พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เปล่าครับ

    ว่าแต่ว่า ไว้เย็นพรุ่งนี้ จะโทร.บอก vb vb


    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    เปิดเงินเดือน ส.ส. ว่าแต่ทำงานคุ้มกับเงินเดือนหรือเปล่าหนอ?





    [​IMG]





    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


    วานนี้ (14 กรกฎาคม) ทางกกต.ได้ทยอยออกใบรับรอง ส.ส. อย่างเป็นทางการแล้ว งานนี้บรรดาว่าที่ ส.ส. ทั้งหลาย ที่ทาง กกต. รองรับ ก็ได้ออกมารายงานตัวกัน ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเป็นส.ส.หน้าเก่า ที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี หรือ ส.ส. หน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าทำงานในสภาครั้งแรก ทั้งนี้ ส.ส. ในรัฐบาลใหม่จะได้ประเดิมการทำงานด้วยเงินประจำตำแหน่งในอัตราใหม่ หลังจากที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2553 เห็นชอบให้ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 5% ส่วน ส.ส. และ ส.ว. ปรับขึ้นเงินเดือนในอัตรา 14.3 - 14.7% เนื่องจากไม่ได้เงินเดือนให้ ส.ส. และ ส.ว. มานาน 2 ปีแล้ว โดยเงินเดือนข้าราชการ และ ส.ว. จะมีผลพร้อมกันในวันที่ 1 เมษายน 2554

    อย่างไรก็ตาม การขึ้นเงินเดือนของ ส.ส. ดังกล่าว ยังไม่ร่วมสิทธิประโยชน์อื่น ๆ อาทิ เงินประกันสุขภาพ เบี้อประชุมกรรมาธิการ ค่ายานพาหนะ ค่าโดยสารต่าง ๆ ฯลฯ ทำให้หลายคนมองว่าเงินเดือน ส.ส. มีอัตราที่สูง และ ส.ส. บางท่านก็แสนจะเกียจคร้าน ไม่เข้าร่วมประชุมสภา จนทำให้สภาล่มอยู่บ่อย ๆ ... ว่าแต่ว่ารายได้ของเหล่า ส.ส. ปัจจุบัน ได้เท่าไหร่กันหนอ? แล้วจะทำงานคุ้มค่ากับเงินภาษีของประชาชนหรือเปล่านะ


    สำหรับเงินเดือน ส.ส. ปัจจุบันมีดังนี้

    [​IMG] ประธานสภา เงินประจำตำแหน่ง 75,590 บาท/เดือน
    - เงินเพิ่ม 50,000 บาท/เดือน
    - รวม 125,590 บาท/เดือน

    [​IMG] รองประธานสภาเงินประจำตำแหน่ง 73,240 บาท/เดือน
    - เงินเพิ่ม 42,500 บาท/เดือน
    - รวม 115,740 บาท/เดือน

    [​IMG] ผู้นำฝ่ายค้านเงินประจำตำแหน่ง 73,240 บาท/เดือน
    - เงินเพิ่ม 42,500 บาท/เดือน
    - รวม 115,740 บาท/เดือน

    [​IMG] ส.ส. เงินประจำตำแหน่ง 71,230 บาท/เดือน
    - เงินเพิ่ม 42,330 บาท/เดือน
    - รวม 113,560 บาท/เดือน

    แหม… หลายคนเห็นจำนวนเงินเดือนแล้ว ก็ได้แต่หวังว่า ท่านผู้ทรงเกียรติทุกคนจะทำงานให้คุ้มค่ากับเงินที่ได้ ... เพราะเงินเดือนของพวกท่านแต่ละบาทเป็นเงินภาษีจากพวกเราประชาชนตาดำ ๆ ทั้งนั้นค่ะ

    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
    [​IMG]

    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1310704856&grpid=01&catid=&subcatid=-


    -http://hilight.kapook.com/view/60855-

     
  3. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    กินเส้นให้ได้ประโยชน์

    วันเสาร์ ที่ 16 กรกฎาคม 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>


    นอกจาก “ข้าว” อาหารหลักที่เรากินอยู่ทุกวันแล้ว อาหารที่เป็นเส้น ๆ ทั้งหลายก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่หลายคนชอบกิน ไม่ว่าจะเป็น ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน พาสต้าและสปาเกตตี

    นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า อาหารที่เป็นเส้น ๆ พอจะแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ 1. เส้นแป้งขัด คือเส้นที่ผ่านกระบวนการแยกกากออกมีแต่แป้งล้วน ๆ เช่น เส้นใหญ่ เส้นเล็ก เส้นหมี่ เส้นขนมจีน 2. เส้นแป้งหยาบ คือเส้นที่มีกาก ทำมาจากแป้งที่ไม่ได้ขัดสีกากของดีออก เช่น เส้นโซบะ สปาเกตตี

    ไม่ว่าจะเส้นไหน ๆ ก็ตามถ้าถูกนำไปทำเสียจนเหลือแต่แป้งแล้วสิ่งที่ได้ก็คือ น้ำตาลกับความอ้วนถ้าบริโภคมากเกินไป ดังนั้นเพื่อไม่ให้เส้นทำร้ายเรา จึงต้องรู้วิธีกินเส้นให้ได้ประโยชน์ ดังนี้

    ก๋วยเตี๋ยว ทั้งเกี้ยมอี๋ เส้นเล็ก เส้นใหญ่ บะหมี่ไข่ล้วนเป็นอาหารเส้นที่อร่อยลิ้นกินได้ประโยชน์เพราะมีทั้งผักและเนื้อสัตว์รวมถึงส่วนประกอบต่าง ๆ ถ้ามื้อใดทานก๋วยเตี๋ยวไปแล้วให้ถือว่าเป็นข้าวมื้อหนึ่งไปเลย และขอให้เลี่ยงอาหารแป้งในมื้อถัดไป

    ขนมจีน เป็นเส้นที่ทำจากข้าวผ่านความร้อนจนสุกดี มีอาหารที่ควรทานร่วมคือ “น้ำยา” ซึ่งแต่ละภาคมีของดีต่างกันไป อย่างทางเหนือ “น้ำเงี้ยว” จะมีมะเขือเทศที่ให้ไลโคปีนสูงยิ่งผ่านความร้อนกลายเป็นน้ำเงี้ยวไปแล้วยิ่งดี ส่วนภาคอีสานขอให้ทานกับน้ำยาปลาร้าสุกเพราะจะได้ทั้งโปรตีนและวิตามินเคมากมาย ในภาคกลางกินกับน้ำยาป่าที่มีข่าตะไคร้ให้น้ำมันหอมช่วยย่อยไปในตัว ถ้ากลัวเผ็ดให้กินแบบ “ซาวน้ำ” ก็ได้วิตามินจากผักไม่แพ้กัน ส่วนปักษ์ใต้กินกับแกงไตปลาก็ได้ประโยชน์ไม่น้อยเช่นกัน

    เส้นจันท์ เหมาะที่สุดสำหรับทำ “ผัดไทย” ใส่ใบกุยช่าย หัวไชโป๊ กุ้งแห้ง เต้าหู้ชิ้นกินกับถั่วงอก และถั่วลิสงโรย ทำให้ได้วิตามินอี และยังมี “พฤกษฮอร์โมน” จากเต้าหู้เหลืองที่ช่วยเรื่องวัยทอง เท่านี้การกินผัดไทยเส้นจันท์ให้อร่อยก็เกือบครบสูตร ขาดอยู่อย่างคือ “ถั่วงอกดิบ” อย่ากินเยอะเกินไปนักเพราะมีธาตุไฟเตทไปแย่งจับกับแคลเซียมในตัว

    หมี่โคราช เมนูเก่าแก่และใช้รับแขกบ้านแขกเมืองมาจนถึงปัจจุบันกินกันแบบผัดร้อน ๆใส่ใบตองก็อร่อย ซึ่งมีส่วนผสมที่ต่างไปจากหมี่ภาคอื่นดังนี้คือเส้นจะเล็กกว่าเส้นจันท์และการผัดก็จะใส่ทั้งกระเทียมและหอมเจียวจนกลิ่นกรุ่น แล้วยังปรุงรสให้ข้นขึ้นด้วยน้ำส้มมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ เพิ่มวิตามินด้วยผักอย่างถั่วงอก ต้นหอม และถ้าให้ต้านชราได้สไตล์อายุรวัฒน์ก็ขอให้เลือกคะน้าฮ่องกงก้านสวย ๆ ที่อวบกรอบใส่ลงไปผัดด้วยแล้วจะกรอบอร่อยชูรสหมี่โคราชให้กลายเป็นหมี่ต้านมะเร็งได้เพราะในมะขามมีสารต้านอนุมูลอิสระ ส่วนในคะน้ามี ซัลโฟราเฟน ซึ่งเป็นธาตุต้านแก่และมะเร็งแบบเดียวกับในบรอคโคลี

    ข้าวซอย อร่อยด้วยสภาพเหมือนเส้นบะหมี่ในแกงซึ่งแต่ละเจ้าก็มีเคล็ดลับอร่อยไม่เหมือนกัน แต่เครื่องปรุงหลัก ๆ ไม่หนีกันมากนักได้แก่เส้นข้าวซอย กะทิ พริกคั่วน้ำมัน กระเทียมเจียวและใส่เนื้อสัตว์ตามชอบ เครื่องปรุงทุกอย่างจะทำงานร่วมกับเส้นข้าวซอยแสนอร่อยเป็นอย่างดี มีทั้งผักสดกรอบที่กินคู่ได้ทำให้เส้นแป้งข้าวซอยธรรมดานี้ทรงคุณค่าขึ้นอีกมาก ซึ่งต้องยกคุณความดีนี้ให้แก่ชาวจีนมุสลิมที่มาตั้งรกรากจากยูนนานที่ได้นำสูตรข้าวซอยใส่กะทินี้มาด้วย

    พาสต้าและสปาเกตตี ของดีชาวอิตาเลียนที่ เส้นสปาเกตตีนี้ทำมาจากแป้งธัญพืชอย่างหนึ่งเรียก “ดูรั่ม” ทำให้มีคุณสมบัติเคี้ยวหนุบหนับน้อย ๆ โดยเฉพาะตรงแกน ซึ่งการลวกเส้นให้ดีนั้นขอให้ใช้เคล็ดแบบชาวอิตาลีที่เรียบง่ายสุดคือลวกในน้ำหรือนมก็ได้ เส้นดูรั่มนี้มีไฟเบอร์ที่ดีอยู่มากทำให้คนกินไม่ได้แต่กากแป้งอย่างเดียวหากแต่ได้กากดีจากธัญพืชด้วย ถ้าจะช่วยให้ดีขึ้นคือรับประทานกับน้ำมันมะกอกซึ่งอุดมด้วย กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว

    โซบะ เส้นอร่อยของญี่ปุ่นทำมาจากพืชกลุ่ม “บัควีต” ที่กินขาดด้วยปริมาณ ไฟเบอร์ไม่ละลายน้ำ เผลอ ๆ กินเข้าไปมากก็ยังไม่อ้วนปลิ้นเท่ากินเส้นแป้งที่ขาวจั๊ว ซึ่งการกินโซบะนั้นโดยมากมักไม่ค่อยมีผักเป็นการกินกับน้ำซุปแบบญี่ปุ่นที่หอมกรุ่นด้วยโชยุและน้ำต้มสาหร่าย แต่ถ้าจะทำให้ได้คุณค่าด้วยก็อาจใช้โซบะมาผัดกับไก่หรือหมูใส่กะหล่ำปลี เห็ดเข็มทอง เห็ดหอม แครอทหรือหอมใหญ่

    จะเห็นว่าอาหารเส้นที่ดูเหมือนมีแต่แป้งนั้นถ้ารู้จักปรุง รู้จักกิน ก็มีประโยชน์ต่อร่างกายมากเลยทีเดียว !?!.

