พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    เคล็ด(ไม่)ลับป้องกันสมองฝ่อลีบ


    กระตุ้นเซลล์สมองให้ออกกำลังด้วยกิจกรรมง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน ลดอาการสมองถดถอย โดยไม่ต้องพึ่งยา

    ร่างกายยังต้องการ “การออกกำลัง” เพื่อให้แข็งแรง สมองก็เช่นกัน เมื่อน้อง ๆ อยากใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เฉียบแหลม มีความจำเข้าขั้นดี ก็ต้องหมั่นบริหารเซลล์สมอง ทั้งนี้ ผลวิจัยในต่างประเทศพบว่า การใช้สมองทำงานหนักเพียงด้านเดียว จะส่งผลต่อการเพิ่มขึ้น และลดลงในกระบวนการสร้างเครือข่ายประสาทด้วย ดังนั้น ควรใช้สมองทำงานให้หลากหลาย ง่าย ๆ ด้วยกิจกรรมต่อไปนี้

    เริ่มจาก การใช้มือข้างที่ไม่ถนัด ถ้าเคยชินกับการเขียนมือขวา ลองใช้มือซ้ายหัดเขียนบ้าง ในทำนองเดียวกัน การเปลี่ยนมือจับเมาส์ จับแปรงสีฟัน จับหวี จับไม้กวาด หรือใช้มือข้างที่ไม่ถนัดตักอาหาร รวมถึงการหยิบจับของที่เห็นอยู่ด้านซ้ายด้วยมือซ้าย และหยิบจับของที่เห็นอยู่ด้านขวาด้วยมือขวา ล้วนเป็นวิธีกระตุ้นสมองให้ตื่นตัว ฝึกสมาธิ และใช้สติได้อย่างดี

    เปลี่ยนความจำเจ ถ้า ถนัดการคำนวณ ลองฝึกในเชิงศิลปะบ้าง เช่น เล่นดนตรี วาดภาพ ทำอาหาร ทำขนม ในทางกลับกัน หากถนัดด้านศิลปะ ลองนับเลขถอยหลัง เรียนการใช้ลูกคิด หรือเล่นเกมส์ปริศนาอักษรไขว้บ้าง นอกจากนี้ ระหว่างวันหากต้องนั่งเรียนเป็นเวลานาน หลังเลิกเรียนควรหากิจกรรมกระตุ้นการเคลื่อนไหว เช่น ออกกำลังกาย หรือเต้นรำ เป็นต้น จะทำให้เซลล์ประสาทตื่นตัว และจิตใจผ่อนคลายหายเครียดได้ด้วย

    นวดปุ่มขมับ โดยใช้นิ้ว นวดขมับเป็นวงกลม ประมาณ 30 วินาที ระหว่างนั้น ให้กวาดสายตาจากซ้ายไปขวา และจากบนลงล่าง จะช่วยกระตุ้นระบบประสาท และเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองส่วนการมองเห็น ทั้งยังทำให้สมองซีกซ้าย-ขวา ทำงานสมดุล
    การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดังข้างต้น แม้เพียงเล็กน้อย แต่หากฝึกบ่อย ๆ ก็สามารถพัฒนาเซลล์สมองให้ทำงานเชื่อมโยงกันมากขึ้น เพราะกล้ามเนื้อสมองด้านที่ไม่ถนัดนั้น ถูกพัฒนาให้มีความว่องไวขึ้นนั่นเอง จึงช่วยลดอาการสมองถดถอย อันเป็นที่มาสู่ปัญหาสมองฝ่อได้.

    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์





    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=651&contentID=152027-

    .



    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  3. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    น้ำผักแก้แผลในกระเพาะดีต่อลำไส้

    วันศุกร์ ที่ 22 กรกฎาคม 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    ผู้ที่ป่วยเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร หรือที่ส่วนใหญ่เรียกว่า โรคกระเพาะอาหาร คงรู้ตัวดีว่า เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกขึ้นมานั้นแสนทรมาน ทั้งยังอาจผสมโรงด้วยอาการจุกเสียดแน่น มีลมในกระเพาะ และคลื่นไส้อาเจียน เจ็บป่วยขนาดนี้คงต้องไปหาหมอสถานเดียว ทว่าได้ยามารับประทานก็ควรทำตามที่หมอสั่ง ถึงมื้ออาหารเมื่อไหร่ก็อย่าให้ขาดคลาดเคลื่อน

    นอกจากรักษาด้วยยาและคำแนะนำตามแพทย์แล้ว ‘มุมสุขภาพ-กินดี’ เตรียมสูตรน้ำผัก แครอต-กะหล่ำปลี สรรพคุณรักษาแผลในกระเพาะอาหาร และบำรุงลำไส้ มาเป็นตัวช่วยอีกทางหนึ่ง โดย ‘แครอต’ คือแหล่งรวมเบต้าแคโรทีน ซัลเฟอร์ คลอรีน แคลเซียม และแมกนีเซียม จึงเป็นผักที่ดีต่อระบบย่อยอาหาร กำจัดและต้านเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินอาหารโดยเฉพาะที่ลำไส้ใหญ่ และช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ส่วน ‘กะหล่ำปลีเขียว’ มีดีที่ช่วยบรรเทาอาการอักเสบเนื่องจากแผลในลำไส้ ในกระเพาะอาหาร ทั้งยังแก้ท้องผูก บรรเทาจุกเสียดแน่นท้อง เพราะผักชนิดนี้อุดมด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และกรดโฟลิก

    เตรียมส่วนผสมตามสัดส่วนต่อไปนี้...
    • แครอต 2 ถ้วย
    • กะหล่ำปลีเขียว 1 ถ้วย
    ขั้นตอนในการทำน้ำผัก เริ่มจากนำแครอตมาขูดเป็นเส้นเล็ก ส่วนกะหล่ำปลีเขียวให้หั่นพอหยาบ ได้แล้วนำไปสกัดรวมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ สามารถเติมน้ำแข็งเพิ่มความเย็นสดชื่นลงไปด้วยได้ ควรดื่มทันทีหลังจากทำเสร็จ.

    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    สมเด็จพระบรมฯ ห่วงความรู้สึกคนไทยทรงแนะรัฐไม่ต้องวางเงินประกันเอาโบอิ้ง 737 กลับ!


    สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงห่วงความรู้สึกคนไทยรัฐบาลไม่ต้องวางเงินประกันเยอรมนี 20 ล้านยูโร เพื่อเอาเครื่องบินพระที่นั่งกลับ ขณะที่อัยการสูงสุดแถลงยืนยันไทยมีหลักฐานใบกรรมสิทธิ์ถือครองเครื่องโบอิ้ง 737 เป็นทรัพย์ส่วนพระองค์ ไม่เกี่ยวคดีวอลเตอร์บาว-ไม่ทำผิดกฎการบิน มั่นใจเอาเครื่องกลับไม่เสียเงินแม้แต่บาทเดียว คาดคดีเสร็จสิ้นเดือน ส.ค.นี้


    วันนี้ (22 ก.ค.) เมื่อเวลา 15.30 น. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนแจ้งวัฒนะ นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด แถลงความคืบหน้าการถอนอายัดเครื่องบินพระราชพาหนะ โบอิ้ง 737 จากประเทศเยอรมนีว่า ข้อมูลหลักฐานที่อัยการเสนอต่อศาลเยอรมนียืนยันว่าเครื่องบินเป็นทรัพย์สิน ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ไม่ใช่ของกองทัพไทย จะมายัดเยียดว่าเป็นของกองทัพอากาศได้อย่างไร ซึ่งในบัญชีรายชื่อเครื่องบินของกองทัพอากาศก็ไม่มีเครื่องบินลำนี้อยู่ใน บัญชีตั้งแต่เดือน ส.ค. ปี 2007 จึงมั่นใจว่าจะสามารถนำเครื่องบินกลับมาได้โดยไม่ต้องเสียเงินค่ามัดจำแม้ แต่บาทเดียว อย่างไรก็ดี สำหรังเงินประกันที่ศาลเยอรมนีมีคำสั่งอายัดเครื่องบินตามข้อกฎหมายแพ่ง ประเทศเยอรมนีนั้น ทรัพย์ที่ถูกอายัดและไม่มีคำสั่งเพิกถอน เราสามารถใช้หนังสือค้ำประกันจากธนาคารไปค้ำประกันโดยไม่ต้องวางเงินสด 20 ล้านยูโร เสียค่าธรรมเนียมเพียง 1-2 เปอร์เซ็นต์ของวงเงิน

    นายจุลสิงห์กล่าวต่อไปว่า เหตุผลที่ศาลเยอรมนีสั่งอายัดเครื่องบินไว้ชั่วคราว เพราะมีข้อมูลจากเว็ปไซต์เอกชนที่ไหนก็ไม่รู้ ระบุว่ากองทัพอากาศยังมีเครื่องบินลำนี้อยู่ แต่เรามีเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของไทยที่ยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ดังนั้น วันนี้หากพูดถึงพยานหลักฐานที่มีอยู่ ยืนยันว่าเครื่องบินเป็นของสมเด็จพระบรมฯ 100 เปอร์เซ็นต์ เพียงแต่ต้องรอกระบวนการพิจารณาของศาลเยอรมนี ส่วนการพิจารณาคดีนั้นอัยการร้องขอให้ศาลเร่งพิจารณาคดีเร็วขึ้นให้เสร็จ สิ้นภายในเดือนสิงหาคมนี้

    ส่วนขั้นตอนการพิจารณาไต่สวนพยานทั้งสองฝ่ายจะทำภายใน 1 วัน ซึ่งฝ่ายไทยได้เสนอบัญชีพยานต่อศาลเยอรมนีไปแล้วจำนวน 3 คน เช่น เจ้าหน้าที่กองทัพอากาศ ซึ่งเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์การถวายเครื่องบินโบอิ้ง 737 เป็นพระราชพาหนะ และเจ้าหน้าที่กรมการบินพลเรือนที่รู้เรื่องการจดกรรมสิทธิ์ นอกจานนี้ยังมีหลักฐานเป็นภาพถ่ายเครื่องบินเมื่อครั้งที่ยังอยู่ในบัญชีกอง ทัพอากาศ พร้อมทั้งใบทะเบียนแสดงกรรมสิทธิ์ ซึ่งหลังจากนี้จะต้องรอฟังว่าศาลจะกำหนดฟังคดีเมื่อใด โดยฝ่ายอัยการได้ประสานขอให้เร่งรัดพิจารณาคดีให้เสร็จภายในสิ้นเดือน สิงหาคมนี้

    นายจุลสิงห์กล่าวอีกว่า อัยการพิจารณาแล้วจะต้องตั้งคณะทำงานขึ้นมาดูแลโดยเฉพาะ เนื่องจากเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเฉพาะหน้าของสำนักงานอัยการสูงสุด โดยตนเป็นผู้ดูแลเอง

    ผู้สื่อข่าวถามว่าอัยการเตรียมดำเนินการฟ้องกลับใครบ้างหรือไม่ นายจุลสิงห์กล่าวว่า มีแน่นอน 2 ประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการยึดอายัดเครื่องบินผิดลำ และเรื่องเนื้อหาในคดี ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดตั้งทีมงานขึ้นมาทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา ส่วนจะดำเนินการฟ้องร้องใครบ้างคงจะเปิดเผยให้ทราบอีกครั้ง แต่ในส่วนของบริษัท วอลเตอร์บาวฟ้องให้รัฐบาลไทยชำระเงินตามคำวินิจฉัยอนุญาโตตุลาการนั้น ยืนยันว่าคดียังไม่จบ โดยจะมาบอกว่ารัฐบาลไทยดื้อแพ่งไม่จ่ายเงินไม่ได้ ซึ่งในเรื่องนี้ได้เตรียมยื่นอุทธรณ์ในช่วงปลายเดือนนี้ ถ้าถึงที่สุดแล้วหากจะแพ้คดีหลักเราก็ต้องยอมจ่าย ซึ่งเราเป็นประเทศไทย มีอยู่ในแผนที่ ไม่สามารถหนีออกไปนอกโลกได้

    “สมเด็จพระบรมฯ ทรงรับรู้ความรู้สึกของคนไทย และอยากให้คนไทยเข้าใจว่าพระองค์ท่านไม่ได้ทำอะไรผิดกฎการบิน ทรงทำถูกต้องทุกอย่าง ซึ่งท่านไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับคดีที่รัฐบาลไทยกับบริษัท วอลเตอร์บาว มีคดีความต่อกัน โดยอัยการได้ถวายรายงานคดีความให้พระองค์ท่านทราบแล้ว ซึ่งคดียังไม่จบ รอยื่นอุทธรณ์อยู่ ส่วนเครื่องบินระหว่างนี้ยังจอดอยู่ที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งพระองค์ท่านมีพระราชวินิจฉัยว่าไม่ต้องวางเงินประกัน แต่รัฐบาลไทยก็พร้อมที่จะเอาเงินวางเพื่อจะนำเครื่องบินออกมาเพื่อถวายให้ ท่านทรงใช้งาน แต่พระองค์ท่านไม่ประสงค์ให้นำเงินของรัฐบาลไทยไปวาง” อัยการสูงสุดกล่าว

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการแถลงข่าว นายจุลสิงห์ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยว่า ตามที่บริษัท Walter Bau AG ซึ่งมีคดีพิพาทอนุญาโตตุลาการกับราชอาณาจักรไทย ได้ร้องเรียนให้ศาลกรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมณี มีคำสั่งอายัดชั่วคราวเครื่องบิน Boeing 737-400 ซึ่งเป็นเครื่องบินพระราชพาหนะส่วนพระองค์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ที่จอดอยู่ ณ สนามบินแห่งมิวนิค โดยศาลดังกล่าวได้ออกหมายอายัดเครื่องบินชั่วคราวให้ตามที่บริษัท Walter Bau AG ร้องขอ เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 54 โดยเชื่อตามที่นาย Schneider ผู้บริหารจัดการทรัพย์สินของบริษัท Walter Bau AG กล่าวอ้างแต่เพียงฝ่ายเดียว ว่าเครื่องบินลำดังกล่าวเป็นของรัฐบาลไทย โดยหยิบยกข้ออ้างต่างๆ หลายประการที่คลาดเคลื่อนและไม่เป็นความจริง

