พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    สวัสดีเช้าวันพฤหัส ครับ คุณ sithiphong และ สมาชิกชมรมทุกท่านครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  2. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ทำแยมมังคุดง่ายๆ ไว้ทาน

    วันพฤหัสบดี ที่ 07 กรกฎาคม 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    มังคุด ราชินีผลไม้ ของโปรดของใครหลายคน ยิ่งช่วงนี้มีวางขายอย่างมากมายด้วย ทำให้พ่อบ้านแม่บ้าน เหมาซื้อมาเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าทานไม่หมดล่ะก็ วันนี้มีคำแนะนำ

    ประเทศไทยช่างโชคดีมากมาย ที่มีผลไม้หลากหลายชนิดไว้ทานตลอดปี อย่างช่วงนี้ก็เช่น มังคุด เงาะ ทุเรียน บางปีเกษตรได้รับผลผลิตเป็นจำนวนมาก ทำให้ผลไม้ราคาถูก บรรดาพ่อบ้านแม่บ้านก็เหมาซื้อมา จนบางครั้งทานกันไม่หมด เน่าเสียไปก็เยอะ แต่วันนี้มีวิธีแก้ปัญหา ถ้าซื้อมังคุดมาปริมาณมาก แล้วทานไม่ทัน ลองแปรรูปไปเป็นแยม แล้วเก็บไว้ทานสิ

    ส่วนผสมก็มีไม่มาก คือ นางเอกของงาน เนื้อมังคุด โดยปอกเปลือกนำแต่เนื้อมาประมาณ 4 ถ้วยตวง น้ำสะอาด 1.5 ถ้วยตวง น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง น้ำมะนาว 4 ช้อนโต๊ะ และเกลือป่น 3 ช้อนชา

    เมื่อได้ส่วนผสมมาครบครัน ก็เริ่มทำกันเลย โดยเริ่มจากการนำเนื้อมังคุดต้มกับน้ำสะอาดในปริมาณที่เตรียมไว้ ตั้งไฟอ่อน ๆ คนไปเรื่อย ๆ จนกว่าเนื้อมังคุดจะเปื่อย แล้วเติมน้ำตาลลงไป คนให้ละลายเข้ากับเนื้อ ใส่น้ำมะนาวกับเกลือป่นตามลงไป เสร็จแล้วเคี่ยวต่อไปอีกประมาณ 30 นาที จากนั้นยกลง ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วนำภาชนะที่สะอาดมาบรรจุ ปิดฝาให้สนิท เท่านี้ก็ได้แยมมังคุดเก็บไว้ทาน หรือจะนำไปขายก็ได้ ทำให้มังคุดที่เคยทิ้งไว้เน่าเสีย กลับมามีประโยชน์อีกครั้ง.





    ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ดร.สุเมธ ชี้ พรรคการเมืองหาเสียงปั้นนโยบายขายฝัน สุดท้ายก็ตื่น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>7 กรกฎาคม 2554 18:59 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>


    “ดร.สุเมธ” บรรยายพิเศษเศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจพอเพียง ชี้ รัฐไทยมุ่งสร้างความร่ำรวยจากจีดีพี เอาแต่ตามก้นคนอื่น ไม่เคยตรวจสอบตัวเอง ทำสังคมมีปัญหา ความรวยกระจุกความจนกระจาย แนะยึดหลักพอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน เผย “ในหลวง” ทรงห่วงคนไทยชอบใช้ไทยคำอังกฤษคำ ทำคนฟังไม่เข้าใจ

    วันนี้ (7 ก.ค.) ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา กล่าวบรรยายพิเศษ เรื่อง เศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจพอเพียง ในการสัมมนาทางวิชาการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 ว่า ตั้งแต่ประเทศไทยมีการใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1-7 พบว่า ระบบการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศมุ่งสร้างความร่ำรวยเพียงอย่างเดียว ใช้หลักคิดว่ารวยแล้วดี มุ่งความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยใช้ค่าจีดีพีเป็นตัวชี้วัดมุ่งแต่เรื่องเงินทองติดมาจนถึงทุกวันนี้ ต่อมาก็มุ่งอุตสาหกรรม แต่ขอเรียกว่า อุตสาหากรรม ความบ้าคลั่งครั้งแรกในความปรารถนาของนักวางแผนกระแสนักคิด อยากเป็นประเทศอุตสาหากรรม

    เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา ผู้นำประเทศแทบไม่ได้คิดเรื่องการบริหารบ้านเมือง ชอบตามแบบอย่างคนอื่น ตามก้นคนอื่น จนไม่เคยเป็นตัวของตัวเอง ไม่เคยตรวจสอบตัวเองเลยว่าเราจะเป็นอะไร แต่จากแผนดังกล่าวทำให้ประเทศไทยมีเศรษฐกิจดี สังคมมีปัญหา การพัฒนาไม่ยั่งยืน อัตราความเจริญสูง ความร่ำรวยกระจุก ความจนกระจาย เมื่อเรามุ่งความเจริญเติบโต เราก็ควรจะใช้สมบัติที่เรามีอยู่นั่นคือทรัพยากรธรรมชาติ หรือดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งทั้งหมด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรักษาตลอดระยะเวลา 60 ปี พระองค์ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง ทรงใช้วรกาย พระราชสติปัญญารักษาเพื่อให้สิ่งนี้อยู่กับคนไทยให้ได้ แม้จะอยู่ในสภาพที่เสื่อมโทรมไป เนื่องจากการบริโภคของคนไทย จากการบ้าพัฒนาประเทศอย่างสุดกู่ ที่ทำให้เกิดผลเสียหายขึ้น ทั้งทรัพยากรธรรมชาติหร่อยหรอ แม่น้ำเจ้าพระยา ลำคลองเน่าเสีย ป่าไม้ถูกทำลาย

    นอกจากนี้ ดร.สุเมธ ยังกล่าวด้วยว่า เศรษฐกิจบ้านเรา เหมือนกับสร้างบ้านโดยไม่ปักเสาเข็ม ซึ่งการที่เราใช้วิธีเลือกเดินไปโดยใช้วิธีการทางด้านอุตสาหกรรมก็เหมือนกับการสร้างบ้านที่ต้องปักเสาอย่างน้อย 4 ต้น คือ เสาแรก คือ เงิน ซึ่งต้องยืมเขามา เสาที่ 2 เทคโนโลยี ประเทศเราไม่มีการสร้างและคิดค้นเทคโนโลยีเป็นของเราเอง จึงต้องซื้อมาจากต่างประเทศ เสาที่ 3 คน ที่สุดหากเสาบ้านเราไม่แข็งแรงทุกอย่างจะสูญสิ้นไปในที่สุด และเสาที่ 4 คือ ทรัพยากรซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ประเทศไทยมี และเป็นทุนทางธรรมชาติบวกกับ แรงงานในระดับล่างที่กำลังจะได้รับเงิน 300 บาท

    “เวลาตลอด 3-4 เดือนที่ผ่านมา ผมเหมือนอยู่ในความฝันเวลาขับรถไป เห็นทุกป้ายสร้างความฝันให้ผมมาก ว่า จะปลดหนี้ไม่มีหนี้แล้ว พอลูกอายุ 20 ก็เบิกได้ 1 ล้าน ใครอยากได้บ้านหลังแรก อยากมีรถคันแรกก็จะมีกุญแจให้ 2 ดอก แต่เผลอแป๊ปเดียวความฝันผมก็หายไป นโยบายต่างๆ กำลังบอกว่าเศรษฐกิจดี แต่ส่งผลความสูญเสียนานัปการ ไม่เหลืออะไรเลย และสังคมมีปัญหา คนไทยแม้แต่เด็กเล็ก ผู้ใหญ่ ตามบ้านนอก มีคนเอาของไปล่อ ก็เกิดความอยากได้ กลายเป็นคนหิวกระหาย และนิสัยเสียไปหมด จึงอยากให้ทุกคนยึด 3 ข้อหลัก ได้แก่ 1. พอประมาณ 2. มีเหตุผล 3. มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี ก็คือ พูดง่ายๆ พอประมาณ ดูตนเอง อย่าเกินตัว” ดร.สุเมธ กล่าวย้ำ