    นวพรรษ บุญชาญ รายงาน







    <FORM id=CFForm_1 name=CFForm_1 onsubmit="return _CF_checkCFForm_1(this)" action=# method=post><LABEL for=r_comment_body>ที่มาเดลินิวส์ ออนไลน์

    </LABEL>


    </FORM>
     
  4. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ต่อเติมบ้านอย่างไรไม่ให้เกิดปัญหา

    วันเสาร์ ที่ 16 กรกฎาคม 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    โดยทั่วไปคนมักเข้าใจว่า การต่อเติมบ้านก็คือการเพิ่มพื้นที่ของบ้านขึ้นมาเฉย ๆ แต่ที่จริงเราต้องเปรียบให้เหมือนกับการปลูกบ้านเล็ก ๆ อีกหลังขึ้นมาข้างบ้านเก่าเลยทีเดียว ปัญหาที่มักพบในการต่อเติมบ้านก็คือการทรุดตัวของบ้าน ซึ่งนอกจากการเห็นรอยแตกร้าวที่ภายนอกแล้ว ยังอาจส่งผลถึงสิ่งที่เรามองไม่เห็น อย่างปัญหาหลังคารั่วซึม หรืองานท่อและงานระบบต่าง ๆ อีกด้วย ดังนั้นในการต่อเติมบ้านจึงควรพิจารณาเรื่องต่าง ๆ พร้อมไปด้วย ดังนี้

    1. ต้องใช้เสาเข็มที่มีความยาวเท่ากับอาคารเดิมหรือยาวกว่าประมาณ 2 เมตร ไม่ว่าจะต่อเติมบ้านออกไปเป็นจำนวนชั้นเท่ากับอาคารเดิมหรือเพียงแค่ชั้นเดียวก็ตาม เพราะไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยปลายของเสาเข็มที่รองรับส่วนต่อเติมจะต้องอยู่บนชั้นดินเดียวกับอาคารเดิม จึงจะทำให้การทรุดตัวไม่แตกต่างกันมากนัก และถ้าเป็นไปได้ควรใช้เสาเข็มชนิดเดียวกัน เพราะเสาเข็มแต่ละชนิดถึงจะระบุไว้ว่ารับน้ำหนักเท่ากัน แต่ก็จะมีอัตราการทรุดตัวไม่เท่ากัน

    2. ต้องแยกโครงสร้างอาคารเดิมกับโครงสร้างส่วนต่อเติมให้ออกจากกันโดยเด็ดขาด เพราะถึงแม้ว่าจะใช้เสาเข็มชนิดเดียวกัน มีความยาวเท่ากันแต่อัตราการทรุดตัวของอาคารใหม่ก็จะมีมากกว่าอาคารเก่าอยู่ดี และเมื่อเราแยกโครงสร้างออกจากกันแล้ว ก็จะเกิดเป็นร่องเล็ก ๆ ตลอดแนว หากรอยต่อนั้นอยู่ภายในอาคารก็ให้ใช้วิธียาแนว เพื่อปิดช่องระหว่างรอยต่อนั้น ๆ ด้วยซิลิโคน และให้หมั่นตรวจสอบสภาพซิลิโคนเหล่านั้นอยู่เสมอเพื่ออัดฉีดใหม่เมื่อซิลิโคนเสื่อมสภาพ หรือถ้าอยู่ภายนอกอาคาร ก็อาจออกแบบให้เป็นทางระบายน้ำแล้วโรยกรวดหรือหินสีเพื่อตกแต่งและปิดรอยต่อไปในตัว

    3. ในกรณีที่จุดเชื่อมต่อเป็นหลังคา ต้องแยกโครงสร้างเช่นเดียวกับจุดเชื่อมต่ออื่น ๆ ทำปีกนกเพื่อบังน้ำฝนบริเวณรอยต่อ และไม่ควรให้มีส่วนใดส่วนหนึ่งของหลังคาของส่วนต่อเติมอยู่สูงกว่าหลังคาของอาคารเดิม เพราะอย่างไรก็ตามส่วนต่อเติมก็จะมีอัตราในการทรุดตัวสูงกว่าอาคารเดิม และหากมีฝ้าเพดานภายในก็ควรใช้วิธีการเล่นระดับลดหลั่นหรือดร็อปฝ้าเพดานเพื่อซ่อนรอยต่อ

    4. หลีกเลี่ยงการเดินงานระบบต่าง ๆ โดยเฉพาะระบบประปา ด้วยวิธีการซ่อนในโครงสร้างผ่านบริเวณจุดเชื่อมต่อดังกล่าว หากจำเป็นควรใช้วิธีการเดินระบบแบบระบบลอยเพื่อให้สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติได้ง่าย และใช้ข้อต่อชนิดที่ยืดหยุ่นได้ (ข้ออ่อน) เพื่อช่วยลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นเมื่ออาคารเกิดการทรุดตัว

    คนส่วนใหญ่มักมองว่าการต่อเติมบ้านเป็นเรื่องไม่ยาก เมื่อพูดคุยกับผู้รับเหมาหรือช่างก็สามารถต่อเติมได้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม การต่อเติมบ้านเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนและอาจก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ที่ยุ่งยากตามมาได้ง่าย ดังนั้นเมื่อคิดจะต่อเติมบ้านควรต้องปรึกษาสถาปนิกหรือวิศวกรก่อนจะลงมือต่อเติมเสมอ.

    บ้านและสวน





    ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
     
  5. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7534 ข่าวสดรายวัน


    ดอกเข้าพรรษา สะพรั่งปีละครั้ง


    คอลัมน์ เป็นไปได้


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=360 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#e0e0e0>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ประเพณีทำบุญตักบาตรของไทย เป็นงานบุญที่บรรพบุรุษสืบทอดสู่ลูกหลาน โดยเฉพาะในเทศกาลต่างๆ แต่ละท้องถิ่นจะมีรูปแบบที่แตกต่างกัน

    แต่จุดประสงค์เดียวกัน เพื่ออุทิศส่วนกุศลและเผยแผ่พระพุทธศาสนา

    ที่อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี ก็เช่นเดียวกัน มีประเพณีทำบุญตักบาตร แต่ไม่ได้ใส่อาหารคาวหวาน

    ทำบุญด้วยดอกไม้ และต้องเป็น"ดอกเข้าพรรษา" เท่านั้น

    กำหนดเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ซึ่งเป็นวันเข้าพรรษา ปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นประจำทุกปี

    เป็นความแปลกที่หาดูไม่ได้ในท้องถิ่นอื่น มีอยู่ที่เดียว

    ดอกเข้าพรรษา คล้ายต้นกระชายสูงประมาณ 30-60 ซ.ม. ช่อดอกยาวประมาณ 10-20 ซ.ม.มีสีม่วง ขาว เหลือง แดง และเขียว

    บางทีก็เรียกกันว่า ดอกหงส์เหิน บานสะพรั่งออกมาเพียงปีละครั้งเดียว ช่วงเทศกาลเข้าพรรษาเท่านั้น

    พุทธศาสนิกชนเก็บดอกเข้าพรรษาที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่ไหล่เขาโพธิ์ลังกา จัดรวมกับธูปเทียน นำไป ตักบาตรถวายพระภิกษุสงฆ์

    เข้าพรรษาปีนี้ วันที่ 16 ก.ค.วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร กำหนดพิธีตักบาตรดอกไม้สองรอบ

    เชื่อว่าการนำดอกเข้าพรรษาตักบาตร ถือกันว่าได้บุญกุศลแรง

    พระภิกษุที่ได้รับการตักบาตรด้วยดอกเข้าพรรษาก็จะนำไปสักการะรอยพระพุทธบาท ในมณฑป

    และสักการะพระเจดีย์จุฬามณีที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุข้างมณฑปรอยพระพุทธบาท
    ที่มา ข่าวสด ออนไลน์
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ศัตรูในคราบมิตรที่ชื่อว่า “เหล้า” <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย เอมอร คชเสนี</td> <td class="date" align="left" valign="middle">15 กรกฎาคม 2554 11:17 น.</td></tr></tbody></table>

    [​IMG] <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="350"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="350"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> วันเข้าพรรษาเวียนมาถึงอีก ครั้งหนึ่งแล้ว หลายคนใช้โอกาสนี้ในการลด ละ เลิก เหล้า ในขณะที่อีกหลายคนยังคงมองไม่เห็นโทษของการดื่มเหล้า บางคนเห็นเหล้าเป็นเพื่อน อาศัยเหล้าแก้เหงา อาศัยความมึนเมากลบเกลื่อนความทุกข์ แต่ลืมไปว่าพอสร่างเมาก็ต้องกลับสู่ชีวิตจริง วันนี้จึงถือโอกาสวันเข้าพรรษามาบอกเล่าถึงพิษภัยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

    ข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส.ระบุว่า เมื่อเราดื่มเหล้าเข้าไป แอลกอฮอล์จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว โดยส่วนใหญ่จะถูกดูดซึมในกระเพาะอาหารและเข้าสู่กระแสเลือดซึ่งจะสามารถตรวจ พบแอลกอฮอล์ในเลือดได้ภายในเวลาเพียง 5 นาทีหลังจากเริ่มดื่ม ก่อนจะส่งต่อไปยังเซลล์ เนื้อเยื่อ ของเหลวทุกแห่งในร่างกาย และอวัยวะต่างๆ ภายในเวลา 10-30 นาที และส่งผลต่ออวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย ได้แก่

    - ช่องปากและลำคอ
    เกิดอาการระคายเคืองในช่องปากและลำคอ อย่างที่เรียกกันว่า เหล้าบาดคอนั่นเอง

    - ผิวหนังและหลอดเลือด
    หลอดเลือดจะขยายตัวเนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ทำให้หน้าแดง ตัวแดง แต่บางคนอาจมีอาการเส้นเลือดหดตัว ทำให้หน้าซีด ซึ่งมีอันตรายต่อชีวิตมากกว่า

    - กระเพาะอาหาร
    โรคที่พบบ่อยในหมู่นักดื่ม คือ โรคกระเพาะ แอลกอฮอล์ในระดับความเข้มข้นต่ำจะกระตุ้นน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะและลำไส้ ขณะที่แอลกอฮอล์ในระดับความเข้มข้นสูง จะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารอักเสบเฉียบพลัน เมื่อดื่มจัดติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร อาเจียนเป็นสีดำ อุจจาระดำ บางรายจะพบการฉีกขาดของเยื่อบุหลอดอาหาร ซึ่งเกิดจากการอาเจียนอย่างรุนแรง ผู้ป่วยจะอาเจียนมีเลือดปนออกมาบ่อยๆ อาจเสียเลือดมาก ต้องรักษาโดยผ่าตัดเย็บรอยฉีกขาดของเยื่อบุดังกล่าว