    สำนักงานอัยการสูงสุดทราบเรื่องการอายัดเครื่องบินดังกล่าวในช่วง เช้าวันที่ 13 ก.ค. 54 สำนักงานอัยการสูงสุดพร้อมคณะทำงาน ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากกระทรวงการต่างประเทศ และกรมการบินพลเรือนได้ปรึกษาหารือร่วมกันโดยทันที และต่อมาได้เดินทางไปยังเมืองมิวนิค ในคืนเดียวกันนี้ สำนักงานอัยการสูงสุดและคณะทำงานได้ทำการตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องและข้อ เท็จจริงทั้งหมดแล้ว และนำเรียนต่อศาลแห่งเมืองแลนด์ชู๊ต ซึ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อขอให้ยกเลิกการอายัดเครื่องบินโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ คณะทำงานได้ให้ทนายความชาวเยอรมันยื่นคำร้องพร้อมเอกสารสนับสนุนคำร้องต่อ ศาลเมื่อวันที่ 15 ก.ค.54 และยื่นคำร้องเพิ่มเติมพร้อมเอกสารอีกครั้งในวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้แก่

    1.เครื่องหมายตราครุฑสีแดงบนพื้นที่สีน้ำเงินเข้ม ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ที่ใช้ได้เฉพาะสมเด็จพระบรมฯ 2.เครื่องหมายธงชาติที่มีลักษณะเป็นรูปวงกลม 3.หมายเลข “90401” 4.คำว่า “Royal Fight” ที่ปรากฏบนเครื่องบิน 5.ข้อมูลของเครื่องบินที่ปรากฏใน Private Website ที่จัดทำโดยนายไมเคิล ฟาเดอร์ ไม่ถูกต้อง ขาดความน่าเชื่อถือ และไม่ตรงกับข้อมูลที่ปรากฎในเว็บไซต์ของกองทัพอากาศไทย

    6.เครื่องบินลำนี้มีข้อความว่า “ฑีปังกรรัศมีโชติ” ซึ่งเป็นพระนามของพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงทรัพย์สินส่วนพระองค์ 7.เครื่องหมาย “HS-CMV” ที่ปรากฏบนตัวเครื่องบิน ยืนยันได้ว่าเครื่องบินลำนี้เป็นเครื่องบินพลเรือน โดยคำว่า HS หมายถึงเครื่องบินที่จดทะเบียนในประเทศไทยกับกรมการบินพลเรือนตามที่กำหนด ไว้ใน ICAO ส่วนคำว่า CMV หมายถึงพระนามย่อของสมเด็จพระบรมฯ เป็นภาษาอังกฤษ และ 8.ใบสำคัญจดทะเบียนเครื่องบินลำนี้ว่าเป็นกรรมสิทธิ์ในสมเด็จพระบรมฯ ออกให้โดยกรมการบินพลเรือน และหนังสือรับรองการเป็นเจ้าของเครื่องบินลำนี้ลงนามโดยอธิบดีกรมการบิน พลเรือน

    อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลแห่งเมืองแลนด์ชูตได้พิจารณาพยานหลักฐานต่างๆ แล้ว จึงมีคำสั่งในเบื้องต้นสรุปได้ว่า จากเอกสารต่างๆและหนังสือรับรองข้อเท็จจริงแสดงได้ว่าเครื่องบินลำดังกล่าว เป็นของสมเด็จพระบรมฯ โดยถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งการตัดสินดังกล่าวเกิดจากการตรวจสอบหลักฐานเอกสารเพียงอย่างเดียว และคู่ความฝ่ายตรงข้ามได้คัดค้านพยานหลักฐานต่างๆ ของฝ่ายไทย ศาลจึงมีคำสั่งให้ถอนอายัด โดยมีเงื่อนไขให้วางหลักประกันมูลค่า 20 ล้านยูโร จนกว่าจะมีคำพิพากษาเมื่อคดีเสร็จสิ้น

    ทั้งนี้ ในเรื่องดังกล่าวฝ่ายไทยได้ประชุมหารือกันแล้วเห็นว่า ยังไม่ควรวางหลักประกันดังกล่าว เพื่อรอให้ศาลพิจารณาและสืบพยานให้เสร็จสิ้นไปในคราวเดียว ซึ่งคาดว่ากระบวนการสืบพยานในชั้นศาลจะมีขึ้นประมาณปลายเดือนสิงหาคมนี้ ส่วนเรื่องการดำเนินคดีต่อบริษัท Walter Bau AG นาย Schneider ซึ่งเป็นผู้จัดการทรัพย์สินบริษัทฯ และผู้ที่เกี่ยวข้องนั้น อยู่ในระหว่างการพิจารณาและดำเนินการของสำนักงานอัยการสูงสุด และคณะทำงานซึ่งมีกระบวนการที่จะต้องดำเนินการต่อไป


    -http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9540000090603-



    .------------------------------------------------------.
    .------------------------------------------------------.
    .------------------------------------------------------.

    เหอๆๆๆ ความทุเรศของศาลเยอรมัน

    ไม่ได้ดูอะไรเลย เอาแต่ชาติัตัวเอง ไม่สนใจว่า สิ่งที่ศาลต้องทำ ทำอะไร ทำอย่างไร ในการตัดสินความยุติธรรม


    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 17 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 16 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong</td></tr></tbody></table>

    วันนี้กระเสือกกระสนหนีตายได้สำเร็จ

    ขายไปได้เรียบร้อย ไม่ขาดทุน

    เกือบไป


    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมเองไม่เห็นด้วย กับเรื่องของการกินทิ้งๆขว้างๆ ผมไปทานอะไรก็ตาม ผมต้องทานให้หมด หากเหลือ ผมเสียดาย

    ยังมีคนอีกมากมาย ที่ยังมีความอดอยาก มีความยากจนแร้นแค้น

    อย่ากินทิ้งกินขว้างกันครับ


    .----------------------------------------------.
    .----------------------------------------------.

    "สมรสบริโภค" ค่านิยมย้อนแย้ง เศรษฐี-ยาจกอินเดีย เมื่อ"หน้าตา"สำคัญกว่า"ความอดอยาก"


    เมื่อบุตรสาวของ"โมฮัมเหม็ด สุลตาน" จัดพิธีแต่งงานเมื่อไม่นานมานี้ แขกเหรื่อได้รับการเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี เจ้าภาพจัดเตรียมอาหารกว่า 30 เมนูให้เลือกสรร ทั้งหมดถูกเสิร์ฟมาในถาดเงินขนาดมหึมา

    [​IMG]

    ธรรมเนียมการเลี้ยงอาหารของชาวแคชเมียร์ มักมีการจ้างพ่อครัวแม่ครัวจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงเมนูอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ หรือเรียกว่า"กะบับ" มากกว่า 20 อย่าง รวมถึงข้าว และแป้งนาน

    ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น หลังจากแขกผู้มีเกียรติกว่า 500 คน รับประทานอาหารจนอิ่มหนำสำราญดีแล้ว อาหารที่เหลือถูกนำใส่รถเข็นและเททิ้งในถังขยะที่อยู่ใกล้เคียง

    ขณะที่จำนวนมหาเศรษฐีของอินเดียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามสภาพเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นอย่างพุ่งพรวด หลายครอบครัวมักจะจัดงานเลี้ยงสมรสลูกหลานของตนอย่างใหญ่โต เพื่อแสดงถึงความเป็น"เศรษฐีใหม่"ของตน

    ขณะที่งานเลี้ยงสมรสของบุตรชายของนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลรายหนึ่ง มีรายการอาหารมากกว่า 100 ชนิด อาทิ อาหารไทย จีน เมดิเตอร์เรเนียน และอินเดีย เพื่อเลี้ยงรับรองแขกที่มาร่วมแสดงความยินดีกว่า 30,000 คน อาหารที่เหลือ หรือคิดเป็น 20% ถูกทิ้งลงถังขยะ

    นายเค.วี. โธมัส รัฐมนตรีกระทรวงอาหารของอินเดีย ได้แสดงความเห็นว่า เขาต้องการลดทอนสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันที่เรียกว่า "Big Fat Indian Wedding" หรือ"งานเลี้ยงสมรสหน้าใหญ่แบบอินเดีย" เนื่องจากกว่า 1 ใน 5 ของอาหารที่นำมาเสิร์ฟแขกในงานเลี้ยง มักจะถูกทิ้งขว้างโดยไร้ประโยชน์

    "มันคืออาชญากรรมแห่งความสิ้นเปลือง"

    [​IMG]

    ในแต่ละวัน อาหารเพื่อใช้เลี้ยงแขกเหรื่อตามงานต่างๆ ถูกเททิ้งนับเป็นปริมาณหลายตัน ซึ่งขัดกับภาพของอินเดียที่คนส่วนใหญ่ยังมองว่ายังมีภาวะขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบทห่างไกล ที่ปัญหาความอดอยากของประชาชนหลายล้านคน ยังคงปัญหาเรื้อรัง

    เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆในเอเชีย ราคาสิ่งของอุปโภคบริโภคยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพียงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเพียงเดือนเดียว เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 8.4 ขณะที่ความต้องการมีมากกว่าเกินกว่ากำลังผลิต และกลายเป็นว่าภาระทั้งหมดกลับมาตกอยู่บนบ่าของคนยากจน ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การเพิ่มขึ้นของราคาอาหารในช่วงไม่เดือนที่ผ่านมาในภูมิภาคเอเชีย ได้ผลักให้ชาวเอเชียกว่า 64 ล้านคน ต้องตกไปอยู่ในฐานะ "คนยากจน"

    จากข้อมูลของนายเค.วี. โธมัส มีการจัดงานสมรสและงานเลี้ยงมากกว่า 100,000 งานต่อวัน เขาระบุว่า อาหารที่เหลือทิ้งจากงานเลี้ยงเฉพาะในนครมุมไบเพียงแห่งเดียว สามารถนำไปเลี้ยงคนยากจนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สลัมของเมืองนับแสนคน

    สถาบันวิจัยนโยบายอาหารสากล จัดอันดับให้อินเดียอยู่ในอันดับที่ 67 จากทั้งสิ้น 84 ประเทศ ในดัชนีวัดความสมบูรณ์ด้านอาหาร ประจำปี 2010 ซึ่งเป็นผลสำรวจว่าด้วยอัตราความชุกของการขาดสารอาหารในเด็ก อัตราการเสียชีวิตในเด็ก และสัดส่วนของประชาชนที่ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน

    [​IMG]

    นายโธมัส เคยเสนอความคิดให้มีเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลให้มีการจัดสัดส่วนอาหารให้สมดุลกับจำนวนแขกที่เข้าร่วมงานเลี้ยง แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่านี่อาจเป็นช่องทางที่ก่อให้เกิดการคอร์รัปชันและการรับเงินใต้โต๊ะของเจ้าหน้าที่ที่เข้าตรวจสอบ ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจให้มีการรณรงค์แนวคิดดังกล่าวผ่านสื่อต่างๆ รวมทั้งโรงเรียนและหน่วยงานทางสังคมต่างๆ เพื่อให้มีการบอกเล่าปากต่อปาก และหากว่าการรณรงค์ครั้งนี้ล้มเหลวอีก นายโธมัสอาจตัดสินใจที่จะรื้อฟื้นเอาการจำกัดจำนวนแขกกลับมาใช้อีกครั้ง

    ในช่วงยุค 1960 หลังจากสงครามบริเวณพรมแดนจีนสิ้นสุดลง เกิดปัญหาการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง รัฐบาลสมัยนั้นได้นำแนวคิดที่เรียกว่า "คำสั่งควบคุมจำนวนแขก" เพื่อจำกัดจำนวนผู้ร่วมงานเลี้ยงสมรสต่างๆ แต่ก็อยู่ได้ไม่นานนัก แม้ว่าจะมีการนำความคิดเห็นของประชาชนมาใช้ประกอบในการตัดสินใจครั้งนั้นก็ตาม


    ปัจจุบัน คำว่า "รัดเข็มขัด" ไม่เคยมีอยู่ในพจนานุกรมของเศรษฐีอินเดียแม้แต่น้อย พวกเขาลงทุนนำเข้าดอกกล้วยไม้จากประเทศไทย เพื่อนำมาตกแต่งโต๊ะบุฟเฟต์และโต๊ะอาหาร

    นายอัลก้า กุปตา นักธุรกิจรายหนึ่งที่กำลังวางแผนงานแต่งงานให้บุตรสาวของเธอ กล่าวว่า "นี่เป็นงานสมรสของลูกสาวฉัน ฉันไม่มีวัน"ขี้เหนียว"เด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอาหาร" เธอกล่าวว่า หลายปีมานี้เธอและสามียอมทำงานหนัก เมื่อจะจัดงานเลี้่ยงและเชิญเพื่อนฝูงทั้งที่ มันจึงต้อง"อลังการ"

    ด้านนายอภิลาชา กุมารี นักสังคมศาสตร์ แสดงความเห็นว่า สำหรับชนชั้นกลางที่กำลังเริ่มมีฐานะ การจัดงานแต่งงานแบบหรูหราฟู่ฟ่า กลายเป็น"ค่านิยม"ที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพยนตร์บอลลีวู้ด ที่มักจะนำเสนอภาพที่สวยงามหรูหราของงานเลี้ยง กลายเป็นสิ่งที่ทำให้การจัดงานเช่นนี้ยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้น

    เธอกล่าวว่า พฤติกรรมการบริโภคแบบเหลือทิ้ง ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ไร้รสนิยม เช่นเดียวกับที่ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นอยู่ภายใต้ลักษณะพื้นฐานทางด้านสังคมที่มีร่วมกันของกลุ่มคนของอินเดีย "นี่คืออินเดียยุคใหม่ ที่ที่มีระบบค่านิยมรูปแบบใหม่ ที่การบริโภคเหลือทิ้งกลายเป็น"ค่านิยม"

    [​IMG]

    ในอีกทางหนึ่ง ความคิดในการจำกัดการบริโภคแบบฟุ่มเฟือย ไม่ได้รับความเห็นชอบจากผู้ประกอบธุรกิจบางประเภทที่ทำเงินกับหนึ่งในปัจจัยสี่ของมนุษย์

    นิทิน ลุทรา จากบริษัทรับจัดงานเลี้ยงชั้นนำของกรุงนิว เดลี กล่าวว่า การลดจำนวนอาหารลงอาจไม่ใช่เรื่องง่ายนัก คนทั่วไปมักต้องการเมนูอาหารที่ทีความหลากหลายและแปลกใหม่ เพื่อให้งานออกมาสร้างความประทับใจให้แก่แขกทุกคน

