พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    หีบหมาก-กำไลทองของตกทอดสมัยรัชกาลที่4 ของสะสมสุดล้ำค่าของ "กัณฑ์รัตน์ เจิมจิตรผ่อง"

    [​IMG]

    โดย...อนุสรา

    ของสะสมเก๋ๆที่ไม่ได้หาได้ทั่วไปครั้งนี้ เป็นของ กัณฑรัตน์ เจิมจิตรผ่อง ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายสื่อสารองค์กรและธุรกิจสัมพันธ์ บมจ. บัตรกรุงไทย (KTC) ซึ่งมีหลายชิ้นด้วยกัน เธอเป็นคนชอบของเก่า เพราะมองว่าเป็นของที่มีเสน่ห์ มีความคลาสสิค มีคุณค่า และมีเรื่องราวที่เราสามารถเล่าให้คนรุ่นหลังฟังต่อได้ เมื่อสิ่งของมีการเปลี่ยนผ่านเจ้าของในแต่ละรุ่น จึงทำให้รักสิ่งของเหล่านี้มากเพราะมีความสำคัญยิ่งกับความรู้สึกทางจิตใจ เพราะได้มาจากผู้ที่เรารักและเคารพ


    1.หีบหมาก ที่ได้รับจากคุณอา-สินีพรรณ เจิมจิตร์ผ่อง ( ซึ่งสิ่งของทั้งหมดคุณอาได้รับจากหม่อมเจ้าหญิงประดับศักดิ์ ไชยยันต์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นคุณป้าของท่าน) ตัวกระเป๋าทำจากหญ้าลิเพาและเดินขอบด้วยนาก เป็นของใช้ในสมัยรัชกาลที่ 4 ใช้ในโอกาสไปเข้าเฝ้าเจ้านาย หรือเวลามีการรับเสด็จเจ้านาย โดยจะมีการจีบพลูเป็นคำเล็กๆ จัดไว้เป็นคำๆ ใส่ไว้ในช่องต่างๆ ของหีบ รวมทั้งอาจเหน็บผ้าผืนเล็กๆ ไว้เช็ดน้ำหมากได้ด้วย เคล็ดลับการทำความสะอาดนากคือใช้แป้งเด็กใส่ผ้าแล้วเช็ดเบาๆ ที่นาก แต่ต้องระวังอย่าให้แป้งไปโดนหญ้าลิเพา
    เห็นลวดลายความละเอียดแล้วขอบอกว่าสวยจริงๆ ถ้าคิดจะถือไปงานกลางคืนก็ได้ไม่ว่ากันเพราะรูปทรงเก๋เล็กกระทัดรัด มีนากเดินขอบลวดลายอ่อนช้อย หาที่ไหนไม่ได้ง่ายๆ

    [​IMG]

    2.กำไลข้อเท้าโบราณ เป็นกำไลข้อเท้าของเด็กชายช่วงยังเกล้าจุกอยู่ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 (เด็กผู้ชายจะเลิกใส่กำไลข้อเท้าเมื่อมีการโกนจุกตอนอายุ 13 ปี) เป็นทองคำแท้ด้านในกลวง แต่ในส่วนของหัวพญานาคที่มีการฝังพลอยสีชมพูอ่อนจะตัน จึงทำให้กำไลมีความหนัก

    [​IMG]

    3.สร้อยข้อมือลงยาสีน้ำเงินชมพู เป็นฝีมือช่างทองชาวอังกฤษ ซื้อจากประเทศอังกฤษในสมัยรัชกาลที่ 5 อายุราว 100 ปี

    4.เหรียญรัชกาลที่ 5 จัดทำขึ้นเนื่องในวโรกาสพระราชพิธีรัชดาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงครองราชย์ครบ 25 ปี ในลักษณะเหรียญทองที่ระลึก มอบให้ระดับเจ้านาย หากเป็นประชาชนคนทั่วไปจะเป็นเงินหรือทองแดง

    -http://www.posttoday.com/%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%9F%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B9%8C/%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%9F%E0%B9%8C/101949/%E0%B8%AB%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81-%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-4-

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • kom1.jpg
      kom1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      39.4 KB
      เปิดดู:
      836
    • kom2.jpg
      kom2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      51.7 KB
      เปิดดู:
      561
    • kom3.jpg
      kom3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48.5 KB
      เปิดดู:
      476
  2. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ขออีกยก