    ทั้งนี้ ดร.สุเมธ กล่าวอีกว่า พระองค์ทรงเตือนคนไทยเกี่ยวกับนักเรียนนอกที่ชอบใช้ภาษาฝรั่งคำไทยคำ เพราะเมื่อสื่อไปแล้วทำให้คนไม่เข้าใจ เรื่องภาษาต้องใช้ให้ถูกต้อง พูดให้ถูกต้อง คนไทยสมัยใหม่ พูดจาเรื่อยเปื่อย บางทียังได้พูดอะไรก็พูดขึ้นมาด้วยคำว่า ค่ะ ครับ ถือเป็นปรากฏการณ์อีกเรื่องหนึ่งในภาษาไทยที่เกิดขึ้นขณะนี้



    -http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9540000083627-


    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    รับจ้างอาชีพคิดสั้นพบฆ่าตัวตายสูงสุด


    เผยสุขภาพจิตคนไทย "อาชีพรับจ้าง" จิตแย่กว่าอาชีพอื่นๆ เหตุเจอสภาวะบีบคั้นทางเศรษฐกิจและสังคม มีแนวโน้มฆ่าตัวตายสูงสุด ส่วนอาชีพข้าราชการมีสุขภาพจิตดีที่สุด เพราะมีความมั่นคงทางรายได้ แนะคนไทยปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนทางศาสนา ช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้น
    น.ส.สิริ กร เค้าภูไทย นักวิชาการสำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสาร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยว่า จากการรวบรวมข้อมูลล่าสุดทางด้านสุขภาพจิตของคนทำงานอาชีพต่างๆ ที่สำรวจโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ กรมสุขภาพจิต และสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ในช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมา พบว่า อาชีพข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจได้คะแนนสุขภาพจิตมากที่สุด โดยได้ 33.8 คะแนนจากคะแนนเต็ม 45 คะแนน เนื่องจากมีความมั่นคงทางอาชีพการงาน ส่งผลต่อความมั่นคงทางจิตใจของคนทำงานด้วย กลุ่มที่ได้คะแนนรองลงมาคือ นักเรียน 32.6 คะแนน ธุรกิจส่วนตัว 32.2 คะแนน เกษตรกร 32.1 คะแนน
    สำหรับ กลุ่มที่มีคะแนนสุขภาพจิตต่ำที่สุดคือ คนทำงานรับจ้าง 30.1 คะแนน เนื่องจากเป็นอาชีพที่ไม่มีความมั่นคงและมีรายได้ไม่แน่นอน ส่งผลต่อสภาพจิตใจเป็นไปในทางลบ ส่วนกลุ่มที่ได้คะแนนสุขภาพจิตต่ำใกล้เคียงกันคือ แม่บ้านและลูกจ้างเอกชน ได้ 31.1 คะแนนเท่ากัน นอกจากนี้ยังพบว่าความเคร่งครัดทางศาสนา การปฏิบัติตามหลักคำสอน และการมีเวลาให้แก่กันอย่างเพียงพอของสมาชิกในครอบครัว เป็นปัจจัยที่ช่วยให้สุขภาพจิตของคนดีขึ้น
    น.ส.สิริกรกล่าวว่า สภาพทางเศรษฐกิจและสังคมทำให้ประชากรในวัยต่างๆ มีความเครียด เป็นโรคซึมเศร้าและตัดสินใจฆ่าตัวตาย โดยสถิติตั้งแต่ปี 2548-2553 พบว่า วัยทำงานอายุระหว่าง 15-59 ปี เป็นกลุ่มคนที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงสุด 7.1 คนต่อแสนคน ในจำนวนนี้กลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 25-59 ปี มีอัตราการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 4.6 ต่อแสนประชากร มากกว่ากลุ่มวัยรุ่นและเยาวชนที่มีอายุระหว่าง 15-29 ปี ซึ่งมีอัตราการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 2.2 ต่อแสนประชากร ซึ่งสาเหตุอันดับ 1 ที่ทำให้วัยรุ่นฆ่าตัวตายมากที่สุดคือ ผิดหวังในเรื่องความรัก ประสบกับปัญหาการเล่าเรียน และปัญหาทางด้านครอบครัว ผู้ที่ฆ่าตัวตายส่วนใหญ่เป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิงเกือบ 4 เท่าตัวของการฆ่าตัวตายของทุกปี
    "แรงงานไทยเกือบ 1 ใน 10 ตั้งแต่ระดับกรรมกรจนถึงคนทำงานบริษัท คิดจะฆ่าตัวตายอันเนื่องมาจากคุณภาพชีวิตไม่ดีพอ โดยเฉพาะผู้มีอาชีพรับจ้างทั่วไปมีสุขภาพจิตต่ำกว่าอาชีพอื่นๆ และมีแนวโน้มที่จะฆ่าตัวตายสูง ตรงกันข้ามกับอาชีพข้าราชการที่มีสุขภาพจิตดี ทำให้มีอัตราฆ่าตัวตายต่ำกว่าอาชีพอื่นๆ"
    นักวิชาการสำนักงานพัฒนาระบบ ข้อมูลข่าวสาร สสส. ระบุว่า ปัญหาการฆ่าตัวตายเป็นความสูญเสียเชิงเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะในวัยทำงานถือเป็นกลุ่มคนสำคัญที่ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมสุขภาพจิต ควรมีนโยบายแก้ปัญหาสังคมและสุขภาพจิตให้ตรงจุด พร้อมทั้งส่งเสริมความรู้ความเข้าใจและทักษะในการแก้ปัญหาชีวิตแก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่มีแนวโน้มการฆ่าตัวตายมากที่สุดคือ อาชีพรับจ้างรายวัน ซึ่งมีความบีบคั้นและความยากลำบากในการดำรงชีวิตมากที่สุด อีกทั้งยังต้องร่วมมือกับชุมชนในการเฝ้าระวังการฆ่าตัวตาย รวมทั้งการให้คำปรึกษาจากจิตแพทย์ก็มีความสำคัญมากเช่นกัน
    ด้าน ศ.เกียรติคุณ ดร.อภิชาติ จำรัสฤทธิรงค์ นักวิชาการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล กล่าวว่า คนไทยที่มีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิต ได้แก่ ผู้สูงอายุ มีสถานภาพหม้าย หย่า หรือแยกกันอยู่ การศึกษาต่ำ เป็นผู้ว่างงานหรือลูกจ้างเอกชน รายจ่ายของครัวเรือนต่ำ ครัวเรือนเกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกินและครัวเรือนที่มีหนี้นอกระบบ นอกจากนี้ พบว่าการมีระบบการจ้างงานและดูแลปัญหาการว่างงานที่ดี การสร้างสังคมให้มีส่วนร่วมในการดำเนินงานของรัฐหรือชุมชน การกระจายรายได้ในสังคมที่มีการแข่งขันและการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศในภาพรวม ยังทำให้คนไทยมีสุขภาพจิตดีขึ้นด้วย
    "การสร้างเสริมให้คนไทยมีสุขภาพจิต ที่แข็งแรง รัฐบาลต้องมีนโยบายสร้างระบบเศรษฐกิจที่เอื้อต่อคนไทยทุกคนให้มีงานทำ มีรายได้แน่นอน และเพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ เป็นวิธีที่จะเสริมสร้างสุขภาพจิตที่ดีได้ นอกจากนี้ ขอให้ประชาชนนำแนวทางปฏิบัติของศาสนา เช่น ปฏิบัติสมาธิ รักษาศีล 5 และสวดมนต์เป็นประจำ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะมีปัญหาสุขภาพจิตได้ดีเช่นกัน" นักวิชาการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล เผย.


    -http://www.thaipost.net/x-cite/070711/41317-
    .



    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong, nongnooo+, ปฐม+</td></tr></tbody></table>

    อรุณสวัสดิ์ยามเช้า วันศุกร์แห่งชาติครับ

    สวัสดีท่านรองประธานครับ

    ฝากเนื้อฝากตัวกับท่านน้องปฐมด้วยครับ


    vb vb

    .
     
