พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    3 ย่อหน้าเปลี่ยนชีวิต ชี้ทิศทางเทนนิสโลก

    วันเสาร์ ที่ 09 กรกฎาคม 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]


    วงการกีฬาโลกในช่วงนี้ ไม่มีใคร “ฮอต” เกิน โนวัค ยอโควิช เพราะเขาเพิ่งคว้าแชมป์วิมเบิลดัน พร้อมกับก้าวขึ้นเป็นมือ 1 โลกเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่อะไรทำให้ ยอโควิช สุดยอด และเขาจะทำให้วงการสักหลาดโลกเปลี่ยนแปลงไปได้แค่ไหนหรืออย่างไร เราไปหาคำตอบพร้อม ๆ กัน
    ถามว่าเกมเทนนิสแค่เกมเดียวจะสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องราวของการแข่งขันทั้งฤดูกาลได้หรือไม่?
    คำตอบน่าจะเป็น “ไม่” แต่ในปีนี้ต้องบอกว่า “ได้”
    เกมที่ว่าก็คือ นัดชิงชนะเลิศ ชายเดี่ยว วิมเบิลดัน เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว
    มันคือเกมในฝันของแฟนเทนนิสทุกคนในโลกอย่างแท้จริง เพราะเป็นการพบกันของ 2 นักเทนนิสชายที่ดีที่สุดของโลก และต่างก็กำลังอยู่ในสภาพกระหายแชมป์อย่างยิ่ง
    โนวัค ยอโควิช จะได้ก้าวขึ้นเป็นมือ 1 ของโลกอย่างแน่นอน ไม่ว่าผลการแข่งขันเกมนี้จะออกมาเป็นอย่างไร แต่ถ้าเกิดเขาแพ้ขึ้นมาจริง ๆ หลายสิ่งหลายอย่างจะไม่เหมือนกับที่มันเป็นอยู่ตอนนี้
    เขาย่อมหนีไม่พ้นที่จะถูกนำไปเปรียบกับ แคโรไลน์ วอซเนียคกี มือ 1 โลก ของฝ่ายหญิง ที่ยังไม่เคยได้แชมป์แกรนด์สแลมแม้แต่รายการเดียว ถึงแม้ว่า ยอโควิช จะเคยได้แชมป์แกรนด์
    สแลมมาแล้วถึง 2 รายการก็ตาม
    ส่วน ราฟาเอล นาดาล ถึงแม้เขาจะต้องเสียตำแหน่งมือ 1 โลก แต่การเอาชนะคนที่มาแทนที่เขา ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เขาคือคนที่เหมาะสมกว่า
    ที่สำคัญ มันจะทำให้เขาคว้าแชมป์ 2
    แกรนด์สแลมติดต่อกัน และได้แชมป์ถึง 5 จาก 6 แกรนด์สแลมหลังสุด
    แต่ความจริงก็เป็นอย่างที่ทุกคนทราบ นั่นคือ ยอโควิช ชนะ นาดาล 3-1 เซต และสถาปนาตัวเองขึ้นเป็น “คิง” คนใหม่ของวงการเทนนิสได้อย่างเป็นทางการ
    ที่บอกว่าอย่างเป็นทางการก็เพราะ ยอโควิช พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เขาดีกว่า นาดาล หรือแม้แต่ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ อย่างแท้จริง
    ราฟา และ โรเจอร์ สร้างมาตรฐานที่สูงลิบให้แก่เทนนิสโลกจนดูเหมือนว่าจะไม่มีใครป่ายปีนตามพวกเขาทัน แต่ โนวัค แสดงให้คนทั้งโลกเห็นว่าเขาทำได้ และทำได้ดีกว่า
    มีไม่กี่คนที่จะเอาชนะ นาดาล ได้หลาย ๆ ครั้งติดต่อกัน เพราะไอ้หนุ่มกล้ามโตถือเป็น “นักแก้ไข” ที่เก่งที่สุดของวงการ แต่ ยอโควิช ก็เอาชนะ นาดาล ได้ทั้ง 5 ครั้งที่เจอกันในปีนี้ และที่สำคัญมันคือการชนะบนพื้นคอร์ตทุกประเภทด้วย
    นี่จึงนำไปสู่คำตอบของคำถามที่อธิบายว่า ทำไมเกมแค่เกมเดียวถึงเปลี่ยนโฉมหน้าของทั้งฤดูกาลได้
    นั่นเพราะมันเป็น “ข้อพิสูจน์สุดท้าย” ที่ ยอโควิช แสดงให้ทั้งโลกได้ประจักษ์ว่า เขาคือของจริง ที่คู่ควรที่สุดสำหรับตำแหน่งมือ 1 ของโลกนั่นเอง
    ความพ่ายแพ้แค่ครั้งเดียวในปีนี้ต่อ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ในรอบตัดเชือก เฟรนช์ โอเพ่น นอกจากจะเปิดทางให้ นาดาล เดินไปสู่แชมป์โรลังด์ การ์รอส สมัยที่ 6 แล้ว มันยังทำให้หลายคนยังไม่เชื่อมั่นในความสามารถของ ยอโควิช และยังไม่ยอมรับว่าเขาคือหมายเลข 1
    แต่มันก็เป็นแค่อุบัติเหตุในวันที่ เฟเดอเรอร์ กลับมาเล่นได้ดีที่สุดในชีวิต และถ้าหาก เฟด-เอ็กซ์ ไม่หยุด ยอโควิช เอาไว้ในวันนั้น มันก็ไม่มีใครรู้ว่า นาดาล จะได้แชมป์เฟรนช์ โอเพ่น หรือไม่
    เพราะการเจอกัน 4 ครั้งก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นที่ อินเดียน เวลล์ส, ไมอามี, มาดริด หรือ โรม โนวัค เอาชนะ ราฟา ได้ทั้งหมด
    อย่างไรก็ตาม ทั้ง 4 ครั้ง เป็นการเล่นแบบ 2 ใน 3 เซต แต่รอบชิงชนะเลิศแกรนด์
    สแลม ผู้ชนะจะต้องได้ 3 ใน 5 เซต ทำให้มีหลายคนปรามาส ยอโควิช เอาไว้ว่า ถ้าหากเจอกันใน 5 เซต คงไม่มีทางผ่าน นาดาล ได้แน่
    แต่การใช้เวลาแค่ 4 เซตเพื่อเป็นผู้ชนะ ก็ทำให้ทุกคนได้รู้แล้วว่า ยอโควิช เอาชนะ นาดาล ได้ ทุกเมื่อ ทุกที่ ทุกสถานการณ์ และทุกสภาพพื้นผิว
    นี่เองจึงส่งให้ โนวัค ยอโควิช คือสุดยอดฝีมือในวงการเทนนิสโลกนาทีนี้อย่างไร้ข้อกังขา
    และมันก็ไม่แปลกเลยที่นิยายชีวิตของ ยอโควิช ได้กลายเป็นนิทานพื้นบ้านสุดคลาสสิก
    ระดับตำนานที่ชาวเซิร์บทุกคนจะบอกเล่าสืบต่อกันไปชั่วลูกชั่วหลานเรียบร้อยแล้ว
    เพราะมันไม่ใช่แค่ชัยชนะของ ยอโควิช แต่ยังเปรียบได้กับการประกาศอิสรภาพของประเทศเล็ก ๆ ที่ถูกไฟสงครามมอดไหม้มานานอย่าง เซอร์เบีย ในวงการกีฬาโลกด้วย
    โนวัค ยอโควิช จึงไม่ใช่แค่ “ฮีโร่” แต่เป็น “ปูชนียบุคคล” ที่คนเซิร์บทั้งประเทศ ทั้งรัก และสดุดีสุดหัวใจ
    ซึ่งเขาก็คู่ควรกับมันเป็นที่สุด.

    ใครจะได้แชมป์ “ยูเอส โอเพ่น” ?

    ปีนี้เหลือเทนนิสแกรนด์สแลมอีกแค่รายการเดียว นั่นคือ ยูเอส โอเพ่น ที่ฟลัชชิง เมโดว์ส ในมหานครนิวยอร์ก ในช่วงเดือนก.ย. ที่จะถึงนี้
    น่าสนใจว่าใครจะได้แชมป์
    ค่อนข้างชัดเจนว่า ถ้าหากไม่เกิดเหตุพลิกล็อกระดับช็อกโลก คงจะมีนักเทนนิสที่มีโอกาสก้าวไปถึงตำแหน่งแชมป์ได้แค่ 3 คน นั่นคือ โนวัค ยอโควิช, ราฟาเอล นาดาล และ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์
    ยอโควิช จัดไปแล้ว 2
    สแลม นั่้นคือ ออสเตรเลียน โอเพ่น และ วิมเบิลดัน ขณะที่ นาดาล ซิวเฟรนช์ โอเพ่น สมัยที่ 6 ส่วน เฟเดอเรอร์ ยังเงียบอยู่ แต่ทั้งหมดก็ไม่สามารถบอกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นที่อเมริกาได้อยู่ดี
    ด้วยผลงาน และฟอร์มช่วงหลัง ยอโควิช คือเต็ง 1 อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ขนาด นาดาล มีหนึ่งในปีที่แย่ที่สุดในชีวิต เขาก็ยังเข้าชิงได้ถึง 8 รายการ (แต่แพ้ โนวัค ไปซะ 5) ขณะที่ เฟเดอเรอร์ ก็มีความกระหายสุด ๆ ที่จะกลับมา
    ยอโควิช เคยเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูเอส โอเพ่น 2 ครั้ง และสำหรับปีนี้ เขาก็แทบจะถูกเชิญด้วยฟอร์มตัวเองให้ไปถึงจุดนั้นอีกครั้ง
    ความสำเร็จของ โนวัค ในปีนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่ที่คอร์ตใดคอร์ตหนึ่ง และเขาก็ได้แชมป์มาแล้วในทุกพื้นคอร์ต ความมั่นใจที่มากมายมหาศาลอยู่แล้วของ ยอโควิช จึงจะมีมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า ยอโควิช จะประสบความสำเร็จ ที่ยูเอส โอเพ่น และคนแรกที่จะยืนขวางเขาก็คือ นาดาล นั่นเอง
    นาดาล แพ้ ยอโควิช ทุกครั้งในการเจอกัน 5 ครั้ง ในปีนี้ ดังนั้น ถ้าหากอยากป้องกันแชมป์ เขาจึงจะต้องเอาชนะ ยอโควิช ให้ได้
    ไอ้หนุ่มจากมายอร์กา น่าจะเข้าถึงรอบรองชนะเลิศที่นิวยอร์กได้ค่อนข้างแน่ แต่หลังจากนั้น อะไรก็เกิดขึ้นได้ เขาอาจจะต้องพบกับ เฟเดอเรอร์ ที่กำลังมุ่งมั่น หรือ แอนดี เมอร์เรย์ ผู้ผิดหวังมาหลายครั้ง และต่อให้ผ่านใครก็ตามเข้ามาได้ คู่แข่งสำคัญที่สุดที่ นาดาล จะต้องเอาชนะให้ได้ก็คือ ยอโควิช
    ถ้าหาก ยอโควิช พลาดท่าแพ้ใครไปก่อนมาเจอ นาดาล ไอ้หนุ่มสเปน มีโอกาสดีที่จะคว้าแชมป์แน่นอน แต่ถ้าหากไม่เป็นอย่างนั้น เขาก็ต้องหาวิธีปราบคู่แข่งชาวเซิร์บให้ได้
    อย่างไรก็ดี อีกคนที่จะประมาทไม่ได้เด็ดขาดในยูเอส โอเพ่น ปีนี้ก็คือ มิสเตอร์ 16
    แกรนด์สแลมอย่าง เฟเดอเรอร์
    อย่าลืมว่า “เฟด-เอ็กซ์” เคยได้แชมป์ที่ฟลัชชิง เมโดว์ส 5 ปีติดต่อกัน คอร์ตที่นี่เร็ว และเหมาะกับเกมบุกแหลกของเขาที่สุด แต่มันจะดีพอที่จะเอาชนะ นาดาล หรือ ยอโควิช หรือไม่ ยังเป็นคำถามที่ เฟเดอเรอร์ ต้องตอบแก่ชาวโลก
    มีความเป็นไปได้ที่ เฟเดอเรอร์ จะสามารถเอาชนะ นาดาล ได้บนพื้นคอร์ตแบบนี้ แต่ด้วยแนวทางการเล่นของ ยอโควิช ในปีนี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะชนะนักหวดเซิร์บ
    มาตรฐานการเล่นของ ยอโควิช ในนาทีนี้ ดูเหมือนจะไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาได้ เขามีเกมที่กลมกลืนทั้งรับ และรุก อีกทั้งยังเหนียวหนึบเป็นตังเม และมีลูกวินเนอร์ที่ไม่น่าเชื่อ
    เรียกรวม ๆ ได้ว่า ตอนนี้ ยอโควิช คือนักเทนนิสที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง
    ดังนั้น ถ้าหากคาดการณ์จากนาทีนี้ โดยดูที่ฟอร์มการเล่น และผลงานที่ผ่านมาเป็นหลัก ยอโควิช คือคนที่มีโอกาสได้แชมป์ ยูเอส โอเพ่น ปีนี้ มากที่สุด.



    9 คำทำนายแห่งอนาคต
    ยอโควิช ก้าวขึ้นมาเป็นสุดยอดนักเทนนิสอันดับ 1 ของโลกอย่างเต็มตัวเรียบร้อยแล้ว และถ้าหากเขายังทำผลงานได้ดีแบบนี้ต่อไป เขาจะพบเจอกับอะไรบ้างในอนาคต ต่อไปนี้คือ 9 คำทำนายในอนาคตของเขา

    1) เขาจะไม่ได้แชมป์ ยูเอส โอเพ่น
    อาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อ และเราก็เพิ่งบอกว่าเขาจะได้แชมป์ แต่ถ้าพิจารณาจากฟอร์มช่วงครึ่งปีหลังของปีที่แล้วดูดี ๆ ยอโควิช อาจจะไม่ได้แชมป์ ยูเอส โอเพ่น รายการแกรนด์สแลมสุดท้ายของปี
    นาดาล อาจจะกวาดแชมป์แกรนด์สแลม 3 รายการสุดท้ายของปีที่แล้ว ขณะที่ เฟเดอ
    เรอร์ ก็เคยได้แชมป์แกรนด์สแลมถึง 3 รายการในปีเดียวกัน แต่สำหรับ ยอโควิช การทำ
    แบบนั้น เป็นไปได้ค่อนข้างยาก เพราะเขากรำศึกหนักมาทั้งปี และ การได้ถึง 3 สแลมในปีเดียว ดูเหมือนจะยังเร็วไปสำหรับเขา ที่สำคัญ อย่าลืมว่า นาดาล และ เฟเดอเรอร์ จะกระหายกลับมาแก้มือมากขนาดไหน ที่นิวยอร์ก
    2) เขาจะเป็นคู่กัดคนใหม่ของ นาดาล
    คู่สุดคลาสสิกแห่งโลกเทนนิสยุคปัจจุบันต้องยอมรับว่าหนีไม่พ้นเกมระหว่าง นาดาล กับ เฟเดอเรอร์ แต่หลังจากนี้ มันจะเป็นคู่ของ นาดาล กับ ยอโควิช
    แทบจะไม่เคยมีใครเอาชนะ นาดาล ได้ถึง 5 ครั้งติดต่อกัน เฟเดอเรอร์ ไม่เคยทำได้มากกว่า 2 ครั้ง ขณะที่ นิโคไล ดาวีเดนโก กับ ฮวน มาร์ติน เดล ปอโตร ทำสถิติเอาไว้ที่คนละ 3 ครั้ง ดังนั้น จึงชัดเจนว่า ยอโควิช คือคู่แข่งที่ นาดาล ต้องการเอาชนะมากที่สุดในตอนนี้ และทั้งคู่คงต้องขับเคี่ยวแย่งชิงความเป็นหนึ่งกันไปอีกนาน
    3) เขาจะได้แชมป์แกรนด์สแลม
    อย่างน้อย 5 รายการ
    แม้จะได้แชมป์แกรนด์สแลมไปแล้ว 3 รายการ แต่มันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นสำหรับ ยอโควิช เขาจะป่ายปีนไปถึง 10 สแลมเหมือน ราฟา หรือ โรเจอร์ ได้หรือไม่ ยังเป็นเรื่องน่าสงสัย แต่ 5 สแลม เป็นเรื่องที่แทบจะแน่นอน และเขาอาจจะทำสำเร็จตั้งแต่ปีหน้าด้วยซ้ำ เพราะพื้นคอร์ต ออสเตรเลียน โอเพ่น ที่เมลเบิร์น คือพื้นที่เขาถนัดที่สุด และถ้าจับพลัดจับผลูได้อีกสักรายการ แค่นี้ก็เกิน 5 สแลมแล้ว
    4) เขาจะเป็นมือ 1 โลกไปอีกเป็นปี
    ยอโควิช มีครึ่งปีแรกที่แพ้แค่ครั้งเดียว มันจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีครึ่งปีหลังที่
    แพ้กราวรูด ซึ่งนั่นก็คือเหตุผลที่จะทำให้เขาจบปี ค.ศ. 2011 ด้วยตำแหน่งมือ 1 โลก สูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานช่วงปลายปีก่อนที่ไม่ค่อยดีนัก ยังจะทำให้เขาโกยแต้มห่าง นาดาล ที่มีครึ่งปีก่อนที่สุดยอดออกไปอีกด้วย ดังนั้น ยอโควิช
    มีสิทธิจะนั่งบัลลังก์มือ 1 โลกต่อไปอีกเป็นปีเลย
    ทีเดียว
    5) เขาจะป้องกันแชมป์ที่เมลเบิร์นได้
    อย่างที่บอกว่า เกมของ ยอโควิช เหมาะสมกับพื้นคอร์ตที่เมลเบิร์น ปาร์ค มากที่สุด และเขามักจะเป็นคนที่เริ่มต้นปีได้ร้อนแรงด้วย ดังนั้น มีโอกาสสูงทีเดียวที่ ยอโควิช จะป้องกันแชมป์ออสเตรเลียน โอเพ่น เอาไว้ได้อีกสมัยในปีหน้า 6) เขาจะได้แชมป์เฟรนช์ โอเพ่น
    ที่โรลังด์ การ์รอส นาดาล เปรียบได้กับ เทพ แต่อย่างที่บอกว่าสถิติในปีนี้ เขาแพ้รวดต่อ ยอโควิช 5 ครั้งติดต่อกัน ไม่เว้นแม้แต่บนคอร์ตดินที่ตนเองถนัด ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าจับตามองอย่างยิ่งว่า ยอโควิช จะล้มช้าง เอาชนะซูเปอร์แชมป์อย่าง นาดาล ที่ฝรั่งเศส ได้หรือไม่ ซึ่งถ้าหากวัดด้วยฟอร์มตอนนี้ ก็ต้องบอกว่า เขาน่าจะทำได้
    7) เขาจะเข้าชิงวิมเบิลดันอีก 2 ครั้ง
    ยอโควิช เป็นนักเทนนิสสมัยใหม่ ที่ปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับพื้นคอร์ตประเภทต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และด้วยความมั่นใจอันเต็มเปี่ยมจากแชมป์วิมเบิลดันในปีนี้ จะทำให้เขาเป็นคู่แข่งที่อันตรายมาก ๆ สำหรับทุกคนที่ออล อิงแลนด์ คลับ ในปีหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิมเบิลดัน เป็นแกรนด์สแลมที่ยอดนักหวดหลายคนมัก
    จะทำได้ดีหลายปีติดต่อกัน ทำให้ถ้าหากปีหน้า ยอโควิช ได้เข้าชิงอีกครั้ง หรือได้แชมป์อีกครั้ง มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
    8) เขาจะได้แชมป์ ยูเอส โอเพ่น ในที่สุด
    ในข้อแรก เราทำนายเอาไว้ว่า เขาจะไม่ได้แชมป์ ยูเอส โอเพ่น ในปีนี้ แต่หลังจากแพ้ในรอบชิงชนะเลิศปีนี้ ในที่สุด ยอโควิช ก็จะได้แชมป์ในปีหน้า เพราะถ้าหากเขาทำไม่ได้ มันจะเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่งสำหรับเขา และมันก็อาจจะทำให้เห็นว่า เขายังไม่คงเส้นคงวามากพอ
    9) เขาจะโกยแชมป์มาสเตอร์สเป็นกอบเป็นกำ
    ตอนนี้ ยอโควิช ได้แชมป์ เอทีพี 1000 มาสเตอร์ส ไปแล้ว 8 รายการ แต่ครึ่งหนึ่งในจำนวนนี้ เกิดขึ้นในปีค.ศ. 2011 เพียงปีเดียว มันจึงชัดเจนว่า เขาจะต้องโกยแชมป์ได้อีกเป็น
    กอบเป็นกำในปีต่อ ๆ ไป ซึ่งถ้าหากยังรักษาฟอร์มได้แบบนี้ 5 มาสเตอร์สต่อปี เป็นอะไรที่ไม่เกินไปเลย และถ้าเขาทำได้จริง สถิติแชมป์มาสเตอร์สสูงสุด 19 รายการของ นาดาล ก็จะถูกทำลายลงอย่างไม่ต้องสงสัย.





