พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    และพระพิมพ์ที่ทราบว่ามีคนกำลังตามหากัน หุ..หุ..ก้ไม่ทราบว่า ดียังไงนะ ถึงตามหากันจังงงง...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1011041.JPG
      P1011041.JPG
      ขนาดไฟล์:
      145.2 KB
      เปิดดู:
      34
    • P1011039.JPG
      P1011039.JPG
      ขนาดไฟล์:
      132.8 KB
      เปิดดู:
      42
    • P1011042.JPG
      P1011042.JPG
      ขนาดไฟล์:
      144.6 KB
      เปิดดู:
      32
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 16 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 11 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong, sittiporn.s+, newcomer+, :::เพชร:::+, Pinkcivil</td></tr></tbody></table>

    ที่่จอดรถอีกที่ ก็ห้างโรบินสันครับ

    ส่วนคุณเพชร ก็อีกแล้วครับ

    ดีอย่างไร ต้องบอกเฉพาะในกลุ่มเท่านั้นครับ

    สวัสดีครับพี่สิทธิพร ตกลงว่า ชุดที่ผมส่งให้ล่าสุด ดีป่าวครับ แรงป่าวครับ อิอิ

    .
     
  3. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    อิอิ รู้แต่ว่าคุณเพชรมีแยะ(good)(good)
     
  4. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    อืมม์ ดูแล้วโรบินสันน่าจะเดินใกล้สุดครับ(tm-love)
     
  5. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    ผมนึกขึ้นได้ว่ามีคำถามจะถามคุณเพชรครับ

    นำกานพลู 10 ก้าน + พริกไทย 5 เม้ด ต้มน้ำ 1 แก้วเหลือ 3/4 แก้ว ทานอุ่นๆ ไม่ทราบมีสรรพคุณอะไรครับ มีผลดี - เสีย อะไรไหมครับ
     
  6. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เหลือน้อยมากๆครับ ได้มาเมื่อ 5 ปีก่อน ตอนนั้นจิตบอกว่า....เก็บไว้นะ จะมีคนตามหา ..ระหว่างนั้นผมก็แจกไปบ้าง ให้ร่วมบุญกันไปบ้าง เข้าร่วมในโครงการธนาคารความดีมั่ง จนไม่น่าเหลือเกิน ๓๐ องค์แล้วครับ พิมพ์นี้ผมคิดว่าน่าจะมีในกลุ่มอีกหลายองค์ แต่ละองค์ในกลุ่มก็เก็บไว้ 1-2 หรือ 2-3 องค์เท่านั้น เนื่องจากลักษณะของเนื้อว่านยา การปิดทอง และบรรจุกริ่ง เขาบอกให้เอามาดูเล่น ผมเลยเอามาดูจริงๆ ไม่ดูเล่นอยากเขา..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1010024.JPG
      P1010024.JPG
      ขนาดไฟล์:
      188.3 KB
      เปิดดู:
      27
    • P1010025.JPG
      P1010025.JPG
      ขนาดไฟล์:
      183.5 KB
      เปิดดู:
      32
    • P1010026.JPG
      P1010026.JPG
      ขนาดไฟล์:
      163.7 KB
      เปิดดู:
      30
    • P1010027.JPG
      P1010027.JPG
      ขนาดไฟล์:
      159.3 KB
      เปิดดู:
      30
    • P1010028.JPG
      P1010028.JPG
      ขนาดไฟล์:
      177.2 KB
      เปิดดู:
      30
    • P1010029.JPG
      P1010029.JPG
      ขนาดไฟล์:
      204.5 KB
      เปิดดู:
      30
    • P1010514.JPG
      P1010514.JPG
      ขนาดไฟล์:
      13.9 KB
      เปิดดู:
      91
    • P1010515.JPG
      P1010515.JPG
      ขนาดไฟล์:
      14.7 KB
      เปิดดู:
      86
    • P1010517.JPG
      P1010517.JPG
      ขนาดไฟล์:
      13.3 KB
      เปิดดู:
      92
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เหอๆๆๆๆ

    คุณเพชรเหลือแค่ไม่กี่ร้อยองค์เองครับคุณPinkcivil อิอิ


    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border:1px inset"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: [​IMG]
    เหลือ น้อยมากๆครับ ได้มาเมื่อ 5 ปีก่อน ตอนนั้นจิตบอกว่า....เก็บไว้นะ จะมีคนตามหา ..ระหว่างนั้นผมก็แจกไปบ้าง ให้ร่วมบุญกันไปบ้าง เข้าร่วมในโครงการธนาคารความดีมั่ง จนไม่น่าเหลือเกิน ๓๐ องค์แล้วครับ พิมพ์นี้ผมคิดว่าน่าจะมีในกลุ่มอีกหลายองค์ แต่ละองค์ในกลุ่มก็เก็บไว้ 1-2 หรือ 2-3 องค์เท่านั้น เนื่องจากลักษณะของเนื้อว่านยา การปิดทอง และบรรจุกริ่ง เขาบอกให้เอามาดูเล่น ผมเลยเอามาดูจริงๆ ไม่ดูเล่นอยากเขา..
    </td> </tr> </tbody></table>
    เป็นคนละชุด คนละพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงครับ

    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 11 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 6 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong, Pinkcivil, newcomer+, :::เพชร:::+, sittiporn.s+</td></tr></tbody></table>


    อ่ะน๊ะ นานๆมา

    ลงรูปเป็นชุดเลยน๊ะครับคุณเพชร vb vb

    งานนี้โหลดกันกระฉูดแน่ๆเลย

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 12 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 9 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong, newcomer+, :::เพชร:::+</td></tr></tbody></table>

    ผมไปพักผ่อนก่อนครับ พรุ่งนี้ยังมีภาระกิจอีกหลายเรื่องครับ

    ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ


    .
     
  11. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ตัวยาทั้ง ๒ นี้ เป็นตัวยารสร้อน ร้อนทั้ง 2 ตัวยาจริงๆ ปกติกานพลูทางทันตกรรมจะเอาไว้เป็นยาชาแก้ปวดฟัน ร้านอาหารในต่างประเทศบางร้านเช่นเนปาล จะเอาไว้บนโต๊ะอาหารพร้อมกับเทียนแกลบเพื่อลดกลิ่นปากหลังทานอาหารเสร็จ กานพลูที่เราไปซื้อจากร้านขายยา มักจะเป็นเกรด B เพราะเกรด A เขาเอาน้ำมันไปขายก่อนแล้ว ที่เหลือจากการเอาน้ำมันกานพลูก็ขายให้ร้านขายยาทำยา ในตำรับยาหลายตำรับ มักจะใช้กานพลูร่วมกับกระวานด้วย ดังนั้นส่วนของกานพลูที่เรานิยมนำไปใช้ทำยา มีเพียง ๒ ส่วน คือ น้ำมันกานพลู และดอกกานพลู น้ำมันกานพลูสรรพคุณรวมๆคือ เป็นยาชาเฉพาะที่อย่างที่เล่าไปแล้ว ระงับการชักกระตุก ขับผายลม แก้ปวดท้อง แก้ท้องขึ้น แก้ปวดฟัน ผสมลงในยาสีฟัน น้ำยากลั้วปาก ฯลฯ

    ส่วนดอกกานพลูสรรพคุณคือ กระจายเสมหะ แก้เสมหะเหนียว แก้เลือดออกตามไรฟัน หืด แก้ปวดฟัน แก้รำมะนาด แก้ปวดท้อง แก้ลม แก้เหน็บชา แก้พิษโลหิต แก้น้ำเหลือง ขับน้ำคาวปลา ทำอุจจาระให้เป็นปกติ(อุจจาระปกติก็คือสุขภาพดี) แก้ธาตุ ๔ พิการ กดลมให้ลงสู่เบื้องต่ำ(ความหมายคือแก้ลมวิงเวียน คือแก้ลมกองละเอียดนั่นเอง) ที่เด็ดของดอกกานพลูคือ เวลาเด็กท้องขึ้น แก้ด้วยการนำกานพลูมาทุบใส่ในขวดนม ๑ ดอกเท่านั้นอย่ามากกว่านั้นเพราะเป็นยารสร้อน