  6. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    สวัสดีเช้าวันศุกร์ ครับ คุณ sithiphong และ สมาชิกชมรมทุกท่านครับ
     
  7. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ฝักบัวสมุนไพรจีน

    วันศุกร์ ที่ 08 กรกฎาคม 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD><TD id=ext-gen16 style="WIDTH: 57px">รูปภาพ</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]



    [​IMG]

    สิ่งประดิษฐ์โดยกลุ่มชาวจีน พัฒนาให้นำสมุนไพรจีนมาใช้ได้อย่างสะดวกมากขึ้น ทำให้การอาบน้ำสมุนไพรเพื่อรักษาโรคเป็นเรื่องไม่ยุ่งยากแม้ไม่มีอ่างอาบน้ำ

    เริ่มต้นด้วยสิ่งประดิษฐ์ต้นแบบที่ออกแบบโดยกลุ่มนักประดิษฐ์ชาวจีนและได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวด “ไอเดีย 2011” โดยการนำของดีในประเทศมาปรับปรุงให้ใช้ได้ง่ายขึ้น นั่นก็คือสมุนไพรจีน ซึ่งการจะแช่น้ำสมุนไพรเพื่อผ่อนคลายและรักษาอาการเจ็บป่วยเป็นเรื่องยุ่งยากและไม่สะดวก เนื่องจากไม่ใช่ทุกบ้านที่จะมีอ่างอาบน้ำ

    ดังนั้นกลุ่มนักประดิษฐ์หัวใสจึงผลิต “ฝักบัวสมุนไพรจีน” ขึ้นมา เพื่อหวังให้คนทั่วไปได้ใช้ประโยชน์จากสมุนไพรจีนอย่างสะดวกมากขึ้น โดยบรรจุสมุนไพรลงในถุงชา และออกแบบหัวฝักบัวให้สามารถใส่ถุงสมุนไพรไว้ในหัวฝักบัว น้ำที่ไหลออกมาก็จะเป็นน้ำที่มีส่วนผสมของสมุนไพร ส่วนด้านหลังหัวฝักบัวเป็นที่จับ จะได้สะดวกในการถือนวดวนตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

    สำหรับใครที่ชอบเลี้ยงสุนัข ย่อมรู้ว่าเจ้าตูบมักชอบอยู่กับเจ้าของ ถ้าไม่ได้รับการสนใจหรือถูกปล่อยทิ้งไว้นานๆ ก็มักจะเหงาหงอยเศร้าซึมและไม่มีความสุข จึงมีผู้ผลิตอุปกรณ์เพื่อแก้ปัญหาทางจิตใจของสุนัขให้คลายความกังวลแม้เจ้าของจะไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ด้วยเสื้อลดความกังวล “ธันเดอร์เชิ๊ต”

    โดยเสื้อตัวนี้จะใส่แรงกดบริเวณหลังและอกของสุนัขที่สวม เมื่อเจ้าตูบรู้สึกกังวล กลัว หรือตื่นเต้นจนเกินไป ซึ่งจะทำให้สัตว์เลี้ยงแสนรักรู้สึกปลอดภัยเหมือนมีอ้อมแขนของเจ้าของมากอดปลอบให้คลายความกังวล นอกจากนี้ยังใช้ได้กับอาการกลัวเสียง ลดความกังวลของสุนัขขณะเดินทาง ลดการเห่า ได้อีกด้วย

    เสื้อลดความกังวลมีหลากสีหลายขนาดที่เหมาะกับเจ้าตูบทุกพันธุ์ โดยมีข้อแนะนำคือ หลังจากสวมเสื้อธันเดอร์เชิ๊ตควรให้อาหารหรือขนมเล็กน้อย เพื่อให้เจ้าตูบเกิดความรู้สึกดีว่าหลังจากสวมเสื้อตัวนี้แล้วมันจะได้รับรางวัล ครั้งต่อๆ ไปจะได้ยอมให้สวมแต่โดยดี
    ส่วนคนที่มักหงุดหงิดกับเสียงนาฬิกาปลุกที่ดังรบกวน เพราะไม่ได้ทำให้แค่คนตั้งปลุกคนเดียวตื่น แต่คนที่นอนข้างๆ ต้องถูกขัดจังหวะนิทราอันแสนสุขไปด้วยแม้ว่าจะไม่ต้องการลุกขึ้นมาตั้งแต่เช้าก็ตาม แต่ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขแล้วด้วย “ลาร์ค-นาฬิกาปลุกไร้เสียง”

    บางคนอาจสงสัยว่าถ้าไม่มีเสียงแล้วจะปลุกได้อย่างไร แต่มีหลายวิธีที่จะทำให้ตื่นได้ เช่น ใช้การสั่นสะเทือน นาฬิกาปลุกตัวนี้จึงออกแบบเป็นริสแบนด์หรือสายรัดข้อมือ ซึ่งจะสั่นเมื่อถึงเวลาตั้งปลุก ทำให้ผู้ที่สวมสายรัดข้อมือตัวนี้ถูกปลุกขึ้นมาอย่างนุ่มนวลและเป็นธรรมชาติโดยไม่รบกวนคนที่นอนข้างๆ แต่ต้องใช้กับเครื่องใช้ตระกูลแอปเปิ้ล ไม่ว่าจะไอโฟน ไอแพดหรือไอพอดก็ได้

    นอกจากจะตั้งปลุกได้แล้ว ยังสามารถบันทึกพฤติกรรมการนอนของผู้สวมได้ด้วย เช่น นานเท่าไหร่กว่าจะนอนหลับ ตื่นขึ้นมากลางดึกกี่ครั้ง นอนละเมอเดินหรือไม่ และสามารถรับเคล็ดลับแก้ปัญหาการนอนทางออนไลน์ได้ด้วย หากโทรศัพท์หรือไอแพดแบตหมดก็ไม่ต้องกังวล เพราะริสแบนด์ก็จะปลุกตามเวลาที่ตั้งไว้อยู่ดี ส่วนในกรณีที่สายรัดข้อมือแบตหมดหรือถูกดึงออกจากข้อมือก็จะมีเสียงดนตรีปลุกแทน จึงไม่ต้องกลัวว่าจะหลับเพลินจนพลาดนัดสำคัญหรือไปทำงานสาย จะน่าใช้แค่ไหน [ame="http://www.youtube.com/watch?v=UlsB2GE86yw&feature=player_embedded"]คลิก[/ame]

    ทีมเดลินิวส์ ออนไลน์
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันนี้ผมทำงานสถานที่นี้เป็นวันสุดท้าย ในสัปดาห์หน้าต้องไปทำงานยังสถานที่ใหม่

    การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติของทางโลก

    .
     
  9. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    วันที่ 08 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7526 ข่าวสดรายวัน


    จัดจ้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ร้านป้าแตง ราชดำเนิน


    อิ่มอร่อย



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=360 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#e0e0e0>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ผู้ที่ชื่นชอบอาหารประเภทเส้น อย่างก๋วยเตี๋ยวต้มยำที่รสจัดจ้าน มักชอบตระเวนหาเจ้าประจำที่ถูกปาก "ป้าแตง"สุดา บวรสาโชติ เจ้าของร้าน "ก๋วยเตี๋ยวต้มยำมะนาวป้าแตง" ตั้งอยู่ข้างสถานีตำรวจศูนย์สวัสดิ์เด็กและสตรี (ศดส.) บช.น. ถนนราชดำเนินนอก การันตีความอร่อยมากว่า 20 ปี

    ป้าแตง กล่าวว่า ก๋วยเตี๋ยวของทางร้านเป็นสูตรตั้งแต่สมัยคุณแม่ที่ขายกันมาตั้งแต่ชามละ 1 สลึง จนมาถึงรุ่นป้าก็ใช้สูตรดั้งเดิมที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากคุณแม่