    ที่มาเดลินิวส์ออนไลน์
     
  2. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    หมี่ผัด ส้มตำโคราช ร้านผัดหมี่โคราชแม่แต๋ว

    วันเสาร์ ที่ 09 กรกฎาคม 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD><TD id=ext-gen16 style="WIDTH: 57px">รูปภาพ</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]




    [​IMG]

    ร้านผัดหมี่โคราชแม่แต๋วไม่ใช่ร้านอาหารใหญ่โตหรูหรา หากแต่เป็นร้านขายอาหารการกิน จำพวกรถเข็นที่ตั้งริมฟุตปาธซอยท่านผู้หญิงพหลฯย่านเกษตร ที่ขายอาหารจานเดียวเป็นหมี่ผัดโคราช ส้มตำ ลูกชิ้นปิ้งและไส้กรอก ที่มีทั้งคนทำงาน นักศึกษา มาอุดหนุนเป็นลูกค้าประจำสม่ำเสมอร้านผัดหมี่โคราชแม่แต๋ว เป็นร้านที่คู่ชีวิตนักสู้อย่าง คุณโหน่งและคุณจอย ที่สู้อุตส่าห์จากบ้านเกิดที่ ตำบลกระโทก อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา มายึดหัวหาดริมทางเท้า ซอยท่านผู้หญิงพหลฯขายผัดหมี่โคราช ส้มตำมานานถึง 11 ปี เริ่มต้นการขายที่แทบไม่มีลูกค้า กระทั่งมีลูกค้าติดใจรสมือการปรุง ทำให้มีการบอกปากต่อปาก โดยเฉพาะเมนูเด็ดขึ้นชื่อคือ ผัดหมี่โคราช อาหารพื้นบ้านของชาวโคราช และ คุณโหน่ง เจ้าของร้านนำตำรับการปรุงหมี่ผัดโคราชแบบโบราณมาจากแม่ มาปรุงรสให้กลมกล่อมจนใครๆ ติดใจ

    ผัดหมี่โคราชร้านนี้มีแบบ เส้นสด วุ้นเส้น และ เส้นเล็ก ที่เด่นโดนลิ้น เห็นจะเป็นผัดหมี่โคราชที่ใช้เส้นสด จากตำบลกระโทก อำเภอโชคชัย มาเป็นวัตถุดิบกับเครื่องเครา เอกลักษณ์เส้นสด ใช้แต่แป้งข้าวเจ้าอย่างเดียวมาทำ สีออกขุ่นๆ ไม่ขาวนวล แต่ตัวเส้นนุ่ม หอมธรรมชาติ

    แค่ตัวเส้นสดมีที่มาน่าสนใจ วิธีผัดปรุงรสหน้าร้านริมรถเข็นเพลินตาไม่น้อย เห็นตั้งแต่ขั้นตอนใช้น้ำมันหมู ที่ใช้มันหมูเจียวเอาน้ำมันมาใช้วันต่อวัน แล้วใส่เนื้อหมู หอมแดงสับ น้ำตาลปีี๊บ พริกป่น ซีอิ๊วดำ น้ำมะขามเปียก ที่ใช้มะขามเปียกข้ามปี มาทำเป็นน้ำมะขามปรุงรส ให้รสชาติไม่เปรี้ยวแหลม

    รสชาติของผัดหมี่โคราชเส้นสด เด่นตั้งแต่ตัวเส้นเหนียวนุ่ม ไม่แฉะ เพราะผัดได้แห้ง ส่วนรสชาติออกหวาน ไล่มาเปรี้ยว เค็ม กลมกล่อมกำลังดี ทานเคียงไปพร้อมกับผักสดอย่างหัวปลี ใบบัวบก ถั่วงอกดิบ ได้สารอาหารครบถ้วนถ้าไม่ชอบใจเส้นสด จะเปลี่ยนเป็นวุ้นเส้นหรือเส้นเล็ก ย่อมได้ เพราะรสชาติเหมือนกันต่างกันตรงตัวเส้น

    ชอบทานส้มตำแซบ มีสิทธิสั่งจากร้านนี้มาทานได้เพราะของเขามีส้มตำรายการเด็ดไว้ให้สั่งมารับประทาน ถ้าจะเอาตรงคอนเซปต์ โคราช ต้องลองสั่ง ตำโคราช อธิบายง่าย ๆ เป็นส้มตำผสมระหว่างตำไทยกับตำลาว ใสทุกอย่างทั้งมะละกอ มะเขือ ถั่วฝักยาว ปูเค็ม กุ้งแห้ง ถั่วลิสงคั่ว ที่ขาดไม่ได้คือ ปลาร้า ถ้าคิดจะสั่งตำโคราช ถ้าทานปลาร้าไม่เป็น มีสิทธิสั่งแบบไม่เอาปลาร้าก็ได้ แต่จะอดสัมผัสรสชาติตำโคราชแบบดั้งเดิมไปเสียสิ้น

    แม่พลอยอยากทานตำโคราชแบบไร้เส้นมะละกอ เลือกเอาสั่งตำถั่วฝักยาวแบบโคราช มีถั่วฝักยาว มะเขือเทศ มะเขือเปราะ ตำคลุกเคล้ารสน้ำยำ แล้วสั่งกากหมูกรอบมาโรยหน้า ทานไปพร้อมกัน ได้รสชาติอร่อยไปอีกแบบ ร้านนี้มี ตำปู ตำปลาร้า ตำไทย ตำไข่เค็ม ให้เลือกสั่งทานแบบใจชอบได้หลายรายการ

    เมนู ลูกชิ้นปิ้ง ไส้กรอกย่าง ร้อน ๆ จากเตานี่ มัดใจคนชอบทานลูกชิ้นปิ้งจนอยู่หมัด ลูกชิ้นหมูแท้อย่างดี เคี้ยวหนึบ จิ้มทานกับน้ำจิ้มรสเด็ด ที่เจ้าของร้านปรุงเอง รับรองไม้เดียวไม่พอ ต้องมีไม้สอง ไม้สามและไม้ที่สี่ ตามมา ส่วนไส้กรอกหมูหอม นุ่ม อร่อยไม่แพ้กัน

    ผัดหมี่โคราชแม่แต๋ว ร้านรถเข็นที่ต้องยกนิ้วในเรื่องรสชาติให้ ร้านเล็กแต่คนทานเยอะ นึกอยากไปทานแม่พลอยรบกวนชวนให้มาทำจิตใจเย็น ๆ อย่าใจร้อนเวลาสั่ง เพราะทีมงานน้อย แต่คนทานเยอะพอควร เรื่องบริการอาจมีขาดตกบกพร่อง ถ้าพร้อมความรู้สึกด้านนี้ลองแวะดูร้านเปิดบริการจันทร์–เสาร์ ตั้งแต่ 16.00–22.00 น. ปิดบริการทุกวันอาทิตย์ สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ 08-1580-5381.






    ที่มาเดลินิวส์ออนไลน์
     
  3. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    'ตักบาตรเทียน' หนึ่งเดียว

    วันอาทิตย์ ที่ 10 กรกฎาคม 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    ขณะที่ประเพณีแห่เทียนพรรษาที่ได้รับการสลักเสลาอย่างวิจิตรของภาคอีสาน มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกจนกลายเป็นประเพณีหนึ่งที่นักท่องเที่ยวมากมายต้องเดินทางมาชม ณ จังหวัดเล็กๆ ที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างน่าน ที่นี่ประเพณีที่มีเพียงหนึ่งเดียวในช่วงเทศกาลเข้าพรรษายังคงอยู่

    หลังวันเข้าพรรษา 1 วัน ช่วงบ่ายวันแรม 2 ค่ำเดือน 8 ของทุกปี พุทธศาสนิกชนที่ยังคงมีส่วนร่วมในการสืบสานประเพณีหนึ่งเดียวในไทยและอาจเป็นเพียงหนึ่งเดียวในโลก จะพากันมารอท่าพร้อมด้วยดอกไม้สดแบบง่ายๆ ที่หาเก็บได้จากริมรั้วบ้าน และเทียนเล่มเล็กๆ มากมายที่ใส่รวมกันไว้ในตะกร้า เพื่อร่วมในประเพณีตักบาตรเทียน ณ วัดบุญยืน (พระอารามหลวง) อ.เวียงสา จ.น่าน

    วิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานแพร่ กล่าวว่า ประเพณีตักบาตรเทียนนับเป็นประเพณีท้องถิ่นที่สำคัญของชาวจังหวัดน่านที่สืบต่อกันมาช้านาน โดยพระสงฆ์จะนำเทียนที่ประชาชนใส่บาตรไปบูชาองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า และพระภิกษุสามเณรได้ใช้จุดศึกษาเล่าเรียนธรรมวินัยในยามค่ำคืน ซึ่งมีการจัดเพียงวัดเดียวในจังหวัดน่านที่สืบสานประเพณีนี้อย่างเหนียวแน่น และอาจจะมีแห่งเดียวในเมืองไทยหรือในโลก

    “ถึงแม้ว่าสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปเข้ายุคสมัยใหม่ มีไฟฟ้าใช้ แต่ชาวบ้านก็มิได้ละทิ้งประเพณีที่สืบทอดมายาวนาน กลับช่วยกันฟื้นฟูสืบทอดให้กับลูกหลานสืบไป โดยรวมปัจจุบันจัดขึ้นยาวนานกว่า 210 ปีแล้ว”

    พุทธตำนานกล่าวไว้ว่า ครั้งพุทธกาลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงกำหนดพุทธบัญญัติกาลเข้าพรรษาให้ครบไตรมาส 3 เดือน ของภิกษุสงฆ์ มิให้เดินทางไปพักแรม จาริกออกจากอาวาส คณะภิกษุสงฆ์ก็เริ่มพุทธปฏิบัติตามพระราชบัญญัติดังกล่าวคือตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 10

    การใส่บาตรเทียนจึงเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบมา เพื่อส่งเสริมพระวินัยบัญญัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้โอกาสพุทธศาสนิกชนได้ร่วมแสดงสามีจิกรรมต่อพระภิกษุผู้ที่จะอยู่จำนำพรรษาถ้วนไตรมาส เพื่อให้พระภิกษุสามเณรได้มีเทียนไว้จุดบูชาพระรัตนตรัย สวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น และพิธีกรรมอื่นๆ ที่ไม่ขัดต่อพระวินัยบัญญัติ

    ภิกษุสงฆ์สามเณรกว่า 1,000 รูป ทั่วทั้งอำเภอเวียงสา จะนำการตักบาตรโดยนำดอกไม้และเทียนใส่ลงในบาตรของพระภิกษุสามเณรที่มีวัดอยู่ห่างไกล ต้องการที่จะนำเทียนไปจุดบูชาพระ จุดอ่านหนังสือเรียนท่องบทสวดมนต์ ที่ตั้งไว้บนผ้าอาบน้ำฝนบนโต๊ะยาว

    ตามด้วยประชาชนผู้มีจิตศรัทธา จากนั้นพระสงฆ์จะห่อเทียนและดอกไม้ด้วยผ้าสบงที่เตรียมมานำกลับวัด เพื่อนำไปจุดบูชาพระรัตนตรัยหรือเก็บไว้เป็นของมงคลซึ่งพระองค์ ถือว่ามีความสำคัญยิ่งต่อพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป

    ไม่มีหลักฐานปรากฏชัดเจนว่าประเพณีตักบาตรเทียนนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อใด แต่สันนิษฐานว่าน่าจะเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2344 หลังจากเจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญ ทรงสร้างวัดบุญยืนได้ 1 ปี ในสมัยแรก ๆ เป็นประเพณีที่ทำเฉพาะวัดบุญยืน และในเวลาต่อมาได้ขยายไปทั่วอำเภอเวียงสาทั้งฝ่ายสงฆ์และฝ่ายคฤหัสถ์

    วัดบุญยืน ขึ้นทะเบียนกรมศิลปากรเป็นโบราณสถาน เป็นพระอารามหลวงและเป็นวัดเก่าแก่ สร้างตั้งแต่ พ.ศ.2343 ปีมะเมีย เดือนอ้าย แรม 5 ค่ำ วันพฤหัสบดี ยามเช้า โดย สมเด็จเจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญ เจ้าผู้ครองนครน่าน ลำดับองค์ที่ 55 ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น แต่งตั้งให้หมื่นสรรพช่าง เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง แบบรูปทรงล้านนา หลังคาซ้อนลดหลั่นกัน ลักษณะม้าต่างแพร ด้านหลังพระอุโบสถก่อสร้างองค์พระเจดีย์

    ททท.สำนักงานแพร่ จึงขอเชิญชวนผู้สนใจ ร่วมอนุรักษ์สืบสานประเพณีอันดีงามของจังหวัดน่าน และร่วมบำเพ็ญกุศลทานบารมี รักษาศีล ในวันที่ 17 กรกฎาคม ณ วัดบุญยืน สอบถามได้ที่ เทศบาลตำบลเวียงสา (กองการศึกษา) โทร. 0-5478-1681 หรือ ททท.สำนักงานแพร่ โทร. 0-5452-1118, 0-5452-1127.