    <SCRIPT>var fbShare = {url: 'http://bit.ly/napyWZ' }</SCRIPT><SCRIPT src="http://widgets.fbshare.me/files/fbshare.js"></SCRIPT>
    <!-- end facebook-share --><!-- end main-sns --><!--end articleDetailPanel-->ว่าไปแล้ว มนุษย์ทุกคนมี “พลังพิเศษ” ซ่อนอยู่ในตัวตน เพียงแต่เราไม่รู้วิธีการดึงพลังเหล่านั้นออกมาใช้....
    โดย...ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม
    ผมไม่ได้เป็นคนชอบวิ่ง... แต่บังคับตัวเองให้ต้องวิ่งสม่ำเสมอ อาทิตย์หนึ่งอย่างน้อย 2 ครั้ง ครั้งละ 30-40 นาที เพื่อต่อสู้กับโรคภูมิแพ้อากาศ คัดจมูก หายใจไม่ออกที่เป็นเรื้อรัง จนหลายครั้งเกือบหมดแรงเอาดื้อๆ
    หาหมอกี่ครั้ง ก็บอกว่า โรคนี้ไม่หายขาดเป็นกันทั่วเมือง พักผ่อนให้เพียงพอวันละ 8-10 ชั่วโมง เลิกกินของมัน กินอาหารครบ 5 หมู่ อยู่ในที่อากาศสะอาดปลอดโปร่ง และต้องออกกำลังกายวันละ 30 นาทีเป็นอย่างน้อย
    การกินยาปฏิชีวนะอาจหายเป็นพักๆ แต่ไม่ยั่งยืน
    จนวันหนึ่งตัดสินใจเด็ดขาด ต้องออกกำลังกายอย่างจริงจัง ไม่เอาแล้วที่ว่า “จะทำๆ” ถ้าไม่ลงมือ ก็หอบเพลีย อยู่อย่างนี้
    [​IMG]
    เหตุที่เลือกวิ่งเพราะเป็นการออกกำลังกายที่สะดวก ง่าย และประหยัด หารองเท้าคู่เดียว มีที่โล่ง หรือจะรอบหมู่บ้านก็วิ่งได้
    จะตื่นเช้า หรือกลับบ้านหลังเลิกงานได้หมด
    อุปกรณ์ไม่เท่าไร สำคัญอยู่ที่ใจ
    ใจต้องแน่วเน่ เพราะการวิ่ง เป็นการต่อสู้กับตัวเองล้วนๆ
    ต่างจากการเตะฟุตบอล ถ้าเหนื่อย วิ่งไม่ไหว อย่างมากเพื่อนก็เหน็บ แล้วก็ออกไปพักเปลี่ยนตัวข้างสนาม
    ตอนวิ่งแรกๆ เหนื่อยท้อเป็นที่สุด บางคนได้รอบเดียว หรือแค่ 5 นาทีก็โยนผ้า และไม่เอาอีกแล้วกับการวิ่งในชีวิตนี้
    มันอืด ไม่สนุก แถมวิ่งคนเดียว ขาดเพื่อนร่วมใจและไร้คู่แข่ง
    การวิ่งยุคใหม่เลยต้องมีอุปกรณ์ช่วยสร้างบรรยากาศเอนเตอร์เทน พร้อมดนตรีประกอบกระตุ้นจังหวะหัวใจให้ครึกครื้น
    แต่การริเริ่มเรื่องใหม่ๆ มักพบอุปสรรคเสมอ จากความไม่ชิน
    การวิ่ง ไม่ต้องใช้ทักษะอะไรมากมาย นอกจาก “หัวใจ”
    ถ้าใจแพ้ตั้งแต่คิด ก็แพ้ตั้งแต่ก่อนลงมือ แต่ถ้าคิดบวกว่า เราต้องทำได้ ก็มีแรงฮึดสู้
    อุปสรรคของการวิ่งในช่วงแรก เป็นปัญหาจากสภาพร่างกาย เมื่อไม่ค่อยใช้มัน สนิมจะเกาะหนาเกรอะ
    การออกกำลังกายทุกชนิด ไม่ได้เห็นผลทันตาในวันนี้พรุ่งนี้ กว่ากล้ามเนื้อจะกระชับ กว่าไขมันจะลด กว่าหน้าท้องจะยุบ กว่าหายใจจะคล่อง ปลอดจากภูมิแพ้ อาจใช้เวลาหลายเดือน บางคนถ้าไม่ทำต่อเนื่องก็เป็นปี
    ไม่ต่างจากการลงมือทำอะไรบางอย่าง จะปีนให้ถึงยอดทั้งที ก็ซำแฮกไปหลายยก
    บางคนท้อ เลยเลิกดื้อๆ กลางคัน
    แต่ถ้าเราเริ่มทลายสนิมออกจากกายได้ก็เริ่มมีแรงใจที่จะลุยต่อ
    ปัญหาจึงอาจไม่ใช่เรื่องสภาพร่างกาย แต่อยู่ที่จิตใจเรามากกว่า ใครแกร่ง เด็ดเดี่ยว อดทนมากกว่ากัน นั่นแหละผู้ชนะ
    ว่าไปแล้ว มนุษย์ทุกคนมี “พลังพิเศษ” ซ่อนอยู่ในตัวตน เพียงแต่เราไม่รู้วิธีการดึงพลังเหล่านั้นออกมาใช้
    พลังพิเศษที่เราเคยเห็น จนแทบไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้จริง กับภาพข่าวไฟไหม้บ้านเรือนอาคาร ที่หลายคนสามารถยกทีวี ตู้เย็น ของใหญ่ๆ ออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
    นั่นคือแรงกดดันใน “ภาวะคับขัน” ที่เรามักจะมีพลังพิสดารคอยขับสู้กับมันจนชนะ
    แต่ใน “ภาวะปกติ” การที่เราจะวิ่งไปสู่เป้าหมายนั้นได้ ถ้าใจไม่เข้มแข็งพอ ก็ต้องสร้างจินตนาการบางอย่างขึ้น
    บางคนชอบสร้างฉากทัศน์ว่า กำลังถูกศัตรูคอยไล่ล่า ถ้าไม่สู้ ก็ไม่มีทางเลือกอื่น นั่นคือ แพ้และตาย!
    เวลาเราวิ่ง ห้วงสำคัญ คือ ช่วงสุดท้ายที่ใจและกายพร้อมโยนผ้าขาว ขาเริ่มตึง ใจเริ่มถอด บ่นกับตัวเอง “เหนื่อยหว่ะ ...พอเหอะ”
    จินตนาการใหม่จึงถูกยัดเข้าไปในสมองอย่างรวดเร็วเหมือนใส่ซอฟต์แวร์ในคอมพิวเตอร์เพื่อรันโปรแกรมให้เกิดแรงฮึดอีกก๊อก
    บางคนมีเทคนิค ไม่คิดยาวว่า ต้องวิ่ง 30 นาที 30 รอบ เพราะมันอาจทำให้เราท้อก่อนทำ เอาแค่ “ขออีกรอบ” ถ้าผ่านไปได้อีกรอบ ก็คิดเพิ่ม ขออีกรอบเป็น รอบสุดท้ายๆๆ
    จาก 10 เป็น 15 และเป็น 20 จนถึงเป้าหมาย 30 บางทีอาจทะลุเป้าก็ได้
    ผมชอบสร้างภาพเล็กๆ เป็นการปะทะกันระหว่าง เทพกับมาร
    เปรียบตัวเราเป็นเทพ ที่มารกำลังคุกคามด้วยวิธีต่างๆ เราต้องไม่ยอมแพ้ งัดกลยุทธ์ทุกอย่างมาสู้กับมันในภาวะเลือดเข้าตา
    ฉากสู้รบครั้งนั้นมันดุเดือดเลือดพล่าน และรบกันยาว ทั้งที่เวลาวิ่งจริงให้ถึง “อีกรอบสุดท้าย” นั้นช่างสั้นมาก
    บางครั้งก็สร้าง จินตนาการ การระเบิดของไขมันหน้าท้อง ยิ่งวิ่งมันยิ่งถูกเผาผลาญเป็นจุณ ยิ่งมันกรีดร้องทุรนทุรายดังแค่ไหน ก็ยิ่งสะใจผมมาก และเป็นพลังพิเศษ สั่งการให้เท้าวิ่งต่อได้อีกหลายรอบ
    และหลายครั้งในสถานการณ์ “ขออีกรอบ” ก็จะนึกถึง ปอดที่ขยายใหญ่ขึ้น รูจมูกกำลังถูกชะล้างอย่างรุนแรง หายใจคล่องขึ้น ไม่ติดขัด และท่องในใจ “ข้าต้องไม่แพ้เหมือนภูมิแพ้”
    ถ้าหยุดรอบนี้ ก็ไม่รู้จะได้วิ่งอีกเมื่อไร งั้นขอต่ออีกรอบ
    ไหนๆ เวลาพร้อม กายพร้อม และใจพร้อม เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ก็ต้องจัดให้หนัก เอาให้เต็ม สมกับความพร้อม|ทั้งหลาย
    วิ่งครั้งแรกไม่สำคัญว่าจะได้กี่รอบ แต่ถ้าเริ่มชนะใจตัวเอง ความสำเร็จอยู่ไม่ไกล
    ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ โดยเฉพาะความสำเร็จและชัยชนะ หลายคนฝันอยากทำนั้นทำนี้ แต่มีกี่คนที่ลงมือทำ
    ขอให้ได้ทำก่อน สมหวังหรือไม่ ไม่เป็นไร อย่างน้อยจงภูมิใจที่ได้พยายามเอาชนะใจตัวเอง
    ลองวิ่งดูอีกยก... ไม่มีขาดทุนและคำว่า “แพ้” สำหรับความตั้งใจ
    ที่มา โพสต์ทูเดย์ ออนไลน์
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นำอาหารประจำที่ผมต้องทานบ่อยๆ มาให้อ่านกันครับ

    น่าจะเป็นอาหารประจำบ้านของหลายๆท่านด้วย

    ------------------------------------------------------

    กินไข่..แค่ไหน? ถึงดีพอ


    [​IMG]


    กินไข่..แค่ไหน? ถึงดีพอ (Woman's Story)

    ไข่มีโปรตีนที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่จะกินไข่ในปริมาณมากน้อยแค่ไหนถึงจะดีพอ และไม่ส่งผลร้ายต่อร่างกายของเราไปติดตามกันค่ะ...

