พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    [FONT=Tahoma,]เจ้าฟ้าหญิงเพชรรัตน์ สิ้นพระชนม์

    ถวายเกียรติสูงสุด ตั้งศพพระที่นั่งดุสิต รับสั่งไว้ทุกข์ 100วัน


    <table align="left" border="0" cellpadding="0" cellspacing="5" width="360"><tbody><tr><td align="center" bgcolor="#E0E0E0" valign="top">[​IMG]
    สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้า ฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี สิ้นพระชนม์ เมื่อเวลา 16.37 น. วันที่ 27 ก.ค. โปรดเกล้าฯให้ประดิษฐานพระศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง

    </td></tr></tbody></table>อาลัย"สมเด็จ เจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ" สิ้นพระชนม์ ด้วยพระอาการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต หลังเสด็จประทับรักษาพระอาการที่โรงพยาบาลศิริราช สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ ในหลวง โปรดเกล้าฯให้สำนักพระราชวังจัดการพระศพ ถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามราชประ เพณี ประดิษฐานพระศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ไว้ทุกข์ถวายมีกำหนด 100 วัน พร้อมพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เข้าถวายน้ำสรงพระศพหน้าพระฉายาลักษณ์ ในวันที่ 28 ก.ค.

    วันที่ 27 ก.ค. สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์ ประกาศ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี สิ้นพระ ชนม์ ว่า สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ได้เสด็จประทับรักษาพระอาการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต ณ ตึก 84 ปี ชั้น 5 ด้านตะวันออก โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคม 2554

    แม้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ พระอาการประชวรได้ทรุดลงตามลำดับ และสิ้นพระชนม์เมื่อเวลา 16 นาฬิกา 37 นาที วันที่ 27 กรกฎาคม 2554 รวมพระชันษา 85 ปี

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราช โองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ สำนักพระราชวังจัดการพระศพ ถวายพระเกียรติยศสูง สุดตามราชประเพณี ประดิษฐานพระศพ ณ พระ ที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง

    ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาทในราชสำนักไว้ทุกข์ถวายมีกำหนด 100 วัน ตั้งแต่วันสิ้นพระชนม์เป็นต้นไป

    อนึ่ง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประ ชาชนเข้าถวายน้ำสรงพระศพหน้าพระฉายา ลักษณ์ ซึ่งประดิษฐาน ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่เวลา 13 นาฬิกา ถึงเวลา 16 นาฬิกา วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม 2554

    สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ประสูติเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ.2468 ณ พระที่นั่งเทพสถานพิลาส ในหมู่พระมหามณเฑียร พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวัง หลังจากพระองค์ประสูติได้เพียงวันเดียวพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่ หัว สมเด็จพระบรมชนกนาถ เสด็จสวรรคต

    ในส่วนของการศึกษาเบื้องต้น สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เริ่มทรงพระอักษรในพ.ศ.2473 ณ พระตำหนักสวนหงส์ พระราชวังดุสิต เมื่อทรงเจริญวัยขึ้นจึงเสด็จไปทรงศึกษา ณ โรงเรียนราชินี จนพระชนมายุย่าง 13 พรรษา จึงเสด็จไปทรงศึกษาในประเทศอังกฤษเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2480 ทรงมีพระอัจฉริยะในการแสดงเปียโนเป็นอย่างยิ่ง ทรงจดจำโน้ตเพลงได้อย่างแม่นยำเป็นที่ประจักษ์ โปรดวิชาภูมิศาสตร์ และทรงมีความชำนาญในการสังเกตและจดจำเรื่องทิศทางของสถานที่ซึ่งเคยเสด็จไป ได้อย่างแม่นยำ ในส่วนการทรงงานอดิเรกนั้น โปรดการถักนิตติ้งและโครเชต์เป็นที่สุด ทั้งยังโปรดการปลูกไม้ดอกไม้ประดับต่างๆ ครั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง จึงเสด็จกลับกรุงเทพฯ พร้อมกับพระนางเจ้าสุวัทนา เมื่อพ.ศ.2502 โดยทรงสร้างวังขึ้นตั้งอยู่เลขที่ 69 ซอยสันติสุข ถนนสุขุมวิท 38 พระราชทานนามว่าวังรื่นฤดี ซึ่งเป็นสถานที่ประทับตราบจนปัจจุบัน

    สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ ทรงพระกรุณาพระราชทานความช่วยเหลือการสาธารณกุศลต่างๆ มากมาย พระราช ทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อสมทบทุนสมเด็จพระบรมราชชนก และทรงมีพระวิริยะอุตสาหะ ทรงบำเพ็ญภารกิจสาธารณประโยชน์เพื่อสังคม และความสุขของประชาชนตลอดจนพลเรือนและทหารนานัปการ ทรงช่วยเหลือเด็กกำพร้าและสนับสนุนกิจการต่างๆ ของสภาสตรีแห่งประเทศไทย พระกรณียกิจที่สำคัญยิ่งคือ การก่อสร้างหอวชิราวุธานุสรณ์และมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ โดยทรงพระกรุณาพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นเงินทุนก่อตั้งมูลนิธิ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระยศพันโทหญิงกองพันทหารราบที่ 2 กองผสมที่ 15 จ.นครศรีธรรมราช และดำรงพระยศเป็นนายทหารพิเศษประจำกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์เมื่อปี 2535 และสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลได้ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาคหกรรมศาสตร บัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาพัฒนาการครอบครัวและเด็ก แด่พระองค์ในปีเดียวกัน

    อีกทั้งทรงรับสถาบันและองค์กรต่างๆ ไว้ในพระอุปถัมภ์เป็นจำนวนกว่า 30 แห่ง ทั้งในส่วนที่สืบสานจากสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า ในส่วนของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ และโดยส่วนพระองค์เอง ทั้งในด้านการศึกษา เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร วชิราวุธวิทยาลัย โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย โรงเรียนราชินี โรงเรียนราชินีบน โรงเรียนราชินีบูรณะ โรง เรียนวิเชียรมาตุ โรงเรียนสภาราชินี โรงเรียนศรียานุสรณ์ โรงเรียนจอมสุรางค์อุปถัมภ์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา คณะพยาบาลศาสตร์ มหา วิทยาลัยมหิดล โรงเรียนสายน้ำผึ้ง โรงเรียนศรีอยุธยา โรงเรียนเพชรรัชต์ โรงเรียนเพชรรัตนราชสุดา โรงเรียนกองทัพบกอุปถัมภ์เพชราวุธวิทยา โรงเรียนสยามธุรกิจ สถาบันสันติราษฎร์บริหารธุรกิจ โรงเรียนพณิชยการสยาม ฯลฯ การสาธารณสุข เช่น วชิรพยาบาล โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ศิริราชพยาบาล ฯลฯ กิจการลูกเสือ-เนตรนารี และกิจการอาสาสมัครรักษาดินแดน ตลอดจนการสังคมสงเคราะห์อื่นๆ

    สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ ทรงเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว โดยพระราชทานกำเนิด มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในพระบรมราชูปถัมภ์ ทั้งยังทรงเป็นผู้นำในการอนุรักษ์มรดกสถาปัตยกรรมในรัชกาลที่ 6 เช่น พระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน จัง หวัดเพชรบุรี และพระราชวังพญาไท ในบริเวณโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ทรงเป็นสมเด็จพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่ฝ่ายในซึ่งเป็นที่เคารพนับถือยิ่งของพระบรม วงศานุวงศ์และมหาชนโดยทั่ว ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจเพื่อปวงชนชาวไทยตลอดมา
    [/FONT]

    -http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdNakk0TURjMU5BPT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1TMHdOeTB5T0E9PQ==-


    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    “ในหลวง-ราชินี”เสด็จฯสรงน้ำพระศพ


    [​IMG]


    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระราชินี สรงน้ำพระศพ “เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ” ณ พระที่นั่งพิมานรัตยา ก่อนอัญเชิญพระโกศพระศพไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
    วันที่ 28 ก.ค. เวลา 17.09 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จาก รพ.ศิริราช มายังพระที่นั่งพิมานรัตยา ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อรถยนต์พระที่นั่งถึง ทั้งสองพระองค์เสด็จฯ ขึ้นทางบันไดมุกกระสัน พระที่นั่งพิมานรัตยา เข้าไปในพระฉากที่พระศพ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี บรรทมอยู่บนพระแท่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยหน้าพระศพ บูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร จากนั้น ทรงรับขวดน้ำพระสุคนธ์ ถวายสรงที่พระศพ และทรงคม

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับหม้อน้ำพระสุคนธ์ และโถน้ำขมิ้นจากเจ้าพนักงานสนมพลเรือน ถวายสรงที่ตรงพระอุระพระศพ จากนั้น ทรงหวีพระเกศาขึ้นครั้งหนึ่ง แล้วหวีลงอีกครั้งหนึ่ง แล้วหักพระสางวางไว้ในพาน ซึ่งเจ้าพนักงานเชิญอยู่ จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปประทับพระราชอาสน์ ที่นอกพระฉาก เจ้าพนักงานเชิญผ้าไตร 86 ไตร ถวายทรงจบ