    วันที่นัดกันไปทานขาหมูจะนำไปให้ลองกัน กานพลู+เทียนแกลบ ดับกลิ่นปากกันยังไง หุ..หุ..ระวังจะติดใจไปหาซื้อกันเก็บไว้ใช้ ปากหอมๆ

    ส่วนพริกไทย น่าจะหมายถึงพริกไทยร่อน สรรพคุณของตัวเมล็ดเองเอาไว้แก้ลมอัมพฤกษ์ แก้ลมลั่นในท้อง บำรุงธาตุ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้เสมหะเฟื่อง ฯลฯ

    จะเห็นว่า ด้วยสรรพคุณที่คุณ pink เลือกใช้นั้น น่าจะเอาไว้ขับลม จุกเสียดแน่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ หากจะใช้เพื่อวัตถุประสงค์นี้ ผมขอแนะนำ ๒ เรื่องเกี่ยวกับพิกัดยา อันนี้เพียง ๒ ตัวยาเท่านั้น น่าจะลองเลือกใช้เสมอภาคกัน คือ อัตราส่วน ๑ : ๑ เท่ากัน ใช้มากก็เข้มข้นมาก ใช้น้อยก็เข้มข้นน้อย ขนาดเด็กทารกใช้เพียง ๑ ดอกเท่านั้น ผมคิดว่า ใช้เพียง ๕ ดอก เทียบน้ำหนักเท่ากันของเมล็ดพริกไทยร่อน ประมาณด้วยสายตา ๑ ดอกกานพลู น่าจะมีน้ำหนักมากกว่าน้ำหนักพริกไทยร่อน ๑ เม็ด ต้องชั่งน้ำหนักดูครับ ในส่วนของน้ำที่ใช้ดื่มด้วยกัน ให้ลองปรับใช้น้ำกระเพราแดงต้มอุ่นๆแทนน้ำสุกสะอาด เรื่อง ๓/๔ ไม่น่าจะเป็นสาระ เพราะการต้มยาที่เน้นการรักษาโดยตรงเขามักจะต้มยาโดยน้ำท่วมตัวยากะเอาว่า คือ ๓ ส่วน ให้น้ำเหลือ ๑ ส่วน แต่คุณ Pink เอาไว้ดื่นไล่ลมเล่นๆ ก็ไม่น่าจะถือเป็นสาระสำคัญ สำหรับปริมาณน้ำ ทานน้ำมากก็ขับปัสสาวะมาก และบ่อยเท่านั้น และไม่ควรจะทานช่วงก่อนนอน เพราะจะขับผายลมทั้งคืน และเข้าห้องน้ำขับปัสสาวะบ่อยเท่านั้นครับ การใช้น้ำกะเพราแดง แทนน้ำเปล่านี้ถือเป็นศิลปะการปรุงยา โบราณจะเน้นการใช้น้ำกระสายยามาก ตัวยาตัวเดียวกัน แต่พอปรับการใช้น้ำกระสายยากลับไปรักษาโรคอีกโรคได้ ใช้น้ำกะเพราแดงเป็นน้ำกระสายยาแก้ท้องขึ้น ใช้น้ำข่าเป็นน้ำกระสายยาแก้จุกเสียด อยู่ที่เราจะเลือกใช้น้ำกระสายยาครับ..

    ลองทำดู ๓ แบบก็ได้ครับ ไม่มีโทษใดๆ เพียงดูปฏิกิริยาว่าแบบไหนเหมาะกับเราในเรื่องไหน ตัวยากับกำลังโรค ต้องพอเหมาะกัน
     
  12. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    นี่ครับสะดือมังกร พี่เขากำลังคำนวณตำแหน่งแห่งที่ของสะดือมังกร ตั้งธาตุและทิศทางการหมุนของกระแสน้ำ กำหนดวันเวลาที่จะมาขอน้ำจากสะดือมังกร เพียง ๗-๑๐นาทีที่จะกลายสภาพเป็นน้ำทิพย์สะดือมังกร วันที่ขอน้ำทิพย์สะดือมังกร ได้นำเครื่องบวงสรวงมาด้วย ส่วนบวงสรวงอะไรขอปิดเป็นความลับครับ..<O:p</O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2011
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 5 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong, anan11 </td> </tr> </tbody></table>

    สวัสดีตอนเช้า วันอาทิตย์หรรษาครับ

    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    [FONT=Tahoma,]ตื่นปรับตัว..แต่อย่าตื่นตูม ลดคุ้มครองเงินฝาก11ส.ค.นี้

    คอลัมน์ รายงานพิเศษ


    <table align="left" border="0" cellpadding="0" cellspacing="5" width="360"><tbody><tr><td align="center" bgcolor="#E0E0E0" valign="top">[​IMG]
    </td></tr></tbody></table>11 ส.ค.54 ย่างก้าวสู่ปีที่ 4 ของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) นับเป็นก้าวที่จะเริ่มลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากลงเหลือไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อหนึ่งรายผู้ฝากต่อหนึ่งสถาบันการเงิน จนถึง วันที่ 10 ส.ค.55

    จาก ในช่วง 3 ปีแรก ที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค.51-10 ส.ค.54 ให้คุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวน ภายใต้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถาบันคุ้มครองเงินฝาก

    อีกนัยหนึ่ง ยังนับเป็นก้าวสำคัญในการปรับตัวของผู้ฝากเงินและสถาบันการเงิน ในช่วงเปลี่ยนผ่านการปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากลงเหลือไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อหนึ่งรายผู้ฝากต่อหนึ่งสถาบันการเงิน ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค.55 เป็นต้นไป

    ผลพวงจากการคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวนและทยอยลดวงเงินคุ้มครองลงนั้น ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้ฝากเงินและสถาบันการเงิน

    นาย สิงหะ นิกรพันธุ์ ผู้อำนวยการ สคฝ. กล่าวว่า การลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากลงเหลือไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อหนึ่งรายผู้ฝากต่อหนึ่งสถาบันการเงิน ตามระยะเวลาที่กำหนดนั้น เป็นประโยชน์ต่อผู้ฝากเงินส่วนใหญ่ของประเทศ 98.5% ของผู้ฝาก ทั้งระบบ (ข้อมูล ณ สิ้นมี.ค.53)

    โดยข้อมูลล่าสุด จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ณ สิ้นเดือนพ.ค.54 พบว่า เงินฝากแยกตามขนาดวงเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาท ในธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบมีทั้งสิ้น 78,859,990 บัญชี เป็นเงิน 2,235,640 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 98.78% แล้ว จากทั้งหมดมี 79,830,348 บัญชี เป็นเงิน 7,567,586 ล้านบาท

    ทั้งนี้ จะครอบคลุมเงินฝากกระแสรายวัน, ออมทรัพย์, ประจำ, และใบรับฝากเงินที่เป็นเงินบาท ซึ่งได้รวมเงินฝากของชาวต่างประเทศที่ฝากไว้ในประเทศในรูปเงินบาทด้วย ภายใต้สถาบันการเงินที่ได้รับการคุ้มครอง ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ของไทย 17 แห่ง สาขาธนาคารต่างประเทศ 15 แห่ง บริษัทเงินทุน 3 แห่ง และบริษัทเครดิต ฟองซิเอร์ 3 แห่ง รวมทั้งสิ้น 38 แห่ง

    ยกเว้นเงินฝากในบัญชีเงินบาท ของบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ ลงทุนในกิจการที่ต่างประเทศ ลงทุนตราสารหนี้ ตราสารทุน ซื้อขายสัญญาล่วงหน้า หรือค่าสินค้าบริการ, เงินฝากที่มีอนุพันธ์แฝง, ตั๋วแลกเงิน, ตั๋วสัญญาใช้เงิน, เงินฝากที่เป็นเงินตราต่างประเทศ, เงินลงทุนในกองทุนต่างๆ เช่น พันธบัตร, กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF), กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และหุ้นกู้ธนาคารหรือบริษัทเอกชน รวมถึงเงินฝากในสหกรณ์ก็ไม่ได้รับความคุ้มครอง เพราะสหกรณ์ไม่ได้เป็นสถาบันการเงินตามกฎหมาย