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Left" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="350"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="350"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</td></tr> </tbody></table></td> <td width="5">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> - หัวใจ
    หัวใจจะถูกกระตุ้นให้สูบฉีดโลหิตเร็วขึ้น ทำงานหนักขึ้น ในระยะยาวจะทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจแปรปรวน เมื่อหัวใจทำงานหนักขึ้น กล้ามเนื้อหัวใจจะเริ่มหนาขึ้น เกิดโรคหัวใจโต มีอาการหัวใจวายหรือหัวใจล้มเหลวตามมาในที่สุด

    - เซลล์
    การไหลเวียนของเลือดไปยังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกายจะเร็วขึ้น เซลล์ทุกเซลล์จะทำงานไวขึ้นกว่าปกติจนเกินความจำเป็น ทำให้การทำงานของอวัยวะแปรปรวนไปจากปกติในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ต่อมาฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะกดการทำงานของเซลล์ และทำลายเซลล์ไปในที่สุด

    - สมอง
    แอลกอฮอล์จะทำให้เซลล์สมองขยายตัว เกิดอาการที่เรียกว่า สมองบวม นานเข้าจะเกิดการสูญเสียของเหลวในเซลล์สมอง เซลล์สมองลีบเหี่ยว เสื่อม และตายลง จากการชันสูตรศพผู้เสียชีวิตจากสุรา จะพบภาวะเนื้อสมองลีบเหี่ยว มีสีซีดจาง เห็นได้อย่างชัดเจน

    - ตับ
    ตับเป็นอวัยวะที่ได้รับพิษจากแอลกอฮอล์มากที่สุด เซลล์ตับที่ถูกทำลายจะมีไขมันเข้าไปแทนที่ ทำให้เกิดการคั่งของไขมันในตับซึ่งนำไปสู่อาการตับอักเสบ ส่งผลให้เซลล์ตับถูกทำลายมากขึ้น เมื่อเซลล์ตับตายลงถึงระดับหนึ่ง จะมีการสร้างพังผืดขึ้นที่บริเวณนั้น ลักษณะคล้ายแผลเป็น ทำให้เนื้อตับที่เคยอ่อนนุ่มกลับแข็งตัวขึ้น เกิดอาการที่เรียกว่า “ตับแข็ง” ในที่สุด การสูญเสียเซลล์ตับเป็นการสูญเสียอย่างถาวร ไม่มีการสร้างขึ้นทดแทน ความรุนแรงของโรคตับแข็งจึงขึ้นอยู่กับปริมาณของเนื้อตับที่สูญเสียไป ยิ่งเนื้อตับถูกทำลายมากเท่าไร โอกาสที่จะเสียชีวิตก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

    - ระบบอวัยวะ
    แอลกอฮอล์ในเหล้าทำให้เกิดพิษต่อระบบสำคัญต่างๆ ของร่างกาย ตั้งแต่ระบบทางเดินอาหาร ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ระบบประสาทซึ่งทำให้ขาดการควบคุม ระบบสืบพันธุ์ ทำให้สมรรถภาพทางเพศเสื่อมลง ทำำให้ระบบการทำงานของร่างกายแปรปรวน อวัยวะต่างๆ เสื่อมเร็วขึ้น คนที่ดื่มจัดจึงแก่เร็ว

    นอกจากผลต่อร่างกายแล้ว แอลกอฮอล์ยังส่งผลต่อระดับเชาว์ปัญญาและจิตประสาทอีกด้วย โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาและสมาคมป้องกันปัญหาจากสุราแห่งประเทศไทย หรือ สปส.ระบุถึงงานวิจัยที่ชี้ว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตั้งแต่อายุยัง น้อย คือในช่วงอายุ 20-29 ปี จะทำให้ผู้ดื่มมีระดับเชาว์ปัญญาหรือไอคิวต่ำลง เกิดเชาว์ปัญญาเสื่อมมากกว่ากลุ่มที่เริ่มดื่มในช่วงอายุอื่นๆ ปัจจัยอื่นๆ ที่กำหนดความเสื่อมของสติปัญญา ก็คือ ชนิดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ วิธีการดื่ม การมีพ่อแม่เป็นนักดื่ม และมีอาการทางจิต

    จากการศึกษาขององค์การอนามัยโลก พบว่า 1 ใน 3 ของผู้ป่วยทางจิตในแต่ละประเทศ มีสาเหตุมาจากสุรา สารพิษที่เกิดจากการเผาผลาญแอลกอฮอล์ในร่างกายจะทำลายสารเคมีในสมองที่ช่วย ให้คนเรารู้สึกสงบสุข คนติดเหล้าจึงมักมีจิตใจและอารมณ์อ่อนไหว ความอดทนต่อความเครียดหรือภาวะกดดันลดน้อยลง ขาดสมาธิ และทำให้บุคลิกภาพเสื่อมโทรม

    สมองส่วนนอก (Cortex) ของคนที่ติดเหล้าเรื้อรังจะฝ่อลีบ ทำให้เกิดอาการเสื่อมทางจิต โรคจิตจากการดื่มมีหลายอาการและมักจะรักษาให้หายขาดยาก ได้แก่ โรคประสาทหลอน โรคหวาดระแวง โรคความจำเสื่อม โรคซึมเศร้า โรคหวาดกลัวผิดปกติ ฯลฯ

    อาการทางจิตที่เห็นได้ชัดเจน คือ ภาวะตื่นกลัวที่เรียกว่า Panic Disorder ซึ่งนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้แก่ อาการผิดปกติของหัวใจ กระเพาะอาหาร และระบบประสาท

    แอลกอฮอล์ยังไปกดการทำงานของสมอง โดยเฉพาะสมองส่วนที่ควบคุมความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ทำให้ขาดความยับยั้งชั่งใจ จนสามารถก่อพฤติกรรมรุนแรงที่สร้างความเดือดร้อนและอันตรายต่อตนเองและผู้ อื่นได้โดยง่าย

    ที่สำคัญอย่างยิ่งอีกประการ ก็คือ การดื่มแล้วขับทำให้สถิติการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนพุ่งสูงขึ้น หน่วยจัดการความรู้เพื่อถนนปลอดภัยและศูนย์วิจัยเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัย และป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ระบุถึงผลวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า แอลกอฮอล์ทำลายความสามารถในการขับขี่พาหนะในด้านต่างๆ ได้แก่ ทำให้ประมาท ทำให้การมองเห็นแคบลง มัวลง เห็นภาพซ้อน ผู้ขับขี่จึงรับรู้ต่อความเคลื่อนไหวรอบตัวได้น้อยลง และยังทำให้การสั่งการของสมองไปยังกล้ามเนื้อช้าลง เมื่อคับขันจึงอาจแตะเบรกได้ช้ากว่าปกติ และหักรถหลบหลีกได้ช้ากว่าปกติ อุบัติเหตุจึงเกิดขึ้นเสมอ

    ขณะที่งานวิจัยที่ว่าการดื่มเหล้าแต่พอประมาณ วันละ 1-2 แก้ว ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและทำให้อายุยืนขึ้น ก็ยังมีหลายฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับงานวิจัยดังกล่าว โดยชี้ว่ายังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ช่วยลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ได้ และแม้ว่าการดื่มจะช่วยลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจลงได้จริง แต่ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคอื่นๆ เช่น โรคตับ โรคมะเร็ง ฯลฯ

    ที่สำคัญ การดื่มแต่ “พอประมาณ” สำหรับนักดื่มนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และพอประมาณสำหรับคนหนึ่ง อาจมากไปสำหรับอีกคนหนึ่ง เป็นเรื่องยากที่จะชี้ชัดลงไปว่า แค่ไหนถึงจะกำลังดี

    ดังนั้น คำแนะนำก็คือ สำหรับคนที่ดื่มหนักอยู่แล้ว จะเป็นการดีหากลดการดื่มลงมาเหลือแค่วันละ 1-2 แก้ว แต่สำหรับคนที่ไม่ดื่ม ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องหันมาดื่ม เพราะยังมีอีกหลายวิธีที่จะลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและช่วย ให้อายุยืนได้

    สำหรับคนที่ยังมองไม่เห็นพิษภัยของสุรา คงเป็นเรื่องยากที่จะบอกให้ลด ละ เลิก เพราะจะอย่างไรเสีย บรรยากาศในวงเหล้าก็เป็นบรรยากาศที่สนุกสนานหากเป็นไปในทางบวก หลายคนได้พบปะกระชับมิตร ได้แลกเปลี่ยนความคิดดีๆ ในวงเหล้า แต่ทุกสิ่งควรเป็นไปตามหลักทางสายกลาง หากดื่มหนักเกินไปก็ย่อมเกิดโทษดังที่ได้กล่าวแล้ว


    ติดตามฟังรายการ “Happy & Healthy”
    ทุกวันจันทร์ อังคาร พุธ เวลา 11.00-12.00 น.
    ทางคลื่นของประชาชน คนนำปัญญา FM 97.75 MHz
    และ www.managerradio.com

    </td></tr></tbody></table>
    .

    -http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9540000087179-

    http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9540000087179

    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong</td></tr></tbody></table>
    อรุณสวัสดิ์ยามเช้า วันอาิทิตย์หรรษาึครับ

    .



    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พบคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปดื่มน้ำเมา15 ล้านป่วยจิตโรคตับ90,000รายคนอีสานอื้อ!

    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1310718203&grpid=&catid=19&subcatid=1904-


    นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในเทศกาลเข้าพรรษาปีนี้ กระทรวงสาธารณสุข ขอเชิญชวนประชาชนทั่วประเทศ ลด ละ เลิกดื่มเหล้า โดยหันมาดื่มน้ำสมุนไพรแทน ซึ่งประเทศไทยมีผลไม้ พืชสมุนไพรจำนวนมากที่ให้ประโยชน์ มีทั้งวิตามินต่างๆที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น น้ำส้มเขียวหวาน น้ำตะไคร้ น้ำเสาวรส น้ำว่านหางจระเข้ น้ำฝรั่ง น้ำดอกคำฝอย น้ำใบเตยหอม น้ำมะนาว น้ำลำไย น้ำแครอท น้ำบีทรูท น้ำมะพร้าว ซึ่งสามารถทำเองได้หรือหาซื้อได้ง่าย ราคาถูกกว่าเหล้าหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 3-7 เท่าตัว และมีผลดีต่อสุขภาพ ขณะเดียวกันได้ขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วประเทศ ให้ลด ละ หรือเลิกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพื่อลดการทำลายสุขภาพ เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ประชาชนด้วย
    ทั้งนี้ ผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติล่าสุดในปี 2550 พบคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ดื่มเครื่องดื่มมึนเมา 14 ล้าน 9 แสนคน เป็นชาย 12 ล้าน 6 แสนกว่าคน หญิง 2 ล้าน 3 แสนกว่าคน กล่าวได้ว่าในคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปทุกๆ 4 คน จะมีคนดื่มเครื่องดื่มมึนเมา 1 คน โดยดื่มเฉลี่ยคนละ 39 ลิตรต่อปี เพิ่มจากปี 2540 ซึ่งดื่มเฉลี่ยคนละ 27 ลิตรต่อปี กลุ่มเยาวชนเริ่มดื่มอายุประมาณ 17 ปี ส่วนกลุ่มวัยทำงานและวัยสูงอายุเริ่มดื่มอายุ 20 ปี และ 23 ปี สาเหตุการเริ่มดื่มส่วนใหญ่ร้อยละ 41 ตอบว่ามาจากการเข้าสังคม การสังสรรค์ รองลงมาคืออยากทดลองดื่มร้อยละ 29 และดื่มตามเพื่อนร้อยละ 23

