงทุน เช่นเดียวกับประกันชีวิตควบการลงทุน แต่แบบ Universal Life จะมีการรับประกันผลตอบแทนขั้นต่ำที่ผู้เอาประกันจะได้รับเอาไว้ด้วย

    นอกจากนี้ ยังมีความยืดหยุ่น โดยที่ผู้เอาประกันสามารถปรับเปลี่ยนความคุ้มครอง และสัดส่วนการออมเงิน รวมทั้งการเพิ่มหรือลดเบี้ยประกันที่จะจ่าย


    ก่อนจะซื้อประกันชีวิต

    นี่ยังไม่นับประกันแบบแปลกๆ ใหม่ๆ ที่นำประกันชีวิตหลายๆ แบบเข้ามารวมกัน และยังไม่รวม “สัญญาเพิ่มเติม” ที่สามารถซื้อควบคู่กับประกันชีวิต (ที่มีอยู่อย่างน้อยๆ 10 ประเภทที่ได้รับความนิยม) ยังทำให้มึนไปได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นก่อนที่จะเลือกซื้อประกันควรจะพิจารณาประเด็นสำคัญ 4 เรื่องนี้เอาไว้ก่อน นั่นคือ

    1.เลือกแบบประกันที่เหมาะกับความต้องการมากที่สุด

    เพราะฉะนั้นก่อนอื่นต้องเริ่มจาก “ถามตัวเอง” ก่อนว่าต้องการอะไรจากการทำประกัน เช่น ถ้าต้องการเก็บออมไว้สำหรับยามเกษียณก็ต้องเลือกแบบบำนาญ หรือถ้าต้องการให้เป็นมรดกสำหรับลูกหลานก็เลือกแบบตลอดชีพ แต่ถ้ามีเป้าหมายที่จะใช้เงินในอนาคตบวกกับต้องการความคุ้มครองก็ต้องเลือก แบบสะสมทรัพย์

    แต่สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน คือ “ความสามารถในการชำระเบี้ย” เพราะจะเป็นภาระผูกพันไปในระยะยาว และอาจจะยาวไปจนตลอดชีวิตเลยก็เป็นได้ ซึ่งในหนังสือชุดวิชาการวางแผนประกันภัย แนะนำไว้ว่า
    “ถ้าเป็นคนโสด เบี้ยประกันต่อปีไม่ควรจะเกิน 15-20% ของรายได้ต่อปี หรือถ้ามีครอบครัวแล้ว เบี้ยประกันต่อปีไม่ควรเกิน 10-15% ของรายได้ต่อปี... อย่างไรก็ตาม ต้องพึงระลึกอยู่เสมอว่า ประกันชีวิตส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนไม่สูงนัก”

    2.คำนวณจำนวนเงินเอาประกันที่ต้องการ

    การหาว่าจำนวนเงินเอาประกันที่เหมาะสมควรจะเป็นเท่าไรนั้น มีอยู่ 3 แนวทาง ซึ่งต้องบอกกันก่อนเลยว่า แต่ละแนวคิดต้องใช้การคำนวณทางการเงินมากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป ซึ่งหากโชคดีได้เจอกับ “คนขายประกัน” ที่มีความรู้ด้านการวางแผนทางการเงินน่าจะสามารถคำนวณหาให้ได้ไม่ยาก

    แนวคิดเรื่องมูลค่าเศรษฐกิจของบุคคล ซึ่งสามารถคำนวณได้จากการนำรายได้ทั้งหมดที่คาดว่าจะได้รับจนกระทั่งเกษียณ อายุ แล้วนำตัวเลขที่คาดว่าจะได้รับมาคำนวณหาว่า เงินในอนาคตจำนวนนั้นคิดแล้วจะเป็น “เงินในปัจจุบัน” สักกี่บาท

    แนวคิดเรื่องความจำเป็น ซึ่งมีทั้งความจำเป็นด้านเงินสด เช่น เงินหมุนเวียนเพื่อจ่ายหนี้ และความจำเป็นด้านรายได้ เช่น เงินชดเชยรายได้ที่ต้องเสียไป เพราะฉะนั้นต้องเริ่มจากการประเมินว่า ครอบครัวมีรายจ่ายอะไรบ้าง และหากหัวหน้าครอบครัวเสียชีวิตจะมีรายได้จากที่ไหนเข้ามาทดแทน
    เมื่อนำมาหักลบกันแล้ว หากแหล่งรายได้ที่จะนำมาทดแทนไม่เพียงพอกับความต้องการ ส่วนต่างตรงนี้เองที่ควรจะป้องกันความเสี่ยง โดยการทำประกันชีวิตให้กับหัวหน้าครอบครัว

    แนวความคิดเรื่อง Capital Retention Approach แค่ชื่อก็ดูจะคำนวณยากแล้ว แต่หลักการสำคัญของวิธีการนี้ คือ หลังจากหัวหน้าครอบครัวเสียชีวิต แหล่งรายได้ที่จะนำมาทดแทนจะไม่ได้คิดจากทรัพย์สินที่มีอยู่ แต่จะคิดจาก “ดอกผล” ที่เกิดจากทรัพย์สินเท่านั้น

    3.เปรียบเทียบกรมธรรม์จากบริษัทประกันหลายๆ แห่ง

    ในความเป็นจริง เราส่วนใหญ่มักจะซื้อประกันชีวิตแบบไม่ได้ตั้งใจ นั่นเพราะไม่ได้เดินออกไปหา แต่มีคนขายประกันเดินเข้ามาหามากกว่า เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะเปรียบเทียบกับเจ้าอื่นๆ แทบจะไม่มี

    แต่นับจากนี้ไปไม่ว่าจะเป็นการซื้อในรูปแบบไหน เราควรจะเปรียบเทียบกับหลายๆ บริษัทก่อนตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขความคุ้มครอง เบี้ยประกัน โดยเลือกกรมธรรม์ที่คุ้มค่ามากที่สุด

    4.ปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่ใช่แค่เบี้ยประกัน

    ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าปัจจัยอื่นๆ คือบริษัทประกันมีความมั่นคงทางการเงินมากขนาดไหน เพราะต้องไม่ลืมว่า สำหรับเราการทำประกันเป็นภาระผูกพันระยะยาว ดังนั้นเราก็ย่อมจะต้องการให้บริษัทประกันนั้นอยู่กับเราไปในระยะยาวเช่น เดียวกัน