    นอกจากนี้ ยังยกเว้นการคุ้มครองเงินฝากในธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารอาคารสงเคราะห์ เพราะเป็นธนาคารที่รัฐถือหุ้น และดูแลผู้ฝากเงินอยู่แล้ว รวมทั้งมีธนาคารอื่นที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น เช่น ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย

    นายสิงหะยอมรับว่า กรณีที่ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐไม่ได้รับการคุ้มครองเงินฝากนั้น ทำให้เกิดปัญหาลักลั่นกับธนาคารพาณิชย์ ในแง่ความมั่นใจต่อฐานะการเงินระหว่างธนาคารของรัฐที่มีรัฐการันตี กับธนาคารพาณิชย์ที่จำกัดวงเงินคุ้มครองไม่เกิน 1 ล้านบาท กรณีหากธนาคารพาณิชย์มีปัญหาจนต้องปิดกิจการ

    "อาจมีประชาชนบางส่วน โยกย้ายเงินฝากจากธนาคารพาณิชย์ไปธนาคารของรัฐ แต่มั่นใจว่ากลไกการคุ้มครองเงินฝากจะทำให้ผู้ฝากเงินมีการติดตามฐานะ รวมถึงผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะเป็นแรงกดดันให้ธนาคารมีความระมัดระวังและมีวินัยในการบริหารจัดการ ดูแลความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ ทำให้ธนาคารทุกแห่งหันมาแข่งขันกันในรูปแบบของบริการและประเภทผลิตภัณฑ์ที่ เป็นธรรมต่อลูกค้า" นายสิงหะกล่าว

    ในส่วนผู้ฝากที่เป็นนิติบุคคล เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนรวม บริษัทประกันชีวิต ประกันภัย มูลนิธิ วัด สมาคมสภากาชาด สหกรณ์ ถ้านำเงินไปฝากกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงิน จะได้รับการคุ้มครองตามวงเงินที่กำหนดไว้ เช่นเดียวกับกรณีเงินฝากของบุคคลธรรมดา

    นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่พบเห็นการเคลื่อนย้ายเงินฝากที่ผิดปกติ อาจมีผู้ฝากบางส่วนที่นำเงินฝากออกไปลงทุนในตั๋วแลกเงิน ที่ส่วนใหญ่ออกโดยธนาคารพาณิชย์เป็นหลัก ไม่ใช่ภาคธุรกิจ ส่วนตัวจึงเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหา และไม่ส่งผลกระทบต่อธนาคารพาณิชย์

    ตามพ.ร.บ. ธปท.มาตรา 41-43 ระบุไว้ชัดเจนว่า หากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินมีปัญหา ธปท.สามารถให้กู้ยืมเงินแก่สถาบันการเงินได้ แต่หากปัญหาสภาพคล่องอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเสถียร ภาพของระบบเศรษฐกิจ และระบบการเงิน ธปท.ก็สามารถเข้าควบคุม ออกคำสั่งให้สถาบันการเงินแก้ไขฐานะ หรือเพิ่มทุน จนถึงขั้นสั่งปิดกิจการหรือเพิกถอนใบอนุญาตได้

    "อุปมา อุปไมย สคฝ.เหมือนสถานีดับเพลิง ที่มีเป้าหมายคือ ทำอย่างไรไม่ให้เกิดเพลิงไหม้เป็นดีที่สุด ดังนั้น จึงต้องมีเครื่องมือเข้ามาดูแลอย่างเป็นระบบระเบียบ เพื่อคอยดับเพลิงในจุดเล็กๆ ไม่ให้ลุกลามไปยังจุดอื่น" นายประสารกล่าว

    ด้าน นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการ สมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ในระยะสั้น 4-5 ปีข้างหน้า เชื่อว่าจะไม่มีสถาบันการเงินเกิดปัญหาจนต้องปิดกิจการ จึงไม่อยากให้ประชาชนตื่นตระหนกว่าช่วงเปลี่ยนผ่านการลดวงเงินคุ้มครองเงิน ฝากจากเต็มจำนวนลงมาเหลือ 50 ล้านบาท และ 1 ล้านบาทนั้น หมายความว่าขณะนี้สถาบันการเงินมีปัญหาแล้ว ยืนยันว่าปัจจุบันสถาบันการเงินไทยมีความมั่นคงมาก

    เห็นได้จากฐานะ ของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี โดยข้อมูล ณ สิ้นเดือนมิ.ย.54 อัตราการขยายตัวของสินเชื่อเติบโต 15.5% มีกำไร 29.4% ส่วนการดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ 8.5% ธนาคารพาณิชย์มี 15.24% สาขาธนาคารต่างประเทศมี 16.11% จากที่กำหนดไว้ 7.5% บริษัทเงินทุนมี 31.51% จากที่กำหนดไว้ 8% บริษัทเครดิตฟอง ซิเอร์มี 65.28% จากที่กำหนดไว้ 6%

    นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า หลังจากนี้ไปจะเริ่มเห็นผู้ฝากเงินที่มีวงเงินมากกว่า 1 ล้านบาท มีระเบียบวินัยในการออมมากขึ้น โดยเฉพาะการติดตามสถานะ ผลประกอบการของธนาคาร ขณะที่สถาบันการเงินเองจะต้องพยายามปรับปรุงสถาบันให้ดีขึ้น พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าและผู้ฝากเงินเป็นทางเลือกให้ กับประชาชนมากขึ้น

    ดังนั้น การลดการคุ้มครองเงินฝากไม่ใช่เรื่องที่ต้องตระหนกตกใจ ที่ต้องแห่กันไปถอนเงินออกจากธนาคารมาใส่โอ่งใส่ไหฝังดินไว้หลังบ้าน เพราะกลัวเงินฝากจะไม่ได้รับความคุ้มครอง

    เพียงแต่ทั้งผู้ฝากเงิน โดยเฉพาะรายที่มีเงินเยอะๆ คงต้องปรับตัวเอาใจใส่ด้านข้อมูลข่าวสารมากขึ้น

    ขณะที่สถาบันการเงินคงเน้นด้านบริการที่เข้าถึงสะดวกรวดเร็ว และผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า

    จึงถือว่าเป็นประโยชน์ที่ทำให้ประชาชนมีทางเลือกในการลงทุนมากขึ้นเช่นกัน
    [/FONT]


    -http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObFkyOHlOVEEzTURnMU5BPT0=&sectionid=TURNd05RPT0=&day=TWpBeE1TMHdPQzB3Tnc9PQ==-

    .

    http://www.khaosod.co.th/view_news....nid=TURNd05RPT0=&day=TWpBeE1TMHdPQzB3Tnc9PQ==

    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ทำไมจึงเรียกขนมจีน


    [​IMG]

    ขนมจีน อาหารประเภทเส้นทานคู่กับน้ำยาต่าง ๆ ทั้งที่เป็นอาหารคาวแต่ทำไมเรียกขนม แล้วมาจากจีนหรือเปล่า วันนี้มีเฉลย

    ขนมจีน อาหารคาวชนิดหนึ่งของไทย เวลารับประทานต้องทานคู่กันระหว่างเส้นขนมจีนยาว ๆ สีขาวที่ทำจากแป้งกับน้ำยาชนิดต่าง ๆ มากมาย ทั้งน้ำยากะทิ น้ำยาป่า หรือแกงเขียวหวาน เป็นต้น ขึ้นอยู่กับแต่ละท้องถิ่น แกล้มกับผักสด เช่น กะหล่ำปลี ถั่วงอก ผักดอง แตงกวา ฯลฯ มองดูแล้ว นี่ไม่ใช่ขนมสักนิด และก็ไม่น่าจะมาจากประเทศจีนด้วย แล้วชื่อ "ขนมจีน" มาจากไหน

    ขนมจีน ไม่ได้มาจากประเทศจีน แต่สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากคำว่า "คนอมจิน" ซึ่งเป็นภาษามอญ "คนอม" หมายถึง จับกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ส่วน "จิน" แปลว่า ทำให้สุก คำว่า "คนอม" น่าจะใกล้เคียงกับคำในภาษาไทยว่า "เข้าหนม" แปลว่าข้าวที่นำมานวดให้เป็นแป้งเสียก่อน ซึ่งภายหลังน่าจะกร่อนเป็น "ขนม" จริง ๆ แล้ว ขนม ในความหมายดั้งเดิมจึงมิใช่ของหวานอย่างที่เข้าใจในปัจจุบัน ขนม หรือ หนม ในภาษาเขมร หรือ คนอม ในภาษามอญหมายถึงอาหารที่ทำจากแป้ง ดังนั้นขนมจีน จึงน่าจะเพี้ยนมาจาก คนอมจิน

    ดั้งเดิมทีเดียวขนมจีนเป็นอาหารมอญ แล้วจึงแพร่หลายไปสู่ชนชาติอื่น ๆ จนเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมจนกระทั่งถึงปัจจุบัน สามารถหาทานได้ทั่วไป ภาษาเหนือเรียกขนมจีนว่า "ขนมเส้น" ภาษาอีสาน เรียกว่า "ข้าวปุ้น".


