พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ประวัติพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยา

    ราชวงศ์ปราสาททอง

    ๒๕.สมเด็จเจ้าฟ้าปราสาททอง
    ทรงเป็นผู้สถาปนาราชวงศ์ปราสาททองอันเป็นราชวงศ์ที่๕ ของอยุธยา ทรงเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพระเจ้า ทรงธรรม รับราชการมหาดเล็กของพระเอกทศรถ และเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นในกรมวังเป็นเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ต่อมาได้ยึดอำนาจจาก พระอาทิตยวงศ์และสถาปนาตนเอง ขึ้นเป็นกษัตริย์เมื่อพระชนมายุ๓๐ พรรษา พระองค์ครองราชย์อยู่ ๒๗ ปี (พ.ศ.๒๑๗๒-๒๑๙๙)

    ๒๗.เจ้าฟ้าไชย
    ทรงเป็นโอรสของสมเด็จเจ้าฟ้าปราสาททอง ครองราชย์ได้เพียง ๒ วัน (๗-๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๑๙๙) ถูกพระนารายณ์ (พระอนุชา) ร่วมกับพระศรีสุธรรรมราชาทำการยึดอำนาจและประหารชีวิต

    ๒๗.พระศรีสุธรรมราชา

    ทรงเป็นอนุชาของสมเด็จเจ้าฟ้าปราสาททองและเป็นพระเจ้าอาของเจ้าฟ้าไชย อยู่ในราชสมบัติได้เพียง ๒ เดือน ๑๘ วันพระนารายณ์ก็ชิงราชสมบัติและประหารพระศรีสุธรรมราชา

    ๒๘.สมเด็จพระนารายณ์มหาราช

    พระนารายณ์เป็นโอรสของพระเจ้าปราสาททอง เมื่อพระราชบิดาสวรรคตพระนารายณ์ทรงร่วมกับ พระเจ้าอา(พระศรีสุธรรมราชา)ชิงราชสมบัติจากพระเชษฐา(เจ้าฟ้าไชย)และต่อมาทรงยึดอำนาจจาก พระศรีสุธรรมราชาแล้วจึงสถาปนาพระองค์ "ปราบดาภิเษก"เป็น กษัตริย์อยุธยา ในสมัยพระนารายณ์ถือได้ว่ากรุงศรีอยุธยารุ่งเรืองถึงขีดสุดทรงติดต่อสัมพันธ์กับชาวต่างประเทศแต่ผลของการดำเนินนโยบาย ที่ล่อแหลมของพระองค์ และทรงหันไปนับถือ คริสต์ศาสนาทำให้บรรดาขุนนางไทยและพระสงฆ์เกิดความรู้สึก ต่อต้าน ชาวต่างชาติเมื่อพระองค์ทรงประชวร ได้แต่งตั้งให้พระเพทราชา รักษาราชการ โดยยังไม่ได้มอบราชสมบัติให้ใคร ไม่ว่าจะเป็นพระอนุชา โอรสบุญธรรมหรือพระธิดาของพระองค์หลังจากนั้นพระเพทราชาก็ยึดอำนาจ พระปีย์(โอรสบุญธรรม) ถูกลอบสังหารเมื่อพระนารายณ์สวรรคต ๑๑ กรกฎาคม ๒๒๓๑ พระเพทราชาก็ขึ้น ครองราชสมบัติและพระอนุชาของพระนารายณ์คือ เจ้าฟ้าอภัยเทศและเจ้าฟ้าน้อยถูกสำเร็จโทษจึงเป็นอันสิ้นสุด ของราชวงศ์ปราสาททอง

    ราชวงศ์บ้านพลูหลวง

    ๒๙.สมเด็จพระเพทราชา
    พระองค์เป็นกษัตริย์ต้นราชวงศ์บ้านพลูหลวงในจังหวัดสุพรรณบุรี พระมารดาทรงเป็นแม่นมของพระนารายณ์ ในช่วงปลายสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เมื่ออิทธิพลชาวผรั่งเศสมีมากขึ้นพระองค์ทรงเป็นศูนย์กลางของความรู้สึก ต่อต้านชาวฝรั่งเศสและคริสต์ศาสนาช่วงที่พระนารายณ์ทรงประชวร พระองค์ได้รับแต่งตั้งให้รักษาราชการแทน และได้ยึดอำนาจและเมื่อพระนารายณ์สวรรคต พระเพทราชาขึ้นครองราชสมบัติ พระองค์มีโอรสองค์หนึ่งคือขุนหลวงสรศักดิ์ (พระเจ้าเสือ) ซึ่งเป็นผู้ผลักดันให้พระองค์ ขึ้นมายึดอำนาจจากพระนารายณ์ นอกจากนี้พระเพทราชายังมีโอรสอีก 2 องค์ คือ เจ้าพระขวัญและตรัสน้อย เมื่อพระเพทราชาประชวร ปัญหาการสืบราชสมบัติก็เกิดขึ้นอีก

    ๓๐.สมเด็จพระเจ้าเสือ (ขุนหลวงสรศักดิ์)
    ทรงเป็นโอรสองค์หนึ่งของพระเพทราชาแต่กล่าวกันว่าพระองค์เป็นโอรสลับของพระนารายณ์อันเกิดจากพระสนมที่เป็นเจ้าหญิงจากเชียงใหม่ แต่เนื่องจากพระนารายณ์ทรงอับอาย กลัวดูถูกว่าต่ำต้อยที่มีโอรสกับเจ้าหญิงที่เป็นลาวจึงยกพระเจ้าเสือ ให้เป็นบุตรบุญธรรม ของพระเพทราชาในสมัยที่พระองค์รับราชการเป็น "หลวงสรศักดิ์" ในกรมช้างพระองค์มีส่วนสำคัญที่ผลักดันให้พระเพทราชายึดอำนาจและพระองค์ได้กำจัดพระอนุชาผู้มีสิทธิสืบราชสมบัติ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ทั้ง ๒พระองค์คือ เจ้าฟ้าอภัยเทศ เจ้าฟ้าน้อย รวมทั้งโอรสบุญธรรม พระปีย์เมื่อพระเพทราชาได้ราชสมบัติ และทรงประชวรพระเจ้าเสือก็ประหารพระเจ้าขวัญซึ่งเป็นอนุชาต่าง มารดาของพระองค์ทำให้พระเพทราชาไม่พอใจ จึงยกราชสมบัติให้พระราชนัดดาคือ เจ้าพระพิไชยสุรินทร์และเมื่อพระเพทราชา สวรรคต เจ้าพระพิไชยสุรินทร์ไม่กล้ารับราชสมบัติพระเจ้าเสือจึงได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แทน

    ๓๑.สมเด็จพระภูมินทราชา
    (พระเจ้าท้ายสระ)
    ทรงเป็นโอรสของพระเจ้าเสือพระองค์ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดาโดยปราศจากปัญหาการแย่งชิงราชสมบัติและทรงแต่งตั้งพระอนุชา (พระเจ้าบรมโกศ) เป็นอุปราชวังหน้าพระองค์ทรงโปรดปลาตะเพียนเป็นพิเศษถึงกับมีพระราชโองการห้ามราษฎร กินปลาตะเพียนพระองค์ครองราชย์เมื่อปี พ.ศ.๒๒๕๒-๒๒๗๕

    ๓๒.สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ
    พระองค์ทรงเป็นโอรสของพระเจ้าเสือ และเป็นอนุชาของพระเจ้าท้ายสระในสมัยของพระองค์ ถือว่าเป็นสมัยของอยุธยา ที่"บ้านเมืองดี"แต่เนื่องจากพระองค์ทรงมีพระสนมหลายองค์จึงเกิดปัญหาการแย่งชิงราชสมบัติในหมู่พระโอรส และธิดา เช่น"ฟ้าธรรมาธิเบศร์" หรือ เจ้าฟ้ากุ้งผู้ทรงเป็นกวีและนักปฎิสังขรณ์วัดวา อาราม ถูกข้อหา "ขบถ" เป็นชู้กับเจ้าฟ้าสังวาลพระสนมเอกของพระราชบิดา และถูกโบยจนสิ้นพระชนม์ นอกจากนี้มีพระโอรสอีกองค์คือกรมหมื่นเทพพิพิธ ที่ถูกข้อหา"ขบถ" ถูกเนรเทศไปอยู่เกาะลังกา ต่อมาในปี ๒๓๐๐พระเจ้าบรมโกศทรงประชวร และเมื่อสวรรคต(๑๓ เมษายน ๒๓๐๓)ก็เกิดการแย่งชิงอำนาจกันระหว่าง พระราชโอรส ๒ องค์ คือ พระเจ้าอุทุมพร (ขุนหลวงหาวัด) และพระเจ้าเอกทัศน์ (ขุนหลวงขี้เรื้อน)

    ๓๓.สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร (ขุนหลวงหาวัด)
    ทรงเป็นโอรสของพระเจ้าบรมโกศ เนื่องจากพระเจ้าบรมโกศทรงเห็นว่าพระเจ้าเอกทัศน์ (พระเชษฐา) เป็นผู้ "โฉดเขลา หาสติปัญญาและความเพียรไม่ได้.."จึงทรงบังคับให้ไปบวชแล้วมอบราชสมบัติให้แก่พระเจ้าอุทุมพร แทนแต่พระองค์ทรงครองราชย์ได้เพียง ๑ เดือน ระหว่างเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม พ.ศ.๒๓๐๓พระเจ้าเอกทัศน์ทรงกลับมาแล้วแสดงเจตจำนงให้เห็นว่าพระองค์ต้องการราชสมบัติเจ้าฟ้าอุทุมพรเลยถวาย ราชสมบัติให้ แล้วเสด็จออกผนวช ณวัดประดู่ทรงธรรม

    ๓๔.สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์
    (พระที่นั่งสุริยาอัมรินทร์หรือขุนหลวงขี้เรื้อน)
    พระเชษฐาของพระเจ้าอุทุมพรการขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าเอกทัศน์เป็นเหตุให้บรรดาขุนนางข้าราชการที่ดีมีความรักบ้านเมืองลาออกจากราชการไปบวชและย้ายไปอยู่ตามชนบทเป็นจำนวนมากราชสำนักจึงเต็มไปด้วยขุนนางที่อ่อนแอ ประจบสอพลอ และในที่สุดกรุงศรีอยุธยาก็อยู่ในสภาพที่เสื่อมโทรมและอ่อนแอ พระองค์ครองราชสมบัติอยู่ได้ ๙ ปีก็เสียกรุงให้แก่พม่า เป็นอันสิ้นสุดอาณาจักรอยุธยาซึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองมายาวนานถึง ๔๑๗ ปี

    -http://iam.hunsa.com/jiraroje/article/18564-


    ประวัติพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยา :: jiraroje @ Hunsa I-AM

    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <center>
    วรรณคดีสมัยกรุงศรีอยุธยา
    </center>
    รุงศรีอยุธยามีอายุยาวนานถึง ๔๑๗ ปี ช่วงเวลาที่บ้านเมืองรุ่งเรืองในด้านต่าง ๆ พอที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดวรรณคดีอยู่เฉพาะในสมัยกรุงศรีอยุธยาต้อนต้นบ้านเมืองเจริญก้าวหน้าทั้งในด้านการปกครอง การทหาร ศาสนาและศิลปกรรมในรัชกาลสมด็จพระบรมไตรโลกนาถและสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ทางวรรณคดีปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า แต่งมหาชาติคำหลวง เมื่อ พ.ศ.๒๐๒๕ตรงกับรัชกาลสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ส่วนลิลิตยวนพ่ายก็แต่งขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์พระองค์นี้จึงอาจแต่งในรัชกาลของพระองค์ หรือภายหลังเพียงเล็กน้อยคือ รัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ นอกจากนี้วรรณคดีสำคัญเรื่องอื่น ๆ เช่น ลิลิตพระลอ โคลงกำสรวล โคลงทวาทศ-มาศและโคลงหริภุญชัย

    เมื่อพิจารณาถึงลักษณะคำประพันธ์ และถ้อยคำที่ใช้ก็น่าเกิดสมัยร่วมหรือระยะเวลาใกลเคียงกับมหาชาติคำหลวงและลิลิตยวนพ่ายหลังจากรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ บ้านเมืองไม่สงบสุขเนื่องจากการทำสงครามกับข้าศึกภายนอกและแตกสามัคคีภายในเป็นเหตุให้วรรณคดีว่างเว้นไปเป็นเวลาประมาณหนึ่งศตวรรษ วรรณคดีเรื่องแรกที่ปรากฏหลักฐานหลังรัชกาลสมเด็จพระรามาธิปดีที่ ๒ คือ กาพย์มหาชาติ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมพระราชนิพนธ์
    ขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๑๗๐ ต่อจากนั้นประมาณ ๓๐ ปี บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองสามารถเป็นรากฐานให้เกิดวรรณคดีได้อีก

    ระยะเวลาหนึ่งในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

    ลักษณะวรรณคดีในสมัยอยุธยาตอนต้น วรรณคดีสำคัญในสมัยอยุธยาตอนต้นส่วนใหญ่มีเรื่องเกี่ยวกับศาสนาพิธีกรรมและพระมหากษัตริย์ จึงมีเนื้อเรื่องคล้ายวรรณคดีสุโขทัยส่วนลักษณะการแต่งต่างกับวรรณคดีสุโขทัยเป็นอย่างมากวรรณคดีในสมัยนี้แต่งด้วยร้อยกรองทั้งสิ้นคำประพันธ์ที่ใช้เกือบทุกชนิด คือ โคลง ร่าย กาพย์ และฉันท์ ขาดแต่กลอนส่วนใหญ่แต่งเป็นลิลิต คำบาลี่สันสกฤตและเขมรเข้ามาปะปนในคำไทยมากขึ้น

    วรรณคดีสำคัญได้แก่

    รัชกาลสมเด็จพระรามาธิปดีที่ ๑ ๑.ลิลิตโองการแข่งน้ำ
    รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ๒.ลิลิตยวนพ่าย ๓.มหาชาติคำหลวง
    วรรณคดีที่สันฐานว่าแต่งในสมัยอยุธยาตอนต้น ได้แก่ ๔.ลิลิตพระลอ ๕.โคลงกำสรวล ๖.โคลงทวาทศมาศ