    นายแพทย์สุพรรณ กล่าวว่า ผล จากการที่คนไทยดื่มเหล้าในปริมาณที่มากขึ้น ทำให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ จากสถิติของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข ในปี 2551 มีผู้ป่วยที่ติดเหล้าและเข้ารับการรักษาตัว ในโรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศ จากปัญหาความผิดปกติทางพฤติกรรมและอาการทางจิตประสาท รวมทั้งหมด 64,434 ราย ร้อยละ 88 เป็นชาย จำนวน 56,483 ราย ที่เหลือเป็นหญิง 7,951 ราย ในจำนวนนี้อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากที่สุดจำนวน 22,029 ราย รองลงมาคือภาคเหนือจำนวน 18,591 ราย ภาคกลางจำนวน 15,916 ราย และในปีเดียวกันยังพบนักดื่มเป็นโรคตับเพราะพิษแอลกอฮอล์เข้ารักษาตัวอีก 33,985 ราย ร้อยละ 79 เป็นชาย

    สำหรับผู้ที่ตั้งใจจะเลิกดื่มเหล้าในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา มีเทคนิควิธีการลดการดื่มเพื่อไม่ให้มีอันตรายจากผลข้างเคียงที่ดื่มเหล้ามา นาน ดังนี้ คือ ดื่มพร้อมอาหารเท่านั้น ให้ดื่มน้ำเปล่าดับกระหาย และดื่มน้ำเปล่าสลับบ้างในระหว่างที่ดื่มแอลกอฮอล์ เปลี่ยนแก้วใหญ่เป็นแก้วเล็กแทน เปลี่ยนไปดื่มเบียร์ชนิดที่มีแอลกอฮอล์ต่ำ หลีกเลี่ยงไม่ไปผับหรือสถานบันเทิงหลังเลิกงาน หลีกเลี่ยงหรือจำกัดเวลาที่จะพบปะกับเพื่อนที่ดื่มจัด หากถูกกดดันให้ดื่ม ให้ปฏิเสธว่า หมอสั่งให้ดื่มน้อยลง หากมีความเครียด ให้ไปเดินเล่น หรือออกกำลังกายแทน จะทำรู้สึกดีขึ้น และหากเลิกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ จะทำให้ความจำดีขึ้น สุขภาพแข็งแรงกว่าเดิม นอนหลับดีขึ้น น้ำหนักลดลง รูปร่างดีขึ้น ปัญหาในครอบครัวลดลง ที่สำคัญคือลดความเสี่ยงเป็นโรคตับแข้ง โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง ความจำเสื่อม และการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเมาแล้วขับ


    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1310718203&grpid=&catid=19&subcatid=1904

    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    "ศาลเยอรมนี"ขอหลักฐานเพิ่ม ยืดถอนอายัดบินส่วนพระองค์



    "อภิสิทธิ์" ลั่นรัฐบาลทำเต็มที่ คาดศาลเยอรมันนัดพิจารณาถอดอายัดเครื่องบินส่วนพระองค์ วันที่ 18 ก.ค.นี้ ย้ำไม่กระทบสัมพันธ์สองประเทศ กต.เผยศาลเยอรมันขอไทยส่งข้อมูลยืนยันกรรมสิทธิ์เครื่องบินเพิ่ม ทอ.ส่งเอกสารแจงสถานะเครื่องบินให้บัวแก้วโต้


    ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 16 ก.ค.54 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีทางการเยอรมนีอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737 ส่วนพระองค์ ว่า หลังจากฝ่ายไทยยื่นเรื่องใหัเพิกถอนการอายัดเดิมคิดว่าศาลจะมีคำตัดสินได้เลยในวันที่ 15 ก.ค.ที่ ผ่านมา แต่ทางบริษัทวอเตอร์บาวน์ ได้ไปยื่นเอกสารคัดค้านทำให้ศาลต้องพิจารณาเอกสารดังกล่าว จึงเลื่อนการพิจารณาออกไปเป็นวันจันทร์ที่ 18 ก.ค. ขณะ นี้ นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด ได้ไปประจำการที่ประเทศเยอรมันแลัว และตนยังสั่งการให้อธิบดีกรมขนส่งทางอากาศเดินทางไปสมทบเพิ่มเติม เพื่อดูเอกสารของฝ่ายบริษัทดังกล่าว เพื่อทำคำคัดค้าน ทราบว่าบริษัทวอเตอร์บาวน์ ยื่นเอกสารในลักษณะเป็นข้อมูลเก่าตั้งแต่เครี่องบินยังอยู่ในการดูแลของกอง ทัพอากาศ


    นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ทางการเยอรมนีได้แสดงความเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงได้เพราะเป็นเรื่องของเอกชนและศาล ขณะเดียวกันทางการเยอรมันได้ช่วยอำนวยความสะดวกในเรื่องต่างๆ ซึ่งขณะนี้ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ อยู่ที่เยอรมนีและได้หารือกับ รมต.ต่าว ประเทศเยอรมันแล้ว ยืนยันว่ารัฐบาลดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องเกียรติยศและชื่อเสียงของ ประเทศไทย เพราะเขาดำเนินการไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ยืนยันว่าคดียังไม่ถึงที่สุด หากคดีถึงที่สุดเมื่อไหร่ ประเทศไทยก็พร้อมปฏิบัติตามคำพิพากษาอยู่แล้ว รัฐบาลไทยหรือประเทศไทยไม่ได้หนีหายไปไหน ไม่มีความจำเป็นใดๆ ทั้งสิ้น ที่จะต้องมาดำเนินการในลักษณะนี้


    เมื่อถามว่า มั่นใจในพยานหลักฐานแค่ไหน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรามีทะเบียนเครื่องบินชัดเจน แสดงให้เห็นว่าเป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ และไม่น่าจะมีประเด็นอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ล่าสุดได้ข้อมูลมาว่าทางบริษัทวอเตอร์บาวน์ ไปนำข้อมูลจากเวปไซต์ที่มีรายชื่อเครื่องบินต่างๆ และนำไปอ้างว่าเป็นเครื่องบินของกองทัพอากาศ สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเยอรมนีนั้น มั่นใจว่ากรณีดังกล่าวจะไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ เพราะรัฐบาลเยอรมนีได้แสดงท่าทีชัดเจน โดยการออกแถลงการณ์และประสานกับรัฐบาลไทยมาโดยตลอด ส่วนกรณีบริษัทเอกชนที่ดำเนินการดังกล่าวเป็นอีกเรื่องที่จะต้องพิจารณาว่า จะดำเนินการอย่างไร


    เมื่อถามว่า การที่เครื่องบินถูกอายัดครั้งแรกเป็นเพราะฝ่ายไทยมีหลักฐานไม่ชัดเจนหรือ ไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตอนที่ศาลตัดสินครั้งแรกประมาณวันที่ 11-12 ก.ค.ที่ ผ่านมา เป็นการตัดสินโดยไม่ได้ไต่สวน คล้ายกับการตัดสินมีคำขอเร่งด่วน โดยฝ่ายไทยเพิ่งยื่นเอกสารให้ศาลพิจารณา แต่ทางฝ่ายบริษัทกลับยื่นเอกสารคัดค้านก่อนศาลนัดพิจารณาคดีเพียง 2 ชั่วโมง ทำให้ศาลต้องใช้เวลาอ่านเอกสารของบริษัท และขอเลื่อนการตัดสินออกไปเป็นวันที่ 18 ก.ค.นี้


    ด้าน นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า จากการที่ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ได้หารือกับ รมว.ต่างประเทศของเยอรมัน เมื่อวันที่ 15 ก.ค.ที่ ผ่านมา ก็ได้รับการตอบรับที่ดีในเรื่องของการให้ความช่วยเหลือแก้ปัญหา และมีการยืนยันว่า ไม่ใช่การกระทำของรัฐบาลเยอรมัน แต่เป็นเรื่องของกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งได้มีการขอโทษประเทศไทยไปแล้ว เพื่อเป็นการรักษาความสัมพันธ์อันดีทางการทูตของทั้ง 2 ประเทศ โดยกระทรวงต่างประเทศเยอรมัน ได้อำนวยความสะดวกในเรื่องของการต่อสู้ทางคดีกับทีมอัยการของไทย และตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเอกสารหลักฐานเพิ่มเติ่ม ตามที่ศาลเยอรมันร้องขอในการยืนยันเรื่องกรรมสิทธิ์เครื่องบินลำดังกล่าว อยู่ ซึ่งคาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด


    ด้าน นายเจษฎา กตเวทิน รองอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ศาลเยอรมนีได้มีการไต่สวน นายษิตและคณะซึ่งได้เดินทางไปร่วมรับฟังการพิจารณา พร้อมกับยื่นเอกสารต่างๆ เพื่อคัดค้านว่า ศาลเยอรมนีได้เลื่อนการตัดสินที่กำหนดไว้ออกไป และมีการขอเอกสารกรรมสิทธิ์ของเอกชนจากฝ่ายอัยการของฝ่ายไทยเพิ่มเติม หลังเอกสารที่กองทัพอากาศยื่นไประบุว่าไม่ใช่ทรัพย์สินของรัฐบาล


    พล.อ.ต.มณฑล สัชฌุกร โฆษกกองทัพอากาศ กล่าวว่า กองทัพอากาศได้ส่งเอกสารสำเนาหนังสือกราบบังคมทูลถวายเครื่องบินโบอิ้ง 734-40 ไปให้ทางกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นหลักฐานชิ้นหนึ่งยืนยันกับทางเยอรมนีว่า เครื่องบิน โบอิ้ง 734-40 กองทัพอากาศได้ถวายต่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร เมื่อปี พ.ศ. 2550 เพื่อนำไปใช้ในพระราชภารกิจส่วนพระองค์ ดังนั้น วันนี้เครื่องบิน โบอิ้ง 734-40 ไม่ ได้อยู่ในฐานะที่เป็นเครื่องบินของกองทัพอากาศ ไม่ได้อยู่ในฐานะเครื่องบินของรัฐบาล ถือได้ว่าเครื่องบินดังกล่าวอยู่ในสถานะส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนต่อไปขึ้นอยู่กับศาลเยอรมนีที่จะพิจารณา เป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานอัยการสูงสุดที่ต้องไปดำเนิน การต่อ


    "เรื่องที่เกิดขึ้นน่าเป็นความข้าใจผิดของบริษัทเอกชนเยอรมนีที่มีปัญหาทางธุรกิจของเขา เลยไปคิดเอาเองว่าเครื่องบิน โบอิ้ง 734-40 น่า เป็นของรัฐ ซึ่งเรามีหลักฐานชัดเจนว่าไม่ใช่ กองทัพอากาศได้ทูลเกล้าถวายเป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ไปแล้ว ที่ตัวเครื่องบินก็มีการเขียนอักษรชัดเจน และไม่ได้มีสัญลักษณ์อะไรที่เกี่ยวกับกองทัพหรือรัฐบาลเลย" พล.อ.ต.มณฑล กล่าว


    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศของไทย เข้าหารือกับนางคอร์เนเลีย ไพเพอร์ ผู้ช่วย รมต.ประเทศของเยอรมนี ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เกี่ยวกับกรณีเครื่องบินโบอิ้ง 737 ส่วน พระองค์ที่ถูกอายัดไว้ที่ท่าอากาศยานนานาชาติมิวนิค ก็ได้มีแถลงการณ์ร่วมเห็นพ้องร่วมกันว่า เรื่องดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีของทั้ง 2 ประเทศ


    อย่างไรก็ตาม นายกษิตได้ให้สัมภาษณ์ที่กรุงเทพฯ ก่อนออกเดินทางในครั้งนี้ว่า ทางไทยต้องการให้ศาลเยอรมนีถอนคำสั่งอายัดในทันที เพราะหากใช้เวลานานเกินไป อาจจะมีผลต่อคววามรู้สึกของคนไทยที่มีต่อคนเยอรมนี เนื่องจากเป็นเรื่องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์


    ขณะที่ เวอร์เนอร์ ชไนเดอร์ ผู้บริหารการล้มละลายของวอลเตอร์ บาว ระบุในแถลงการณ์ของบริษัทว่า การยึดทรัพย์มีขึ้นหลังการปฏิเสธจ่ายหนี้กว่า 30 ล้านยูโร หรือ 42 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐฯ ของรัฐบาลไทย ที่ทางชไนเดอร์ ใช้ความพยายามเรียกร้องความชอบธรรมมาเป็นเวลาหลายปี ทำให้มาตรการที่รุนแรงนี้ต้องถูกใช้เป็นหนทางสุดท้าย


    -http://www.siamrath.co.th/web/?q=%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1-%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B8%94%E0%B8%96%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C-


    .-------------------------------------------------------------.
    .-------------------------------------------------------------.
    .-------------------------------------------------------------.
    .-------------------------------------------------------------.
    .-------------------------------------------------------------.