    เริ่มจากน้ำซุปที่รสชาติเข้มข้น ต้มจนหวานน้ำต้มกระดูกหมูปวยเล้ง ต้มน้ำซุปวันละ 10 กิโลกรัม เคี่ยวนาน 4-5 ชั่วโมง เพราะก๋วยเตี๋ยวของทางร้านเป็นต้มยำน้ำซุปมีรสชาติเข้มข้น

    วัตถุดิบที่ใช้เป็นเครื่องเคียงอย่างถั่วลิสงต้องคั่วเอง น้ำมันกระเทียมเจียว ทำสดใหม่วันต่อวัน

    มะนาวคั้นสดจากลูก วันละกว่า 200 ลูก ที่สำคัญคุณภาพของหมูสด ตับสด ต้องสดใหม่วันต่อวันเช่นกัน

    สำหรับหมูสับ ป้าแตงจะต้องนำมาหมักด้วยซอส และเครื่องปรุงรสสูตรต้นตำรับของทางร้าน

    ความอร่อยของก๋วยเตี๋ยวต้มยำร้านป้าแตงนอกจากน้ำซุปแล้ว เส้นก๋วยเตี๋ยวก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้รสชาติอาหารอร่อยกลมกล่อมอย่างลงตัว โดยสั่งตรงมาจากโรงงานใหม่สดทุกวัน มีทุกเส้นทั้งเส้นเล็ก เส้นใหญ่ เส้นหมี่ เส้นบะหมี่ รวมถึงวุ้นเส้นด้วย

    เริ่มจากเส้นเล็กแห้งต้มยำ เมนูขายดีของทางร้านเข้มข้นและอัดแน่นชามด้วยเครื่องเคียง หมูต้มหั่นชิ้นหนาพอคำ ตับหมูสุกหั่นชิ้นพอคำ เกี๊ยวทอดกรอบ และปลาเส้น เพิ่มความหวานมันด้วยถั่วลิสงคั่ว โดยจะปรุงรสชาติสูตรของทางร้าน อย่างน้ำตาล น้ำปลา น้ำมะนาวคั้นสด และพริกป่นมาให้แล้ว

    หากชอบรสเปรี้ยวจัดจ้าน ทางร้านก็จะหั่นมะนาวใส่มาให้เพิ่มทุกชาม

    เส้นใหญ่ต้มยำ หรือบะหมี่ต้มยำ ก็เป็นเมนูที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ด้วยความจัดจ้านของน้ำต้มยำ ที่ทางร้านใช้หมูสับหมักใส่ชามกระเบื้องสำหรับใช้ปรุงรส พร้อมใส่เครื่องปรุงอย่างน้ำปลา น้ำตาล น้ำมะนาว และพริกป่น เสร็จแล้วตักน้ำซุปใส่ในชามแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่ในชามก๋วยเตี๋ยวที่ลวกเส้นไว้ ตามด้วยหมูต้มหั่นชิ้น ตับหมูหั่นชิ้น กินคู่กับเกี๊ยวกรอบ

    เส้นใหญ่เย็นตาโฟ ทางร้านใช้ผักบุ้งเป็นผักเครื่องเคียง น้ำซอสแดงเป็นสูตรของทางร้านที่ทำวันต่อวัน ใส่หมูต้ม ตับต้มหั่นเป็นชิ้นพอคำ ปลาหมึกกรอบ เห็ดหูหนูขาว เกี๊ยวทอดกรอบ ก่อนเสิร์ฟโรยด้วยเต้าหู้ถั่วเหลืองทอดกรอบที่เป็นตัวเพิ่มความอร่อย

    ป้าแตงบอกว่า ความอร่อยของก๋วยเตี๋ยวต้มยำสูตรมะนาวนี้ อยู่ที่สูตรน้ำซุปของทางร้านอย่างเดียวไม่ได้ ต้องอยู่ที่วัตถุดิบทุกอย่างต้องใช้ของดีมีคุณภาพ มะนาวเป็นหัวใจสำคัญ ทางร้านไม่ใช้น้ำมะนาวสังเคราะห์อย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะฤดูไหนมะนาวแพงก็ต้องใช้ ถือว่าไม่เอาเปรียบลูกค้าที่เข้ามากินที่ร้าน

    ราคาขายมี 2 ราคา ธรรมดา 30 บาท และพิเศษ 35 บาท

    ร้านเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 10.00-14.30 น. วันจันทร์-ศุกร์ หากไปช่วงพักเที่ยงต้องโทรศัพท์สอบถามก่อนเพราะมีลูกค้าแน่นร้านทุกวัน โทร. 08-5319-4087
    ที่มา ข่าวสด ออนไลน์
     
  10. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    คุณ sithiphong ทำงานเลิกดึกนะครับ แล้วสถานที่ใหม่ ใกล้หรือไกลกว่าเดิม อะครับ
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  12. Lee_bangkok

    Lee_bangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +4,741
    ดีครับทุกท่านยามบ่าย เหมือนง่วงนอน หลังจากเครียดมาหลายวัน
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 7 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 6 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong</td></tr></tbody></table>
    อ่า วันนี้ถึงบ้านแล้วครับ ทานอาหารเย็นมาเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

    เมื่อยมากจริงๆ เดินเกือบทั้งวัน เก็บเอกสารต่างๆให้เรียบร้อย ขึ้นชั้นสอง ลงชั้นล่าง สเปรย์ของคุณPinkcivil เอาไม่อยู่ครับ หลังอาบน้ำแล้วว่าจะฉีดอีกรอบ

    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรียน ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้าทุกๆท่าน
    ท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้าทุกๆท่าน
    และพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ของผมทุกๆท่าน

    เมื่อสักพักพี่แอ๊วโทร.มาหาผม มาเล่าให้ฟังว่า ในวันงานวิสาขบูชาที่ผ่านมา ได้มีคณะครูพานักเรียนไปปฎิบัติธรรม ปรากฎว่า นักเรียนที่ไปปฎิบัติธรรม เกิดความประทับใจ และทางโรงเรียนมีการจัดการเขียนเรียงความ

    พี่แอ๊วจะส่งเรียงความมาให้ผม ผมจะส่งต่อให้ทุกๆท่าน

    อยากจะให้ทุกๆท่าน ลงคะแนนความประทับใจในเรียงความ แล้วผมจะขอเงิน ลุงๆ ป้าๆ ให้รางวัลในความประทับใจในเรียงความ จะได้เป็นเงินช่วยเหลือค่าครองชีพของนักเรียนครับ

    ทั้งคณะครูและนักเรียน ขอบคุณและร่วมโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่ได้มีส่วนในการสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งด้วยครับ

    ไว้พี่แอ๊ว ส่งเรียงความเข้ามาหาผม ผมจะส่งต่้อให้ทุกๆท่านครับ

    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 4 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong</td></tr></tbody></table>

    สวัสดีตอนเช้า วันเสาร์สุขสันต์ครับ






    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ดร.สุเมธ ห่วงนโยบายขายฝัน คนไทยรวยกระจุก จนกระจาย


    [​IMG]

    [​IMG]




    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม



    ดร.สุเมธ ชี้เศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่เรื่องยาก แต่นักวิชาการทำให้ยาก แนะผู้บริหาร อย่ามุ่งสร้างแต่เศรษฐกิจแบบ รวยกระจุก จนกระจาย จนลืมสร้างค่านิยมดี ๆ ปลูกฝังความพอเพียงให้กับประชาชน

    วานนี้ (7 กรกฎาคม) ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ได้กล่าวบรรยายพิเศษ ในงานสัมมนาทางวิชาการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หัวข้อ"เศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจพอเพียง"ว่า ตั้งแต่ ประเทศไทยใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1-7 พบว่า ระบบเศรษฐกิจไทยนั้น ได้มุ่งเน้นแต่สร้างความร่ำรวยเพียงอย่างเดียว ใช้เงินทองเป็นตัวชี้วัดทุก ๆ อย่าง อีกทั้งยังมุ่งสู่อุตสาหกรรม เพราะอยากให้ไทยเป็นประเทศอุตสาหกรรม โดยไม่คิดเรื่องบริหารบ้านเมืองเลย จนทำให้ประเทศไทยประสบปัญหาทางสัมคม ไม่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน ความรวยกระจุก ความจนกระจาย