    ที่มาเดลินิวส์ ออนไลน์
     
  4. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    หลักกม.ใหญ่กว่า โผล่ที่หันคา-ชัยนาท

    คอลัมน์ เป็นไปได้


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=360 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#e0e0e0>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ท่านใดที่ใช้เส้นทางต.สามง่ามโบสถ์ อ.หันคา จ.ชัยนาท จะเห็นสิ่งหนึ่งที่โดดเด่น

    นั้นคือหลักกิโลเมตรอยู่ในหมู่ที่ 9 ต.สามง่ามท่าโบสถ์

    ไม่ต้องตกใจว่า ทางหลวงชนบททำผิดขนาดหรือทำผิด

    แต่เป็นสิ่งที่จงใจทำและตั้งใจทำของ นายสารวิน วิริยะไทย ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน ที่หลักกิโลเมตรยักษ์ ตั้งอยู่

    เผยว่าจำลองมาจากหลักกิโลเมตรจริง ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน

    ด้วยความสูงถึง 7 เมตรกว้าง 4 เมตร มีหรือจะไม่เห็นแต่ไกล

    ไม่ได้สร้างให้ไร้ประโยชน์ มองเพียงแต่ว่ายักษ์ใหญ่เท่านั้น

    แต่ให้ประโยชน์เรื่องขอความปลอดภัยในการขับขี่ยวดยาน

    เพราะถนนเป็นทางโค้ง เวลาขับขี่ยานพาหนะไม่ระวัง อุบัติเหตุย่อมเกิดแน่

    โดยเฉพาะคนต่างถิ่น ไม่ชำนาญเส้นทาง

    เมื่อเห็นหลักกิโลเมตร ยักษ์ จะมีป้ายไว้ตรงทางโค้งเขียนไว้ว่า

    "กรุณาลดความเร็ว ระวังชนหลักกิโลข้างหน้า"

    เดิมถนนเส้นนี้เปลี่ยว ต้นไม้รกเป็นแหล่งอาชญากรรม

    อุบัติเหตุก็มาก กระทั่งมาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ใหม่

    จากที่เคยเปลี่ยว รกทึบ อันตราย

    มาเป็นโล่ง สวยงามและปลอดภัย

    หลักกิโลฯ นอกจากจะบอกเส้นทางแล้ว ยังเป็นจุดเตือน

    ให้ระมัดระวังการขับขี่อีกด้วย ตอนนี้เป็นพี่เบิ้มในภาคกลาง

    ครองแชมป์ หลักกิโลเมตรที่ใหญ่ที่สุดในภาค
    ที่มา ข่าวสด ออนไลน์
     
  5. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    วันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7528 ข่าวสดรายวัน


    ชีวิตเป็นสิ่งมีค่า


    คอลัมน์ ธรรมะวันหยุด


    สิ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับทุกๆ คน ได้แก่ ชีวิต เพราะชีวิตคือพื้นฐานการรองรับค่าของสิ่งอื่นๆ ทั้งหมด ถ้าเราไม่มีชีวิตเสียอย่างเดียว ทรัพย์สินเงินทอง ไม่ว่าจะมีค่ามากมายสักเพียงใด แม้จะมาวางอยู่เบื้องหน้าเรา สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้มีความหมายอะไรกับเราอีกต่อไป เพราะฉะนั้นในคราวที่เจ็บป่วยไข้ เราจึงบอกว่า จะหมดเท่าไร ก็ขอให้ได้เอาชีวิตไว้ก็พอแล้ว

    จากวันที่เราเกิดมาจนถึงวันนี้ ต้องเริ่มปรับตัวเองให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ เมื่อมองย้อนหลังไป จะเห็นได้ว่าเราได้ต่อสู้กับชีวิตมาพอสมควรทีเดียว บางครั้งก็ลองผิดลองถูกล้มลุกคลุกคลานมาพอสมควร

    ไม่ว่าจะอายุสักเท่าไรก็ตาม ก็พอจะสรุปได้ว่า สิ่งที่ผ่านมาในชีวิต ว่าโดยรวบยอดจะมีอยู่แค่เพียง 2 เรื่อง คือ เรื่องได้กับเรื่องเสีย ได้มากับเสียไป นั่นก็คือสิ่งที่ทางพระเรียกว่า โลกธรรม 8 ประการ ซึ่งแยกเป็นฝ่ายเจริญได้แก่ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ และฝ่ายเสื่อม ได้แก่ เสื่อมลาภ เลื่อมยศ ทุกข์ นินทา ทั้ง 2 ฝ่ายเปรียบเหมือนกับ 2 ด้านของเหรียญบาทอันเดียวกันที่เราต้องประสบกับมันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง สลับกันไป ดังเรื่องราวชีวิตของคนผู้หนึ่ง

    มีอยู่ครอบครัวหนึ่ง ประกอบด้วยหัวหน้าครอบครัว ภรรยา บุตรชายและคนรับใช้ ภายในบ้านนอกจากจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานทั่วไปแล้ว ยังมีม้าอีกหนึ่งตัว ลูกชายคนเดียวของบ้านชอบคลุกคลีขี่เล่นเป็นงานอดิเรก

    วันหนึ่งม้าตัวโปรดหายไป ทุกคนในบ้านต่างเสียใจ หัวหน้าครอบครัวได้แต่ปลอบโยนว่า ช่างเถอะ ของมันมาได้มันก็ไปได้ อย่าเสียใจอะไรมาก ต่อมาอีกหลายวันโดยที่ไม่มีใครคาดคิด ม้าตัวโปรดได้กลับมาพร้อมกับพรรคพวกอีกสิบตัว

    คนที่ดีใจมากที่สุดก็คือลูกชาย เพราะจะได้ม้าสำหรับขี่เพิ่มขึ้น วันหนึ่งเขาอยากลองขี่ม้าตัวใหม่ดู ม้าตัวใหม่เป็นม้ายังไม่ได้รับการฝึก ลูกชายจึงพลัดตกม้าขาหัก ทุกคนเสียใจมาก ยกเว้นหัวหน้าครอบครัวซึ่งพอจะทำใจได้และปลอบโยนบริวารว่า โชคดีโชคร้ายเป็นของคู่กัน วันนี้โชคร้าย วันหน้าโชคดีคงมา

    ต่อมาทางราชการก็แจ้งมาว่า เนื่องจากบ้านเมืองอยู่ในช่วงสงคราม ชายหนุ่มทุกคนในหมู่บ้านต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ให้ยกเว้นลูกชายเจ้าของบ้านคนเดียว เพราะเป็นคนพิการ จึงรอดตัวไป คนในบ้านก็แอบดีใจอยู่ลึกๆ และต่อมาปรากฏว่าพวกหนุ่มๆ ในหมู่บ้านที่ถูกเกณฑ์ทหารคราวนั้น เสียชีวิตในสงครามหมด

    จากเรื่องราวที่เล่ามาจะเห็นได้ว่าชีวิตจะต้องพบกับมุมทั้ง 2 ด้านของโลกธรรมสลับกันไป ดังคำกล่าวของสุนทรภู่ที่ว่า "วิสัยโลกโศกสุขทุกข์ธุระ ย่อมพบปะไปจนกว่าจะอาสัญ"

    คนเราทุกคนมีทั้งโชคดีและโชคร้ายสลับกันไป มากบ้างน้อยบ้าง ตามบุญกรรมของแต่ละคนที่ตนเองได้สร้างสมกันมา นี่เป็นเรื่องที่เราต้องพบเหมือนกัน แต่ที่ไม่เหมือนกันก็คือ คนเราเมื่อโลกธรรมมากระทบแล้วมีปฏิกิริยาไม่เหมือนกัน บางคนก็มีกำลังใจ รับได้ ทนได้ แต่บางคนก็กำลังใจตก ท้อแท้ สิ้นหวัง บางทีถึงกับคิดสั้นไปเลยก็มี

    พระเทพคุณาภรณ์

    (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.9)

    เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร / watdevaraj [Engine by iGetWeb.com]

    ที่มา ข่าวสด ออนไลน์
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 5 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 4 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong</td></tr></tbody></table>

    อรุณสวัสดิ์ยามเช้า วันอาทิตย์หรรษาครับ


    .




    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ถ่ายทอดองค์ความรู้ ศิลปะเครื่องเคลือบดินเผา


    [​IMG]

    อีก เทคนิคที่มีเสน่ห์ เครื่องปั้น ดินเผา ศิลปะแขนงนี้ไม่เพียงพบว่ามีความเป็นมานับแต่ครั้งยุคก่อนประวัติ ศาสตร์ ในด้านวิวัฒนาการการสร้าง สรรค์ยังมีความโดดเด่น โดยเทคนิคผลงานแต่ละยุคสมัยมีความหลากหลายแตกต่างกันตามลักษณะของผลงาน

    ปัจจุบันศิลปะเครื่องปั้นดินเผาได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง นอกเหนือจากการเรียนการสอนถ่ายทอดความรู้ที่มีต่อเนื่องมาของสาขาเครื่อง ปั้นดินเผาวิทยาลัยเพาะช่าง มหาวิทยาลัยเทคโน โลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ที่ผ่านมาสาขาวิชาและกลุ่มอาจารย์ได้ร่วมกันเผยแพร่ความรู้ศิลปะเครื่อง เคลือบดินเผาแก่บุคคลทั่วไปและจากการปฏิบัติการสร้างสรรค์ศิลปะ ผลงานที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้แสดงขึ้นในพื้นที่ศิลปะหอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถจวบถึง 30 กรกฎาคม 2554

    การสร้างสรรค์ศิลปะเครื่องเคลือบดินเผาเพื่อสังคมไทย นิทรรศ การครั้งนี้ซึ่งมีจุดหมายถ่ายทอดองค์ความรู้ การสร้างสรรค์และพัฒนาผลงานศิลปกรรมโดยใช้เทคนิคเครื่องเคลือบดินเผาเป็น สื่อ สราวุฒิ วงษ์เนตร อาจารย์ประจำสาขาเครื่องปั้นดินเผา วิทยาลัยเพาะช่างมทร.รัตนโกสินทร์บอกเล่าว่า ผลงานศิลปะเครื่อง ปั้นดินเผาที่แสดงมีทั้งผลงานของอาจารย์และบุคคลภาย นอกที่เข้าร่วมอบรมซึ่งการปฏิบัติการ สร้างสรรค์ศิลปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคนิคต่างๆ ร่วมกันแบ่งเป็น 3 ระยะโดยมีการบรรยายความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับศิลปะเครื่องเคลือบดินเผา ถ่ายทอดเทคนิคการสร้างสรรค์ การปฏิบัติการศิลปะและหลักจากการอบรมได้นำเสนอผลงานแสดงร่วมกันในนิทรรศการ ดังกล่าว

    “เครื่องปั้น ดินเผาศิลปะแขนงนี้มีการสร้างสรรค์และมีพัฒนาการมายาวนานได้รับความนิยมเป็น ที่รู้จักกว้างขวางทั้งในซีกโลกตะวันตกและตะวันออกซึ่งในความโดดเด่นของ ศิลปะสามารถนำมาสร้างสรรค์เป็นเครื่องใช้ต่างๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นภาชนะจาน ชาม แจกัน ของตกแต่ง ฯลฯ ขณะเดียวกันสามารถสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ”

    โดยทั่วไปเครื่องปั้นดินเผาอาจเข้าใจ และมองกันเพียงเฉพาะภาชนะเครื่องถ้วยชาม มองในแง่ผลิตภัณฑ์ทางศิลปะแต่อย่างไรแล้วเครื่องปั้นดินเผาได้รวมไปถึง ผลิตภัณฑ์นานาชนิดที่ทำจากดิน หินโดยผ่านกรรมวิธีการเผาให้มีความแข็งแกร่งคงทนถาวร และในผลงานการสร้างสรรค์ครั้งนี้ซึ่งมีความหลากหลายทั้งในด้านเทคนิค แนวคิดมีผลงานประติมากรรมนูนต่ำ ประติมากรรมลอยตัว งานสื่อผสม ศิลปะจัดวาง ฯลฯ ซึ่งศิลปินได้ถ่ายทอดแสดงให้เห็นถึงการก้าวไปของเครื่องเคลือบดินเผา บอกเล่าคุณค่าความงามของศิลปะเปิดมุมมองศิลปะเครื่องเคลือบดินเผาให้ศึกษา สัมผัสใกล้ชิด.





    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=519&contentId=150009-

    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    'อาการเวียนศีรษะ'ตอนที่ 2 คุยกับหมอ - ตรวจกับหมอ


    [​IMG]

    อาการ เวียนศีรษะหมุนมักเกิดแบบฉับพลันแล้วจะหายไปในระยะเวลาตั้งแต่เป็นวินาที นาที ชั่วโมง หรือเป็นวันหรือหลายวัน ขึ้นกับสาเหตุของโรคและความรุนแรงของโรค ในบางรายอาจเกิดซ้ำหรือบางรายอาจมีอาการนานหรือเป็นแล้วหายได้

    อาจพบอาการร่วมอื่นโดยเฉพาะอาการทางหู เช่น หูอื้อ การได้ยินลดลง มีเสียงรบกวนในหู รู้สึกแน่นในหู ปวดหู มีของเหลวไหลออกจากหู

    อาการทั่วไป (vegetative symptom) เช่น คลื่นไส้ อาเจียน มือสั่น ใจสั่น หน้าซีด หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เหงื่อออกมาก ปวดศีรษะ ตาลาย

    อาการทางระบบประสาท เช่น ตาพร่าเห็นภาพซ้อน ตากระตุก หลับตาไม่สนิท ใบหน้าชา ใบหน้าเบี้ยว เคี้ยวอาหารลำบาก กลืนอาหารลำบาก สำลักอาหาร เสียงแหบ พูดลำบาก คอแข็ง ชัก แขน ขาไม่มีแรง อัมพาตหรือมีอาการชา เดินเซ ล้ม และถ้าหากมีอาการทางระบบประสาทร่วมด้วยถือว่าเป็นอาการที่จะต้องรีบพบแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญทันทีคำถามที่สำคัญที่แพทย์จะถามผู้ป่วย

    แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะถามคำถามที่สำคัญเพื่อให้ได้แนวทางถึงสาเหตุ หรือสมมติฐานของการเกิด อาการเวียนศีรษะ ดังต่อไปนี้

    1. อาการเริ่มอย่างไร เวียนทันทีทันใดหรือค่อยเป็นค่อยไป

    2. ขณะกำลังทำอะไร จะทำอะไร

    3. เป็นนานแค่ไหนเป็นๆ หายๆหรือตลอดเวลา

    4. เป็นบ่อยแค่ไหน ทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน หรือนานๆ ครั้ง

    5. อะไรทำให้เกิดอาการเกี่ยวกับท่าทางหรือไม่สาเหตุกระตุ้น

    6. เวลาเวียนทำอย่างไรถึงหาย

    7. อาการทุเลาลงหรือเป็นมากขึ้นหรือหายได้สนิท

    8. อาการร่วมขณะมีอาการเวียน

    9. อาการภายหลังจากหายเวียน

    10. โรคที่เป็น เคยเป็น โดยเฉพาะด้านหูและระบบประสาท

    11. อุบัติเหตุภยันตราย โดยเฉพาะต่อหูและระบบประสาท

    12. ยาที่รับประทาน สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อหูและระบบประสาทเนื่องจากมียามากกว่า 300 ชนิด ที่มีรายงานว่า มีผลข้างเคียงทำให้เวียนศีรษะทั้งหมุนและไม่หมุน โดยเฉพาะยาที่มีผลต่อระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือดการตรวจ

    เมื่อแพทย์ได้แนวทางของอาการเวียนศีรษะจากการซักประวัติแล้ว จึงจะทำการตรวจเท่าที่จำเป็นตามลำดับดังนี้

    1. การตรวจร่างกาย แพทย์จะทำการตรวจร่างกายในระบบทั่วไป ตรวจทางหู คอ จมูก ทางระบบประสาทและประสาทการทรงตัว

    2. การตรวจด้วยเครื่องมือ เช่น ตรวจการได้ยิน (Audiometry, tympanometry) การตรวจประสาทการได้ยินระดับก้านสมองด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ : Brainstem Auditory Evoked Responses (BAER) ตรวจการกลอกตาและการทรงตัว (Electronystagmography– ENG) หรือ ตรวจภาพรังสีของหู กะโหลกศีรษะ

    3. การตรวจเลือดเช่น ระดับน้ำตาล ไขมันในเลือด ความเข้มข้นเลือด โรคซิฟิลิส เป็นต้น

    4. การตรวจสมองหรือระบบประสาทด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น การตรวจสมองด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ : CT brain scan หรือเครื่องแม่เหล็กไฟฟ้า : MRI brain scan

    อาการเวียนศีรษะที่อันตราย และจะต้องพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที หากปล่อยทิ้งไว้อาจเกิดอันตรายหรือเกิดความพิการได้

    1. เวียนศีรษะหมุนมาก ทานอาหารและยาไม่ได้ คลื่นไส้ อาเจียนมาก

    2. อาการเป็นซ้ำเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ หรือเป็นตลอดเวลาและนานกว่า 3 สัปดาห์

    3. หมดสติ ชัก หรือมีอาการทางระบบประสาทร่วมด้วย

    ข้อมูลจาก รองศาสตราจารย์ นายแพทย์จันทร์ชัย เจรียงประเสริฐ ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา โรงพยาบาลรามาธิบดี.

    นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์









    .

    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=530&contentId=149974-

    .

    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    วิธีรับมือหากประสบภัยน้ำท่วม

    ปีนี้นับว่าเป็นปีที่เกิดอุทกภัยหนักสุดปีหนึ่งของไทย เกือบทั่วประเทศต่างประสบปัญหา วันนี้มีคำแนะนำในการปฏิบัติตัว หากต้องเป็นผู้เดือดร้อนจากน้ำท่วม

    จากภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน ทำให้สภาพอากาศแปรปรวนไปทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยที่ฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน คนที่โชคดีไม่ได้อยู่ในพื้นที่ประสบภัย อาจจะช่วยเหลือด้วยการบริจาคเงินหรือสิ่งของ แต่ถ้าเป็นผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงหรือเป็นผู้ประสบภัยเองล่ะ ต้องทำอย่างไร ลองดูคำแนะนำต่อไปนี้ (ขอบคุณข้อมูลจาก ซุกสุข ฉบับเดือนพฤษภาคม 2554)

    - คอยรับฟังข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับน้ำท่วมจากสื่อต่าง ๆ ที่สามารถติดตามได้ เพื่อจะได้วางแผนรับมือได้ทัน

    - ตุนข้าวสาร อาหารแห้ง สำหรับทุกคนในครอบครัว ให้สามารถกินอยู่ได้อย่างน้อย 3 วัน

    - เก็บรักษาเอกสารสำคัญต่าง ๆ ทั้ง เอกสารราชการ บัญชีธนาคาร เงินสด ฯลฯ รวบรวมไว้ด้วยกัน แล้วใส่ไว้ในซองกันน้ำ เพื่อสะดวกในการเคลื่อนย้ายหนีน้ำ ไม่ตกหล่นสูญหาย

    - ย้ายปลั๊กไฟไปไว้บนที่สูง ถ้าน้ำทะลักเข้าบ้านให้รีบตัดกระแสไฟฟ้าทันที

    - หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำที่เชี่ยว หรือน้ำที่มีความลึกเกินหัวเข่า แต่ถ้าจำเป็นต้องเดินทางในที่ที่มีน้ำท่วม ให้หาไม้เท้าเตรียมไว้ใช้นำทาง เพื่อตรวจสอบความลึกของน้ำ หรือบริเวณที่มีท่อ ร่อง หลุม และต้องคอยระวังสายไฟที่ตกพาดอยู่ในน้ำ

    - หลังน้ำลด อย่าเพิ่งใช้ปลั๊กไฟ สวิตช์ไฟ หรืออุปกรณ์ไฟฟ้า จนกว่าทุกอย่างจะแห้งสนิท ถ้าไม่มั่นใจควรเรียกช่างมาตรวจสอบเสียก่อน และห้ามจุดไฟใกล้บ้าน เพราะอาจมีแก๊สรั่ว หรือวัตถุไวไฟหลงเหลืออยู่

    - ควรตรวจสอบท่อประปาก่อนใช้ เพราะอาจเสียหายจากน้ำท่วมทำให้มีเชื้อโรคปนเปื้อนมาได้.


    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=150066-




    .


    Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าเกร็ดความรู้ > วิธีรับมือหากประสบภัยน้ำท่วม

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    เลือกรองเท้าเป็น เห็นผลสุขภาพดี

    ปัจจุบันรองเท้าแนวลำลองดูจะกลายเป็นแฟชั่นฮอตฮิตในหมู่สาวทำงานที่จำเป็น ต้องมีความคล่องตัวอยู่ตลอดเวลา ล่าสุดบริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เอาใจสาวๆ ด้วยรองเท้าลำลองคอลเลคชั่นใหม่ “แนทเชอรัล สปอร์ต บาย แนทเจอร์ไลเซอร์” พร้อมชวนเหล่าคนดังมาทดลองสวม พร้อมแนะเคล็ดลับการเลือกรองเท้าเพื่อสุขภาพที่ดี ในงานสหกรุ๊ป 2011 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ วันก่อน

    คณิศร สุยะนันทน์ ผอ.ฝ่ายผลิตภัณฑ์รองเท้า บริษัท ไอ.ซี.ซี.ฯ กล่าวว่า รองเท้าแนทเจอร์ไลเซอร์ ได้นำเสนอนวัตกรรมสำหรับรองเท้าเพื่อเติมเต็มทางเลือกของผู้หญิงไทยที่ใส่ใจดูแลสุขภาพ โดยเน้นในเรื่องการพัฒนารูปแบบดีไซน์รองเท้าให้ สวยสำหรับหลากหลายโอกาส ขณะเดียวกันยังคงให้ความสำคัญในเรื่องสุขภาพเท้า โดยการเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมกับส่วนนิ้วเท้า ฝ่าเท้าและส้นเท้าเพื่อช่วยลดแรงกระแทกขณะเดิน

    ในงานยังมีเหล่าคนดังมาร่วมทดลองสวมใส่ พร้อมแนะวิธีเลือกซื้อรองเท้าลำลองแบบมีคุณภาพ เริ่มจาก "หน่อย" ธีรดา อำพันวงษ์ บอสใหญ่ แห่งไอ.ซี.ซี แนะว่า ควรเลือกรองเท้าที่ทำจากวัสดุที่คงทน เวลาใส่เดินแล้วไม่หลุดง่าย เข้ากับรูปทรงเท้า ที่สำคัญเดี๋ยวนี้มีรองเท้าลำลองเพื่อสุขภาพ ซึ่งดีต่อไลฟ์สไตล์ของผู้หญิงโดยเฉพาะผู้ที่ต้องสวมรองเท้าส้นสูงนานๆ

    ด้าน ตรีดาว อภัยวงศ์ สุขุม อาจารย์แห่งคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ยอมรับว่า ตัวเองมีเทคนิคการเลือกรองเท้าโดย พิจารณาจากคุณภาพของวัสดุที่ใช้ว่ามีความนุ่ม ยืดหยุ่นดี คงทน เวลาใส่เดินแล้วต้องรู้สึกสบาย เรื่องรูปแบบก็สำคัญ จะเลือกรูปทรงที่ทันสมัยเพราะจะช่วยเสริมบุคลิกได้

    “ส่วนใหญ่ผู้หญิงที่มีปัญหาเรื่องปวดหลัง ส่วนหนึ่งมาจากการใส่รองเท้าส้น สูง จึงควรหมั่นบริหารหลังและขาไปพร้อมๆ กันด้วย ส่วนตัวจะมีท่าบริหารง่ายๆ เช่น นอนเหยียดขาข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งเกร็งกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างให้เป็นตัวดึงขาอีกข้างเข้ามา หาตัว ยกขาตั้งเข่า ทำสลับกันไปประมาณ 10 นาที ทุกวันจะช่วยยืดเส้นหลังที่เชื่อมกับขาถึงเท้า ช่วยป้องกันอาหารปวดหลังได้ดี” อาจารย์คนสวย แนะ


    -http://www.komchadluek.net/detail/20110708/102474/%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%94%E0%B8%B5.html-


    .

     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    วีรกรรมขุนรองปลัดชู

    ขุนรองปลัดชู วีรกรรมที่ถูกลืม
    โดย... นายทวีศักดิ์ ศรีทองกิติกูล


    กรุงศรีอยุธยา ( พ.ศ.2302 – 2303 ) สมัยแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์พระเจ้าอลองพญาทราบเหตุว่ากรุงศรีอยุธยา ผลัดแผ่นดินจึงได้ยกกองทัพเข้าตีเมืองมะริด และเมืองตะนาวศรี หัวเมืองของกรุงศรีอยุธยา โดยอ้างเหตุว่าให้การสนับสนุนกลุ่มกบฏมอญ เมื่อยึดได้เมืองมะริดและเมืองตะนาวศรีแล้ว พระเจ้าลองพญาก็ได้เคลื่อนทัพผ่านทางด่านสิงขร เพื่อเข้าตีกรุงศรีอยุธยาต่อไป ครั้นเมื่อกรุงศรีอยุธยาทราบเรื่อง พระเจ้าเอกทัศน์ได้รับสั่งให้พระยายมราชคุมพลเป็นทัพหน้าออกมาต่อกรกับทัพ พม่าที่ด่านสิงขร และให้พระยารัตนาธิเบศเป็นแม่ทัพคุมพลเข้ามาตั้งรับทัพพม่า ที่เมืองกุยบุรี


    ขณะนั้น ขุนรองปลัดชู กรมการเมืองวิเศษชัยชาญ เป็นผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในการรบ และคงกระพันชาตรี เข้ามารับอาสากับไพร่สี่ร้อยคน ขอไปรบกับพม่า ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นกองอาทมาต (หน่วยรบพิเศษ) ร่วมทัพมากับพระยารัตนาธิเบศ


    ทัพของพระยายมราช เข้าปะทะกับทัพของพม่าที่เมืองแก่งตุมด้วยกำลังที่น้อยกว่าจึงแตกพ่ายถอย รุ่นไม่เป็นขบวน พระยารัตนาธิเบศตั้งค่ายมั่นอยู่ ณ เมืองกุยบุรี แจ้งว่าทัพพม่ายกพลมาเป็นจำนวนมาก อาจต้านทานไว้ไม่ไหว จึงสั่งการให้เกณฑ์ไพร่พล และเร่งอพยพผู้คนหลบหนีพม่า และหวังรวบรวมผู้คนเพื่อไปตั้งมั่นรับพม่าที่ชานพระนคร ครั้งนั้น ขุนรองปลัดชู ได้อาสาขอต้านทานทัพพม่าด้วยกำลังพลเพียงสี่ร้อยนาย เพื่อยันทัพข้าศึกและเปิดทางให้รี้พลได้หลบหนี พระยารัตนาธิเบศ จึงได้แบ่งไพร่ให้อีกห้าร้อยนายไปช่วยกองกำลังของขุนรองปลัดชู ในการต่อต้านทัพพม่า


    ณ ชายหาดหว้าขาวชายทะเล (บ้านทุ่งหมากเม่า ตำบลอ่าวน้อย) เวลาเช้าตรู่ ขุนรองปลัดชูพร้อมกับเหล่าทหาร ตั้งท่ารอทัพพม่าอยู่ด้วยจิตใจห้าวหาญ เมื่อเห็นกองทัพพม่าก็กรูกันออกโจมตีทัพหน้าของพม่ารบกันด้วยอาวุธสั้นถึง ตะลุมบอนกัน แทงพม่าล้มตายเป็นจำนวนมาก และตัวขุนรองปลัดชูท่านถือดาบสองมือ วิ่งเข้าท่ามกลางข้าศึก ฟันพม่าล้มตายก่ายกองดั่งขอนไม้ ด้วยกำลังพลเก้าร้อยต่อทัพพม่านับหมื่นที่ยัดเยียดหนุนเนื่องกันเข้ามาต่อรบ ได้รบกันอยู่ตั้งแต่เข้าจนถึงเวลาเที่ยง ขุนรองปลัดชูไม่คิดถอยหนี ต่อสู้ทัพพม่าจนเหนื่อยอ่อนสิ้นกำลัง ถูกกองทัพพม่าใช้พลทัพช้างขับช้างเข้าเหยียบจนล้มตาย ต่างพากันถอนร่นลงทะเล จนจมน้ำทะเลตายเสียสิ้น กองทัพพม่าจึงมีชัย พระยารัตนาธิเบศจึงได้เร่งเลิกทัพหนีมากับทัพพระยายมราช กลับมาถึงพระนครขึ้นเฝ้ากราบทูลว่า ศึกพม่าเหลือกำลังจึงพ่าย


    ฝ่ายทัพพม่าเมื่อมีชัยเหนือกองทหารเก้าร้อยคน ก็เหนื่อยอ่อนหยุดทัพพักผ่อน ก่อนเดินทัพเข้าเมืองกุย เมืองปราณ เมืองชะอำ เมืองเพชรบุรี เมืองราชรี เมืองสุพรรณบุรี โดยไม่มีหัวเมืองใดต่อรบกับพม่าเลย และต่อมาชาววิเศษชัยชาญ ได้ร่วมกันสร้างวัดสี่ร้อยเพื่อรำลึกถึงวีรกรรมของขุนรองปลัดชู ตราบจนถึงปัจจุบัน


    ในบันทึกของพม่าในกาลต่อมากล่าวว่า การตีกรุงศรีอยุธยาครั้งนั้น ได้มีการต่อสู้กองทัพของกรุงศรีอยุธยา ที่ช่องเขาแคบๆ ริมทะเลอย่างประจัญบาน ดุเดือด ก่อนเข้าเมืองกุย เมืองเพชรบุรี เมืองราชบุรี โดยง่าย


    หากกองทัพกรุงศรีอยุธยา มีคนอย่างขุนรองปลัดชู ไหนเลยเราจะเสียกรุงศรีอยุธยา และหากคนประจวบคีรีขันธ์ ยังไม่รู้จักวีรกรรมที่หาดหว้าขาว ไหนเลยวิญญาณของนักรบไทย จะได้รับการยกย่องความดี ความกล้า ความเสียสละต่อชาติ ต้องไม่ถูกลืม ขอยกย่องวีรกรรมของขุนรองปลัดชู ณ ดินแดนเมืองประจวบคีรีขันธ์












    .

    -http://www.aownoi.go.th/webpage/slogan.php?sg=5-

    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ประวัติขุนรองปลัดชู

    [​IMG]


    [​IMG]

    หัวหน้ากองอาทมาต ๔๐๐ คน
    กรมการเมืองวิเศษไชยชาญ
    กับวัดสี่ร้อย อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง

    [​IMG]

    วัด สี่ร้อย ในอดีต ล่วงมาถึงปี พ.ศ. 2303 พระเจ้าอลองพญากษัตริย์พม่า ได้ให้มังระ ละมังฆ้อนนรธาราชบุตรยกทัพมาตี เมืองมะริดของไทยซึ่งอยู่ในความปกครองของกรุงศรีอยุธยาในครั้งนั้นขุนรอง ปลัดชูกรมการเมืองวิเศษไชยชาญซึ่งเป็นผู้ทรงวิทยาคม แก่กล้า ชำนาญในการรบด้วยดาบสองมือ มีลูกศิษย์มากมาย จึงได้รวบรวมชาววิเศษไชยชาญ จำนวน 400 คน เข้าสมทบกับ กองทัพของพระยารัตนาธิเบศร์ โดยใช้ชื่อว่า “ กองอาทมาต ”

    พระยารัตนาธิเบศร์ ยกกองทัพไปตั้งที่เมืองกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และได้สั่งให้ขุนรองปลัดชูคุมกองอาทมาต ไปตั้ง สกัดกองทัพพม่าที่อ่าวหว้าขาว ตั้งอยู่เหนือที่ว่าการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในปัจจุบันนี้ พอกองทัพพม่ายกทัพผ่านมา ขุนรองปลัดชูจึงคุม ทหารเข้าโจมตีรบด้วยอาวุธสั้นถึงตะลุมบอน ถึงแม้ทหารของไทยจะน้อยกว่า แต่ก็ฆ่าฟันพม่าล้มตายเป็นจำนวนมาก การต่อสู้ผ่านไป 1 คืน ถึงเที่ยงวัน รุ่งขึ้นก็ยังไม่สามารถเอาชนะพม่าได้ เพราะพม่ายกทัพหนุนเข้ามาช่วยอีก ด้วยกำลังที่น้อยกว่าจึงเหนื่อยอ่อนแรง ในที่สุดก็ถูกพม่ารุกไล่โจมตีแตกพ่ายยับเยิน แต่ทหารกองอาทมาต มีวิชาอาคมแก่กล้า ฟันแทงไม่เข้า ทหารพม่าจึงไสช้างเข้าเหยียบย่ำทหารกองอาทมาตตายเป็นจำนวนมาก ที่เหลือก็ถูกไล่ลงทะเลจมน้ำตายไปก็มาก ในที่สุด ขุนรองปลัดชู พร้อมด้วยทหารกองอาทมาตแขวงเมืองวิเศษไชยชาญ จำนวน 400 คน ก็เสียชีวิตด้วย ฝีมือของพม่า

    ชาววิเศษไชยชาญ เมื่อทราบข่าวก็โศรกเศร้าเสียใจ จึงได้แต่ภาวนาขอบุญกุศลที่ได้สร้างสมไว้จงเป็นปัจจัยส่งผลให้ดวง วิญญาณของทหารกล้าได้ไปสู่สุคติ ความเงียบเหงาวังเวงเกิดขึ้น หมดกำลัง ใจในการทำมาหากิน ไม่มีอะไรดีไปกว่าการร่วมกันสร้างสิ่งต่างๆไว้เป็นที่ระลึกถึงผู้พลีชีพด้วย การสร้างวัดสี่ร้อย ในปี พ.ศ.๒๓๑๓ ใช้ชื่อสี่ร้อยตามจำนวนกองอาทมาตสี่ร้อยคนที่ไม่ได้กลับมา เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่อนุชน รุ่นหลังของชาวเมืองวิเศษไชยชาญ เพื่อเป็นการย้ำเตือนความทรงจำให้ระลึกถึงบรรพบุรุษที่พลีชีพ เพื่อปกป้องปฐพีถึงกับเสียชีวิต โดยชื่อว่า วัดสี่ร้อย ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาประชาชนทั่วไป

    ต่อมาเจ้าอาวาสในขณะนั้นก็ได้สร้างเจดีย์ ไว้เป็นที่รวบรวมดวงวิญญาณของ ชาวแขวงเมืองวิเศษไชยชาญ ที่เสียชีวิตจำนวน 400 คน

    หลัง จากพม่าผ่านอ่าวหว้าขาวไปได้ ก็ไม่มีเมืองใดขัดขวางพม่า พากันยอมแพ้ทั้งหมด พม่าถึงกรุงศรีอยุธยาโดยง่าย ตั้งทัพที่วัดหน้าพระเมรุ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับพระราชวังโบราณ (วัดพระศรีสรรเพชญ์) โดยมีแม่น้ำกั้นอยู่ พม่ายิงปืนใหญ่เข้าพระราชวังจนถูกยอดของพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์หักลง พระเจ้าอลองพญาฮึกเหิม จึงลงมาจุดยิงปืนใหญ่ด้วยตนเอง ด้วยบารมีของ "พระพุทธนิมิตรวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ" พระประธานในวัดที่ยังอยู่จนถึงปัจจุบัน (ความเชื่อ) ช่วยปกปักรักษาบ้านเมือง จึงเกิดปืนใหญ่ระเบิดใส่พระเจ้าอลองพญาบาดเจ็บสาหัส ต้องเลิกทัพ เดินทางกลับพม่า โดยพระเจ้าอลองพญาสวรรคตบริเวณด่านแม่ละเมาในเขตแดนไทย (ปัจจุบันเป็นบริเวณอุทยานแห่งชาติ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จังหวัดตาก)

    สงคราม ครั้งเสียกรุงครั้งที่สอง เป็นสงครามคนละครั้งกับครั้งนี้ โดยปี ๒๓๐๘ พม่ายกทัพมาใหม่ และสามารถพิชิตอยุธยาสำเร็จเมื่อ พ.ศ.๒๓๑๐ เกิดวีรกรรมชาวบ้านค่ายบางระจันในศึกครั้งนี้ โดยมีชาวบ้านจากวิเศษชัยชาญไปร่วมรบเช่นกัน ถึงกับมีผู้กล่าวว่า "ถ้าไม่มีวีรกรรมขุนรองปลัดชู ก็คงไม่มีวีรกรรมของชาวบ้านบางระจัน"

    ต่อ มาถึงสมัยหลวงพ่อบุญ เป็นเจ้าอาวาสวัดสี่ร้อย ได้นับถือหลวงพ่อปั้นเจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยามาก เมื่อหลวงพ่อปั้นได้มาเยี่ยมชาวสี่ร้อย และปฏิบัติกิจนิมนต์เป็นประจำ หลวงพ่อปั้นเป็นพระภิกษุที่มี ความเมตตาสูง เป็นที่เคารพรักของชาวสี่ร้อยเป็นอย่างมาก ได้เห็นว่าชาวสี่ร้อยมีความเคารพรักท่าน ตลอดจนชาวสี่ร้อยเลื่อมใสใน บวรพุทธศาสนา หลวงพ่อปั้นจึงได้ชวนหลวงพ่อบุญและชาวสี่ร้อยสร้างพระพุทธรูปเพื่อไว้เป็น ที่สักการะบูชาแทนพระเจดีย์
    ในขณะนั้นชาวสี่ร้อยมีความเลื่อมใสจึงพากัน ไปนมัสการหลวงพ่อใหญ่วัดป่าเลไลยก์ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นประจำ เพื่อมิให้เป็นการเสียเวลาและลำบากในการเดินทางไปนมัสการ จึงได้ตกลงกันสร้างหลวงพ่อใหญ่ขึ้น โดยจำลองแบบมาจาก ปางป่าเลไลยก์ วัดป่าเลย์ไลยก์ จังหวัดสุพรรณบุรีมาประดิษฐาน ณ วัดสี่ร้อย

    นับว่าเป็น พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น โดยมีนายวาด นิลมงคล ในสมัยนั้นดำรงตำแหน่งรับราชการเป็นเสมียนตรา เป็นผู้บริหาร จัดการ การก่อสร้าง บอกบุญผู้มีจิตศรัทธา ได้ร่วมกันสละทรัพย์ แก้ว แหวน เงินทอง มีคณะช่างก่อสร้างชื่อนายมาตร สุขมนัส นายผล รัตนเสถียร ใช้เวลาก่อสร้างถึง 16 ปี ทำการพุทธาภิเษกยกรัศมีเบิกพระเนตร ติดอุณาโลม ในปี พ.ศ. 2475 พร้อม บรรจุวัตถุมงคล หลวงพ่อบุญ มอบให้พระยงค์ เพิ่มพูนและพระใน นำวัตถุมงคลไปบรรจุโดยใช้เชือกผูกหย่อนลงทางพระเศียร พระศอ และยกรัศมีทั้งสามปิด
    งานประจำปีของวัดสี่ร้อย ตรงกับวันเพ็ญ เดือน 12 ประชาชนทั่วสารทิศจะมานมัสการหลวงพ่อใหญ่ ขอโชคลาภต่างๆนานา ใครมีทุกข์ร้อนประการใดก็มาบอกเล่าหลวงพ่อใหญ่ และมักมีการแก้บนด้วยพลุและละคร ปัจจุบันนี้วัดสี่ร้อยเป็นหนึ่งในแหล่ง ท่องเที่ยวของจังหวัดอ่างทอง


    .