    อ่า ศาลเยอรมัน ยังไม่มีมาตรฐาน

    ยังพิจารณามั่วๆ

    :mad: :mad: :mad: :mad: :mad: :mad: :mad: :mad: :mad: :mad: :mad: :mad: :mad:

    จริงๆแล้ว ไทยเองไม่ควรไปพึ่งกลุ่มประเทศอเมริกาและกลุ่มตะวันตก มากเกินไป

    พวกนี้ มันเห็นแก่ตัวมาก


    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    บุกจับ"เจ้าอาวาส"วัดดังเมืองเชียงใหม่"ค้ายาไอซ์-เสพเมถุน"



    "ตร.เชียงใหม่"ปิด ล้อมวัดราชมณเฑียร บุกจับเจ้าอาวาสพร้อมของกลางยาไอซ์ ตะลึง!พบถุงยางอนามัยใช้แล้วเกลื่อนกุฎิ รับสารภาพเป็นผู้ค้าและเสพเอง
    เมื่อวันที่ 16 ก.ค.54 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อกลางดึกคืนที่ผ่านมา พ.ต.อ.พิษณุ อุณหเสวี ผกก.สภ.เมืองเชียงใหม่ และ พ.ต.ท.วชิระ กาญจนวิภาดา รอง ผกก.ป. และ พ.ต.ต.พิพัฒน นาระเดช สวป.สภ.ช้างเผือก ช่วยราชการ กก.สส.2 บ.สส.ภ.5 พร้อมกับพวก ได้ทำการล่อซื้อยาเสพติดประเภทยาไอซ์ ซึ่งมีผู้นำมาขายและตั้งก๊วนเสพยาภายในวัดราชมณเฑียร ถ.ศรีภูม ต.ศรีภูมิ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ สร้างความรำคาญชาวบ้านอยู่ในระแวกนั้น โดยกำลังตำรวจได้เข้าปิดล้อมรอบกำแพงวัดชั้นนอก เมื่อชุดล่อซื้อ ได้เข้าไปในวัดพบจุดหน้ากุฏิเจ้าอาวาส ได้มีพระชัชวาล โชติธัมโม อายุ 46 ปี เจ้าอาวาส ได้ลงมาพร้อมกับถุงยาไอซ์จำนวน 23 ถุงน้ำหนัก 28 กรัม โดยขายให้สายล่อซื้อในราคา 2,000 บาท เมื่อเห็นของกลางแล้วทาง พ.ต.ต.พิพัฒน์ นาระเดช จึงได้แสดงตัว ทางพระชัชวาล พยายามจะวิ่งหลบหนีกลับเข้ากุฏิ ทางตำรวจติดตามเข้าไปพบว่า ในห้องกำลังเปิดเว็บแคมฟร็อก ช่องโป๊อยู่พอดี และภายในห้องยังพบอุปกรณ์เสพยาไอซ์จำนานมาก และพบถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วเกลื่อนห้อง และไม่ได้ใช้จำนวนมาก จึงได้ยึดไว้เป็นหลักฐาน

    เมื่อจนต่อหลักฐานจึงขอตำรวจว่าให้โอกาสขอสึกจากความเป็นพระก่อน เพราะเป็นช่วงวันสำคัญทางศาสนา ทางตำรวจจึงได้จัดหาเสื้อกางเกงให้ทำการสึกก่อนและนำตัวพร้อมของกลางมา ที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ พร้อมสอบปากคำเพื่อขยายผลการจับกุม อดีตพระชัชวาล หรือนายชัชวาล ม่วงกิติ อาย 46 ปี ได้เปิดเผยเพียงว่า ได้บวชเป็นสามเณร เมื่ออายุ 13 ปีที่วัดในหมู่บ้านต้นม่วง อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ ก่อนที่จะเข้ามาอยู่ในที่วัดราชมณเทียร เมื่อปี 2537 และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส และเคยเป็นเจ้าพิธีทำจตุคามในวัด แต่ไม่ประสบความสำเร็จขาดทุน จึงได้หันมาเสพยาเสพติด และรักร่วมเพศในวัดมาตลอด โดยยาเสพติดนั้นจะเป็นทั้งผู้เสพและผู้จำหน่าย กระทั่งมาถูกตำรวจจับกุม


    -http://www.siamrath.co.th/web/?q=%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%8B%E0%B9%8C-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%9E%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%99-








    .





    ข่าวบุกจับ"เจ้าอาวาส"วัดดังเมืองเชียงใหม่"ค้ายาไอซ์-เสพเมถุน" | Siamrath.co.th



    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ผู้ประกอบการข้าวถุงขู่พาณิชย์ไม่ช่วย จ่อขยับอีกถุงละ 10-15 บาท


    [​IMG]

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    ผู้ ประกอบการข้าวถุงเผยจ่อปรับขึ้นราคาถุง 5 กก.อีก 10-15 บาท หากพาณิชย์ไม่ช่วยแก้ปัญหาข้าวสารขาดแคลน เหตุโรงสีกักตุนรอจำนำเกวียนละ 15,000 บาท ด้านโรงสีโต้ข้าวไม่ขาดสต๊อก แต่หมดยุคราคาถูกแล้ว

    กลาย เป็นประเด็นร้อนทางเศรษฐกิจไปทันที หลังจากว่าที่รัฐบาลใหม่มีนโยบายจำนำข้าวเกวียนละ 15,000 บาท ก็ส่งผลให้โรงสีหลายแห่งลดปริมาณการขายข้าวสารให้ผู้ประกอบการค้าข้าวถุง เพื่อรอดูสถานการณ์นโยบายของรัฐบาลใหม่ ส่งผลให้ผู้ประกอบการค้าข้าวถุงหาซื้อข้าวมาบรรจุถุงจำหน่ายได้ยากขึ้น และทำให้ราคาข้าวถุงมีแนวโน้มจะขยับขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้

    ทั้งนี้ แหล่งข่าวจากสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุง เปิดเผยว่า ทางผู้ประกอบการได้แจ้งเรื่องนี้ไปยังกรมการค้าภายในแล้ว โดยย้ำว่า โอกาสจะตรึงราคาข้าวถุงให้เหมือนเดิมมีน้อยมาก แต่อย่างน้อยภายใน 1 เดือนนี้คงยังสามารถตรึงราคาไว้ได้อยู่ เพราะมีสต๊อกข้าวเก่าเหลืออยู่ แต่หากหมดสต๊อกแล้วคงตรึงราคาไว้ได้ยาก จึงเรียกร้องให้ทางกรมการค้าภายในลงมาแก้ปัญหาเรื่องการขาดแคลนข้าวในตลาด ดังกล่าว ถ้าหากยังแก้ปัญหาไม่ได้ ทางผู้ประกอบการก็จำเป็นต้องขอปรับขึ้นราคาข้าวถุง 5 กิโลกรัม อีก 10-15 บาทต่อถุง

    อย่างไรก็ตาม แม้ทางผู้ประกอบการข้าวถุงจะระบุว่า ขณะนี้ข้าวสารขาดตลาด เพราะทางโรงสีกักตุนไว้รอนโยบายจำนำข้าว 15,000 บาท แต่ทางนายชาญชัย รักษ์ธนานนท์ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย กลับออกมาระบุว่า ไม่ได้เกิดภาวะขาดแคลนข้าวในตลาดข้าวดังที่อ้าง เพราะทางโรงสีพร้อมขายข้าวในผู้ประกอบการข้าวถุงตลอดเวลา เพียงแต่ราคาปรับตัวขึ้นจากเดิม เพราะมีข้าวเหลืออยู่น้อยลง เนื่องจากเป็นช่วงปลายปี และไทยได้ส่งออกข้าวไปแล้วกว่า 7 ล้านตันในช่วง 7 เดือนแรก นอกจากนี้ ตลาดข้าวกำลังอยู่ในช่วงปรับเปลี่ยนนโยบายของรัฐบาล ที่แต่เดิมเป็นประกันราคาซึ่งประกาศราคาอ้างอิงออกมาที่ตันละ 9,000 บาท แต่ไม่สะท้อนราคาที่แท้จริงที่ควรขายข้าวตันละ 10,000 บาท

    นายชาญชัย ยังกล่าวย้ำด้วยว่า ปัจจุบัน นี้หมดยุคข้าวถูกแล้ว เพราะราคาข้าวในประเทศต้องสะท้อนความเป็นจริง พร้อมกับเสนอทางออกว่า หากกลัวว่าข้าวในประเทศจะขาดแคลน รัฐบาลจะต้องกำหนดราคาส่งออกขั้นต่ำ เพื่อไม่ให้ผู้ส่งออกข้าวไปขายตัดราคากันเองนำมาซึ่งการกดราคาข้าวภายใน ประเทศ


    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1310798505&grpid=00&catid=&subcatid-

    [​IMG]





    .



    -http://hilight.kapook.com/view/60881-

    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ตลท.สั่งปรับมาร์เก็ตติ้งบล.