    .

    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=155609-



    .

    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=155609


    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    แพ้ถั่วลิสง


    [​IMG]




    ใครจะไปคิดว่าถั่วลิสงเม็ดเล็ก ๆ จะทำให้คนเสียชีวิตได้ ที่พูดตรงนี้มิได้หมายความว่ากินถั่วลิสงแล้วติดคอ แต่หมายถึงการแพ้ถั่วลิสงรุนแรงต่างหาก

    เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.พญ.พรรณทิพา ฉัตรชาตรี หน่วยโรคภูมิแพ้ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากการสำรวจเด็กนักเรียน ม.ปลาย ในกรุงเทพฯ จำนวน 6,000 คน เมื่อปี 2552 พบเด็กแพ้ถั่วลิสงประมาณ 0.2% หรือ ใน 1,000 คนมี 2 คนที่แพ้ถั่วลิสง ส่วนตัวเลขผู้เสียชีวิตในประเทศไทยยังไม่มีการรายงานชัดเจน ซึ่งอุบัติการณ์แพ้ถั่วลิสงในบ้านเราถือว่าน้อยกว่าอเมริกาที่มีอัตราสูงมาก โดย 1,000 คนจะมีคนแพ้ถั่วลิสงประมาณ 14 คน และมีผู้เสียชีวิตจากการแพ้ถั่วลิสงกว่า 100 คนต่อปี

    เด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายแพ้ถั่วลิสงได้พอ ๆ กัน พบได้ตั้งแต่อายุ 2-3 ขวบขึ้นไป พอเกิดอาการแพ้ครั้งหนึ่งมักจะไม่หายและมักจะแพ้ไปตลอดชีวิต

    สาเหตุของการแพ้ถั่วลิสงเกิดจากภูมิคุ้มกันของคนคนนั้นแปรปรวน ทำให้ไม่สามารถรับโปรตีนที่เป็นอาหารปกติของคนธรรมดาได้จนเกิดการแพ้โปรตีน ในถั่วลิสง ส่วนสาเหตุที่ทำให้ภูมิคุ้มกันแปรปรวนยังไม่สามารถบอกแน่ชัดได้ ในขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ก็พยายามศึกษาหาสาเหตุอยู่ โดยเฉพาะอเมริกาเนื่องจากการแพ้ถั่วลิสงเป็นสาเหตุสำคัญอันดับหนึ่งของการ เสียชีวิตจากการแพ้อาหาร

    คนที่แพ้ถั่วลิสงจะแพ้ถั่วเปลือกแข็งทุกชนิดหรือไม่? รศ.พญ.พรรณทิพา กล่าวว่า คนที่แพ้ถั่วลิสงมีโอกาสจะแพ้ถั่วเปลือกแข็งอย่างอื่นประมาณ 30% หรือ 1 ใน 3 เท่านั้น ส่วนอีก 70% กินถั่วอย่างอื่นได้ คนที่แพ้ถั่วลิสงเขาจะรู้เองว่า แพ้ถั่วอย่างอื่นด้วยหรือไม่ อย่างบางคนกินถั่วลิสงไม่ได้ กินแอลมอนด์ไม่ได้ แต่กินวอลนัท หรือแมคคาดาเมียได้ แต่ละคนจะมีการแพ้จำเพาะที่ไม่เหมือนกัน

    กินถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วลันเตา ได้หรือไม่? รศ.พญ.พรรณทิพา กล่าวว่า ถั่วที่กล่าวมาเป็นถั่วฝักอ่อน ไม่ใช่ถั่วเปลือกแข็ง ดังนั้นคนที่แพ้ถั่วลิสงมักจะกินได้

    การแพ้โปรตีนจากถั่วลิสงจะแพ้โปรตีนจากอาหารชนิดอื่นด้วยหรือไม่? รศ.พญ.พรรณทิพา กล่าวว่า โปรตีนจากอาหารแต่ละอย่างโครงสร้างไม่เหมือนกัน ถ้าแพ้โปรตีนอย่างหนึ่งก็ไม่จำเป็นที่จะแพ้โปรตีนอย่างอื่น อย่างแพ้โปรตีนถั่วลิสงแต่พอไปกินโปรตีนจากปลา จากนมก็ไม่แพ้

    อาการของคนไข้ที่แพ้ถั่วลิสง ถ้าแพ้ไม่รุนแรง อาจมีผื่นคันที่ผิวหนัง เป็นลมพิษ ตามตัว ตามข้อพับแขน ข้อพับเข่า กรณีนี้กินยาแก้แพ้ก็หาย แต่ถ้าแพ้รุนแรงอาจถึงขั้นช็อกและเสียชีวิตได้ โดยคนไข้อาจมีอาการปากบวม ตาบวม หายใจไม่ออก แน่นหน้าอก ขาดอากาศหายใจ ความดันตก จนเกิดภาวะช็อก และเสียชีวิต ดังนั้นจะต้องรีบไปพบแพทย์ทันที ไม่ควรอยู่ที่บ้าน เพราะถ้าบวมมาก ๆ จะทำให้หลอดลมตีบ หายใจไม่ออก ขาดอากาศหายใจ

    การรักษาคนไข้ที่แพ้รุนแรงแพทย์จะฉีดยาให้ แต่ถ้าแพ้ไม่รุนแรงอาจให้ยารับประทาน โดยแพทย์จะตรวจร่างกายคนไข้ก่อนว่าอาการมากน้อยเพียงใด ส่วนใหญ่คนไข้ที่มาโรงพยาบาลมักจะรู้สาเหตุว่าเกิดจากการกินถั่วลิสง

    ทำไมคนไข้รู้ว่าแพ้แล้วยังกินถั่วลิสงอยู่ ไม่กลัวตายหรืออย่างไร?

    รศ.พญ.พรรณทิพา กล่าวว่า การแพ้ถั่วลิสงจะต่างจากการแพ้อย่างอื่น บางทีถั่วลิสงอาจปนมาในอาหารโดยที่คนไข้ไม่รู้ เช่น อาจจะบดเป็นไส้อาหาร อยู่ในน้ำจิ้มที่บดละเอียด อยู่ในขนมเด็กที่กวน ๆ รวมกัน อยู่ในคุกกี้ หรืออยู่ในช็อกโกแลตที่อาจจะผลิตในโรงงานที่ทำช็อกโกแลตที่ถั่วลิสง แล้วช็อกโกแลตที่คนไข้กินมองดูก็ไม่มีถั่วลิสง แต่บังเอิญผลิตโดยใช้เครื่องจักรเดียวกับที่ผลิตช็อกโกแลตถั่วลิสง อาจมีเศษเล็ก ๆ ของถั่วลิสงติดมา คนไข้อาจเผลอกินโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะไม่รู้ว่ามีถั่วลิสงปนอยู่ กินเข้าไปแล้วถึงรู้เพราะจะแสดงอาการ บางคนกินนิดเดียวอาจทำให้เสียชีวิตได้ อย่างที่อเมริกา หรืออังกฤษมีรายงานการเสียชีวิตบ่อย ๆ

    เห็นข่าวว่า หน่วยโรคภูมิแพ้ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ให้บริการตรวจการแพ้ถั่วลิสงใครควรที่จะไปตรวจบ้าง ?