    -http://www.maameu.ath.cx/forum/index.php?topic=8918.0-

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • index.php.jpg
      index.php.jpg
      ขนาดไฟล์:
      522.4 KB
      เปิดดู:
      417
    • index1.JPG
      index1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      99.4 KB
      เปิดดู:
      1,747
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    (เรื่องจริง) ขุนรองปลัดชูและตำนานทหาร400แห่งกองอาทมาต

    -http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?t=301923-

    [​IMG]

    [​IMG]

    นามของขุนรองปลัดชู กับ กองอาสาอาทมาท ดูเหมือนจะเลือนลางในความทรงจำของคนไทย ทั้งๆ ที่วีรกรรมในการรุกรบกับพม่า นั้นมีมาก่อน ชาวบ้านบางระจัน อาจกล่าวได้ว่า ถ้าไร้ศึกที่อ่าวหว้าขาว ก็อาจไม่มีศึกบางระจัน

    พ.ศ. 2303 พระเจ้าอลองพญากษัตริย์พม่า ได้ให้มังระ ละมังฆ้อนนรธาราชบุตรยกทัพมาตี เมืองมะริดของไทยซึ่งอยู่ในความปกครองของกรุงศรีอยุธยาในครั้งนั้นขุนรอง ปลัดชูกรมการเมืองวิเศษไชยชาญซึ่งเป็นผู้ทรงวิทยาคม แก่กล้า ชำนาญในการรบด้วยดาบสองมือ มีลูกศิษย์มากมาย จึงได้รวบรวมชาววิเศษไชยชาญ จำนวน 400 คน เข้าสมทบกับ กองทัพของพระยารัตนาธิเบศร์ โดยใช้ชื่อว่า “ กองอาทมาต ”

    พระยารัตนาธิเบศร์ ยกกองทัพไปตั้งที่เมืองกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และได้สั่งให้ขุนรองปลัดชูคุมกองอาทมาต ไปตั้ง สกัดกองทัพพม่าที่อ่าวหว้าขาว ตั้งอยู่เหนือที่ว่าการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในปัจจุบันนี้ พอกองทัพพม่ายกทัพผ่านมา ขุนรองปลัดชูจึงคุม ทหารเข้าโจมตีรบด้วยอาวุธสั้นถึงตะลุมบอน ถึงแม้ทหารของไทยจะน้อยกว่า แต่ก็ฆ่าฟันพม่าล้มตายเป็นจำนวนมาก การต่อสู้ผ่านไป 1 คืน ถึงเที่ยงวัน รุ่งขึ้นก็ยังไม่สามารถเอาชนะพม่าได้ เพราะพม่ายกทัพหนุนเข้ามาช่วยอีก ด้วยกำลังที่น้อยกว่าจึงเหนื่อยอ่อนแรง ในที่สุดก็ถูกพม่ารุกไล่โจมตีแตกพ่ายยับเยิน แต่ทหารกองอาทมาต มีวิชาอาคมแก่กล้า ฟันแทงไม่เข้า ทหารพม่าจึงไสช้างเข้าเหยียบย่ำทหารกองอาทมาตตายเป็นจำนวนมาก ที่เหลือก็ถูกไล่ลงทะเลจมน้ำตายไปก็มาก ในที่สุด ขุนรองปลัดชู พร้อมด้วยทหารกองอาทมาตแขวงเมืองวิเศษไชยชาญ จำนวน 400 คน ก็เสียชีวิตด้วย ฝีมือของพม่า

    ชาววิเศษไชยชาญ เมื่อทราบข่าวก็โศรกเศร้าเสียใจ จึงได้แต่ภาวนาขอบุญกุศลที่ได้สร้างสมไว้จงเป็นปัจจัยส่งผลให้ดวง วิญญาณของทหารกล้าได้ไปสู่สุคติ ความเงียบเหงาวังเวงเกิดขึ้น หมดกำลัง ใจในการทำมาหากิน ไม่มีอะไรดีไปกว่าการร่วมกันสร้างสิ่งต่างๆไว้เป็นที่ระลึกถึงผู้พลีชีพด้วย การสร้างวัดสี่ร้อย ในปี พ.ศ.๒๓๑๓ ใช้ชื่อสี่ร้อยตามจำนวนกองอาทมาตสี่ร้อยคนที่ไม่ได้กลับมา เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่อนุชน รุ่นหลังของชาวเมืองวิเศษไชยชาญ เพื่อเป็นการย้ำเตือนความทรงจำให้ระลึกถึงบรรพบุรุษที่พลีชีพ เพื่อปกป้องปฐพีถึงกับเสียชีวิต โดยชื่อว่า วัดสี่ร้อย ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาประชาชนทั่วไป

    ต่อมาเจ้าอาวาสในขณะนั้นก็ได้สร้างเจดีย์ ไว้เป็นที่รวบรวมดวงวิญญาณของ ชาวแขวงเมืองวิเศษไชยชาญ ที่เสียชีวิตจำนวน 400 คน

    [​IMG]

    [​IMG]



    " ตราบใดที่ลมหายใจยังมี

    ชีวิตนี้ กูขออุทิศ เพื่อปกป้อง ผืนแผ่นดิน สยาม

    กูจะสู้ แม้ว่าพวกกูน้อย สู้ไม่ถอย ถึงแม้ว่าจะดับสลาย

    แผ่นดินนี้ พ่อกูอยู่ ปู่กูตาย ยอมมลายมิยอมให้ไพรีครอง "

    .... ใครบ้างเหวยจะยืนสู้เช่นกูบ้าง ใครบ้างเหวยจะเคียงข้างไทยใจหาญ

    ใครบ้างเหวย จะละสุขสนุกสำราญ ใครบ้างเหวย ยอมวายปราณ เพื่อไทยคง.....

    เพิ่มเติม เกี่ยวกับกองอาทมาต
    ทหารกองนี้เป็นทหารกองทะลวงฟันที่
    น่าเกรงขามมากกองหนึ่ง เล่ากันว่าทหารกองนี้
    ใช้ดาบเป็นอาวุธ บุกเข้าฟันทะลวงถึงใจกลาง
    ทัพฝ่ายศัตรูได้ และที่ยิ่งไปกว่านั้น ทหารกอง
    นี้เป็นผู้ที่มีวิทยาคมกล้าแข็งเน้นไปทางคงกระ
    พัน ล่องหนหายตัว


    ที่มา - วีรกรรมของกองอาทมาตที่อ่าวหว้าขาว ประจวบคีรีขันข์ พศ 2302 -
    -http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=15328.0-
    .




    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2011
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    คำอธิบายโดยย่อ

    เพลงหนักแผ่นดิน ประพันธ์คำร้องโดย พ.อ.บุญส่ง หักฤทธิ์ศึก

    และขับร้องโดย สันติ ลุนเผ่
    เข้าใจว่าลิขสิทธิ์น่าจะเป็นของสถานีวิทยุ จ.ส. กรมการสื่อสารทหารบก กองทัพบก ที่ผู้ประพันธ์สังกัดอยู่ในขณะนั้น

    -http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99.ogg-


    ---------------------------------------

    เพลง หนักแผ่นดิน (พ.ศ. ๒๕๑๘)

    โดย พ.ต.บุญส่ง หักฤทธิ์ศึก

    หนักแผ่นดิน หนักแผ่นดิน คนเช่นนี้เป็นคนหนักแผ่นดิน

    คนใดใช้ชื่อไทยอยู่ กายก็ดูเหมือนไทยด้วยกัน
    ได้อาศัยโพธิทองแผ่นดินของราชันย์ แต่ใจมันยังเฝ้าคิดทำลาย
    คนใดเห็นไทยเป็นทาส ดูถูกชาติเชื้อชนถิ่นไทย
    แต่ยังฝังทำกินกอบโกยสินไทยไป เหยียดคนไทยเช่นทาษของมัน

    คนใดยุยงปลุกปั่น ไทยด้วยกันหวังให้แตกกระจาย
    ปลุกระดมมวลชนให้สับสนวุ่นวาย เพื่อคนไทยแบ่งฝ่ายรบกันเอง
    คนใดหลงชมชาติอื่น ชาติเดียวกันเขายืนข่มเหง
    ได้สินทรัพย์เจือจานก็ประหารไทยกันเอง ที่ชาติอื่นเกรงดังญาติของมัน

    คนใดขายตนขายชาติ ได้โอกาสชี้ทางให้ศัตรู
    เข้าทลายพลังไทยให้สลายมางสู้ เมื่อศัตรูโจมจู่เสียทีมัน
    คนใดคิดร้ายราวี ประเพณีของไทยไม่ต้องการ
    เกื้อหนุนอคติเชื่อลัทธิอันธพาล แพร่นำมันมาบ้านเมืองเรา

    จากคุณ : *บังสุกุล* - [ 17 ต.ค. 48 15:49:58 >
    โดย: บัวโรย [18 ต.ค. 48 8:10] ( IP A:58.10.50.13 X: )

    -http://www.pantown.com/board.php?id=8739&area=&name=board1&topic=235&action=view-






    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มันผู้ใด คิดทำลายชาติไทย ไม่ว่าทั้งทางตรง หรือ ทางอ้อม

    มันผู้นั้น เกิดมา หนักแผ่นดิน


    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ประวัติกษัตริย์ราชวงศ์บ้านพลูหลวง


    สมเด็จพระเพทราชา
    สมเด็จพระเพทราชา หรือพระนามเต็มว่า พระบาทสมเด็จพระมหาบุรุษวิสุทธิเดชอุดม ปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์บ้านพลูหลวง ราชวงศ์สุดท้ายของอาณาจักรอยุธยา เป็นกษัตริย์ลำดับที่ ๒๘ ของอาณาจักรอยุธยา พระเพทราชา เดิมเป็นสามัญชนชาวบ้านพลูหลวง แขวงเมืองสุพรรณบุรี (ปัจจุบันคือ บ้านพลูหลวงตั้งอยู่ในตำบลสนามชัย อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี) ต่อมาได้รับราชการในวังโดยรับตำแหน่งสูงเป็นที่พึงพอพระราชหฤทัย ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ขึ้นครองราชย์โดยการปราบดาภิเษก โดยหลวงสรศักดิ์ (สมเด็จพระเจ้าเสือ) ซึ่งเชื่อว่าเป็นบุตรบุญธรรมของพระองค์ ขุนนาง อำมาตย์พร้อมกันกราบทูลเชิญขึ้นครองราชย์ ในปี พ.ศ. ๒๒๓๑ ด้วยพระชนมายุ ๕๖ ชันษา สิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ. ๒๒๔๖ พระชนมายุ ๗๑ ชันษา
    พระเพทราชาทรงมีมเหสีสำคัญๆอยู่ ๓ พระองค์ ได้แก่
    กรมหลวงโยธาเทพ หรือ มเหสีฝ่ายซ้าย - พระราชธิดาในสมเด็จพระนารายณ์ มีพระราชโอรสคือ เจ้าฟ้าชายตรัสน้อย
    กรมหลวงโยธาทิพ หรือ มเหสีฝ่ายขวา - พระน้องนางในสมเด็จพระนารายณ์ มีพระราชโอรสคือ เจ้าฟ้าชายเจ้าพระขวัญ (ถูกพระเจ้าเสือสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์)
    พระนางกุสาวดี มเหสีพระราชทานจากพระนารายณ์ พระธิดาในพญาแสนหลวง เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม

    สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8

    พระบาทสมเด็จพระสุริเยนทราบดี หรือสมเด็จพระเจ้าเสือ (ครองราชย์ พ.ศ. 2246-2251) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 29 แห่งกรุงศรีอยุธยา และ เป็นพระองค์ที่ 2 แห่ง ราชวงศ์บ้านพลูหลวง
    พระราชประวัติ
    สมเด็จพระเจ้าเสือ ทรงเป็นพระราชโอรสอย่างลับๆใน สมเด็จพระนารายณ์มหาราช กับเจ้านางกุลธิดา (ราชธิดาพระเจ้าเชียงใหม่ ซึ่งสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้พระราชทานให้สมเด็จพระเพทราชาเมื่อครั้งที่ ดำรงตำแหน่ง(เจ้า-กรมช้าง)ราชาภิเษก พ.ศ. 2246ทรงมีพระราชโอรส ๒ พระองค์ คือเจ้าฟ้าเพชร (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ) และเจ้าฟ้าพร (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ)สำหรับพระสมญานามว่า “เสือ” อาจสืบเนื่องมาจากพระราชสมภพปีขาล ซึ่งแปลว่าเสือ บางท่านกล่าวว่าเป็นเพราะพระองค์มีพระนิสัยดุ
    ทรงมีความเด็ดขาดในการมีรับสั่งให้ผู้ที่ปฏิบัติ งานใดก็แล้วแต่ ทำงานแล้วจะต้องสำเร็จผลเป็นอย่างดี หากบกพร่องพระองค์จะมีรับสั่งให้ลงโทษ ไม่เฉพาะข้าราชบริพารเท่านั้น แม้พระราชโอรสทั้งสองก็เช่นกัน อย่างเช่น ในการเสด็จไปคล้องช้างที่เมืองนครสวรรค์ มีรับสั่งให้เจ้าฟ้าเพชรและเจ้าฟ้าพรตัดถนนข้ามบึงหูกวาง โดยถมบึงส่วนหนึ่งให้เสร็จภายในหนึ่งคืน พระราชโอรสดำเนินงานเสร็จตามกำหนด แต่เมื่อเสด็จพระราชดำเนิน ช้างทรงตกหลุม ทรงลงพระราชอาญาเจ้าฟ้าเพชร แต่หากผู้ใดมีความดีความชอบพระองค์กลับมีพระเมตตายิ่งดังเรื่อง พันท้ายนรสิงห์มหาดเล็กข้าหลวง เดิมตำแหน่งนายท้ายเรือพระที่นั่งเอกชัยของสมเด็จพระเจ้าเสือเมื่อครั้ง เสด็จทางชลมารคไปตามคลองโคกขาม เมืองสาครบุรี ลำคลองคดเคี้ยวมาก พันท้ายนรสิงห์เป็นผู้คัดท้ายเรือพระที่นั่ง และเป็นผู้ทำให้หัวเรือพระที่นั่งชนกิ่งไม้ หัวเรือพระที่นั่งหัก ซึ่งตามพระราชประเพณีนายท้ายเรือ จะต้องรับโทษถึงตายแต่สมเด็จพระเจ้าเสือ ทรงมีพระเมตตาพระราชทานอภัยโทษ แต่พันท้ายนรสิงห์เกรงจะเสียขนบธรรมเนียม กราบทูลขอให้พระองค์มีพระเมตตาแก่บุตรภรรยาของตน แทนและขอรับโทษตามราชประเพณีพระองค์จึงมีรับสั่งให้ ปลูกศาลเพียงตาแล้ว ประหารชีวิตตัดศีรษะพันท้ายนรสิงห์ พร้อมทั้งนำหัวเรือพระที่นั่งขึ้นพลีกรรมไว้บนศาลด้วย
    ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระเจ้าเสือได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กรับราชการเป็นที่ โปรดปรานของสมเด็จพระนารายณ์ ต่อมาได้ตำแหน่งเป็นหลวงสรศักดิ์ สมัยสมเด็จพระเพทราชา (พ.ศ. 2231 - 2246) หลวงสรศักดิ์ให้รับสถาปนาเป็นพระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล และได้ขึ้นครองราชสมบัติต่อจากพระเพทราชา พระนาม “สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘” สมเด็จพระเจ้าเสือ พระนามเดิม “เดื่อ” สืบเนื่องมาจากพระมารดา และ สมเด็จพระเพทราชา(จางวาง-กรมช้าง) ตามเสด็จ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชขึ้นไป นมัสการ พระพุทธชินราช และ พระพุทธชินสีห์ วัดพระศรี-มหาธาตุ เมืองพิษณุโลก กระบวนเสด็จพระราชดำเนินถึงตำบลโพธิ์ประทับช้าง (เดิมชื่ออะไรไม่ปรากฏ) เมืองพิจิตร พระมารดาเจ็บครรภ์คลอดพระองค์ใกล้ต้นโพธิ์ใหญ่ ซึ่งมีต้นมะเดื่อใหญ่อยู่ใกล้กัน และ ทรงได้นำรกไปฝังไว้ระหว่างต้นโพธิ์กับต้นมะเดื่อเสร็จแล้วกระบวนเสด็จพระราช ดำเนินทางต่อไปจนถึงเมืองพิษณุโลก
    สมัยสมเด็จพระเจ้าเสือบ้านเมืองสงบสุขไม่มีศัตรูมา รุกราน แม้พระองค์โปรดการเสด็จประพาสไปในที่ต่าง ๆ ทั้งทางบกทางน้ำเป็นส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ประทับในพระราชวัง แต่ก็ไม่มีผู้ใดคิดร้าย เนื่องจากเกรงอำนาจบารมีของพระองค์ โปรดการคล้องช้างป่าเพื่อนำมาใช้ในราชการ โปรดการทรงเบ็ดตกปลา ล่าสัตว์ และโปรดการชกมวยอย่างยิ่ง ทรงปลอมพระองค์เป็นสามัญชน นักมวยชาวกรุงผู้มีฝีมือเป็นเลิศเสด็จไปตามสนามมวยต่าง ๆ เพื่อเปรียบมวยชกและทรงชนะ ทุกครั้งหาผู้ใดเปรียบฝีพระหัตถ์ได้ไม่ หลังการชกมวยพระองค์และทหารจะเสด็จเที่ยวชมงานเยี่ยงสามัญชนโดยไม่มีผู้ใด รู้ว่าพระองค์คือกษัตริย์ ซึ่งนับได้ว่ามีพระราชประวัติที่มีสีสันเป็นอย่างมาก จึงเป็นกษัตริย์พระองค์ที่ถูกอ้างถึงในวรรณกรรมร่วมสมัยในยุคปัจจุบันมากมาย เช่น ใน ละครเรื่องพันท้ายนรสิงห์ ที่ฉายทางช่อง 7 เมื่อปี พ.ศ. 2543 ผู้ที่รับบทสมเด็จพระเจ้าเสือ คือ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง เป็นต้น
    พระราชกรณียกิจ
    ด้านศาสนา
    ทรงปฏิสังขรณ์มณฑปสวมรอยพระพุทธบาทสระบุรี สร้างมาแต่ครั้งสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ซึ่งทำเป็นยอดเดียวชำรุด โปรดฯ ให้สร้างใหม่เป็น 5 ยอด รวมทั้งปฏิสังขรณ์ทั่วทั้งอาราม
    ปี พ.ศ. 2249 เกิดอัสนีบาตต้องยอดมณฑปพระมงคลบพิตร เครื่องบนมณฑป ทรุดโทรมพังลงมาต้องพระศอพระมงคลบพิตรหัก โปรดฯ ให้รื้อเครื่องบนออก ก่อสร้างใหม่แปลงเป็นมหาวิหาร
    ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เสด็จพระราชดำเนินไปมนัสการพระพุทธฉายและสันนิษฐานว่าค้นพบในสมัยพระองค์
    พระราชกรณียกิจที่สำคัญอันเกี่ยวเนื่องเมืองพิจิตร เพื่อเป็นการรำลึกถึงชาติภูมิของพระองค์สมเด็จพระเจ้าเสือได้โปรดให้สร้าง วัดโพธิ์ประทับช้างขึ้นที่เมืองพิจิตร โดยสร้าง พระอุโบสถ พระวิหาร พระมหาเจดีย์ ศาลาการเปรียญ และกุฏิสงฆ์ มีอาณาบริเวณวัดกว้างขว้างใหญ่โต ใช้เวลาสร้าง 2 ปี จึงสำเร็จ เสด็จพระราชดำเนินมาทำการฉลองด้วยพระองค์เอง มีการฉลอง สามวันสามคืน มีมหรสพครึกครื้น และมีผู้คนมากมายมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทและ ดูมหรสพ ฉลองเสร็จแล้วทรงพระราชอุทิศถวายเลขข้าพระไว้สำหรับอุปฐากพระอารามถึง 200 ครัวเรือน นับว่าครั้งนั้นวัดโพธิ์ประทับช้างเป็นวัดที่เด่นที่สุดในเมืองพิจิตร
    สมเด็จพระเจ้าเสือทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก โปรดฯ ให้สมเด็จเจ้าแตงโม(พระสุวรรณมุนี) เป็นพระอาจารย์สอนวิชาความรู้แก่พระราชโอรสและพระราชนัดดา ทรงไม่พอพระทัยที่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ฝรั่งคนโปรดของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชสึกออกมาทำราชการเป็นจำนวนมาก
    ด้านคมนาคม
    ทรงให้มีการตัดถนนข้ามบึงหูกวางที่เมืองนครสวรรค์
    ทรงให้ขุดคลองโคกขาม ซึ่งคดเคี้ยวให้ตรงหลังจากเหตุการณ์หัวเรือพระที่นั่งหักและพระองค์ต้องมี รับสั่งให้ประหารชีวิตพันท้ายนรสิงห์ตามราชประเพณี
    ทรงให้มีการปรับปรุงเส้นทางทางไปพระพุทธบาทสระบุรี ให้เดินทางมาสะดวกยิ่งขึ้น
    สมเด็จพระเจ้าเสือ เสด็จอยู่ในตำแหน่งที่พระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคลตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2231 – 2246 เป็นเวลา 15 ปี เสด็จอยู่ในพระราชสมบัติ พ.ศ. 2246 – 2252 เป็นเวลา 7 ปี รวมการบริหารราชการแผ่นดินทั้งตำแหน่งรองพระมหากษัตริย์ และทรงเป็นพระมหากษัตริย์ได้ 22 ปี พระชนมายุจนถึงสวรรคต 47 พรรษา

    สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ
    พระบาทสมเด็จพระภูมินทรมหาราชาท้ายสระ พระนามเดิม " เจ้าฟ้าเพชร " เป็นพระราชโอรสองค์โตของสมเด็จพระเจ้าเสือ ขึ้นครองราชย์ใน ปี พ.ศ.๒๒๕๑ภายหลังการสวรรคตของพระราชบิดาโดยมี"เจ้าฟ้าพร"พระอนุชาเป็นกรม พระราชวังบวรสถานมงคล เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ มีพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระภูมินทรมหาราชา โดยพระนามที่เป็นที่รู้จักกันคือ พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ นั้นมาจาก พระที่นั่งยรรยงก์รัตนนาสน์ ซึ่งเป็นประทับอันอยู่ข้างสระน้ำท้ายพระบรมมหาราชวัง
    ในรัชสมัย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ มีเรื่องราวที่น่าสนใจคือ มีการแต่งเรือสำเภาบรรทุกสินค้าไปค้าขายที่เมืองท่ามะริด ไปจรดถึงทวีปแอฟริกาตอนเหนือ มีการขุดคลองสำคัญอันเป็นเส้นทางคมนาคม คือ " คลองมหาไชย " และ " คลองเกร็ดน้อย " มีการแข่งกันสร้างวัด ระหว่างพระองค์กับพระอนุชา คือ " วัดมเหยงค์ " และ " วัดกุฏีดาว " มีการเคลื่อนย้ายพระนอนองค์ใหญ่ของ"วัดป่าโมก" เพื่อให้พ้นจากการถูกน้ำเซาะตลิ่ง เป็นต้น
    ปลายรัชสมัย มีการแย่งชิงราชสมบัติอย่างรุนแรง กินระยะเวลาไม่ต่ำกว่า ๑ ปี ระหว่างพระราชโอรส ๒ พระองค์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ กับกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ เสด็จสวรรคตด้วยพระโรคมะเร็งที่พระชิวหาและพระศอ ในปี พ.ศ. ๒๒๗๖ รวมระยะเวลาครองราชย์ ๒๕ ปี
    เกร็ดที่น่าสนใจ
    ทรงเป็นกษัตริย์ที่โปรดเสวยปลาตะเพียนมาก โดยออกพระราชกำหนดห้ามราษฎรจับหรือรับประทานปลาตะเพียน หากผู้ใดฝ่าฝืน มีบทลงโทษ คือ ปรับเป็นเงิน ๕ ตำลึง หรือ ๒o บาท
    ทรงพระราชทานท้องพระโรงแก่สมเด็จพระสังฆราชแตงโม (ทอง) ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของพระองค์โดยล่องเรือจากอยุธยาไปเพชรบุรีแล้วไปสร้างที่ วัดใหญ่สุวรรณาราม (วัดสุวรรณาราม บ้างก็เรียกวัดใหญ่) จึงทำให้คงเหลือพระราชวัง ท้องพระโรงที่แสดงถึงศิลปกรรมของอยุธยาที่รอดเหลือจากการเผาของพม่าเมื่อ คราวเสียกรุงครั้งที่ ๒ อยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี

    สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
    พระบาทสมเด็จพระภูมินทรมหาราชาบรมโกศ หรืออีกพระนามหนึ่งว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 มีพระนามเดิมว่า " เจ้าฟ้าพร " ทรงขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระเชษฐา คือ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ แต่การขึ้นครองราชย์ของพระองค์ต้องกระทำการปราบดาภิเษก เพราะต้องรบพุ่งกับพระราชโอรส 2 พระองค์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ คือ เจ้าฟ้าอภัย และเจ้าฟ้าปรเมศร์ เพราะพระเชษฐาแม้จะแต่งตั้งพระองค์ให้ดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล แล้วก็ตาม แต่เมื่อใกล้จะสวรรคต กลับตัดสินพระทัยยกราชสมบัติแก่ เจ้าฟ้าเรนทร พระโอรสพระองค์ใหญ่ แต่เจ้าฟ้านเรนทรไม่เห็นด้วยชอบด้วย จึงยกราชสมบัติให้แก่เจ้าฟ้าอภัย พระโอรสองค์รอง การต่อสู้แย่งชิงราชบัลลังก์จึงเกิดขึ้น ระหว่าง วังหลวง และ วังห้า เป็นสงครามกลางเมือง กินระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 1ปี
    ภายหลังเหตุการณ์สงบแล้ว พระองค์จึงได้ขึ้นครองราชย์ และประหารชีวิตเจ้าฟ้าทั้ง 2 พระองค์และพรรคพวกเสีย จากนั้นจึงได้ทำนุบำรุงบ้านเมืองและพระศาสนา มีขุนนางคนสำคัญที่เติบโตในเวลาต่อมา ในรัชกาลของพระองค์หลายคน เช่น สมเด็จพระเจ้าตากสิน, พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เป็นต้น ในทางด้านวรรณคดี ก็มีกวีคนสำคัญเช่น เจ้าฟ้ากุ้ง ซึ่งเป็นพระโอรส เป็นต้น
    สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ สวรรคตในปี พ.ศ. 2301 รวมระยะเวลาการครองราชย์นาน 26 ปี

    สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร

    พระบาทสมเด็จพระอุทุมพรมหาพรพินิต (ครองราชย์ พ.ศ. 2301-2301, ประมาณ 2 เดือน) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๓๒ รองพระองค์สุดท้าย แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงเป็นพระราชโอรสองค์รองใน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระนามเดิม เจ้าฟ้าดอกเดื่อ ต่อมาได้ทรกรมเป็น กรมขุนพรพินิต มีพระเชษฐาคือ เจ้าฟ้าเอกทัศน์ (กรมขุนอนุรักษ์มนตรี)
    หลังจากเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ (เจ้าฟ้ากุ้ง) ซึ่งเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล สิ้นพระชนม์ เมื่อปี พ.ศ. 2289 แล้วสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ มิได้ทรงแต่งตั้งพระราชโอรสองค์ใด ขึ้นเป็นพระมหาอุปราชแทน เป็นเวลาถึง 11 ปี ต่อมาในปี พ.ศ. 2300 จึงทรงตั้งเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ด้วยทรงเห็นว่าทรงพระปรีชา มีพระสติปัญญาเฉลียวฉลาด
    ครองราชย์
    เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ สวรรคต เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตได้ขึ้นครองราชย์เมื่อปีพ.ศ. 2310 ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาที่ ๔ แต่ก่อนหน้าที่จะมีพิธีบรมราชาภิเษกนั้น ได้เกิดเหตุการณ์ไม่สงบและพระอนุชาต่างพระมารดาสามองค์ คือ กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ และ กรมหมื่นเสพภักดี ได้พยายามแย่งชิงราชสมบัติ แต่สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ทรงขอให้พระราชาคณะเกลี้ยกล่อมจนสำเร็จ และพระองค์ได้ราชาภิเษกขึ้นครองราชย์
    เมื่อพระองค์ครองราชย์ได้เพียงเดือนเศษ ก็ทรงสละราชย์สมบัติแล้ว ถวายราชสมบัติแก่เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี ผู้เป็นพระเชษฐา แล้วพระองค์เสด็จออกผนวช โดยประทับอยู่ที่วัดประดู่โรงธรรม
    หลังเสียกรุงศรีอยุธยา
    หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2310 สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ได้ถูกกวาดต้อนไปที่พม่าด้วยพร้อมเจ้านายและเชลยชาวไทยอื่น ๆ โดยทางพม่าได้ให้สร้างหมู่บ้านอยู่รอบเมืองมัณฑะเลย์ และพระองค์ได้เป็นผู้ให้ปากคำเรื่องประวัติศาสตร์อยุธยาแก่พม่า ซึ่งต่อมาได้ชื่อว่า " คำให้การขุนหลวงหาวัด " ในปัจจุบัน หมู่บ้านดังกล่าวนี้ก็ยังคงมีอยู่ มีชื่อว่า " เมงตาสึ " แปลว่า " เยี่ยงเจ้าชาย " และก็ยังคงมีหลักฐานปรากฏถึงวัฒนธรรมไทยอยู่ เช่น ประเพณีการขนทรายเข้าวัดในวันสงกรานต์ หรือการตั้งศาลบูชาพ่อปู่ หรือ หัวโขน เป็นต้น แม้ผู้คนในหมู่บ้านนี้จะไม่สามารถพูดไทยหรือมีวัฒนธรรมไทยเหลืออยู่แล้วก็ ตาม แต่ก็เป็นที่รับรู้กันว่าบรรพบุรุษของพวกเขาเป็นเชลยมาจากไทย
    ปี พ.ศ. 2540 มีข่าวว่าพบสถูปพระอัฐิของพระเจ้าอุทุมพร บริเวณสุสานร้าง เมืองอมรปุระ ไม่ไกลจากสะพานไม้สักอูเบ็ง ข้อสันนิษฐานเกิดจากการพิจารณารูปพรรณสัณฐานไม่ด้ว่าเป็นแบบมอญ หรือพม่า คนเฒ่าคนแก่ในย่านนั้นก็เรียกสถูปนี้ว่า "โยเดียเซดี" แปลว่า สถูปอยุธยา แต่ทว่า ข้อห้ามของทางการพม่าที่ไม่ให้ขุดค้นหลักฐานโบราณคดีในสถูป ทำให้กลายเป็นข้อสันนิษฐานที่รอการพิสูจน์
    พระเจ้าอุทุมพร สิ้นพระชนม์ในขณะเป็นบรรพชิต ใน พ.ศ. 2339 ตามพงศาวดารพม่า

    สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์
    พระบาทสมเด็จพระบรมราชากษัตริย์บวรสุจริต หรือ สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ (ครองราชย์ พ.ศ. 2301-2310) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 33และพระองค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยาทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวบรมโกศพระนามเดิมเจ้าฟ้าเอกทัศน์ต่อมาได้ทรงกรมเป็นกรมขุนอนุรักษ์มนตรี การเสด็จขึ้นครองราชย์
    หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ เสด็จสวรรคตแล้ว สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ได้ขึ้นครองราชย์ แต่เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี แสดงพระองค์ว่าต้องการขึ้นครองราชย์ และเสด็จเข้าประทับ ณ พระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ ต่อมาเมื่อสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ยอมสละราชสมบัติถวายพระเชษฐาและเสด็จออกผนวช เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี จึงเสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อปี พ.ศ. 2301 ทรงพระนาม สมเด็จพระบรมราชากษัตริย์บวรสุจริต แต่คนส่วนใหญ่มักขานพระนามว่า สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ สมเด็จพระที่นั่งสุริยาบรินทร และพระเจ้าเอกทัศน์ (แปลว่า " ตาเดียว " เพราะเชื่อว่าพระองค์พระเนตรเสียไปข้างหนึ่ง และจึงมีอีกฉายานึงว่า " ขุนหลวงขี้เรื้อน " คู่กับสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร คือ " ขุนหลวงหาวัด ")
    การรบกับพม่า
    ในระหว่างที่พระองค์ครองราชย์พม่าได้ยกกองทัพเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 2303 สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ได้ทรงขอให้พระเจ้าอุทุมพรลาผนวช ออกมาช่วยบัญชาการรบ พระเจ้าอลองพญา กษัตริย์พม่า ที่ยกทัพมาได้รับบาดเจ็บจากปืนใหญ่ ต้องยกทัพกลับ และสิ้นพระชนม์ระหว่างทาง
    ต่อมาในปี พ.ศ. 2307 พระเจ้ามังระ โอรสพระเจ้าอลองพญา กษัตริย์พม่า ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ได้ส่งกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีก ให้เกณฑ์กองทัพ 25,000 นาย ยกเข้าตีเมืองไทย 2 ทาง ทางทิศใต้เข้าตีเมืองมะริด เมืองตะนาวศรีซึ่งเป็นของไทยแตกทั้งสองเมือง หุยตองจา เจ้าเมืองหนีไปอยู่ที่เมืองชุมพร พม่าก็ยกทัพตามมาตีเมืองชุมพรแตกแล้วเผาเมืองเสีย และ ทางทิศเหนือเข้าตีเมืองเชียงใหม่ เมืองกำแพงเพชรจนแตก แล้วตั้งค่ายมั่นต่อเรือสะสมสะเบียงอาหารอยู่ ที่ตั้งค่ายอยู่เหนือตีเมืองกาญจนบุรีแตกอีก แล้วยกเข้าตี เมืองราชบุรี เพชรบุรีแตกทั้ง 2เมือง เอกทัศน์ทรงทราบข่าวข้าศึก จึงโปรดให้เกณฑ์กองทัพออกต่อสู้ ให้กองทัพบกไปตั้งค่ายรับข้าศึกที่ตำบลตำหรุ เมืองราชบุรีแห่งหนึ่ง ให้กองทัพเรือยกมาตั้งค่ายอยู่ที่ ค่ายบางกุ้ง และให้พระยารัตนาธิเบศยกทัพเมืองนครราชสีมามาตั้งค่ายอยู่ที่เมืองธนบุรีอีก แห่งหนึ่ง แล้วในขณะนั้นพม่าก็ยกทัพยกไปตีเมืองธนบุรี พระยารัตนาธิเบศก็ยกทัพหนี พม่าก็ยกไปตีค่ายเมืองนนทบุรีแตกอีก มาตีบรรจบกันที่กรุงศรีอยุธยาเป็นศึกขนาบกันสองข้างโดยได้ล้อมกรุงศรีอยุธยา นานถึง ปีกับสองเดือน ก็เข้าตีพระนครได้ เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 ตรงกับวันอังคาร ขึ้นเก้าค่ำ เดือนห้า ปีกุน
    การเสด็จสวรรคต
    สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ได้เสด็จหนีไปซ่อนตัวที่ป่าบ้านจิก ใกล้วัดสังฆาวาส ต้องอดอาหารกว่า 10 วัน และเสด็จสวรรคต เมื่อพม่าเชิญเสด็จไปที่ค่ายโพธิสามต้น พม่าได้นำพระบรมศพไปฝังไว้ที่โคกพระเมรุ หน้าพระวิหารพระมงคลบพิตร แต่ทางพงศาวดารพม่าบอกว่า สับสนระหว่างการหลบหนีในเหตุการณ์กรุงแตก จึงถูกปืนยิงสวรรคตที่ประตูท้ายวัง