    นายแก้วขวัญ วัชโรทัย เลขาธิการพระราชวัง กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปทรงวางซองพระศรีบรรจุดอกบัว และธูปเทียน ที่ปากพระโกศ แล้วทรงรับแผ่นทองคำจำหลักลายปิดพระพักตร์ ทรงรับพระชฎาทองคำวางข้างพระเศียร แล้วเสด็จฯ ออกไปประทับพระราชอาสน์ที่เดิม ตำรวจหลวงเชิญพระโกศพระศพไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ประทับพระราชอาสน์ เมื่อเชิญพระโกศพระศพขึ้นประดิษฐานบนพระแท่นแว่นฟ้าทอง เจ้าพนักงานพระราชพิธีเข้าถวายพวงมาลา แล้วพระราชทานให้เจ้าพนักงานพระราชพิธีเชิญไปวางที่หน้าพระโกศพระศพ เจ้าพนักงานนิมนต์พระสงฆ์ 12 รูป ใน 86 รูป เท่าพระชมมายุสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ขึ้นนั่งอาสนสงฆ์

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร เจ้าพนักงานพระราชพิธีเชิญเครื่องนมัสการเข้าถวาย ทรงจุด ทรงคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทอดผ้าไตร 1 ไตร บนโต๊ะที่พระภูษาโยง พระสงฆ์สดับปกรณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์อนุโมนทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา จากนั้น ทรงคมไปด้านพระพุทธรูป ที่หน้าพระแท่นมหาเศวตฉัตร และที่หน้าพระโกศพระศพ ทรงรับการถวายการเคารพของผู้มาเฝ้าฯ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องบูชา กระบะมุกหน้าพระแท่นเตียงพระสวดพระอภิธรรม เจ้าพนักงานพระราชพิธีเชิญเครื่องบูชากระบะมุกเข้าถวายทรงจุด

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ออกจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทรงลงทางบันไดมุกกระสันพระที่นั่งพิมานรัตยาโดยลิฟท์ ตำรวจหลวงนำเสด็จฯ ไปประทับรถยนต์พระที่นั่ง ที่ประตูกำแพงแก้ว แล้วเสด็จฯ กลับ.









    .


    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=553&contentID=153744-


    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 12 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 11 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong </TD></TR></TBODY></TABLE>

    แอบมาทักทาย

    สวัสดีตอนเย็นวันศุกร์แห่งชาติครับ

    ไปทำงานต่อก่อน เดี๋ยวกลับบ้านดึกครับ

    แถมพรุ่งนี้ ต้องไปอบรมบ่มนิสัยอีกตั้งแต่เช้าครับ






    .
     
  4. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ระวังสุขภาพด้วยนะครับ ช่วงนี้ ฝนตกทุกวัน ผมติดร่มไปทำงานทุกวันครับ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table id="post4935801" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px">นนี้, 07:41 PM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right"> #46038 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> อนัตตัง
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Feb 2011
    ข้อความ: 342
    พลังการให้คะแนน: 40 [​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_4935801" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border:1px inset"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    .
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 12 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 11 คน ) </td><td class="thead" width="14%">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </td></tr><tr><td class="alt1" colspan="2" width="100%">sithiphong </td></tr></tbody></table>

    แอบมาทักทาย

    สวัสดีตอนเย็นวันศุกร์แห่งชาติครับ

    ไปทำงานต่อก่อน เดี๋ยวกลับบ้านดึกครับ

    แถมพรุ่งนี้ ต้องไปอบรมบ่มนิสัยอีกตั้งแต่เช้าครับ






    .
    </td> </tr> </tbody></table>
    ระวังสุขภาพด้วยนะครับ ช่วงนี้ ฝนตกทุกวัน ผมติดร่มไปทำงานทุกวันครับ
    </td></tr></tbody></table>








    ...............................................

    ขอบคุณครับ



    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    เผยภาพสุดสลด เด็กน้อยผอมโกรกใกล้ตายในเคนย่า


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก [ame="http://www.youtube.com/watch?v=FZ5XnzDPGzk"]youtube โพสต์โดย SomaliService [/ame]

    เป็นที่รู้กันดีว่า พื้นที่แถบแอฟริกาตะวันออก หรือที่เรียกว่า ฮอร์น ออฟ อเมริกา เป็นพื้นที่ที่ประสบปัญหาภัยแล้งรุนแรงมากที่สุดในโลก จนทำให้เด็กและประชากรหลายคนต้องมีสภาพเป็นคนผอมโกรก ขาดสารอาหาร และอดอยากตายกันมาแล้วนับไม่ถ้วน และในปีนี้ ดูเหมือนว่าปัญหาดังกล่าวจะเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นตามสภาพอากาศที่ร้อน ระอุขึ้นทุกวัน ส่งผลให้เด็กที่อยู่ในพื้นที่นี้หลายคนเผชิญกับความอดอยากและขาดสารอาหารกัน มากขึ้น

    ล่าสุด เว็บไซต์เดลิเมล ของอังกฤษ ได้เผยแพร่ภาพสุดสลดของเด็กที่อาศัยอยู่ในแถบแอฟริกาตะวันออกอย่างเคนย่า และเอธิโอเปีย พร้อมกับบอกเล่าเรื่องราวที่น่าสะเทือนใจของเด็กหลายคนที่นี่ที่ต้องอดอยาก ผอมโกรก ขาดสารอาหาร จนมีโอกาสรอดเพียง 50% เท่านั้น และหนึ่งในนั้น คือ มิแฮก เกดิ ฟาราห์ หนูน้อยเพศชายวัยเพียง 7 เดือน ที่ต้องเผชิญกับภาวะอดอยากตั้งแต่เกิด จนทำให้มีสภาพร่างกายผอมจนเนื้อติดกระดูก ตากลมกลวงโบ๋ มีแขนขาลีบเล็ก และมีน้ำหนักเพียง 3 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าที่ควรจะเป็นถึง 3 เท่าเลยทีเดียว

    [​IMG]

    โดยหนูน้อยคนนี้ ได้ถูกแม่อุ้มเดินมายังศูนย์ช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในเคนย่าซึ่งต้องใช้เวลา นานกว่า 7 วัน เพื่อหนีความอดอยากและความแห้งแล้ง ซึ่งเมื่อมาถึงศูนย์ เจ้าหน้าที่ก็เร่งให้ความช่วยเหลือทันที เพื่อให้หนูน้อยมีชีวิตรอด แต่แล้วด้วยความที่ยังเป็นเด็ก ภูมิต้านทานยังมีไม่มาก ซ้ำยังต้องฝ่าแดดลมร้อนมาหลายวัน และไม่มีอาหารประทังชีวิต ทำให้หนูน้อยมีโอกาสรอดเพียง 50% เท่านั้น นับว่าสร้างความเศร้าสลดให้กับคนเป็นแม่ และสะเทือนใจผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก

    และ ไม่ใช่เพียงหนูน้อย มิแฮก เกดิ ฟาราห์ เท่านั้น ที่ต้องเผชิญกับปัญหานี้ แต่ในขณะนี้ มีเด็กอีกหลายพันคนที่อยู่ในภาวะขาดสารอาหาร ต้องอยู่อย่างอดอยาก และไม่เพียงแค่นั้น ยังมีรายงานระบุอีกว่า ภาพของเด็กและผู้ใหญ่ที่อดอยากจนเสียชีวิต กลายเป็นภาพที่พบเห็นได้ปกติในพื้นที่แถบนี้เสียแล้ว

    อย่างไรก็ดี ล่าสุด นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ขอบริจาคเงินช่วยเหลือจากปลายประเทศทั่วโลก เพื่อช่วยเหลือประชาชนกว่า 12 ล้านคน ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แถบนี้ และประเมินปัญหาความแห้งแล้งอดอยากออกมาได้ว่า ในปีนี้ ประเทศแถบนี้ที่แห้งแล้งอยู่แล้วนั้น จะแห้งแล้งรุนแรงขึ้นอีกจนหนักที่สุดในรอบ 60 ปีเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ จึงขอให้ทุกประเทศร่วมมือกัน เพราะแค่เพียงสหรัฐฯ ประเทศเดียวคงไม่เพียงพอต่อการช่วยเหลือ ขณะที่อัตราการล้มป่วยและเสียชีวิตของเด็กและสัตว์ต่าง ๆ ในพื้นที่นี้ ก็ยิ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกวันแล้ว



    คลิปสุดสลด เด็กน้อยผอมโกรกใกล้ตายในเคนย่า

    คลิปสุดสลด เด็กน้อยผอมโกรกใกล้ตายในเคนย่า

    คลิปสุดสลด เด็กน้อยผอมโกรกใกล้ตายในเคนย่า


    -http://hilight.kapook.com/view/61260-

    http://hilight.kapook.com/view/61260
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2011
  7. นายเฉลิมพล

    นายเฉลิมพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +460
    ผ่านมาหลายวันก็ยังไม่มีเวลาพักผ่อนนะครับ

    ขอให้โชคดีนะครับ
     
  8. rung847

    rung847 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    819
    ค่าพลัง:
    +3,420
    สวัสดีครับคุณ sithiphong วานนี้ผมได้โอนเงินเข้าทำบุญกับเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งแล้วครับ 1,000 บาท

    เมื่อวันที่ 29/7/54 เวลา 20:11
    เข้าบัญชีเลขที่ 1890131288
    ประเภทรายการ TRANSFER
    จำนวนเงิน 1,000.00
    ลำดับที่ 191