    นอกจากนี้ การให้บริการก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้ ทั้งการบริการของ “ตัวแทนประกัน” เพราะหากได้ตัวแทนดีก็นับเป็นโชคดี เพราะจะมีคนคอยให้คำแนะนำในด้านต่างๆ ได้ดี และบริการจากบริษัทประกัน โดยเฉพาะเมื่อต้องมีการจ่ายสินไหมหรือจ่ายผลประโยชน์ เพราะเราคงไม่อยากเจอบริษัทที่รับเบี้ยประกันง่าย แต่จ่ายสินไหมยากแน่ๆ


    -http://www.posttoday.com/%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87/%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99/money-tips/85272/%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%88-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-


    http://www.posttoday.com/%E0%B8%AB%E...B8%B4%E0%B8%95


     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    กระเจี๊ยบมอญ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ


    [​IMG]

    กระเจี๊ยบมอญ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ (Woman Plus)

    กระเจี๊ยบมอญ หรือกระเจี๊ยบเขียวที่มีลักษณะเป็นฝักทรงกระบอกห้าเหลี่ยม มีปลายเรียว นิยมนำมากินแกล้มกับน้ำพริก อาหารหลักของคนไทย ซึ่งนอกจากความอร่อยแล้ว กระเจี๊ยบมอญฝักเล็ก ๆ นั้นยังเป็นสมุนไพรที่แฝงไปด้วยประโยชน์ในการช่วยบำรุงดูแลสุขภาพของเราด้วย

    เนื่องจากฝักของกระเจี๊ยบมอญนั้นมีเส้นใยจำนวนมากที่มีประโยชน์ช่วยในการรักษาระดับการดูดซึมน้ำตาลจากลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน

    นอกจากนี้ หากนำฝักของกระเจี๊ยบมอญไปตากแห้ง แล้วนำมาบดให้ละเอียด กินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ หลังอาหารแล้วดื่มน้ำตาม ก็จะช่วยลดอาการของแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    -http://www.womanplusmagazine.com/-

    [​IMG]


    -http://health.kapook.com/view31393.html-

    .
     
  4. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ชมพระสมเด็จกันบ้างดีกว่า..พิมพ์เกศบัวตูม ๖ องค์เปรียบเทียบกัน แสงเงาสีเขียวเกิดจากกำแพงสีเขียวสะท้อน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    มือผีปล่าวครับ มีโชว์อารายเหมือนกันทั้ง6องค์ หุ หุ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ไหว้ 5 ครั้ง
    ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญ ญาณวรเถระ )
    วัดเทพศิรินทราวาส

    [​IMG]


    คัดลอกจาก http://www.konmeungbua.com/saha/Lung...pu_armpan.html


    คัดลอกจาก http://www.konmeungbua.com/saha/Lung...pu_armpan.html

    ในวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ไม่ว่าเวลาไร ตามแต่เหมาะต้องไหว้ให้ได้ 5 ครั้งเป็นอย่างน้อย ในคราวเดียวนั้น ถ้ามีดอกไม้ธูปเทียนก็บูชา ถ้าไม่มีก็มือ 10 นิ้วและปากกับใจ ควรไหว้จนตลอดชีวิต คือ


    ครั้งที่ 1 พึงนั่งกระโหย่งเท้าประณมมือว่า

    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ 3 หน

    แล้วว่าพระพุทธคุณ คือ
    อิติปิโส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควาติ ฯ

    หยุด ระลึกถึงพระปัญญาคุณทรงรู้ดีรู้ชอบสิ้นเชิง พระบริสุทธิคุณทรงละความเศร้าหมองได้หมด พระกรุณาคุณทรงสงสารผู้อื่นและสั่งสอนให้ปฏิบัติตามของพระพุทธเจ้า จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ


    ครั้งที่ 2 ว่าพระธรรมคุณ คือ

    สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโน สนฺทิฆฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญญูหีติ ฯ

    หยุดระลึกถึงคุณพระธรรมที่รักษาผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ


    ครั้งที่ 3 ว่าพระสังฆคุณ คือ
    สุ ปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ สามีจิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ยทิทํ จตฺตาริ ปุริสยุคานิ อฏฐปุริสปุคฺคลา เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ อาหุเนยฺโย ปาหุเนยฺโยทกฺขิเนยฺโย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺสาติฯ

    หยุดระลึกถึงคุณ คือ ความปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติชอบ ของพระอริยสงฆ์ จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    นั่งพับเพียบประณมมือตั้งใจถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะไม่ถือสิ่งอื่นยิ่งกว่าจนตลอดชีวิต ว่าสรณคมน์ คือ
    พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
    ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
    สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ

    ครั้งที่ 4 ระลึกถึงคุณมารดาบิดาของตน จนเห็นชัดแล้ว กราบลงหน 1 ฯ

    ข้า ฯ ขอ กราบไหว้คุณท่านบิดาและมารดา
    เลี้ยงลูกเฝ้ารักษา แต่คลอดมาจึงเป็นคน
    แสนยากลำบากกายไป่คิดยากลำบากตน
    ในใจให้กังวลอยู่ด้วยลูกทุกเวลา
    ยามกินพอลูกร้องก็ต้องวางวิ่งมาหา
    ยามนอนห่อนเต็มตาพอลูกร้องก็ต้องดู
    กลัวเรือดยุงไรมดจะกวนกัดรีบอุ้มชู
    อดกินอดนอนสู้ ทนลำบากหนักไม่เบา
    คุณพ่อแม่มากนักเปรียบน้ำหนักยิ่งภูเขา
    แผ่นดินทั้งหมดเอามาเปรียบคุณไม่เท่าทัน
    เหลือที่ จะแทนคุณ ของท่านนั้น ใหญ่อนันต์
    เว้นไว้ แต่เรียนธรรม์ เอามาสอนพอผ่อนคุณ
    สอนธรรมที่จริงให้ รู้ไม่เที่ยงไว้เป็นทุน
    แล้วจึงแสดงคุณ ให้เห็นจริงตามธรรมดา
    นั่นแหละจึงนับได้ ว่าสนองซึ่งคุณา
    ใช้ค่าข้าวป้อนมาและน้ำนมที่กลืนกิน ฯ