    ขอขอบคุณ -http://www.sema.go.th/files/Content/Social/k4/0043/sky_high/k10.html-

    -http://www.phawatsat.ob.tc/history18.html-







    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    <b><big><big>พระราชวงศ์บ้านพลูหลวงหลังกรุงแตกหายไปไหน

    </big></big></b>
    ผมอยากจะทราบเรื่องราวของพระราชวงศ์บ้านพลูหลวงในช่วงหลังกรุงแตกน่ะคับ

    1 ราชวงศ์บ้านพลูหลวงหายไปไหนช่วงหลังกรุงแตกและช่วงรัตนโกสินทร์ ผมทราบแต่เพียงว่าบางส่วนถูกกุมตัวไปพม่าและบางส่วนยังตกค้างอยู่ในเมืองไทย

    2 ราชวงศ์บ้านพลูหลวงเคยเกี่ยวดองทางการสมรสกับเจ้านายราชวงศ์พระเจ้าตากหรือราชวงศ์จักกรีหรือไม่

    3 ปัจจุบันยังพอมีผู้สืบสายเลือดของราชวงศ์นี้อยู่อีกหรือไม่

    4พระบรมอัฐิของพระเจ้าอยู่หัวเอกทัศน์อยู่ที่ใด

    ใครพอทราบช่วยกรุณาตอบด้วยนะคับจะเป็นพระคุณอย่างมากคับ
    จากคุณ : odia [​IMG] - [ 21 มิ.ย. 50 20:58:23 ]


    ความคิดเห็นที่ 3

    1) ราชวงศ์บ้านพลูหลวง เป็นการจัดลำดับพระราชวงศ์โดยล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 ราชวงศ์นี้ก็คือราชวงศ์ที่สืบต่อมาจากพระเจ้าปราสาทโดยปกติ
    จึงควรเป็นราชวงศ์อยุธยา

    เมื่อสิ้นศึกสุริยาศน์อมรินทร์ 2310 พงศาวดารฉบับนายต่อกล่าวถึงการนำพระราชวงศ์กลับสู่อังวะ

    "..... ครั้นสีหะปะเต๊ะแม่ทัพทำเมรุพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยาเสร็จแล้วก็จัดให้พลทหาร เข้าเก็บคัดเลือกช้างม้ารี้พลแลแก้วแหวนเงินทองภาชนใช้สอยต่าง ๆ แลสาตราอาวุธต่าง ๆ ในพระคลังมหาสมบัตแลพระคลังข้างที่ทุกหนทุกแห่ง แล้วแม่ทัพคัดเลือกพระอรรคมเหษีแลพระสนม แลพระบรมวงษานุวงษ์ของพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยานั้น มีรายชื่อเลอียดแจ้งอยู่ข้างล่างนี้ คือ

    มเหษีพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา ๔ องค์ คือ พระนามว่าพระนางเม้า ๑ พระองค์มิ่ง ๑ พระองค์ศรี ๑ พระองค์ศิลา ๑ พระอนุชาของพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยาคือ พระอนุชาราชาธิราชที่ได้เสวยราชนั้น ๑ สุรประทุมราชา๑ ชวาลอำดชติ ๑ พระองค์เจ้าตะไล ๑ พระองค์เจ้าสังข์ ๑ พระองค์เจ้าเนียละม่อม ๑ พระองค์เจ้ากร ๑ พระองค์เจ้าจริต ๑ พระองค์เจ้าภูนระ ๑ พระองค์เจ้าสูรจันทร์ ๑ พระองค์เจ้าแสง ๑ พระองค์เจ้าก้อนเมฆ ๑ พระอนุชารวม ๑๒ พระองค์

    พระขนิษฐภคินีของพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา คือเจ้าฟ้าปรมาศ ๑ เจ้าฟ้าสุรบน ๑ เจ้าฟ้าอินทรสุดาวดี ๑ เจ้าฟ้าหมื่นคอย ๑ เจ้าเกสร ๑ เจ้าอุ่มฉอุ้ม ๑ เจ้าฟ้าฉโอด ๑ องค์เจ้าลำภู ๑ องค์เจ้าเผือก ๑ องค์เจ้าเจีมตระกูล ๑ องค์เจ้าสอาด ๑ องค์เจ้าชมเชย ๑ องค์เจ้าอินทร์ ๑ พระขนิษฐ์ภคินีรวม ๑๔ พระองค์

    พระราชโอรสของพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา คือพระองค์เจ้าประเพศร ๑ พระองค์เจ้าสุรเดช ๑ พระองค์เจ้าเสษฐ ๑ พระราชโอรสรวม ๓ พระองค์
    พระราช ธิดาของพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา คือองค์เจ้าประบิ ๑ เจ้าฟ้าน้อย ๑ เจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ ๑ เจ้าเลีศตรา ๑ พระราชธิดาของพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยารวม ๔ พระองค์
    พระราชนัดดาเจ้าชายของพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยาคือ หม่อมสีพี ๑ หม่อมจา ๑ หม่อมสูวดี ๑ หม่อมสูจี ๑ หม่อมฉง่าย ๑ หม่อมสูรัตน ๑ หม่อมโกรน ๑ หม่อมชมภู ๑ หม่อมสุพรรณ ๑ หม่อมอุดม๑ หม่อมไพฑูรย์ ๑ รวม ๑๔ พระองค์

    พระราชนัดดาเจ้าหญิงของพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยาคือหม่อมมาลา ๑ หม่อมไชยา ๑ หม่อมชะแวก ๑ หม่อมอะไภย ๑ หม่อมอรุณ ๑ หม่อมอำพันธ์ ๑ หม่อมสรรพ์ ๑ หม่อมมาไลย ๑ หม่อมสูรวุฒ ๑ หม่อมชะฎา ๑ หม่อมม่วง ๑ หม่อมสิทธิ์ ๑ เจ้าศรี ๑ เจ้าต้น ๑ รวม ๑๔ พระองค์
    พระราชภาคิไนยเจ้าชายพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยาคือ พระองค์เจ้าตัน ๑ พระองค์เจ้าแม้น ๑ รวม ๒ พระองค์
    พระราชภาคิไนยเจ้าหญิงพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยาคือ เจ้าดารา ๑ เจ้าศะริ ๑ รวม ๒ พระองค์
    พระสนมที่เปนเชื้อพระวงษ์พระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา รวม ๘๖๙ องค์ พระราชวงษานุวงษ์ชายหญิงของพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยารวมทั้งสิ้น ๒๐๐๐ เศษ ......"

    ...........ครั้นสมโภชเสร็จแล้ว สีหะปะเต๊ะแม่ทัพได้ทราบข่าวว่าจีนห้อมาติดกรุงอังวะสีหะปะเต๊ะแม่ทัพจึงจัด พลทหารพลเมืองชายหญิง มอบให้นายทัพนายกอง ๔๐๖ คน ควบคุมรวบรวมพลทหารพล เมืองอยุทธยา ๑๐๖๑๐๐ คน มอบแบ่งให้นายทัพนายกองเสร็จแล้ว ครั้น ณ วัน ฯ ๗ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๒๙ สีหะปะเต๊ะแม่ทัพได้ยกทัพออกจากกรุงศรี อยุทธยาไปยังกรุงรัตนบุระอังวะ ........"




    ...........ครั้นเดือนห้า จุลศักราช ๑๑๓๐ ปืนใหญ่ก็ถึงกรุงอังวะ
    แล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระมเหษีแลพระราชบุตรีแลพระสนมที่เปนพระราชวงษ์พระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา ที่เปนเจ้าหญิงทั้งปวงนั้น ทรงจัดให้สร้างวังเอาเข้าไว้ในมหาพระราชวังหลวง แต่พระราชวงษานุวงษ์แลขุนนางข้าราชการแลพลเมืองพลทหารอยุทธยาทั้งปวงนั้น ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวังแลทำเย่าเรือนเคหาอยู่ตามภูมิลำเนานอกกำแพงพระราชวัง แล้วทรงโปรดเกล้าฯ เลี้ยงดูให้อยู่เปนศุขทุกคน มิให้ร้อนใจสิ่งหนึ่งสิ่งใด.........."


    ส่วนที่ตกค้องอยู่เมืองไทย จะเป็นเจ้านายในระดับล่างลงมา เช่นพระธิดาในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษที่ยังตกค้างอยู่ ที่ค่ายรวบรวมนำส่ง ที่ค่ายปากน้ำประสบ( ค่ายรบ) - โพธิสามต้น(ค่ายรวบรวม)


    2) ราชวงศ์อยุธยา มีความเกี่ยวดองกับพระยาตาก และหลวงยกกระบัตรทองด้วง ในฐานะที่พระยาตากเป็นข้าราชการสายการค้า(กรมพระคลังซ้าย)ทางทะเลป้องกับจีน กันสินค้าจากโจรสลัด และหลวงยกกระบัตรเป็นข้าราชการสายมหาดไทย ที่ไปดูแลหัวเมืองราชบุรี


    ศึกทัพเจ้าตากสามารถยึดค่ายรวบรวมเชลยที่โพธิสามต้น ก็ได้พบราชวงศ์อยุธยาฝ่ายหญิงอยู่ในค่ายซึ่งพงศษวดารไทย ว่าเป็นลูกของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษ จึงนำมาเป็นมเหสีสองคนในช่วงสถาปนากรุงธนบุรี( ชื่อของพระญาตินั้นหาในพงศาวดารนะครับ) ส่วนทองด้วง ไม่ได้มีการเกี่ยวข้องกับราชวงศ์อยุธยาหลังจากนั้น นอกจากการพยายามสร้าง Ayutthayanization กลับมา พระญาติพระวงศ์ในระดับล่างของราชวงศ์อยุธยา ได้รับการดูแลเช่นในความเห็นที่ 2 ครับ


    3) เท่าที่จำได้นะครับ ไม่มีโอรสธิดากับพระยาตาก มี Gossip เรื่องความรังเกียจในฐานะ จึงไม่มีการสืบทอดราชวงศ์ของอยุธยาในกรุงเทพ


    .............. แต่ที่มัณฑะเลย์ มีครับ ลุกหลานของราชวงศ์อยุธยา ยังสืบเชื้อสายมาถึงปัจจุบัน แต่ก็ผสมกับพม่า มอญไปหลายสายเหมือนกัน เช่นในกรณีศึกษาจากนวนิยาย สายโลหิตไงครับ


    4) จากพงศาวดารนายต่อ ".....ในเวลานั้นกองทัพพม่าเที่ยวสืบเสาะค้นหาพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยาจนย่ำ รุ่งก็ไม่เห็นพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา เพราะฉนั้นแม่ทัพพม่าจึงได้ถอดพวงคอแลเครื่องจำพระองค์เจ้าจันทร์ออกแล้วให้ พลทหารคุมพระองค์เจ้าจันทร์นำไปเที่ยวค้นหาพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยานอกกำแพงใน กำแพง ก็ไปเห็นพระศพพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยาถูกอาวุธล้มสวรรคตอยู่ที่ประตูเมืองฝั่ง ตะวันตกกรุงศรีอยุทธยา แล้วแม่ทัพพม่าเชิญเอาพระศพนั้นมาทำเมรุโดยสนุกสนาน....."


    ส่วน พงศาวดารฉบับราชหัตถเลขาของไทย ลิขิตให้พระเจ้าเอกทัศน์เป็นโรคเรื้อน หนีตายจากพระนครไปทางวัดสังฆวาส (ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเมือง คนละทางกับประตูตะวันตก) กับมหาดเล็กสองคน แล้วใกล้อดตาย มอญไปพบจึงนำตัวกลับมาแล้วสวรรคตที่ค่ายโพธิสามต้น เจ้าตากมาขุดพระศพทำเมรุให้หลังจากที่ยึดค่ายได้ ..... ทำเมรุที่ค่ายโพธิสามต้น


    พระบรมอัฐิของพระเจ้าเอกทัศน์ อยู่ที่ไหนดี เช่นเดียวกับกษัตริย์ในสมัยปลายอยุธยาอีกหลายพระองค์ ที่พงศาวดารของไทยในยุคหลังชี้ว่า มีพระบรมอัฐิของกษัตริย์อยุยา 16 พระองค์ บรรจุอยู่ที่ท้ายจระนำวิหารวัดพระศรีสรรเพชญ ส่วนที่ติดกับเจดีย์ใหญ่ทางทิศตะวันออก


    พระบรมอัฐิอยู่ที่นั่นหรือเปล่า ตามพระราชประเพณีโบราณของกรุงศรีอยุธยา
    แต่..... ก็เป็นที่น่าเสียดาย ที่เคยได้ฟังเรื่องเก่า ๆ มาว่า มีการลักลับขุดหาสมบัติโบราณในเกาะเมือง แล้วมีการเอาพระอัฐิออกมาจากกรุที่เก็บแล้วสาดกระจายไปทั่วท้ายจระนำนั้น


    ปัจจุบัน อัฐิของพระมหากษัตริย์โบราณ กลายเป็นธุลีดินอยู่ในวัดพระศรีสรรเพชญ โดยเฉพาะจุดท้ายจระนำ ที่ยังไม่เคยมีใครรู้ว่า ตรงนี้เมื่อในยามรุ่งเรือง พระมหากษัตริย์ทำนุบำรุงพระศาสนาแลปกปักษ์รักษาไพร่ฟ้า เคยเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

    ปัจจุบันเป็นที่โพสท่าถ่ายรูป และเป็นทางเดินใหม่ ที่ทับไปบนพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์โบราณ


    คติความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี ไม่เคยถูกนำใช้กับวิชาการบูรณะ วิชาการท่องเที่ยวและวิชามรดกโลก


    ส่วน ใครจะเชื่อว่าพระบรมอัฐิพระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายของกรุงอโยธยาศรีราม เทพนครนั้น อยู่ที่ไหน ก็ขอให้อ่านจากข้อความนี้ประกอบการคิดและจดจำเรื่องราวในอดีตซักเล็กน้อย


    “ ..... ทั้งนี้ไม่น่าประหลาดใดอันใด ชนชั้นนำในยุคนั้นเพิ่งผ่านความตระหนกอย่างใหญ่หลวงมาจากความพินาศของอยุธยา “เมืองอันไม่อาจต่อรบได้” จึงเป็นยุคสมัยที่ชนชั้นนำหันกลับไปมองอดีตเพื่อสำรวจตนเอง มีการวิจารณ์ตนเองที่เราไม่ค่อยได้พบในวรรณคดีไทยบ่อยนัก เช่น กลอนเพลงยาวของกรมพระราชวังบวรฯ ในรัชกาลที่หนึ่ง วิเคราะห์สาเหตุของความล่มจมของอยุธยา ความใฝ่ฝันที่จะจำลองอุดมคติของอดีตกลับมาใหม่ในนิราศนรินทร์ ฯลฯ เป็นต้น พระราชพงศาวดารที่ถูก ” ชำระ” ในยุคนี้จึงเต็มไปด้วยความใฝ่ฝัน ความรังเกียจ ความชัง ความรัก ความภูมิใจ ความอัปยศ และอคติของชนชั้นในยุคนี้เป็นอย่างมาก พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาจึงเป็นหลักฐานชั้นต้นที่ดีของประวัติศาสตร์ รัตนโกสินทร์ ซึ่งได้บันทึกสิ่งที่สถิตอยู่ในความคิดและความเชื่อของคนชั้นนำในยุคนั้นอัน เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยปรากฏชัดในหลักฐานทางประวัติศาสตร์โดยทั่วไป เช่น ตราตั้ง หมายรับสั่ง หรือจดหมายเหตุ......


    ..........ในขณะเดียวกัน การศึกษาเช่นนี้ก็จะช่วยให้เราใช้เป็นหนทางในการวิเคราะห์พระราชพงศาวดาร อยุธยาในฐานะที่เป็นหลักฐานชั้นรองด้วยเพราะหากเราแยกอิทธิพลของการชำระใน สมัยกรุงธนบุรี – รัตนโกสินทร์ออกจากพระราชพงศาวดารได้ หรือมีหลักอย่างกว้าง ๆ ในการแยกอิทธิพลดังกล่าว เราก็จะสามารถใช้พระราชพงศาวดารในฐานะหลักฐานเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อยุธยา ได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น ...”


    “...ในปัจจุบัน นักศึกษาประวัติศาสตร์จำนวนหนึ่งสำนึกถึงข้อบกพร่องของการนำเอาปัจจุบันไป ปะปนกับอดีต แต่นักศึกษาประวัติศาสตร์เหล่านี้จะได้ ”ลูกค้า” สักเพียงใดในสังคมที่เคยชินกับการ ”ใช้” อดีตเพื่อปัจจุบันมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ อดีตที่ไม่มีสีสัน ไม่มีความสง่างาม ไม่สอดคล้องกับอุดมการณ์ของใคร ไม่สนับสนุนสถาบันอะไรเป็นพิเศษ แต่อาจจะใกล้เคียงความจริงกว่า จะมีคุณค่าให้ผู้ใดมองเห็นได้ในสังคมชนิดนี้หรือ

    และแม้จะพยายามสักเพียงใด งานของนักประวัติศาสตร์ที่จะเสนอความจริงอันแห้งแล้งนี้คือความล้มเหลวอยู่ ส่วนหนึ่งเสมอ เราตัดตัวเองออกจาก”ปัจจุบัน” ให้เด็ดขาดไม่ได้ และส่วนนี้เองที่บังคับให้เราสนทนากับอดีตโดยไม่รู้ตัว ตราบเท่าที่เราเป็นมนุษย์ ข้อจำกัดนี้เป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับไว้ และจนสุดความสามารถที่มนุษย์เล็ก ๆ อย่างเราจะพึงทำได้คือก้าวให้พ้นข้อจำกัดนี้ตลอดไป แม้จะต้องล้มเหลวอีก ในส่วนที่เป็นความล้มเหลวของนักประวัติศาสตร์ตรงนี้เองที่ทำให้การสนทนากับ อดีตไม่มีวันสิ้นสุด และในหลักฐานชั้นรองทั้งหลายย่อมมีความเป็นหลักฐานชั้นต้น หรือที่มาร์ค บลอค เรียกว่า หลักฐานที่ไม่ได้ตั้งใจอยู่ด้วยเสมอ...”