    ขณะที่นายอาชิช อาบรอล อดีตผู้บริหารไอบีเอ็ม ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อตั้งบริษัทรับจัดงานที่ชื่อ "บิ๊ก อินเดียน เว็ดดิ้ง" กล่าวตำหนินโยบายการจำกัดจำนวนแขกว่าเป็นความคิดตื้นๆ และเป็นนโยบายประชานิยมเกินไป เขาเชื่อว่ามันจะต้องล้มเหลวเนื่องจากไม่สามารถนำไปปฏิบัติใช้ได้จริง และผลที่ได้รับอาจรุนแรงมากกว่าการคอร์รัปชัน

    นายสุเรช มิสรา จากสถาบันการจัดการสาธารณะแห่งอินเดีย เห็นด้วยว่านโยบายดังกล่าวอาจไม่มีความเป็นไปได้และมีประสิทธิภาพ เขาเชื่อว่าเราไม่สามารถบังคับให้มีการลดจำนวนอาหารที่ตั้งโชว์อยู่บนโต๊ะบุฟเฟต์ หรือลดค่าใช้จ่ายในด้านนี้ไปได้ แต่หากว่าเราทำให้คนทั่วไปคิดได้ว่า เราต้องทิ้งอาหารไปโดยเปล่าประโยชน์มากเพียงใด นั่นอาจทำให้นโยบายนี้เดินหน้าต่อไปได้

    ขณะที่ความพยายามในการนำอาหารที่เหลือจากงานเลี้ยงส่งไปยังคนยากจน ก็แทบจะเป็นไปได้ยาก เนื่องจากระบบสาธารณูปโภคที่ไม่เพียงพอ นอกจากนั้น ชาวอินเดียจำนวนมาก ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่จะกิน"ของเหลือ" เนื่องจากอาหารอาจเน่าบูดได้ง่ายในสภาพอากาศร้อนชื้นของอินเดีย

    แต่ก่อนที่รัฐบาลจะคิดอย่างไรต่อไปกับการจัดงานแต่งงาน รัฐบาลได้วางแผนที่จะลดค่าใช้จ่ายของตนเองเช่นกัน โดยสำนักนายกรัฐมนตรีนายมานโมฮาน ซิงห์ ได้ส่งจดหมายเวียนไปยังหน่วยงานต่างๆ กระตุ้นให้มีการลดการจัดงานประชุมและงานสัมมนาประเภทต่างๆลง และที่สำคัญกว่านั้น รัฐบาลได้เตรียมร่างกฎหมายที่จะทำให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงอาหารได้อย่างเท่าเทียมกัน ภายใต้บทบัญญัติ เกือบร้อยละ 70 ของประชากรอินเดีย จะได้รับการสนับสนุนด้านอาหารอย่างถ้วนหน้า

    [​IMG]

    การขึ้นราคาของอาหาร ประกอบกับการขึ้นราคาแก๊สหุงต้มและน้ำมันอย่างรุนแรง ทำให้ครอบครัวที่มีฐานะยากจนอยู่แล้ว ต้องลดค่าใช้จ่ายในการกินอยู่ลงไปอีก ซึ่งแน่นอนว่าไม่กระเทือนขนหน้าแข้งบรรดาเศรษฐีทั้งหลายแม้แต่น้อย


    นางกุปตากล่าวว่า สำหรับผู้มีฐานะมั่งคั่ง การที่ค่าใช้จ่ายต่างๆเพิ่มขึ้น ไม่ได้สร้างความกังวลต่อเธอแม้แต่น้อยเมื่อจะต้องจัดงานสมรสสักงาน เธอกล่าวว่า แม้ว่าเธออยากจะลดค่าใช้จ่ายมากเพียงใด แต่ก็ทำไม่ได้ เนื่องจากการแต่งงานของลูกสาวเธอครั้งนี้ตั้งอยู่บนความคาดหวังที่ค่อนข้างสูงของคนในครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่คนภายนอกจะมองมา และหากว่าเธอลดขนาดงานแต่งงานลง ก็เท่ากับว่าคนนอกจะคิดว่า อาจเกิดสิ่งผิดปกติต่อธุรกิจของครอบครัวเป็นแน่

    ปัญหาใหญ่อีกอันหนึ่งของชาวอินเดียส่วนใหญ่ก็คือ การขาดวัฒนธรรม"การตอบรับ"เพื่อมาร่วมงาน ที่เรียกว่า R.S.V.P. (repondez s′il vous plait) ซึ่งทำให้ผู้จัดงานจำเป็นต้องจัดเตรียมอาหารไว้เผื่อแขกที่ไม่ส่งสัญญาณว่าจะมาร่วมงาน เนื่องจากเกรงว่าเจ้าภาพอาจเสียหน้าเมื่อแขกเหล่านั้นมาแต่ไม่มีอาหารพอรับประทาน แต่หากว่าไม่มา ก็เท่ากับว่าอาหารที่เตรียมเผื่อไว้ก็จะกลายเป็นขยะไปในไม่ช้า

    นางกุปตากล่าวว่า เราไม่มีทางรู้เลยว่าแขกคนไหนจะมางานหรือไม่ เพราะฉะนั้นการเตรียมอาหารเผื่อเหลือจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น

    "ถ้าอาหารหมด นอกจากจะดูไม่งามแล้ว จะทำให้เราเสียหน้าอีกด้วย"



    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1311335786&grpid=&catid=06&subcatid=0600-


    "สมรสบริโภค" ค่านิยมย้อนแย้ง เศรษฐี-ยาจกอินเดีย เมื่อ"หน้าตา"สำคัญกว่า"ความอดอยาก" : มติชนออ

    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    แบล็กฮอว์ค-ฮิวอี้ ฮ.ระดับสุดยอด กองทัพเกือบทั่วโลกต้องมีไว้ใช้งาน


    [​IMG]


    ข่าวที่สะเทือนใจที่สุดในรอบสัปดาห์นี้หนีไม่พ้นเรื่องเฮลิคอปเตอร์ หรือที่เรียกกันติดปากว่า ฮ.ของกองทัพบกตกในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี 2 ลำในเวลาห่างกันเพียงไม่กี่วัน ซึ่ง ฮ. ทั้ง 2 ลำเป็น ฮ.ที่มีสมรรถนะเยี่ยมที่สุดของทางทหาร โดย ฮ.ลำแรกที่ตกกลางหุบเขาในป่าแก่งกระจาน เป็น ฮ.รุ่นฮิวอี้ (Huey) สังกัดกอบบินปีกหมุนที่ 2 กองกำลังสุรสีห์ ออกไปปฏิบัติภารกิจเฝ้าระวังขบวนการตัดไม้ทำลายป่า ร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมอุทยาน ฯ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระหว่างที่ ฮ.รุ่นฮิวอี้บินอยู่จุดต้นน้ำเพชรบุรี รอยต่อ จ.ราชบุรี กับอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เกิดฝนตกหนักลมกรรโชกแรง ทำให้ ฮ.ถูกลมหมุนตีจนเสียหลักพุ่งขนภูเขา ส่งผลให้นายทหารที่อยู่บน ฮ. เสียชีวิตทั้งหมด

    ต่อมาอีก 3 วัน ผบ.พล.ร.9 กองกำลังสุรสีห์ ได้นำผู้ใต้บังคับบัญชา พร้อมด้วยช่างภาพจากทีวีช่อง 5 ขึ้น ฮ.แบล็กฮอว์ค (Black Hawk) ของกองบินปีกหมุนที่ 9 (ผสม) ศูนย์การบินลพบุรี ไปปฏิบัติภารกิจในการลำเลียงศพ 5 นายทหารที่เสียชีวิตจาก ฮ.ฮิวอี้ตกในจุดที่เกิดเหตุ ปรากฏว่าโศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้นซ้ำสอง เมื่อ ฮ.แบล็กฮอว์ค บินไปตามเส้นทางเป้าหมายนั้น ปรากฏว่าสภาพดินฟ้าอากาศแปรปรวนกะทันหัน ทำให้ท้องฟ้าปิดอีกครั้ง หลังจากนั้นศูนย์วิทยุสื่อสารในภาคพื้นดินไม่สามารถติดต่อกับ ฮ.แบล็กฮอว์คได้ และได้รับแจ้งจากศูนย์ของต้นน้ำเพชรบุรีว่า ได้ยินเสียงบึ้มดังสนั่นหวั่นไหวใกล้จุดที่ ฮ.ฮิวอี้ตกประมาณ 2 กม. แต่หลังจากอีกวันมีรายงานข่าวเพิ่มเติมในพื้นที่ว่าได้ยินเสียงแค่ ฮ.ตก ไม่ได้ยินเสียงบึ้มประการใด ซึ่ง ณ เวลานี้ยังไม่ทราบชะตากรรมของผู้ที่อยู่ใน ฮ.แบล็กฮอว์ค ว่าจะรอดหรือไม่ เมื่อค้นหาจุดที่ ฮ.แบล็กฮอว์คตกได้เมื่อไหร่ วันนั้นทุกอย่างก็จะชัดเจนว่ามีผู้รอดชีวิตหรือไม่

    เมื่อเอ่ยถึง ฮ.แบล็กฮอว์ค (Black Hawk) เชื่อว่าใครต่อใครคงรู้จัก ฮ.ที่มีชื่อเรียกว่า “แบล็กฮอว์ค” เป็นอย่างดี เนื่องจากมีภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดได้สร้างเกี่ยวกับ “แบล็กฮอว์ค” ในการปฏิบัติภารกิจทางหทาร จนทำให้ชื่อ “แบล็กฮอว์ค” เป็นที่รู้จักกันดีของคนทั่วโลก ซึ่ง ฮ.แบล็กฮอว์ค จากข้อมูลที่ได้รับทราบมา เป็น ฮ.ที่ เมดอินยูเอสเอ เป็น ฮ.ที่ใช้งานทั่วไป หรือ ฮ.เอนกประสงค์ ใช้ในภารกิจขนส่งยุทธวิธีสารพัดประโยชน์ ใช้ในภารกิจลำเลียงทหารครั้งละ 11-15 นาย สำหรับกองทัพไทยเรียกชื่อ “แบล็กฮอว์ค” ว่า ฮ.ท.60

    แบล็กฮอว์คเป็น ฮ.สี่ใบพัด สองเครื่องยนต์ ผลิตโดย ซิคอร์สกี้ แอร์คราฟท์ แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเข้าประจำการกองทัพบกสหรัฐเมื่อปี 2522 ซึ่ง ฮ.แบบแบล็กฮอว์คนั้น สามารถทำภารกิจได้เอนกประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งทหารได้ถึง 11 นายในการปฏิบัติการจู่โจมทางอากาศ สงครามอิเลคทรอนิก และการอพยพทางอากาศ นอกจากนี้ยังสามารถติดตั้งถังเชื้อเพลิงหรืออาวุธบนปีกด้านบนของลำตัว ฮ.

    สหรัฐอเมริกาใช้ ฮ.แบล็กฮอว์ค ในการร่วมรบบุกเกรนาด้าเป็นทางการครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2526 และปี พ.ศ.2532 สหรัฐก็ใช้แบล็กฮอว์คในการปฏิบัติการบุกปานามา ต่อมาปี พ.ศ.2534 สหรัฐได้ใช้แบล็กฮอว์คเข้าร่วมในสงครามอ่าว ในปี พ.ศ.2536 แบล็กฮอว์คได้สร้างชื่อเสียงในยุทธการโมกาดิชูโน ประเทศโซมาเลีย จนทำให้ ฮ.แบล็กฮอว์ค เป็นที่รู้จักของกองทัพทั่วโลก นอกจากนี้แบล็กฮอว์คได้เช้าร่วมสงครามในการกำจัด “ซัดดัม ฮูสเซน” ที่อิรัก และในปัจจุบันนี้ “แบล็กฮอว์ค” ยังคงทำหน้าที่ปฏิบัติการรบที่อัฟกานิสถาน

    ประเทศไทยได้สั่งซื้อ ฮ.แบล็กฮอว์ค มาจากสหรัฐอเมริกา เพื่อใช้งานอเนกประสงค์จำนวน 7 ลำ ซึ่งประจำการอยู่ ณ กองบินปีกหมุนที่ 9 (ผสม) จ.ลพบุรี เมื่อแบล็กฮอว์คตกที่แก่งกระจานไป 1 ลำจึงยังคงเหลืออยู่ 6 ลำที่ใช้งานตามปกติ

    รายละเอียดของ ฮ.แบล็กฮอว์ค มีดังต่อไปนี้ ลูกเรือ 4 นาย บรรทุกทหารได้ 14 นายและเปลหาม 6 อัน ความยาว 19.76 เมตร ความกว้างลำตัว 2.36 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางใบพัด 16.36 เมตร ความสูง 5.13 เมตร น้ำหนักเปล่า 4,819 กก. น้ำหนักพร้อมบรรทุก 9,980 กก. น้ำหนักสูงสุดตอนนำเครื่องขึ้น 10,660 กก.