    ครั้งที่ 5 ระลึกถึงคุณของบรรดาท่านผุ้มีอุปการคุณแก่ตน เช่น พระมหากษัตริย์และครูบาอาจารย์ เป็นต้นไป จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    ข้า ฯ ขอนอบน้อมคุณแด่ท่านครู ผู้อารี
    กรุณาและปรานีอุตส่าห์สอนทุก ๆ วัน
    ยังไม่รู้ ก็ได้รู้ ส่วนของครูสอนทั้งนั้น
    เนื้อความทุกสิ่งสรรพ์ดีชั่วชี้ ให้ชัดเจน
    จิตมากด้วยเอ็นดูอยากให้รู้เหมือนแกล้งเกณฑ์
    รักไม่ลำเอียงเอนหวังให้แหลมฉลาดคม
    เดิมมืดไม่รู้แน่เหมือนเข้าถ้ำเที่ยวคลำงม
    สงสัยและเซอะซมกลับสว่างแลเห็นจริง
    คุณส่วนนี้ควรไหว้ ยกขึ้นไว้ ในที่ยิ่ง
    เพราะเราพึ่งท่านจริงจึงได้รู้ วิชาชาญ ฯ

    (บท ประพันธ์สรรเสริญคุณมารดาบิดา และ ครูบาอาจารย์ของ ท่านอาจารย์ จางวางอยู่ เหล่าวัตร วัดเทพศิรินทราวาส ลิขสิทธิ์เป็นของ ท่านเจ้าคุณพระโศภนศีลคุณ (หลวงปู่หลุย พาหิยาเถร) วัดเทพศิรินทราวาส)

    ต่อ ไปนี้ไม่ต้องประณมมือ ตั้งใจพิจารณาเรื่อง และร่างกายของตนว่า จะต้องแก่ หนีความแก่ไปไม่พ้น จะต้องเจ็บ หนีความเจ็บไปไม่พ้น จะต้องตาย หนีความตายไปไม่พ้น จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น มีกรรมเป็นของตัว คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นอนิจจังไม่เที่ยง ไม่แน่นอน เป็นทุกข์ลำบากเดือดร้อน เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของตน ฯ ครั้งพิจารณาแล้ว พึงแผ่กุศลทั้งปวงมีการกราบไหว้เป็นต้นนี้ อุทิศให้แก่ท่านผู้มีคุณมีมารดาบิดา เป็นต้น ตลอดจนชั้นสูงสุด คือพระมหากษัตริย์ ทั้งเทพยดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายว่า จงเป็นสุข ๆ อย่ามีเวรมีภัยเบียดเบียนกันและกัน รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด ฯ

    การ ไหว้ 5 ครั้งนี้ ถ้าวันไหนขาด ให้ไหว้ใช้ 5 ครั้งในวันรุ่งขึ้น ถ้านั่งกระโหย่งเท้าไม่ได้ ก็นั่งพับเพียบ ถ้าไม่ได้ ก็นอนไหว้ เมื่อยกมือไม่ขึ้น ก็ปากกับใจ ถ้าทำได้อย่างนี้เป็นเครื่องพยุงตนให้เป็นคนดี ไม่ให้เป็นคนชั่ว และให้ตั้งอยู่ในที่ดี ไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ถ้าผู้ใดประพฤติได้เสมอตลอดชีวิต ผู้นั้นจะอุ่นใจในตัวของตัวเอง มีความเจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่ง ๆ ขึ้นเสมอทุกคืนทุกวัน คุ้มครองป้องกันภยันตรายปราศจากความเสียหายที่ไม่เหลือวิสัย และ ตั้งตัวได้ในทางคดีโลกและทางคดีธรรม เต็มภูมิเต็มขั้นของตน ๆ ทุกประการ จบเท่านี้ ฯ

    -http://palungjit.org/groups/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B9%89-5-%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%82%E0%B8%86%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C-%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%8D-%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%96%E0%B8%A3%E0%B8%B0-198.html-

    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญญาณวรเถระ )

    http://72.14.235.104/search?q=cache:...h&ct=clnk&cd=7

    [​IMG]

    สมเด็จพระพุทธโฆษจารย์ นามเดิม เจริญ สุขบท เกิดในรัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2415 ที่จังหวัดชลบุรี เป็นบุตรนาย ทองสุก และนางย่าง

    เมื่ออายุ 8 ปี ได้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณชลโธปมคุณมุณี (พุฒ ปุณณกเร) ปฐมวัยอาวาสวัดเขาบางทราย เมื่ออายุ 12 ปีได้บรรพชาที่วัดเขาบางทราย

    และเข้าศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดราชบพิธอุปสมบทเมื่อวันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2435 ที่วัดเขาบางทราย จังหวัดชลบุรี พ.ศ.2439 ได้ศึกษาพระวินัยปิฎกในสำนัก สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ที่วัดเทพศิรินทราวาส

    "ตาบุญ (พระยาธรรมปรีชา) ผู้เป็นอาจารย์สอนบาลีของ
    เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มอบช้างเผือกส่งเข้ามาให้ "

    สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยา วชิรญาณวโรรส ออกพระโอษฐ์รับสั่งเมื่อครั้งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเร) สอบไล่ภาษาบาลี ในมหามงกุฎราชวิทยาลัยได้ที่ 1ทุกชั้นเป็นลำดับมา

    พ.ศ.2441 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระราชาคณะที่พระอัมราภิลักขิต เป็นผู้อำนวยการศึกษามณฑลปราจีนบุรี ต่อมาได้ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสได้เลื่อนสมณศักดิ์เรื่อยมา พ.ศ.2471 โปรดให้สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์