    ดร.สุเมธ กล่าวต่อว่า พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสรับสั่งเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจพอ เพียง ว่า เป็นเรื่องเข้าใจง่ายแต่นักวิชาการนำไปทำเป็นเรื่องยาก นอกจากนี้พระองค์ยังทรงเตือนนักเรียนนอกที่ชอบใช้ภาษาไทยคำ-อังกฤษคำ ว่า ควรพูดภาษาไทยให้ถูกต้อง ชัดเจน ถ้าหากพูดไทยคำ-อังกฤษคำ อาจจะสื่อความไม่ตรง และผู้ฟังอาจจะไม่เข้าใจ

    [​IMG]


    นอกจากนี้ ดร.สุเมธ ยังกล่าวอีกว่า จากการโหมพัฒนาประเทศอย่างเกินกำลังของผู้บริหารประเทศ ทำให้มองข้ามปัญหาทางด้านทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่ง ในขณะนี้กำลังหร่อยหรอลงไป แม่น้ำลำคลองเน่าเสีย ป่าไม้ถูกทำลาย ทั้ง ๆ ที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรักษาตลอดระยะเวลา 60 ปี เพื่อให้สิ่งเหล่านี้คงอยู่กับคนไทยได้นาน ๆ


    เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา กล่าวต่อไปว่า ศรษฐกิจของประเทศไทยตอนนี้เปรียบเหมือนการสร้างบ้านโดยไม่ได้ลงเสาเข็มทั้ง 4 ต้น คือ เสาที่ 1 เงิน ที่ยืมเข้ามา เสาที่ 2 เทคโนโลยี ที่ประเทศของเราไม่มีการคิดค้นขึ้นมาเอง เสาที่ 3 คน เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าคนไม่แข็งแรงทุกอย่างก็จะหมดความหมาย และ เสาที่ 4 ทรัพยากร ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ประเทศไทยมี กับค่าแรงในระดับล่างที่กำลังจะได้รับเงิน 300 บาท


    [​IMG]




    พร้อมกันนี้ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ช่วงตลอดเวลาที่หาเสียง ตนเหมือนอยู่ในความฝัน ป้ายหาเสียงทุกป้ายสร้างฝันให้ตนเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น อายุ 20 สามารถเบิกเงินได้ 1 ล้าน ใครอยากได้บ้านหลังแรก รถคันแรกก็จะมีกุญแจให้ 2 ดอก หลอกล่อให้ตนอยากมีอยากได้ ซึ่งนโยบายต่าง ๆ ส่งผลให้เศรษฐกิจก้าวหน้า แต่ในทางกลับกันก็จะเกิดความสูญเสียทางด้านสังคม คนไทยทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะในเมืองหรือชนบท ต่างก็เกิดความอยากได้อยากมี เพราะนโยบายที่ล่อตาล่อใจ ทำให้กลายเป็นคนไม่รู้จักพอ สร้างนิสัยที่ไม่ดีให้แก่ประชาชน ทั้งนี้ตนจึงอยากให้ทุกคนยึดหลัก เศรษฐกิจพอเพียงทั้ง 3 ข้อคือ พอประมาณ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกันในตัว ซึ่งหมายถึง เวลาทำอะไรควรทำให้พอดี พอประมาณ ดูตัวเองว่ามีเท่าไร ทำได้แค่ไหน แล้วก็อย่าทำเกินตัว


    อ่านเพิ่มเติมจากคมชัดลึก

    -http://www.komchadluek.net/detail/20110707/102494/%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%A3.%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%84%E0%B8%B3.html-













    -http://hilight.kapook.com/view/60584-

    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ลุงมนต์ชัย ผู้สืบค้นความจริง พลิกประวัติศาสตร์สุโขทัย



    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก นิตยสาร ค ฅน



    เพราะความที่อยากรู้อยากเห็น และสนใจประวัติศาสตร์ ทำให้เด็กชายคนหนึ่งเริ่มสืบค้นหาความรู้จากหินเก่า ๆ นำไปสู่การค้นพบหลักศิลาจารึก และสืบทราบความจริงที่ไม่น่าเชื่อหลายประการ


    คุณ ลุงมนต์ชัย เทวัญวโรปกรณ์ ชายวัยหกสิบแปดปีชาวสุโขทัย ได้กลายเป็นนักประวัติศาสตร์เต็มตัว หลังจากที่เขาเริ่มศึกษาหลักศิลาจารึกหลักที่ 1 และตัดสินใจเดินทางตามหาแท่งหินที่บันทึกประวัติศาสตร์อีกจำนวนมาก ที่เสาะหากันมานานนับร้อยปีแต่ยังไม่มีใครค้นเจอ


    ความสนใจใคร่รู้นำพาให้คุณลุงเริ่มค้นหาข้อมูลและเข้าไปสอบถามคนในพื้นที่ตามข้อมูลที่สืบเสาะมาได้ จนทราบว่า ถ้ำเจ้าราม อาจจะมีสิ่งที่แกค้นหาอยู่ภายใน และในที่สุด แกก็ได้เจอหลักศิลาจารึกอีกแผ่น ณ ถ้ำเจ้ารามนั่นเอง แม้จะเป็นหลักศิลาที่แตกหักไปบางส่วน แต่ก็ทำให้ล่วงรู้เรื่องราวในมิติอื่น ๆ เพิ่มขึ้น


    ความพยายามของคุณลุงที่ตั้งใจจะหาศิลาจารึกส่วนที่เหลือจากแท่งหินที่พบยัง คงดำเนินต่อไป แต่ทว่าไม่นานนัก การออกตามหาศิลาจารึกส่วนที่เหลือก็ต้องยุติลง เพราะเป็นเรื่องยากที่จะค้นหาสิ่งที่มีอยู่เมื่อเจ็ดร้อยปีก่อน และไม่ทราบด้วยว่า ชิ้นส่วนที่กำลังค้นหาอยู่นี้แตกหัก หรือหลงเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด แต่เพียงชิ้นเดียวที่คุณลุงค้นพบ ก็ทำให้คุณลุงโด่งดังขึ้นมาในชั่วข้ามคืน ในฐานะผู้ค้นพบหลักศิลาจารึกกรุงสุโขทัย




    [​IMG]


    คุณลุงมนต์ชัย ย้อนเล่าให้ฟังว่า เขาสนใจประวัติศาสตร์ชาติไทยมาตั้งแต่เด็กแล้ว ซึ่งอาจเป็นเพราะได้รับอานิสงส์จากคุณพ่อซึ่งเป็นนักสะสมหนังสือภาพถ่าย และประวัติศาสตร์เมืองเก่า ที่ตระเวนไปตามเมืองโบราณต่าง ๆ เขาจึงซึมซับสิ่งเหล่านี้ไว้ด้วย จากนั้น คุณลุงก็เริ่มศึกษาวิธีการอ่านหลักศิลาจารึก โดยมีนักประวัติศาสตร์รุ่นเก่า ๆ ให้คำแนะนำ กระทั่งเขาสามารถอ่านได้ชำนาญ และสามารถตีความได้ ต่อมาเขาก็ไล่อ่านศิลาจารึกที่ค้นพบมาแล้วทั้งหมดครบถ้วน นั่นจึงเป็นที่มาให้คุณลุงเริ่มค้นหาศิลาจารึกที่ยังหาไม่พบต่อไป


    "เรา ต้องหาอ่านหลักศิลาจารึกให้ได้มากที่สุดแล้วเอามาโยงกัน เอาเนื้อความที่กว้าง ๆ ทำให้มันแคบ คิดว่าถ้าเราได้อ่านศิลาจารึกมามากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพื่อที่จะเอามาพิจารณากับหลักต่าง ๆ ว่าข้อมูลอันไหนขัดแย้งกันบ้าง หรือบางทีมีข้อมูลใหม่ ๆ มาให้เราได้รู้ พอเราศึกษามากเข้า เอาแล้วเว้ย! ข้อมูลไม่เหมือนกับที่เรียนมาในตำรา แม้กระทั่งชื่อของกษัตริย์ก็ไม่ตรง พอเรารู้อีกว่า แท้จริงแล้วราชวงศ์พระร่วงมาจากไหนกันแน่ ก็ยิ่งสนุกในการสืบค้น และก็ทำมาเรื่อย ๆ" คุณลุงบอก