    ตลท. สั่งปรับจนท.การตลาด และ ผู้บริหารบล.เคที ซีมิโก้ - เคจีไอ ฐานปฏิบัติงานไม่สอดคล้องกับข้อบังคับ
    นายสุทธิชัย จิตรวาณิช รองผู้จัดการสายงานกฎหมาย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาความผิดและลงโทษเกี่ยวกับการเรียกค่าธรรมเนียมในการ เป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ได้พิจารณาลงโทษและปรับบริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมีโก้ และบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) กรณีความผิดด้านการปฏิบัติงานที่ไม่สอดคล้องกับข้อบังคับ เรื่อง หลักเกณฑ์ และวิธีการเรียกค่าธรรมเนียมในการเป็นนายหน้าหรือตัวแทนซื้อหรือขายหลัก ทรัพย์จดทะเบียนและการกำกับดูแลกิจการที่ดีของสมาชิก พ.ศ.2547 และประกาศตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้ติดต่อกับผู้ลงทุน ผู้จัดการสาขาและหัวหน้าทีมการตลาดของสมาชิก พ.ศ.2553 ดังนี้
    1. บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ ได้จ่ายค่าตอบแทนให้แก่เจ้าหน้าที่การตลาด (Marketing) ในระบบการจ่ายค่าตอบแทนตามสัดส่วนของรายได้ (Incentive Scheme) โดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ให้คำแนะนำหรือรับคำสั่งซื้อขายให้กับ ลูกค้า ส่งผลให้ได้รับค่าตอบแทนไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติให้ลงโทษปรับบริษัทเป็นเงิน 510,000 บาท และให้บริษัทลงโทษภาคทัณฑ์เจ้าหน้าที่การตลาด 2 ราย รวมทั้งกำชับผู้บริหารของบริษัท 4 ราย ให้ปฏิบัติงานเป็นไปตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างเคร่งครัดต่อไป
    2. บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) ได้จ่ายค่าตอบแทนให้แก่เจ้าหน้าที่การตลาด(Marketing) ในระบบการจ่ายค่าตอบแทนตามสัดส่วนของรายได้ (Incentive Scheme) โดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ให้คำแนะนำหรือรับคำสั่งซื้อขายให้กับ ลูกค้า ส่งผลให้ได้รับค่าตอบแทนไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติให้ลงโทษปรับบริษัทเป็นเงิน 300,000 บาท และให้บริษัทลงโทษภาคทัณฑ์เจ้าหน้าที่การตลาด 3 ราย รวมทั้งกำชับผู้บริหารของบริษัท 3 ราย ให้ปฏิบัติงานเป็นไปตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างเคร่งครัดต่อไป
    ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ และ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) ได้รับทราบมติของคณะอนุกรรมการฯ และยืนยันว่าบริษัทมีนโยบายที่จะปฏิบัติตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างเคร่งครัดเสมอมา ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นดังกล่าว บริษัทมิได้มีเจตนาที่จะปฏิบัติงานไม่สอดคล้องกับข้อบังคับแต่อย่างใด ทั้งนี้บริษัทจะกำชับให้ผู้บริหารของบริษัทควบคุมดูแลการปฏิบัติงานให้สอด คล้องตามกฎข้อบังคับของสำนักงานคณะกรรมกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป



    .

    -http://www.posttoday.com/%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88-%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99/%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99/99681/%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%97-%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%A5--


    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ดอกเบี้ยบานไม่รู้โรย


    ถึงตอนนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ดอกเบี้ยในประเทศไทยยังอยู่ในห้วงขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
    แม้ว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา จะมีการประกาศขยับขึ้นอีก 0.25% จนส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายจาก 3% มาอยู่ที่ระดับ 3.25% ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยห่างจากดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกา 33.25% เข้าไปแล้วก็ตามที
    กนง.ให้เหตุผลของการปรับขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้ว่า เพราะเงินเฟ้อยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง จากราคาพลังงานและการปรับราคาในหมวดอาหารสำเร็จรูปที่ยังมีอยู่
    นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า การขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้เพราะดอกเบี้ยนโยบายยังอยู่ในระดับต่ำ หากนำมาหักลบเงินเฟ้อก็ถือว่ายังติดลบอยู่ ดังนั้นดอกเบี้ยจึงอยู่ในทิศทางขาขึ้นต่อไปเพื่อปรับดอกเบี้ยเข้าสู่ภาวะ ปกติ
    โดย กนง.ยังมีวาระการประชุมเพื่อพิจารณาดอกเบี้ยในการดูแลเสถียรภาพด้านเศรษฐกิจ อีก 4 ครั้งในปีนี้ สัญญาณดังกล่าวจึงเป็นที่แน่ชัดว่าดอกเบี้ยของไทยยังบานไม่รู้โรย
    ทั้งนี้ ธปท.คาดการณ์เงินเฟ้อพื้นฐานมีโอกาสหลุดกรอบเป้าหมายที่ตั้งไว้ 0.53% ในช่วงไตรมาส 3 และ 4 นี้ แม้จะมีการขยายมาตรการดูแลค่าครองชีพออกไป
    ผลจากการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้ได้ทำให้ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ ประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ย 2 ขา ทั้งเงินฝากและเงินกู้ โดยดอกเบี้ยเงินฝากสะสมทรัพย์ขยับขึ้น 0.125% มาอยู่ที่ 0.875% เงินฝากประจำทุกระยะเวลาขึ้น 0.5% ขณะที่ดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทปรับเพิ่มขึ้น 0.25% เมื่อธนาคารขนาดใหญ่ขยับขึ้นเชื่อว่าธนาคารพาณิชย์แห่งอื่นคงจะมีการปรับ เพิ่มขึ้นตามในเร็วๆ นี้

    ขณะที่ธนาคารกสิกรไทยก็ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากขึ้น 0.12-0.25% และปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขึ้น 0.25% มีผลตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค. 2554 เป็นต้นไป โดยปรับดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ขึ้น 0.12% เป็น 0.87% เงินฝากประจำ 3 เดือน ปรับขึ้น 0.10-0.20% เป็น 1.70-1.95% เงินฝากประจำ 6 เดือน ปรับขึ้น 0.05-0.15% เป็น 2.05-2.30% เงินฝากประจำ 12 เดือน ปรับขึ้น 0.20-0.25% เป็น 2.40-2.70% รวมทั้งได้ปรับอัตราดอกเบี้ยตั๋วแลกเงิน (B/E) เพิ่มขึ้น 0.05-0.15%
    ขณะเดียวกันได้ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขึ้น 0.25% โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MLR) ปรับจาก 6.87% เป็น 7.12% อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เบิกเกินบัญชีสำหรับลูกค้าชั้นดี (MOR) ปรับจาก 7.15% เป็น 7.40% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) จาก 7.65% เป็น 7.90%
    จึงเชื่อได้ว่าสัปดาห์หน้าจะเป็นเทศกาลการขึ้นดอกเบี้ยจากธนาคารพาณิชย์ที่ยังไม่ขยับอีกระลอก บรรดาผู้กู้จึงควรหาทางรับมือ
    ขณะที่ผู้ฝากเงินก็ต้องพิจารณาวางแผนการเงินให้ดี เพราะหลังจากรัฐบาลชุดใหม่ประกาศจะดำเนินนโยบายประชานิยมเต็มขึ้นนั้น จะเป็นผลให้รัฐบาลใหม่จำเป็นต้องการเม็ดเงินมหาศาล หนึ่งในนั้นคือการระดมเงินฝากผ่านธนาคารเฉพาะกิจของรัฐเพื่อใช้ธนาคารเหล่า นี้เป็นแขนขาในการดำเนินนโยบายต่างๆ ซึ่งได้สร้างความกังวลให้กับธนาคารพาณิชย์เอกชนว่าอาจก่อให้เกิดการแข่งขัน ดอกเบี้ยเงินฝากในตลาดเพิ่มรุนแรงหนักขึ้นไปจากระดับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งดอกเบี้ยเงินฝากระยะแค่ 6 เดือนได้ทะลุขึ้นมายืนบนหลัก 4% เข้าไปแล้ว
    นายยุทธชัย เตยะราชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี กล่าวว่า ปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่เริ่มถูกดูดเงินฝากจากแบงก์รัฐที่ใช้แคมเปญ ดอกเบี้ยสูงเข้าสู้ ทำให้เกิดการแข่งขันรุนแรง ดังนั้นธนาคารขนาดกลางและเล็กจึงเติบโตลำบาก รับแรงกดดันจากดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับเพิ่มขึ้น พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากที่จะเริ่มบังคับใช้เดือน ส.ค.นี้
    นอกจากเรื่องดอกเบี้ยแล้ว ฐานะการคลังก็ยังต้องติดตาม เมื่อกระทรวงการคลังระบุว่า ในการประชุมร่วมกันกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย สรุปว่าจะมีการเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพิ่มขึ้นอีก 5 หมื่นล้านบาท ทำให้งบประกาศรายจ่ายประจำปี 2555 เพิ่มขึ้นจากกรอบเดิม 2.25 ล้านล้านบาท เป็น 2.3 ล้านล้านบาท งบลงทุนจาก 3.5 แสนล้านบาท เป็น 4 แสนล้านบาท
    ด้านค่าเงินบาทก็ยังอยู่ในภาวะแข็งค่าต่อไป เมื่อพิจารณาจากเงินทุนไหลเข้า ล่าสุดมีการทดสอบ 30.05 บาทต่อเหรียญสหรัฐไปแล้ว และมีการประเมินว่าน่าจะยืนในระดับ 29 บาทต่อเหรียญสหรัฐได้ไม่ยาก
    ด้านวงการทองคำก็มีการขยับราคาอย่างคึกคักไม่น้อย ทำสถิติครั้งแล้วครั้งเล่า นายสัญญา หาญพัฒนกิจพานิช หัวหน้าทีมพัฒนาธุรกิจตลาดอนุพันธ์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ให้ติดตามการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐให้ดี หากสหรัฐออกมาตรการ QE3 จริง จะทำให้นักลงทุนขนเงินมาลงทุนในทองคำมากขึ้น เพราะเกรงปัญหาเงินเฟ้อจะพุ่งสูง ประเมินว่าปีนี้มีโอกาสเห็นราคาทองคำแตะระดับ 1,630 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ได้ แต่คงไม่เกิน 1,680 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์
    จนส่งผลให้ราคาทองคำแท่งในประเทศขยับขึ้นมายืนในระดับ 22,600 บาทแล้ว
    ไม่เพียงแต่ราคาทองคำจะพุ่ง ในส่วนของทิศทางตลาดหุ้นในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีความเคลื่อนไหวค่อนข้าง แกว่งตัวแรง บางวันปริมาณการซื้อขาย 2.9 หมื่นล้านบาท บางวันซื้อขายแค่ 2 หมื่นล้านบาท โดยท้ายสัปดาห์ดัชนีลงมาปิดตลาดที่ระดับ 1,079.91 จุด ลดลง 0.79% จากสัปดาห์ก่อนหน้า เนื่องจากความกังวลการแก้ปัญหาหนี้ในอเมริกาและยุโรป


    .


    -http://www.posttoday.com/%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88-%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99/%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99/99954/%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%A2-

    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    เปลี่ยนเครื่องทรงฤดูฝน


    สมเด็จพระบรมฯ เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ทรงเปลี่ยนเครื่องทรงฤดูร้อนเป็นเครื่องทรงฤดูฝน ถวายพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง

    [​IMG]

    เวลา 16.09 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปทรงเปลี่ยนเครื่องทรงฤดูร้อนเป็นเครื่องทรง ฤดูฝน ถวายพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง ต่อจากนั้น

    สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง ไปในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล เนื่องในวันอาสาฬหบูชา และเทศกาลเข้าพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

    ในโอกาสนี้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ โดยเสด็จในการนี้ด้วย



    .