    [​IMG] บริโภคไข่น้อยกว่า 3 ฟองต่อสัปดาห์

    กินไข่น้อยกว่า 3 ฟองใน 1 สัปดาห์ถือว่าไม่เพียงพอ เพราะการกินไข่ในปริมาณที่น้อยเกินไป หรือไม่กินไข่เลย อาจส่งผลเสียต่อเส้นประสาทสมองได้ โดยในไข่ 1 ฟอง จะมีปริมาณวิตามินบี 12 ซึ่งดีต่อร่างกาย ซึ่งวิตามินบี 12 จำเป็นต่อการสร้างเยื่อหุ้มป้องกันเส้นใย และถ้าขาดวิตามิน เส้นใยประสาทอาจถูกทำลายจนฟื้นฟูกลับคืนมาไม่ได้ อีกทั้งไข่ยังดีต่อสายตาอีกด้วย

    การทานไข่อย่างน้อย 3 ฟองต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันภาวะสูญเสียสายตาที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่ม ขึ้นได้ เนื่องจากสารลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารในตระกูลแคโรทีนอยด์ ในไข่แดงจะช่วยบำรุงจอประสาทตานั่นเอง


    [​IMG] บริโภคไข่ 6 ฟอง ต่อสัปดาห์

    ใน 1 สัปดาห์ หากสามารถกินไข่ได้ 6 ฟอง ถือว่าพอดี เพราะไข่จะช่วยให้ร่างกายคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดี และ ยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน แถมปริมาณสารซีลีเนียมและวิตามินอี ในไข่ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจอีกทั้งยังช่วยให้มีรูปร่างดี ป้องกันไม่ให้หุ่นกลมเหมือนไข่อีกด้วย

    โปรตีนในไข่จะทำให้รู้สึกอิ่มขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ และยังทำให้ลดปริมาณมื้อเที่ยงที่ทานโดยเฉลี่ยได้อีก 164 แคลอรี และการทานไข่วันละ 3 ฟอง เป็นเวลา 2 วัน ต่อสัปดาห์ จะช่วยหนุ่มนักเล่นเวททั้งหลายสร้างกล้ามเนื้อที่ปราศจากไขมันได้ เป็น 2 เท่า ในช่วงเวลา 12 สัปดาห์

    ไข่ถือว่ามีผลน้อยมากต่อการเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลในเลือด เมื่อเทียบกับปริมาณไขมันอิ่มตัว อีก ทั้งมีการวิจัยพบว่าการทานไข่ช่วยลดคอเลสเตอรอล LDL (ไม่ดี) เพิ่มคอเลสเตอรอล HDL (ดี) และลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจวาย หรือโรคหลอดเลือดสมองได้


    [​IMG]


    อย่าง ไรก็ตาม ไข่ที่ให้ผลดีต่อร่างกาย อาจส่งผลร้ายได้เหมือนกัน หากทานมากกว่า 1 ฟองต่อวันติดกันทุกวันในขณะที่การทานไข่สูงสุด 6 ฟองต่อสัปดาห์ไม่ได้ทำให้มีอันตรายถึงชีวิต แต่หากทานไข่ 7 ฟองหรือมากกว่านั้นภายใน 1 สัปดาห์ จะไปเพิ่มปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 23 เปอร์เซ็นต์ และที่สำคัญคือสำหรับหนุ่มที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ไข่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้

    เพื่อ สุขภาพที่ดีและแข็งแรง ควรเลือกทานอาหารที่ดี มีประโยชน์ และต้องทานในปริมาณที่เหมาะสมด้วยนะคะ แล้วก็อย่าลืมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอไปพร้อม ๆ กันด้วย จะได้แข็งแรงห่างไกลโรคภัยค่ะ



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก -http://www.womanstoryonline.com/index.php-

    [​IMG]






    -http://health.kapook.com/view28585.html-

    อาหารเพื่อสุขภาพ กินไข่แค่ไหนถึงดีพอ

    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    [FONT=&quot]หญิงแกร่งพิการครึ่งตัว ยึดหลักคำสอนของพ่อสู้ชีวิตจนจบปริญญาตรี
    [FONT=&quot] ![/FONT]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]ธนารี ฟุ้งภิญโญภาพ

    [/FONT]​
    [FONT=&quot][​IMG][/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]​
    [FONT=&quot] นุ้ย - ธนารี ฟุ้งภิญโญภาพ หญิง สาวหัวใจแกร่ง ที่ร่างกายพิการมีแค่ครึ่งตัว แต่หัวใจของเธอนั้น แข็งแกร่งดุจดั่งเพชร เธอพิการมาตั้งแต่กำเนิด อาศัยอยู่กับพ่อ ซึ่งพ่อเป็นผู้พร่ำสอนและให้กำลังใจกับเธอ จนทำให้นุ้ยมีความเชื่อมั่นว่าถึงแม้จะพิการ แต่พิการเพียงแค่ร่างกาย แต่จิตใจ ไม่ได้พิการเหมือนกับร่างกาย พ่อคือผู้จุดประกายให้นุ้ย ไม่จมปลักอยู่กับความพิการ ให้นุ้ยได้ทำทุกอย่างในชีวิตเหมือนกับคนปกติที่เขาทำกันในชีวิตประจำวัน[/FONT]

    [FONT=&quot] ฉบับ นี้เรามีโอกาสได้สัมภาษณ์กับหญิงสาวพิการหัวใจแกร่งคนนี้ เธอเล่าถึงการใช้ชีวิตประจำวัน ที่แม้ร่างกายจะพิการ แต่เธอก็พยายามที่จะฝึกฝนเพื่อที่จะได้ช่วยเหลือตัวเองได้ เธอฝึกฝนจนชำนาญและทำอะไรต่างๆได้เหมือนที่คนปกติเขาทำกัน พร้อมทั้งพูดคุยถึงกำลังใจและคำสอนจากพ่อของเธอ ซึ่งคำสอนนั้นทำให้เธอประสบความสำเร็จจนถึงปัจจุบันนี้.. [/FONT]

    [FONT=&quot][​IMG]ช่วยเล่าความเป็นมาของสาเหตุที่ทำให้พิการให้เราฟังหน่อยค่ะ[/FONT]
    [FONT=&quot]คือ นุ้ยพิการตั้งแต่กำเนิดค่ะ นุ้ยเกิดมาโดยไม่มีนิ้วมือและนิ้วเท้าทั้ง 2 ข้าง คือเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกเกิดเลยค่ะ ไม่ได้ประสบอุบัติเหตุหรือเป็นเพราะสาเหตุอื่นๆเลยค่ะ เกิดมาก็เป็นแบบนี้มาเลยค่ะ[/FONT]

    [FONT=&quot][​IMG]เมื่อเติบโตขึ้นมาแล้วรู้ว่าตัวเองมีร่างกายไม่เหมือนคนอื่นรู้สึกอย่างไรบ้างคะ [/FONT]
    [FONT=&quot]นุ้ย ก็รู้สึกว่า นุ้ยไม่มี..เหมือนคนอื่น แต่นุ้ยจะต้องทำได้เหมือนคนอื่นที่เขาปกติกัน ฉะนั้นนุ้ยก็ต้องหาทางฝึกฝนในแบบของนุ้ยให้ได้ เช่น การเขียนหนังสือ นุ้ยไม่มีนิ้วมือที่จะมาจับปากกา ก็เลยลองฝึกดูว่าจะเขียนอย่างไร สุดท้ายก็ใช้แขนหนีบกับแก้ม ซึ่งเป็นท่าที่ถนัดที่สุดและเขียนได้สวยด้วย นี่เป็นตัวอย่างค่ะ แล้วก็มีอื่นๆด้วยที่นุ้ยต้องฝึก เพื่อที่จะให้นุ้ยทำได้ทุกอย่างเหมือนคนปกติที่เขาทำกันค่ะ นุ้ยก็พยายามฝึกจนนุ้ยถนัดพอที่จะทำได้ [/FONT]


    [FONT=&quot][​IMG] [/FONT]​
    [FONT=&quot]