    ------------------------------------------------------------------------------------------------

    ๑.ลิลิตโองการแข่งน้ำ ผู้แต่ง สมเด็จพระเจ้าบรมวงค์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่าอาจแต่งในสมัยสมเด็จพระรามาธิปดีที่๑ (อู่ทอง) ผู้แต่งคงจะเป็นผู้รู้พิธีพราหมณ์ และรู้วิธีประพันธ์ของไทยเป็นอย่างดี สมเด็จพระรามาธิปดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง)เป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุงอยุธยา สมเด็จฯกรมพระยาดำรวราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานส่าสมเด็จพระรามาธิปดีที่ ๑เป็นเชื้อสายของพระเจ้าสิริชัยเชียงแสนแห่งแคว้นสิริธรรมราช จึงเป็นต้นวงศ์เชียงราย เป็นราชบุตรเขยของพระเจ้าอู่ทอง เมื่อ พ.ศ.๑๘๘๗ ได้เป็นเจ้าเมืองอู่ทอง ซึ่งขณะนั้นขึ้นต่อเมืองสุโขทัย ต่อมาเกิดโรคระบาด จึงทรงย้ายราชธานีมาตั้งตำบลหนองโสน แขวงเมืองอโยธยา เมื่อ พ.ศ.๑๘๙๓ ขนานนามใหม่ว่า กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา และพระองค์ได้รับพระนามใหม่ว่า สมเด็จพระ รามาธิปดีที่ ๑ ทรงตั้งพระองค์เป็นใหญ๋ไม่ขึ้นต่อกรุงสุโขทัยนับแต่สถาปนาราชธานี ในรัชกาลนี้ได้รับวัฒนธรรมขอมและพราหมณ์เป็นอันมาก ภาษาไทยจึงเริ่มมีคำเขมรเข้ามาปะปนมากขึ้นมีการประกอบพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา หรือพิธีศรีสัจปานกาล ตามแบบเขมร ซึ่งถ่ายทอดมาจากพราหมณ์อีกต่อหนึ่ง ประวัติ ต้นฉบับเดิมที่เหลืออยู่เขียนด้วยอักษรขอม ข้อความที่เพิ่มขึ้นในรัชกาลที่๔ ตามหลักฐานซึ่งรัชกาลที่ ๕ ทรงยืนยันไว้ในพระราชพิธีสิบสองเดือน คือ "แทงพระแสงศรประลัยวาต" "แทงพระแสงศรอัคนิวาต" และ "แทงพระแสงศรพรหมมาสตร์"คำประพันธ์ที่ใช้คือโคลงห้าและร่ายโบราณ หนังสือเรื่องนี้นับว่าเป็นวรรณคดีเรื่องแรกของคนไทย ที่แต่งเป็นร้อยกรองอย่างสมบูรณ์แบบ ชื่อเรียกแต่เดิมว่า โองการแช่งน้ำบ้าง ประกาศแช่งน้ำโคลงห้าบ้าง ต้นฉบับที่ถอดเป็นอักษรไทยจัดเป็นวรรคตอนคำประพันธ์ไว้ค่อนข้างสับสน พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเจ้าอยู่หัว ทรงสอบทานและพระราชวินิจฉัยเรียบเรียงวรรคตอนใหม่ ทำนองแต่ง มีลักษณะเป็นลิลิต คือ มีร่ายกับโคลงสลับกัน ร่ายเป็นร่ายโบราณ ส่วนโคลงเป็นโคลงแบบโคลงห้าหรือมณฑกคติ ถ้อยคำ ถ้อยคำที่ใช้ส่วนมากเป็นคำไทยโบราณ นอกจากนั้นมีคำเขมร และบาลี สันสกฤต ปนอยู่ด้วย คำสันสกฤตมีมากกว่าคำบาลี ความมุ่งหมาย ใช้อ่านในพิธีถือพระพิพัฒน์สัตยาหรือพิธีศรีสัจปานกาล ซึ่งกระทำตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง สึบต่อกันมาจนเลิกไปเมื่อประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบบประชาธิปไตย ใน พ.ศ.๒๔๗๕ เรื่องย่อ เริ่มต้นด้วยร่ายดั้นโบราณ ๓ บท สรรเสริญพระนารายณ์ พระอิศวร พระพรหมตามลำดับ ต่อจากนั้นบรรยายด้วยโคลงห้า และร่ายดั้นโบราณสลับกัน กล่าวถึงไฟไหม้โลกเมื่อสิ้นกัลป์แล้วพระพรหมสร้างโลกใหม่ เกิดมนุษย์ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ การกำหนดวัน เดือน ปี และการเริ่มีพระราชาธิบดีในหมู่คน แล้วอัญเชิญพระกรรมบดีปู่เจ้ามาร่วมเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ ตอนต่อไปเป็นการอ้อนวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เรืองอำนาจมี พระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ เทพยาดา อสูร ภูตปีศาจ ตลอดจนสัตว์มีเขี้เล็บเป็นพยาน ลงโทษผู้คิดคดกบฏต่อพระเจ้าแผ่นดิน ส่วนผู้ซื่อตรงภักดี ขอให้มีความสุขและลาภยศ ตอนจบเป็นร่ายยอพระเกียรติพระเจ้าแผ่นดิน ตังอย่างข้อความบางตอน สรรเสริญพระนารายณ์ โอมสิทธิสธิสรวงศรีแกล้ว แผ้วฤตยู เอางูปนแท่น แกว่นกลืนฟ้ากลืนดิน บินเอาครุธมาขี่ส สี่ถือสังขืจักรคธารณีภีรุอวตาร อสุรแลงลาญทัก ททัคนียจรนายฯ แทงพระแสงศรปลัยวาดฯ กล่างถึงไฟประลัยกัลป์ นานเอนกน้าวเดิมกัลป์ จักร่ำจักราพาฬเมื่อไหม้ กล่าวถึงตรวันเจดอันพลุ่ง น้ำแล้วไข้อดหาย เจ็ดปลามันพุ่งหล้าเป็นไฟวาบ จัตุราบบายแผ่นขว้ำ ชักไตรตรึงษ์เปนผ้า แลบล้ำสีลอง อัญเชิญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพรหม เทพยาดา และภูตผีปีศาจ เป็นพยาน ผู้ใดเภทจงคด ถือขันสรดใบพูตานเสียด มารเฟียดไททศพล ช่วยดู ธรรมารคประเตยก ช่วยดูอเนกกถ่องพระสงฆ์ช่วดู ขุนหงษทองเกล้าสี่ ช่วยดู ฟ้าฟัดพรีใจยังดู ช่วยดู สี่ปวงผรีหาวแห่ง ช่วยดูฟ้าชรแร่งหกคลอง ช่วยดู ผองผีกลางหาวแอ่น ช่วยดู ฟ้ากระแฉ่นเรืองผยอง ช่วยดู เจ้าผาดำสามเส้า ช่วยดู แสนผีพึงยอมเท้า เจ้าผาดำผาเผือกช่วยดูฯ คำสาปแช่งผู้คิดกบฏต่อพระเจ้าแผ่นดิน จงเทพยดา ฝูงนี้ให้ตายในสามวัน อย่าให้ทันในสามเดือน อย่าให้เคลื่อนในสามปี อย่าให้มีศุขสวัสดิ์ เมื่อใดฯ ลิลิตโองการแช่งน้ำ ใช้ถ้อยคำสำนวนที่เข้าใจยาก และเป็นคำห้วนหนักแน่น เพื่อให้เกิดความน่าเคารพยำเกรง ความพรรณนาบางตอนละเอียดละออ เช่น ตอนกล่าวกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์และมีอำนาจก็สรรหามากล่าวไว้มากมาย

    นอกจากนี้ยังใช้ถ้อยคำประเภทโคลงห้าและร่ายดั้น ซึ่งมีจังหวะลีลาไม่ราบรื่น สะดุดเป็นตอน ๆ ยิ่งเพิ่มความขลังขึ้นอีกเป็นอันมาก จึงนับได้ว่าลิลิตโองการแช่งน้ำเรื่องนี้แต่งได้เหมาะสมกับความมุ่งหมายสำหรับใช้อ่านหรือสวดใน
    พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ซึ่งมีความสำคัญแก่การเพิ่มพูนพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์ในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ วรรณคดีเรื่องนี้มีกำเนิดจากพระราชพิธีในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แสดงถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมเขมร และพราหมณ์อย่างชัดเจน สมเด็จพระเจ้าอู่ทองทรงรับการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และพระราชพิธีศรีสัจปานจากเขมรมาใช้ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะการณ์ของบ้านเมืองที่ต้องการสร้างอำนาจปกครองของพระเจ้าแผ่นดินและความมั่นคงของบ้านเมืองในระยะที่เพิ่งก่อสร้างราชอาณาจักร ในสมัยสุโขทัยไม่ปรากฏว่ามีพระราชพิธีศรีสัจปานกาล เนื่องจากกษัตริย์สุโขทัยทรงปกครองบ้านเมือบแบบพ่อปกครองลูก ถึงแม้หลักศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๔๕ มีเนื้อความเกี่ยวกับการสบถสาบานระหว่างกษัตริย์สุโขทัยผู้เป็นหลานกับเจ้าเมืองน่านผู้ปู่ และถ้อยคำบางตอนคล้ายกับลิลิตโองการแช่งน้ำ แต่ก็เป็นการสาบานระหว่างบุคคลเฉพาะกรณี ไม่ใช่พิธีทางราชการทั่วไปกระทำต่อพระเจ้าแผ่นดินเป็นการทั่วไปอย่างที่กรึงศรีอยุธยา อนึ่งข้อความนี้จารึกไว้ใน พ.ศ.๑๙๓๕ ซึ่งอาจเป็นสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๒หรือพระมหาธรรมราชาที่ ๓ (ไสยลือไท)ตรงกับรัชการสมเด็จพระราเมศวรแห่งกรุงรีอยุธยา เป็นช่วงที่กรุงสุโขทัยเสียอิสระภาแก่กรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ พ.ศ.๑๙๒๑ ถ้าพระราชพิธีสัจปานกาลเคยกระทำที่สุโขทัยก็จะต้องเป็นเวลาภายหลังที่กรุงสุโขทัยตกอยู่ในอำนาจปกครองและอิทธพลทางวัฒนธรรมของ กรุงศริอยุธยาแล้ว

    --------------------------------------------------------------------------

    -http://www.chanpradit.ac.th/~narissara/wunnakadee.html-

    Untitled Document

    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนปลาย วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนปลาย ก่อนยุคทองแห่งวรรณคดี เมื่อสิ้นรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแล้ว สมเด็จพระรามาธิปดีที่๒เสวยราชย์ต่อมาเป็นเวลาถึง ๔๐ ปี (พ.ศ.๒๐๓๒-๒๐๗๒)บ้านเมืองสงบสุขและศิลปกรรมเจริญมากสันนิษฐานว่าวรรณคดีสำคัญบางเรื่องเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้หลังจากวรรณคดีได้ว่างเว้นไปเป็นเวลานานเกือบร้อยปีเนื่องจากบ้านเมืองไปปกติ ต้องทำสงครามกับพม่า เริ่มแต่รัชกาลสมเด็จพระไชยราชาธิราช จนเสียกรุงแก่พม่าในรัชกาลสมเด็จพระมหินทราธิราชถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกู้เอกราชได้ก็ต้องทำสงครามขับเคี่ยวกับพม่าและเขมรตลอดรัชกาล นอกจากนี้เมื่อสิ้นรัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถก็เกิดความไม่สงบสุขภายใน พระราชโอรสของสมเด็จพระเอกาทศรถ คือ พระศรีศิลป์ ทรงชิงราชสมบัติปลงพระชนม์เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคคย์แล้วขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม กษัตริย์พระองค์นี้ผนวชมาก่อน ได้สมณศักดิ์เป็นที่พระพิมลธรรม จึงเอาพระใส่ในพระพุทธศาสนา และทรงพระราชนิพนธ์กาพย์มหาชาติ นับเป็นวรรณคดีเรื่องแรกในสมัยอยุธยาตอนปลาย เมื่อสิ้นรัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมแล้วบ้านเมืองก็เกิดความวุ่นวายภายในอีก สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ทรงชิงราชสมบัติจากพระราชโอรสของพระเจ้าทรงธรรม แล้วทรงปรายดาภิเภกเป็นกษัตริย์ต่อในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ได้เกิดเหตุการณ์ที่มีส่วนทำลายวรรณคดีของชาติ กล่าวคือพระเจ้าลูกเธอฝ่ายในพระองค์หนึ่งสิ้นพระชนม์ เชื่อกันว่าต้องคุณ จึงเกิดเผาตำราไสยศาสตร์ เพราะเกรงจะเกิดโทษ เป็นเหตุให้วรรณคดีสำคัญต่าง ๆพลอยถูกทำลายไปด้วย

    ยุคทองแห่งวรรณคดี
    รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้รับยกย่องว่าเป็นยุคทองแห่งวรรณคดี เพราะมีนักปราชญ์ราชกวีและวรรณคดีเกิดขึ้นมากมายในเวลาเพียวรัชกาลเดียวนี้ นับแต่องค์ประมุข คือ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช จนถึงบุคคลชั้นผู้น้อยทั้งชายหญิง เช่น นาประตู ต่างพากันสนใจวรรณคดีและสามารถสร้างสรรค์วรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง ราชสำนักของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นที่ประชุมกวีนักปราชญ์ โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์อุปถัมภ์

    สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เสวยราชย์ระหว่าง พ.ศ.๒๑๙๙ ถึง พ.ศ.๒๒๓๑ พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถในการปกครอง และทรงปราดเปรื่องในการกวี กรุงศรีอยุธยาจึงมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดอีกช่วงเวลาหนึ่ง มีการทำสงคราม รบชนะเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ.๒๒๐๕ ต่อจากนั้นบ้านเมืองก็สงบราบคาบตลอดรัชกาล ทรงเวลาทะนุบำรุงบ้านเมือง ศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมให้เจริญรุ่งเรืองด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศได้มีชนชาติต่างศาสนาเข้ามาค้าขายและเผยแพร่ศาสนามากเป็นพิเศษ เช่น ฮอลันดา อังกฤษ และฝรั่งเศส สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงส่งราชทูตไปเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ของฝรั่งเศส และทรงแต่งตั้งชาวกรีกผู้หนึ่งเป็นเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ทรงสนพระทัยความเจริญอย่างยุโรป เช่น โปรดฯให้มีประปาที่พระราชวังลพบุรี คณะสอนศาสนาคริสต์ ก็ได้รับพระราชทานเสรีภาพละพระบรมราชานุเคราะห์ ให้เผยแพร่ศาสนาคริสต์ได้อย่างกว้างขวาง โดยตั้งโรงพยาบาลรักษาคนไข้ และตั้งโรงเรียนสอนหนังสือแก่เด็กไทยควบคู่กับศาสนาคริสต์ การเกี่ยวข้องกับฝรั่งเศสดังกล่าวมีส่วนทำให้คนไทยตื่นตัวกระตือรือร้นหันมาสนใจหนังสือไทยพุทธศาสนาของตนเองมากขึ้น

    หนังสือเรียนภาษาไทยเล่มแรก คือ จินดามณี ก็เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้

    ๑.ความเจริญของบ้านเมือง สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถและทรงชุบเลี้ยงข้าราชกาลที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่าง ๆ เช่น นักรบ นักการทูต และสถาปนิก ทั้งที่เป็นคนไทยและชาวต่างประเทศ เมื่อบ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า สมบูรณ์พูนสุขประกอบกับความสนพระทัยในทางวรรณคดีเป็นพิเศษของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช วรรณคดีอย่างยิ่งขึ้นไปด้วย

    ๒.ความตื่นตัวของคนไทย ในรัชกาลนี้ยุโรปเข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์เป็นอันมากคนไทยจึงต้องมาตื่นตัวหันมาสนใจศึกษาภาษาและศาสนาของตนเอง

    กวีและวรรณคดีที่สำคัญ ก่อนยุคแห่งวรรณคดี
    ๑. สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม - กาพย์มหาชาติ

    กวีและวรรณคดีที่สำคัญ ยุคทองแห่งวรรณคดี
    ๑. พระมหาราชครู - เสือโคคำฉันท์ - สมุทรโฆษคำฉันท์(ต้อนต้น)
    ๒. สมเด็จพระนารายณ์มหาราช - สมุทรโฆษคำฉันท์(ต่อจากของพระมหาราชครู) - โคลงพาลีสอนน้อง - โคลงทศรถสอนพระราม - โคลงราชสวัสดิ์
    ๓. พระโหราธิบดี - จินดามณี - พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา(ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ)
    ๔. ศรีปราชญ์ - อนิรุทธ์คำฉันท์ - โคลงเบ็ดเตล็ด
    ๕. พระศรีมโหสถ - กาพย์ห่อโคลง - โคลงเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช - โคลงอักษรสาม - โคลงนิราศนครสวรรค์
    ๖. ขุนเทพกวี - ฉันท์ดุษฏีสังเวยกล่อมช้าง

    ---------------------------------------------------------------------------------------------- ๑.กาพย์มหาชาติ ผู้แต่งสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ทรงพระนามเดิมว่า พระศรีศิลป์ เป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระเอกาทศรถ ก่อนได้ราชสมบัติผนวชอยู่วัดระฆัง ๘ พรรษา ได้สมณศักดิ์เป็นพระพิมลธรรม มีสมัครพรรคพวกมาก แย่งราชสมบัติแล้วปลงพระชนมเจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ ซึ่งเป็นพระอนุชาต่างพระมารดาได้ปราบดาภิเษกเป็นกษัตริยเมื่อ พ.ศ.๒๑๖๓ อยู่ในราชสมบัติ ๘ ปี สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงใฝ่พระทัยในพระพุทธศาสนา รับสั่งให้ค้นหาพระพุทธบาทจนพบที่ไหล่เขาเขตเมืองสระบุรีและโปรดเกล้าฯ ให้สร้างมณฑปสวมรอยพระพุทธบาทนั้นไว้ นอกจากนี้ยังได้พระราชนิพนธ์กาพย์มหาชาติ ประวัติ พระพงศาวดารยืนยันว่าสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงพระราชนิพนธ์ "พระมหาชาติคำหลวง"เมื่อ จ.ศ.๙๘๙ พ.ศ.๒๑๗๐ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาราชนุภาพทรงสันนิษฐานว่า หมายถึงกาพย์มหาชาติ แต่ต้นฉบับที่เหลือตกทอดมาไม่ครบทุกกัณฑ์ ทำนองแต่ง แต่งด้วยร่ายยาว มีคาถาบาลีแทรกเป็นตอน ๆ เพื่อให้ฟังเรื่องติดต่อกันได้สะดวก ความมุ่งหมาย ใช้เทศน์ให้อุบาสกอุบาสิกาฟัง เรื่องย่อ เช่นเดียวกับมหาชาติคำหลวง กาพย์มหาชาติมีทำนองแตกต่างกับมหาชาติคำหลวง คือ ใช้ คำประพันธ์ประเภทร่ายยาวอย่างเดียว และวิธีแปลภาษาบาลีแตกต่างกันคือ มหาชาติยกคาถาบาลีมาวรรคหนึ่งแล้วแปลเป็นภาษาไทยวรรคหนึ่ง สลับกันไป แต่กาพย์มหาชาติยกคาถาไว้ตอนหนึ่ง แล้วจึงแปลภาษาไทยให้เนื้อความติดต่อกันยาว ๆ เพื่อฟังเข้าใจได้สะดวก
    ถ้อยคำสำนวนที่ใช้เรียบเรียงมหาชาติเป็นภาษาง่าย ๆ ไม่สู้มีศัพท์โบราณ แต่อย่างไรก็ดี กาพย์มหาชาติยังมีเนื้อความยืดยาวเกินไป ไม่อาจเทศน์ในวันเดียวกัน จึงเป็นการขัดกับความเชื่อของผู้ฟัง ซึ่งเชื่อว่าจะต้องฟังให้จบในวันเดียว จึงจะได้อานิสงส์แรง เกิดทัศนศาสนาพระศรีอริย์ เป็นเหตุให้กาพยมหาชาติเสื่อมความนิยมไป ต่อจากนั้นจึงมีการแต่งมหาชาตสำหรับเทศน์ให้จบใน ๑ วัน ขึ้นใหม่อีกหลายสำนวน ตามเรียกกันว่า"มหาชาติกลอนเทศน์" ตัวอย่างข้อความบางตอน ตอนชูชกต่อว่าพระเวสสันดรเมื่อไม่พบสองกุมาร โภ เวส์สัน์ดร ดูกรมหาเวสสันดรดาบสผู้ทรงพรตพฤธี นามชื่อว่าฤาษีย่อมทรงสัตว์ ให้ม้วยมุดเป็นบรมรรถไม่มุสานี้มาเสียซึ่งสัจจาไม่จริง เดิมดูนี้เห็นเป็นยวดยิ่ง จะขกยอดพระบารมี มาตรออกปากขอพระชาลีกัณหา ก็ให้โดยปรีดาโดยด่วน แล้วเชิญชวนให้ข้าท่าท้วงนาง ครั้นขัดขวาง ก็ยอยกยุให้ไปยังยังพระเจ้าปู่งดงามงงเป็นพะวงพะวักแล้วลอบลักดูหน้า ให้คิ้วตาเตือนพระลูกน้อย เธอทำเชิงเฉยเมยเป็นไม่รู้เห็น ตกจะล่วงกันเล่น พบให้เลื่อยฦาฉนี้ฦาประการใดในโลกนี้ที่จะกล่าวมุสาวาทีเทียมเท่า ถึงพระเวสสันดรเจ้าองค์นี้ก็เป็นว่ามิได้



    -http://www.chanpradit.ac.th/~narissara/wunnakadee.html-


    Untitled Document
    .


    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <center> รัชกาลที่ 5 ทรงวิจารณ์พระเจ้าปราสาททอง

    </center>
    [​IMG]

    เพิ่งอ่านหนังสือ"พระเจ้าปราสาททอง กษัตริย์นักสู้" จบครับ
    เป็นหนังสือที่เขียนโดยนายแพทย์วิบูล วิจิตรวาทการ บุตรชายหลวงวิจิตรวาทการ

    อ่านแล้วอยากบอกว่า"สนุกมาก" เพราะมีครบทุกรส

    พระเจ้าปราสาททอง (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.2172 - 2199) เป็นกษัตริย์เป็นกษัตริย์องค์ที่ 25 ของอาณาจักรอยุธยา ซึ่งได้รับการวิพาษ์วิจารณ์ค่อนข้างมาก ทั้งในเชิงลบและเชิงบวก
    มีทั้งวิจารณ์ว่า ทรงมีจิตใจที่โหดร้าย ไร้คุณธรรม เจ้ายศเจ้าอารมณ์ มักใหญ่ใฝ่สูง

    นาย Woods นักประวัติศาสตร์ชาวตะวันตก บันทึกว่าพระเจ้าปราสาททองเสวยน้ำเมาตลอดวัน จนขาดสติสัมปชัญญะ จนมีเรื่องเล่าว่า ทรงทอดพระเนตรเห็นพระราชโอรส คือพระนารายณ์ มี 4 กร จึงตั้งชื่อ"นารายณ์"
    แต่ในอีกมุม พระองค์ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์นักสู้ ผู้ไต่เต้าจากตำแหน่งเสนาบดีกลาโหม กระทั่งได้ครองราชย์บัลลังก์ และเป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์"ปราสาททอง"

    [​IMG]

    วัดไชยวัฒนาราม

    ตามประวัติศาสตร์ ระบุว่า แผ่นดินอยุธยาสมัยพระเจ้าปราสาททอง บ้านเมืองมีแต่ความสงบร่มเย็น พระองค์ทรงเสื่อมใสในพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก ทรงโปรดให้สร้างวัดไชยวัฒนาราม วัดชุมพลพิศายาราม บูรณะปฎิสังขรณ์วัดต่างๆ รวมทั้งโปรดเกล้าฯให้สร้างพระราชวังบางประอิน อันเป็นสถานที่ประสูติของพระองค์ สำหรับไว้เป็นที่แปรพระราชฐาน

    [​IMG]
    พระราชวังบางปะอิน

    หนังสือ เล่มนี้ เล่าตั้งแต่เรื่องโชกุนญี่ปุ่นขอปืนใหญ่จากสมเด็จพระเอกาทศรถ ซามูไรญี่ปุ่นแผลงฤทธิ์ข่มเหงพระเจ้ากรุงสยาม กรุงศรีอยุธยาขอม้าจากโชกุนญี่ปุ่นมาผสมพันธุ์ม้าไทย ซามูไรญี่ปุ่นพยายามประทุษร้ายสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม การขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองในทรรศนะของฝรั่งและญี่ปุ่น

    หนังสือวิเคราะห์เรื่องตั้งแต่พระเจ้าทรงธรรมสวรรณคต แล้วทรงรับสั่งให้พระเชษฐาธิราชขึ้นครองราชย์ โดยกำจัดพระศรีศิลป์ แล้วต่อเนื่องถึงพระเจ้าปราสาททองประหารชีวิตของพระเชษฐาธิราช กำจัดพระอาทิตยวงศ์ ก่อนขึ้นครองราชย์ แล้วทรงเปลี่ยนปฏิทิน

    สำหรับพระเจ้าปราสาททอง เดิมรับราชการในราชสำนักสมเด็จพระเอกาทศรถ(บางฉบับระบุว่าพระองค์เป็นพระราช โอรสนอกสมรสของพระเอกาทศรถ) ในตำแหน่งมหาดเล็ก ต่อมาได้เป็นที่จมื่นศรีสรรักษ์ ได้ร่วมกับพระศรีศิลป์สำเร็จโทษพระศรีเสาวภาคย์ แล้วเชิญพระอินทราชาขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า"สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม"

    จมื่น ศรีสรรักษ์ได้เลื่อนขึ้นเป็นพระมหาอำมาตย์ และออกญาศรีวรวงศ์ และเมื่อญี่ปุ่นนำกำลังเข้ามาจะควบคุมพระองค์สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พระยาศรีวรวงศ์ก็สามารถปราบปรามลงได้ จึงได้รับความดีความชอบ และเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ให้ดูแลรักษาพระเชษฐาธิราช พระราชโอรสที่ทรงวางพระทัยให้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระองค์

    ในรัชสมัยสมเด็จพระเชษฐาธิราช พระยาศรีวรวงศ์ได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ มีอำนาจและอิทธิพลมาก ทำให้สมเด็จพระเชษฐาธิราช ทรงระแวงและคิดกำจัด แต่เจ้าพระยากลาโหมรู้ตัวก่อนและควบคุมพระองค์สมเด็จพระเชษฐาธิราชได้ แล้วอัญเชิญพระอาทิตยวงศ์ พระราชโอรสสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมขึ้นครองราชย์

    เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อปี พ.ศ.2172 ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง หรือสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 5 รวมทั้งทรงสถาปนาราชวงศ์ใหม่เป็น"ราชวงศ์ปราสาททอง" พระองค์มีพระราชโอรส และพระราชธิดารวม 7 พระองค์
    พระองค์เคยเสด็จยกทัพไปตีเขมร ซึ่งเป็นประเทศราชของกรุงศรีอยุธยา แต่แข็งเมืองในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม และชนะจึงทำให้เขมรกลับมาเป็นหัวเมืองประเทศราชของกรุงศรีอยุธยาดังเดิม

    ในตอนต้นรัชสมัยของพระองค์ หัวเมืองประเทศราชทางใต้ คิดกบฏยกทัพไปตีเมืองสงขลาและเมืองพัทลุง พระองค์ได้ส่งกองทัพไปปราบปรามได้ราบคาบ แต่ก็เสียเมืองเชียงใหม่ และหัวเมืองล้านนาแก่พม่า
    ในรัชสมัยของพระองค์ได้มีการตรากฎหมายที่สำคัญ เช่น พระไอยการลักษณะอุทธรณ์ พระไอยการลักษณะมรดก พระไอยการลักษณะกู้หนี้ และพระธรรมนูญ
    ในปีจุลศักราช 1000 ตรงกับปีขาล (พ.ศ. 2181) ซึ่งมีความเชื่อกันว่าจะเกิดเหตุร้ายแรงถึงขั้นกลียุค พระองค์จึงทรงให้จัดพิธีลบศักราช เปลี่ยนจากปีขาลเป็นปีกุน แล้วแจ้งให้หัวเมืองน้อยใหญ่รวมทั้งเมืองประเทศราช ให้ใช้ปีศักราชตามที่ทางกรุงศรีอยุธยากำหนดขึ้นมาใหม่