    ขุมกำลัง เครื่องยนต์เทอร์โบชาฟท์ของเจเนรัล อิเลกทริก กำลังขับเคลื่อนเครื่องละ 1,800 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 295 กม.ต่อ ชม. ความเร็วในการร่อน 278 กม.ต่อ ชม. รัศมีทำการรบ 592 กม. พิสัยในการเคลื่อนย้าย 2,220 กม. เพดานบนทำการ 19,000 ฟุต อัตราการไต่ระดับ 700 ฟุตต่อนาที อัตราน้ำหนักต่อแรงผลัก 0.192 แรงม้าต่อปอนด์ อาวุธปืนกลเอ็ม 240 เอชหรือเอ็ม 134 ขนาด 7.62 มม. 2 กระบอก

    นอกจากประเทศไทยที่มี ฮ.แบล็กฮอว์คแล้ว ยังมีประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกที่ซื้อจากสหรัฐอเมริกามาประจำกองทัพของประเทศตนเอง เช่น ออสเตรเลีย ออสเตรีย ตุรกี จีน เกาหลีใต้ ใต้หวัน ฟิลิปปินส์ บาห์เรน ซาอุดิอาระบีย จอร์แดน อิสราเอล อียิปต์ โมร็อกโก บราซิล โคลอมเบีย ชิลี เม็กชิโก เป็นต้น

    สำหรับ ฮ.แบบ “ฮิวอี้” (Huey) ที่ตกเป็นลำแรกในผืนป่าแก่งกระจานนั้น เป็น ฮ.รุ่นเก่ากว่า ฮ.แบล็กฮอว์ค เป็น ฮ.ทหารขนาดกลาง ผลิตโดย บริษัท เบลล์ เฮลิคอปเตอร์ แห่งสหรัฐอเมริกา เช่นกัน กองทัพสหรัฐได้นำ ฮ.ฮิวอี้มาใช้งานในปี พ.ศ.2512 และได้มีการปรับปรุงพัฒนาประสิทธิภาพของ ฮ.ฮิวอี้ให้ทันสมัยยิ่งขึ้นตลอดเวลาจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งได้มีการพัฒนาทั้งระบบอิเลกทรอนิกทางอากาศ การป้องกัน และป้อมอินฟราเรด นอกจากนี้นาวิกโยธินสหรัฐได้ใช้ ฮ.ฮิวอี้ในการปฏิบัติการบุกอิรักเมื่อปี พ.ศ.2546 ได้ทำหน้าที่สอดแนมและให้การสื่อสารกับทหารราบ และใช้เพื่อการสนับสนุนทางอากาศระยะใกล้ในสงครามต่าง ๆ

    ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกที่ได้ใช้ ฮ.ฮิวอี้ ในการปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ นั้น นอกจากประเทศไทยแล้ว ยังมีประเทศ แคนาดา อังกฤษ เยอรมนี อิตาลี สเปน กรีซ ออสเตรีย โครเอเชีย เซอร์เบีย ตุรกี อิรัก อิสราเอล เลบานอน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิหร่าน บาห์เรน ซาอุดิมาระเบีย ตูนิเซีย เยเมน ลิเบีย มอลตา โมร็อกโก แองโกลา ยูกันดา ซูดาน โซมาเลีย กายอานา ปานามา เปรู อาร์เจนตินา โคลอมเบีย เอกวาดอร์ โบลิเวีย กัวเตมาลา อุรุกวัย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ศรีลังกา บังคลาเทศ บรูไน เป็นต้น

    รายละเอียดของ ฮ.ฮิวอี้ มีดังนี้ ลูกเรือ 4 นาย (นักบิน นักบินผู้ช่วย หัวหน้าลูกเรือ และพลปืน ความจุ ทหาร 6-8 นาย ความยาว 12.69 เมตร มี 2 ใบพัดเส้นผ่าศูนย์กลางใบพัด 14.6 เมตร ความสูง 4.4 เมตร น้ำหนักเปล่า 2,725.5 กก. น้ำหนักพร้อมบรรทุก 4,762.7 กก. น้ำหนักสูงสุดตอนนำเครื่องขึ้น 4,762.7 กก.

    ขุมกำลัง เครื่องยนต์เทอร์โบชาฟท์แพรทท์ แอนด์วิทนีย์ สองเครื่องยนต์ ให้แรงขับเครื่องละ 900 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 220 กม.ต่อ ชม. พิสัย 460 กม. เพดานบินทำการ 17,300 ฟุต อัตราการไต่ระดับ 1,755 ฟุตต่อนาที อาวุธ จรวดขนาด 2.75 นิ้ว ปืนกลจีเอยู 16.50 คาลิเบอร์ ปืนกลจีเอยู 17 ขนาด 7.62 มม.หรือปืนกลน้ำหนักเบาเอ็ม 240 ขนาด 7.62 มม.

    การสูญเสีย ฮ.ฮิวอี้ และ ฮ.แบล็กฮอว์ค ของไทย ซึ่งเป็น ฮ.ที่มีสมรรถนะที่ดีที่สุดของโลกในเวลาไล่เลี่ยกันนั้นเป็นอุบัติเหตุที่ไม่ มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้น เมื่อเกิดการสูญเสียขึ้นมาแล้วก็เป็นบทเรียนที่จะต้องวางแผนแก้ไขต่อไปในวัน ข้างหน้า ที่สำคัญก็คือการสั่งซื้อ ฮ.ทั้ง 2 แบบของกองทัพไทยก็จะต้องมีขึ้นในอนาคตเพื่อมาทดแทน 2 ลำที่ตกในป่าแก่งกระจาน เพื่อนำมาปฏิบัติภารกิจของกองทัพและช่วยเหลือประชาชน.


    .


    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=656&contentId=152442-


    Daily News Online > Special Report > แบล็กฮอว์ค-ฮิวอี้ ฮ.ระดับสุดยอด กองทัพเกือบทั่วโลกต้องมีไว้ใช้งาน

    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    สารพัด เมนูกบ รสจัดจ้านอร่อยถึงใจ'อ่อมแห้งคั่วไก่'

    ได้มีโอกาสไปเที่ยวโคราชมาครับ และทุกครั้งที่ผมไป ผมจะแวะกินอาหารที่ชาวบ้านในเมืองนั้นรู้จักกันมาเป็นเวลาช้านาน ซึ่งบางร้านคุณพ่อและผมเองเคยไปรับประทานมาตั้งแต่ผมกลับมาจากเมืองนอก ซึ่งเป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้วครับ อย่างร้านที่สัปดาห์นี้ผมกำลังจะพูดถึง นั่นคือ ร้านเจ้น้อยกระโทก

    ร้านนี้เป็นร้านที่ทำอาหารได้อร่อยมาก ทั้งอาหารจีน อาหารไทยอีสาน หรือจะเป็นอาหารไทยแท้ ๆ ก็สามารถทำได้ครับ เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่ผมมีโอกาสไปโคราช ผมจะนัดหมายโดยการโทรศัพท์ไปบอกที่ร้านล่วงหน้าว่าผมจะไปกินข้าวที่ร้าน และทุกครั้งที่ไปทานข้าวที่ร้านนี้ ผมก็ไม่ต้องสั่งอาหารเลยครับ เพราะเขาจะเตรียมอาหารไว้ให้เรียบร้อยหมดแล้ว

    โดยอาหารที่เขาเตรียมไว้ให้นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่ผมชอบ ซึ่งทางเจ้าของร้านจะทราบดีว่าผมชอบอะไรเพราะมาทานหลายครั้งแล้ว อีกทั้งยังมีอาหารแปลก ๆ มาให้ผมได้ลิ้มลองอีกด้วย อย่างครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาทราบว่า ผมชอบกินกบ ก็เลยมี กบทอดกระเทียม มาให้ชิม ยังมีกระดูกติดอยู่เลยนะครับ แต่ว่าข้างในเนื้อจะนุ่ม ส่วนข้างนอกจะกรอบและหอมอบอวลไปด้วยเครื่องเทศที่เขาหมักเนื้อกบซึ่งเขาหมัก ไว้เป็นอย่างดีครับ เมื่อมีคนสั่งก็จะเอาไปทอดให้กิน

    สำหรับเมนูกบ ยังมีอีกหลายอย่างนะครับ มองไปมองมาเขาก็ทำ กบผัดเผ็ด มาให้ ผมกินด้วย การผัดเผ็ดกบจะต้องใส่มะเขือเยอะ ๆ ครับ ผมเองก็ชอบกินของแบบนี้เหมือนกัน ชอบกินเหมือนกับชาวบ้านที่เขากินกันเมื่อสมัยก่อนนะครับ แต่สมัยนี้ผมรู้สึกว่าคนก็เริ่มชอบกินกบเหมือนกันนะครับ เขาผัดมาได้รสชาติจัดจ้านดี กินกับข้าวสวยร้อน ๆ อร่อยเหลือเกินครับ

    แกงคั่วหอยขม ก็มีนะครับ อร่อยเช่นเดียวกัน น้ำแกงข้นดีครับ แต่อย่าราดน้ำแกงมาก เพราะรสชาติเผ็ดพอสมควร ตามมาด้วย คั่วหม่ำ ซึ่งเขาเอาไส้กรอกอีสานที่เรียกว่า หม่ำ ซึ่งทำจากเลือดและทำจากเครื่องในของหมูที่ทำเป็นไส้กรอกเอามาฉีก หมายถึงว่า เขาเอาหม่ำออกจากไส้แล้วเอามาคั่วให้สุก แล้วเอามาผัดคล้าย ๆ กับคั่วกลิ้ง เมื่อผมชิมแล้วอร่อยมากเลยครับ

    นอกจากนี้ ยังมี ต้มขาหมู ด้วยครับ น้ำซุปรสชาติใช้ได้ กลมกล่อมดี ยังมี เต้าหู้ทอดให้กินด้วย กินเล่น ๆ เคี้ยวเพลินดีครับ น้ำจิ้มทำได้ดี อร่อยครับ ที่ร้านนี้เขาก็มี น้ำพริกเหมือนกันนะครับ ที่ทำมาให้ผมกินเป็น น้ำพริกปลาร้า และที่ขาดไม่ได้ก็ต้องมี ปลาร้าผัดแห้ง ที่ผมชอบมากครับ ทั้งน้ำพริกปลาร้า และปลาร้าผัดแห้ง อร่อยทั้งคู่เลยครับ ผมกินไม่คุยกับใครเลย

    มี ผัดหมี่โคราช ผมเป็นคนที่ไม่ชอบกินหมี่เท่าไหร่นัก แต่ถ้าเป็นผัดซีอิ๊วเส้นเล็กผมกิน หรือจะเป็นผัดซีอิ๊วเส้นหมี่ผมก็ชอบกิน แต่ว่าถ้าเป็นผัดหมี่โคราชหรือถ้าไปปักษ์ใต้จะเป็นผัดไทไชยา ผมไม่ค่อยชอบอาหารประเภทนี้นัก แต่จะว่าไปที่ร้านนี้เขาผัดหมี่โคราชได้อร่อยนะครับ ไม่หวานเท่าไร ผมลองชิมไปคำหนึ่ง ฉะนั้นสำหรับอาหารจานนี้ผมก็เลยต้องขอไม่พูดเรื่องนี้เท่าไหร่เพราะผมไม่ ค่อยชอบกิน แต่ทีมงานของผมกินกันเสียจนหมดจานเลยครับ สงสัยจะถูกปากกัน

    มี เมี่ยงปลา ให้ผมกินด้วย ซึ่งเป็นของที่แปลกพอสมควร ไม่เคยกินมาก่อน รสชาติเหมือนเมี่ยงคำครับ การทำนั้นก็จะเอาปลาไปชุบแป้งทอดทำเป็นชิ้นเล็ก ๆ และก็กินกับเครื่องที่เป็นผัก มีน้ำจิ้มคล้าย ๆ น้ำจิ้มที่ใช้จิ้มในเมี่ยงปลาทูเลยครับ เมื่อลองชิมดู ก็อร่อยใช้ได้ครับ ต้องเคี้ยวหน่อยนะครับ แล้วก็ต้องใส่เครื่องให้พอดีกับปากของเรา ไม่เช่นนั้นจะใหญ่เกินไป เอาเข้าปากลำบากครับ

    นอกจากนั้น ยังมี ปีกไก่ทอดน้ำปลา จานนี้อร่อยมากเลย และต้องเรียนตามตรงว่า เป็นอาหารที่ผมโปรดปรานและชอบมาก เวลากินต้องใช้มือจับนะครับถึงจะกินอร่อย ไม่ต้องกลัวมือเลอะครับ ค่อยล้างทีหลังได้

    ยังมี ลาบเลือด มาให้กินด้วยนะครับ ซึ่งเมื่อสมัยก่อน ตอนที่ผมยังหนุ่ม ๆ อยู่ ผมกลับมาจากเมืองนอกก็ได้กินลาบเลือด เป็นซกเล็กเลยครับ เป็นเลือดจริง ๆ เลือดที่เป็นน้ำเลยครับ แดงไปหมด แต่ที่นี่ไม่ถึงขนาดนั้น ผมเลยบอกว่า ผมกลัวเป็นดีซ่านก็เลยขอให้เค้าเอาไปคั่วให้สุก เมื่อกินเข้าไปแล้วไม่อร่อยเท่าลาบเลือดสด ๆ ครับ แต่เพื่อสุขภาพที่ดี อาหารจานนี้ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงนะครับ

    หมี่กะทิ ของที่ร้านนี้ รสชาติใช้ได้ เขาทำได้อร่อย เผ็ดและแซบมากครับ มี หางดง ด้วยครับ ทำอร่อยเหมือนกัน มี อ่อมแห้งคั่วไก่ซึ่งจานนี้ นาน ๆ ทีถึงจะได้กิน แต่ว่า ขึ้นชื่อว่า อ่อม ผมชอบอยู่แล้วครับ เพราะเป็นแกงไทยจริง ๆ คล้ายแกงเผ็ด แต่อ่อมเป็นแกงทางอีสาน มีเครื่องตำอยู่ในนั้น เป็นน้ำใส ๆ และถ้าจะให้ดีจริง ๆ ต้องมีปลาร้าใส่เข้าไปด้วยครับ

    มาคราวนี้ได้กินอาหารจีนด้วย ซึ่งไม่ได้กินมานาน คือ กระเพาะหมูผัดเกี้ยมฉ่าย เป็นของโปรดของผมเลย ผัดมาได้เข้มข้นและอร่อยมาก ๆ ครับ ยังมีอาหารจานหนึ่ง สำหรับคนที่แก่แล้วกระมัง ผมไม่แน่ใจเหมือนกันแต่เขาเอามาให้ผมลอง เรียกว่า ข้าวแบะ คล้าย ๆ ข้าวต้ม แต่ว่าน้ำข้าวต้มจะเป็นน้ำแกงเลียง มีการใส่ผักหลาย ๆ อย่าง เข้าไป มีถั่ว มีข้าวโพด และอื่น ๆ เยอะแยะเลยครับ เมื่อชิมแล้วอร่อยครับ เหมือนกินอาหารไทยแล้วเอาข้าวลงไปคลุก

    ถ้าใครอยากกินอะไรที่อร่อยก็ร้านนี้เลยครับ ร้านเจ้น้อยกระโทก เป็นร้านที่มีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้วครับ แขกบ้านแขกเมืองก็ไปกินที่นั่นอยู่บ่อย ๆ เป็นร้านที่เรียบง่าย ผมชอบนั่งกินข้างนอก ไม่ชอบนั่งในห้องแอร์ มีความสุข สบายและเรียบง่ายดีครับ เพราะฉะนั้นอย่าลืมไปชิมที่ร้านนี้กัน ถ้าผมกลับไปที่โคราชอีก ผมก็จะแวะไปกินร้านนี้อีกครับ.

    ...............................................