    ยังไงเดี๋ยวผมสแกน ใบสลิบให้ดูอีกทีครับ
    ขอบคุณครับ
     
  9. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ผมทำบุญ เพิ่ม เจดีศรีชัยผาผึ้ง 500 บาท เมื่อวันที่ 29/07/54 คุณ sithiphong ส่งมาพร้อมกับ 2 รายการเดิมก็ได้ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    โมทนาบุญทุกประการครับ


    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ชาวบ้านอ่วม! หมูแพงกิโลละ160 บาท


    [​IMG]



    ชาวบ้านอ่วม! หมูแพง กิโลละ160 บาท (ไทยโพสต์)

    อ่วม! หมูแพงขึ้นอีก กก.ละ 20 บาท ดันหมูเนื้อแดงเพิ่มเป็นโลละ 160 บาท หลังโรคระบาดเล่นงาน ปริมาณออกสู่ตลาดหายไป 20%

    นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังหารือกับสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ถึงการแก้ปัญหาราคาเนื้อหมูแพง ว่า ได้รับการชี้แจงจากผู้เลี้ยงหมูถึงสาเหตุที่เนื้อหมูแพงมาจากการเกิดโรคระ บาด ทำให้ต้นทุนการเลี้ยงเพิ่มขึ้น และปริมาณหมูออกสู่ตลาดลดลงไป 20% ดังนั้น กระทรวงฯ จึงปรับราคาแนะนำจำหน่ายเนื้อหมูให้สะท้อนกับสถานการณ์ โดยราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มในภาคกลาง ปรับเพิ่มจากกิโลกรัม (กก.) ละ 70 บาท เป็น กก.ละ 79 บาท ส่วนภาคอีสานและเหนือให้ปรับเพิ่มอีก กก.ละ 4 บาท และภาคใต้ปรับเพิ่มได้ 6 บาท

    ส่วนราคาหมูเนื้อแดงปรับขึ้นอีก กก.ละ 20 บาท ในตลาดสดเขตกรุงเทพฯ และภาคกลาง ได้ปรับเพิ่มจาก กก.ละ 130 บาท เป็น 140-150 บาท ส่วนภาคอีสานและภาคเหนือ จาก กก.ละ 135 บาท เป็น 155 บาท และภาคใต้จาก กก.ละ 140 บาท เป็น 160 บาท พร้อมกับขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการขายราคานี้ไปจนถึงช่วงสาร์ทจีนในกลาง เดือน ส.ค.นี้ เพราะคาดว่า เมื่อถึงช่วงนั้นจะมีความต้องการใช้เนื้อหมูมาก หากไม่ขอความร่วมมือเลย อาจทำให้ราคาหมูเป็นสูงเกิน กก.ละ 81 บาทได้

    "การที่หมูตอนนี้มีราคาแพงขึ้นกว่าปกติ เพราะผลผลิตมีปริมาณลดลงจากปัญหาโรคระบาด ไม่ได้มาจากการลักลอบไปส่งออก เพราะหลังจากที่กรมการค้าภายในได้ออกมาตรการควบคุมการขนย้ายไปแล้ว ก็ทำให้ปริมาณการส่งออกลดลงไป ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อห้ามส่งออกอีก" นางพรทิวากล่าว

    นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวว่า ปริมาณหมูทั่วประเทศในขณะนี้ออกสู่ตลาดลดลงประมาณ 30% จากปกติที่ออกสู่ตลาดวันละ 38,000 ตัว เหลือ 32,000 - 33,000 ตัว เนื่องจากประสบปัญหาโรคระบาด ทำให้แม่หมูและลูกหมูตายจากโรคพีอาร์อาร์เอส และบีอีบี ซึ่งเป็นไวรัสชนิดที่ร้ายแรงในจีนและเกาหลีใต้ลุกลามเข้ามายังไทยในช่วงปีนี้




    ขอขอบคุณข้อมูลจาก -http://thaipost.net/news/300711/42515-

    [​IMG]



    .


    -http://hilight.kapook.com/view/61302-
    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    เตือนภัย“นกเตน”ทำฝนถล่มทั่วไทย

    ระวัง31 ก.ค.-4 ส.ค.ฟ้ารั่วทั่วทิศ หวั่นเหนือ-อีสาน-ตะวันออกวิกฤติน้ำท่วมฉับพลัน

    วันนี้ (30 ก.ค.) สำนักพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ประกาศเตือนภัย พายุโซนร้อน “นกเตน” บริเวณอ่าวตังเกี๋ย หรือที่ละติจูด 19.1 องศาเหนือ ลองจิจูด 106.5 องศาตะวันออก หรือทางตะวันออกเฉียงเหนือของจ.นครพนม ประมาณ 300 กิโลเมตร มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลาง 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางใต้ ด้วยความเร็ว 18 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่า พายุนี้จะขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนในคืนนี้ (30 ก.ค. ) ต่อจากนั้นจะเคลื่อนในแนวประเทศลาวและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนตามลำดับ ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยมีฝนตกเป็นบริเวณกว้างและตกหนักถึงหนักมาก หลายพื้นที่ กับมีลมแรง

    ขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยตามที่ลาดเชิงเขา ใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ราบลุ่ม ระมัดระวังอันตรายจากน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งที่จะเกิดขึ้น ดังนี้ วันที่ 30-31 ก.ค. บริเวณจ.หนองคาย บึงกาฬ นครพนม สกลนคร มุกดาหาร กาฬสินธุ์ ระนอง จันทบุรี และตราด วันที่ 1 ส.ค. บริเวณจ.หนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี หนองบัวลำภู เลย ชัยภูมิ ขอนแก่น น่าน พะเยา แพร่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ วันที่ 2-3 ส.ค. บริเวณจ.แม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา น่าน แพร่ ลำพูน ลำปาง สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิจิตร กำแพงเพชร และตาก ส่วนคลื่นลมในทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนจะมีกำลังแรง คลื่นสูง 2-4 เมตร ให้ชาวเรือระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งช่วงวันที่ 30 ก.ค. - 4 ส.ค.





    .

    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=561&contentID=154126-


    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 6 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 5 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong</td></tr></tbody></table>

    สวัสดีตอนเช้า วันอาิิทิตย์หรรษาครับ



    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    อุตุฯประกาศเตือน "นกเตน" เข้าไทยฝั่งอีสานบนทำฝนชุก-น้ำท่วม <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">30 กรกฎาคม 2554 12:37 น.</td></tr></tbody></table>
    [​IMG] <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="630"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="630"> [​IMG] </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> กรมอุตุฯ ออกประกาศเตือนภัยพายุ "นกเตน" ฉ.8 คาดขึ้นฝั่งเวียดนามคืนนี้ ก่อนเข้าลาวและภาคอีสานตอนบนของไทย ส่งผลไทยมีฝนชุกเพิ่ม หลายจังหวัดอีสาน ตะวันออก เหนือ ระวังน้ำท่วมฉับพลันช่วง 30 ก.ค.-3 ส.ค.นี้

    กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนภัยพายุ "นกเตน" ฉบับที่ 8 ลงวันที่ 30 ก.ค.54 ระบุเมื่อเวลา 05.00 น. วันนี้ (30 ก.ค.) พายุโซนร้อน “นกเตน” (NOCK-TEN) บริเวณชายฝั่งด้านตะวันตกของเกาะไหหลำ ประเทศจีน มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตก ด้วยความเร็วประมาณ 18 กิโลเมตร/ชั่วโมง คาดว่าพายุนี้จะเคลื่อนผ่านอ่าวตังเกี๋ย โดยจะขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนในคืนนี้ ต่อจากนั้นจะเคลื่อนเข้าสู่ประเทศลาว และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนตามลำดับ

    ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยมีฝนตกชุกหนาแน่นเพิ่มมากขึ้นและมีฝน ตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ จึงขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยตามที่ลาดเชิงเขา ใกล้ทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ราบลุ่ม ระวังอันตรายจากน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งที่จะเกิดขึ้น ดังนี้

    วันที่ 30-31 ก.ค.ในบริเวณ จ.หนองคาย บึงกาฬ นครพนม สกลนคร มุกดาหาร กาฬสินธุ์ ระนอง จันทบุรี และตราด

    วันที่ 1 ส.ค. ในบริเวณ จ.หนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี หนองบัวลำภู เลย ชัยภูมิ ขอนแก่น น่าน พะเยา แพร่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และเพชรบูรณ์

    วันที่ 2-3 ส.ค. ในบริเวณ จ.แม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา น่าน แพร่ ลำพูน ลำปาง สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิจิตร กำแพงเพชร และตาก

    ส่วนคลื่นลมในทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนจะมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-4 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณดังกล่าวระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 30 ก.ค.2554-4 ส.ค.นี้


    -http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9540000094280-

    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    'ม้าไทย'มรดกธรรมชาติของโลก


    [​IMG]




    มีบางประวัติศาสตร์ระบุว่า คนไทยทุกวันนี้อพยพมาจากมองโกเลีย สันนิษฐานได้ว่าการเดินทางมาต้องมีม้าเป็นพาหนะในการขนข้าวของเรื่อยมา ม้าที่อพยพมาจากมองโกเลีย คือประวัติศาสตร์ของชาติที่ช่วยชี้ชัดเพิ่มเติมว่าคนไทยสืบเชื้อสายมาจากดิน แดนแห่งนั้น ปัจจุบันประเทศไทยมีม้าที่คาดว่าน่าจะสืบเชื้อสายมาจากทางมองโกเลียหลงเหลือ อยู่ ที่รู้จักดีคือม้าลำปาง และม้าที่อยู่ตามป่าเขา ตามดอยต่าง ๆ ที่ใช้เป็นพาหนะขนผลิตผลทางการเกษตรและสัญจร