    ในปี พ.ศ. 2175 พระองค์ได้โปรดเกล้าฯให้สร้างพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ พร้อมทั้งหมู่พระราชนิเวศ และวัดชุมพลนิกายาราม ขึ้นที่บางปะอิน อันเป็นสถานที่ประสูติของพระองค์ สำหรับไว้เป็นที่แปรพระราชฐาน

    พระ เจ้าปราสาททอง มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระบวรพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ได้ทรงสถาปนาวัดสำคัญหลายวัด เช่น วัดไชยวัฒนาราม วัดพระศรีสรรเพชญ์ และวัดชุมพลนิกายาราม รวมทั้งโปรดเกล้าฯให้ปฏิสังขรณ์พระปรางค์วัดมหาธาตุ และโปรดที่จะเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค ไปทรงนมัสการรอยพระพุทธบาทที่สระบุรี จนกลายเป็นประเพณีที่สำคัญของอยุธยาตอนปลาย

    สมเด็จพระเจ้าปราสาททองเสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. 2199 ครองราชย์ได้ 27 ปี

    [​IMG]

    รัชกาลที่5 พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ฉายเมื่อปี 1881

    ตอนที่ผมอ่านแล้ว"สนุก" จนขอนำมาเล่าต่อ คือพระปิยะมหาราช ทรงวิจารณ์พระเจ้าปราสาททอง

    เรื่องนี้ปรากฎในหนังสือหลายเล่ม เช่น พระราชกระทู้ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และคำสนองพระราชกระทู้ของพระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) ว่าด้วย พระเจ้าปราสาททอง
    แต่เนื่องจากเป็นการวิจารณ์กราบบังคมทูลสนองพระราชกระทู้ยาวมาก...จึงขอยกมาบางเรื่องให้สั้นลง

    "ฉลาด ในทางอุบายมารยา ฉลาดในทางที่จะเรียนวิชาความรู้ว่องไว แต่ไม่มีความอุสาหะที่จะเรียนให้รู้จริง คือ ปากรู้มากกว่าใจ จนที่ไหนเดาที่นั่น ด้วยความเชื่อว่าคงถูกเชื่อตัวว่ามีสติปัญญา มีบุญ ไม่มีผุ้ใดเสมอซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งชอบยอ และกล้าทำอะไร ๆ ไม่มีความละอาย ด้วยนึกว่าไม่มีใครรู้เท่าเป็นไพร่ตามสันดานเดิมในเมื่อเวลากริ้ว..."

    พระราชวิจารณ์ของรัชกาลที่ 5 ถึงพระเจ้าปราสาททอง

    "ฉลาด ในอุบายมารยานั้น คือเมื่อเวลาพระเจ้าทรงธรรมสวรรคต มีความปรารถนาจะใคร่ได้สมบัติ ข้อนี้ควรจะยกเว้นไม่ติเตียน เพราะพระเจ้าทรงธรรมไม่ได้เป็นผู้ที่ควรเป็นพระเจ้าแผ่นดินยิ่งกว่าพระเจ้า ปราสาททอง วิชาก็มีด้วยกัน ฝ่าสยหนึ่งถนัดข้างพระไตรปิฏก ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่ามีเวมมนตร์ขลัง และสติปัญญามากกว่าเอาเป็นตีรั้งกันควรปรารถนา
    "อาการที่จะเป็นพระเจ้า แผ่นดินนั้น เอาโดยทางมารยา คือยกพระเชษฐาซึ่งคงจะเป็นคนโง่ยิ่งกว่าพระศรีศิลป์ พระบิดาคงมุ่งให้พระศรีศิลป์รับสมบัติ จึงแกล้งไม่ยกสมบัติให้ พระศรีศิลป์ซึ่งเป็นคนฉลาดแต่ไม่ใช่ฉลฃาดดี ฉลาดอย่างกักฬะ พระศรีศิลป์จึงได้หนีออกไป คงจะด้วยถุกอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงไม่ได้ทันต่อรบอย่างหนึ่งอย่างใดให้กับสมกับที่เป็นกบถ หลอกให้พี่น้องแหนงกันเอง ฆ่ากันสมประสงค์"


    พระยาโบราณราชธานินทร์ได้แก้ต่าง....
    "ตามที่ทรงพระราชดำริเห็นว่า อาการที่พระเจ้าปราสาททองจะเอาแผ่นดินนั้น เอาโดยทางมารยา คือแกล้งยกพระเชษฐาซึ่งคงเป็นคนโง่ยิ่งกว่าพระศรีศิลป์ที่พระบิดาคงมุ่งหมาย ที่จะให้รับราชสมบัติและหลอกให้พี่น้องแหนงกันจนฆ่ากันสมประสงค์นั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่า ถ้าพระเจ้าปราสาททองปองที่จะเอาสมบัติอยู่แล้ว ถึงพระศรีศิลป์จะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็คงรักษาพระองค์ไม่รอดเหมือนกัน เพราะกำลังวังชาและอำนาจของพระเจาปราสาททองในเวลานั้นมีมากนัก
    ซึ่งยกพระเชษฐาขึ้นครงอราชสมบัตินั้น เห็นด้วยเกล้าฯว่าคงทำตามโบราณราชประเพณี ที่ต้องยกพี่ขึ้นใหญ่กว่าน้อง ประการหนึ่ง ถ้าหากยกพระศรีศิลป์ขึ้นครองราชสมบัติแล้ว พระเชษฐกับพระศรีศิลป์ก็คงจะบาดหมางไม่ปรองดอง คิดฆ่ากันไปเหมือนกัน"


    ร.5 ทรงวิพากษ์ต่อ...
    "แกล้ง ทำการศพให้คึกคัก แต่งคนให้ลือให้พระเจ้าแผ่นดินตกใจ ผู้ที่ลือนั้นคือจมื่นสรรเพชญ์ ซึ่งเป็นผู้ส่งข่าวนั้นเอง เข้ามาเป็นใส้ศึก พอหลอกให้ตกใจให้ไปรับสั่งให้หาก็เลยพาลเป็นกบถ หาว่าพระเจ้าแผ่นดินเตรียมให้คนขึ้นป้อมวัง ความนี้ก้ไม่จริง ปรากฎเมื่อยกมาแต่เวลาบ่ายสามโมง อยู่าจนสองทุ่มเข้าไปฟันประตู ไม่มีใครรู้ทัน ไม่ได้ต่อสู้กันเลย คำอธิษฐานที่อ้างเอาความปรารถนาโพธิญาณเป็นสัจจาธิษฐาน นี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าเย่อหยิ่งมาก"


    พระยาโบราณราชธานินทร์ แก้ต่าง...
    "ตามที่ทรงพระราชดำริว่า พระเจ้าปราสาททองแกล้งทำการสพให้คึกคัก แต่งคนให้ลือให้พระเจ้าแผ่นดินตกพระทัย พอให้รับสั่งให้ไปหาก็เลยพาลเป็นถบถนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่าในเวลานั้น พระเจ้าปราสาททองเป็นเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ เป็นยประธานในราชการแผ่นดิน จะทำการงานใดก็คงมีผู้ไปช่วยเพือ่การประจบ และพระเชษฐาในเวลานั้นก็คงจะง่อนแง่นเต็มทีอยู่แล้ว
    ถึงในข้อที่ว่า ตระเตรียมคนให้ขึ้นป้อมวังนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่า น่าจะรับสั่งให้ตระเตรียมจริง เพราะทรงตกพระทัยและหวาดอยู่แล้ว แต่เห็นด้วยเกล้าฯว่าคงจะไม่ได้คนมาขึ้นป้อมล้อมวังตามรับสั่ง ด้วยข้าราชการคงจะไปฝักใฝ่กับพระเจาปราสาททองเสียหมด จึงไม่ได้ต่อสู้กัน
    คำอธิษฐานซึ่งอ้างเอาความปราถนาโพธิญาณซึ่งทรงพระราชฃดำริเห็นว่าเป็นการ เย่อหยิ่งนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่า คงจะทรงตามๆกันไป เช่นพระเจ้าทรงธรรมเองก็น่าจะได้กล่าวอย่างนี้เหมือนกัน"


    ร.5 ทรงวิพากษ์ต่อ
    "ตั้งพระอาทิตยวงศ์ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน จนกระทั่งถอดเสียเป็นการมารยาทั้งนั้น.."

    พระยาโบราณราชธานินทร์ แก้ต่างอีก..
    "ซึ่ง ทรงพระราชดำริเห็นว่า ที่ตั้งพระยาอาทิตยวงศ์ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินจนกระทั่งถอดเสียเป็นการมารยา นั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่าในเรื่องนี้จำเป็น พระเจ้าปราสาททองจะต้องทำเช่นนั้น ด้วยพระอาทิตยวงศ์ยังมีอยู่ ถ้าจะเอาราชสมบัติทีเดียวคนทั้งปวงก็จะเห็นว่าเป็นขบถ ฆ่าพระเชษฐาเพื่อจะเอาราชสมบัติ"

    (ความทั้งหมด อยู่ในบันทึกพระยาโบราณราชธานินทร์ ( พร เดชะคุปต์ ) เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน รัตนโกสินทรศก 125)


    [​IMG]
    พระนารายณ์มหาราช ฝีมือช่างวาดชาวฝรั่งเศส


    ความจริง..พระปิยะมหาราช ยังทรงวิพากษ์อีกหลายเรื่อง เช่น เรื่องมีพระราชบุตรออกมาเห็นเป็น 4 กร เรื่องฟ้าผ่าไม่ถูกพระองค์พระนารายณ์และช้าง เรื่องลบศักราช เรื่องเอากับข้าวรดศีรษะทูตพม่า เรื่องโหรถวายฎีกาว่าไฟจะไหม้วังจึงขนของหนีออกไปอยู่วัด

    แต่เนื่องจากจะยืดเยื้อ...จึงสรุปเท่านี้ครับ..


    โดย ลูกเสือหมายเลข9




    -http://www.oknation.net/blog/print.php?id=112241-

    http://www.oknation.net/blog/print.php?id=112241

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • prasat.jpg
      prasat.jpg
      ขนาดไฟล์:
      47.5 KB
      เปิดดู:
      217
    • prasat4.jpg
      prasat4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.9 KB
      เปิดดู:
      112
    • prasat3.jpg
      prasat3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      58.2 KB
      เปิดดู:
      98
    • prasat2.jpg
      prasat2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      36.9 KB
      เปิดดู:
      109
    • prasat1.jpg
      prasat1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      41.1 KB
      เปิดดู:
      109
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ประวัติกษัตริย์ราชวงศ์สุโขทัย