    [​IMG]ทราบว่ามาว่าอยู่กับคุณพ่อ แล้วท่านมีวิธีสอนและให้แง่คิดอย่างไรคะ
    [/FONT]
    [FONT=&quot]คุณ พ่อท่านสอนให้นุ้ยรู้จักการเรียนรู้ที่จะยอมจะยอมรับกับความจริงให้ได้ ซึ่งคือการแก้ปัญหาที่ต้นตอของจิตใจที่แท้จริง โดยการที่ท่านได้เลี้ยงนุ้ยมาอย่างเปิดเผย และให้ใช้ชีวิตอย่างปกติเหมือนคนทั่วไป คุณพ่อท่านไม่เคยอายเวลาพานุ้ยไปเที่ยวข้างนอก และคุณพ่อมักจะคอยสอนนุ้ยเสมอว่า [FONT=&quot]“ไม่ ต้องไปเกรงกลัวสายตาใคร ลูกพิการเพียงแค่ร่างกายเท่านั้น คนที่เขารังเกียจลูกต่างหากที่พิการจิตใจ มันเลวร้ายกว่าการพิการทางร่างกายมากมายนัก ลูกยังเดินได้ ช่วยเหลือตัวเองได้ทุกอย่าง ไม่ได้ทำตัวเป็นภาระของใคร จงภาคภูมิใจในความสามารถของลูกเถอะ” คุณพ่อท่านจะสอนนุ้ยแบบนี้เสมอค่ะ [/FONT][/FONT]

    [FONT=&quot]คุณ พ่อพานุ้ยเข้าวัดทำบุญบ่อยมาก ทำให้นุ้ยเชื่อในเรื่องเวรกรรม ซึ่งเป็นอาจจะดูงมงาย แต่ก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ แต่มันก็ทำให้จิตใจเราสบายขึ้น ไม่ต้องคิดหาคำตอบที่ไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ นุ้ยไม่เสียใจที่เกิดมาพิการ เพราะนุ้ยยังสามารถทำอะไรต่างๆได้เกือบ 100[FONT=&quot]% เหมือนคนปกติทั่วไป และข้อสำคัญคุณพ่อไม่เคยคิดว่าลูกจะเป็นภาระของใคร นั่นคือพลังที่ปลุกให้นุ้ยลุกขึ้นต่อสู้และทำให้ทุกคนรู้ว่ามันเป็นความจริง อย่างที่คุณพ่อเคยบอกนุ้ยค่ะ เพราะไม่อย่างนั้นสิ่งที่คุณพ่อสู้และทำเพื่อนุ้ยตลอดมา ก็จะกลายเป็นสิ่งที่สูญเปล่า [/FONT][/FONT]

    [FONT=&quot]คุณ พ่อบอกนุ้ยเสมอว่า นุ้ยยังดีกว่าอีกหลายๆคน บางคนเป็นหนักกว่านุ้ยเสียอีก ต้องมีคนคอยป้อนข้าว ป้อนน้ำ พวกเขาลำบากกว่านุ้ยหลายเท่า พวกเขายังสู้และมีชีวิตอยู่ได้ในสังคม สิ่งที่นุ้ยขาดหายไปมันเป็นแค่อวัยวะ 4 ส่วน จาก 32 แต่นุ้ยก็ยังทำอะไรได้อีกตั้งมากมายเกือบเท่าคนปกติ ซึ่งคำสอนจากคุณพ่อทั้งหมด คอยช่วยย้ำเตือนและเป็นกำลังใจให้กับนุ้ยเสมอมาค่ะ [/FONT]

    [FONT=&quot][​IMG]ปฏิกิริยาของคนรอบข้างที่มีต่อคุณนุ้ยเป็นอย่างไรบ้างคะ[/FONT]
    [FONT=&quot]สำหรับ คนรอบข้างส่วนใหญ่ก็ปกติดีค่ะ ไม่มีที่จะแบบว่ามารังเกียจเราเลย อาจจะมีบ้างที่เข้ามาถามหรือพูดคุยเกี่ยวกับอาการที่นุ้ยเป็น บางคนก็ให้เงินเพราะคิดว่านุ้ยเป็นขอทาน เพราะว่านุ้ยชอบออกไปนั่งเล่นหน้าบ้าน พวกเขาก็เลยคิดกันไปอย่างนั้นค่ะ แต่โดยรวมๆแล้ว ก็ไม่มีอะไรค่ะ ก็ปกติดีค่ะ [/FONT]


    [FONT=&quot][​IMG] [/FONT]​
    [FONT=&quot]

    [​IMG]สำหรับเรื่องการเรียนล่ะคะ เรียนที่โรงเรียนสามัญปกติหรือว่าที่โรงเรียนพิเศษคะ
    [/FONT]
    [FONT=&quot]คุณ พ่อจ้างครูมาสอนหนังสือให้นุ้ยที่บ้านค่ะ สอนจนนุ้ยสามารถอ่านออก-เขียนได้ หลายคนชมด้วยค่ะว่านุ้ยเขียนหนังสือสวย พอเริ่มอ่านได้เขียนได้ ก็ต่อด้วยการเรียน กศน. ค่ะ เพราะนุ้ยอยากจะมีวุฒิการศึกษาเอาไว้ไปสมัครงานค่ะ นุ้ยมั่นใจว่าตัวเองทำงานได้และมั่นใจว่าต้องมีสถานประกอบการที่ให้โอกาส นุ้ยในการทำงานค่ะ ขอเพียงมีความรู้เท่านั้นก็พอ นุ้ยจึงติดต่อจนเจอกับหัวหน้า กศน.เขตราษฎร์บูรณะ ท่านส่งคนมาดูและลองสอบเทียบความรู้ให้กับนุ้ย จากที่ไม่มีวุฒิการศึกษาเลยจนได้มาค่ะ [/FONT]
    [FONT=&quot]พอ ได้วุฒิการศึกษามาแล้ว จากนั้นนุ้ยก็เริ่มเรียนในชั้น ม.3 และต่อด้วย ม.6 โดยการอ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน ถึงกำหนดเราก็ไปสอบ นุ้ยใช้เวลาเรียนจนจบม.6 ใน 3 ปี จากที่ไม่มีวุฒิการศึกษาเลย ต่อมาก็สอบติดและได้เข้ามาเรียนที่ [FONT=&quot]“โรงเรียนอาชีวพระมหาไถ่ พัทยา” ซึ่งเป็นโรงเรียนที่สอนวิชาชีพให้กับผู้พิการทางร่างกายตั้งแต่อายุ 17-35 ปี และนุ้ยเลือกเรียนในหลักสูตรคอมพิวเตอร์และการจัดการธุรกิจ ภาคภาษาอังกฤษค่ะ ใช้เวลาเรียนเป็นเวลา 2 ปี ก็จบค่ะ แล้วก็เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช คณะนิเทศศาสตร์ ค่ะ[/FONT][/FONT]


    [FONT=&quot][​IMG] [/FONT]​
    [FONT=&quot]