    พ.ศ.2476กรรมการเถรสมาคมมีมติให้ท่าน เป็นประธานกรรมการมหาเถรสมาคมบัญชาการคณะสงฆ์แทนพระสังฆราชเจ้าซึ่งสิ้นพระชนม์ ประมวลเกียรติคุณพิเศษสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเร)เป็นพระเถระบริหารงานพระศาสนาถึง 5 แผ่นดิน คือแต่รัชกาลที่ 5-9 เป็นพระราชาคณะแต่อายุ 28 ปี เป็นสมเด็จพระราชาคณะแต่อายุ 57 ปี นับเป็นพระเถระที่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พรรษาน้อยกว่า พระเถระหลายรูปเป็นเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส แต่อายุ 28 ปี ถึง 80 ปีรวม 53 ปี นับว่ายาวนานที่สุดไม่มีใครเทียบได้
    เมื่อสอบนักธรรม หรือบาลีจะสอบได้ที่ 1 ทุกชั้นทุกประโยคเป็นรูปเดียวในสังฆมณฑล ดำรงตำแหน่งแม่กองธรรมสนามหลวง แม่กองบาลีสนามหลวง องค์เดียวกัน

    ในวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2494เวลา 10.30 น. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเระ)มรณภาพด้วยโรคเนื้องอกที่ตับรวมอายุได้ 80 ปี พรรษาที่ 59

    ความคิดเห็นส่วนตัวผม
    ท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ท่านบอก กับผู้ที่ไปกราบท่านว่า ขอให้ทุกๆวันได้ไหว้ 5 ครั้ง จะได้เป็นศิริมงคลกับตนเอง จะเหมือนกับชื่อของท่าน (เจริญ) ครับ ท่านเจ้าคุณนรเอง ก็มีความเคารพในท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ)มาก โดยท่านเจ้าคุณนรเอง เวลาเดินผ่านกุฎิของท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ)ทุกครั้ง ท่านเจ้าคุณนร ก็จะก้มลงกราบที่กุฎิอยู่ทุกครั้งครับ

    ขอเพิ่มเติมเรื่องราว ไหว้ 5 ครั้ง
    http://www.saktalingchan.com/index.p...icle&Id=262016

    [​IMG]


    เจ้าพระคุณสมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรเถร​

    เจ้าพระคุณสมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรเถร
    วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร

    1. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้เป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวงนี้ เมื่อพระคุณท่านมีอายุเพียง 27 ปี มีพรรษา 7 ยั่งยืนตลอดมาเป็นเวลาช้านานถึง 53 ปีฯ

    2. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯได้รับพระราชทานสมณศักดิ์สถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ นั้นมีอายุเพียง 56 ปี เท่านั้น ฯ

    3. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งธรรมเนียมการเทศนาธรรมในวันอาทิตย์ขึ้นเป็นแห่งแรก เริ่มเมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2471 ติดต่อกันมาถึงปัจจุบันนี้ นับเป็นเวลา 45 ปี ล่วงแล้ว ฯ

    4. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคมบัญชาการคณะสงฆ์แทนพระองค์สมเด็จพระ สังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ แลบัญชาการคณะสงฆ์โดยตรงสืบต่อมาเป็นเวลา 5 ปี ( ตั้งแต่ พ.ศ. 2476 ถึง พ.ศ. 2481 ) ฯ

    5. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้ถวายพระธรรมเทศนามงคลวิเสสกถาติดต่อกันถึง 4 รัชกาล คือตั้งแต่รัชกาลที่ 6-7-8-9 เป็นเวลาถึง 25 ปี ฯ

    6. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ มีสัทธิวิหาริก-อันเตวาสิก มากที่สุดถึง 6,666 องค์ ฯ

    7. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นต้นกำเนิดตำราไหว้ 5 ครั้งให้ศิษยานุศิษย์ปฏิบัติตาม หากผู้ใดไหว้ครบ 1 ปี เป็นกำหนด ผู้นั้นจักได้รับรูปที่ระลึกจากองค์ท่านด้านหน้าเป็นรูปองค์ท่าน ด้านหลังเป็นรูปยันต์ภควัม จากกรึกนามองค์ท่านเป็นอักษรย่อ โดยลำดับแห่งราชทินนามนั้น ๆ กระทั่งครั้งสุดท้ายได้จารึก 3 อักษรว่า พ.ฆ.อ. ซึ่งย่อจากราชทินนามว่า พุทธโฆษาจารย์ สมเด็จพระราชาคณะ ฯ

    8. สัทธิวิหาริกของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ที่มีอายุยืนยาวที่สุด คือ ท่านเจ้าคุณพระโศภณศีลคุณ ( หลวงปู่หลุย พาหิยเถร ) ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกองค์ที่ 23 ปัจจุบันอายุ 92 ปี พรรษา 67 ( เกิด 9 สิงหาคม 2426 ) ยังเดินลงโบสถ์ลงสวดมนต์ทำวัตรได้เป็นประจำทุก ๆ วัน เป็นพระเถราจารย์องค์สำคัญ ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือยิ่งของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ฯ

    9. สัทธิวิหาริกของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ที่ประพฤติปฏิบัติยอดเยี่ยม และเป็นพระเถระองค์สำคัญที่มีเกียรติคุณโด่งดังในปัจจุบัน คือ ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ฯ ธมมฺวิตกฺโก ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกองค์ที่ 1740 ฯ

    ไหว้ 5 ครั้ง ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดเทพศิรินทราวาส

    ในวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ไม่ว่าเวลาใด ตามแต่เหมาะ ต้องไหว้ให้ได้ 5 ครั้งเป็นอย่างน้อย ในคราวเดียวกัน ถ้ามีดอกไม้ ธูปเทียน ก็บูชา ถ้าไม่มีก็มือ 10 นิ้วและปากกับใจ ควรไหว้จนตลอดชีวิต คือ