    -http://www.posttoday.com/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81/99944/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%A4%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%9D%E0%B8%99-

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • prakeaw54.jpg
      prakeaw54.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.6 KB
      เปิดดู:
      820
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    จาก sithiphong's Profile

    nutnam เรียนคุณสิทธิพงศ์

    ผมขอความกรุณาสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือ"วิเคราะห์พระพิมพ์สมเด็จฯ และ พระสมเด็จท่านเจ้าคุณกรมท่า"ว่าขณะนี้ยังมีจำหน่ายอยู่อีกหรือไม่ หากยังพอมีแหล่งผมขอความกรุณาแจ้งข้อมูลกลับที่โทรศัพท์เบอร์ ........ หรือส่ง SMS เบอร์ของคุณสิทธิพงศ์ให้ผมแล้วผมจะติดต่อกลับครับ

    ขอบพระคุณล่วงหน้า
    นุ้ย

    .

    ปัจจุบัน หนังสือเล่มนี้หมดไปแล้วครับ


    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    พ่อจะขอจดทะเบียนรับลูกเป็นบุตร แม่ไม่ยอมได้หรือไม่?/มังกรซ่อนกาย <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">16 กรกฎาคม 2554 23:33 น.</td></tr></tbody></table>

    บุตรของชายหญิงที่อยู่ร่วมกันฉัน สามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสกันนั้นถือว่าเป็นบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ของชาย ผู้เป็นบิดา และบิดาก็ถือว่าเป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของบุตรผู้นั้น ในกรณีเช่นนี้ชายผู้เป็นบิดาสามารถที่จะขอจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรชอบด้วย กฎหมายได้ แต่การที่จะขอจดทะเบียนรับรองเด็กเป็นบุตรนั้น อาจมีปัญหาได้หากหญิงผู้เป็นมารดาเด็กไม่ยินยอม เรื่องดังกล่าวนี้มีข้อเท็จจริงมาให้พิจารณากัน กล่าวคือ

    นายใหญ่ กับ นางสาวเล็ก อยู่ กินกันฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน โดยทั้งสองต่างทำงานอยู่ในบริษัทเอกชนทำให้มีรายได้พอใช้จ่าย ต่อมาในปี 2545 นางสาวเล็กได้ตั้งท้องนายใหญ่เห็นว่าถ้ามีลูกเพิ่มมาอีกคนหนึ่งรายได้ จากบริษัทที่ทำงานอยู่ของทั้งคู่คงจะไม่พอใช้จ่ายแน่ นายใหญ่จึงขอนางสาวเล็กว่าจะลาออกจากงานที่บริษัทเพื่อจะไปขายของส่งตามร้าน โชว์ห่วยในต่างจังหวัด นางสาวเล็กไม่อยากให้ไป ให้อดทนทำงานที่บริษัทต่อไปโดยให้ทำงานอยู่ไปนาน ๆ เงินเดือนก็จะขึ้นเอง แต่นายใหญ่ต้องการที่จะไปลองเสี่ยงค้าขาย โดยคาดว่าจะมีฐานะที่ดีขึ้นจึงไม่ฟังคำคัดค้านของนางสาวเล็กและลาออก จากบริษัท

    เมื่อนายใหญ่เดินทางไปต่างจังหวัดเพื่อไปขายของในช่วง 1-2 ปีแรกมีกำไรน้อยมาก น้อยกว่าเงินเดือนที่ได้รับจากบริษัทเดิม และไม่มีเวลากลับบ้าน เมื่อนางสาวเล็กคลอดบุตรคือเด็กหญิงส้มในปี 2546 ก็ได้ดูแลตนเองและบุตรแต่ผู้เดียวมาโดยตลอด และเมื่ออยู่ห่างกับนายใหญ่ไปเรื่อย ๆ จนเข้าปีที่ 3 นางสาวเล็กจึงขอเลิกรากับนายใหญ่ นายใหญ่ไม่รู้จะทำประการใดเพราะต้องทำงานต่างจังหวัดตลอดจึงต้องเลิกรากับ นางสาวเล็กไปโดยปริยาย

    พอเข้ากลางปี 2550 เด็กหญิงส้มมีอายุได้ 3 ปี 6 เดือน การค้าของนายใหญ่เริ่มอยู่ตัว มีเงินเหลือเก็บมากขึ้น นายใหญ่จึงต้องการที่จะช่วยอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิงส้มและต้องการที่จะให้ เด็กหญิงส้มเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของตนด้วย จึงบอกนางสาวเล็กว่าจะขออุปการะเด็กหญิงส้มและจะขอไปจดทะเบียนรับเด็กหญิง ส้มเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่นางสาวเล็กไม่ยินยอมเพราะโกรธนายใหญ่ที่ไม่ช่วยเหลือดูแลเด็กหญิงส้มและ นางสาวเล็กตั้งแต่แรก นายใหญ่จึงไปยืนคำร้องขอจดทะเบียนรับเด็กหญิงส้มเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายต่อ นายทะเบียน ในการสอบถามของนายทะเบียน นายทะเบียนได้สอบถามถึงอายุของเด็กหญิงส้ม และถามหานางสาวเล็กและเด็กหญิงส้มว่าได้มาด้วยหรือไม่ นายใหญ่ตอบว่าไม่สามารถพามาเพื่อให้ความยินยอมได้ นายทะเบียนจึงแจ้งให้นายใหญ่ไปยื่นคำร้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลางเพื่อ ขอรับเด็กเป็นบุตร

    นายใหญ่ได้ไปยื่นคำร้องต่อศาลตามคำแนะนำของนายทะเบียน โดยได้แต่งตั้งทนายความยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้นายใหญ่จด ทะเบียนรับเด็กหญิงส้มผู้เยาว์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้อง นางสาวเล็กยื่นคำคัดค้านว่า นายใหญ่ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาล เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย คือ การยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับรองผู้เยาว์ต่อนายทะเบียนนั้น นายทะเบียนไม่ได้แจ้งการจดทะเบียนของนายใหญ่ไปยังนางสาวเล็กและเด็กหญิงส้ม ก่อนตามขั้นตอนของกฎหมาย นายใหญ่จึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลได้ทันที

    นอกจากนี้ ในระหว่างตั้งครรภ์นายใหญ่ไม่สนใจหรือเอาใจใส่เกื้อกูลความเป็นอยู่ของนาง สาวเล็ก ไม่เคยจ่ายเงินเดือนหรือค่าใช้จ่ายในครัวเรือน และเมื่อนางสาวเล็กคลอดเด็กหญิงส้มผู้เยาว์ นายใหญ่ไม่ช่วยอุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาแก่บุตร นางสาวเล็กเลี้ยงดูเด็กหญิงส้มมาตลอด โดยเด็กหญิงส้มเข้ารับการศึกษาเป็นอย่างดีแล้วไม่มีความจำเป็นที่นายใหญ่จะ จดทะเบียนรับรองบุตรอีก ขอให้ศาลยกคำร้อง

    ศาลจะพิจารณาคดีนี้อย่างไร เมื่อ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่านายใหญ่ และนางสาวเล็กอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ เด็กหญิงส้ม ปัญหาต้องวินิจฉัยมีว่า นายใหญ่มีอำนาจยื่นคำร้องขอต่อศาลหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1548 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า บิดาจะจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายได้ต่อเมื่อได้รับความยินยอมของเด็กและมารดาเด็ก ส่วนวรรคสามและวรรคสี่ บัญญัติว่า ใน กรณีที่เด็กหรือมารดาเด็กคัดค้านว่าผู้ขอจดทะเบียนไม่ใช่บิดา หรือไม่ให้ความยินยอม หรือไม่อาจให้ความยินยอมได้ การจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรต้องมีคำพิพากษาของศาล เมื่อศาลพิพากษาให้บิดาจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรให้นำคำพิพากษาไปขอจด ทะเบียนต่อนายทะเบียน

    จากบทบัญญัติดังกล่าวแสดงให้เห็นชัดเจนว่าประสงค์ให้เด็กเป็นผู้ให้ ความยินยอมเป็นการเฉพาะตัว เมื่อปรากฏว่าขณะที่ผู้ร้องไปยื่นคำร้องต่อนายทะเบียน ขอจดทะเบียนรับเด็กหญิงส้มเป็นบุตรนั้น เด็กหญิงส้มมีอายุเพียง 3 ปีเศษ ยังไร้เดียงสาและไม่สามารถให้ความยินยอมได้ แม้นายทะเบียนจะแจ้งไปยังนางสาวเล็กและเด็กหญิงส้มก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะเด็กหญิงส้มไม่สามารถให้ความยินยอมได้ การที่นายทะเบียนแจ้งแก่นายใหญ่ว่าไม่สามารถรับจดทะเบียนได้จึงเป็นการ ปฏิบัติถูกต้องตามพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2478 มาตรา 19 วรรคสองด้วย

    ดังนั้น นายใหญ่ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลขอให้พิพากษาให้นายใหญ่จดทะเบียน รับเด็กหญิงส้มเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายได้ ศาลจึงมีคำสั่งให้นายใหญ่จดทะเบียนรับเด็กหญิงส้มเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของ นายใหญ่ได้ (เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 5982/2551) ซึ่งถ้า เป็นพ่อลูกกันจริง แม้ฝ่ายแม่จะไม่ยินยอมก็ไม่มีผล เนื่องจากกฎหมายมุ่งไปที่ตัวเด็กให้เป็นผู้ให้ความยินยอมเป็นการเฉพาะตัว ซึ่งตามกฎหมายจะถือว่าเป็นเด็กที่รู้เดียงสา ต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวฯ มาตรา 4 ที่นิยามคำว่า "เด็ก" หมายถึงบุคคลอายุเกินเจ็ดปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่เกินสิบสี่ปีบริบูรณ์