    สมเด็จพระมหาธรรมราชา
    พระบาทสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช หรือ ขุนพิเรนทรเทพ (กรมพระตำรวจฝ่ายขวา) ทรงสืบเชื้อสายข้างพระราชบิดามาจากราชวงศ์พระร่วงแห่งกรุงสุโขทัย ส่วนพระราชมารดานั้นกล่าวกันว่าเป็นราชนิกูลในราชวงศ์สุพรรณภูมิแห่งกรุง ศรีอยุธยา
    พระราชประวัติ
    เมื่อครั้งขุนวรวงศาธิราชและท้าวศรีสุดาจันทร์ซึ่งตามพงศาวดารฉบับหนึ่ง กล่าวไว้ว่า ได้สมคบกันก่อการทรยศโดยลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระไชยราชาธิราช ต่อจากนั้นขุนวรวงศาธิราชได้ตั้งตนเป็นกษัตริย์ เมื่อความแจ้งไปถึงขุนพิเรนทรเทพ ซึ่งขณะนั้นรั้งตำแหน่งเจ้าเมืองพิษณุโลก พระองค์จึงเสด็จลงมาจากเมืองพิษณุโลกเพื่อชิงพระราชบัลลังก์คืนจากขุนวรวงศา ธิราช ถวายราชสมบัติแด่ พระเฑียรราชา ผู้เป็นพระอนุชาของสมเด็จพระไชยราชาธิราช
    หลังจากพระเฑียรราชาขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระองค์ได้ทรงสถาปนาขุนพิเรนทรเทพ ซึ่งเป็นราชนิกูลข้างพระราชมารดาแต่เดิมขึ้นเป็นเจ้า ทรงนามว่า สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ให้ไปประทับอยู่ที่เมืองพิษณุโลก รั้งตำแหน่งเจ้าราชธานีฝ่ายเหนือ มีอำนาจสิทธิ์ขาดในหัวเมืองเหนือทั้งหมด และพระราชทานให้ พระวิสุทธิกษัตรี (พระราชธิดาในสมเด็จพระมหาจักรพรรดิและสมเด็จพระศรีสุริโยทัย) เป็นอัครมเหสี ต่อมามีพระราชโอรสและพระราชธิดาสามพระองค์คือ พระสุพรรณเทวี หรือพระสุพรรณกัลยา ซึ่งต่อมาสมเด็จพระมหาธรรมราชา ได้ถวายเป็นพระมเหสีของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๑๒ เมื่อพระชนมพรรษาได้ ๑๗ พรรษา เพื่อขอสมเด็จพระนเรศวรมาช่วยงานของพระองค์ องค์ที่สองคือ พระองค์ดำ หรือสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จพระราชสมภพ เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๙๘ พระเจ้าบุเรงนองได้ขอไปอยู่ที่กรุงหงสาวดี ตั้งแต่พระชนมายุได้ ๙ พรรษา เมื่อพระชนมายุได้ ๑๕ พรรษา สมเด็จพระมหาธรรมราชา ได้ขอตัวมาช่วยงานของพระองค์ และทรงตั้งให้เป็นพระมหาอุปราช ไปครองเมืองพิษณุโลก ดูแลหัวเมืองเหนือทั้งปวง องค์ที่สามคือ พระองค์ขาว หรือสมเด็จพระเอกาทศรถ ประสูติเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๑๐๐
    จากนั้นพม่ากรุงหงสาวดีเห็นว่า เป็นช่วงผลัดแผ่นดินจึงบุกโจมตีกรุงศรีอยุธยาเมื่อพระมหาจักรพรรดิทรงทราบ จึงทรงนำทัพออกต้านศึก และในขณะที่พระมหาจักรพรรดิทรงกระทำยุทธหัตถีกับ พระเจ้าแปรอยู่ ช้างพระที่นั่งของพระมหาจักรพรรดิก็เสียที ทำให้พระเจ้าแปรไล่ชน แต่สมเด็จพระสุริโยทัยได้นำช้างมาขวาง ทำให้พระศรีสุริโยทัยเสด็จสวรรคต หลังจากนั้นกรุงศรีอยุธยาก็ส่งเรือรบไปยิงค่ายพม่า ทำให้พม่าต้องถอยทัพกลับหงสาวดี เมื่อกลับถึงเมืองพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้กลับยึดติดกับการตีกรุงศรีอยุธยาไม่ ได้จึงทรงติดสุราอย่างหนักจนออกว่าราชการไม่ได้ต้องให้บุเรงนองผู้เป็นพระ ญาติเป็นผู้สำเร็จราชการแทน
    จากนั้นพวกมอญก็ได้ลวงพระเจ้า ตะเบ็งชะเวตี้ไปลอบปลงพระชนม์แล้วยึดหงสาวดีไปได้ต่อมาพระเจ้าบุเรงนองได้นำ กำลังเข้ายึดหงสาวดีกลับคืนมา และก็นำกองทัพเข้ากรุงศรีอยุธยาหมายจะตีอยุธยา เรียกว่าสงครามช้างเผือก ตอนแรกทรงส่งสาส์นมาขอช้างเผือก สมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้ส่งพระราชสาส์นตอบกลับไปว่า "ถ้าประสงค์จะได้ช้างเผือกก็ให้เสด็จมาเอาโดยพระองค์เองเถิด" ทำให้พระเจ้าบุเรงนองถือเอาสารนี้เป็นเหตุยกทัพเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา โดยจัดกำลังประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ คนพร้อมด้วยช้าง ม้า และอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมาก โดยยกเข้ามาทางเมืองตาก ด้วยกำลังมากกว่า ทำให้ทัพหงสาวดีสามารถยึดหัวเมืองเหนือไว้ได้เกือบทั้งหมดจนมาถึงเมือง พิษณุโลก
    ยอมอ่อนน้อมต่อหงสาวดี
    สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชได้ทำการป้องกันเมืองอย่างดี พระเจ้าบุเรงนองจึงขอเจรจา พระมหาธรรมราชาธิราชจึงส่งพระสงฆ์จำนวน ๔ รูป แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ อีกทั้งในเมืองยังขาดเสบียง และเกิดโรคระบาด ทำให้สมเด็จพระมหาธรรมราชาจึงเปิดทางให้พระเจ้าบุเรงนองด้วยเกรงว่าหากขืน สู้
    รบต่อไปด้วยกำลังคนที่น้อยกว่าอาจ ทำให้เมืองเมืองพิษณุโลกถูกทำลายลงเหมือนกับหัวเมืองเหนืออื่นๆก็เป็นได้ พระเจ้าบุเรงนองจึงได้แต่งตั้งให้สมเด็จพระธรรมราชาเป็นพระศรีสรรเพชญ์ ครองเมืองพิษณุโลกดังเดิม แต่อยู่ในฐานะเป็นหัวเมืองประเทศราชของหงสาวดี กับขอสมเด็จพระนเรศวรไปองค์ประกันอยู่ที่หงสาวดี
    ในปี พ.ศ. ๒๑๑๒ พระเจ้าบุเรงนองได้ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง โดยได้เกณฑ์หัวเมืองทางเหนือรวมทั้งเมืองพิษณุโลกมาร่วมสงครามด้วยโดยพระ เจ้าบุเรงนองให้พระมหาธรรมราชาเป็นกองหลังดูแลคลังเสบียงจนกระทั่งกรุง ศรีอยุธยาแตกเมื่อเดือนเก้า พ.ศ. ๒๑๑๒ พระเจ้าบุเรงนองประทับอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาจนกระทั่งในวันศุกร์ขึ้นหกค่ำ เดือนสิบสอง ปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๑๑๒ ได้อภิเษกให้สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยา ในฐานะประเทศราช ทรงพระนามว่า สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๑ บางแห่งเรียก พระสุธรรมราชา เป็นต้นราชวงศ์สุโขทัย
    พระราชกรณียกิจ
    สมเด็จพระมหาธรรม ราชาธิราช ครองกรุงศรีอยุธยาในฐานะประเทศราชของพม่าอยู่ถึง ๑๕ ปี จนถึง พ.ศ. ๒๑๒๗ สมเด็จพระนเรศวร องค์รัชทายาทก็ได้ทรงประกาศอิสรภาพ ในห้วงระยะเวลา ๑๐ ปี แรกในรัชสมัยของพระองค์ เขมรได้ส่งกำลังมาโจมตีหัวเมืองทางตะวันออกและรุกเข้ามาถึงชานพระนคร แต่ฝ่ายไทยก็สามารถต่อสู้ขับไล่เขมรกลับไปได้ พระองค์ทรงเห็นเป็นโอกาสในการป้องกันพระนคร จึงได้บูรณะซ่อมแซมกำแพงและป้อมต่าง ๆ รอบพระนครให้แข็งแรงขึ้น กล่าวคือ ในปี พ.ศ. ๒๑๒๓ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ขุดคูพระนครทางด้านทิศตะวันออก หรือคูขี่อหน้า ซึ่งแต่เดิมแคบข้าศึกสามารถเข้ามาสู่พระนครได้สะดวกกว่าด้านอื่น โปรดเกล้า ฯ ให้รื้อกำแพงพระนครด้านทิศตะวันออก แล้วสร้างให้ไปจรดริมฝั่งแม่น้ำเช่นเดียวกับด้านอื่น ๆ ทรงสร้างป้อมมหาชัย ตรงบริเวณที่แม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำป่าสักไหลมาบรรจบกัน และสร้างพระราชวังจันทร์เกษม (วังหน้า) สำหรับใช้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวร ไว้คอยสกัดกั้นทัพข้าศึกที่เข้าโจมตีพระนครทางด้านทิศตะวันออก

    สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
    พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ. ๒๐๙๘- ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๑๔๘) พระนามเดิมว่า พระองค์ดำ โอรสของ สมเด็จพระมหาธรรมราชา และ พระวิสุทธิกษัตริย์ (พระราชธิดาของสมเด็จพระศรีสุริโยทัยและสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ) พระองค์เสด็จพระราชสมภพที่เมืองพิษณุโลก ทรงมีพระเชษฐภคิณีคือพระสุพรรณกัลยาทรงมีพระอนุชาคือสมเด็จพระเอกาทศรถ(องค์ ขาว) และทรงเป็นพระราชนัดดาของสมเด็จพระศรีสุริโยทัย พระนามของพระองค์ปรากฏในลายลักษณ์อักษรหลายฉบับ เช่น พระนเรศ วรราชาธิราช พระนเรสส องค์ดำ จึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่าพระนาม นเรศวรได้มาจากที่ใด สันนิษฐานเบื้องต้นว่า เพี้ยนมาจาก สมเด็จพระนเรศ วรราชาธิราช เป็น สมเด็จพระนเรศวร ราชาธิราช

    พระราชประวัติเมื่อทรงพระเยาว์กับชีวิตและการศึกษาในหงสาวดี
    ตลอดระยะเวลาในวัยเยาว์ของพระนเรศวรทรงใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังจันทน์เมือง พิษณุโลกจนกระทั่งเมื่อพระเจ้าบุเรงนองยกทัพมาตีเมืองพิษณุโลกสมเด็จพระมหา ธรรมราชาธิราชเจ้าเมืองพิษณุโลกยอมอ่อนน้อมต่อแห่งหงสาวดีและทำให้พิษณุโลก ต้องแปรสภาพเป็นเมืองประเทศราชหงสาวดีไม่ขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยาพระเจ้าบุเรง นองได้ทรงขอพระนเรศวรไปเป็นองค์ประกันที่หงสาวดีทำให้พระองค์ต้องจากบ้าน เกิดเมืองนอนตั้งแต่มีพระชนม์มายุเพียง๙พรรษา
    นอกจากพระองค์แล้วยังมีองค์ประกัน จากเมืองอื่น ๆ ที่เป็นเมืองขึ้นของหงสาวดีเป็นจำนวนมาก พระเจ้าบุเรงนองนั้นทรงให้เหล่าองค์ประกันได้รับการเลี้ยงดูและการศึกษา อย่างดี พระนเรศวรทรงใช้เวลา ๘ ปีเต็มในหงสาวดีศึกษายุทธศาสตร์ของพม่า พระองค์ทรงศึกษาวิชาศิลปศาสตร์ และวิชาพิชัยสงคราม ทรงนิยมในวิชาการรบทัพจับศึก พระองค์ทรงมีโอกาสศึกษา ทั้งภายในราชสำนักไทย และราชสำนักพม่า มอญ และได้ทราบยุทธวิธีของชาวต่างชาติต่าง ๆ ที่มารวมกันอยู่ในกรุงหงสาวดีเป็นอย่างดี เช่น ชาวโปรตุเกส สเปน หรือชาวพม่าเอง ทรงนำหลักวิชามาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับเหตุการณ์ และสภาพแวดล้อมในการทำศึกได้เป็นเลิศ ดังเห็นได้จากการสงครามทุกครั้งของพระองค์ ยุทธวิธีที่ทรงใช้ ได้แก่ การใช้คนจำนวนน้อยเอาชนะคนจำนวนมาก และยุทธวิธีการรบแบบกองโจร พระองค์ทรงนำมาใช้ก่อนจอมทัพที่เลื่องชื่อในยุโรป นอกจากนั้น หลักการสงครามที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน เช่น การดำรงความมุ่งหมาย หลักการรุก การออมกำลัง และการรวมกำลัง การดำเนินกลยุทธ ความเด็ดขาดในการบังคับบัญชา การระวังป้องกัน การจู่โจม ฯลฯ พระองค์ก็ทรงนำมาใช้อย่างเชี่ยวชาญ และประสบผลสำเร็จอย่างงดงามมาโดยตลอด เนื่องจากการที่พระองค์มีชีวิตอยู่ในฐานะองค์ประกันทำให้ทรงมีความกดดันสูง จากมังกะยอชวา (พระราชโอรสในพระเจ้านันทบุเรง) จึงทรงมีแรงผลักดันที่จะกอบกู้อิสรภาพให้กับบ้านเมืองของพระองค์ เช่น จากการชนไก่ของพระองค์กับมังกะยอชวา เป็นต้น รวมทั้งการเหยียดหยามว่าเป็นเชลย จากพวกพม่าด้วย
    ดำรงยศเป็นพระมหาอุปราช
    หลังจากที่พระเจ้าบุเรงนองตีกรุงศรีอยุธยาแตกเมื่อ พ.ศ. ๒๑๑๒ มะเส็งศก วันอาทิตย์ เดือน ๙ แรม ๑๑ ค่ำ และได้สถาปนาสมเด็จพระมหาธรรมราชาครองกรุงศรีอยุธยาในฐานะประเทศราชของหง สาวดีต่อไป หลังจากนั้น พระนเรศได้หนีกลับมาไทยโดยที่บุเรงนองยินยอมด้วยอันเนื่องมาจากพระสุพรรณ กัลยาได้ขอไว้ โดยที่บุเรงนองยินยอม หลังจากที่พระองค์ดำกลับมากรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระมหาธรรมราชาได้ทรงพระราชทานนามให้ว่า พระนเรศวร และโปรดเกล้าฯให้เป็นพระมหาอุปราชไปปกครองเมืองพิษณุโลก ทรงปกครองเมืองอย่างดีและทรงเริ่มเตรียมการที่จะกอบกู้เอกราชของกรุง ศรีอยุธยา
    ยุทธหัตถี
    นับตั้งแต่สมเด็จพระนเรศวรประกาศ อิสรภาพเป็นต้นมา หงสาวดีได้เพียรส่งกองทัพเข้ามาหลายครั้ง แต่ก็ถูกกองทัพกรุงศรีอยุธยาตีแตกพ่ายไปทุกครั้ง เมื่อสมเด็จพระมหาธรรมราชา เสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๓๓ พระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๑๓๓ เมื่อพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระนเรศวร หรือสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๒ และโปรดเกล้า ฯ ให้พระเอกาทศรถ พระอนุชา ขึ้นเป็นพระมหาอุปราช แต่มีศักดิ์เสมอพระมหากษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง
    ตลอดรัชสมัยของพระองค์ทรงกอบกู้ กรุงศรีอยุธยาจากหงสาวดี และได้ทำสงครามกับอริราชศัตรูทั้งพม่าและเขมร จนราชอาณาจักรไทยเป็นปึกแผ่นมั่นคง ขยายพระราชอาณาเขตออกไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาลกว่าครั้งใดในอดีตที่ผ่านมา งานสงครามในรัชสมัยของพระองค์ ทั้งในดินแดนไทยและดินแดนข้าศึก ได้ชัยชนะทุกครั้ง ทรงมีพระปรีชาสามารถในการนำทัพ ทรงริเริ่มนำยุทธวิธีแบบใหม่มาใช้ในการทำสงคราม และเปลี่ยนแนวความคิดจากการตั้งรับมาเป็นการรุก และริเริ่มการใช้วิธีรบนอกแบบ
    การสงครามกับพม่าครั้งสำคัญที่ทำ ให้พม่าไม่กล้ายกทัพมารุกรานไทยอีกเลย เป็นเวลาเกือบสองร้อยปีคือ สงครามยุทธหัตถี เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๓๕ นั่นคือเมื่อหงสาวดีนำโดยพระมหาอุปราชามังสามเกียดยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา อีกครั้ง สมเด็จพระนเรศวรก็นำทัพออกไปจนปะทะกันที่หนองสาหร่าย จังหวัดสุพรรณบุรี บ้างก็ว่าจังหวัดกาญจนบุรี สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาจนกระทั่งสามารถเอาพระ แสงง้าวฟันพระมหาอุปราชาขาดสะพายแล่ง สิ้นพระชนม์อยู่กับคอช้างนั่นเอง
    สวรรคต
    พ.ศ. ๒๑๓๗ พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงก็ให้พระเจ้าแปรมาตีกรุงศรีอยุธยาแต่ก็แตกทัพกลับไป พ.ศ. ๒๑๔๒ เสด็จออกไปตีกรุงหงสาวดี พระเจ้าหงสาวดีหนีไปเมืองตองอู กองทัพอยุธยาตามไปถึงเมืองตองอูแต่ขาดเสบียง พ.ศ. ๒๑๔๗ ยกกองทัพไปกรุงหงสาวดีอีกครั้งถึงเมืองหาง (ในพงศาวดารบางฉบับว่าเมืองห้างหลวง) อันเป็นเมืองอยู่ชายพระราชอาณาเขตในสมัยนั้น เมื่อปลายเดือน ๕ ปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๑๔๘ ได้เสด็จประทับแรมอยู่ ณ ตำบลทุ่งแก้ว เกิดประชวรเป็นหัวระลอกขึ้น (บ้างว่าถูกตัวสัตว์พวกแมลงมีพิษต่อย) ที่พระพักตร์แล้วเลยเป็นบาดพิษจนเสด็จสวรรคตที่เมืองหาง เมื่อวันจันทร์ เดือน ๖ ขึ้น ๘ ค่ำ พ.ศ. ๒๑๔๘ เรื่องวันสวรรคตนี้มีรายละเอียดกล่าวต่างกัน พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากล่าวว่า เสด็จสวรรคตวันจันทร์ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ เพลาชายแล้ว ๒ บาท ปีมะเส็ง ในหนังสือ A History of Siam ของ W.A.R. Wood กล่าวว่าสวรรคตวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๖๐๕ (พ.ศ. ๒๑๔๘) พระชันษาได้ ๕๐ ปี เสวยราชสมบัติได้ ๑๕ ปี
    พระราชกรณียกิจ
    พ.ศ. 2113 เสด็จออกร่วมรบกับทหารโดยขับไล่กองทัพเขมรได้สำเร็จ
    พ.ศ. 2114 ได้รับสถาปนาให้ปกครองเมืองพิษณุโลก เมื่อพระชนมายุ ๑๖ พรรษา
    พ.ศ. 2117 เสด็จไปรบที่เวียงจันทน์ เผอิญทรงประชวรเป็นไข้ทรพิษจึงเสด็จกลับ
    พ.ศ. 2121 ทรงทำสงครามขับไล่พระยาจีนจันตุออกไปจากกรุงศรีอยุธยา
    พ.ศ. 2127 ทรงประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง และกวาดต้อนคนไทยกลับพระนคร
    พ.ศ. 2127-พ.ศ. 2130 พม่ายกกองทัพมาตีไทยถึง ๔ ครั้ง แต่ถูกไทยตีแตกพ่ายกลับไป
    พ.ศ. 2133 ทรงเสด็จครองราชย์ ณ กรุงศรีอยุธยาเมื่อพระชนมายุ ๓๕ พรรษา
    พ.ศ. 2135 ทรงทำสงครามยุทธหัตถี และมังกะยอชะวา สิ้นพระชนม์
    พ.ศ. 2136 ทรงยกกองทัพไปตีเขมรและจับพระยาละแวกทำพิธีปฐมกรรม
    พ.ศ. 2138 และ พ.ศ. 2141 ทรงกรีฑาทัพไปตีกรุงหงสาวดี ครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒
    พ.ศ. 2148 ทรงกรีฑาทัพไปตีกรุงอังวะ เมื่อไปถึงเมืองหางหรือเมืองห้างหลวง ทรงพระประชวร เป็นหัวระลอกขึ้นที่พระพักตร์ เสด็จสวรรคต ณ ทุ่งแก้ว เมืองห้างหลวง ตรงกับวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง พระชนมายุ ๕๐ พรรษา ครองราชย์สมบัติได้ ๑๕ ปี