    รศ.พญ.พรรณทิพา กล่าวว่า คนที่กินแล้วมีอาการปากบวม ตาบวม คันคอ คัดจมูก แน่นจมูก คันตามตัว ผื่นขึ้น ควรไปตรวจยืนยันว่าแพ้ถั่วลิสงจริงหรือไม่ ซึ่งแพทย์อาจจะตรวจเพิ่มว่าคนไข้แพ้ถั่วชนิดอื่นร่วมด้วยหรือไม่ เช่น แอลมอนด์ แมคคาดาเมีย วอลนัท เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ รวมไปถึงถั่วเหลืองที่แม้โอกาสแพ้จะน้อยแต่ก็จะตรวจร่วมด้วย คือ วันดีคืนดีคนไข้อาจจะไปกินถั่วเปลือกแข็งชนิดอื่นและแพ้ได้

    วิธีตรวจการแพ้ถั่วลิสงจะใช้สารจำเพาะสะกิดที่ผิวหนัง วิธีนี้จะทราบผลทันทีว่าแพ้ถั่วลิสงหรือไม่ หรืออาจใช้วิธีตรวจเลือดซึ่งจะทราบผลใน 2-3 สัปดาห์ ชีวิตคนไข้กลุ่มนี้เสี่ยงมาก ทั่วโลกมีอัตราการแพ้ถั่วลิสงเพิ่มขึ้น รวมถึงประเทศไทย ดังนั้นควรจะตรวจดูว่านอกจากถั่วลิสงแล้วแพ้ถั่วอย่างอื่นด้วยหรือไม่

    รศ.พญ.พรรณทิพา กล่าวอีกว่า ผลการสำรวจเด็กนักเรียน ม.ปลาย ในกรุงเทพฯ จำนวน 6,000 คน นอกจากพบว่า เด็กแพ้ถั่วลิสง 0.2% แล้ว ยังพบว่า 8% หรือ 8 ใน 100 คนแพ้อาหารอย่างอื่น โดยเฉพาะอาหารทะเล คือ การแพ้อาหารจะเป็นไปตามอายุ อย่างในเด็กโตหรือวัยรุ่นส่วนใหญ่แพ้อาหารทะเล เด็กเล็กมักจะแพ้นมและไข่ ส่วนผู้สูงอายุจะแพ้อาหารทะเล แต่ถ้าพูดถึงความรุนแรง การแพ้ถั่วลิสงจะมีอาการรุนแรงที่สุด จากผลการวิจัยดังกล่าวได้มีการให้ความรู้กับครูในโรงเรียนต่าง ๆ ในการดูแลเบื้องต้นเด็กที่แพ้อาหารด้วย

    นอกจากนี้ยังได้มีการทำวิจัยเชิงลึกในกลุ่มตัวอย่างอายุ 6 เดือน -60 ปี ว่าโปรตีนชนิดใดในถั่วลิสงที่ทำให้คนไทยแพ้ พบว่า ชนิดของโปรตีนที่คนไทยแพ้แตกต่างจากอเมริกา โดยโปรตีนที่คนไทยแพ้มีชื่อว่า “แอลทีพี” ส่วนโปรตีนที่คนอเมริกันแพ้ชื่อ “เออาร์เอเอช 2” แต่โปรตีนในถั่วลิสงที่ทำให้แพ้ได้มีกว่า 10 ชนิดด้วยกัน แต่ละประเทศจะไม่เหมือนกัน ดังนั้นแต่ละประเทศก็ต้องหาว่าคนของตัวเองแพ้โปรตีนถั่วลิสงชนิดใดเพื่อช่วย ในการวินิจฉัย ข้อมูลตรงนี้อธิบายได้ว่าโปรตีนที่คนไทยแพ้นั้นอาการจะรุนแรงน้อยกว่าต่าง ชาติ เพราะแพ้คนละตัวกัน การค้นพบโปรตีนที่ทำให้แพ้ตรงนี้มีความสำคัญมากเพราะนำไปสู่การตรวจหาภูมิ แพ้ต่อโปรตีนแอลทีพีในเลือดของคนไข้ที่แพ้ถั่วลิสง ขณะเดียวกันก็พบว่าคนไทยที่แพ้ผลไม้ เช่น เงาะ ลำไย กล้วย ก็อาจมีภูมิแพ้ต่อโปรตีนแอลทีพีในเลือดเช่นกัน นั่นหมายความว่า แอลทีพีที่มีอยู่ในผลไม้หลายอย่าง ดังนั้นคนที่กินผลไม้แล้วแพ้ มีอาการคันคอ คันปาก ก็สามารถจะอธิบายถึงที่มาอาการดังกล่าวได้ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น

    ผู้ที่สงสัยว่าตัวเองจะแพ้ถั่วลิสง หรือแพ้อาหารอื่น ๆ อย่างเช่น ผลไม้ กุ้ง นม ไข่ หรือ แป้งสาลี สามารถปรึกษาได้ที่ หน่วยโรคภูมิแพ้ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โทร. 0-2256-4933.

    นวพรรษ บุญชาญ

    navapatb@yahoo.com


    .-http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=532&contentId=155507-.

    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    จี้แบงก์เผยข้อมูลคุ้มครองเงินฝาก

    นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานสัมมนาวิชาการ เรื่อง คุ้มครองเงินฝากและการกำกับดูแลสถาบันการเงินว่า ในวันที่ 11 ส.ค. นี้ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองเงินฝากจะเริ่มลดสัดส่วนคุ้มครองเงินฝากลงเหลือไม่เกิน 50 ล้านบาท และในปี 55 จะลดเหลือไม่เกิน 1 ล้านบาท ต่อบัญชี ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์เร่งปรับตัว โดยเฉพาะการเปิดเผยข้อมูลการทำงาน ฐานะทางการเงิน รวมทั้งการบริหารความเสี่ยงมากขึ้น เพื่อรักษาฐานลูกค้า และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ว่าสถาบันการเงินของตนเองมีความแข็งแกร่ง เนื่องจากระยะต่อไปลูกค้าจะให้ความสำคัญกับผลการดำเนินงาน การรักษาสภาพคล่องของธนาคารมากกว่าอัตราดอกเบี้ยที่จะได้รับ

    นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ไม่อยากให้ประชาชนตกใจ จนแห่โยกย้ายเงินฝาก เนื่องจากปัจจุบันสถาบันการเงินไทยมีความเข้มแข็งมาก คงไม่เห็นสถาบันการเงินปิดทำการลงเหมือนในอดีต แต่สำหรับปี 55 ที่จะลดความคุ้มครองเหลือ 1 ล้านบาทเท่านั้น คงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่าจะเห็นการโยกย้ายเงินฝากของประชาชนไป ยังธนาคารเฉพาะกิจของรัฐหรือไม่

    นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า หลังจากนี้ไปจะเริ่มเห็นผู้ฝากเงินที่มีวงเงินมากกว่า 1 ล้านบาท มีระเบียบวินัยในการออมมากขึ้น โดยเฉพาะการติดตามสถานะผลประกอบการของธนาคาร ขณะที่สถาบันการเงินเองจะต้องพยายามปรับปรุงสถาบันให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าผู้ฝากเงินมากยิ่งขึ้น ซึ่งเท่ากับว่าทั้งผู้ฝากและผู้รับจะต้องมีการปรับตัว

    นายสิงหะ นิกรพันธ์ ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) กล่าวว่า วง เงินคุ้มครองจะลดลงเหลือ 1 ล้านบาท แต่การคุ้มครองดังกล่าวยังครอบคลุมผู้ฝากเงินถึง 98.5% เชื่อว่าผู้ที่มีเงินฝากเกิน 1 ล้านบาท หรือในส่วน 1.5% จะค่อย ๆ พิจารณาปรับตัวโดยไม่ตื่นตระหนก ทั้งนี้ การฝากเงินยังคงเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากผู้ฝากเงินจะได้รับผลกระทบต่อเมื่อสถาบันการเงินล้ม ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมากในปัจจุบัน

    อย่างไรก็ตาม หากมีกรณีที่สถาบันการเงินถูกสั่งให้ปิดกิจการหรือถูกเพิกถอนใบอนุญาต ผู้ฝากเงินสามารถยื่นคำขอ พร้อมแสดงหลักฐานเพื่อขอรับเงินฝากคืนภายใน 90 วัน นับแต่วันที่สถาบันคุ้มครองเงินฝากประกาศกำหนดให้มายื่นขอรับเงิน หลังจากนั้นผู้ฝากเงินจะได้รับเงินฝากคืนภายใน 30 วัน นับแต่วันยื่นคำขอรับเงิน.