    -hiddendragon2552@gmail.com-



    -http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000087674-


    Life & Family - Manager Online -
     
  17. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ไปทานร้านน้องโจ๊ก กะว่าจะทานปลาเต๋าเต้ยยั่วคุณหนุ่มซะหน่อย ปรากฎว่า ทางร้านไม่มีปลาเต๋าเต้ย เพราะหายาก เขาว่าอย่างนั้นนะ และทางร้านได้เปลี่ยนเมนูอาหารหลายอย่าง ผมลองสั่งเมนูเดิมมาก็รู้สึกว่า รสชาดจะสู้ trip ก่อนไม่ได้เลยนะครับ เพราะราคาแพงขึ้น อาหารรสชาดไม่ดีเท่าครั้งก่อน ไม่มีเมนูอาหารที่อยากทาน(ไม่พร้อมบริการ) ลองชมภาพกันครับ ผมสั่งแกงกระทิปู ผักเหมียงผัดน้ำมันหอย ปลากะพงทอดตะไคร้ เสียดายที่ปลากะพงที่ปกติมีรสชาดที่หวาน แต่มาถูกกลบด้วยเครื่องเทศที่ปรุงแล้วกลับไม่ได้ประโยชน์จากความหวานสด ความหวานของเนื้อปลา เรียกว่า เอาจุดเสริม มากลบจุดเด่น จานนี้ ๒๑๐ บาท ส่วนแกงกะทิปูทานกับเส้นหมี่ นี่เสียดายเนื้อปูที่ชิ้นใหญ่ แต่..ด้วยเครื่องแกงที่เผ็ดเกินไปจนไปกลบความหวานของเนื้อปู จานนี้ ๑๓๐ บาท ส่วนผักเหมียงก็งั้นๆครับ เมื่อเทียบกับราคา ดูไม่สมราคา ๘๐ บาทเลยนะ.....เมื่อเอามาชั่งน้ำหนักกันทั้งราคา คุณภาพ รสชาด ราคารวม ๔๓๐ บาท คะแนนเต็ม ๑๐ ให้ ๖.๕ ครับ..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1010214.JPG
      P1010214.JPG
      ขนาดไฟล์:
      227 KB
      เปิดดู:
      34
    • P1010211.JPG
      P1010211.JPG
      ขนาดไฟล์:
      204.4 KB
      เปิดดู:
      42
    • P1010212.JPG
      P1010212.JPG
      ขนาดไฟล์:
      212.3 KB
      เปิดดู:
      36
    • P1010209.JPG
      P1010209.JPG
      ขนาดไฟล์:
      237.8 KB
      เปิดดู:
      33
  18. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    กลับถึงกรุงทพแล้วครับ ก่อนกลับกรุงเทพได้ไปแวะที่ตรัง จะด้วยเหตุบังเอิญ หรือเป็นเพราะอศจร.ก็ไม่ทราบได้ ถึงได้พิสูจน์เหตุการณ์ที่ดูแล้วไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้ว ขณะกำลังคับขันฝนเทกระหน่ำลงมา ก็มองหารถสามล้อซึ่งมาทราบภายหลังว่า ในตรังมีเพียง ๑๐ คันเท่านั้น เป็นรถอนุรักษ์ของที่นี่ และเป็นคันเดียวกับที่นัดหมายให้มารับส่งสนามบินตรัง เหมือนถูกส่งมาให้มาช่วยเหลือในยามคับขัน และพี่ท่านนี้ชื่อ โกชัย อัธยาศัยดีมากๆ เป็นธุระจัดการเรื่องสำคัญให้หลายเรื่องเช่น
    ๑) มาจากไหนไม่ทราบ แต่เหมือนเจาะจงมารับส่งในช่วงคับขันที่ติดฝนซึ่งตกหนักมาก หน้าโรงพยาบาลวัฒนะ เป็นคันเดียวกับที่พบหน้าโรงแรมที่จองไว้ที่ตรังและได้นัดหมายให้มารับในวันรุ่งขึ้น

    ๒) จะไปทานอาหารเย็นที่ร้านแกงส้มตรัง๑ (ต้นตำรับ) ซึ่งเห็นเมื่อช่วงบ่ายว่าปิดร้านอยู่ แต่น่าจะเปิดช่วง ๔ โมงเย็น ปรากฎว่า โกชัย ที่รู้ดี รู้ทุกเรื่อง บอกว่า ร้านนี้ปิดกิจการแล้ว ๒ เดือน ให้ไปทานร้านลูกแทน รสชาดเดียวกัน แต่อยู่คนละถนนครับ พี่เขาก็อุตส่าห์พามาทานที่ร้านลูก ลำพังให้มาเองสงสัยจะมาไม่ถึงครับ และมาทราบภายหลังจากเจ้าของร้านว่า หากมาทานที่ร้านนี้ ต้องบอกสามล้อล่วงหน้าว่า ให้มารับ เพราะละแวกนี้ไม่มีรถรับส่งเลยจริงๆ

    ร้านนี้ชื่อ ชานชลา เป็นร้านลูกของเจ๊ซิ้มเจ้าของร้านแกงส้มตรัง ๑ นั่นเอง อยู่ถ.วัดคลองน้ำเจ็ด ถนนชื่อแปลกแบบนี้ผมไม่รู้จักครับ ก็เลยถ่ายภาพเอาไว้ เผื่อเพื่อนๆที่แวะมาเที่ยวตรัง จะสนใจตามหาร้านนี้ ผมบอกได้คำเดียวว่า อร่อยมากๆๆๆๆ เพียงแค่เสริฟอาหารใส่จาน ชามแบบนี้มาก็เหมือนเจ้าของร้านทำให้ลูกหลานในบ้านทานกันแล้ว เหมือนเราได้ทานอาหารสมัยเด็กที่แม่ทำกับข้าวให้ลูกทานยังไงยังงั้นเลยนะ

    ผม post ภาพนามบัตรของโกชัย ไว้ให้ด้วย เผื่อเพื่อนท่านใดมีโอกาสมาที่นี่ อาจจะต้องใช้บริการของรถสามล้อพี่เขา นอกจากใจดีมากๆ อัธยาศัยดี แล้วยังจริงใจในการบริการนักเดินทางมากๆ

    ร้านชานชลา ไม่มีนามบัตร ผมก็ขอให้เขาเขียนที่อยู่ไว้พร้อมเบอร์โทรศัพท์ และมีร้านสาขาที่ ๒ อยู่ที่ซ.โชคชัย ๔ นี่เอง

    ครัวชานชลาตรัง สาขา ๑ ถ.วัดคลองน้ำเจ็ด อ.เมือง โทร ๐๗๕-๒๑๓๙๔๒
    แกงส้มตรัง สาขา ๒ โชคชัย ๔ ซ.๔๘ ๐๘๙-๗๗๔๒๕๑๗

    จำตำแหน่งเอาไว้นะครับทั้งป้ายบอกทาง หลักกิโล ตึกฝั่งตรงข้ามที่ดูหรูๆเป็นสีเหลืองทอง

    ความอร่อยไม่เคยปรานีใครเลยจริงๆ มองจากภาพคงรู้นะครับ หุ..หุ....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1010233.JPG
      P1010233.JPG
      ขนาดไฟล์:
      268.5 KB
      เปิดดู:
      35
    • P1010234.JPG
      P1010234.JPG
      ขนาดไฟล์:
      271.4 KB
      เปิดดู:
      36
    • P1010235.JPG
      P1010235.JPG
      ขนาดไฟล์:
      222.3 KB
      เปิดดู:
      27
    • P1010236.JPG
      P1010236.JPG
      ขนาดไฟล์:
      273.9 KB
      เปิดดู:
      35
    • P1010237.JPG
      P1010237.JPG
      ขนาดไฟล์:
      267.5 KB
      เปิดดู:
      28
    • P1010238.JPG
      P1010238.JPG
      ขนาดไฟล์:
      253.1 KB
      เปิดดู:
      32
    • P1010240.JPG
      P1010240.JPG
      ขนาดไฟล์:
      221.2 KB
      เปิดดู:
      32
    • P1010222.JPG
      P1010222.JPG
      ขนาดไฟล์:
      275.8 KB
      เปิดดู:
      31
    • P1010223.JPG
      P1010223.JPG
      ขนาดไฟล์:
      330.8 KB
      เปิดดู:
      35
    • P1010224.JPG
      P1010224.JPG
      ขนาดไฟล์:
      251.4 KB
      เปิดดู:
      31
    • P1010225.JPG
      P1010225.JPG
      ขนาดไฟล์:
      261.7 KB
      เปิดดู:
      33
    • P1010226.JPG
      P1010226.JPG
      ขนาดไฟล์:
      251.6 KB
      เปิดดู:
      34
    • P1010227.JPG
      P1010227.JPG
      ขนาดไฟล์:
      253 KB
      เปิดดู:
      30
    • P1010228.JPG
      P1010228.JPG
      ขนาดไฟล์:
      261.3 KB
      เปิดดู:
      33
    • P1010229.JPG
      P1010229.JPG
      ขนาดไฟล์:
      261.8 KB
      เปิดดู:
      30
    • P1010230.JPG
      P1010230.JPG
      ขนาดไฟล์:
      253.7 KB
      เปิดดู:
      34
    • P1010231.JPG
      P1010231.JPG
      ขนาดไฟล์:
      265.1 KB
      เปิดดู:
      29
    • P1010232.JPG
      P1010232.JPG
      ขนาดไฟล์:
      257.4 KB
      เปิดดู:
      33
    • P1010215.JPG
      P1010215.JPG
      ขนาดไฟล์:
      262.2 KB
      เปิดดู:
      32
    • P1010216.JPG
      P1010216.JPG
      ขนาดไฟล์:
      238.6 KB
      เปิดดู:
      38
    • P1010217.JPG
      P1010217.JPG
      ขนาดไฟล์:
      261.3 KB
      เปิดดู:
      37
    • P1010219.JPG
      P1010219.JPG
      ขนาดไฟล์:
      252.9 KB
      เปิดดู:
      34
    • P1010220.JPG
      P1010220.JPG
      ขนาดไฟล์:
      281.5 KB
      เปิดดู:
      33
    • P1010221.JPG
      P1010221.JPG
      ขนาดไฟล์:
      310.8 KB
      เปิดดู:
      33
  19. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    หลักฐานยืนยันความอร่อยแบบแม่ช้อยไม่ต้องมารำ เชลล์ไม่ต้องมาชวนชิม ต้องรอพิสูจน์ที่ร้านแกงส้ม ๒ ที่โชคชัย ๔ ซอย ๔๘ อีกครั้ง..

    ว่าแต่ร้านครัวชานชลา นี่ ผมให้คะแนนเต็ม ๑๐++นะ..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1010220.JPG
      P1010220.JPG
      ขนาดไฟล์:
      281.5 KB
      เปิดดู:
      33
    • P1010221.JPG
      P1010221.JPG
      ขนาดไฟล์:
      310.8 KB
      เปิดดู:
      31
    • P1010251.JPG
      P1010251.JPG
      ขนาดไฟล์:
      133.5 KB
      เปิดดู:
      27
    • P1010250.JPG
      P1010250.JPG
      ขนาดไฟล์:
      132.1 KB
      เปิดดู:
      34
  20. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    และ post นี้สำหรับ โกชัย เจ้าของรถสามล้ออนุรักษ์ที่อัธยาศัยดี ใจดี และจริงใจ อุตส่าห์ผมไปทานติ๋มซำ และหมูย่างเมืองตรัง ตอนเช้าก่อนขึ้นเครื่องด้วยครับ ติ๋มซำร้านนี้สู้ของร้านฮกกี่เหลาที่กระบี่ไม่ได้ครับ เสียดายคนตรังที่ไม่ได้ทานติ๋มซำอร่อยๆที่ฮกกี่เหลา กระบี่ครับ มองเห็นโกชัยกำลังเสริฟอาหารให้ลูกค้าอยู่ จริงๆเขาขับรถสามล้อหัวกบทรงอนุรักษ์นะครับ เห็นไม๊ว่าเขาอัธยาศัยดีขนาดไหน ช่วยเหลือดีจริงๆ แบบนี้สิ อศจร.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1010248.JPG
      P1010248.JPG
      ขนาดไฟล์:
      253.6 KB
      เปิดดู:
      38
    • P1010244.JPG
      P1010244.JPG
      ขนาดไฟล์:
      271.4 KB
      เปิดดู:
      31
    • P1010241.JPG
      P1010241.JPG
      ขนาดไฟล์:
      314.1 KB
      เปิดดู:
      30
    • P1010243.JPG
      P1010243.JPG
      ขนาดไฟล์:
      305.9 KB
      เปิดดู:
      23
    • P1010245.JPG
      P1010245.JPG
      ขนาดไฟล์:
      263.2 KB
      เปิดดู:
      33
    • P1010247.JPG
      P1010247.JPG
      ขนาดไฟล์:
      264.7 KB
      เปิดดู:
      34
    • P1010242.JPG
      P1010242.JPG
      ขนาดไฟล์:
      282 KB
      เปิดดู:
      37
    • P1010249.JPG
      P1010249.JPG
      ขนาดไฟล์:
      118.6 KB
      เปิดดู:
      34

แชร์หน้านี้

Loading...