    [​IMG]ทำไมถึงเลือกเรียนคณะ คณะนิเทศศาสตร์คะ
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ที่ นุ้ยเลือกเรียนคณะนิเทศศาสตร์ก็เพราะว่านุ้ยเป็นคนชอบพูด ชอบคุย และคิดว่างานประชาสัมพันธ์น่าจะเหมาะสมกับบุคลิกของเราค่ะ และที่นุ้ยเลือกมหาวิทยาลัยสุโขทัยฯ ก็เพราะว่าเรียนที่นี่ไม่กระทบกับการทำงาน สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง สำหรับเรื่องสภาพร่างกายก็ไม่ได้เป็นปัญหาต่อการเรียนอีกด้วย เพราะเราอ่านหนังสืออยู่กับบ้าน ถึงเวลาก็ไปสอบซึ่งมันง่ายกว่าการที่ต้องไปเรียนสถาบันที่ต้องเข้าเรียนทุก วัน และเราก็ไม่สะดวกในการเดินทางค่ะ [/FONT]
    [FONT=&quot]สำหรับในการเรียนต้องช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุดค่ะ อ่านหนังสือเยอะๆแล้วสรุปทบทวนอีกครั้ง โดยหลังจากเลิกงาน[FONT=&quot] 2-3 ทุ่ม ทำกิจวัตรส่วนตัวเสร็จ นุ้ยก็อ่านหนังสือสัก 1-2 ชั่วโมง ต่อวัน ถึงเวลาไปสอบที่ อ.สัตหีบ ก็ขึ้นรถสองแถว แล้วให้เข้าไปส่งถึงอาคาร เราก็จะจ่ายเพิ่มเป็นพิเศษให้เขาไป ก็ทำอย่างนี้มาโดยตลอดค่ะ นุ้ยคิดเสมอว่า "ความพยายามจะสามารถทำให้เราสำเร็จได้หากเรามีความตั้งใจเพียงพอ” ค่ะ[/FONT][/FONT]

    [FONT=&quot][​IMG]ใช้เวลาเรียนแค่เพียง 3 ปีครึ่ง รู้สึกอย่างไรบ้างกับความสำเร็จในครั้งนี้คะ [/FONT]
    [FONT=&quot]นุ้ย ภูมิใจมากที่สุดค่ะ ที่สามารถมาถึงวันนี้ได้ นุ้ยได้พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่า สภาพร่างกายของนุ้ยไม่ได้เป็นอุปสรรคเลย ถึงจะมีไม่ครบสมบูรณ์เท่าคนอื่น แต่เรามีพลังใจและความตั้งมั่นที่เหนือกว่าคนที่เขาสมบูรณ์กว่าเรา นุ้ยเชื่อว่าไม่มีสิ่งไหนในโลกใบนี้ที่หากเพียรพยายามอย่างเต็มกำลังแล้ว จะทำไม่ได้ แม้ว่าจะต้องใช้ทั้งกำลังกาย กำลังใจ เวลา และการทุ่มเทมากกว่าคนอื่นเป็นร้อยเท่าพันเท่าก็ตาม แต่ เมื่อถึงคราวประสบความสำเร็จนั้น รางวัลที่ได้รับมันก็จะมากมายกว่าคนอื่นเป็นร้อย เท่า พันเท่า เช่นกัน จงภูมิใจในสิ่งที่เรามี รวมทั้งพลังความสามารถและกำลังใจที่ไม่มีวันเหือดแห้งไปจากใจของเรา[/FONT]

    [FONT=&quot]*** ติดตามบทความทั้งหมดในฉบับที่ 2[FONT=&quot]61 จาก[/FONT][FONT=&quot]
    [​IMG][/FONT]




    -http://www.womanstoryonline.com/detail-page-1829.html-


    หญิงแกร่งพิการครึ่งตัว ยึดหลักคำสอนของพ่อสู้ชีวิตจนจบปริญญาตรี - ธนารี ฟุ้งภิญโญภาพ

















    .










    .
    [/FONT]
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    คิดให้รอบคอบก่อนซื้อของ SALE !
    [​IMG]
    คุณ ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะดีใจจนเนื้อเต้น เมื่อได้เห็นป้ายลดราคาสินค้าต่างๆ ซึ่งตั้งล่อตาล่อใจ ทำให้คุณพร้อมที่จะควักเงินในกระเป๋าออกไปช้อปปิ้งแทบไม่ทัน แต่เดี๋ยวก่อนอย่างเพิ่งใจร้อนไปค่ะ ก่อนตัดสินใจช้อปควรมาเตรียมความพร้อมกันสักหน่อย จะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลังนะคะ และนี่คือข้อควรคิดก่อนช้อปของ Sale ที่นำมาฝากกันในวันนี้ค่ะ

    [​IMG]ชั่งใจ และ ชั่งเงิน
    ตรวจ สอบเงินในกระเป๋าของคุณซะก่อนว่าคุณมีงบประมาณในการช้อปมากน้อยแค่ไหน และของสิ่งนั้นมีความจำเป็นกับคุณจริงๆ ควรที่จะซื้อรึเปล่า ที่สำคัญต้องคุ้มค่า และลดราคาจริง เพราะเดี๋ยวนี้พอค้าแม่ค้าหัวใส บอกว่าลดราคา แต่จริงๆ ก็บวกราคาเพิ่มเข้าไปและพอลดตามป้าย ก็ยังถือว่าได้กำไร ซึ่งคุณอาจจะตกเป็นเหยื่อได้

    [​IMG]ถึง Sale แต่ต้องคุณภาพดี
    สินค้า ที่นำมาลดราคาส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ขายไม่ออก ค้างสต็อก ล้าสมัย หรือตกรุ่น ฯลฯ ดังนั้นการเลือกซื้อคุณควรให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้าด้วย โดยพิจารณาว่าดีหรือไม่ สมควรที่จะจ่ายเงินเพื่อสิ่งที่คุณเห็นว่าราคาถูกรึเปล่า ที่สำคัญนักช็อปทั้งหลายควรให้ความสำคัญในเรื่องประโยชน์ใช้สอยด้วยนะคะ

    [​IMG]ประหยัดจริงรึเปล่า
    ใคร ก็ตามที่เห็นว่าสินค้าราคาถูกต้องซื้อนั้น มีข้อเตือนใจให้คิดกันเล่นๆ ว่า ของถูกที่ดีๆ ไม่มีในโลกนะคะ ไม่มีพ่อค้าแม่ค้าที่ไหนจะมาขายในราคาต่ำกว่าทุนที่ติดป้ายประกาศไว้ ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อคุณควรเลือกว่าถ้าราคาถูก แต่คุณภาพไม่อยู่ในมาตรฐานที่เคยกินเคยใช้กัน ก็อย่าซื้อเลยเพราะคงไม่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรอก

    ใครเป็นขาช้อปก็ลองนำไปพิจารณาดูกันนะคะ จะได้สบายใจในครั้งต่อไปที่คุณจะไปช้อปปิ้งค่ะ

    -http://www.womanstoryonline.com/detail-page-1854.html-


    .

    คิดให้รอบคอบก่อนซื้อของ SALE

    .
     
  6. Lee_bangkok

    Lee_bangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +4,741
    ดีครับผม เช้านี้ไปทำบุญที่ รพ สงฆ์มาครับผม ฝนตกปรอยๆนะครับผม เหมือนจะตกได้ทั้งวันเลยนะครับผม
     
  7. Lee_bangkok

    Lee_bangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +4,741
    วันก่อนส่งวัตถุมงคลไปร่วมบุญกับการหายารักษาโรคมะเร็งด้วยครับ แต่ก็ยังลืมส่งบางองค์ไปอยู่นะครับผม อิอิ สงสัยจะรีบไปหน่อยนะครับผม
    ช่วงนี้ที่ผมพักอยู่มักมีวัยรุ่นมาพัก แล้วเหมือนพวกเขาจะใช้พวกใบกระท่อมด้วยเพราะเดินผ่านได้กลิ่นแปลก วันนี้ลอถามแม่บ้านดู แม่บ้านบอกว่าได้กลิ่นเหมือนกันและบอกว่าเป็นกระท่อมสงสยทำกับยาแก้ไออะนะ ยังดีที่แม่บ้านบอกว่าอีกไม่นานจะย้ายออกแล้วอะนะ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เดี๋ยวนี้ ยาเสพติดระบาดมากจริงๆ ต้องระมัดระวังกันครับ


    .
     