    สมเด็จพระเอกาทศรถ

    พระบาทสมเด็จพระเอกาทศรถ หรือ พระนามเดิมว่า พระองค์ขาว เสด็จพระราชสมภพ ณ เมืองพิษณุโลก เป็นพระราชโอรสองค์สุดท้ายในสมเด็จพระมหาธรรมราชา กับพระวิสุทธิกษัตรี ทรงเป็นพระอนุชาของพระสุพรรณกัลยาและสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
    ก่อนขึ้นครองราชสมบัติ
    หลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรทรงประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง เมื่อปีพ.ศ. ๒๑๒๗ สมเด็จพระเอกาทศรถก็ได้เสด็จออกร่วมทำการรบคู่กับสมเด็จพระนเรศวร ได้โดยเสด็จในการทำศึกสงครามด้วยทุกครั้งนับแต่นั้นมาจนสิ้นรัชสมัยสมเด็จ พระนเรศวรมหาราช เป็นจำนวนถึง ๑๗ ครั้ง
    ในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวร พระองค์ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สถาปนาพระเอกาทศรถ เป็นสมเด็จพระเอกาทศรถ ที่พระมหาอุปราชา แต่ให้มีพระเกียรติยศเสมอพระเจ้าแผ่นดินและให้ประทับอยู่ที่พระราชวังจันทร์ เกษม
    หลังขึ้นครองราชสมบัติ
    เมื่อสมเด็จพระนเรศวรเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. ๒๑๔๘ พระองค์ก็ได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากสมเด็จพระนเรศวร ในปีเดียวกันในรัชสมัยของพระองค์ บ้านเมืองเป็นปกติสุข เป็นที่เคารพยำเกรงแก่ประเทศเพื่อนบ้าน อันเป็นผลจากการที่สมเด็จพระนเรศวร และพระองค์เองได้ทรงสร้างอานุภาพ ของราชอาณาจักรอยุธยาไว้อย่างยิ่งใหญ่ มีพระราชอาณาเขตแผ่ออกไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาลเกินกว่ายุคใดๆของไทย พระองค์ทรงเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาทำศึกมาตลอดการครองราชย์ของสมเด็จพระนเรศวร จึงไม่มีพระราชประสงค์จะแผ่พระราชอาณาเขตออกไปอีก และหันมาเน้นทางการปกครองบ้านเมืองแทน
    ในรัชสมัยของพระองค์ได้มีชาวต่าง ประเทศอาศัยในกรุงศรีอยุธยาอยู่มากจึงมีการยอมรับชาวต่างชาติเข้ามาเป็นทหาร เรียกว่า ทหารอาสา โดยได้จัดแบ่งออกเป็นพวก ๆ ตามเชื้อชาติ และตามความชำนาญในการรบ เกิดหน่วยทหารอาสาขึ้นหลายหน่วย เช่น กรมอาสาญี่ปุ่น กรมอาสาจาม กรมทหารแม่นปืน (โปรตุเกส) นอกจากนั้นในรัชสมัยของพระองค์ ยังมีชื่อเสียงในด้านความสามารถหล่อปืนใหญ่สำริดที่มีคุณภาพสูง ซึ่งน่าจะได้เรียนรู้มาจากโปรตุเกสและฮอลันดา เมื่อมาผสมผสานกับขีดความสามารถ ในด้านการหล่อโลหะของไทยที่มีการหล่อ ระฆังและพระพุทธรูป ที่มีมาแต่เดิม จึงทำให้การหล่อปืนใหญ่ของไทยในครั้งนั้นเป็นที่ยกย่องชมเชยไปถึงต่างประเทศ ดังจะเห็นได้จากการที่โชกุนของญี่ปุ่น ได้มีหนังสือชมเชยคุณสมบัติของปืนใหญ่ไทยเป็นอันมาก พร้อมกับขอให้ไทยช่วยหล่อปืนใหญ่ให้อีกด้วย
    พระราชโอรสและพระราชธิดา
    สมเด็จพระเอกาทศรถมีพระราชโอรสที่ประสูติจากพระอัครมเหสี สององค์คือ เจ้าฟ้าสุทัศน์ และเจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ และมีพระราชโอรสที่ประสูติจากพระสนม อีกสามองค์คือ พระอินทรราชา พระศรีศิลป์ และพระองค์ทอง ไม่ทรงมีพระธิดา
    เสด็จสวรรคต
    สมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. ๒๑๕๓ ขณะมีพระชนม์พรรษาได้ ๕๐ พรรษาเศษ และทรงอยู่ในราชสมบัติได้ห้าปี เนื่องจากตรอมพระทัยที่พระโอรสเจ้าฟ้าสุทัศน์เสวยยาพิษปลงพระชนม์ พระราชโอรสองค์รอง คือ สมเด็จพระศรีเสาวภาคย์ จึงได้เสวยราชสมบัติสืบต่อมา

    สมเด็จพระศรีเสาวภาคย์

    พระบาทสมเด็จพระศรีเสาวภาคย์ หรือ พระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ ๒๐ ของกรุงศรีอยุธยา และพระองค์ที่ ๔ ของราชวงศ์สุโขทัย เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเด็จพระเอกาทศรถ แต่เจ้าฟ้าสุทัศน์พระโอรสองค์ใหญ่ซึ่งทรงดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราชได้เสวยยา พิษสิ้นพระชนม์ และสมเด็จพระเอกาทศรถก็ตรอมพระทัยสวรรคตตามไปอีกพระองค์หนึ่ง เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์จึงได้รับทูลเชิญให้ขึ้นครองราชย์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๕๓ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๔ โดยส่วนพระองค์แล้วพระองค์มีพระเนตรเสียข้างหนึ่ง และทรงมีพระบุคลิกค่อนข้างอ่อนแอและที่สำคัญที่สุดคือพระองค์ไม่สนพระทัย เกี่ยวกับราชการบ้านเมืองเลย
    ในรัชสมัยของพระองค์ ได้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นในแผ่นดิน โดยเรือของญี่ปุ่นที่เข้ามาค้าขาย ได้ปล้นราษฎร ได้บุกเข้าไปในพระนคร และเข้าไปในพระราชวังหลวง จับสมเด็จพระศรีเสาวภาคย์และบังคับให้ทรงปฏิญาณสัญญาว่ามิให้ผู้ใดทำร้ายพวก ญี่ปุ่น แล้วได้ลงเรือแล่นหนีออกทะเล โดยนำตัวสมเด็จพระสังฆราชไปเป็นตัวประกันจนถึงปากน้ำ
    เนื่องจากทรงไม่สนพระทัยราชการ บ้านเมือง จึงทรงครองราชย์อยู่ได้หนึ่งปีกับสองเดือนก็โดนขุนนางปลดจากราชสมบัติและนำ ไปสำเร็จโทษจึงเสด็จสวรรคต เมื่อปีพ.ศ.๒๑๕๔ พระบรมศพถูกนำไปฝังที่วัดโคกพระยา

    สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม์

    พระบาทสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงธรรม (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๑๕๔- ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๑๗๑) เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๒๗ แห่งกรุงศรีอยุธยา และ เป็นพระองค์ที่ ๕ แห่งราชวงศ์สุโขทัย
    พระราชประวัติ
    สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมมีพระนามเรียกในพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขาว่า สมเด็จพระบรมราชาที่ ๑ เดิมเป็นพระภิกษุเรียกในพระราชพงศาวดาร ว่า พระศรีสิน ผนวชอยู่ที่วัดระฆัง ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระพิมลธรรมอนันตปรีชา
    ต่อมา จมื่นเสาวลักษณ์ หรือ จหมื่นศรีสรรักษ์ บุตรเลี้ยงได้สมคบกันสำเร็จโทษสมเด็จพระศรีเสาวภาคย์ แล้วอัญเชิญพระพิมลฯให้ลาสิกขาบท ขึ้นเสวยราชสมบัติ เมื่อปีขาล จุลศักราช 964 (พ.ศ. 2155) บางเเห่งระบุว่า จุลศักราช 982 (พ.ศ. 2163) แต่หลักฐานของคณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ระบุว่า พ.ศ. 2153 เป็นที่ถูกต้อง
    พระพิมลฯได้ปราบดาภิเษกขึ้น ครองกรุงศรีอยุธยา ทรงพระนามว่า พระเจ้าทรงธรรม หรือ พระบาทสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงธรรม และ ทรงแต่งตั้งจหมื่นศรีสรรักษ์ เป็นมหาอุปราช แต่ดำรงตำแหน่งอยู่เพียง 3 วันก็สิ้นชีวิต สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมมีพระราชโอรส 3 พระองค์ ได้แก่ พระเชษฐากุมาร พระพันปีศรีศิลป์ และ พระอาทิตย์วงศ์ ส่วนจดหมายเหตุวันวลิต วิลันดาระบุว่า พระองค์ มีพระราชโอรส 9 พระองค์ พระราชธิดา 8 พระองค์
    พระราชกรณียกิจ
    พระราชกรณียกิจที่สำคัญก็คือ พระองค์ทรงชะลอวิหารพระมงคลบพิตร ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก นอกพระราชวังโบราณ อยุธยามาไว้ทางทิศใต้ และในสมัยนั้นเมืองตะนาวศรีได้เสียแก่พม่า เขมรแข็งเมือง การค้ากับญี่ปุ่นมีมากขึ้น พรานบุญพบรอยพระพุทธบาทที่สระบุรี ทรงพระราชนิพนธ์ กาพย์มหาชาติ และทรงโปรดเกล้าให้ขุดคลองวัดไก่เตี้ย บ้านสามโคก
    สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ครองราย์ได้ 17 ปี จึงเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2171 ซึ่งเป็นวันที่ชาวฮอลันดาได้บันทึกไว้