    ชิมให้เป็น : ปีกไก่ทอดน้ำปลา

    อาทิตย์นี้จะพูดถึงลักษณะของปีกไก่ทอดน้ำปลาว่าทำไมถึงอร่อยได้ ความจริงแล้ว ความอร่อยของอาหารจานนี้อยู่ที่ข้างนอกของปีกไก่จะต้องกรอบเกรียมนิด ๆ เวลากัดเข้าไปแล้วข้างในจะนุ่มและมีควันขึ้นมาซึ่งจะได้มีกลิ่นของน้ำปลา มีความเค็มและความหวานของเนื้อไก่อยู่นิด ๆ นี่แหละครับ คือ เสน่ห์ของปีกไก่ทอดน้ำปลา

    วิธีการทำให้อร่อยและกรอบนั้น ก็คือ เขาต้องเอาไปหมักน้ำปลาเสียก่อน หลังจากที่เอาปีกไก่ไปหมักเรียบร้อยแล้ว เขาจะเอาไปนึ่งให้สุกก็ได้ หรือเอาไปลวกในน้ำมันที่ไม่ร้อนจนเกินไปนักเพื่อปีกไก่จะได้ไม่ไหม้ก็ได้ โดยจะลวกไม่ให้เหลืองแต่ให้พอสุก ๆ แล้วก็ตักขึ้น ทิ้งไว้ให้เย็น

    จากนั้น เวลาจะเสิร์ฟก็เอาไก่ที่เราได้ลวกน้ำมันหรือเอาไปนึ่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซับน้ำหรือไขมันให้ออกมา แล้วเอาลงไปทอดในกระทะที่มีน้ำมันร้อนจัด น้ำมันที่ร้อนจัดก็จะทำให้ผิวที่เหลือง กรอบในทันที เพราะว่าได้เอาน้ำมันออกไปแล้วครั้งหนึ่ง

    การทำอย่างนี้ เป็นวิธีหรือขั้นตอนเดียวกับการทำทอด เฟรนช์ฟรายส์ เพราะตามหลักแล้ว เฟรนช์ฟรายส์จะต้องทอดครั้งหนึ่ง แล้วต้องทิ้งให้เย็นเสียก่อน จากนั้นถึงจะทอดในน้ำมันร้อน ๆ อีกครั้งหนึ่ง จะได้กรอบนอก นุ่มใน อย่างไรครับ.

    .....................................................

    เข้าครัวกับหมึกแดง : เป็ดตุ๋นสามเซียน

    เครื่องปรุง

    -นํ้าซุป 700 มิลลิลิตร

    -เครื่องยาจีน 1 ห่อ

    -หอยเชลล์แห้ง 10 ตัว แช่นํ้าให้นุ่ม

    -ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ

    -เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ

    -พริกไทยดำ ตามต้องการ

    -นํ้ามันหอย 2 ช้อนโต๊ะ

    -เหล้าจีน 2 ช้อนโต๊ะ

    -เป็ด 1/2 ตัว

    -เห็ดหอมแห้ง 10 ดอก แช่นํ้าให้นุ่ม

    -นํ้ามันงา 1 ช้อนโต๊ะ

    -แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ

    -คะน้าฮ่องกงลวก ตามต้องการ (สำหรับเสิร์ฟ)

    วิธีทำ

    1. นำหม้อตั้งไฟ ใส่นํ้าซุปลงไป ตั้งไฟให้เดือด ใส่เครื่องยาจีน หอยเชลล์แห้ง ต้มพอเดือด ลดไฟลง

    2. ปรุงรสด้วย ซีอิ๊วขาว เกลือป่น พริกไทยดำ นํ้ามันหอย เหล้าจีน ตุ๋นไฟอ่อน ๆ

    3. ใส่เป็ด และเห็ดหอมลงไปตุ๋น ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงหรือจนกว่าจะเข้าเนื้อ

    4. เมื่อตุ๋นได้ที่แล้ว ตักเนื้อเป็ดออกพักไว้

    5. นำนํ้าที่ตุ๋นเป็ดมาทำซอส โดยแบ่งกรองซอสใส่หม้อเล็ก ตั้งไฟให้เดือด ผสมแป้งมันลงไปกับนํ้าซอสที่เย็นแล้วเทลงไปในนํ้าซอส ทำให้ข้น แล้วจึงใส่นํ้ามันงา และปรุงรสอีกครั้ง

    6. ในจานเปล วางคะน้าฮ่องกงลวกลงในจาน แล้วนำเป็ดทั้งชิ้นเลาะกระดูกออกสับเป็นชิ้น เรียงลงบนผักวางรอบ ๆ จานด้วยเห็ดหอมตุ๋น และราดหน้าด้วยซอส เสิร์ฟร้อน ๆ

    ........................................

    หมึกแดง
    หมึกแดงไกด์ เวบไซต์ที่รวบรวมสูตรอาหาร ไทยและเทศ ที่เขียนโดยเชฟหมึกแดง รวมถึงบทความต่าง


    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=486&contentId=152355-




    Daily News Online > หน้าวาไรตี้ > สารพัด เมนูกบ รสจัดจ้านอร่อยถึงใจ'อ่อมแห้งคั่วไก่'

    .





    .












    .
     
  9. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ตักบาตรเทียนเวียงสา ประเพณีบุญหนึ่งเดียวในโลก

    วันศุกร์ ที่ 22 กรกฎาคม 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD><TD id=ext-gen16 style="WIDTH: 57px">รูปภาพ</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]



    [​IMG]

    ชมประเพณีสำคัญหนึ่งเดียวในประเทศไทยของจังหวัดน่าน บรรยากาศงานบุญสุดชื่นมื่นของชาวเวียงสา ประเพณีตักบาตรเทียน หนึ่งเดียวในโลก

    การทำบุญในรูปแบบต่างๆที่เป็นประเพณีสืบทอดกันมาของแต่ละพื้นถิ่นในช่วงเข้าพรรษา นับเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของพื้นที่นั้น อย่าง ประเพณีตักบาตรเทียน ถือเป็นประเพณีท้องถิ่นที่สำคัญของชาวจังหวัดน่านที่สืบต่อกันมาช้านาน และอาจจะเป็นประเพณีที่มีแห่งเดียวในโลกก็ว่าได้

    ประเพณีตักบาตรเทียน กำหนดจัดในวันแรม 2 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปีหรือจำง่ายๆคือหลังวันเข้าพรรษา 1 วัน ในปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม 2554 โดยความเป็นมาของประเพณีนี้สันนิษฐานว่าน่าจะเริ่มตั้งแต่ปี 2344 หลังจาก เจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญทรงสร้างวัดบุญยืนได้ 1 ปี ซึ่งในยุคแรกเป็นประเพณีที่ทำเฉพาะวัดบุญยืนเท่านั้น ในเวลาต่อมาได้ขยายผลไปทั่วอำเภอเวียงสา ทั้งฝ่ายสงฆ์และฝ่ายคฤหัสถ์

    สมัยก่อนพระภิกษสามเณรจะนำเทียนที่ได้จากการใส่บาตรของชาวบ้าน ไปจุดอ่านหนังสือเรียนท่องบทสวดมนต์ เพราะในยุคนั้นยังไม่มีไฟฟ้า ถึงปัจจุบันจะมีไฟฟ้าเข้าถึงแล้ว แต่ประเพณีอันดีงามนี้ก็ถูกสืบทอดต่อมาเรื่อยๆเพราะนับเป็นงานบุญใหญ่ของชาวจังหวัดน่าน โดยทุกวันนี้เทียนที่ได้มาจากการใส่บาตรพระสงฆ์จะห่อเทียนและดอกไม้ด้วยผ้าสบงที่เตรียมมานำกลับวัดซึ่งจะมีการแบ่งปันกันทุกวัด

    ในปีนี้ผมมีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมใน ประเพณีตักบาตรเทียน ที่วัดบุญยืน อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน เป็นครั้งแรก ซึ่งต้องยอมรับว่ารู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอย่างมาก เพราะชาวบ้านในพื้นที่ให้ความสำคัญกับประเพณีมาก เห็นได้ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ชาวบ้านทุกคนเริ่มทยอยเข้ามาที่วัดอย่างต่อเนื่อง

    ซึ่งในช่วงเช้า พระภิกษุสามเณร และคณะศรัทธาสาธุชน จะนำเทียน ดอกไม้ น้ำส้มป่อยหรือน้ำอบหอม มาใส่ลงภาชนะที่จัดเตรียมไว้ภายในพระอุโบสถ อีกทั้งชาวบ้านแต่ละครอบครัวก็จะนำสำรับกับข้าวมาเตรียมถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสามเณร พร้อมทั้งเป็นอาหารกลางวันสำหรับนักท่องเที่ยว และผู้มีจิตศรัทธาทุกคนที่เข้าร่วมงาน เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทุกคนจะได้ลิ้มรสอาหารฝีมือชาวบ้านแต่ละครอบครัว ที่ปรุงรสเพื่อนำมาทำบุญอย่างตั้งใจจริง

    โดยประเพณีตักบาตรเทียนครั้งนี้ มีพระภิกษุสามเณรทั่วทั้งอำเภอเวียงสากว่า 300 รูป จาก 63 วัดเข้าร่วมพิธี หลังจากพระภิกษุสามเณรฉันท์ภัตตาหารเพลเสร็จ ต่อด้วยผู้มีจิตศรัทธารับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ในช่วงบ่ายก็มาถึงการเริ่มพิธีใส่บาตรเทียน ประธานฝ่ายคฤหัสถ์จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย จากนั้นมัคทายกนำกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย นมัสการพระรัตนตรัย อารษธนาศีล 5 และประธานสงฆ์ก็จะให้ศีลผู้เข้าร่วมงานทุกคน

    ต่อมาก็มาถึงขั้นตอนของการใส่บาตรเทียน พระภิกษุสามเณรจะเดินออกจากพระอุโบสถ นำคณะศรัทธาณุชนใส่บาตรเทียนนเวียนรอบโต๊ะที่ตั้งบาตรและวางผ้าอาบน้ำฝนไว้ เมื่อเสร็จพิธีใส่บาตรเทียน ก็จะกลับเข้าไปภายในพระอุโบสถเพื่อทำพิธีสูมาคารวะ(ขอขมา) ที่พระภิกษุสามเณรที่มีอายุพรรษาน้อย จะทำการขอคมาพระภิกษุที่มีอายุพรรษามากกว่า ซึ่งที่วัดบุญยืนเป็นวัดที่มีเจ้าคณะอำเภอและพระเถระที่มีอายุพรรษามากอยู่จำพรรษามาตั้งแต่อดีต

    ชาวบ้านที่เข้าร่วมพิธีมีให้เห็นทุกเพศทุกวัยตั้งแต่ เด็กตัวน้อย ไปจนถึงผู้เฒ่าผู้แก่ นับได้หลายร้อยคน แต่พอถามคนในพื้นที่ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามีวัยรุ่นมาทำบุญในปีนี้น้อยลง สาเหตุอาจเป็นเพราะเหตุการณ์น้ำท่วมก่อนหน้านี้ ที่หนุ่มสาวที่อยู่ห่างบ้าน ต่างลางาน ลาเรียน มาเยี่ยมเยียนบ้านกันบ้างแล้ว ทำให้บรรยากาศไม่คึกคักเท่าที่ควร

    ประเพณีตักบาตรเทียนถือเป็นประเพณีสำคัญที่มีแห่งเดียวในประเทศไทย ซึ่งอยู่คู่กับชาวอำเภอเวียงสามาเป็นเวลาช้านาน โดยไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบไปจากสมัยก่อนแม้แต่น้อย เราจึงควรอนุรักษ์และช่วยกันรักษาประเพณีนี้ไว้ใก้อยู่คู่กับชาวเวียงสา และประเทศไทยตลอดไป

    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong</td></tr></tbody></table>

    อรุณสวัสดิ์ยามเช้า วันเสาร์สุขสันต์ครับ

    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    รังนกแท้ 100% แท้จริงมีผสมแค่ 1% จริงหรือ !?


    [​IMG]

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

    หลังจากที่มีผู้ร้องเรียนถึงการโฆษณาของผลิตภัณฑ์รังนกที่ระบุว่า เป็น รังนกแท้ 100 % ทั้ง ๆ ที่แท้มีแค่ 1% เศษ อีกทั้งยังใช้คำกำกวม และให้ข้อมูลไม่ครบถ้วนลงบนฉลากสินค้า แต่ผู้ร้องเรียนกลับถูกผู้ประกอบการฟ้องกลับ เหตุเพราะไปลดความน่าเชื่อถือของตัวสินค้านั้น ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จึงได้ทำการตรวจสอบ 4 แบรนด์ดังในตลาด ซึ่งพบว่า มีแบรนด์ดังถึง 3 แบรนด์ ที่เป็นไปตามข้อร้องเรียน จึงได้จับมือกับผู้ร้องเรียนเดินหน้าสู้คดีให้ถึงที่สุด พร้อมร้อง อย. ให้ทบทวนการโฆษณาดังกล่าว

    วานนี้ (21 กรกฎาคม) มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคร่วมกับเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคตะวันตก ได้แถลงข่าวผลการดำเนินงานคุ้มครองความปลอดภัยด้านอาหารและเฝ้าระวังโฆษณา ผลิตภัณฑ์สุขภาพบนสื่อวิทยุชุมชุนและเคเบิลทีวี ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมของโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกการคุ้มครอง ความปลอดภัยด้านอาหารโดยผู้บริโภคภายใต้การสนับสนุนของแผนงานคุ้มครองผู้ บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.)