  10. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ช่วงนี้งานเข้าเหมือนกันเลยครับพี่ท่าน
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  12. rung847

    rung847 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    819
    ค่าพลัง:
    +3,420
    หลักฐานการร่วมทำบุญครับ

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • papung.jpg
      papung.jpg
      ขนาดไฟล์:
      295.1 KB
      เปิดดู:
      36
  13. มูริญโญ่

    มูริญโญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +583

    อนุโมทนาบุญทุกประการครับ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    วิกฤติหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ กับการขยายเพดานหนี้



    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


    ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวการปรับ "เพดานหนี้สหรัฐฯ" กลายเป็นข่าวร้อนในวงการเศรษฐกิจโลก ซึ่งสื่อไทยเองก็รายงานใกล้ชิดติดขอบ เพราะเมื่อประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐฯ ประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจอย่างใดอย่างหนึ่งย่อมส่งผลกระทบไปทั่วโลกอย่างแน่ นอน

    สำหรับปัญหาของสหรัฐฯ ในขณะนี้คือ มีรายได้ไม่พอกับรายจ่าย และไม่สามารถกู้เงินมาเพิ่มได้อีก เนื่องจาก หนี้สาธารณะ หรือหนี้ของรัฐบาลสูงเกินเพดานที่กฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนด จึงมีการเสนอให้ปรับเพดานหนี้ (debt ceiling) ซึ่งในแต่ละประเทศ จะมีกฎหมายกำหนดเพดานหนี้ไว้ว่าจะสามารถเป็นหนี้ได้สูงสุดเท่าไร คล้ายกับวงเงินบัตรเครดิต ซึ่งเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ในปัจจุบันคือ 14.294 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (สภาอนุมัติเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2010)

    โดยก่อนหน้านี้ทั้ง 2 พรรคการเมืองใหญ่อย่าง รีพับลิกัน และเดโมแครต ต่างก็เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวกันคนละทิศคนละทาง โดยฝ่ายรีพับลิกัน ระบุว่า ปัญหาใหญ่อยู่ที่รายจ่าย จึงต้องลดรายจ่ายเป็นหลัก ขณะที่เดโมแครต เห็นว่าปัญหาหลักอยู่ที่รายได้ จึงต้องเพิ่มรายได้ด้วยการเพิ่มภาษีต่าง ๆ พร้อมทั้งชี้ว่าการลดรายจ่ายเป็นหลักนั้นไม่ควรทำ ทำให้การพิจารณาเรื่องดังกล่าวยืดเยื้อเรื่อยมา จนในท้ายที่สุดทั้ง 2 สภา ก็ยอมรับข้อตกลงร่างกฎหมายดังกล่าวทันตามกำหนดเส้นตายพอดิบพอดี (2 สิงหาคม)

    ทั้งนี้ สภาล่างสหรัฐฯ มีมติ 269 : 161 เสียง รับรองร่างกฎหมายปรับเพิ่มเพดานหนี้ เพื่อเปิดทางให้รัฐบาลกู้ยืม 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ โดยจะทยอยขึ้นทีละขั้น แบ่งเป็น 3 ขั้น ไปจนถึงปี 2012 และนับจากนี้สหรัฐฯ จะดำเนินการตามแผนลดการขาดดุลงบประมาณลง 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ แบ่งเป็น ลดค่าใช้จ่ายภาครัฐระยะยาว 900,000 ล้าน ถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ ตลอด 10 ปีข้างหน้า และหารายได้ที่ขาดอยู่อีก 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ จากการปรับวิธีเก็บภาษี และปรับค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการ

    โดยทาง จอห์น โบห์เนอร์ ประธานสภาล่างฝ่ายรีพับลิกัน ได้เคาะตัวเลขการลดค่าใช้จ่ายที่แน่นอนอยู่ที่ 917,000 ล้านดอลลาร์ แบ่ง การตัดรายจ่ายออกเป็น 2 รอบ รอบแรกเป็นโครงการแผนงานประเภทที่รัฐสภาอนุมัติให้เป็นรายปี ไล่ตั้งแต่งบประมาณทางทหาร ไปจนถึงโครงการตรวจสอบเฝ้าระวังด้านอาหาร ซึ่งในยอด 917,000 ล้านดอลลาร์นี้ ประมาณ 350,000 ล้านดอลลาร์ มาจากโครงการด้านกลาโหมและด้านความมั่นคงอื่น ๆ ซึ่งมียอดรวมเท่ากับกว่าครึ่งหนึ่งของโครงการประเภทที่รัฐสภาอนุมัติให้เป็น รายปีทั้งหมด เนื่องจากสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะถอนตัวออกจากอิรักและอัฟกานิสถานมากขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้น่าจะลดต่ำลงมาเรื่อย ๆ แต่ทว่าทางฝั่งรีพับลิกันก็ยังคงต่อต้านแนวความคิดนี้

    ส่วนการตัดลดงบประมาณรายจ่ายรอบสอง ถูกกำหนดไว้ที่ราว 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลา 10 ปีเช่นกัน โดยจะมีการตั้งคณะกรรมาธิการชุดพิเศษ 12 คน จากทั้ง 2 สภา ทั้งเดโมแครตและรีพับลิกันฝ่ายละเท่า ๆ กัน แล้วทำหน้าที่ศึกษาหาวิธีประหยัดงบประมาณด้วยการยกเครื่องระบบการจัดเก็บ ภาษี และปรับโครงสร้างโครงการด้านสวัสดิการสังคมต่าง ๆ ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 23 พฤศจิกายนปีนี้ ก่อนจะเสนอให้รัฐสภาพิจารณาอนุมัติ ภายในวันที่ 23 ธันวาคม ซึ่งไม่ว่าสภาจะมีมติรับหรือไม่รับ ก็ไม่สามารถแปรญัตติแก้ไขรายละเอียดของแผนนั้นได้


    [​IMG]


    อย่างไรก็ดี มีการวิเคราะห์ถึงการปรับเพดานหนี้ดังกล่าวกันไปต่าง ๆ นานา แน่นอนมันเป็นทางออกที่อาจจะดีที่สุดที่ทำให้หนี้ของสหรัฐฯ ไม่กลายเป็นหนี้เสีย โดยมีเงินมาชำระหนี้ได้ทันตามกำหนด และเงินดอลลาร์อาจไม่อ่อนค่าลงมากตามคาดการณ์จนฉุดตลาดหุ้นทั่วโลก แต่ก็ยังต้องดูกันต่อไปยาว ๆ เพราะปัญหาหนี้สาธารณะ เกิดการก่อตัวเรื้อรังมานาน ยังไม่มีแนวโน้มจะดีขึ้นง่าย ๆ และอย่าลืมว่า หนี้สาธารณะ หรือเงินที่รัฐบาลกู้มาในแต่ละปีนั้น อาจใช้ให้หมดไปได้ แต่ในความจริงแล้ว ประเทศที่กู้ยืมก็มักจะเป็นหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นตัวเลขมหาศาล สังเกตได้จากประเทศที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจ มักมีตัวเลขหนี้สาธารณะอยู่ในเปอร์เซ็นต์สูง เมื่อเทียบกับ GDP ของประเทศ

    ...ก็ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า การขยายเพดานหนี้ในภาวะความเสี่ยงเช่นนี้ จะเป็นทางออกที่ดีสุดในระยะยาวด้วยหรือไม่ หากองค์กรด้านความน่าเชื่อถือต่าง ๆ ปรับระดับความน่าเชื่อถือด้านการเงินของอเมริกาลง ซึ่งนั่นจะส่งผลต่อการประเมินมูลค่าและทรัพย์สินต่าง ๆ อีกมาก