    สพ.ญ.ดร.ศิรยา ชื่นกำไร ประธานมูลนิธิม้าลำปาง และสัตวแพทย์โรงพยาบาลม้าโคราช จ.นครราชสีมา กล่าวว่า มูลนิธิม้าลำปางได้ริเริ่มโครงการสืบค้นและอนุรักษ์สายพันธ์ุม้าพื้นเมือง ขึ้นเมื่อปี 2546 โดยร่วมกับ ดร.Carla Carleton จากมิชิแกน สเตท ยูนิเวอร์ซิตี้ ประเทศสหรัฐอเมริกา และ ดร.Nanna Luthersson จาก Hestedoktorn ประเทศเดนมาร์ก ในเบื้องต้นเชื่อว่าม้าไทยที่อยู่ในลำปางและตามดอยต่าง ๆ มีลักษณะทางพันธุกรรมเป็นสายพันธุ์โบราณ มีถิ่นฐานจากบริเวณมณฑลยูนาน นอกจากนี้จากห้องปฏิบัติการทางพันธุศาสตร์ (The Veterinary Genetics Laboratory ,University of California Davis) ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ยืนยันเพิ่มเติมว่า ม้าพื้นเมืองของไทยเป็นสายพันธุ์โบราณเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่ใช่สายพันธุ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น จึงถือเป็นมรดกทางธรรมชาติอย่างหนึ่งของโลก (A world natural heritage) ม้าในทวีปเอเชียที่อาจมีสายพันธุ์สืบเนื่องกันได้แก่ม้าในประเทศมองโกเลีย

    สพ.ญ.ดร.ศิรยา กล่าวว่า ม้าเป็นสัตว์ที่มีผลเชื่อมโยงอารยธรรมของคนไทยและต่างชาติอย่างมีนัยสำคัญ ม้าไทยถือว่าจัดอยู่ในกลุ่มม้าที่มีความอดทนสูงเมื่อเทียบกับม้านอก และสู้ไม่ถอยดังประวัติศาสตร์ที่เจงกิสข่าน รบชนะไปทั่วภูมิภาคเบื้องหลังความสำเร็จคือม้ามองโกเลีย แม้จะเป็นม้าตัวเล็กถ้าลองได้ฝึกอย่างดีจะเป็นม้าเหมาะกับการใช้งานมาก โดยมีลักษณะสำคัญ คือ ตัวเล็กแต่อกหนา สามารถขึ้นลงเขาชัน เดินตามขอบตลิ่งได้ ถ้าเป็นม้านอกมาเดินลักษณะนี้จะล้ม ขาหัก วิ่งหนี และจุดเด่นคือม้าไทยกล้าจะลุยผ่านกองไฟได้ เทียบกับม้าเทศเพราะสัญชาตญาณของม้าจะกลัวไฟ แต่ในขณะที่คนส่วนใหญ่หรือคนที่ทำธุรกิจม้ากลับชื่นชมม้าตัวใหญ่ เพราะดูสง่าและคิดว่าแข็งแรง

    “รถม้าลำปาง ที่บางส่วนใช้ม้าลูกผสมเทียบกับความอดทน ม้าพื้นเมืองลากรถวิ่งรอบเมืองได้ 5 รอบแต่ม้าลูกผสมวิ่งได้แค่ 2 รอบก็ไม่ไหว เพราะม้าเหล่านี้ไม่มีภูมิต้านทานที่จะอยู่กับสภาพเมืองร้อน อ่อนแอต่อโรค แต่คนก็ยังคิดว่าม้าตัวเล็กไม่แข็งแรง อย่างนักท่องเที่ยวต่างชาติเห็นม้าตัวเล็กก็ไม่กล้าขึ้นรถม้า แต่หารู้ไม่ว่าเราใช้ม้าลูกผสมมาวิ่งบนถนนที่เป็นพื้นซีเมนต์ และไม่ได้เป็นม้าที่เหมาะกับเมืองไทย เท่ากับเราทรมานม้า” สพ.ญ.ดร.ศิรยา บอกเล่า

    อย่างไรก็ตามจากการสำรวจตัวเลขของม้าไทยคร่าว ๆ คาดว่าม้าไทยสายพันธุ์แท้ ๆ ทั้งประเทศ น่าจะหลงเหลือประมาณ 200 ตัว เพราะตลาดไม่ต้องการอีก ทั้งถนนหนทางที่เข้าไปถึงชนบท บทบาทของม้าถูกลดทอนลง จากการบอกเล่าของหมอศิรยา ว่าเมื่อปี 2547 เคยเข้าไปในชุมชนชาว จ.เชียงราย ที่ในหมู่บ้านเลี้ยงม้าไว้ใช้งาน 30-40 ตัว แต่ปัจจุบันเหลือไม่ถึง 10 ตัว ม้าที่หายไปเมื่อหมดความสำคัญถูกนำไปเป็นอาหาร

    ด้าน รศ.นพ.นภดล สโรบล สูตินรีแพทย์ผู้ศึกษาเรื่องม้า บอกเล่าภาพรวมม้าในประเทศไทยว่า ม้าประเทศไทยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ประเภทแรกเป็น ม้าไทย ตัวเล็กจากพื้นถึงหลังสูงประมาณ 130 ซม. มีสีน้ำตาลหน้าตาดูน่าสงสารไม่สง่า อยู่ตามดอยเป็นม้าใช้งาน รวมถึงม้าตัวเล็กที่อยู่ริมชายทะเลหัวหิน อีกกลุ่มเป็น ม้าใช้งานประเพณีบวช เช่น บวชนาค อยู่ ที่จ.ราชบุรี นครปฐม กลุ่มสุดท้ายเป็นม้าขี่เล่น ที่อยู่ในความครอบครองของคนรักม้าในภาคอีสาน และภาคเหนือ กลุ่มสุดท้ายเป็น ม้าเทศ นำเข้ามาจากต่างประเทศ เข้าใจว่ามาในสมัยที่ฝรั่งเข้ามาเมืองไทย ม้าพันธุ์นี้จะสูงตั้งแต่ 1.40-1.60 เมตร มีความสง่าและมีสีสันหลากหลาย และยังแบ่งเป็นกลุ่มม้าแข่ง โดยนำพ่อพันธุ์มาจากต่างประเทศซึ่งมีราคานับ 10 ล้านบาท อีกกลุ่มหนึ่งเป็นม้ากีฬาและม้าขี่เล่น ม้าจากต่างประเทศ ราคาค่อนข้างแพงถ้าซื้อในต่างประเทศตกราคาตัวละ 100,000 บาท พอมาถึงเมืองไทยเพิ่มขึ้นเป็น 500,000 บาท ม้าที่ได้รับการฝึกฝนมาดีแล้วราคาเหยียบ 10 ล้าน ม้าพวกนี้ผสมพันธุ์กันขายลูกได้ตัวละ 200,000 บาท ขณะที่ ม้าไทยสูง 1.10-1.15 เมตร ราคาซื้อขายแค่ 20,000 บาท

    “อนาคตม้าไทยมืดสนิทไม่มีใครเลี้ยงม้าไทย คอกม้าพยายามกระเสือกกระสนเลี้ยงม้าเลือดนอกถ้าปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่น นี้ต่อไปม้าไทยจะอยู่แค่ในสวนสัตว์” ผู้ศึกษาเรื่องม้าระบุ

    และเพื่อการสืบค้นดีเอ็นเอของม้าไทยให้สรุปแน่ชัด โดยต้องทำการเลี้ยงม้าที่เกิดจากพ่อพันธ์ุแม่พันธ์ุแท้ แล้วส่งไปตรวจดีเอ็นเอยังสหรัฐอเมริกาเพื่อรับรองผลอย่างเป็นทางการ ซึ่งต้องใช้เวลายาวนานถึง 4 ปีและใช้งบประมาณจำนวนหนึ่ง ล่าสุดมูลนิธิม้าลำปางได้รับการสนับสนุนงบประมาณด้านการศึกษาสืบค้นและ อนุรักษ์สายพันธุ์ม้าพื้นเมืองไทยปีละ 500,000 บาท จาก บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท เฟอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด และกลุ่มบริษัท บี.กริม พร้อมกันนี้ได้จัดทำภาพยนตร์ในระบบสามมิติครั้งแรกของประเทศไทยเกี่ยวกับ “การเดินทางของม้าและมนุษยชาติ จากมองโกเลียสู่ประเทศไทย” เป็นครั้งแรก เพื่อให้คนตระหนักถึงความสำคัญของม้าไทย

    ทั้งนี้ระหว่างการทำงาน สืบค้นสายพันธุ์นี้ได้เห็นว่า มีการทำลายสายพันธุ์ด้วยการผสมม้าไทยข้ามสายพันธุ์อื่นตามความต้องการของ ตลาดและจำนวนม้าไทยพื้นเมืองแท้ ๆ ก็ลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังพบว่าม้าลำปางและจังหวัดใกล้เคียงมีปัญหาสุขภาพเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เกิดจากขาดความรู้ในการเลี้ยงดู รวมทั้งนิยมผสมข้ามสายพันธุ์โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งเท่ากับทำลายหลักฐานทางประวัติศาสตร์สำคัญ ถือว่าเป็นมรดกไทย และอาจจะเป็นมรดกโลกในอนาคตนั้นจึงเป็นที่มาของการจัดตั้งกองทุนม้าลำปาง ดำเนินงานโดยผ่านมูลนิธิม้าลำปาง

    ถ้าใครสนใจอยากพิทักษ์ม้าไทย ไม่ว่าจะเป็นงานด้านส่งเสริมสวัสดิภาพม้าผ่านความรู้ที่ถูกต้อง หรือการสืบค้นสายพันธุ์มรดกไทย มรดกโลก ติดต่อร่วมขบวนการได้ที่ ธ.กสิกรไทย สุขุมวิท 101 เลขที่บัญชี 035-03122-6 ชื่อบัญชี มูลนิธิม้าลำปาง.