    จากกรณีที่ นายเธียร ลิ้มธนากุล กรรมการผู้จัดการบริษัทโฆษณารายหนึ่ง ได้ติดตั้งป้ายมีข้อความว่า "ผลวิจัย ม.มหิดล รังนกสำเร็จรูปชื่อดัง ใส่รังนกแท้แค่ 1% เศษ" แต่ถูกสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทยกล่าวหาว่ากระทำผิดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพโฆษณา ซึ่ง นายเธียร เห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะทำไปเพื่อเตือนผู้บริโภค ไม่มีเจตนาลดความน่าเชื่อถือธุรกิจรังนก มูลนิธิจึงได้รับเรื่องไว้ แล้วเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์รังนกสำเร็จรูปที่วางจำหน่ายทั่วไปในตลาดจำนวน 4 ตราสินค้า พบว่าข้อความที่ นายเธียร ได้นำเสนอบนป้ายโฆษณาเป็นข้อมูลจริงที่ปรากฏชัดเจนจากฉลากบนผลิตภัณฑ์รังนก

    ทางด้าน น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า หลังจากการศึกษาข้อมูลจากผลิตภัณฑ์รังนกสำเร็จรูป 4 ตราสินค้า พบว่า จำนวน 3 ใน 4 ของตราสินค้า ได้ระบุที่ฉลากว่า มีรังนกแห้งเป็นส่วนประกอบจริงแค่ 1% เศษ เท่านั้น ทางมูลนิธิจึงเป็นกำลังใจให้กับนายเธียร และพร้อมที่จะทำการสนับสนุนเพื่อสู้คดีในกรณีที่นายเธียรถูกฟ้องร้องจากผู้ ประกอบการบริษัทผลิตรังนก

    ขณะที่ นายพชร แกล้วกล้า ผู้ประสานงานโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกการคุ้มครองความปลอดภัยด้าน อาหารโดยผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า กรณีรังนกสำเร็จรูปนี้ แสดงส่วนประกอบพบว่า รังนกแห้งที่ 1% เศษ และส่วนประกอบอื่น ๆ อีกเล็กน้อย ซึ่งจะเห็นได้ว่าทั้ง 3 ตราสินค้า ไม่มีตราใดที่ระบุส่วนผสม 100% ทำให้เกิดคำถามคือ แล้วส่วนประกอบที่เหลือที่ขาดหายไปนั้น มันคืออะไร สภาพวุ้นในสินค้าแต่ละขวดเป็นส่วนประกอบของอะไร

    นอกจากนี้ การติดตราฉลากสินค้ายังก่อให้เกิดความสับสนกับผู้บริโภค เพราะใช้คำกำกวม เช่น คำว่า "รังนกแท้" หรือ คำว่า "รังนกแท้ 100% จากถ้ำธรรมชาติ" ขณะที่บางตราสินค้าใช้คำว่า "เครื่องดื่มรังนก" จากฉลากดังกล่าวจะทำให้ผู้บริโภคเข้าใจว่า ข้อมูลที่ได้เห็นนั้นได้รับรองจากทาง อย. แล้ว ซึ่งทาง อย. ควรต้องชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ผู้ประกอบการสามารถใช้คำดังกล่าวบนฉลากได้หรือไม่ ซึ่ง นายพชร ได้ขอแจ้งและเรียกร้องให้ทาง อย. ทบทวนการอนุญาตให้ใช้ข้อความเหล่านี้บนฉลากเพราะอาจจะทำให้เกิดความสับสนแก่ ผู้บริโภค และให้ยกเลิกการโฆษณาบนฉลากอาหารเหล่านี้ พร้อมปรับปรุงฉลากใหม่ที่ให้ข้อมูลตามข้อเท็จจริง

    ทางด้าน รศ.ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล สถาบันวิจัยโภชนาการ ม.มหิดล เผยว่า ได้ทำการวิเคราะห์ส่วนประกอบสารอาหารในผลิตภัณฑ์รังนกสำเร็จรูปไว้นานแล้ว บนฉลากเขียนไว้ว่ามีรังนก 1% เศษ เมื่อตรวจสอบในทางวิทยาศาสตร์แล้วพบว่า รัง นก 1 ขวดมีคุณค่าทางโภชนาการเท่ากับนมสดครึ่งช้อนโต๊ะ หรือถั่วลิสง 2 เมล็ด หรือไข่นกกระทา 1/4 ฟอง จึงอยากให้ผู้บริโภคจะต้องใช้วิจารณญาณในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารต่าง ๆ ว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปหรือไม่

    งานนี้ทางผู้ประกอบการจะว่าอย่างไร แล้วรังนกแท้จริง ๆ นั้นมีอยู่หรือไม่ หรือเป็นแค่การโฆษณาที่หลอกลวงประชาชนเพียงเท่านั้น ???





    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
    -http://thaipost.net/x-cite/220711/42128-

    [​IMG]





    -http://hilight.kapook.com/view/61054-


    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    โดน!!! ตรรกะเพี้ยน เรื่องจริงในสังคมไทย




    [​IMG]


    เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ P.Ach

    อ่านข่าวทีไรพาลให้หงุดหงิดใจเสียทุกที ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองยันชาวบ้านชาวช่องก็มีข่าวทะเลาะกันขึ้นหน้า 1 ให้เห็นแทบจะทุกวัน แล้วต่างฝ่ายต่างก็อ้างเหตุผลขึ้นมาคนละมุม ถึงว่าล่ะ...จูนกันไม่ลงตัวสักที

    ในฐานะคนนอกอย่างเรา ๆ บางข่าวฟังไปฟังมาแล้วเก็บมานั่งคิดดู อยู่ ๆ ก็เกิดความรู้สึกว่า เอ...คนไทยเข้าใจคำว่า "เหตุผล" มากน้อยแค่ไหนกันนะ เพราะบางเหตุผลที่ฝ่ายนู้นอ้าง ฝ่ายนี้แจง ฝ่ายนั้นโต้กลับ ก็ดูทะแม่ง ๆ พิกล แต่ก็หยิบมาเถียงกันให้เป็นเรื่องใหญ่จนได้ ทั้ง ๆ ที่ บางเรื่อง "ใครผิดใครถูก" ก็เห็นกันอยู่ทนโท่

    บ่นมาตั้งนาน ไม่ใช่อะไรหรอกจ้ะ พอดีกระปุกดอทคอมชะแว้บไปเห็นการ์ตูนเจ๋ง ๆ จากบล็อกของ คุณ P.Ach ที่ประชด เอ้ย...บอกเล่าเรื่องราว "ตรรกะเพี้ยน ประเทศไทย" ได้อย่างแสบ ๆ คัน ๆ เลยขออนุญาตมาเผยแพร่ต่อ อ่านแล้ว บอกคำเดียวว่า โดนอ่ะ!!!


    [​IMG]

    -http://hilight.kapook.com/view/61038-

    .

    http://hilight.kapook.com/view/61038

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2011
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    เตรียมตัว เตรียมใจ ก่อนข้อเข่า...เสื่อม


    โรคข้อเข่าเสื่อม เป็นปัญหาที่สำคัญ ซึ่งพบมากในวัยกลางคน และผู้สูงอายุ และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อมมาก ถ้าไม่ได้รับการรักษา หรือปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม อาจทำให้มีความเจ็บปวด ข้อเข่าผิดรูป เดินได้ไม่ปกติ ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ไม่สะดวก มีความทุกข์ทรมาน ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ

    โรคข้อเข่าเสื่อม เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของกระดูกอ่อนผิวข้อ ทั้งทางด้านรูปร่าง โครงสร้างการทำงานของกระดูกข้อต่อ และกระดูกบริเวณใกล้ข้อ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ไม่สามารถกลับสู่สภาพเดิมและอาจมีความเสื่อมรุนแรงขึ้นตามลำดับ

    ข้อเข่าเสื่อมแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ตามลักษณะการเกิดคือ

    1. ความเสื่อมแบบปฐมภูมิ หรือ ไม่ทราบสาเหตุ เป็นภาวะที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของผิวกระดูกอ่อนตามวัย ซึ่งสัมพันธ์กับอายุที่มากขึ้น น้ำหนักตัว เพศโดยเฉพาะเพศหญิง และกรรมพันธุ์

    2. ความเสื่อมแบบทุติยภูมิ เป็นความเสื่อมที่ทราบสาเหตุ เช่น เคยประสบอุบัติเหตุมีการบาดเจ็บที่ข้อและเส้นเอ็น การบาดเจ็บเรื้อรังที่บริเวณข้อเข่า จากการทำงานหรือเล่นกีฬา โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เกาต์ ข้ออักเสบติดเชื้อ โรคของต่อมไร้ท่อ เป็นต้น

    อาการแสดงในระยะแรก เริ่มปวดเข่าเวลามีการเคลื่อนไหว เช่น เดิน ขึ้นลงบันได หรือนั่งพับเข่า อาการจะดีขึ้นเมื่อหยุดพักการใช้ข้อ ร่วมกับมีอาการข้อฝืดขัดโดยเฉพาะเมื่อมีการหยุดเคลื่อนไหวเป็นเวลานาน เมื่อเริ่มขยับข้อจะรู้สึกถึงการเสียดสีของกระดูกหรือมีเสียงดังในข้อ เมื่อมีภาวะข้อเสื่อมรุนแรง อาการปวดจะรุนแรงมากขึ้น เหยียดหรืองอข้อเข่าได้ไม่ค่อยสุด กล้ามเนื้อต้นขาลีบ ข้อเข่าโก่ง หลวม หรือบิดเบี้ยวผิดรูป ทำให้เดินและใช้ชีวิตประจำวันลำบาก นอกจากนี้ยังมีอาการปวดเวลาเดินหรือขยับอีกด้วย

    การวินิจฉัย สามารถทำได้จากการซักประวัติ และตรวจร่างกาย โดยแพทย์ร่วมกับถ่ายภาพรังสีซึ่งสามารถบอกความรุนแรงของโรคได้
    การรักษา ผู้ป่วยที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อม สามารถทำได้ดังนี้

    1. การปรับอิริยาบถในชีวิตประจำวัน เช่น หลีกเลี่ยงการนั่งพับเพียบ คุกเข่า ขัดสมาธิขึ้นลงบันไดโดยไม่จำเป็น หรือ การยกหรือแบกของ
    หนัก ๆ ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไป ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้กล้ามเนื้อรอบข้อแข็งแรง ในระยะที่มีอาการปวดควรหลีกเลี่ยง กีฬาที่ต้องกระโดด เช่น วิ่ง หรือเล่นเทนนิส เป็นต้น การออกกำลังกายที่แนะนำ ได้แก่ ว่ายน้ำ เดิน เป็นต้น

    2.การใช้ยาบรรเทาอาการข้อเสื่อม เพื่อลดอาการปวดและอักเสบภายในข้อ ได้แก่ ยาแก้ปวดพาราเซตามอล ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยาพยุงหรือลดความเสื่อม เป็นต้น ซึ่งการรับประทานยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ส่วนการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าข้อนั้น สามารถลดอาการปวดในช่วงสั้น ๆ 2-3 สัปดาห์ ต้องอยู่ในการดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ แต่ไม่ควรฉีดประจำ เนื่องจากจะทำลายกระดูกอ่อนข้อต่อได้

    3.การรักษาโดยการผ่าตัด มีวิธีการผ่าตัดต่าง ๆ เช่น การส่องกล้องภายในเข่าเพื่อตรวจสภาพและล้างภายในข้อ ใช้ในกรณีที่มีเศษกระดูกอ่อนมาขวางการเคลื่อนไหวของเข่าและเป็นข้อเข่า เสื่อมในระยะแรก ส่วนการผ่าตัดปรับแนวข้อ ทำในกรณีที่มีการผิดรูปของข้อ โดยแก้ไขแนวแรงให้กระจายไปยังจุดที่ผิวข้อยังดีอยู่ และการผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียม ซึ่งเป็นวิธีการรักษาภาวะข้อเข่าเสื่อม ในระยะปานกลางถึงระยะรุนแรง ที่ให้ผลการรักษาดีที่สุด คือ ทำให้หายปวดเข่า ข้อเข่ากลับมาเคลื่อนไหวได้ดีดังเดิม ผู้ป่วยเกือบทั้งหมดพึงพอใจต่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นภายหลังผ่าตัด สำหรับประเทศไทยมีการผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียมมานานกว่า40 ปีแล้ว และในปัจจุบันโรงพยาบาลรามาธิบดีมีการผ่าตัดราว 30-40 รายต่อเดือน ซึ่งข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดข้อเข่าเทียมคือ ผู้ป่วยที่มีอาการปวด ซึ่งส่งผลต่อการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของผู้ป่วย และได้รับการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ แล้วไม่ได้ผล

    หากมีข้อสงสัยประการใด สามารถติดต่อสอบถามได้ที่แผนกผู้ป่วยนอกออร์โธปิดิกส์ โซน เค อาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี หมายเลขโทรศัพท์ 0-2200-3232-4

    ศาสตราจารย์คลินิกวิโรจน์ กวินวงศ์โกวิท
    ภาควิชาออร์โธปิดิกส์
    คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล


    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=506&contentId=152610-

    .

    Daily News Online > เสาร์สปอร์ต > แรงงาน-สาธารณสุข > หมอรามาฯ ไขปัญหาสุขภาพ > เตรียมตัว เตรียมใจ ก่อนข้อเ
     
  14. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405


    หากมีข้อสงสัยประการใด สามารถติดต่อสอบถามได้ที่หมอเอก หมายเลขโทรศัพท์ ดังที่ได้แจ้งไว้นะครับ (kiss)
     
  15. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    สวัสดี เช้าวันเสาร์ครับ ทุกท่าน
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    แกงมัสมั่น เจ๋ง คว้าที่ 1 เมนูโดนใจคนทั่วโลก

    อาหารไทยสร้างชื่อ ซีเอ็นเอ็นโก จัดอันดับสุดยอดอาหาร 50 เมนูโลก มัสมั่น คว้าที่ 1 ต้มยำกุ้ง ที่ 8 น้ำตกหมู ที่ 19 และส้มตำ อันดับที่ 46 จากการโหวตของคนทั่วโลก

    [​IMG]


    ซีเอ็นเอ็นโก สุดยอดเว็บไซต์ กิน ดื่ม เที่ยว แหล่งรวบรวมเรื่องราวและวัฒนธรรมทั่วโลก ของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น จัดอันดับสุดยอด 50 เมนูอาหาร ที่เรียกได้ว่าเป็นอาหารระดับโลก โดยสำรวจเมนูอาหารที่อร่อยที่สุดจากโพลล์ในเฟซบุ๊ค
    ผลปรากฏว่าจาก 50 อันดับเมนูอาหารที่ได้รับการโหวต มีอาหารไทยพาเหรดติดอันดับเข้ามาอย่างถ้วนหน้า โดยอันดับ 1 เป็น "แกงมัสมั่น" ที่ชนะเลิศทุกเมนูทั่วโลก พ่วงด้วย “ต้มยำกุ้ง” อันโด่งดังในอันดับที่ 8 ตามมาติดๆ ในอันดับที่ 19 กับเมนู “น้ำตกหมู” และปิดท้ายด้วยอันดับที่ 46 กับเมนูชื่อดัง อย่าง “ส้มตำ”
    สำหรับ 10 แรกสุดยอดเมนูของโลก 1. แกงมัสมั่น จากประเทศไทย 2. นีอาโพลิแทนพิซซ่า จากอิตาลี 3. ช็อคโกแลต จากเม็กซิโก4. ซูชิ จากญี่ปุ่น 5. เป็ดปักกิ่ง จากจีน 6. แฮมเบอเกอร์ จากเยอรมันนี 7. ปีนัง แอสซัม เอียกคา จากมาเลเซีย 8. ต้มยำกุ้ง จากประเทศไทย 9. ไอศกรีม จากสหรัฐอเมริกา 10. ชิคเก้น มวมบา จากกาบอน 19. น้ำตกหมู จากประเทศไทย 46. ส้มตำ จากประเทศไทย



    .