    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=562&contentID=155489-


    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    หวั่น ศก.สหรัฐฯ-อียู ถดถอยรอบ 2 ฉุดจีดีพีไทยโตแค่ 2% ตลาดหุ้นผันผวน <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">6 สิงหาคม 2554 22:14 น.</td> </tr></tbody></table>

    ศูนย์วิจัยกสิกรฯ หวั่น ศก.สหรัฐฯ-อียู ถดถอยรอบ 2 พร้อมกัน อาจฉุด "จีดีพี" ของไทย โตได้ต่ำกว่า 2% ระบุ ศก.สหรัฐฯ และอียู หากรวมกันจะมีขนาดใหญ่กว่า 40% ของขนาด ศก.โลก แนะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบตรง เตรียมพร้อมรับมือ ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทย ยังมีความเสี่ยงผลกระทบ

    บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า จากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา และกลุ่มยูโรโซนเป็นภูมิภาคที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่รวมกันกว่าร้อยละ 40 ของขนาดเศรษฐกิจโลก (มีสัดส่วนร้อยละ 23 และร้อยละ 19 ของมูลค่าเศรษฐกิจโลกในปี 2553) หากทั้ง 2 ภูมิภาคประสบปัญหาเศรษฐกิจถดถอยรอบสอง (Double-Dip Recession) พร้อมกันคงฉุดให้เศรษฐกิจโลกโดยรวมชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญ

    กรณีดังกล่าว ประเทศต่างๆ ในเอเชีย รวมทั้งไทย คงมีมาตรการบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจออกมาใช้ ซึ่งประเทศขนาดใหญ่ในเอเชียอย่างจีนและอินเดีย รวมถึงหลายประเทศน่าจะผลักดันให้เศรษฐกิจยังคงมีการอัตราการขยายตัวที่เป็น บวกได้ และเป็นภูมิต้านทานให้ภูมิภาคเอเชียผ่านปัญหาดังกล่าวไปได้ดีกว่าภูมิภาค อื่นๆ โดยการที่ไทยมีสัดส่วนตลาดส่งออกในเอเชียสูงถึงร้อยละ 63 ก็น่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยบรรเทาผลกระทบได้ในระดับหนึ่ง

    อย่างไรก็ตาม จากน้ำหนักที่มากของสหรัฐฯ และยูโรโซน คงจะถ่วงให้การส่งออกของไทยในปี 2555 ต่ำกว่ากรอบประมาณการของศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่ร้อยละ 12-17 อย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน โดยในกรณีเลวร้ายอาจกดให้ตัวเลขการเติบโตของการส่งออกเอนเข้าหาแดนลบดังเช่น วิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในรอบก่อนๆ ที่ผ่านมา แต่โดยรวมก็คงต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะทิศทางเศรษฐกิจของเอเชีย และราคาสินค้าโภคภัณฑ์

    สำหรับผลต่อเศรษฐกิจไทยนั้น ในช่วงปีที่สหรัฐประสบวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยมักถูกฉุดให้ชะลอตัวลงแรงหรือหดตัวตามไปด้วย (ดังเช่นปี 2544 เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียงร้อยละ 2.2 และในปี 2552 เศรษฐกิจไทยหดตัวร้อยละ 2.3) หากในกรณีดีที่สุด ถ้าเศรษฐกิจจีนและประเทศเอเชียอื่นๆ ยังมีแรงขับเคลื่อนให้ขยายตัวได้พอสมควร และภายใต้นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ของไทยที่อาจจะมีมาตรการเพิ่มรายได้ และกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจจากภายในประเทศอย่างเข้มข้น เศรษฐกิจไทยก็อาจยังมีโอกาสที่จะขยายตัวเป็นบวกได้ แต่คงเป็นอัตราไม่สูงนักคือไม่น่าจะเกินร้อยละ 2

    ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าธุรกิจไทยที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงน่าจะเป็นอุตสาหกรรมพึ่งพาตลาด สหรัฐฯ และยูโรโซนในระดับสูง เช่น เครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร รองเท้า เฟอร์นิเจอร์ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ และส่วนประกอบ เป็นต้น สำหรับสินค้าอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป กุ้ง ไก่ และผลไม้กระป๋องและแปรรูปนั้น แม้พึ่งพาตลาด 2 กลุ่มนี้สูง แต่เป็นสินค้าจำเป็นต่อการบริโภค ผลกระทบจึงน่าจะรุนแรงน้อยกว่า

    ส่ำหรับกลุ่มที่มีโอกาสได้รับผลกระทบค่อนข้างมากรองลงมา ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ คอมเพรสเซอร์ของเครื่องทำความเย็น ผลิตภัณฑ์ยาง รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ วงจรพิมพ์ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ วิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบ ส่วนประกอบอากาศยานและอุปกรณ์การบิน เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ และอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น ส่วนสินค้าที่มีโอกาสได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย เช่น สินค้าเกษตร รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ และเม็ดพลาสติก เป็นต้น

    **คาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า ผันผวน

    สำหรับแนวโน้มสัปดาห์หน้า ระหว่างวันที่ 8-11 สิงหาคม 2554 บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด และบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีมีโอกาสปรับตัวลดลงตามตลาดในภูมิภาค ขณะที่ประเด็นติดตามคงอยู่ที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่จะประกาศออกมา ในช่วงคืนวันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2554 การจัดตั้งคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลใหม่ของไทย ผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันอังคารที่ 9 สิงหาคม 2554 และการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดค้าปลีก ทั้งนี้ บล.กสิกรไทย โดยคาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,077 และ 1,060 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,106 และ 1,122 จุด ตามลำดับ


    -http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000097915-
    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    เตือน ศก.สหรัฐฯ ทรุด-กู่ไม่กลับ จี้ รบ.ปู รับมือด่วน! ชี้ หาก "มูดีส์-ฟิทช์" ขย่มซ้ำ ศก.โลก บรรลัยแน่ <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">6 สิงหาคม 2554 22:30 น.</td></tr></tbody></table>

    นัก ศศ. กังวลปัญหา ศก.สหรัฐฯ ทรุด-กู่ไม่กลับ ฝาก รบ.ปู เร่งเตรียมรับมือด่วน เพื่อไม่ให้ลุกลาม แนะจับตาผลกระทบ-มหันตภัยโลก รอบใหม่ หลัง "เอสแอนด์พี" หั่นเครดิตบอนด์ระยะยาวสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปี "ธนวรรธน์" ชี้ หาก "มูดีส์-ฟิทช์" ขย่มซ้ำ ศก.โลก บรรลัยแน่

    นายสมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ กล่าวว่า จากกรณี บริษัท สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือตราสารทางการเงินระยะยาวของสหรัฐอเมริกา จากระดับ (AAA) ลงมาเหลือ (AA+) นับเป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปี ที่สหรัฐถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินจาก S&P จากอันดับ AAA มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2484

    เหตุการณ์ดังกล่าวนับว่ามีความน่าเป็นห่วงมาก เพราะจะทำให้พันธบัตรของสหรัฐฯ ขาดความน่าเชื่อถือ เกิดการเทขายพันธบัตร เมื่อความต้องการลดลง ย่อมทำให้การออกพันธบัตรสหรัฐฯ ต้องให้อัตราดอกเบี้ยสูง ส่งผลให้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกปรับสูงมากขึ้นกว่าเดิมอีก เพราะปริมาณพันธบัตรสหรัฐฯ วงเงิน 14.3 ล้านดอลลาร์ สัดส่วนร้อยละ 46-47 กระจายอยู่นอกสหรัฐฯ ที่ผ่านมาเผชิญกับปัญหาอัตราเงินเฟ้อสูง ต้องขึ้นดอกเบี้ยควบคุม กลับทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นไปอีก ทำให้ต้นทุนด้านต่างๆ เพิ่มขึ้นด้วย และยังทำให้ต้นทุนการออกหุ้นกู้ของเอกชนสหรัฐฯ สูงตามไปด้วย ผลพวงจากปัญหาดังกล่าว เนื่องจากสหรัฐฯ ใช้มาตรการผิดพลาดในการผลิตเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ออกสู่ระบบ จากปัญหาหนี้เสียภาคอสังหาริมทรัพย์ (ซับไพร์ม)