    ครั้งที่ 1 พึงนั่งกระโหย่งเท้าประนมมือว่า นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสฺมพุทฺธสฺส ฯ 3 หน แล้วว่าพระพุทธคุณ คือ อิติปิ โส ภควา อรหสมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสาน&deg; พุทฺโธ ภควาติ ฯ หยุดระลึกถึงพระปัญญาคุณทรงรู้ดีรู้ชอบสิ้นเชิง พระบริสุทธิคุณทรงละความเศร้าหมองได้หมด พระกรุณาคุณทรงสงสารผู้อื่นและสั่งสอนให้ปฏิบัติตาม ของพระพุทธเจ้า จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    ครั้งที่ 2 ว่าพระธรรมคุณ คือ สฺวากฺขาโต ภควตา ธฺมโม สนฺทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺ จตฺต เวทิตพฺโพ วิญฺญหีติ ฯ หยุดระลึกถึงคุณพระธรรมที่รักษาผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    ครั้งที่ 3ว่าสังฆคุณ คือ สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสฺงโฆ ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสฺงโฆ สามีจิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสฺงโฆ ยทิทฺ จฺตตาริ ปุริสยุคานิ อฏฐ ปุริสปุคฺคลา เอส ภควโต สาวกสฺงโฆ อาหุเนยฺโย ปาหุเนฺยโย ทกฺขิเณยฺโย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรฺ ปุญฺญกฺเขตตฺ โลกสฺสาติ ฯ หยุดระลึกถึงคุณ คือ ความปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติชอบของพระอริยสงฆ์ จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    นั่งพับเพียบประนมมือ ตั้งใจถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ไม่ถือสิ่งอื่นยิ่งกว่าจนตลอดชีวิต ว่าสรณคมน์ คือ

    พุทฺธสรณคจฺฉามิ
    ธมฺมสรณคจฺฉามิ
    สงฺฆสรณคจฺฉามิ ฯ
    ทุติยมฺปิ พุทฺธสรณคจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ ธมฺมสรณคจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ สงฺฆสรณคจฺฉามิ ฯ
    ตติยมฺปิ พุทฺธสรณคจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ ธมฺมสรณคจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ สงฺฆสรณคจฺฉามิ ฯ

    ครั้งที่ 4 ระลึกถึงคุณมารดาบิดาของตน จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    ครั้งที่ 5 ระลึกถึงคุณของบรรดาท่านผู้มีอุปการคุณแก่ตน เช่น พระมหากษัตริย์ และครูบาอาจารย์เป็นต้นไป จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    ต่อนี้ไปไม่ต้องประนมมือ ตั้งใจพิจารณาเรื่องและร่างกายของตนว่า จะต้องแก่ หนีความแก่ไปไม่พ้น จะต้องเจ็บ หนีความเจ็บไปไม่พ้น จะต้องตาย หนีความตายไปไม่พ้น จะต้องพลัดพราก จากของรัก ของชอบใจทั้งสิ้น มีกรรมเป็นของตัว คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงไม่แน่นอน เป็นทุกข์ลำบากเดือดร้อน เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของตน ฯ ครั้นพิจารณาแล้ว พึงแผ่กุศลทั้งปวงมีการกราบไหว้เป็นต้นนี้ อุทิศให้แก่ท่านผู้มีคุณ มีบิดามารดาเป็นต้น ตลอดจนชั้นสูงสุด คือ พระมหากษัตริย์ ทั้งเทพดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายว่า จงเป็นสุข ๆ อย่ามีเวรมีภัยเบียดเบียนกันและกัน รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด ฯ

    การ ไหว้ 5 ครั้งนี้ ถ้าวันไหนขาด ให้ไหว้ใช้หนี้ 5 ครั้งในวันรุ่งขึ้น ถ้านั่งกระโหย่งเท้าไม่ได้ ก็นั่งพับเพียบ ถ้าไม่ได้ ก็นอนไหว้ เมื่อยอมือไม่ขึ้นก็ปากกับใจ ถ้าทำได้อย่างนี้ เป็นเครื่องหยุดตนให้เป็นคนดีไม่ให้เป็นคนชั่ว และให้ตั้งอยู่ในที่ดีไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ถ้าผู้ใดประพฤติได้เสมอจนตลอดชีวิต ผู้นั้นจะอุ่นใจในตัวของตัวเอง มีความเจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่งๆ ขึ้นเสมอทุกคืนทุกวัน คุ้มครองป้องกันภยันตรายปราศจากความเสียหายที่ไม่เหลือวิสัย และตั้งตัวได้ในทางคดีโลกและทางคดีธรรม เต็มภูมิเต็มชั้นของตน ฯ ทุกประการ จบเท่านี้ ฯ

    ปัจฉิมโอวาท
    ของ
    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรมหาเถระ
    วัดเทพศิรินทราวาส

    ไม่ตายควาวนี้ ก็ตายคราวหน้า อย่างเศร้าโศก เสียทีที่ศึกษาปฏิบัติมา ร้องให้เศร้าโศก ก็ร้องไห้เสร้าโศกสังขารที่
    เกิดแก่เจ็บตายนั้นเอง ที่ไม่ร้องไห้เศร้าโศกนั้นมิใช่จะเป็นคนใจไม้ใส้ระกำอะไร

    ธรรมของพระก็คือ
    สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา
    สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา
    สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา
    ย่นลงก็ สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา
    สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา แล้วปรินิพพาน
    ไม่ต้องเกิดมาแก่ มาเจ็บ มาตายอีก

    (มีบัญชาให้บันทึกไว้เมื่อเช้าวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๙๔)
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    http:.179//palungjit.org/showthrea...22445&page=762

    [​IMG]

    [​IMG]

    "บุญเราไม่เคยสร้าง...ใครที่ไหนจะมาช่วยเจ้า"..!

    "ลูกเอ๋ย ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด
    เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเองคือบารมีของตนลงทุนไปก่อน
    เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่ว ย
    มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สิน ในบุญบารมี
    ที่เที่ยวไปขอยืมมาจนพ้นตัว... เมื่อทำบุญทำกุศลได้
    บารมี ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด ไม่มีอะไรเหลือติดตัว..
    แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้..แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง"...!

    "จงจำไว้นะ...เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้....
    ครั้นถึงเวลา...ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่..
    จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดินเมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลยจะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า..."

    นี่ คือคำเทศนา ของเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรมรังษี ที่ได้โปรดชี้ธรรมไว้ในนิมิตหลังจากที่ท่านล่วงลับไป แล้วเมื่อ 100 กว่าปี อันเป็นปฐมเหตุที่ต้องสร้างความดีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    เปิดหลักเกณฑ์คืนภาษี รถคันแรก ซื้อก่อนปี 49 ส้มหล่น!!!