    -http://www.posttoday.com/%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81/101189/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%8B%E0%B8%87-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-1-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-


    แกงมัสมั่น เจ๋ง คว้าที่ 1 เมนูโดนใจคนทั่วโลก - โพสต์ทูเดย์ ข่าวรอบโลก
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • posttoday.jpg
      posttoday.jpg
      ขนาดไฟล์:
      104 KB
      เปิดดู:
      629
  19. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    'ฝังเข็ม' รักษาโรค...ฟื้นฟูสมองลดความเสี่ยงอัมพฤกษ์-อัมพาต

    วันอาทิตย์ ที่ 24 กรกฎาคม 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD><TD id=ext-gen16 style="WIDTH: 57px">รูปภาพ</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]




    [​IMG]

    โรคอัมพฤกษ์อัมพาต เป็นโรคที่เป็นเรื้อรังยากแก่การรักษาให้หายเป็นปกติและต้องใช้เวลานาน สร้างความท้อแท้ให้แก่ผู้ป่วยและญาติ แต่ล่าสุดกรณีอาการของ พ.ต.พญ.หทัยพร อิ่มวิทยาหรือ “หมอมุก” แพทย์ประจำ รพ.พระมงกุฎ ที่ประสบอุบัติเหตุถูกรถชนได้รับความกระทบกระเทือนทางสมอง จนล่าสุดมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ก็เนื่องจากการนำศาสตร์แพทย์แผนจีนอย่าง “การฝังเข็ม” มารักษาร่วมด้วยจึงได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจ

    ดร.คิงส์ตัน ซี ฮาว อุย แพทย์แผนจีนด้านการฝังเข็มฟื้นฟูระบบประสาท ดร. คิงส์ตันคลินิก ให้ความรู้ว่า ในประเทศไทยผู้ที่ประสบอุบัติเหตุทางสมองส่วนใหญ่มาจากการขับขี่รถจักรยานยนต์จนกลายเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต ซึ่งการเกิดอุบัติเหตุดังกล่าวทำให้สมองได้รับการกระทบกระเทือนจนเลือด ลม อุดและคั่งค้างอยู่จุดใดจุดหนึ่งในสมอง ซึ่งก็เหมือนกับคนที่ช้ำใน เลือดออกข้างในแต่เรามองไม่เห็นและถ้ามันคั่งอยู่จะกลายเป็นเลือดเสียจนอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้

    สมัยก่อนการรักษาแบบแพทย์แผนจีนที่รักษาอวัยวะช้ำในส่วนใหญ่จะนำเอาเลือดเสียที่อุดอยู่ปล่อยออกมาให้ได้ หลังจากนั้นจึงจะรักษาต่อได้ เช่น คนที่ประสบอุบัติเหตุทางสมองทำให้ระบม ยกตัวอย่างเช่นหมอมุก โดยจะมีอาการช้ำในและปวดหลังจากเลือดหยุดแล้ว และจะมีเวลาปวด อักเสบ และไข้ขึ้นอยู่ประมาณ 2-6 สัปดาห์ ซึ่งระหว่างนี้ต้องมีการผ่าตัดนำเอาเลือดเสียออก หลังจากนั้นเราจะเริ่มทำการฟื้นฟูด้วยการฝังเข็ม ช่วงเวลาของการฟื้นฟูด้วยการฝังเข็มที่ได้ผลที่สุดคือ 6 สัปดาห์ถึง 6 เดือน หลังจากประสบอุบัติเหตุ

    ช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่สำคัญที่เราจะรีบเร่งรักษาด้วยการฝังเข็ม แต่บางศาสตร์บอกว่าช่วงนี้ควรทำกายภาพบำบัด แต่ถ้าเป็นคนไข้ที่ไม่สามารถขยับตัวได้ การทำกายภาพบำบัดก็ช่วยอะไรไม่ได้ ซึ่งการฝังเข็มจะมีจุดเด่นตรงนี้ที่สามารถช่วยให้คนไข้สามารถเคลื่อนไหวได้ และเมื่อเคลื่อนไหวได้ก็สามารถทำกายภาพบำบัดได้ดี ดังนั้นจึงต้องทำควบคู่กันไปจึงจะได้ผลดีที่สุด

    อย่างไรก็ตามวิธีการฝังเข็มรักษาสมองก็ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ด้วยว่าถ้าหากคนไข้ไม่สามารถนั่งได้ มือไม่สามารถขยับหรือใช้งานได้ ยืนไม่ได้ การควบคุมปัสสาวะไม่ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับเส้นประสาทของการสั่งงานต่าง ๆ ดังนั้นเมื่อสมองไม่สามารถสั่งการได้อวัยวะต่าง ๆ ก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ โดยวิธีรักษาเราจะเริ่มดูว่าคนไข้เป็นอัมพาตข้างซ้ายหรือข้างขวา ถ้าหากเป็นข้างซ้ายสมองสั่งการจะอยู่ด้านขวา แต่ถ้าเป็นด้านขวาสมองสั่งการจะอยู่ด้านซ้ายซึ่งมันจะสลับนอกจากนี้การฝังเข็มที่ศีรษะมีจุดตำแหน่งเยอะมาก แพทย์จึงต้องชำนาญมากในการวินิจฉัยก่อนทำการรักษา

    ศีรษะของมนุษย์มีตำแหน่งเส้นประสาทมากมาย เช่น ตำ แหน่งเส้นประสาทเกี่ยวกับการสัมผัส ความรู้สึก การพูด การมองเห็น การทรงตัว โดยแพทย์จะต้องวินิจฉัยว่าคนไข้แต่ละคนจะต้องฝังเข็มกี่จุดและใช้ตำแหน่งใดบ้าง และแพทย์ก็จะทำการฝังเข็มที่ผิวหนังบนศีรษะ ซึ่งบริเวณนี้จะมีจุดที่เข็มสามารถกระตุ้นและสะท้อนเข้าไปอยู่ในเส้นประสาทสมอง หรือเราเรียกว่า “จุดสะท้อน” ซึ่งเหมือนกับการเปิดจุดเชื่อมโยงต่อกับเส้นประสาท ทำให้มีออกซิเจนและเลือดเข้าไปไหลเวียนอยู่ในสมองมากขึ้น ทำให้สมองมีการตื่นตัว และเมื่อสมองมีการตื่นตัวมากขึ้น เซลล์สมองที่เกี่ยวกับเส้นประสาทก็จะกลับมาสมบูรณ์มากขึ้น

    เข็มที่ใช้จะเป็นเข็มที่นำเข้าจากประเทศจีนมีลักษณะกลมมนไม่เหมือนเข็มเย็บผ้าที่เมื่อเข้าไปในผิวหนังแล้วจะรู้สึกเจ็บ แต่เข็มที่แพทย์ใช้เมื่อฝังเข้าไปใต้ผิวหนังแล้วจะไม่รู้สึกเจ็บ และเมื่อดันเข้าไปถึงจุดจะรู้สึกตึง หน่วง เสียว ร้อน เราเรียกว่าเป็นจุดลมปราณ โดยรวมจะใช้เข็มประมาณ 13-14 อัน และใช้เวลาปักเข็มนานประมาณ 2-3 ชั่วโมง ระหว่างที่มีเข็มปักติดอยู่ที่ศีรษะ หมอจะเร่งการฟื้นฟูด้วยการให้ฝึก เช่น มือจับใช้การไม่ได้ก็จะให้ฝึกจับปากกาไปด้วย หรือพูดไม่ได้ก็จะฝึกให้เปล่งเสียงไปด้วย แต่ต้องให้อยู่ในห้องที่เงียบมีสมาธิ หลังจากนั้นประมาณ 2 ชั่วโมงก็จะถอดเข็มออก ซึ่งคนไข้ที่เป็นใหม่ ๆ จะแนะนำให้ฝังเข็มประมาณอาทิตย์ละ 6 วัน เมื่ออาการดีขึ้นจะฝังเข็มสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ซึ่งขึ้นอยู่กับการพัฒนาของคนไข้ด้วย บางคนก็ไม่หายร้อยเปอร์เซ็นต์อาจจะแค่ 30 เปอร์เซ็นต์หรือบางคนก็สามารถหายและใช้ชีวิตได้เป็นปกติ

    สำหรับการรักษาด้วยการฝังเข็มให้แก่ผู้ที่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตจากการประสบอุบัติเหตุที่เป็นมานานหลายปีแล้วก็ยังสามารถรักษาได้ แต่ขึ้นอยู่กับอายุด้วย ซึ่งอายุไม่ควรเกิน 50 ปีจึงมีโอกาสหายได้ เพราะเป็นวัยที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์อยู่ โอกาสที่จะทำการฟื้นฟูก็ดีกว่า แต่ต้องใช้เวลานานกว่าคนที่เพิ่งเป็น บางคนอาจหายเป็นปกติ หรือบางคนก็ไม่หายเป็นปกติแต่อาการดีขึ้นกว่าเดิม

    นอกจากการฝังเข็มจะช่วยรักษาฟื้นฟูสมองผู้ที่ประสบอุบัติเหตุแล้วยังสามารถรักษาได้อีกหลายโรค เช่น โรคอัลไซเมอร์ พาร์กินสัน เด็กที่ขาดออกซิเจนมีอาการชัก กล้ามเนื้ออ่อนแรง ฯลฯ กรณีที่ฝังเข็มรักษาหายแล้วและหยุดฝังเข็มจะสามารถกลับมาเป็นโรคได้อีก เช่น คนไข้ที่เป็นเส้นโลหิตตีบ เพราะไม่ดูแลเรื่องอาหารการกิน เช่น กินเค็ม กินมัน ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หรือออกไปตากแดด จัด ๆ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เพราะเส้นโลหิตสมองจะบอบบางกว่าคนอายุน้อย ๆ หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ เช่น การงานหนักจนเหนื่อยมากเกินไป

    ดังนั้นจึงแนะนำให้คนไข้ตรวจร่างกายเป็นประจำ โดยเฉพาะเรื่องความดัน หัวใจ และการใช้ยาก็ควรระมัดระวังเพราะอาจทำให้ไตเสื่อมได้ ที่สำคัญไม่ทานอาหารรสจัด พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ ทำอารมณ์ให้แจ่มใสร่าเริง ส่วนญาติผู้ป่วยต้องเข้า ใจอารมณ์ผู้ป่วยเพราะมักจะมีอารมณ์ท้อแท้ ท้อใจ ถ้าหากเป็นมากควรต้องรักษาร่วมกับจิตแพทย์ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเราควรป้องกันอุบัติเหตุไว้ก่อนด้วยการสวมหมวกกันน็อกทุกครั้งที่ขับขี่หรือซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ หรือหากเดินทางโดยรถยนต์ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยและเด็กที่เล่นกีฬาผาดโผนก็ควรเซฟตัวเองให้มาก ๆ.

    ...................

    เคล็ดลับสุขภาพดี : แนะวิธีดูแล 'ฟัน' ให้ขาวสะอาดมีสุขภาพดี

    การมีฟันขาวถือเป็นการสร้างบุคลิกภาพที่ดีอย่างหนึ่งให้กับเราเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ แต่บางคนกลับขาดความมั่นใจเนื่องจากฟันไม่ขาวแถมยังมีสุขภาพไม่ดีอีกด้วย วันนี้เคล็ดลับสุขภาพดีมีวิธีแก้ไขให้ฟันขาวสะอาดและมีสุขภาพแข็งแรงมาฝากกันค่ะ

    ทันตแพทย์หญิงอรสิริ จันทนฤกษ์ แพทย์แผนกทันตกรรมโรงพยาบาลยันฮี ให้ความรู้ว่า การที่คนเรามีสีฟันไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของโครงสร้างฟัน พันธุกรรมและปัจจัยอื่น ๆ ที่ได้รับ โดย โครงสร้างของฟัน ประกอบด้วยเคลือบฟันคือชั้นนอกสุดมีสีขาวใส ถัดมาคือ เนื้อฟัน จะมีสีที่แตกต่างกัน เช่น เหลือง น้ำตาล ชั้นในสุด คือ โพรงประสาทฟัน คนที่อายุน้อยเคลือบฟันจะมีความหนา ฟันจึงดูขาว เมื่ออายุมากขึ้นชั้นเคลือบฟันบางลงทำให้เห็นสีของเนื้อฟันมากขึ้น ฟันจึงมีสีเหลืองมากขึ้น และกรณีที่มีปัจจัยอื่น ๆ ร่วม ได้แก่ ปัจจัยภายนอก เช่น คราบอาหาร ชา กาแฟ หินปูน ส่วนปัจจัยภายใน เช่น การได้รับยาปฏิชีวนะกลุ่มเตตร้าซัยคลิน ได้รับฟลูออไรด์มากเกินไป การมีฟันผุ ฟันตาย ฟันได้รับอุบัติเหตุ เป็นต้น

    หากใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับสีของฟัน การฟอกสีฟันก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้ฟันขาวขึ้นได้ แต่แพทย์จะวินิจฉัยผู้ป่วยแต่ละรายด้วยว่าเหมาะสมจะฟอกสีของฟันหรือไม่ เช่น กรณีที่ฟันเหลืองจากคราบอาหาร บุหรี่ หินปูน ไม่จำเป็นต้องฟอกสีฟัน แต่สามารถกำจัดออกได้ด้วยการขูดหินปูนและขัดฟัน แต่ถ้าฟันสีเข้มไม่มากก็สามารถฟอกสีฟันได้ส่วนกรณีที่ฟันมีสีเข้มมาก ๆ เช่น ได้รับยาปฏิชีวนะ หรือฟลูออไรด์มากเกินไป ซึ่งจะมีสีน้ำตาลเข้ม เทาเข้มถึงดำ ทำให้พบฟันตกกระร่วมกับมีการกร่อนของฟันจะไม่สามารถแก้ไขด้วยการฟอกฟันแต่จะแนะนำให้ทำการเคลือบฟัน และกรณีมีฟันผุ ต้องทำการอุดและหากมีฟันตายแพทย์จะแนะนำให้ทำการเคลือบฟัน

    นอกจากนี้การเลือกอาหารก็สำคัญ เพราะหากเลือกรับประทานไม่ถูกต้อง อาหารอาจกลายเป็นศัตรูของฟันได้ ฉะนั้นเราจึงควรเลือกรับประทานอาหารเพื่อดูแลสุขภาพฟันให้สะอาดแข็งแรงด้วยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ มีคุณค่าทางโภชนาการ อาหารพวกแป้งและน้ำตาลให้กินในมื้ออาหารและกินอาหารในกลุ่มโปรตีนและผลไม้เป็นอาหารว่าง ไม่กินจุบกินจิบ โดยอาหารที่มีประโยชน์ เช่น นมและผลิตภัณฑ์จากนม ผักผลไม้ หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดฟันผุ เช่น ของหวานเหนียวติดฟัน น้ำอัดลม และหลีกเลี่ยงอาหารที่แข็งที่อาจทำให้ฟันร้าวหรือแตกได้ เช่น น้ำแข็ง ก้ามปู แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หลังรับประทานอาหารแล้วต้องมีการดูแลทำความสะอาดฟันด้วยการแปรงฟัน ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ ใช้ไหมขัดฟันอย่างถูกวิธี หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ก่อให้เกิดคราบสีบนผิวฟัน เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มชา กาแฟ และควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันทุก 6 เดือน

    หากปฏิบัติได้อย่างที่แนะนำไปเชื่อว่าเราจะมีฟันที่ขาวสะอาดและมีสุขภาพดี ยิ้มได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องอายใคร.