    [​IMG]


    ด้วยความที่สามารถอ่านศิลาจารึกได้เอง และการศึกษาที่เพิ่มพูนขึ้น ได้ทำให้คุณลุงพบว่า หลายสิ่งไม่ตรงกับประวัติศาสตร์ที่เราเรียนกันในห้องเรียน แสดงถึงว่ามีความผิดเพี้ยนทางประวัติศาสตร์เกิดขึ้น แต่การพบความผิดเพี้ยนนั้น มิใช่การนึกอ้างเอาเองว่าผิด แต่จะต้องอ้างอิงได้ว่า มาจากศิลาจารึกหลักใด ด้านไหน ที่กล่าวถึงเรื่องราวเหล่านี้ เพราะหลักศิลาจารึกคือการบันทึกตรง เป็นหลักฐานที่ซื่อสัตย์ต่อความจริง


    อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคุณลุงมนต์ชัยจะเป็นผู้ชำนาญด้านประวัติศาสตร์ แต่เขาก็ยังเรียกตัวเองว่า "นักประวัติศาสตร์ปลายแถว" เพราะคุณลุงจบเพียงชั้น ม.6 และเพียงแค่เป็นผู้สนใจใคร่รู้ความเป็นมาเป็นไปของประวัติศาสตร์ไทย จนดั้นด้นศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองได้สำเร็จ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ก็ยังมีอาจารย์ประสาร บุญประคอง ผู้เชี่ยวชาญด้านการอ่านจารึกโบราณ คอยให้คำแนะนำ ก่อนที่ท่านจะเสียได้ไม่กี่ปี


    "ท่านย้ำว่า ขอฝากประวัติศาสตร์สุโขไทไว้ที่คุณด้วย ไอ้ผมเองนั้น ตอบไปว่า โธ่! อาจารย์ครับทำไมไม่เอาลูกศิษย์ของอาจารย์มาทำเล่าครับ มีตั้งเยอะเก่ง ๆ ทั้งนั้น ไอ้ผมเอง จนก็จน งานนี้มันเป็นงานใช้เงิน" คุณลุงมนต์ชัย เล่าถึงสิ่งที่อาจารย์ประสารฝากฝังไว้ก่อนเสีย


    "ไม่...มัน ไม่เอาเหมือนคุณ ผมดูคุณตั้งแต่วันแรกเห็นคุณดูจารึกไม่ถอยเลย ดูได้ทั้งวัน แล้วรุ่งขึ้นก็มาอีก มาได้เป็นเดือน ๆ ปกติอย่างเก่งเขาดูกันไม่ถึงชั่วโมงก็เบื่อแล้ว ก็เห็นมีแต่คุณคนเดียวในชีวิตนี่แหละ ที่ทำแบบนี้" นี่คือคำตอบของนักประวัติศาสตร์รุ่นปู่ก่อนจากไป




    [​IMG]


    หลังจากนั้น คุณลุงในวัยสามสิบกว่า ๆ ก็เริ่มลงมือค้นหา สืบเสาะ ศึกษา เพื่อพลิกประวัติศาสตร์สุโขไทตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา ตั้งแต่วัยหนุ่มจนกระทั่ง 15 ปีผ่านไป หนังสือ "พลิกประวัติศาสตร์สุโขไท" หนังสือเล่มหนาที่ท้าทายวงการประวัติศาสตร์ของคุณลุงก็ได้รับการตีพิมพ์เป็นรูปเล่ม


    "อาจารย์เน้นย้ำกับผมว่า ประวัติศาสตร์สุโขไทมันออกนอกลู่นอกทางไปแล้ว คนเขียนเขียนกันแบบไม่รู้จริง หรือบางทีก็ตีความผิด ฉะนั้น ตัวเราเองเป็นคนสุโขไท หลับตาแล้วรู้เลยว่าวัดนั้นอยู่ทิศไหน จะตามหาหลักศิลาจารึกได้จากไหน เราต้องทำให้ได้"


    ต้องบอกว่า งานจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้เป็นเสมือนการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตของคุณลุง เพราะทำให้คุณลุงต้องลาออกจากงานราชการ เพื่อจะได้เงินบำเหน็จมาเป็นทุนพิมพ์หนังสือ จนเมื่อพิมพ์ออกมาเป็นรูปเล่มเสร็จสิ้น เงินทองของคุณลุงก็แทบไม่เหลือ แต่คุณลุงก็ยังมีความสุข เพราะมีคนส่งจดหมายมาให้กำลังใจคุณลุงมากมาย แต่อีกด้านหนึ่งคุณลุงถึงกับยิ้มไม่ออก เมื่อมีคนมาลอกเลียนผลงานของแกไป


    "เรา ก็เสียใจที่ทำหนังสือออกไปแล้ว คนส่วนใหญ่ไม่เห็นค่า ที่เจ็บปวดไม่ใช่เพราะว่าเราทิ้งทุกอย่างเพื่อมาทำเรื่องนี้ จนทำให้ครอบครัวไม่มีความสบาย แต่เป็นเพราะมีคนอ้างว่าเราไม่น่าเชื่อถือ แล้วกลับทำเหมือนหัวขโมย เอางานของเราไปค้นคว้ามาเขียนใหม่ แล้วยกอ้างเป็นของตัวเอง..." คุณลุง ตัดพ้อ


    นอกจากนั้นแล้ว ยังมีเรื่องที่น่าเศร้าเกิดขึ้น เมื่อ "นัท" ลูกชายคนโตของคุณลุงได้เข้ามาช่วยเหลือพ่อจัดทำหนังสือ ค้นคว้า ตรวจแก้ จนกระทั่งหนังสือสำเร็จเป็นรูปเล่มอย่างสมบูรณ์ และ "นัท" เตรียมจะเดินทางไปทำงานต่อที่สวิตเซอร์แลนด์ แต่ทว่า สุดท้ายเขากลับป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว และจากครอบครัวไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาคุณลุงและภรรยาเศร้าใจไม่น้อย




    [​IMG]


    แต่อย่างไรก็ตาม หนังสือ "พลิกประวัติศาสตร์สุโขไท" กลับกลายเป็นหนังสือที่ขายดิบขายดี และทำให้คุณลุงดีใจมากถึงกับบอกว่า ดีใจที่ชาตินี้จะได้นอนตายตาหลับเสียที เพราะคนจะเข้าใจเรื่องราวความเป็นมาของกรุงสุโขทัยมากขึ้น คุณลุง ย้ำว่า การศึกษาประวัติศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญ เพราะผลของมันจะส่งไปถึงเยาวชนที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาในวันข้างหน้า ถ้าหากรับรู้ในสิ่งผิด ๆ คนรุ่นหลังก็ต้องเรียนรู้สิ่งผิด ๆ ต่อไปอีกเรื่อย ๆ


    งานยากในการพลิกความจริงของประวัติศาสตร์ไม่ใช่การอ่านจารึก แต่เป็นการตีความหมาย เพราะหากวรรคตอนผิด ความหมายก็จะผิดเพี้ยนไปทันที เนื่องจากคำศัพท์บางคำก็มีความหมายที่ต่างออกไปในภาษาอื่น ๆ ด้วย และคำบางคำต้องเอาความรู้มาเชื่อมโยงกันด้วย




    [​IMG]