    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=522&contentId=154011-

    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    พิษ“นกเตน”ทำฝนตกหนักทั่วประเทศ


    [​IMG]




    อุตุฯเตือนประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยง ภัยตามที่ลาดเชิงเขา ใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ราบลุ่ม ระมัดระวังอันตรายจากน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งที่จะเกิดขึ้นระหว่าง 31 ก.ค.-3ส.ค.
    วันนี้ (31 ก.ค.) เมื่อเวลา 04.00 น. สำนักพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศเตือนภัย"พายุโซนร้อน “นกเตน” ฉบับที่ 12 ระบุว่าพายุดังกล่าวได้ขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนแล้ว และมีศูนย์กลางบริเวณประเทศลาวตอนบนหรือที่ละติจูด 19.1 องศาเหนือ ลองจิจูด 104.5 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 75 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตก ด้วยความเร็วประมาณ 18 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่า พายุนี้จะเคลื่อนตัวในแนวประเทศลาวและทางตอนบนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ ประเทศไทยตามลำดับ ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยมีฝนตกเป็นบริเวณกว้างและมีฝนตกหนักถึงหนัก มากหลายพื้นที่ กับมีลมแรง จึงขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยตามที่ลาดเชิงเขา ใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ราบลุ่ม ระมัดระวังอันตรายจากน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งที่จะเกิดขึ้น ดังนี้
    วันที่ 31 กรกฎาคม 2554 ในบริเวณจังหวัดหนองคาย บึงกาฬ นครพนม สกลนคร มุกดาหาร กาฬสินธุ์ เชียงราย น่าน พะเยา แพร่ ระนอง จันทบุรี และตราด วันที่ 1 สิงหาคม 2554 ในบริเวณจังหวัดหนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี หนองบัวลำภู เลย ชัยภูมิ ขอนแก่น น่าน พะเยา แพร่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และเพชรบูรณ์วันที่ 2-3 สิงหาคม 2554 ในบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา น่าน แพร่ ลำพูน ลำปาง สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิจิตร กำแพงเพชร และตาก

    ส่วนคลื่นลมในทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนจะมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-4 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณดังกล่าวระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 31 ก.ค.-4 ส.ค. นี้ไว้ด้วย

    พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.

    ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงราย น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ ตาก กำแพงเพชร สุโขทัย พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศา ลมตะวันตก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนเป็นบริเวณกว้าง ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง บริเวณจังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม สกลนคร มุกดาหาร และอำนาจเจริญ กับมีลมแรงทางตอนบนของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศา อุณหภูมิสูงสุด 28-31 องศา ลมตะวันตก ความเร็ว 20-35 กม./ชม.

    ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดสุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา กาญจนบุรี และราชบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศา ลมตะวันตก ความเร็ว 15-35 กม./ชม.

    ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่งกับมีลมแรง บริเวณจังหวัดระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-31 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร

    ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

    ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดระนอง พังงา และ ภูเก็ต อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศา อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-45 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-4 เมตร

    กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ กับมีลมแรง อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.




    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=562&contentId=154142-

    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=562&contentId=154142
    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    เวียดอพยพ3แสนรับ'นกเต็น'-ญี่ปุ่นอ่วม

    เวียดนาม อพยพ 3แสนคน รับมือ 'นกเต็น' ด้านฟิลิปปินส์ 7 แสนคน ได้รับผลกระทบ ขณะที่ญี่ปุ่นอ่วม น้ำท่วมหนักหลายพื้นที่ พบตายแล้ว 1

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน วันเสาร์ที่ 30 ก.ค.54 ว่า ทางการเวียดนามสั่งการให้อพยพประชาชน ประมาณ 3 แสนคน ในพื้นที่ชายฝั่งทางตอนเหนือของประเทศ ออกจากบ้านเรือน ไปยังที่ปลอดภัย เพื่อป้องกันอันตรายจากพายุ "นกเต็น" ที่เคลื่อนตัวจากฟิลิปปินส์เข้าสู่แผ่นดินใหญ่

    นายเหงียน ซวน ฮุง เจ้าหน้าที่ทางการด้านการรับมอืพิบัติภัยแห่งจังหวัดเง อัน ทางตอนเหนือของเวียดนามเปิดเผยว่า ทางการท้องถิ่นได้เริ่มอพยพประชาชน 1.35 หมื่นคนออกจากบ้านเรือนที่อยู่ริมชายฝั่งและ อีก 3 หมื่นคนไปยังจังหวัดตรันห์ ฮา เพื่อความปลอดภัย สำนักงานอุตุนิยมวิทยาเวียดนาม ประเมินว่า พายุนกเต็น ที่ มีความเร็วลมสูงสุด 102 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะเคลื่อนเข้าสู่ชายฝั่งเวียดนามในช่วงเย็นวันเสาร์ หลังจากได้สร้างความเสียหายในประเทศฟิลิปปินส์ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 50 รายในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

    ฟิลิปปินส์ 7 แสนคนได้รับผลกระทบ

    พายุนกเต็นที่ก่อตัวในมหาสมุทรแปซิฟิกได้เคลื่อนเข้าสู่ฟิลิปปินส์ และ ก่อให้เกิดน้ำท่วม-แผ่นดินถล่มในพื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคไบคอลบนเกาะลูซอนในช่วงสัปาดห์ที่ผ่านมา
    ทาง การฟิลิปปินส์ประเมินความเสียหายของสาธารณูปโภค และ พื้นที่การเกษตร ในประเทศสูงถึง 1,460 ล้านเปโซ (ประมาณ 1,022 ล้านบาท) และได้ระดมหน่วยกู้ภัย รวมทั้งเสียงอาหาร เวชภัณฑ์ รวมทั้งเครื่องนุ่งห่มเข้าข่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากพายุนกเต็น ประมาณ 7 แสนคน
    นอกจากนั้น ฟิลิปปินส์ยังคงจับตาพายุลูกใหม่ที่ชื่อ "มุยฟา" ที่ก่อตัวในทะเลและเคลื่อนตัวเข้าสู่ชายฝั่งทางตอนเหนือของประเทศ ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 29 ก.ค.54
    ล่าสุด มีรายงานว่า พายุมุยฟา มีความเร็วลมสูงสุดคงที่ที่ระดับ 95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และ อาจเพิ่มความแรงลมขึ้นเป็น 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงระหว่างที่อยู่ในทะเล แต่ไม่เชื่อว่า พายุมุยฟาจะสร้างความเสียหาย เช่นแผ่นดินถล่ม ในหลายพื้นที่ของประเทศ เช่นเดียวกับพายุนกเต็น

    เฒ่าดับคารถสังเวยน้ำท่วมญี่ปุ่น

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานการเกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง ในพื้นที่ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น ส่งผลให้ทางการต้องอพยพประชาชนกว่า 4 แสนคน ไปยังพื้นที่ปลอดภัย โดยพื้นที่หลายแห่งในจังหวัดนิกิกาตะ และ ฟุกุชิมะ เผชิญกับฝนตกหนักเป็๋นสถิติใหม่ ทำให้เกิดน้ำท่วมและแผ่นดินถล่มในบางพื้นที่เสี่ยง
    ขณะเดียวกัน หมู่บ้านบางแห่งกลายเป็นเกาะที่ล้อมรอบไว้ด้วยน้ำ ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเพราะรถยนต์ไม่สามารถเข้าถึง
    ทางการได้อพยพประชาชนประมาณ 4 แสนคนใน 20 เขตเทศบาลใน 2 จังหวัดดังกล่าว ไปยังพื้นที่ปลอดภัยหลังเกิดฝนตกหนักระดับ 500 มิลลิเมตรในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา และมีรายงานผู้เสียชีวิตจากเหตุน้ำท่วมในครั้งนี้ 1 รายเป็นชายวัย 67 ปี ที่ถูกพบกลายเป็นศพที่ติดอยู่ในรถคันหนึ่งซึ่งลอยไปตามกระแสน้ำที่หลากขึ้น มาจากแม่น้ำสายหนึ่งในเมืองโทกามาชิ
    สำนักงานอุตุนิยมวิทยา ญี่ปุ่น คาดว่า จะเกิดฝนตกหนักต่อไปในพื้นที่ทาบตอนกลางและตะวันออกของประเทศในช่วงสุด สัปดาห์ต่อเนื่องถึงสัปดาห์หน้า


     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    ถมทะเลบางขุนเทียน ตัวเร่งกทม.จมบาดาล : รายงาน โดยโต๊ะรายงานพิเศษ