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

    ทันทีที่ มติ ครม.เมื่อวันที่ 13 กันยายน ไฟเขียวมาตรการคืนภาษีสรรพสามิตรถยนต์คันแรกไม่เกิน 1 แสนบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ก็ส่งผลให้ทั้งผู้ที่ฝันอยากจะมีรถคันแรกหลายคนถึงกับเฮ ที่จะได้รับสิทธิจากนโยบายนี้ ขณะที่ค่ายรถน้อยใหญ่ต่างก็ขานรับ และเร่งปรับกลยุทธ์กระตุ้นยอดขายกันจ้าละหวั่น หลังจากก่อนหน้านี้นโยบายดังกล่าวยังสร้างความสับสนในรายละเอียด ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อรถยนต์เป็นจำนวนมาก

    อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ใครจะเดินเข้าไปเลือกซื้อรถยนต์ เพื่อรับสิทธิ์คืนภาษีแล้ว ผู้ ซื้อต้องตรวจสอบหลักเกณฑ์ของนโยบายนี้ให้แน่ชัดเสียก่อน เพื่อพิจารณาให้ดีว่า เราเข้าข่ายได้รับสิทธินี้หรือไม่ ซึ่งหลักเกณฑ์นโยบายรถคันแรก มีดังนี้

    1. ต้องเป็นรถยนต์คันแรกของผู้ซื้อ

    2. ต้องทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2554-31 ธันวาคม พ.ศ.2555

    3. เป็นรถยนต์ราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อคัน

    4. เป็นรถยนต์นั่ง ขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร/รถกระบะ (Pick up)/รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Double Cab)

    5.เป็นรถยนต์ที่ผลิตขึ้นในประเทศ ไม่รวมถึงรถยนต์ที่ประกอบจากชิ้นส่วนนำเข้าใช้แล้วจากต่างประเทศ (รถยนต์จดประกอบ)

    6. คืนเงินเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อคัน

    7. ผู้ซื้อต้องมีอายุ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป

    8. ผู้ซื้อต้องครอบครองรถยนต์ไม่น้อยกว่า 5 ปี หากผู้ซื้อรถไม่สามารถผ่อนต่อได้ หรือมีเหตุอย่างอื่น จะต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับให้กรมสรรพสามิต หากไม่ดำเนินการ ทางกรมสรรพสามิตจะใช้วิธีการทางศาล เพื่อให้สั่งให้คืนทะเบียนรถยนต์

    9. การคืนเงินจะคืนเมื่อครอบครองรถยนต์ 1 ปีไปแล้ว โดยจะเริ่มจ่ายคืนให้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป ซึ่งกรมสรรพสามิตจะจ่ายผ่านทางเช็คเงินสดครั้งเดียวเต็มจำนวน

    10. สามารถซื้อรถแบบเงินผ่อนผ่านไฟแนนซ์ หรือเงินสดก็ได้

    11. รถมือสองไม่สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ เนื่องจากรถมือสองไม่มีภาษีสรรพสามิตในการซื้อ-ขาย

    สำหรับ แนวทางการดำเนินงาน หลังจากซื้อรถยนต์ตามหลักเกณฑ์ข้างต้นในช่วงวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2554-31 ธันวาคม พ.ศ.2555 แล้วนั้น ผู้ซื้อรถคันแรกต้องยื่นคำขอคืนเงินกับกรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ พร้อมเอกสารหลักฐาน ดังนี้

    - หนังสือยินยอมสละสิทธิการโอนภายใน 5 ปี

    - สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้ซื้อ

    - สำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ (ในกรณีเช่าซื้อ)

    จากนั้นกรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ จะส่งหนังสือถึงกรมการขนส่งทางบก หรือสำนักงานขนส่งจังหวัด เพื่อขอตรวจสอบการครอบครองรถยนต์คันแรก และแจ้งการสละสิทธิการโอนภายใน 5 ปีของผู้ซื้อ ก่อนที่กรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งจังหวัดตรวจสอบและบันทึก "ห้ามโอนภายใน 5 ปี" ลงในคอมพิวเตอร์และในสมุดคู่มือการจดทะเบียน

    เมื่อบันทึก "ห้ามโอนภายใน 5 ปี" ลงในคอมพิวเตอร์แล้ว กรมการขนส่งทางบก หรือสำนักงานขนส่งจังหวัด จะส่งหนังสือรับรองการครอบครองรถยนต์คันแรก และสำเนาคู่มือการจดทะเบียนที่บันทึก "ห้ามโอนภายใน 5 ปี" ให้กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ เมื่อกรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว จะสั่งจ่ายเช็คเงินสดคืนให้แก่ผู้ซื้อตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2555 เป็นต้นไป

    ทั้ง นี้ จากการตรวจสอบจากราคารถยนต์ และอัตราภาษีของรถยนต์ประเภทต่าง ๆ ในท้องตลาด เพื่อคิดเป็นสัดส่วนเงินภาษีที่จะได้รับคืน จะพบว่า

    - รถอีโคคาร์ ราคาประมาณคันละ 3.75-5.4 แสนบาท เก็บภาษี 17% ผู้ซื้อจะได้รับเงินคืนเฉลี่ย 45,000 บาท

    - รถยนต์นั่งขนาดเล็ก (ไม่เกิน 1,500 ซีซี) ราคาประมาณคันละ 5-7 แสนบาท เก็บภาษี 25% ผู้ซื้อจะได้รับเงินคืนสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท

    - รถกระบะ 2 ประตู ราคาประมาณคันละ 3-5 แสนบาท เก็บภาษี 3% ผู้ซื้อจะได้รับเงินเฉลี่ย 10,000 บาท

    - รถกระบะ 4 ประตู ราคาประมาณคันละ 7-8 แสนบาท เก็บภาษี 12% ผู้ซื้อจะได้รับเงินคืนเฉลี่ย 60,000 บาท

    โดยมาตรการการคืนเงินภาษีดังกล่าวนี้ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง มั่นใจว่าจะก่อให้เกิดผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะรัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีได้ทุกประเภท ทั้งภาษีรถยนต์ ภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นเงินที่มากกว่าจำนวนเงินที่จะต้องใช้คืนภาษีรถคันแรก โดยจะใช้งบประมาณราว 3 หมื่นล้านบาท และเบื้องต้นคาดว่าจะมีผู้ยื่นจดทะเบียนซื้อรถยนต์คันแรกประมาณ 5 แสนคัน