    "มี จารึกอยู่หลักหนึ่ง จารึกนี้บันทึกถึงเหตุการณ์ตอนพญาลิไทออกผนวช เขียนเป็นตัวสือไทว่า มหาสวามี สังฆราช สุ กลุ.มาสั่งสอนพระมหาธรรมราชา ไม่มีใครตีความออกเลยว่า คำว่า สุ กลุ. คือใคร พอเราเห็นก็ตีว่า มหาสวามีสังฆราช สุ กลุ. เอาตัว ก มาติดตัว ส ได้เป็นชื่อว่า สุก และเหลือตัว ลุ มันก็คือคำว่า ลุง นั่นเอง ก็กลายเป็น ลุงสุก อันนี้ผมตีความเป็นคนแรกเลย ทำให้ได้ความว่า มหาสวามีสังฆราชองค์นี้ เดิมชื่อ สุก แล้วไปตรงกับหลักศิลาจารึกหลักหนึ่งที่บันทึกถึง ลุงสุก ความว่าเป็นคนสุโขทัย พอแกบวชเป็นพระ จากชื่อสุก ก็เปลี่ยนเป็น สังฆราช สุ กลุ" ลุงมนต์ชัยนำเอาความเชื่อมโยงของแต่ละหลักมาตีความให้ฟัง


    นอกจากนี้ ยังเคยมีคนตีความคำว่า "สะร่วง" แปลว่า สระหลวง หมายถึงสระน้ำ ทั้งที่ความจริงคำว่า "สะร่วง" แปลว่า สวรรค์ หรือชั้นฟ้า ส่วนคำว่า สระน้ำ ในสมัยสุโขทัยเรียกว่า "ตระพัง" ซึ่งข้อผิดพลาดที่เกิดจากการตีความผิด ทำให้ประวัติศาสตร์สุโขทัยผิดเพี้ยนไปหลายตอน


    แต่นับว่าเป็นนิมิตหมายอันดีที่ปัจจุบันนี้ ประวัติศาสตร์สุโขทัยในหลายช่วงตอนได้ถูกนำขึ้นมาพินิจตีความกันใหม่ และก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับที่คุณลุงมนต์ชัยเคยเสนอเอาไว้ อย่างไรก็ตาม จวบจนวันนี้ ชายชราผู้หลงใหลในจารึก ก็ยังคงเดินหน้าออกตามหาจารึกหลักใหม่ต่อไป แม้ว่าวันนี้สังขารจะร่วงโรยลงไปมากแล้ว แต่ไม่มีวันใดที่แกจะหมดไฟ และยุติการเดินตามเส้นทางที่แกปรารถนาไปอย่างแน่นอน



    9 ข้อที่คุณลุงอยากให้คุณรู้ เกี่ยวกับสุโขไท


    1.พ่อ ขุนศรีอินทราทิตย์ไม่ใช่ผู้สร้างกรุงสุโขทัย แต่เป็นพระเจ้าจันทรราชา กษัตริย์ในสมัยสุโขทัย 1 เป็นผู้สร้างรวมถึงศรีสัชนาลัยด้วย มีบันทึกไว้ในจารึกหลักที่ 2 หรือที่เรียกว่า จารึกวัดศรีชุม


    2.ชื่อเดิมของสุโขทัยตามที่พระเจ้าจันทรราชาทรงตั้งชื่อเมือง เขียนว่า "สุโขไท" จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.5 การเขียนแบบเดิมจึงเลิกไป กลายเป็น "สุโขทัย" ที่แปลว่า รุ่งอรุณแห่งความสุข


    3.สอง พระนามสุดท้ายที่พบในจารึกของราชวงศ์พระเจ้าจันทรราชาก่อนสิ้นยุคสมัย สุโขทัย 1 หรือ พระร่วง 1 คือ หนึ่ง พระญามหาธรรมราชผู้เป็นบิดา และสองคือ พระญาศรีนาวนำถม (ถุม) ผู้เป็นลูก ทำให้รู้ว่า พระญาศรีนาวนำถมเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายในยุคสมัยสุโขทัย 1 พบในหลักศิลาจารึกที่ 2


    4.หลังจากพ่อขุนศรีนาวนำถมเสียเมืองสุโขทัยให้กับขอมสมาดโขลญลำพง ภายหลังจากนั้น 5 ปี พ่อขุนบางกลางหาว บุตรของพระญาศรีนาวนำถม ซึ่งขณะนั้นครองศรีสัชนาลัย และพระสหาย คือ พ่อขุนบานเมือง รวมกันยกทัพไปกู้สุโขทัยคืนได้ในปี พ.ศ.1798


    5.หลัง จากกู้เอกราชคืนจากขอมสมาดโขลญลำพงได้ พ่อขุนบางกลางหาวจึงยกให้พ่อขุนบานเมืองเป็นเจ้าของนครสุโขทัย พร้อมทั้งเฉลิมพระนามใหม่ว่า ศรีอินทราทิตย์ จากนั้นมาราชวงศ์สุโขทัย 2 หรือ พระร่วง 2 จึงเริ่มขึ้น อ้างอิงจากศิลาจารึกหลักที่ 2 ตอนกู้สุโขทัย


    6.จากการศึกษาหลักศิลาจารึกหลักที่ 1 และ 2 อย่างละเอียด เพื่อหาความเชื่อมโยง พบว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราชมีตัวตนอยู่จริง มิได้ถูกรัชกาลที่ 4 แต่งศิลาจารึกขึ้นมาอย่างที่มีคนตั้งข้อสงสัยแต่อย่างใด


    7.ในหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมีนามอีกหลายนาม ทำให้ผู้อ่านศิลาสับสน คือ พระรามคำแหง พ่อขุนพระรามคำแหง พระญารามราช พระญาร่วง


    8.เมื่อเริ่มแรกยุครัตนโกสินทร์ศก นามเดิมของรัชกาลที่ 1-3 ใช้พระนามเดียวกันว่า สมเด็จพระบรมราชธิราชรามาธบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิราชาธิบดินทร ธรณินทราธิราชรัตนากาศภาศกรวงษองค์ปรมาธิเบศร ตรีภูวเนตรนาถนายก ดิลกรัตนราชชาติอาชาวไศรย สมุทัยคโรมนต์ สกลจักรวาฬธิเบนทร์ สุริเยนทราธิบดินทร หริหรินทราชาดาธิบดี ศรีสุวิบุลยคุณอัขณิฐ ฤทธิราเมศวรมหันต บรมธรรมิกราชาธิราช เดโชไชยพรหมเทพาดิเทพนฤบดินทร ภูมินทรปรมาธิเบศรไลกเชฐวิสุทธรัตนมงกุฏ ประเทศคตามหาพุทธางกูรบรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว


    9.เมื่อมาถึงรัชกาลที่ 4 ทรงครองราชย์ จึงทรงรับสั่งให้เปลี่ยนชื่อนามของแต่ละพระองค์ขึ้นมาใหม่ เพื่อง่ายแก่การจดจำ



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    นิตยสาร ค ฅน ปีที่ 6 ฉบับที่ 8 (68) มิถุนายน พ.ศ.2554


    -http://hilight.kapook.com/view/60596-










    .






     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    'สังฆราช'ประทานโอวาทอาสาฬหบูชา



    [​IMG]


    • 1


    • [​IMG]

    'สังฆราช'ประทานโอวาทอาสาฬหบูชา

    'สังฆราช' ประทานโอวาท อาสาฬหบูชา ให้คนไทยยึดมั่นพระรัตนตรัย ทุกสิ่งเกิดขึ้นย่อมมีดับไป ทูลกระหม่อมหญิงฯเสด็จหล่อเทียนจำนำพรรษา พุทธมณฑล 11 ก.ค.นี้

    วันที่ 9 ก.ค.54 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหา สังฆปริณายก ประทานพระโอวาทวันอาสาฬหบูชา พ.ศ. 2554 ใจความว่า วันอาสาฬหบูชาเป็นวันบูชาที่สำคัญที่สุดวันหนึ่งในพระพุทธศาสนา ตรงกับวันพระจันทร์เต็มดวง ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 คือ เดือนอาสาฬหะ เป็นวันที่เจ้าชายสิทธัตถะ หลังจากได้ทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ได้ทรงเป็นสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วได้ 2 เดือน ได้ทรงแสดงปฐมเทศนา ทรงประกาศพระธรรมที่ทรงตรัสรู้เป็นครั้งแรกโปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้กรุงพาราณสี ท่านโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม รู้ว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับไปเป็นธรรมดา”

    โดยสมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปล่งพระพุทธวาจาให้เป็นที่ประจักษ์ ว่า อัญญาโกณทัญญะ คือ โกณทัญญะได้รู้แล้วหนอ วันนั้นจึงเป็นวันที่พระรัตนตรัยเกิดครบองค์ 3 คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์แรกที่เกิดขึ้น คือ ท่านโกณฑัญญะ ด้วยพระบารมีพระรัตนตรัย จงมั่นใจและจงปฏิบัติเทิดทูนบูชาพระรัตนตรัยให้เต็มจิตใจทุกเวลา ขออำนวยพร
    นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กล่าวว่า เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา ประจำปี 2554 พศ.ได้จัดกิจกรรมทั่วประเทศให้พุทธศาสนิกชนได้ทำบุญรักษาศีล โดยกำหนดจัดงานตั้งแต่บัดนี้ จนถึง 16 ก.ค. ที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม ซึ่งในวันที่ 11 ก.ค. เวลา 18.00 ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จทรง เป็นองค์ประธานในพิธีหล่อเทียนจำนำพรรษา
    ส่วนวันที่ 15 ก.ค. ตรงกับวันอาสาฬหบูชา ภาคเช้า เวลา 07.30 น. ตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 984 รูป เวลา 10.00 น. ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงพระกรุณาโปรดให้ตนเป็นผู้แทนพระองค์มอบเกียรติบัตร ในโครงการ “หนึ่งใจ...ให้ธรรมะ”ภาคบ่าย เวลา 16.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ นายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ ในพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล เนื่องในวันอาสาฬหบูชา เวลา 17.30 น. ในวันที่ 16 ก.ค. ซึ่งตรงกับวันเข้าพรรษา เวลา 15.39 น. พิธีจุดเทียนพรรษาบูชาพระศรีศากยะ ทศพลญาณประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์ เนื่องในเทศกาลวันเข้าพรรษา ประจำปี 2554
    นายนพรัตน์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับกิจกรรมอื่นๆภายในพุทธมณฑลจะมีทั้งการหล่อเทียนพรรษา การแห่เทียนพรรษา การเข้าค่ายปฏิบัติธรรมของกลุ่มโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา นมัสการพระพุทธรูปแกะสลักจากไม้ตะเคียน การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูตศรีลังกา พิธีเวียนเทียน การถวายสังฆทาน การแสดงพระธรรมเทศนา การสนทนาธรรม การแสดงทางวัฒนธรรม การปฏิบัติธรรม ของพระสงฆ์และฆราวาส การตักบาตร
    สำหรับในส่วนภูมิภาคให้วัดทุกวัด ทุกจังหวัดทั่วราชอาณาจักร จัดกิจกรรม การตักบาตร การเวียนเทียน การปฏิบัติธรรม การฟังพระธรรม และเชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมกิจกรรม เนื่องในงานสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในวันอาสาฬหบูชา
    ด้านนายสด แดงเอียด อธิบดีกรมการศาสนา(ศน.) กล่าวว่า ในวันที่ 11 ก.ค.เวลา 10.00 น. ศน.จะแถลงข่าวถึงการจัดกินกรรมสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในวัน อาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษาที่วัดสระเกศราชชวรมหาวิหาร ซึ่งจะมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ หล่อเทียนพรรษาถวาย 9 พระอารามหลวง กิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมเด็กและเยาวชน




    .


    -http://www.komchadluek.net/detail/20110709/102630/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AC%E0%B8%AB%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%8A%E0%B8%B2.html-

    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    สังเค็ด-สังฆทาน-

    "อิมานิ มะยัง ภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ อิมานิ ภัตตานิ สะปะริวารานิ ปะฏิค คัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ"

    "ข้าแต่พระภิกษุสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายซึ่งภัตตาหาร พร้อมทั้งของบริวารเหล่านี้ แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ ซึ่งภัตตาหาร พร้อมทั้งของบริวารเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนาน เทอญ"

    ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นคำกล่าวถวายสังฆทานที่ใช้กันบ่อยมากที่สุด ทั้งนี้ พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต) เจ้าอาวาสวัดราชโอสาราม ได้อธิบายความหมายของคำว่า สังเค็ด ไว้ว่า เป็นทานวัตถุที่จัดถวายพระสงฆ์ในงานปลงศพ เรียกว่า เครื่องสังเค็ด ก็มี

    สังเค็ด เป็นชื่อเรียกสิ่งของที่จัดทำเป็นพิเศษสำหรับถวายพระสงฆ์ในงานเผาศพโดยเฉพาะ ส่วนใหญ่จะเป็นของใช้ที่หนัก หรือครุภัณฑ์ แข็งแรงทนทาน คล้ายเป็ของที่ระลึกในงานศพนั้นๆ เช่น ตู้หนังสือ โต๊ะเขียนหนังสือ ตั่ง เตียง โต๊ะหมู่ ธรรมาสน์เล็ก เป็นต้น

    สังเค็ด นิยมจัดถวายในงานเผาศพ หรืองานออกเมรุเจ้านาย และพระเถระผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือมาก และจัดถวายเฉพาะแก่พระผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือมาก และจัดถวายเฉพาะแก่พระผู้ใหญ่ที่อาราธนามาเทศน์บ้าง พิจารณาผ้ามหายังสุกุลบนเมรุบ้าง

    สังเค็ด นัยว่าเดิมเขียนเป็น สังเฆ็ต หมายถึง ของที่ถึงแก่สงฆ์หรือเป็นไปในสงฆ์

    ส่วนคำว่า “สังฆทาน” เจ้าคุณทองดีได้ยกคำพูดที่ว่า “วันนี้ฉันไปถวายสังฆทานที่สัดมา ขอแบ่งบุญให้เธอด้วย”

    สังฆทาน ที่ยกมาพูดนั้น หมายถึง ทานที่ตั้งใจถวายแก่พระสงฆ์ หรือ ผู้แทนของสงฆ์ ไม่เฉพาะเจาะจงรูปใดรูปหนึ่ง หากถวายโดยเจาะจง เรียกว่า บุคลิกทาน

    สังฆทาน ที่ว่ามีอานิสงส์มากกว่าบุคลิกทาน เพราะผู้ถวายมีจิตใจกว้างขวาง ไม่คับแคบ ไม่เจาะจงว่าเป็นภิกษุรูปใด เป็นการแสดงถึงความตั้งใจจะถวายด้วยศรัทธาอันเป็นสาธารณะ

    การทำบุญในเลี้ยงพระในงานต่างๆ การไปทำบุญตักบาตรที่วัด การใส่บาตรพระที่เดินบิณฑบาตหากไม่เจาะจงพระ นับว่าเป็นสังฆทานทั้งสิ้น

    ในขณะคำว่า “บุคลิกทาน”(บุก-คะ-ลิก-กะ-ทาน) เรียกเต็มว่า ปาฏิบุคลิกทานเรียกสั้นๆ ว่า “บุคลิก” ก็มี แปลว่า ทานเฉพาะบุคคล ทานที่ถวายจำเพาะเจาะจงผู้รับ ได้แก่ทาน ที่ผู้ถวายมุ่งถวายภิกษุรูปหนึ่งรูปใดโดยเฉพาะ

    คำว่า “บุคลิก” ถูกนำมาใช้กับคำอื่นที่มีความหมายเฉพาะตัว หรือเฉพาะคน เช่น บุคลิกภาพ แปลว่า สภาพนิสัยเฉพาะคน บุคลิกลักษณะ แปลว่า ลักษณะจำเพาะตัวและคน
    <ins style="width: 300px; height: 250px; display: inline-table; position: relative; border: 0pt none;"><ins style="width: 300px; height: 250px; display: block; position: relative; border: 0pt none;"></ins></ins>

    "พระธรรมกิตติวงศ์ "






    .

    -http://www.komchadluek.net/detail/20110707/102364/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99.html-

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...