    “ต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่ “ยิ่งลักษณ์ 1” เร่งเตรียมรับมือปัญหาดังกล่าวที่มีแนวโน้มหนักมาก เหมือนกับพายุหรือไฟไหม้ที่เกิดขึ้นนอกบ้าน จะทำอย่างไรไม่ให้ลุกลามมายังบ้านเรา หรือให้มีปัญหาน้อยมาก หากสร้างกำแพงกันให้ดี เพราะการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจขณะนี้มีความสำคัญมาก รัฐบาลอย่าเพิ่งออกนโยบายประชานิยมตามที่หาเสียงไว้ขณะนี้ เพราะเรื่องเศรษฐกิจโลกขณะนี้จำเป็นมาก เมื่อเวลาเหมาะสมจึงค่อยนำออกมาช่วยเหลือ”

    นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า หากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์อินเวสเตอร์เซอร์วิส และฟิทช์ เรทติ้งส์ ลดอันดับความน่าเชื่อถือลงตามไปด้วย จะยิ่งทำให้สถานการณ์รุนแรงมาก สหรัฐฯ ต้องมีต้นทุนดอกเบี้ยสูงขึ้นอีก ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปฟื้นตัวได้ช้าไปอีก เพราะเมื่อความเชื่อเศรษฐกิจสหรัฐลดลง ประชาชนจะหยุดการใช้จ่าย ชะลอการลงทุน จนกระทบต่อการส่งออกของไทยและการท่องเที่ยวจากยุโรป เหตุการณ์ดังกล่าวนับว่ามีความรุนแรงมาก หากเตรียมมาตรการรองรับไม่ดี โดยต้องติดตามดูว่า การประชุมออกมาตรการมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจในวันที่ 9 สิงหาคม 2554 ของสหรัฐฯ จะมีแนวทางออกมาอย่างไรบ้าง

    “รัฐบาลใหม่ควรชะลอมาตรการซึ่งกระทบต่อต้นทุนผู้ประกอบการ หรือการปรับขึ้นเงินเดือนขั้นต่ำ 15,000 บาทต่อเดือน ควรหาทางเพิ่มเงินออกสู่ระบบด้วยการอัดฉีดเงินผ่านกองทุนหมู่บ้านเพิ่มเติม เพราะเงินออกสู่ระบบโดยตรงในการบริโภค การลงทุนในท้องถิ่น การเดินหน้าโครงการลงทุนขนาดใหญ่ เพื่อให้เกิดการจ้างงาน การระวังค่าเงินบาทจะแข็งค่าอย่างรวดเร็ว เพราะแนวโน้มสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนลงอย่างมาก จึงรู้สึกเป็นห่วงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก” นายธนวรรธน์ กล่าวสรุปทิ้งท้าย

    -http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000097916-

    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    นิทานสอนใจ : เพื่อนยากพาย่ำแย่ <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">7 สิงหาคม 2554 08:15 น.</td> <td align="left" valign="middle">


    </td></tr></tbody></table>
    -http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000097676-


    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่ง ปรากฏมิตรไมตรีอันเด่นชัดระหว่างสัตว์สองตัวคือ ลิง และปลา ซึ่งให้ความนับถือเป็นเพื่อนรักเพื่อนยาก และคอยช่วยเหลือจุนเจือกันมาเป็นเวลานาน

    เมื่อมีเวลาว่าง บางครั้งลิงก็จะมาหาปลาที่ริมตลิ่ง และบางครั้งปลาก็ไปเรียกหาลิงที่ต้นมะม่วงใกล้ธารน้ำ ทั้งสองมักจะไปมาหาสู่กันเช่นนี้เพื่อใช้เวลาพูดคุยปรึกษาปัญหาต่าง ๆ รวมไปถึงการปรับทุกข์กันอยู่เสมอ

    ว่ากันตามจริงแล้ว การที่สัตว์สองตัวนี้มาจับคู่เป็นเพื่อนยากกันก็นับว่าสมควรอยู่ เพราะต่างก็สามารถใช้คุณสมบัติเฉพาะตัวของตนเกื้อหนุนอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ดังเช่นลิงนั้น ว่ากันตามจริงแล้วก็ถือว่าเป็นสัตว์ที่ได้เปรียบในการใช้ชีวิตมากกว่าปลา เพราะจะไปไหนมาไหนก็สะดวก มีอิสระเสรีที่จะท่องเที่ยวหาอาหารตามที่ต่าง ๆ ในป่าได้ดั่งที่ใจต้องการ

    ลิงจึงนับได้ว่าเป็นผู้กว้างขวางผู้หนึ่งในป่า แต่ลิงก็ไม่ได้ทะนงตนในเรื่องนี้มากมายนัก มันคบปลาเป็นเพื่อนด้วยความบริสุทธิ์ใจ และยังคงเห็นคุณค่าในตัวปลาอยู่เสมอ ด้วยมีความคิดว่า แม้ปลาจะเป็นเพียงสัตว์น้ำตัวเล็ก ๆ แต่หากวันใดวันหนึ่งที่อาหารในป่าหมดไป ตนเองอาจจะต้องเป็นฝ่ายไปขอพึ่งพาอาศัยปลา หรืออีกทางหนึ่งปลาก็ทำให้ลิงกว้างขวางในสังคมสัตว์มากขึ้น เผื่อมีศัตรูใด ๆ มารุกราน ลิงก็อาจขอความช่วยเหลือจากปลา และเหล่าสัตว์น้ำได้อย่างราบรื่นไม่ติดขัด

    ส่วนปลา เป็นสัตว์ที่ต้องอาศัยอยู่ในน้ำ ปลาคิดว่าเป็นบุญของตนโดยแท้ที่ได้ลิงมาเป็นเพื่อนยาก เพราะลิงมีน้ำใจช่วยเหลือปลาในเรื่องต่าง ๆ ที่ลิงทำได้มาโดยตลอด นอกจากนั้น หากมีคราวใดที่ปลาเกิดอุบัติเหตุติดค้างอยู่บนบก ลิงก็สามารถช่วยปลามาปล่อยลงน้ำได้อย่างทันท่วงที

    ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ลิงไม่กินปลาเป็นอาหาร ดังนั้นการคบลิงจึงมีความปลอดภัยสำหรับปลา ยิ่งไปกว่านั้นบนบกก็มีอาหารกินที่อุดมสมบูรณ์โดยเฉพาะผลไม้สุก ๆ ซึ่งลิงต้องกินเป็นอาหารอยู่แล้ว ลิงก็มักจะกัดแบ่งผลไม้สุกเหล่านั้นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ที่เพียงพอกับความต้องการของปลา แล้วส่งให้ปลากินอยู่บ่อย ๆ ลิงและปลาจึงรักและประทับใจในกันและกันไม่เสื่อมคลายด้วยประการฉะนี้

    อยู่มาวันหนึ่ง เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ขึ้นในป่า น้ำป่าไหลหลากจนท่วมล้นตลิ่ง และเพิ่มระดับสูงขึ้นจนเกือบจะท่วมถึงกิ่งไม้ ลิงและปลาต่างเป็นห่วงในกันและกันมาก ลิงนั้นเที่ยวกระโดดไปตามกิ่งไม้ที่น้ำยังท่วมไม่ถึงแล้วร้องตะโกนเรียกหา ปลา

    "ปลาเพื่อนยาก เจ้าอยู่ที่ไหน...อยู่แถวนี้หรือไม่ ช่วยส่งเสียงให้ข้ารับรู้ด้วย ปลาเพื่อนยากของข้า"