    อย่างไรก็ตาม รมช.คลัง ยอมรับว่า ยังไม่ได้หารือแนวทางการป้องกันการสวมสิทธิ์ แต่ก็จะขอร้องให้ผู้ที่จะมาสวมสิทธิ์แสดงความเห็นใจบุคคลที่ยังไม่เคยมีรถ ยนต์เป็นของตัวเองด้วย

    ขณะที่ นายเทียนโชติ จงพีร์เพียร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กล่าวถึงการดำเนินงานตามมาตรการรถคันแรก ว่า ทางกรมขนส่งทางบกจะเชื่อมโยงฐานข้อมูลรายชื่อการยื่นจดทะเบียนการครอบครองรถยนต์ไปยังกรมสรรพสามิต เพื่อตรวจสอบว่า ผู้ที่ยื่นขอใช้สิทธิลดหย่อนภาษีรถคันแรกเคยเป็นเจ้าของรถยนต์มาก่อนหรือไม่ หากพบว่ามีรายชื่ออยู่ก็จะถูกตัดสิทธิทันที

    สำหรับโครงการนี้ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ยอมรับว่า ยัง มีปัญหาเรื่องฐานข้อมูลการยื่นจดทะเบียนรถยนต์ เพราะฐานข้อมูลมีบันทึกไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ถึงปัจจุบันเท่านั้น แต่ช่วงก่อนหน้าปี พ.ศ.2549 ยังไม่ได้มีการเชื่อมฐานข้อมูลให้ออนไลน์ทั่วประเทศ ทำให้ฐานข้อมูลไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ดังนั้น อาจต้องยกประโยชน์ให้กับผู้ที่เคยยื่นจดทะเบียนซื้อรถยนต์ก่อนปี พ.ศ.2549 สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน



    [​IMG]


    รถคันแรก สรรพสามิตคืนภาษีทางตรงให้ผู้ซื้อ (ไอเอ็นเอ็น)


    บุญ ทรง เผยซื้อรถคันแรก สรรพสามิตคืนภาษีทางตรงให้ผู้ซื้อ ไม่ต้องขอลดหย่อน เมินดึงรถมือสองร่วมโครงการ เหตุปลอดภาษีสรรพสามิตในการซื้อ - ขายอยู่แล้ว

    นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติมาตรการคืนภาษีสรรพสามิตรรถยนต์คันแรกไม่เกิน 100,000 บาท ไปเมื่อวานนี้ (13 กันยายน) โดยในวันนี้ (14 กันยายน) ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านภาษีเข้าหารือที่กระทรวงการคลัง รวมถึงผู้ประกอบการรถยนต์ในประเทศ สถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อและบริษัทประกันภัยเข้าฟัง ชี้แจง และรับทราบปัญหา โดยรถกระบะเชิงพาณิชย์ เริ่มเก็บภาษีสรรพสามิตที่ 3 % ดับเบิ้ลแคป 12 % อีโคคาร์ 17 % และรถยนต์นั่ง ประมาณกว่า 120 %

    ทั้งนี้ รูปแบบการคืนภาษีรถยนต์คันแรกให้กับผู้ซื้อนั้น กระทรวงการคลังจะยึดตามมติ ครม. เมื่อวานนี้ (13 กันยายน) ที่ให้คืนภาษีสรรพสามิตโดยตรงให้กับผู้ซื้อรถ โดยไม่ต้องเข้าแบบฟอร์มยื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อขอลดหย่อนภาษี โดยกระทรวง การคลังจะคืนเงินให้เป็นเช็คไม่เกิน 100,000 บาท แต่ผู้ซื้อต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนด เช่น อายุไม่ต่ำกว่า 21 ปี ไม่เคยเป็นเจ้าของรถมาก่อน ห้ามเปลี่ยนมือภายใน 5 ปี ขนาดของเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,500 ซีซี ราคาไม่เกิน 1,000,000 บาท และเป็นรถยนต์นั่ง รถกระบะ กระบะดับเบิ้ลแคป ส่วนจะซื้อแบบผ่อนผ่านไฟแนนซ์ หรือเป็นเงินสดก็สามารถดำเนินการได้

    อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรถยนต์มือสอง ยังไม่รวมเข้าโครงการนี้ เนื่องจากรถมือสอง ไม่มีภาษีสรรพสามิตในการซื้อ - ขาย


    -http://hilight.kapook.com/view/62291-

    .
     
  12. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ไม่ทราบครับ แต่ลุงข้างบ้านแจ้งมาว่าทน ท่านเพชรไม่ได้ต้องโชว์บ้างครับ
    เป็นพระกริ่งใหม่ แต่จัดสร้างเพียง 199องค์ มวลสารเพียบตาลุงเชิญมาแค่ 5% ที่จัดสร้างเองครับ ดีปล่าวแรงปล่าวครับ หุ หุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2011
  13. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    วิธีถนอมหอมใหญ่ไว้ใช้นาน ๆ

    วันพฤหัสบดี ที่ 15 กันยายน 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    ถ้าต้องอารมณ์เสียกับ “หอมใหญ่” เน่าเร็ว รับประทานไม่ทัน ลองนำ 4 วิธีนี้ไปทดสอบ ช่วยยืดความสด คงความกรอบ ผิวไม่ช้ำ พร้อมเคล็ดลับหั่นหอมใหญ่โดยไม่เสียน้ำตา

    เริ่มจากขั้นตอนการเลือกซื้อ โดยหอมใหญ่คุณภาพดีควรมีผิวแห้ง และเรียบ น้ำหนักมาก เนื้อแน่น ไม่มีส่วนที่นิ่ม หรือรอยช้ำ ซึ่งจะทำให้เก็บได้นานขึ้น

    ส่วนหอมใหญ่ที่เหลือจากปรุงอาหาร มีหลากหลายวิธีช่วยยืดอายุให้เน่าเสียช้าลงด้วยวิธีที่หนึ่งนำหอมใหญ่ใส่ถุงกระดาษสีน้ำตาลแล้วพับปิดปากถุง ส่วนวิธีที่สองใช้กระดาษห่อหอมใหญ่แยกเป็นลูก ๆ จากนั้น ใส่ถุงพลาสติกอีกชั้น หรือ วิธีที่สามใช้กระดาษฟอยล์ห่อหอมใหญ่ ก่อนนำเข้าตู้เย็นแช่ช่องผัก จะช่วยคงความกรอบ และผิวไม่ช้ำ

    เมื่อจะนำมาประกอบอาหาร เพียงปอกเปลือก ใช้มีดจิ้มโดยรอบหัวหอม แล้วนำลงแช่น้ำเปล่าสักครู่ เพื่อลดอณู ซึ่งมีสารประกอบซัลเฟอร์ หรือ กำมะถัน ไม่ให้ฟุ้งกระจายเวลาหั่น จึงช่วยลดการระคายเคือง และแสบร้อนในตาได้.