    สมเด็จพระเชษฐาธิราช์

    พระบาทสมเด็จพระเชษฐาธิราช (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๑๗๑- พ.ศ. ๒๑๗๑) ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม มีพระอนุชาองค์หนึ่งพระนามว่า พระอาทิตยวงศ์
    เมื่อสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมเสด็จ สวรรคตได้เกิดการชิงราชสมบัติระหว่างพระองค์กับพระศรีศิลป์พระอนุชาในสมเด็จ พระเจ้าทรงธรรม ฝ่ายพระองค์มีออกญาศรีวรวงศ์ กับออกญาเสนาภิมุข (ยามาดะ) เป็นกำลังสำคัญได้จับพระศรีศิลป์ ซึ่งเป็นพระมหาอุปราชสำเร็จโทษ แล้วกราบบังคมทูลเชิญพระองค์ขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่าสมเด็จพระเชษฐาธิราช หรือ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุได้ 15 พรรษา ออกญาศรีวรวงศ์ ได้เลื่อนฐานะเป็น เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์
    เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ ได้แปดเดือน ก็คิดเกรงว่าเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์จะคิดแย่งราชสมบัติ จึงทรงหาทางกำจัดเสีย แต่ความนี้ได้รู้ไปถึงเจ้าพระยากลาโหมเสียก่อนก็ขัดเคือง จึงได้ยกกำลังบุกเข้าไปในวังหลวง สมเด็จพระเชษฐา ฯ มิได้คิดต่อสู้ได้แต่หลบหนีไป เจ้าพระยากลาโหม ฯ จึงสั่งให้พระยาเดโช พระยาท้ายน้ำตามไปทันที่ป่าโมกน้อยจับสมเด็จพระเชษฐาฯ มาได้ เจ้าพระยากลาโหมฯ จึงสั่งให้นำสำเร็จโทษเสีย

    สมเด็จพระเชษฐาธิราชครองราชย์ได้๘เดือน

    สมเด็จพระอาทิตยวงศ์

    พระบาทสมเด็จพระอาทิตยวงศ์ (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๑๗๒- พ.ศ. ๒๑๗๒) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๒๓ แห่งกรุงศรีอยุธยา (ถ้านับขุนวรวงศาธิราชจะนับเป็น ๒๔) ทรงเป็นพระราชโอรสองค์รองในสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม เป็นพระอนุชาในสมเด็จพระเชษฐาธิราช เสด็จพระราชสมภพเมื่อปี พ.ศ. ๒๑๖๑ เมื่อสมเด็จพระเชษฐา ฯ เสด็จสวรรคตแล้ว เจ้าพระยากลาโหมได้อัญเชิญพระองค์ขึ้นครองราชย์ เมื่อพระชนมายุได้เพียง ๑๐ พรรษา โดยมีเจ้าพระยากลาโหม ฯ เป็นผู้สำเร็จราชการ แต่เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์ได้เพียงเดือนเศษ บรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวงเห็นว่า พระองค์ทรงพระเยาว์ ไม่สามารถปกครองบ้านเมืองได้ (ในพงศาวดารคำให้การชาวกรุงเก่าระบุว่า ทรงเที่ยวเล่นประพาศจับแพะจับแกะไปเรื่อย เจ้าพนักงานต้องนำเครื่องทรงและเครื่องเสวยตามไปทุกที่) จึงได้ อัญเชิญพระองค์ออกจากราชสมบัติ และนำไปสำเร็จโทษที่วัดโคกพระยา แล้วอัญเชิญเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไป ทรงพระนามว่า พระเจ้าปราสาททอง
    สมเด็จพระอาทิตยวงศ์ ทรงอยู่ในราชสมบัติเพียง ๓๘ วัน

    ขอขอบคุณ http://www.sema.go.th/files/Content/Social/k4/0043/sky_high/k10.html




    -http://www.phawatsat.ob.tc/history16.html-

    ประวัติกษัตริย์ราชวงศ์สุโขทัย








    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 14 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 13 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong</td></tr></tbody></table>
    ไปพักผ่อนแล้วครับ

    ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ



    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong</td></tr></tbody></table>

    อรุณสวัสดิ์ยามเช้า วันจันทร์แจ่มใส ครับ



    .
     
  8. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    สวัสดี เช้าวันจันทร์ ครับ
     
  9. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ต่างชาติทึ่ง สะพานข้ามทะเลยาวที่สุดในโลก จีนสร้าง 4 ปีเสร็จ<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>4 กรกฎาคม 2554 07:58 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=600>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ไกลสุดสายตาขอบฟ้าคาบสมุทรฯ สะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุดในโลก ชิงเต่าไห่วาน (ภาพเอเยนซี) </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เอเยนซี - เทเลกราฟ สื่อต่างประเทศรายงาน ความพร้อมเปิดสะพานข้ามทะเลที่ได้ชื่อว่ายาวที่สุดในโลก และใช้เวลาสร้างเพียง 4 ปี

    สื่อต่างประเทศกล่าว เมื่อวันที่ 1 ก.ค. ว่า เป็นเรื่องปกติสำหรับการเดินทางคมนาคมข้ามแม่น้ำหรือทะเลโดยสะพาน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการข้าม แต่สำหรับสะพานชิงเต่าไห่วานของจีนนี้ จะต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมง นับเป็นสะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุดในโลกเวลานี้ ยาวกว่าสะพาน Lake Pountchartrain Causeway ในมลรัฐหลุยส์เซียน่า สหรํฐฯ 3 ไมล์

    สะพานชิงเต่าไห่วานนี้ ที่ทอดผ่านอ่าวเจียวโจวทางชายฝั่งตอนใต้ของคาบสมุทรซานตง ได้ผ่านการตรวจสอบ การก่อสร้างจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และกำลังเตรียมส่งมอบโครงการเป็นลำดับต่อไป เพื่อเปิดให้ใช้บริการในเร็วๆนี้ มีความยาว 42.5 กม. (26.4 ไมล์) มีความกว้าง 35 เมตร แบ่งเป็น 8 ช่องทางวิ่ง และคาดว่าจะรองรับรถยนต์ในแต่ละวันมากถึง 30,000 คัน ช่วยย่นระยะเวลาการเดินทางของรถยนต์นับล้านๆ ระหว่างชิงเต่า กับ หวงเต่าได้มากกว่า 40 นาที และลัดกว่าเส้นทางเดิม 31 กม.

    รายงานข่าวกล่าวว่า ความยาวของสะพานแม้ว่าจะน่าทึ่งแล้ว แต่การทำสถิติก่อสร้างด้วยการใช้เวลาเพียง 4 ปีนี้ยิ่งน่าทึ่งกว่ามาก ด้วยคนงานก่อสร้างมากถึง 10,000 คน ใช้ปริมาณคอนกรีตกว่า 2.3 ล้านลูกบาศก์เมตร และเหล็กน้ำหนักรวมกว่า 450,000 ตัน สร้างเสาคานในทะเลรับน้ำหนักสะพาน 5,000 ต้น รับประกันอายุการใช้งานนาน 100 ปี โดยใช้งบประมาณในการลงทุนมากกว่า 10,000 ล้านหยวน(ราว 1,540 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) นับเป็นเทคโนโลยีการออกแบบ และเป็นงานสร้างที่น่าทึ่งแห่งศตวรรษใหม่ทีเดียว

    (แผนที่แสดงสะพานเชื่อมระหว่างชิงเต่า - หวงเต่า ความยาว 42.5 กม. - ภาพเอเยนซี)
    [​IMG]

    (ชมคลิปฯ ถ่ายทางอากาศทัศนียภาพของสะพานชิงเต่าไห่วาน ณ มณฑลซานตง)
    <CENTER><IFRAME src="http://www.youtube.com/embed/BjO0KAnDQDw" frameBorder=0 width=560 height=349 allowfullscreen></IFRAME></CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา Manager Online
     
  10. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ร้าน“ข้าวผัดปูฮ่องกง” ทีเด็ดจานด่วน กับเมนูหลากหลาย</TD><TD vAlign=baseline align=right width=102></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>3 กรกฎาคม 2554 14:41 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> โดย : ผ่านมาแวะกิน (travel_astvmgr@hotmail.com)

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>บรรยากาศร้านข้าวผัดปูฮ่องกง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ถ้าพูดถึงอาหารจีนสไตล์ฮ่องกง ก็คงจะไปหากินได้ตามร้านเหลาต่างๆ แต่สำหรับอาหารสไตล์ฮ่องกงที่เป็นจานด่วนนั้นคงจะต้องเสาะหากันสักนิด ดังเช่นร้าน“ข้าวผัดปูฮ่องกง” ที่“ผ่านมาแวะกิน” ผ่านไปเจอะเจออยู่แถวๆ แยกลาซาล

    ร้านข้าวผัดปูฮ่องกง เน้นขายอาหารจานด่วนแบบฮ่องกง ร่วมด้วยอาหารสไตล์ฮ่องกงฟิวชั่นที่ผสมผสานรสชาติระหว่างอาหารไทยกับฮ่องกง นอกจากนี้ยังมีอาหารไทยให้ลิ้มลองกันอีกด้วย

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ข้าวผัดปูฮ่องกง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ถ้าหากมาถึงที่ร้านนี้แล้วก็ต้องลองสั่ง ข้าวผัดปูฮ่องกง (50 บาท) ซึ่งเป็นเมนูที่ทางร้านคิดค้นขึ้นมาเองจากการผสมผสานระหว่างข้าวผัดปูแบบไทยๆ กับข้าวผัดฮ่องกง โดยจะใช้ข้าวหอมมะลิที่หุงสุกแล้วมาผัดกับมาการีน แล้วใส่ทั้งกุนเชียง แครอท คะน้า ข้าวโพดอ่อน หมูแดง เนื้อปู และไข่ไก่ ลองชิมจานนี้จะได้ความหอมของข้าวที่ผสมกับไข่ไก่ รสชาติออกหวานเล็กน้อยจากกุนเชียง กลมกล่อมถูกลิ้น

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ข้าวผัดปู</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ส่วนถ้าอยากเห็นความแตกต่างระหว่างข้าวผัดฮ่องกงกับข้าวผัดปู ก็ต้องลองชิม ข้าวผัดปู (45 บาท) จานนี้จะเป็นข้าวผัดแบบไทยๆ ที่ใช้ข้าวหอมมะลิมาผัดกับมาการีนเช่นกัน จากนั้นก็จะใส่ทั้งไข่ไก่ เนื้อปู หอมหัวใหญ่ และต้นหอม จานนี้จะได้รสชาติที่แตกต่างออกไป แต่ก็กลมกล่อมหอมอร่อยเช่นกัน ซึ่งถ้าใครที่ชอบรสชาติจัดจ้านขึ้นมาอีกนิด ก็ใส่น้ำปลาพริกและบีบมะนาวอีกสักเล็กน้อยได้เลย

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ผัดหมี่ฮ่องกง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> และจานนี้ก็เป็นอีกเมนูที่น่าลองลิ้ม ผัดหมี่ฮ่องกง (50 บาท) ที่จะใช้เส้นหมี่ฮ่องกง มาผัดใส่กุ้ง เห็ดหอม ปลาหมึกกรอบ ไข่ไก่ แครอท และคะน้า โดยจะผัดในสไตล์ฮ่องกงคล้ายๆ กับผัดหมี่ซั่ว ซึ่งก็ได้รสชาติอร่อยเต็มลิ้น เครื่องเคราทั้งหลายก็กลมกล่อมเข้ากับเส้นเป็นอย่างดี

    ลองชิมอีกจานที่ขึ้นชื่อเช่นกัน ราดหน้าฮ่องกงรวมมิตร (85 บาท) จานนี้ใช้เส้นใหญ่มาทอดกรอบ ส่วนน้ำราดนั้นใช้น้ำซุปผัดกับเนื้อปลาดอลลี่ หอยแมลงภู่นิวเซีแลนด์ เนื้อไก่ เนื้อหมู กุ้ง ปลาหมึก ไข่นกกระทา เห็ดหอม คะน้า แครอท แล้วใส่แป้งมันฮ่องกงเพื่อให้ได้ความเหนียวหนืดของน้ำ ลองชิมแล้วเส้นใหญ่หอมกรอบ ตัวน้ำราดได้รสชาติเข้าเนื้อ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ราดหน้าฮ่องกงรวมมิตร</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> จานสุดท้ายที่ลองชิมคือ หมูสะเต๊ะ (ชุด 10 ไม้ 50 บาท) เมนูนี้เป็นสูตรแบบชาววัง ที่ใช้สันนอกหมูมาหมักด้วยกะทิและเนย เพื่อให้ได้ความนุ่ม เมื่อได้ที่แล้วจะนำมาย่างจนสุก ส่วนน้ำจิ้มมีส่วนผสมของพริกแกง ถั่วลิสงป่น น้ำตาลปี๊บ กะทิ และน้ำมะขาม แล้วก็กินคู่กับอาจาดรสชาติเปรี้ยวหวาน ชิมหมูสะเต๊ะเนื้อนุ่มหอมกะทิได้รสชาติ น้ำจิ้มก็หอมมันอร่อยเข้ากันดี

    นอกจากเมนูน่าลิ้มลองที่ว่ามาแล้ว ก็ยังมีอีกหลายเมนูที่อยากแนะนำ อาทิ หอยทอดนิวเซีแลนด์ (85 บาท) ข้าวราดปูกะหรี่สูตรฮ่องกง (50 บาท) เส้นหมี่ผัดกระเฉดหมู (45 บาท) ผัดไทยเกี๊ยวกรอบ (65 บาท) เป็นต้น ซึ่งถ้าหากนึกถึงอาหารฮ่องกงแบบจานด่วนที่อร่อยถูกลิ้นแบบนี้ ก็ต้องแวะกันมาที่ร้าน “ข้าวผัดปูฮ่องกง”

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>หมูสะเต๊ะ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

    ร้าน “ข้าวผัดปูฮ่องกง” ตั้งอยู่ที่ 4/33 ถ.ศรีนครินทร์ แขวงบางนา เขตบางนา กทม. การเดินทาง จาก ถ.บางนา-ตราด ให้เลี้ยวเข้า ถ.ศรีนครินทร์ (ทางที่จะไปสมุทรปราการ) ตรงมาเรื่อยๆ จนถึงสี่แยกลาซาล ให้เลี้ยวซ้าย ร้านจะตั้งอยู่หัวมุมทางซ้ายมือ สามารถจอดรถได้บริเวณหน้าร้าน ทางร้านมีบริการเดลิเวอรี่ (คิดค่าจัดส่งตามระยะทาง) รับออกงานภายนอกเฉพาะหมูสะเต๊ะ ร้านเปิดทุกวัน เวลา 11.00-22.00 น. (หยุดทุกวันจันทร์ที่ 3 ของเดือน) โทร. 08-1259-8000
    ที่มา Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ขั้นตอนการสระผมอย่างถูกวิธี