    -http://hilight.kapook.com/view/61411-

    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ผู้บริโภคอ่วม! ค่าแรง 300 ดันก๋วยเตี๋ยวพุ่งชามละ 70


    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

    ผู้ผลิตอาหารชี้ การปรับค่าแรง 300 ดันราคาก๋วยเตี๋ยวพุ่งชามละ 70 บาท วอนขอเวลาปรับตัวรับค่าแรง 2 ปี

    เมื่อ วันที่ 1 สิงหาคม นายวิศิษฏ์ ลิ้มประนะ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้ออกมาแถลงว่า นโยบายค่าแรง 300 บาท จะส่งผลกระทบต้นทุนค่าแรงเพิ่มขึ้น 40% และส่งผ่านไปยังราคาอาหารให้ปรับเพิ่มขึ้นอีก 20% ซึ่งจะทำให้อาหารมีราคาเพิ่มสูงขึ้น อย่างเช่น ราคาก๋วยเตี๋ยวจากปัจจุบันอยู่ที่ชามละประมาณ 35-40 บาท ต้องปรับเพิ่มถึงชามละ 70 บาทเลยทีเดียว

    ทั้งนี้ การขึ้นค่าแรง 300 จะกระทบต่อผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมาก หรือมีซัพพลายเชนยาว ซึ่งก็คือ อุตสาหกรรมมีการผลิตซ้ำหลายขั้นตอน เช่น อาหาร รองเท้า ชิ้นส่วนยานยนต์ เฟอร์นิเจอร์

    สำหรับ โครงสร้างราคาก๋วยเตี๋ยวที่ปรับราคาขึ้น ก็เนื่องมาจากต้นทุนค่าแรงที่ปรับขึ้นของโรงงานเส้นก๋วยเตี๋ยว โรงงานผลิตลูกชิ้น ผู้ผลิตถั่วงอก ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตตลอดซัพพลายเชนสูงขึ้น ราคาก๋วยเตี๋ยวจึงพุ่งสูง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคกันถ้วนหน้าอย่างแน่นอน

    อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (ประกอบไปด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย) ได้มีการหารือถึงเรื่องดังกล่าว โดยมีความเห็นว่า ภาคเอกชนจะเข้าไปหารือกับรัฐบาลใหม่ทันทีใน 2 สัปดาห์แรกหลังตั้งรัฐบาล โดยเห็นว่าการปรับค่าจ้างขั้นต่ำควรใช้วิธีทยอยขึ้นมากกว่าการปรับขึ้นครั้ง เดียว เพื่อให้เวลาในการปรับตัว 2 ปี



    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก -http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/business/20110801/402751/%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87300%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B9%8B%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B9%8B%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%9970-80%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97-%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A1.html-

    [​IMG]




    -http://hilight.kapook.com/view/61404-

     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    อร่อยสุด ๆ หมึก-หมูทอดกระเทียมพริกไทย

    Share

    [​IMG]


    เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณบูตะ กะ กิมจิ




    บ้านไหนที่มี "ปลาหมึก" และ "เนื้อหมู" เหลือติดอยู่ในตู้เย็น แล้วเกิดอยากจะลองรังสรรค์ทั้งสองส่วนผสมนี้ให้เป็นเมนูแสนอร่อย แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรทานนี้ วันนี้ ลองมาทำ "หมึก-หมูทอดกระเทียมพริกไทย" ไอเดียดี ๆ ของคุณ "บูตะ กะ กิมจิ" จากเว็บไซต์พันทิปกันดูดีไหมคะ รับรองว่า อาหารจานนี้ อร่อยถูกปากแน่นอน


    [​IMG] ส่วนผสม หมึก-หมูทอดกระเทียมพริกไทย

    [​IMG] ปลาหมึก


    [​IMG] เนื้อหมูบด


    [​IMG] กระเทียม


    [​IMG] พริกไทย


    [​IMG] รากผักชี


    [​IMG] ต้นหอม


    [​IMG] วิธีทำ หมึก-หมูทอดกระเทียมพริกไทย


    [​IMG]

    1.ล้าง และหั่นปลาหมึกเตรียมไว้ก่อนค่ะ


    [​IMG]


    2.นำกระเทียม รากผักชี และพริกไทยมาตำให้ละเอียด ๆ แล้วนำลงไปเจียวในน้ำมันให้หอม ๆ


    [​IMG]


    3.ใส่หมูบดลงไปผัด แล้วตามด้วยปลาหมึกค่ะ


    [​IMG]


    4.ปรุงรสด้วยผงปรุงรส พริกไทย และซีอิ๊วเห็ดหอม ผัดให้เข้ากันก็ปิดไฟได้เลย


    [​IMG]


    5.โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว และต้นหอมนิดหน่อย ก็เสร็จแล้วค่ะ


    แหม...เห็นแค่ภาพคงไม่รู้หรอกว่า อาหารจานนี้จะอร่อยเพียงไหน อิอิ สงสัยมื้อเย็นนี้ต้องรีบเข้าครัวไปปรุงทานดูเองซะแล้วววว


    -http://women.kapook.com/view28652.html-


    เมนูอาหาร อร่อยสุด ๆ หมึก-หมูทอดกระเทียมพริกไทย














    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948


    .

    [FONT=Tahoma,]ช็อก!ก๋วยเตี๋ยวจ่อขึ้นชามละ80บาท ส.อ.ท.ชี้พิษค่าแรง300-วอนรัฐให้เวลาปรับตัว2ปี



    <table align="left" border="0" cellpadding="0" cellspacing="5" width="360"><tbody><tr><td align="center" bgcolor="#E0E0E0" valign="top">[​IMG]
    </td></tr></tbody></table>นาย ดุสิต นนทะนาคร ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทยว่า ที่ประชุมกกร. เตรียมเสนอผลกระทบการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วัน ให้รัฐบาลใหม่พิจารณาเป็นวาระแรก และภายใน 2 สัปดาห์หลังจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว จะเสนอผลกระทบจากนโยบายประชานิยมต่างๆ ให้รัฐบาลทราบ หลังจากให้มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยศึกษา ซึ่งกกร.เป็นห่วงผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก

    ด้านนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานส.อ.ท. กล่าวว่า ค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับขึ้นเป็น 300 บาท/วัน ทำให้ต้นทุนต่างๆ สูงขึ้น และแนวโน้มราคาสินค้ายังแพงขึ้นจากราคาน้ำมันและวัตถุดิบ ดังนั้น รัฐบาลควรปล่อยให้ราคาเป็นไปตามกลไกตลาดดีที่สุด หากตรึงราคามากเกินไป ปัญหาอื่นก็ตามมา จึงควรคุมราคาในระยะสั้นเท่านั้น

    นายวิศิษฏ์ ลิ้มประนะ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร ส.อ.ท. กล่าวว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะส่งผลให้ราคาสินค้า เช่น ราคาก๋วยเตี๋ยวอาจขยับเพิ่มเป็น 70-80 บาท/ชาม จากปัจจุบันอยู่ที่ 30-35 บาท/ชาม ขณะที่สินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร คาดว่าจะปรับขึ้นอีก 20% หลังรัฐบาลขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไปแล้ว 6 เดือน ดังนั้น นโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำดังกล่าวควรทำเป็นขั้นบันได โดยใช้เวลา 2 ปี เพื่อให้เอกชนได้ปรับตัว