    "ถมทะเลกรุงเทพฯ" หนึ่งในเมกะโปรเจกท์ของพรรคเพื่อไทยที่ประกาศเป็นนโยบายพรรคในช่วงหาเสียง เลือกตั้ง...ลือกันว่าเป็นไอเดียบรรเจิด "อิมพอร์ต" มาจาก "นายห้างดูไบ" เพื่อให้พรรค "เพื่อไทยทำ" นั้น...เชื่อว่าคงไม่ง่ายเหมือน "การขึ้นค่าแรง 300 บาท" แน่ๆ


    "เมืองใหม่ริมทะเล" อาจจะต้องกลายเป็นฝันค้างเมื่อบรรดานักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทั่วฟ้าเมืองไทย กำลังผนึกกำลังคัดค้านกันเต็มอัตราศึก ขณะที่นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่า โครงการดังกล่าว ที่จะนำเงินภาษีจำนวนมหาศาลของประชาชนไปถมทะเลนั้นจะคุ้มค่าหรือไม่? รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผอ.ศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร หนึ่งในนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ผู้ศึกษาวิจัยพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทยมานาน ฟันธงว่า การจะถมทะเลสร้าง เมืองใหม่ไม่น่าจะคุ้มค่าการลงทุน!! พร้อมอธิบายว่า ตลอดแนวชายฝั่งบางขุนเทียนกินเนื้อที่ลึกลงไปในทะเล 10 กิโลเมตร เป็นระยะทาง 30 กิโลเมตร รวมเนื้อที่ 300 ตารางกิโลเมตร หรือราว 1.8 แสนไร่ และหากต้องการถมเต็มพื้นที่ต้องใช้ทรายไม่น้อยกว่า 4,000 ล้านคิว คำนวณเป็นเม็ดเงินการลงทุนเฉพาะการถมทรายเพียงอย่างเดียวต้องใช้เงินทุนขั้น ต่ำไม่น้อยกว่า 4 แสนล้านบาท
    "เนื้อที่เกือบ 2 แสนไร่ เทียบแล้วใหญ่โตเกินครึ่งของ จ.สมุทรสาคร การถมทะเลเพื่อ สร้างเมืองใหม่เลียนแบบสิงคโปร์และดูไบนั้น ต้องถมให้สูงกว่าระดับน้ำทะเลอย่างน้อย 5 เมตร ซึ่งชายทะเลบางขุนเทียนห่างฝั่งไป 10 กิโลเมตร มีความลึกอยู่ที่ 6 เมตร หมายความต้องถมทรายสูงถึง 11 เมตร ซึ่งต้องใช้ทรายไม่น้อยกว่า 4,000 ล้านคิวถึงจะถมได้หมด ที่สำคัญจะหาทรายจำนวนมหาศาลมาจากไหน ลำพังทรายที่มีอยู่ในประเทศคงไม่พอแน่" รศ.ดร.เสรีกล่าว
    รศ.ดร.เสรี ยังอธิบายถึงลักษณะทางกายภาพของดินบริเวณชายฝั่งทะเลบางขุนเทียนว่า ดินบริเวณนี้เป็นดินโคลน เกิดจากตะกอนแม่น้ำ มีความอ่อนตัวสูง หากมีการถมดินก็จะเกิดการยุบตัวลงไปอีก โดยในแต่ละปีแม้ไม่มีการถมดินเพิ่ม ยังเกิดการยุบตัวอยู่แล้วเฉลี่ย 5 เซนติเมตร หากนำทรายหรือดินจากพื้นที่อื่นมาถมจะยิ่งเพิ่มน้ำหนักเร่งให้เกิดการยุบตัว ลงไปอีก มีการคาดการณ์กันว่าหลังถมพื้นที่แล้วน่าจะมีอัตราการยุบตัวสูงถึง 10 เซนติเมตรต่อปี นั่นหมายความว่าหากมีการถมทะเลสร้าง เมืองใหม่บริเวณนี้จริงๆ จะต้องมีการถมทรายเสริมทุกๆ ปี เฉลี่ยอย่างน้อยปีละ 5 เซนติเมตร เท่ากับว่าต้องใช้ทรายอีกหลายร้อยล้านคิวต่อปี แล้วเงินทุนมหาศาลจะหามาจากไหน ?!!
    ส่วนผลกระทบต่อระบบนิเวศของอ่าวไทยหลังถมทะเลแล้ว รศ.ดร.เสรี วิเคราะห์ว่า พื้นที่ชายฝั่งบางขุนเทียน ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำ มีคลองสำคัญถึง 5 คลองที่ต้องไหลลงทะเล คือ คลองสนามชัย คลองสรรพสามิต คลองภาษีเจริญ คลองมหาสวัสดิ์ และคลองบางใหญ่ ซึ่งคลองเหล่านี้ถูกใช้ในการระบายน้ำเหนือลงทะเล หากมีการถมบริเวณนี้จริง ก็จะเป็นการขวางทางน้ำ จะเกิดปัญหาน้ำท่วมตามมา
    "เมื่อถึงฤดูน้ำเหนือไหลหลากลงมา กรุงเทพมหานครและปริมณฑลก็ต้องจมบาดาล ขณะเดียวกันพื้นที่ที่ถมทะเลก็ จะไปขวางกระแสน้ำทะเล เกิดปัญหาสายน้ำเปลี่ยนทิศทางส่งผลกระทบกับพื้นที่ใกล้เคียง โดยเฉพาะชายฝั่งอ่าวไทยตอนเหนือ ไล่ไปตั้งแต่ จ.สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และ จ.จันทบุรี ส่วนทางใต้ไล่ตั้งแต่ จ.สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี และ จ.ประจวบคีรีขันธ์ จะได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำกัดเซาะตลิ่ง นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาในทะเลเสียหาย จะเกิดความสูญเสียอย่างมหาศาลจนประเมินค่าไม่ได้" รศ.ดร.เสรี วิเคราะห์
    ขัดแย้งกับแนวคิดของการถมทะเลบริเวณ ชายฝั่งบางขุนเทียน ซึ่งหวังจะใช้เป็นแนวทางแก้ปัญหาน้ำทะเลกันเซาะชายฝั่ง และแก้ปัญหาน้ำทะเลรุกท่วมพื้นที่กรุงเทพมหานครนั้น รศ.ดร.เสรี ยืนยันว่า การถมทะเลสร้าง เมืองใหม่ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด แต่ยังมีอีกหลายวิธี อย่างการแก้ปัญหาน้ำทะเลรุกผืนดิน ต้องมีการปลูกป่าชายเลน เพื่อสร้างระบบนิเวศชายฝั่งทะเลตามธรรมชาติให้ได้อย่างน้อยห่างฝั่งออกไป 300 เมตร ซึ่งเมื่อมีป่าชายเลนมาขวางความแรงของกระแสคลื่นก็จะสามารถแก้ปัญหาการกัด เซาะพื้นที่ชายฝั่งได้โดยไม่กระทบกับระบบนิเวศ รวมถึงวิถีชีวิตของประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นด้วย
    นโยบาย "ถมทะเลกรุงเทพฯ" ยังถูกมองว่า อาจมีวาระซ่อนเร้นที่ต้องการดึงดูดนักลงทุนไหลบ่ามาลงทุนสร้างบ้านหรูริม ทะเลนั้น รศ.ดร.เสรีมองว่า เท่าที่ทราบเบื้องต้นหากมีการถมทะเลสร้าง เมืองใหม่แล้วจะมีการนำพื้นที่ไปจัดสรรขาย โดยมีการตั้งราคาไว้ประมาณไร่ละ 20 ล้านบาท ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมากเมื่อเทียบกับสภาพพื้นที่ซึ่งคงหาผู้ซื้อได้ลำบาก แถมสภาพภูมิทัศน์น้ำทะเลคงไม่สวยงามใสเหมือนบ้านหรูริมทะเลที่ประเทศ สิงคโปร์หรือดูไบ
    "ชายทะเลบางขุนเทียนเป็นดินโคลนต่างจาก ทะเลที่เป็นมารีน่า หรือทะเลที่พื้นดินเป็นทราย ซึ่งน้ำทะเลจะสวยใส แต่น้ำทะเลที่นี่คงจะขุ่น แล้วสมมติว่าเมื่อมีการถมทะเลสร้าง เมืองใหม่เสร็จแล้ว ใครจะมาซื้อ ก็คงขายไม่ได้ และอาจกลายเป็นเมืองร้าง แล้วเม็ดเงินลงทุนหลายแสนล้านบาท ใครจะรับผิดชอบ" รศ.ดร.เสรี ตั้งคำถาม
    สำหรับชาวบ้านชายฝั่งทะเลบางขุนเทียน ซึ่งได้รับผลกระทบจากน้ำทะเลกัดเซาะส่วนใหญ่ ไม่อยากให้มีการถมทะเลเพื่อสร้างเมืองใหม่ เพราะกลัวว่าจะเกิดผลกระทบทางธรรมชาติมาซ้ำเติมอีก
    นาย ประสูติ ช้างเจริญ ประธานชุมชนชายทะเลบางขุนเทียน บอกว่า จากการพูดคุยกับชาวบ้านในพื้นที่ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยหากจะมีการถมทะเลเพื่อ สร้างเมืองใหม่จริง และไม่เชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้จริง อยากให้ภาครัฐลงมาแก้ปัญหาน้ำทะเลรุกพื้นที่ให้ได้อย่างแท้จริงมากกว่า ตอนนี้ที่ดินจมทะเลไปหลายตารางกิโลเมตรแล้ว แต่หากภาครัฐยังนิ่งเฉย ไม่มีการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม เชื่อว่าอีกไม่กี่ปีพื้นที่ชายฝั่งทะเลบางขุนเทียนคงกลายเป็นทะเลแทบทั้งหมด


    -http://www.komchadluek.net/detail/20110731/104447/%E0%B8%96%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%A1.%E0%B8%88%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A5.html-



    http://www.komchadluek.net/detail/20110731/104447/ถมทะเลบางขุนเทียนเร่งกทม.จมบาดาล.html




    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    หน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ (วันเสาร์ที่30 ก.ค.)