    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
     
  14. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ที่ว่า "มือผี" นี่ ผีอีเม้ยหรือเปล่าครับ ...kickๆๆๆ
    [​IMG]

    กูรูน้องนู๋ เชิญมาแค่ 5%จาก 199 องค์ หากไม่ใช่ผู้มีอุปการะคุณ ก็ต้องเป็นเจ้าของโครงการแล้วนะ ของ"มือผี" จะไปสู้ได้ยังไง 5555++

    คือที่เอาให้ชมนั่น เพราะสาเหตุว่า 2 ท่าน(ท่านสิทธิฯ กับท่านอนัตฯ)แข่งกัน post ข่าวกันมันส์ๆ ผมก็เกรงว่า เพื่อนสมาชิกจะพากันเข้าใจผิดคิดว่าเป็นกระทู้ข่าว แทนที่จะเป็นกระทู้พระพิมพ์ เลยต้องเอามาขัดตาทัพมั่ง คราวต่อไปจะเอาพระมือผีมาชมกันใหม่ขัดตาทัพหน้าข่าว ผมว่าเจ้าของกระทู้ ต้องเอาข่าวที่ post ๆกันไป มาตั้งคำถามกันมั่งละ เพราะจะได้เป็นการเช็คกันว่า ได้เข้าไปอ่านกันหรือเปล่าให้สมความตั้งใจของความตั้งใจสรรหาเนื้อข่าวมา post ให้ความรู้กัน 5555++

    มาต่อด้วยสมเด็จฐานแซม กันมั่ง เขาว่า มือผี นะ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1010380.JPG
      P1010380.JPG
      ขนาดไฟล์:
      240.2 KB
      เปิดดู:
      30
    • P1010381.JPG
      P1010381.JPG
      ขนาดไฟล์:
      244.5 KB
      เปิดดู:
      31
    • P1010382.JPG
      P1010382.JPG
      ขนาดไฟล์:
      235.7 KB
      เปิดดู:
      30
    • P1010383.JPG
      P1010383.JPG
      ขนาดไฟล์:
      245.9 KB
      เปิดดู:
      28
    • P1010384.JPG
      P1010384.JPG
      ขนาดไฟล์:
      241.3 KB
      เปิดดู:
      30
    • P1010385.JPG
      P1010385.JPG
      ขนาดไฟล์:
      240.3 KB
      เปิดดู:
      29
    • P1010386.JPG
      P1010386.JPG
      ขนาดไฟล์:
      231.2 KB
      เปิดดู:
      29
    • P1010387.JPG
      P1010387.JPG
      ขนาดไฟล์:
      248.8 KB
      เปิดดู:
      29
  15. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    ขอclose ภาพที่คนเขาว่า"มือผี"อีกที
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1010366.JPG
      P1010366.JPG
      ขนาดไฟล์:
      446.7 KB
      เปิดดู:
      27
    • P1010368.JPG
      P1010368.JPG
      ขนาดไฟล์:
      425.9 KB
      เปิดดู:
      29
    • P1010370.JPG
      P1010370.JPG
      ขนาดไฟล์:
      367.9 KB
      เปิดดู:
      28
    • P1010372.JPG
      P1010372.JPG
      ขนาดไฟล์:
      422.4 KB
      เปิดดู:
      31
    • P1010374.JPG
      P1010374.JPG
      ขนาดไฟล์:
      438.4 KB
      เปิดดู:
      33
    • P1010378.JPG
      P1010378.JPG
      ขนาดไฟล์:
      406.9 KB
      เปิดดู:
      26
  16. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เห็นกูรูน้องนู๋เชิญพระกริ่ง 5% จาก 199 องค์ มาให้ชม (ลุงข้างบ้านเอามาลงมากๆสงสัยจะเอามาแจกหลานๆตาดำๆ) เลยต้องเชิญพระประธานโลหะลอยองค์องค์นี้บ้าง...ไม่ถามว่าดีเปล่า แรงเปล่า แต่ถามว่า มือผี เปล่า...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1010363.JPG
      P1010363.JPG
      ขนาดไฟล์:
      188.9 KB
      เปิดดู:
      37
    • P1010364.JPG
      P1010364.JPG
      ขนาดไฟล์:
      178 KB
      เปิดดู:
      40
    • P1010365.JPG
      P1010365.JPG
      ขนาดไฟล์:
      135 KB
      เปิดดู:
      23
  17. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ท่านเพชรมาโชว์มีหรือจะมือผี หุ หุ
    ตาลุงข้างบ้านเลยยอมมาโชว์บ้างหน้าตัก2.5ซม. แต่ฐานกว้างประมาณ6ซม. จากเจดีย์ใหญ่แถวฝั่งธนนี่ครับ มือผีปล่าว ดีปล่าว แรงปล่าวครับ หุ หุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2011
  18. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    [​IMG]
    กูรูน้องนู๋ยังไม่เคยเชิญกรุฝั่งธนฯมาให้ชม แบบนี้ชอบไม๊ๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    [​IMG]
    ถ้าว่ากันด้วยวัดกลางตลาดพลู ตาลุงแนะนำพิมพ์ใหญ่นี้ครับ ชอบม๊าๆๆๆๆ หุ หุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2011
  20. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    แต่ผมก็ยังติดตาติดใจ"เก๋งจีน" อุ้มบาตรอยู่ดีนะ ช๊อบชอบ
     

แชร์หน้านี้

Loading...