    ( อาจารย์นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ ประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา )

    จากคุณ : วรณัย




    -http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2007/06/K5533752/K5533752.html-




    .


    PANTIP.COM : K5533752
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    [​IMG] ประวัติชาวบ้านบางระจัน

    ประวัติจังหวัดสิงห์บุรี

    สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าถึงเมืองสิงห์ถวายสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ไว้ในสาสน์สมเด็จ ว่า

    ".เมือง สิงห์บุรีเป็นเมืองใหญ่และเก่า มีป้อมปราการ วัง วัดมหาธาตุ และของสำคัญ คือ พระนอนจักรสีห์ ใหญ่ยาวกว่าพระนอนองค์อื่น ๆ ในเมืองไทย ทำเป็นแบบพระนอนอินเดียเหมือนเช่นที่ถ้ำเมืองยะลา คือ พระกรขวาศอกยื่นไปทางด้านหน้า ไม่ทำงอพระกรตั้งขึ้นรับพระเศียร แบบพระนอนไทย เมืองสิงห์เรียกชื่อต่างๆ ดังนี้ เมืองสิงหราชาธิราช เมืองสิงหราชา เป็นเมืองตั้งอยู่ริมแม่น้ำจักรสีห์อันเป็นลำน้ำใหญ่ ห่างแม่น้ำเจ้าพระยา 200 เส้น เพราะแม่น้ำจักรสีห์ตื้นเขิน เมืองสิงห์จึงกลายเป็นเมืองอยู่ลับลี้......" ก็แสดงว่า สิงห์บุรีเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ มีอดีตยาวนาน จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีพบว่า มีการตั้งถิ่นฐานของชุมชนโบราณมาเป็นเวลานานหลายยุคหลายสมัย ดังนี้

    ยุคก่อนประวัติศาสตร์

    พบร่องรอยหลักฐานมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านชีน้ำร้าย อำเภออินทร์บุรี
    บ้านบางวัว ตำบลไม้ดัด อำเภอบางระจัน บ้านคู ตำบลพักทัน อำเภอบางระจัน คือ ขวานหินและดินเผา หินดุ ชิ้นส่วนกำไลสำริด เป็นต้น

    สมัยทวาราวดี

    พบหลักฐานที่เมืองโบราณบ้านคูเมือง ตำบลห้วยชัน อำเภออินทร์บุรี เป็นการตั้ง
    ถิ่นฐานแบบ "เมืองคูคลอง" มีแผนผังเกือบเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีคูน้ำ คันดินล้อมรอบ
    โบราณ วัตถุที่ขุดพบ เช่น ภาชนะดินเผา ลูกปัด แท่นหินบด แวดินเผา ตะคัน ฯลฯ ส่วนหนึ่งจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตอินทร์บุรี ปัจจุบันสถานที่ดังกล่าวเป็นสวนรุกขชาติ และที่ตั้งหน่วยอนุรักษ์พันธุ์ไม้จังหวัดสิงห์บุรี

    เมืองวัดพระนอนจักรสีห์ ตำบลจักรสีห์ อำเภอเมือง รูปแบบเมืองเป็นเมืองซ้อน

    มีเมืองชั้นในรูปค่อนข้างกลมและเมืองชั้นนอกล้อมรอบรูปสี่เหลี่ยมมน ไม่ปรากฏร่องรอย
    กำแพง เมือง (ที่ทำด้วยดินพูนสูง) แต่คูเมืองบางด้านยังปรากฏให้เห็น สิ่งที่พบคือ ลูกปัด และดินเผา เศษภาชนะ ฯลฯแหล่งโบราณคดีบ้านคีม ตำบลสระแจง อำเภอบางระจัน มีสภาพเป็นเนินดินรูปรี กว้าง 200 เมตร ยาว 500 เมตร มีคูน้ำขนาด กว้าง 5 เมตร

    สมัยสุโขทัย

    มี การค้นพบเครื่องสังคโลกสมัยสุโขทัยตามวัดร้างและลำน้ำเจ้าพระยา แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่า ชุมชนต่าง ๆ นั้นมีความสำคัญมากน้อยเพียงไร เพราะในช่วงที่อาณาจักรสุโขทัยรุ่งเรืองนั้น ได้มีอำนาจแผ่ขยายอาณาเขตครอบคลุมในบริเวณภาคกลางและ ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา

    สมัยกรุงศรีอยุธยา

    ปราก ฎเหตุการณ์ที่สำคัญคือ สมัยสมเด็จพระมหารามาธิบดีที่ 1(พระเจ้าอู่ทอง) ได้ตั้งเมืองสิงห์บุรีเป็นเมืองลูกหลวง เมืองอินทร์บุรี เมืองพรหมบุรีเป็นเมืองหลานหลวง นอกจากนี้แล้วเมืองทั้งสามยังเป็นหัวเมืองชั้นใน และหัวเมืองชั้นในหน้าด่าน รายทางด้านทิศเหนืออีกด้วย โดยมีเมืองลพบุรีเป็นเมืองหน้าด่านหลัก แสดงให้เห็นว่า เมืองสิงห์บุรี เมืองอินทร์บุรี และเมืองพรหมบุรี มีอยู่แล้วเมื่อตั้งกรุงศรีอยุธยา ก่อนหน้านั้นเมืองทั้งสามอาจอยู่ในการปกครองของอาณาจักรสุโขทัยก็ได้ แต่ไม่ปรากฎแน่ชัดว่า เมืองทั้งสามสร้างขึ้นในสมัยไหน สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้จัดการปกครองใหม่ โดยกำหนดให้หัวเมืองชั้นในเป็นเมืองจัตวา

    ดังนั้น เมืองอินทร์บุรี เมืองพรหมบุรี และเมืองสิงห์บุรี จึงเปลี่ยนเป็นเมืองจัตวา ในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เมื่อปี พ.ศ. 2086 เมืองสิงห์เป็น เมืองที่สมเด็จพระมหาธรรมราชาให้ทหารไป สืบข่าวเรืองศึกสงครามกับพม่า ขณะเดียวกัน ก็ได้ยกกองทัพไปตั้งที่เมืองอินทร์บุรี เพื่อหยั่งเชิงดูข้าศึกอีกด้วย ดังปรากฎในพระราช พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา สมับสมเด็จพระมหาธรรมราชา ในปี พ.ศ. 2110 หลังจากสมเด็จพระ-นเรศวรทรงประกาศอิสรภาพได้ไม่นาน พม่าก็ได้ยกกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง

    ครั้งนี้พม่ายกกองทัพ มาสองทาง คือ ทางเหนือมีพระเจ้าเชียงใหม่เป็นแม่ทัพ และทางตะวันตกมีพระยาพสิมเป็นแม่ทัพ แต่ทัพของพระยาพสิมถูกกองทัพ กรุงศรีอยุธยาตีแตกไปก่อน โดยที่พระเจ้าเชียงใหม่ยังไม่ทราบ เมื่อกองทัพพระเจ้า เชียงใหม่ยกมาถึงเมืองชัยนาท ก็ให้แต่งทัพหน้ามาตั้งที่บางพุทรา ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ภายหลังคือ ตัวจังหวัดสิงห์บุรี ปี พ.ศ. 2308 สมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ ในขณะที่พม่าตั้งค่ายล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่ ชาวบ้านบางระจันได้รวมตัวกัน

    ต่อสู้กับพม่า ที่บ้านบางระจัน เมืองสิงห์บุรี ซึ่งมีผู้นำสำคัญของชาวบ้านและปรากฎชื่อ คือ

    1. พระอาจารย์ธรรมโชติ
    2. นายแท่น
    3. นายโชติ
    4. นายอิน 5. นายเมือง
    6. นายทองแก้ว
    7. นายดอก
    8. นายจันหนวดเขี้ยว
    9. นายทองแสงใหญ่
    10. นายทองเหม็น
    11. ขุนสรรค์
    12. พันเรือง โดยชาวบ้านบางระจันได้ต่อสู้กับพม่า และสามารถเอาชนะกองทัพพม่าได้ถึง 7 ครั้ง จนถึงครั้งที่ 8 ชาวบ้านบางระจันจึงพ่ายแพ้ ในวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือน 8 ปีจอ พ.ศ. 2309 รวมเวลาที่ไทยรบกับพม่าทั้งสิ้น 5 เดือน คือ ตั้งแต่เดือน 4 ปลายปีระกา พ.ศ. 2308 ถึงเดือน 8 ปีจอ พ.ศ. 2309

    สมัยกรุงธนบุรี

    เมือง อินทร์บุรี เมืองพรหมบุรี เมืองสิงห์บุรี ขึ้นกับกรุงธนบุรี ในประชุมพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) กล่าวถึงสำเนาท้องตรา พ.ศ. 2316 เกณฑ์ผู้รักษาเมืองสิงห์บุรี เมืองพรหมบุรี เมืองอินทร์บุรี ยกทัพไปสกัดข้าศึกด้านตะวันออก และคุมพรรคพวกซ่องสุมกำลังยกไปขุดคูเลนพระนครเมืองธนบุรี

    สมัยกรุงรัตนโกสินทร์

    มี หลักฐานที่ปรากฎคือ พระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้จัดการปกครองมณฑลเทศาภิบาล เมืองสิงห์บุรี เมืองอินทร์บุรี เมืองพรหมบุรี เข้าอยู่ในมณฑลกรุงเก่า (รัชกาลที่ 6 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอยุธยา) และปี พ.ศ. 2439 ยุบเมืองอินทร์บุรี

    และเมืองพรหมบุรี เป็นอำเภอขึ้นกับเมืองสิงห์บุรี พร้อมกับตั้งเมืองสิงห์บุรีขึ้นใหม่ที่ตำบลบางพุทรา ส่วนเมืองสิงห์บุรีเดิมยุบเป็นอำเภอสิงห์ และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอบางระจัน ปี พ.ศ. 2444 อำเภอเมืองสิงห์บุรีเปลี่ยนเป็นอำเภอบางพุทรา และในปี พ.ศ. 2481 ทางราชการสั่งให้เปลี่ยนชื่อที่ว่าการอำเภอที่ตั้งอยู่ในเมืองให้เป็นชื่อ ของจังหวัดนั้น ๆ อำเภอบางพุทราจึงได้กลับไปใช้ชื่ออำเภอเมืองสิงห์บุรีมาจนถึงปัจจุบันนี้


    อนุสรณ์สถานชาว บ้านบางระจัน สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายตรงกับสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ กองทัพพม่าได้ออกลาดตะเวนปล้นสะดม ข่มแห่งชาวไทย ฉุดคร่าอนาจาร เผาบ้านเรือนทำให้ชาวเมืองสิงห์บุรีโกรธแค้น ได้รวบรวมสมัครพรรคพวกต่อสู้กับทหารพม่าจนเกิดเป็นค่ายบางระจันขึ้น มีนายแท่น นายเมือง นายโชติ นายอิน นายดอก นายแก้ว ขุนสรรค์ พันเรือง นายทองเหม็น นายจันทร์หนวดเขี้ยว นายทองแสงใหญ่ เป็นหัวหน้าค่ายบางระจัน พวกชาวบ้านบางระจันได้สู้รบกับพม่าถึงแปดครั้ง ครั้งสุดท้ายพม่าใช้ปืนใหญ่ยิงถล่ม ชาวบางระจันได้ขอปืนใหญ่ไปทางกรุงศรีอยุธยา แต่ทางกรุงศรีอยุธยาไม่ให้ ชาวบ้านจึงร่วมแรงร่วมใจกันหล่อปืนใหญ่ใช้เอง แต่ด้วยความไม่ชำนาญ ปืนใหญ่จึงร้าวและใช้การไม่ได้ ทำให้ชาวบ้านเสียขวัญและกำลังใจ ทว่าชาวบ้านบางระจันก็ยังคงต่อสู้กับพม่าอย่างไม่คิดชีวิต ในที่สุดค่ายบางระจันก็ถูกทำลายลงเมื่อวันจันทร์เดือน 8 แรม 2 ค่ำ พ.ศ.2309 รวมเวลาที่รบกับพม่านานถึงห้าเดือน แม้ค่ายบางระจันจะถูกกองทัพพม่าทำลายอย่างย่อยยับ แต่ภาพของบรรดาผู้กล้าไม่ว่าจะเป็นพระยารัตนาธิเบศร์ ขุนสรรค์พันเรือง ฯลฯ รวมทั้งชาวบ้านทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ ล้วนสู้ตาย ไม่ยอมถอยเพื่อรักษาบ้านเมืองของตน เป็นวีรกรรมของชุมชนที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย

    ที่มา..

    มุมกินเที่ยวทั่วโลก
    ( จังหวัดสิงห์บุรี )แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและอาหารอร่อยประจำท้องถิ่น+ร้านเด็ดๆ

    -http://www.navy22.com/smf/index.php/topic,13532.0.html-




    .


    -http://www.abhakara.com/webboard/index.php?topic=1017.0-

    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    เปิดตัวแล้ววีรชนคนถูกลืมตอนขุนรองปลัดชู


    [​IMG]


    เปิดตัวไปเรียบร้อย สำหรับภาพยนตร์เรื​่อง วีรชนคนถูกลืม ตอน ขุนรองปลัดชู ณ.โรงภาพยนตร์ สกาล่า โดยบริษัท บีบี พิคเจอร์ นาย บุญชัย เบญจรงคกุล ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์และราย​การ และ นายเทพชัย หย่อง ผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงแ​ละแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส) และนักแสดงนำของเรื่อง สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ หรือ เช็ค พิธีกรคนค้นคน ที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี รับบท ขุนรองปลัดชู
    งานนี้ได้ผู้กำกับหญิงที่หายหน้าหายตาไปน​านอย่าง สุรัสวดี เชื้อชาติ หรือ แหม่ม มาม่า บลูส์ มากำกับภาพยนตร์ พร้อมทั้งแขกผู้มีเกียรติ ที่มาร่วมงาน อย่าง คุณอุ๋ย นนท์ทรีย์ คุณอังเคิล คุณปื้ด ธนิต จิตรนุกูล ผู้กำกับภาพยนตร์แถวหน้าของเมือ​งไทยและอีกมากมาย
    แกนหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้​นำเสนอขึ้นมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่ง​ของ โครงการสำนึกรักบ้านเกิด ที่ได้ทำไว้ต่อเนื่องกว่า 10 ปีแล้ว โดยมีแนวคิดที่ต้องการกระตุ้นให​้คนไทยทั่วประเทศ เกิดสำนึกรักในแผ่นดินเกิด ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ใหญ่กว่ารั​กบ้านเกิด และเพื่อปลุกกระแสสังคมไทยให้รั​บรู้ถึงเกียรติประวัติของวีรชนท​ี่อาจถูก หลงลืมจากหน้าประวัติศา​สตร์ รวมถึงพัฒนาศิลปะการผลิตสื่อโทร​ทัศน์ที่ทันสมัย ที่สามารถนำความบันเทิงผสมผสานส​ารคดีคุณภาพ โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างด​ีจากโรงภาพยนตร์ สกาล่า ที่จะฉายให้ชมฟรีตั้งแต่วันนี้ - 11 กรกฏาคม และเผยแพร่ ทุกวันจันทร์ 23.00 น. เริ่มจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม เป็นต้นไป สถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอส
    นาย สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ นักแสดงนำบท “ขุนรองปลัดชู” กล่าวถึงการแสดงเป็น ขุนรองปลัดชู ครั้งแรกว่า “ประวัติศาสตร์บันทึกถึงตัวแสดง​นี้เพียง 2 บรรทัด กระตุ้นให้ผมเกิดความสนใจบางอย่​าง จึงขออ่านบทอย่างละเอียด พบว่ามีแง่มุมที่ทำให้เราจินตนา​การ ฉะนั้นในความเป็นหนังที่ต้องมาส​ร้างใหม่ ต้องมีการค้นคว้าอย่างมหาศาล ต้องตีความ ร้อยเรียง จับประเด็น ซึ่งผมก็จับไม่ได้ แต่รู้สึกว่ามันท้าทายมากว่าทีม​งานนี้เขาจะผูกเรื่อง และสร้างออกมาในแง่มุมไหน ก็เลยมีการพูดคุยกันเยอะ ก่อนจะตกปากรับคำเล่นบทนี้ และก็ขอชื่นชมทีมงานสร้าง ทุกคนตั้งใจจริงและทำงานคุณภาพม​าก”


    [​IMG]



    [​IMG]



    .

    -http://www.posttoday.com/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%87/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/98819/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%8A%E0%B8%B9-

    โพสต์ทูเดย์ บันเทิง : เปิดตัวแล้ววีรชนคนถูกลืมตอนขุนรองปลัดชู

    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    เพื่อนผมไปดำเนินการมา

    "วันก่อนไปซื้อเกลือแร่ 3000 ซอง ให้พี่แอ๊ว ก็เลยซื้ออุปกรณ์ทำแผล ยาแก้หวัด แก้ไอ แก้ท้องเสีย ไปสมทบด้วย ( ตามรูป พักนี้สายตายาวถ่ายรูปไม่ค่อยชัดนะ) แล้วขับไปส่งทั้งหมดให้หลวงพี่<wbr>ที่กุฏิ เชิญโมทนาได้เลยนะ "


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]



    .
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpeg
      image.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      56.2 KB
      เปิดดู:
      169
    • image1.jpeg
      image1.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      65.8 KB
      เปิดดู:
      190
    • image2.jpeg
      image2.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      52.6 KB
      เปิดดู:
      106

แชร์หน้านี้

Loading...