    ตอนที่ลูกๆ อายุเพียงไม่กี่ขวบนั้น ผมและภรรยาได้พาพวกเขาไปเที่ยวที่สวนสาธารณะอันร่มรื่น ขณะที่นั่งรับประทานอาหารกันอย่างมีสุขก็มีเด็กผู้ชายเนื้อตัวมอมแมมมายืน อยู่ใกล้และมองด้วยสายตาละห้อย ผมคิดว่าเขาคงหิวจึงกระซิบถามลูกว่า “อยากจะแบ่งขนมให้หรือเปล่า ในรถยังพอมีขนมอยู่นะ”

    ลูกๆ มองหน้ากันแล้วยิ้มกว้างจนเห็นฟันซี่น้อยๆ ที่น่ารัก ก่อนจะตกลงกันว่าแบ่งขนมให้หนึ่งกล่อง ผมจึงพาไปที่รถที่จอดอยู่ไม่ไกล เมื่อลูกๆ ได้นำขนมไปยื่นให้เด็กผู้ชายคนนั้น ผมก็เห็นมิตรภาพที่ใสซื่อและสื่อถึงกันอย่างจริงใจผ่านแววตา นั่นคือมหานทีที่ไหลเนื่องนำความชุ่มฉ่ำมาสู่ใจผม ขนมเพียงหนึ่งกล่องให้ “ความสุข” ทั้งผู้รับและผู้ให้ ทั้งเด็กน้อยและผู้ใหญ่ เป็นผลตอบแทนทางใจที่เปิดดวงตาให้มองเห็น “อัศจรรย์แห่งความเมตตา”
    ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมและภรรยาพยายามอย่างยิ่งที่จะปลูกฝังสิ่งดีๆ ให้ลูกในทุกๆ เรื่อง ทั้งการอบรมสั่งสอน ปฏิบัติเป็นตัวอย่างให้เห็น และเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาทำในสิ่งที่สร้างสรรค์
    แต่ไม่ว่าจะสอน เรื่องใดก็ตาม เรื่องความเมตตาจะต้องมีสอดแทรกอยู่ด้วยเสมอ เพราะเราทั้งสองคนเชื่อว่าความเมตตาเป็นรากฐานสำคัญในจิตใจ ยิ่งพวกเขามีฉันทะและความปีติยินดีที่จะเป็น “ผู้ให้” มากเท่าใด ก็ยิ่งปิดช่องทางการกระทำที่เบียดเบียนชีวิตอื่นเพราะ “เอาแต่ได้” มากเท่านั้น
    อย่างไรก็ตาม ความเมตตาอย่างเดียวคงจะไม่พอ เพราะถ้ามีเมตตาแต่ขาดปัญญาก็จะกลายเป็นคนโง่ที่ใจดี ชอบช่วยเหลือคนแบบผิดๆ วางท่าทีต่อผู้คนอย่างผิด สุดท้ายก็จะถูกชักนำหรือพาตัวเองถลำไปในทางผิด
    ผมและภรรยาจึงมุ่งเน้นการสอนลูกๆ ทั้งเรื่องความเมตตาและการใช้ปัญญาพิจารณาเรื่องราวต่างๆ ไปพร้อมกันเสมอ ยังเคยพูดกันแบบทีเล่นทีจริงว่า “เราเป็นพ่อแม่ที่สอนทุกอย่างที่ขวางหน้า และไม่ได้สอนด้วยการสอนเท่านั้น บางเวลาก็สอนด้วยการไม่สอนด้วย” บางเรื่องผมและภรรยาจะวางเฉยให้ลูกๆ ได้เรียนรู้โลกด้วยตัวเอง แต่เมื่อใดก็ตามที่เห็นว่าพวกเขากำลังจะพลาดเพราะคิดผิด ก็จะชี้นำไปในทางที่ถูกต้อง หรือแม้แต่เรื่องที่พวกเขาอาจจะเคยผิดพลาดบ้าง ตามประสาเด็ก ก็ให้ใช้ความผิดพลาดนั้นเป็นบทเรียนที่จะพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น ฉลาดคิดยิ่งขึ้น
    “การเปิดโลก” ในมิติที่หลากหลายให้ลูกๆ เห็นในเวลาที่เหมาะสมเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ไม่อาจปฏิเสธหรือละเลยได้ ดังนั้นต่อให้ลูกๆ ก้าวหน้าบนเส้นทางการทำงานหรือมีสถานะสำคัญในสังคมเมื่อเติบโตขึ้น ผมก็ยังจะสอนลูกๆ ถ้าเห็นว่าพวกเขากำลังจะก้าวถลำไปในทางผิดหรือสำคัญตัวเองอย่างผิดๆ
    เพราะว่านี่คือ “หน้าที่” ของผมในฐานะ “พ่อ” คนเป็นพ่อมีหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่นอกจากต้องปกปักรักษาลูกให้รอดพ้นจาก ภยันตรายทั้งปวงและเลี้ยงดูให้เติบโตอย่างสมบูรณ์แล้ว ยังจะต้องเลี้ยงจิตใจของลูกให้เป็น “มนุษย์” ที่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดีและมีคุณธรรม ไม่ใช่ยิ่งเติบโตยิ่งอันตราย ยิ่งมีความรู้ยิ่งเจ้าเล่ห์ ยิ่งเก่งยิ่งร้าย
    ผมสอนลูกๆ ให้กลัวความผิดบาปมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก และชี้ให้เห็นถึงความเสียหายที่จะตามมาเมื่อเอาเปรียบ คดโกงหรือทำร้ายคนอื่น ซึ่งก็ได้ผลเป็นอย่างมากเพราะคำสอนเหล่านั้นฝังลึกในจิตใจพวกเขามาจนถึงทุก วันนี้
    ปัจจุบันมีข่าวเศร้าจำนวนมากที่ปรากฏผ่านสื่อ บรรดาเด็กและเยาวชนก่อคดีอุกฉกรรจ์ ทั้งการเข้าไปพัวพันกับยาเสพติด การล่วงละเมิดทางเพศ ไปจนถึงการทำร้ายเข่นฆ่าคู่อริต่างสถาบัน ซึ่งทั้งหมดนั้นคนเป็นพ่อแม่คงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้
    ยิ่งข้ออ้างที่ว่า “ไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนลูกเพราะต้องทำงานหาเงิน” ยิ่งฟังไม่ขึ้น
    ใน ฐานะคนที่ทำงานมาแล้วกว่าครึ่งชีวิต ผมไม่เคยคิด ไม่เคยเชื่อว่ามีงานอะไรที่ต้องใช้เวลามากถึงขั้นไม่เหลือเวลาให้ลูก หรือสำคัญมากไปกว่าความอบอุ่นที่ต้องมีให้ลูก
    เวลาในแต่ละวันสามารถบริหารจัดการได้ โดยเฉพาะในยุคเทคโนโลยีทางการสื่อสารที่ก้าวไกล คนเป็นพ่อแม่ยังใกล้ชิดลูกได้เสมอ ถ้ารู้จักใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
    บางเวลาที่ต้องห่าง กัน เสียงบอกรักจากใจพ่อผ่านโทรศัพท์มือถืออาจเปลี่ยนความว้าเหว่ในใจลูกให้กลับ มั่นคง ถ้อยความแห่งอาทรของแม่ผ่านช่องทางออนไลน์อาจช่วยให้ลูกที่คลอนแคลนหวั่นไหว ไม่ถลำออกนอกทางเพราะขาดความยั้งคิด หรือตกเป็นเหยื่อสิ่งยั่วเร้าในสังคมที่มีอันตรายอยู่รอบด้าน
    ทั้งหลาย ทั้งปวงนั้นไม่มีสิ่งใดจะแนบแน่นเท่าสัมผัสทางกายที่ถ่ายทอดจากใจพ่อแม่ใน เวลาที่อยู่ใกล้ชิดกัน โดยเฉพาะ “อ้อมกอดที่มีให้ลูก”
    ผมเชื่อมั่นว่าเด็กๆ จะไม่พึ่งยาหลอนเพื่อล่องลอยเคว้งคว้างไปในโลกแห่งความฝัน ถ้าหากว่าในโลกความจริงมีพ่อกับแม่อยู่เคียงข้าง คอยรับฟังความคิดความรู้สึกของพวกเขา
    เด็กๆ จะไม่ล่วงละเมิดหรือทำร้ายเข่นฆ่าใคร ถ้าความดีงามในใจของพวกเขาไม่ถูกฆ่า และไม่มีใครอีกแล้วที่จะฆ่าความดีงามในใจเด็กได้มากไปกว่าพ่อแม่ที่ทิ้ง ขว้าง.... ไม่ใส่ใจไยดีในชีวิตของพวกเขา
    สังคมไทยเวลานี้กำลังเสื่อมโทรมถึงขีดสุด และคงต้องเสื่อมทรามไม่สิ้นสุด ถ้าคนเป็นพ่อแม่ขาดความเมตตาต่อลูก ละทิ้งหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องเลี้ยงดูลูกให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ เพื่อเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติต่อไป