    ...................

    สรรหามาบอก

    - โรงพยาบาลกรุงเทพ ร่วมกับศูนย์เยาวชนลุมพินีและสำนักวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวกรุงเทพมหานคร ขอเชิญชวนคนรักสุขภาพทุกท่านเข้าร่วมกิจกรรม “รวมพลคนกรุงสุขภาพดี” รับฟังสาระความรู้เรื่อง “โรคต้อหิน” และร่วมพูดคุยเคล็ดลับการดูแลสุขภาพจากแพทย์ พร้อมรับบริการตรวจสุขภาพเบื้องต้น อาทิ ตรวจวัดความดันโลหิต ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด เฉพาะ 100 ท่านแรกที่ลงทะเบียนหน้างาน กรุณางดน้ำและอาหาร 6-8 ชั่วโมง (โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย) ใน วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม 2554 เวลา 06.00– 09.00 น. ณ ด้านหน้าอาคารพลเมืองอาวุโส กรุงเทพมหานคร สวนลุมพินี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 1719

    - คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ขอเชิญชวนประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมอบรมเรื่อง “รามาธิบดี : ห่วงใยใส่ใจสุขภาพฟัน” ใน วันพุธที่ 27 กรกฎาคม 2554 เวลา 08.30-15.00 น. ณ ห้องประชุมอรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ ศูนย์การแพทย์ สิริกิติ์ ชั้น 5 โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ สนใจสอบถามเพิ่มเติมและสมัครลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่โทร. 0-2201-2521

    - โรงพยาบาลปิยะเวท ขอเชิญผู้สนใจร่วมฟังเสวนาเรื่อง นวัตกรรมการฟื้นฟูสภาพผิวหน้าด้วยเลเซอร์ยุคใหม่, การเตรียม พร้อมสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ และการปรับสมดุลฮอร์โมนดูแลร่างกายแบบองค์รวม ในงาน “Ladies…Love to be Healthy & Beauty” ใน วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม 2554 เวลา 09.00–16.00 น. พร้อมรับบริการสุขภาพเบื้องต้น เพื่อต้อนรับเทศกาลวันแม่ฟรี! อาทิ ตรวจมวลกระดูก, ตรวจสภาพผิวหน้า, ตรวจระดับไขมันใต้ผิวหนัง, ตรวจสารต้านอนุมูลอิสระ ฯลฯ ณ ชั้น G อาคาร Ideal Imaging โรงพยาบาลปิยะเวท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0-2625-6555

    - คณะเวชศาสตร์เขตร้อนมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นเจ้าภาพ จัดการประชุมวิชาการนานาชาติ “AIDS Vaccine Conference 2011” เพื่อส่งเสริมเพิ่มพูนความรู้ในด้านการพัฒนาวัคซีนเอดส์ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ระหว่างวันที่ 12-15 กันยายน 2554 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ ขอเชิญแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ นักวิจัยและผู้สนใจเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวได้ โดยสามารถดูรายละเอียดและสมัครได้ที่ Welcome! | Global HIV Vaccine Enterprise

    ทีมวาไรตี้





    ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
     
  20. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    พระธาตุพนม : ศรัทธาเหนือกาลเวลา







    [​IMG]




    ความประทับใจที่ข้าพเจ้าได้ไปกราบพระธาตุพนมในครั้งนี้ มีมากอย่างยิ่ง อาจเป็นด้วย
    วัยที่เปลี่ยนไป หรือด้วยเหตุปัจจัยและมุมมองที่ทำให้เราได้เห็นสัจจะแห่งธรรมด้วยตนเอง
    หรือประกอบด้วยจิตที่มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    อันเป็นปรมัตถยิ่ง แม้ว่ากาลเวลาผ่านไปนานนับพันปี พระธรรมคำสอนไม่เคยเปลี่ยน
    ขณะที่สิ่งสมมุติในโลกนี้ได้เปลี่ยนแปลง เสื่อมสภาพ ดับสูญทุกเวลานาที ....





    หลายคนมีส่วนช่วยให้ความตั้งใจแน่วแน่ที่จะไปให้ถึงแคว้นอุรังคธาตุ
    อันประดิษฐานพระอุระธาตุบนดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงเกิดขึ้นได้อย่างราบรื่น
    เวลาเพียงสองคืนสามวัน จากจังหวะชีวิตที่ไม่เคยว่างพอติดกันนานนับเดือน
    การได้เดินทางมายังถิ่นพระอริยสงฆ์ครั้งนี้ถือเป็นรางวัลอันคุ้มค่าของชีวิตอีกครั้งหนึ่ง




    [​IMG]




    เมื่อเครื่องลงที่สกลนครในตอนสาย ผู้ที่ล่วงหน้ามาก่อนได้มาจอดรถคอยรับอยู่หน้า
    อาคารสนามบิน และจุดประกายให้ความหวังด้วยการชักชวนว่า คราวหน้าหากเวลา
    อำนวย จะพาขับรถข้ามภูพานมาด้วยกัน ข้าพเจ้าจึงนำคำชวนมาเป็นมงคลอธิษฐาน
    เมื่อก้มลงกราบพระธาตุ .... ถ้าแม้นมีบุญพอ ขอมาเยือนแคว้นอุรังตธาตุผืนดินของ
    อีสานและขอกราบพระอาจารย์สายวัดป่าทั้งที่ยังดำรงสมณเพศผู้พากเพียรอยู่ และทั้ง
    พระอาจารย์ผู้ล่วงลับอีกสักครั้ง .. โดยไม่คิดว่าคำอธิษฐานนั้นจะกลายเป็นจริงในภาย
    หลัง




    [​IMG]




    ในวันเดินทางกลับ ความทุกข์ใจที่แบกข้ามขุนเขามาหลายลูกกว่าเจ็ดร้อยกิโลดอย เหลือ
    ไว้แต่ความเบาสบายที่ได้มาสัมผัสดินแดนศักดิ์สิทธิ์แต่โบราณ .. ถิ่นธรรมะพระอรหันต
    สาวกเก่าแก่ของไทยเรา เหมือนเรื่องมหัศจรรย์ที่อาจรับรู้ได้เฉพาะบนเส้นทางสาย
    ศักดิ์สิทธ์ .. วันนั้น ลูกสาวได้ติดต่อมาทันทีเมื่อเครื่องลงที่สกลนครว่า เธอตกลงใจ
    จะกลับมาเมืองไทย เพื่อให้ทุกคนคลายกังวลจากการที่จะต้องอยู่ต่อในประเทศที่คลื่น
    สึนามิได้พรากชีวิตเพื่อนมนุษย์ลงทะเลไปหมด ..


    [​IMG]



    [​IMG]



    เบเกอรี่กรีนคอนเนอร์ในเมืองสกลนคร ได้เคยจัดขึ้นโต๊ะเสวยบนพระตำหนัก ฯ



    เราแวะทานกลางวันมื้อแรกที่ร้านอาหารกลางเมืองสกลนคร ก่อนออกเดินทางมุ่ง
    ตะวันออกอีกราว ๑๐๐ กม. ผ่านอำเภอนาแก และที่ราบนาข้าว จึงถึงที่หมาย
    วันแรกในเขตอำเภอธาตุพนม อำเภอเล็กๆ ริมโขงที่เงียบสงบของนครพนม ...




    [​IMG]



    [​IMG]

    ทัศนียภาพมองจากอุโบสถวัดโสภณธรรมาราม


    วัดโสภณธรรมาราม วัดบริวารของวัดพระธาตุพนมเลียบลำโขงผ่านบ้านชาวบ้านลงมา
    ทางใต้ .. เป็นกำบังบุญให้เพียรปฏิบัติและอาศัยค้างแรมคืนแรกในโบสถ์แห่งนี้
    เป็นหลักกิโลที่ไม่ไกลเกินไป และมีความหมายยิ่งสำหรับข้าพเจ้า ...




    เราได้ไปกราบพระธาตุพนมอันยิ่งใหญ่งดงามที่ประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระธาตุพนม
    วรมหาวิหารในตอนเช้า จากวัดพระธาตุพนมมองเห็นอำเภอติดคุ้งน้ำโขงยาวสุดตา
    .. .. ไกลออกไปเบื้องหน้าฝั่งตะวันออกของคมขวาน คือเขตท่าแขก แขวงคำม่วน ฝั่ง
    ลาวที่เขียวขจีเหมือนป่าเพิ่งหมาดฝนทั้งที่เป็นต้นฤดูร้อน .. ชาวบ้านบอกว่า ครั้งนี้เป็น
    วันที่อากาศหนาวเหน็บนานกว่าทุกปีในเดือนมีนาคม และว่าอาจเป็นเพราะลมหนาวส่งมา
    ไกลจากแดนสึนามิ





    ดินแดนพระธาตุเก่าแก่แห่งนี้ย้อนเวลาแห่งตำนานพระธาตุพนมตามที่เล่าขานบันทึกไว้ว่า
    องค์พระธาตุพนมสร้างครั้งแรกราว พ.ศ. ๘ ในสมัยอาณาจักรศรีโคตบูรเจริญรุ่งเรือง
    โดยท้าวพญาทั้ง ๕ อันมีพญาศรีโคตบูร เป็นต้น และพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ อันมี
    พระมหากัสสปะเถระเป็นประมุข เมื่อสร้างเสร็จแล้วก็ได้อัญเชิญพระอุรังคธาตุ (กระดูก
    ส่วนพระอุระ) มาประดิษฐาน สมัยนั้น ศรีโคตรบูรตั้งเมืองหลวงอยู่ใต้ปากเซบ้องไฟ อยู่
    เหนือสุวรรณเขตประเทศลาว ต่อมาได้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่เหนือธาตุพนม ในดงไม้รวก
    จึงมีนามว่า "มรุกขนคร" ราวพ.ศ.๑๘๐๐ ปรากฏว่าได้ไปตั้งเมืองขึ้นใหม่อยู่ฝั่งซ้าย
    แม่น้ำโขง แต่เหนือที่เดิมมาก ได้แก่เมืองเก่าใต้ท่าแขกประเทศลาวเดี๋ยวนี้"




    ประวัติการบูรณะองค์พระธาตุจนถึงปัจจุบันนับได้ถึง ๒๓ ครั้ง
    ตั้งแต่ครั้งที่ ๕ เป็นต้นมา เป็นการบูรณะปฏิสังขรณ์ใน
    รัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวอานัทมหิดล ๒ ครั้ง
    และ ในรัชกาลปัจจุบันถึง ๑๖ ครั้ง




    [​IMG]





    ราได้ไปกราบพระธาตุที่เรียงรายริมน้ำโขงอีกสามองค์
    ตั้งอยู่ไม่ไกลจากอำเภอธาตุพนมก่อนพลบค่ำ
    แต่ละแห่งมีสถาปัตยกรรมอันงดงาม .. ได้รับการดูแลสภาพด้วยการบูรณะเป็นอย่างดี
    มองเผินๆ จะคล้ายกัน แม้จะต่างกันด้วยสถาปัตยกรรมส่วนกลางองค์
    และส่วนยอด ขององค์พระธาตุก็ตามที

    ..

    แต่พิศดูด้วยสายตาของผู้ไม่มีความรู้เช่นข้าพเจ้า ..
    ก็เห็นแต่รอยศรัทธาอันยิ่งใหญ่ของผู้ร่วมบุญที่ยังดำรงอยู่เหนือกาลเวลา
    คู่สัญญลักษณ์แห่งพระธรรม
    คำสอนในดินแดนพระอริยะที่ส่งมอบจากชมพูทวีป สู่อาณาจักรล้านช้าง
    มายังดินแดน สุวรรณภูมิ ..




    [​IMG]


    พระธาตุเรณูนคร




    บันทึกเส้นทางด้วยภาพ


    [​IMG]

    ปูนปั้นภาพประทับใจ ในครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จอำเภอาตุพนม
    สร้างไว้ หน้าวัดมรุกขนคร แม่เฒ่ายังกำดอกบัวเหี่ยวในมือขณะเฝ้ารอรัคอยรับเสด็จ



    [​IMG]



    พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับดอกบัวจากแม่เฒ่าตุ้ม จันนิตย์ อายุ ๑๐๒ ปี
    ที่บ้านธาตุพนมจังหวัดนครพนมที่มาเฝ้ารับเสด็จฯ เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ
    ประพาสเยือนถิ่นอีสานเป็นครั้งแรกในปี ๒๔๙๘



    [​IMG]


    ดอกสีจัดจ้ายของ "ยางบง" ตามเส้นทางบนภูพาน

    [​IMG]



    ต้นอินทนิลน้ำสีตัดกัน ก่อนลงเขาภูพานไปยังรอยต่ออำเภอสมเด็จ จ.กาฬสินธิ์



    [​IMG]



    สัญญลักษณ์อีสานถิ่นไทย ช่อไสวสีใส ใจสะพรั่ง


    [​IMG]

    [​IMG]



    ร้านกาแฟ สมใจรีสอร์ท บนภูพา


    [​IMG]


    [​IMG]




    [​IMG]




    [​IMG]


    วัดพระธาตุเชิงชุม คู่เมืองสกลนคร





    Tag: กราบพะรธาตุ นครพนม สกลนคร อิสาน วัดโสภณธรรมาราม
    ที่มา Manager Online
     

แชร์หน้านี้

Loading...