    "โครงสร้างราคาก๋วยเตี๋ยวที่จะปรับราคา ขึ้นก็มาจากต้นทุนค่าแรง อย่างโรงงานผลิตลูกชิ้นค่าแรงกว่า 100 บาท/วัน ถ้าขึ้นเป็น 300 บาท/วัน ก็ต้องขึ้นราคา ไหนจะโรงงานผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยว ต้นทุนวัตถุดิบอื่นๆ ทั้งถั่วงอก และพืชผักก็ต้องขึ้น ฐานมันจะปรับขึ้นหมดเป็นงูกินหาง เพื่อทดแทนค่าครองชีพที่ปรับตัวขึ้นสูง" นายวิศิษฏ์กล่าว

    ส่วนนายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ รองนายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องเรือนไทย เปิดเผยว่า 12 สมาคมอุตสาหกรรมที่มีสมาชิก 2,273 ราย ซึ่ง 95% เป็นเอสเอ็มอี และสัดส่วน 50% ของสมาชิกเป็นผู้ส่งออกที่จะได้รับผลกระทบทันทีและรุนแรงจากการปรับขึ้นค่า แรงขั้นต่ำ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการส่งออก 107,680 ล้านบาท/ปี และมีแรงงาน 972,000 คน ดังนั้น หากปรับค่าแรงเป็น 300 บาท/วัน จะทำให้ต้นทุนค่าแรงสูงขึ้น 35-40% แต่ต้นทุนรวมจะสูงขึ้นจากฐานเดิม 12-15% ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับราคาขายขึ้น ขณะที่ทางลูกค้ายอมรับไม่ได้และจะยกเลิกคำสั่งซื้อ หันไปซื้อสินค้าประเทศคู่แข่งแทนทั้ง จีน เวียดนาม และอินโดนีเซีย

    "ประเมิน แล้วว่าหากต้องขึ้นค่าแรง 300 บาทในทันที จะทำให้ 12 สมาคมต้องปลดแรงงานทันที 3 แสนคน คิดเป็น 30% ของแรงงานกว่า 9 แสนคน ขณะที่ผู้ประกอบการอาจต้องปิดกิจการถึง 50% ของจำนวนผู้ประกอบการทั้งหมด เพราะไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนได้ ซึ่งผลกระทบตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาว่างงาน และอาจทำให้ประเทศเสียหายนับแสนล้าน จึงเตรียมเสนอผลกระทบให้รัฐบาลต่อไป" นายอารักษ์กล่าว
    [/FONT]




    -http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObFkyOHdNVEF5TURnMU5BPT0=&sectionid=TURNd05RPT0=&day=TWpBeE1TMHdPQzB3TWc9PQ==-



    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 13 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 11 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong, sittiporn.s+</td></tr></tbody></table>

    ไปพักผ่อนแล้วครับ

    ราตรีสวัสดิ์ครับ

    .
     
  20. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ดื่มน้ำแค่ไหนจึงจะพอ?

    วันพุธ ที่ 03 สิงหาคม 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    การดื่มน้ำวันละ 8 แก้วจะทำให้สุขภาพดี-ช่วยลดความอ้วนจริงไหม? แท้จริงแล้วการดื่มน้ำมากเกินจำเป็นส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพ

    หากถามนักแสดงหรือนางแบบว่าเคล็ดลับความงามคืออะไร หนึ่งในสิ่งที่เหล่าคนดังจะแนะนำให้ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอคือดื่มน้ำอย่างเพียงพอ เพราะจะทำให้สุขภาพดี ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ช่วยล้างสารพิษออกจากร่างกาย การขาดน้ำจากการไดเอ็ทเป็นสาเหตุแห่งอาการท้องผูก

    แต่ดื่มน้ำแค่ไหนจึงจะเป็นการ“ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ” ซึ่งเรามักจะได้ยินกันว่าต้องดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน ถ้าดื่มไม่ได้ตามเป้า นอกจากจะเสี่ยงต่อการมีน้ำหนักเกินหรือผิวหนังเหี่ยวย่นแล้ว ยังทำให้สมองสูญเสียน้ำซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการตั้งสมาธิกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

    จากคำเตือนให้ดื่มน้ำมากๆ นี้ส่งผลให้ขวดน้ำขายได้มากเป็นหนึ่งเท่าตัวในประเทศอังกฤษช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และขวดน้ำก็กลายเป็นสิ่งจำเป็นที่คนอังกฤษส่วนใหญ่มักจะพกติดตัวออกนอกบ้าน สำคัญพอๆ กับกระเป๋าสตางค์และกุญแจบ้าน

    อย่างไรก็ตาม แม้การขาดน้ำอาจทำให้ร่างกายได้รับความเสียหาย แต่การได้รับน้ำมากเกินไปก็เป็นอันตรายต่อร่างกายเช่นกัน

    หากร่างกายได้รับน้ำมากเกินไปจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการ“ไฮโปแนทรีเมีย”ซึ่งเป็นอาการที่เกลือในร่างกายลดลง ทำให้สมองเต็มไปด้วยน้ำ ซึ่งนำไปสู่อาการชักและเสียชีวิตในที่สุด แต่ก็ไม่ต้องกังวลไป อาการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เนื่องจากร่างกายมีกระบวนการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ

    นอกจากนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าการดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหารจะช่วยลดน้ำหนัก หรือการที่ร่างกายสูญเสียน้ำเล็กน้อยจะเป็นสาเหตุแห่งความเจ็บไข้ได้ป่วย

    แล้วดื่มน้ำแค่ไหนจึงจะเพียงพอ?

    ความต้องการน้ำของร่างกายแตกต่างกันไปในแต่ละคน และแตกต่างกันไปในแต่ละวันอีกด้วย กลุ่มที่ต้องการน้ำมากที่สุดคือเด็กและผู้สูงวัย ส่วนผู้ใหญ่ต้องการน้ำวันละ 20-30 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักร่างกาย 1 กิโลกรัม เช่นถ้าน้ำหนัก 50 กิโลกรัม ร่างกายก็จะต้องการน้ำวันละประมาณ 1 ลิตร แต่ไม่ต้องดื่มน้ำให้ครบตามจำนวนที่คำนวณก็ได้ เพราะในอาหาร ผักและผลไม้ที่รับประทานก็มีน้ำเช่นกัน นอกจากนี้การดื่มชา กาแฟ น้ำส้มหรือแม้แต่น้ำอัดลมก็ช่วยเติมน้ำให้ร่างกาย

    หลายคนอาจนึกว่าการกระหายน้ำเป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าร่างกายขาดน้ำ ที่จริงแล้วแค่เป็นตัวบอกว่าระดับน้ำในร่างกายน้อยลงเท่านั้น ยังไม่เป็นอันตราย ไม่ต้องดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อชดเชย แต่ถ้าป่วยต้องดื่มน้ำเยอะๆ เพราะร่างกายจะขจัดความร้อนด้วยการสร้างเหงื่อ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ จึงต้องการน้ำมากกว่าปกติประมาณ 500 มิลลิลิตรต่ออุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้น1องศาเซลเซียส ซึ่งในสภาพอากาศร้อนหรือหลังออกกำลังกายที่เสียเหงื่อมากก็ต้องชดเชยน้ำให้ร่างกายด้วย

    วิธีสังเกตว่าร่างกายขาดน้ำหรือไม่ ดูได้จากสีของปัสสาวะที่ต้องใส ไม่มีสีและปัสสาวะประมาณ 3-4 ครั้งต่อวัน แสดงว่าร่างกายปกติดี แต่หากปัสสาวะมีสีเข้มและปัสสาวะน้อยกว่าวันละ 3 ครั้ง ให้ดื่มน้ำมากๆ เพราะแสดงว่าร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ

    ทีมเดลินิวส์ ออนไลน์
     

แชร์หน้านี้

Loading...