    โดย...ฤทธิพร อินสว่าง

    -http://www.komchadluek.net/detail/20110730/104356/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C.html-






    หน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ : พึ่งตนพึ่งธรรม โดย ฤทธิพร อินสว่าง

    ตอนที่ลูกๆ อายุเพียงไม่กี่ขวบนั้น ผมและภรรยาได้พาพวกเขาไปเที่ยวที่สวนสาธารณะอันร่มรื่น ขณะที่นั่งรับประทานอาหารกันอย่างมีสุขก็มีเด็กผู้ชายเนื้อตัวมอมแมมมายืน อยู่ใกล้และมองด้วยสายตาละห้อย ผมคิดว่าเขาคงหิวจึงกระซิบถามลูกว่า “อยากจะแบ่งขนมให้หรือเปล่า ในรถยังพอมีขนมอยู่นะ”


    ลูกๆ มองหน้ากันแล้วยิ้มกว้างจนเห็นฟันซี่น้อยๆ ที่น่ารัก ก่อนจะตกลงกันว่าแบ่งขนมให้หนึ่งกล่อง ผมจึงพาไปที่รถที่จอดอยู่ไม่ไกล เมื่อลูกๆ ได้นำขนมไปยื่นให้เด็กผู้ชายคนนั้น ผมก็เห็นมิตรภาพที่ใสซื่อและสื่อถึงกันอย่างจริงใจผ่านแววตา นั่นคือมหานทีที่ไหลเนื่องนำความชุ่มฉ่ำมาสู่ใจผม ขนม เพียงหนึ่งกล่องให้ “ความสุข” ทั้งผู้รับและผู้ให้ ทั้งเด็กน้อยและผู้ใหญ่ เป็นผลตอบแทนทางใจที่เปิดดวงตาให้มองเห็น “อัศจรรย์แห่งความเมตตา”
    ตลอด ช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมและภรรยาพยายามอย่างยิ่งที่จะปลูกฝังสิ่งดีๆ ให้ลูกในทุกๆ เรื่อง ทั้งการอบรมสั่งสอน ปฏิบัติเป็นตัวอย่างให้เห็น และเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาทำในสิ่งที่สร้างสรรค์
    แต่ไม่ ว่าจะสอนเรื่องใดก็ตาม เรื่องความเมตตาจะต้องมีสอดแทรกอยู่ด้วยเสมอ เพราะเราทั้งสองคนเชื่อว่าความเมตตาเป็นรากฐานสำคัญในจิตใจ ยิ่งพวกเขามีฉันทะและความปีติยินดีที่จะเป็น “ผู้ให้” มากเท่าใด ก็ยิ่งปิดช่องทางการกระทำที่เบียดเบียนชีวิตอื่นเพราะ “เอาแต่ได้” มากเท่านั้น
    อย่างไรก็ตาม ความเมตตาอย่างเดียวคงจะไม่พอ เพราะถ้ามีเมตตาแต่ขาดปัญญาก็จะกลายเป็นคนโง่ที่ใจดี ชอบช่วยเหลือคนแบบผิดๆ วางท่าทีต่อผู้คนอย่างผิด สุดท้ายก็จะถูกชักนำหรือพาตัวเองถลำไปในทางผิด
    ผมและภรรยาจึงมุ่งเน้นการสอนลูกๆ ทั้งเรื่องความเมตตาและการใช้ปัญญาพิจารณาเรื่องราวต่างๆ ไปพร้อมกันเสมอ
    ยังเคยพูดกันแบบทีเล่นทีจริงว่า “เราเป็นพ่อแม่ที่สอนทุกอย่างที่ขวางหน้า และไม่ได้สอนด้วยการสอนเท่านั้น บางเวลาก็สอนด้วยการไม่สอนด้วย”
    บาง เรื่องผมและภรรยาจะวางเฉยให้ลูกๆ ได้เรียนรู้โลกด้วยตัวเอง แต่เมื่อใดก็ตามที่เห็นว่าพวกเขากำลังจะพลาดเพราะคิดผิด ก็จะชี้นำไปในทางที่ถูกต้อง
    หรือแม้แต่เรื่องที่พวกเขาอาจ จะเคยผิดพลาดบ้างตามประสาเด็ก ก็ให้ใช้ความผิดพลาดนั้นเป็นบทเรียนที่จะพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น ฉลาดคิดยิ่งขึ้น
    “การเปิดโลก” ในมิติที่หลากหลายให้ลูกๆ เห็นในเวลาที่เหมาะสมเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ไม่อาจปฏิเสธหรือละเลยได้ ดังนั้นต่อให้ลูกๆ ก้าวหน้าบนเส้นทาง
    การทำงานหรือมีสถานะสำคัญในสังคมเมื่อเติบโตขึ้น ผมก็ยังจะสอนลูกๆ ถ้าเห็นว่าพวกเขากำลังจะก้าวถลำไปในทางผิดหรือสำคัญตัวเองอย่างผิดๆ
    เพราะว่านี่คือ “หน้าที่” ของผมในฐานะ “พ่อ”
    คนเป็นพ่อมีหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่ นอกจากต้องปกปักรักษาลูกให้รอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวงและเลี้ยงดูให้เติบโต อย่างสมบูรณ์แล้ว ยังจะต้องเลี้ยงจิตใจของลูกให้เป็น “มนุษย์” ที่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดีและมีคุณธรรม
    ไม่ใช่ยิ่งเติบโตยิ่งอันตราย ยิ่งมีความรู้ยิ่งเจ้าเล่ห์ ยิ่งเก่งยิ่งร้าย
    ผม สอนลูกๆ ให้กลัวความผิดบาปมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก และชี้ให้เห็นถึงความเสียหายที่จะตามมาเมื่อเอาเปรียบ คดโกงหรือทำร้ายคนอื่น ซึ่งก็ได้ผลเป็นอย่างมากเพราะคำสอนเหล่านั้นฝังลึกในจิตใจพวกเขามาจนถึงทุก วันนี้
    ปัจจุบันมีข่าวเศร้าจำนวนมากที่ปรากฏผ่านสื่อ บรรดาเด็กและเยาวชนก่อคดีอุกฉกรรจ์ ทั้งการเข้าไปพัวพันกับยาเสพติด การล่วงละเมิดทางเพศ ไปจนถึงการทำร้ายเข่นฆ่าคู่อริต่างสถาบัน ซึ่งทั้งหมดนั้นคนเป็นพ่อแม่คงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้
    ยิ่งข้ออ้างที่ว่า “ไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนลูกเพราะต้องทำงานหาเงิน” ยิ่งฟังไม่ขึ้น
    ใน ฐานะคนที่ทำงานมาแล้วกว่าครึ่งชีวิต ผมไม่เคยคิด ไม่เคยเชื่อว่ามีงานอะไรที่ต้องใช้เวลามากถึงขั้นไม่เหลือเวลาให้ลูก หรือสำคัญมากไปกว่าความอบอุ่นที่ต้องมีให้ลูก
    เวลาในแต่ละวันสามารถบริหารจัดการได้ โดยเฉพาะในยุคเทคโนโลยีทางการสื่อสารที่ก้าวไกล คนเป็นพ่อแม่ยังใกล้ชิดลูกได้เสมอ ถ้ารู้จักใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
    บาง เวลาที่ต้องห่างกัน เสียงบอกรักจากใจพ่อผ่านโทรศัพท์มือถืออาจเปลี่ยนความว้าเหว่ในใจลูกให้กลับ มั่นคง ถ้อยความแห่งอาทรของแม่ผ่านช่องทางออนไลน์อาจช่วยให้ลูกที่คลอนแคลนหวั่นไหว ไม่ถลำออกนอกทางเพราะขาดความยั้งคิด หรือตกเป็นเหยื่อสิ่งยั่วเร้าในสังคมที่มีอันตรายอยู่รอบด้าน
    ทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่มีสิ่งใดจะแนบแน่นเท่าสัมผัสทางกายที่ถ่ายทอดจากใจ พ่อแม่ในเวลาที่อยู่ใกล้ชิดกัน โดยเฉพาะ “อ้อมกอดที่มีให้ลูก”
    ผมเชื่อมั่นว่าเด็กๆ จะไม่พึ่งยาหลอนเพื่อล่องลอยเคว้งคว้างไปในโลกแห่งความฝัน ถ้าหากว่าในโลกความจริงมีพ่อกับแม่อยู่เคียงข้าง คอยรับฟังความคิดความรู้สึกของพวกเขา
    เด็กๆ จะไม่ล่วงละเมิดหรือทำร้ายเข่นฆ่าใคร ถ้าความดีงามในใจของพวกเขาไม่ถูกฆ่า และไม่มีใครอีกแล้วที่จะฆ่าความดีงามในใจเด็กได้มากไปกว่าพ่อแม่ที่ทิ้ง ขว้าง.... ไม่ใส่ใจไยดีในชีวิตของพวกเขา
    สังคมไทยเวลานี้ กำลังเสื่อมโทรมถึงขีดสุด และคงต้องเสื่อมทรามไม่สิ้นสุด ถ้าคนเป็นพ่อแม่ขาดความเมตตาต่อลูก ละทิ้งหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องเลี้ยงดูลูกให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ เพื่อเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติต่อไป

    -http://www.komchadluek.net/detail/20110730/104373/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C.html-


















    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...