    ลิงตามหาปลาด้วยความเป็นห่วงยิ่งนัก มันกลัวว่าปลาจะถูกน้ำพัดพาไปติดค้างตามกิ่งไม้ต่างๆ แต่ไม่ว่าจะหาเท่าไรก็ยังไร้ซึ่งวี่แววของปลาเพื่อนรัก มันตามหาปลาไปทั่วป่าจนอ่อนเพลียสิ้นเรี่ยวแรงและผล็อยหลับไปบนต้นไม้ใหญ่ ต้นหนึ่ง

    ฝ่ายปลาก็เป็นห่วงลิงมากไม่แพ้กัน มันกลัวว่าลิงจะพลัดตกน้ำและจมน้ำตาย ปลาจึงเที่ยวว่ายน้ำหาลิงไปทั่วทุกหนแห่งที่มันจะสามารถว่ายฝ่าไปได้ด้วย กำลังทั้งหมดจากครีบเล็ก ๆ ทั้งสองของมัน

    "เราต้องตามหาลิงให้พบและช่วยลิงให้ได้ ลิงช่วยเรามามากแล้ว ถึงคราวที่เราจะได้ตอบแทนบุญคุณเพื่อนรักของเราบ้าง" ปลาคิดในใจและว่ายน้ำหาลิงต่อไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะต้องช่วยลิง ให้ได้

    อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปนานแล้ว ปลาก็ยังหาลิงไม่พบ ครีบน้อย ๆ ของมันที่ใช้แหวกว่ายทวนกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากมาตลอดทางเริ่มอ่อนล้าจนแทบ ขยับไม่ได้

    "ตอนนี้เราไร้เรี่ยวแรงจะว่ายน้ำต่อไป หากยังฝืนตัวเอง เราคงได้หมดกำลังและตายเสียก่อนที่จะได้ช่วยลิงเป็นแน่ เพราะฉะนั้นเราจะพักตัวเองสักครู่ เมื่อมีแรงแล้วจึงค่อยว่ายน้ำหาลิงต่อไปจะดีกว่า" ปลาบอกกับตัวเอง แล้วว่ายเข้าไปหลบพักอยู่ในโพรงรากไม้ที่ถูกน้ำท่วมถึงต้นหนึ่งเพื่อออมแรงไว้ก่อน

    แต่แล้วธรรมชาติก็เมตตาช่วยให้เพื่อนรักทั้งสองมาพบกันจนได้ เพราะน้ำที่ท่วมป่าได้พัดพาเอาร่างน้อย ๆ ของปลาที่กำลังพักผ่อนเอาแรงอยู่ในโพรงไม้ เคลื่อนขึ้นไปกระทบกับกิ่งไม้ที่ลิงพักหลับอยู่

    เมื่อลิงถูกน้ำป่ากระเด็นมากระทบตัวก็ตกใจตื่น พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นปลาซึ่งถูกกระแสน้ำพัดพามาทางที่ตนอยู่พอดี ลิงดีใจมากรีบยื่นมือออกไปคว้าร่างของปลาไว้ แล้วนำปลาไปวางไว้บนยอดไม้ เพื่อไม่ให้ปลาถูกกระแสน้ำพัดพาต่อไปอีก

    "ตื่นเถิดเพื่อนเอ๋ย" ลิงปลุกปลาจนต้องตื่นตามเสียงเรียกของเพื่อนรัก

    "โอ...ลิงเพื่อนยาก" ปลาร้องด้วยความดีใจเมื่อเห็นหน้าลิง "ข้าตามหาเพื่อนอยู่นานมากแล้วรู้ไหม แต่หาเท่าไร ๆ ก็ไม่พบ เพื่อนไปอยู่ไหนมาเล่า"

    "ข้าก็เที่ยวตามหาเพื่อนจนสิ้นแรง เช่นกัน แต่โชคดีที่โชคชะตาชักนำให้เรามาพบกันอีก ข้าเห็นเพื่อนถูกน้ำพัดมาเลยรีบคว้าร่างเพื่อนไว้ แล้วนำมาวางไว้บนยอดไม้นี่ ด้วยเกรงว่าเพื่อนอาจจะถูกกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวพัดพาไปพบกับอันตรายได้" ลิงกล่าวแก่ปลา

    "โอ...ลิงเพื่อนยาก ท่านมีบุญคุณกับข้าอีกแล้วหรือนี่ ข้าหวังว่าจะได้ช่วยเพื่อนบ้าง แต่กลายเป็นว่าเป็นว่าเพื่อนต้องมาช่วยข้าอีก" ปลาตัดพ้อตัวเอง

    "อย่าพูดอย่างนั้นเลยปลาเพื่อนรัก เพื่อนเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของข้า ข้าไม่ยอมให้เพื่อนเป็นอะไรหรอก...ว่าแต่เพื่อนอยู่บนยอดไม้นี่สบายดีหรือ ไม่" ลิงถามปลาด้วยความเป็นห่วง

    "ขอบ ใจลิงมากที่นำข้ามาอยู่บนยอดไม้นี้ ข้าสบายดี และเห็นด้วยกับเพื่อนว่าหากอยู่ในน้ำที่พัดแรงอย่างนั้นต่อไป ตัวข้าอาจจะไปกระแทกกับโขดหินตายเสียก่อนก็เป็นได้" ปลาเห็นด้วยกับลิงโดยลืมไปเสียสนิทว่าตนเองเป็นสัตว์น้ำ ก็ต้องอยู่ในน้ำ

    "ถ้าเพื่อนว่าอย่างนี้ข้ากับเบาใจ เอาอย่างนี้นะ เพื่อนพักอยู่บนนี้ก่อน เดี๋ยวข้าจะไปหาอาหารดี ๆ มาให้เพื่อนกินเอง" ลิงบอกแก่ปลาแล้วรีบปีนป่ายต้นไม้ออกไปหาอาหารให้ปลาทันที

    ในไม่ช้าเมื่อลองกลับมายังยอดไม้ที่ปลานอนอยู่ ลิงก็แทบเป็นลมทั้งยืน เมื่อเห็นปลาเพื่อนยาก นอนแน่นิ่งสิ้นใจอยู่บนยอดไม้ที่ลิงพามาหลบกระแสน้ำอยู่นั่นเอง

    ดังนั้น เธอทั้งหลาย...จงยืนยันในเจตนารมณ์อันดีงามของเธอ ที่มุ่งมั่นในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่เดือดร้อนต่อไปเถิด ความหวังดีของคนเราซึ่งมีต่อผู้อื่นนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ดีและช่วยให้สังคม ของเราน่าอยู่ขึ้นเป็นแน่ แต่บางครั้ง บางกรณีบางบุคคล เราก็ต้องศึกษา ทำความเข้าใจในรากเหง้าของปัญหาและธรรมชาติของคนผู้ซึ่งต้องการรับความช่วย เหลือให้ถ่องแท้เสียก่อน แล้วจึงค่อยหยิบยื่นความช่วยเหลือแก่เขาไปอย่างเต็มที่ หากเป็นดังนี้ ความช่วยเหลือของเธอ จึงจะสร้างคุณประโยชน์ให้เกิดแก่ผู้เดือดร้อนได้ดีเป็นที่สุด

    และในแง่ของผู้ซึ่งต้องการความช่วย เหลือจากผู้อื่นนั้น ขอจงอย่าขาดสติในตนเอง และมัวหลงดีใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาหยิบยื่นให้ แต่ต้องคิดให้รอบคอบด้วยว่า ความช่วยเหลือที่เขาให้แก่เรานั้น ถูกต้องเหมาะสมตามที่เรากำลังเดือดร้อนจริงหรือไม่ และตรงกับสภาพตามธรรมชาติของเราด้วยหรือเปล่า

    มิเช่นนั้น ความช่วยเหลือที่ตั้งใจมอบให้ ก็อาจจะนำพาซึ่งผลร้ายและความเสียหายอย่างใหญ่หลวงมาสู่ผู้เดือดร้อน มากกว่าผลดีที่เขาผู้นั้นสมควรจะได้รับจริง ๆ

    ////////////////////////

    ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

    -http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000097676-

    .

    http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000097676

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...