    วันจันทร์ ที่ 04 กรกฎาคม 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    เคยสงสัยไหมว่า วิธีการสระหรือบำรุงรักษาเส้นผมของตนเองที่ทำอยู่ในปัจจุบัน เป็นวิธีที่ถูกต้องหรือไม่ วันนี้มีเคล็ดลับดูแลให้เส้นผมสะอาดและสวยเงางามอย่างถูกวิธีมาฝาก

    เส้นผมต้องสัมผัสกับมลภาวะต่าง ๆ นานา ในทุกที่ที่เจ้าของไป เมื่อถึงเวลาจึงต้องทำความสะอาด ซึ่งก็คือการสระผม โดยวิธีที่ถูกต้องที่อยากแนะนำ เพื่อสุขภาพผมที่ดี มีขั้นตอนดังต่อไปนี้

    ขั้นแรกแนะนำให้หวีผมก่อน เพราะจะทำให้เส้นผมไม่พันกันระหว่างสระ ช่วยลดการขาดของเส้นผมได้ แล้วค่อยชำระล้างสิ่งสกปรกจากฝุ่น ควัน ผง ที่เส้นผมได้ไปสัมผัสมาตลอดทั้งวัน โดยการล้างด้วยน้ำสะอาดให้ทั่วเส้นผมและหนังศีรษะ แล้วจึงค่อยใช้แชมพู ปริมาณในการใช้ไม่ต้องมาก เพราะจะทำให้ล้างออกยาก และอาจตกค้างที่หนังศีรษะจนแพ้หรือเป็นรังแคได้ ให้เทลงบนฝ่ามือ อย่าเทโดยตรงลงบนผม เพราะเนื้อแชมพูที่เข้มข้นอาจเกาะอยู่ตามหนังศีรษะและเส้นผม ทำให้ล้างออกยาก และเสี่ยงต่อการตกค้างได้ ให้กะปริมาณดังนี้ ผมสั้นปริมาณในการใช้ประมาณเหรียญบาท ผมประบ่าเหรียญห้าบาท แต่ถ้าผมยาวมากให้แบ่งเป็น 2 ตอน คือโคนผมและปลายผม ปริมาณของแต่ละส่วนเท่ากับเหรียญสิบ แล้วขยี้แชมพูลงบนฝ่ามือสักครู่จนเกิดฟอง

    ให้นำฟองแชมพูไปขยี้เบา ๆ ให้ทั่วเส้นผมและหนังศีรษะ ให้ใช้ปลายนิ้วทั้งห้ากดนวดเบา ๆ ให้ทั่ว อย่าเกา เพราะอาจทำให้หนังศีรษะเป็นแผล และเป็นการกระตุ้นรังแคด้วย ใช้เวลาในการสระตามที่ฉลากข้างขวดกำหนด หรือถ้าไม่ระบุ ให้ใช้ประมาณ 5 นาที การทิ้งไว้นานเกิน 5 นาทีโดยไม่ได้ล้างออก อาจเป็นผลเสียได้ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ผลิตมาสำหรับการหมักผม ถ้าทิ้งไว้นานเกินไป จะทำให้แพ้ ผมร่วง และเป็นรังแคได้ เสร็จแล้วล้างแชมพูออกให้สะอาด ไม่มีฟองตกค้าง ถ้ามีเวลาควรสระผม 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นการทำความสะอาดสิ่งสกปรก ส่วนครั้งที่สองเป็นการบำรุงเส้นผม เสร็จแล้วใช้ครีมนวดผม โดยปริมาณในการใช้ก็เท่ากับการใช้แชมพู นำไปชโลมให้ทั่วเส้นผม แล้วใช้มือลูบผมจากโคนถึงปลาย เพื่อให้ครีมนวดซึมทั่วผมทั้งเส้น ให้เน้นที่ปลายเป็นพิเศษ นวดหนังศีรษะด้วยปลายนิ้วเบา ๆ และทิ้งไว้สักครู่ตามที่ฉลากกำหนด หรือประมาณ 1-2 นาที แล้วล้างออกให้สะอาดหมดจดเช่นเดียวกัน

    เมื่อทำความสะอาดเส้นผมเรียบร้อยแล้วให้ใช้ผ้าขนหนูค่อย ๆ ซับน้ำ แล้วเช็ดเบา ๆ ลูบจากด้านบนลงด้านล่าง ในทิศทางเดียวกับเส้นผม อย่าขยี้ เพราะการขยี้เป็นสาเหตุหนึ่งของผมร่วงและพันกัน รวมถึงทำให้ผมยุ่งไม่เป็นทรงเมื่อแห้งแล้วด้วย จากนั้นถ้ามีเวลา ควรปล่อยให้ผมแห้งเองตามธรรมชาติ ไม่ควรใช้ไดร์เป่าผมบ่อย ๆ เพราะอาจเป็นสาเหตุของผมแห้งเสียได้ และไม่ควรนอนในขณะที่ผมยังเปียกอยู่ เพราะอาจเป็นเชื้อราบนหนังศีรษะ และจัดทรงยากอีกด้วย อีกข้อที่ไม่ควรทำเวลาผมเปียกคือการหวีผม เพราะจะทำให้เส้นผมขาดและหลุดร่วงได้ง่าย.





    ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
     
  12. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ตาแห้ง-พร่ามัว เสี่ยงกระจกตาเปื่อย

    วันจันทร์ ที่ 04 กรกฎาคม 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    ดวงตา ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นอวัยวะอีกหนึ่งอย่างที่สำคัญ ในชีวิตของคนมีตาปกติต้องใช้งานดวงตาทุกวี่วันไม่มีหยุด นอกเสียจากตอนนอนหลับ หรือหลับตาเพื่อพักสายตาเพียงชั่วครู่

    เมื่อดวงตาเป็นอวัยวะที่มีบทบาทสำคัญถึงเพียงนี้ หากใช้แล้วไม่รู้จักพัก ดูแลไม่ดี ‘มุมสุขภาพ’ ต้องขอเตือนให้ระวัง ‘โรคกระจกตาเสื่อม’ ที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่ใช้คอนแทคเลนส์ไม่ถูกวิธี เป็นโรคตาแห้ง และมีโรคประจำตัวที่ทำให้ต่อมน้ำตาแห้ง

    อาการเตือนก็จะมีตั้งแต่แสบตา คันตา รู้สึกเจ็บตา เป็นตาแดงบ่อยๆ เห็นรอยเส้นเลือดฝอยสีแดงขึ้นในตาขาว ตาพร่ามัว เหล่านี้เป็นอาการของปัญหาตาแห้ง ส่วนผู้ที่ใช้คอนแทคเลนส์อย่างไม่ถูกต้อง เช่น ใช้งานเกินอายุคอนแทคเลนส์ ใส่ค้างไว้นานเกิน 8-10 ชั่วโมง หรือใส่นอน ไม่ค่อยล้างทำความสะอาดคอนแทคเลนส์และกล่องเก็บ พฤติกรรมดังกล่าวมักจะนำอาการเจ็บตา มีเยื่อเมือกสีขาวปกคลุมทั้งตาขาวและตาดำ

    สาเหตุที่การใช้คอนแทคเลนส์อย่างผิดๆทำให้กระจกตาเปื่อยได้ก็เพราะ การใส่คอนแทคเลนส์ที่สกปรกอาจนำฝุ่นผงเข้าไปทำลายกระจกตาให้เป็นแผลถลอก และเป็นแหล่งสะสมของเชื้อบักเตรี ชื่อ สูโดโมแนส แอโรจิโนซา เป็นแบคทีเรียที่เกิดขึ้นในที่เปียกชื้น ดังนั้นการนำคอนแทคเลนส์ที่มีเชื้อดังกล่าวมาใส่ จึงเป็นโอกาสให้เพาะพันธุ์เต็มดวงตาและทำลายกระจกเมื่อมีแผลเปิด

    ส่วนสาเหตุอาการตาแห้งแล้วกระจกตาเปื่อยได้ เนื่องจากดวงตาที่มีสภาพแห้งจะทำให้กระจกตาไม่แข็งแรง เกิดการแยก หรือการถลอก จนทำให้เกิดแผล และเป็นทางเข้าของเชื้อโรค ในที่สุดกระตกก็จะเปื่อย

    โรคกระจกตาเปื่อย หากเป็นในระดับรุนแรงจะมีหนองที่ดวงตา ยิ่งถ้าหนองขึ้นเต็มดวงตา จักษุแพทย์อาจต้องผ่าตัดควักดวงตาออกเพื่อป้องกันมิให้เชื้อแบคทีเรียชนิดดังกล่าวลุกลามไปยังสมองหรืออวัยวะอื่นๆ ทว่าอาการที่ไม่รุนแรงก็ยังพอรักษาด้วยยาได้

    ไม่อยากเป็นโรคกระจกตาเปื่อย ต้องไม่ขาดวิตามินเอ ที่มีสรรพคุณบำรุงสายตา มีมากในผักและผลไม้สีเขียว ผู้ที่ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน หรือทำงานในที่มีแสงสว่างน้อย ต้องหมั่นพักสายตาทุกๆ 1 ชั่วโมง กรณีที่สงสัยว่า ตนเองมีอาการตาแห้งเกิดขึ้นบ่อยๆ ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อวัดปริมาณน้ำตา ถือเป็นการป้องกันโรคกระจกตาเสื่อมได้.

    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
     
  13. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    วันที่ 04 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7522 ข่าวสดรายวัน


    วิจัยชี้ผู้ป่วย'เบาหวาน'ทั่วโลกเพิ่มขึ้น2เท่า!




    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=360 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#e0e0e0>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน และฮาร์วาร์ด เผยผลการศึกษาลงในวารสารแลนเซตว่า จากการวิเคราะห์ปริมาณน้ำตาลในเลือดของคนอายุ 25 ปีขึ้นไปจำนวน 2.7 ล้านคนทั่วโลกเพื่อนำมาประเมินความชุกของเบาหวาน พบว่าจำนวนผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มขึ้นจาก 153 ล้านคนในปี 2523 เป็น 347 ล้านคนในปี 2551 แต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากน้ำตาลในเลือดสูงและเบาหวานราว 3 ล้านคนจากโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ไต เส้นประสาทและตาเสียหาย

    นักวิจัยยังพบว่า สองปัจจัยหลักที่ทำให้ทั่วโลกมีคนเป็นเบาหวานเพิ่มขึ้นคือ การมีอายุขัยยืนยาวขึ้นและมีน้ำหนักตัวมากขึ้นโดยเฉพาะในสตรี แนวโน้มนี้สวนทางกับการมีความดันโลหิตสูงและคอเลสเตอรอลสูงที่ลดลงในหลายภูมิภาค เบาหวานเป็นโรคที่ป้องกันและรักษายากกว่าความดันโลหิตสูงและคอเลสเตอรอลสูง

    ด้านนายมาจิด เอสซาติ หนึ่งในคณะวิจัยกล่าวว่า โรคเบาหวานกำลังกลายเป็นโรคที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนในโลก โดยในบรรดาประเทศที่พัฒนาแล้วสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยโรคเบาหวานมากที่สุด คณะผู้วิจัยได้เรียกร้องให้มีวิธีการตรวจหาและการรักษาโรคเบาหวานที่ดีกว่านี้เพื่อป้องกันการเพิ่มจำนวนผู้ป่วยโรคดังกล่าว
    ที่มา ข่าวสด ออนไลน์
     
  14. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    เตรียมรับวิกฤติ วันสิ้นโลก

    <SCRIPT>var fbShare = {url: 'http://bit.ly/ll0Mc2' }</SCRIPT><SCRIPT src="http://widgets.fbshare.me/files/fbshare.js"></SCRIPT>
    <!-- end facebook-share --><!-- end main-sns --><!--end articleDetailPanel-->“วันสิ้นโลก 2012” แม้จะเป็นเพียงหนังฮอลลีวูด ที่สะกดคนดูให้ตื่นเต้นและลุ้นไปกับตัวเอกของเรื่องในการหนีเอาชีวิตรอดกับวินาศภัยวันสิ้นโลก
    แต่มูลเหตุที่มาของวันสิ้นโลกอ้างอิงมาจากหลายแหล่ง แต่ก็ดูสอดคล้องกันทั้งปฏิทินของชาวมาลายัน ที่บังเอิญมาสิ้นสุดในเดือน ธ.ค. 2012 รวมทั้งข้อมูลของนักวิทยาศาสตร์ที่ว่าแกนโลกจะพลิกกลับขั้วจะมีผลทำให้เกิดลมพายุสุริยะ โลกจะไร้สนามแม่เหล็ก อันเป็นเหตุให้เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด เหมือนในหนัง
    แม้ว่า “วันสิ้นโลก 2012” จะเป็นเพียงหนังก็ตาม แต่ก็สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ชมไม่น้อย เพราะธรรมชาติในระยะ 10 ปีมานี้ ได้ส่งสัญญาณเตือนภัยมาให้มนุษย์ทราบเป็นระยะ เหตุการณ์แผ่นดินไหวในหลายประเทศ เปรียบเสมือนกลองที่รัวขึ้นอีกครั้งของสัญญาณเตือนภัยว่า วันสิ้นโลกที่กล่าวขวัญถึง อาจเป็นเรื่องจริงที่มนุษย์ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าหายนะจะเกิดขึ้นจริงในปี 2012 หรือไม่ แต่มนุษย์โลกเราก็ยอมรับแล้วว่าเรากำลังเดินทางสู่หายนะด้วย “ฝีมือ” ของเราเอง ด้วยการจุดไฟเผาให้ “โลกร้อน” เหมือนไฟบรรลัยกัลป์

    [​IMG]
    จะหยุดวิกฤตวันสิ้นโลกอย่างไร

    ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า หากวิถีการดำรงชีวิตของมนุษย์ที่ยังต้องอิงวัตถุเป็นปัจจัยหลักยังคงดำเนินอยู่แบบนี้ โลกในอีก 1020 ปีข้างหน้า จะเป็นโลกที่หน้าตาไม่เหมือนเดิม เพราะการใช้และทำลายทรัพยากรอย่างไร้ขอบเขตนั้น มีผลทำให้ระบบนิเวศน์ของโลกเปลี่ยนแปลงไปจนเลยจุดที่เรียกว่า Tipping Point หรือจุดที่ไม่อาจหวนกลับคืนมาได้อีก
    โลกจะมีสภาพหนาวเย็น ขาดแคลนอาหาร น้ำ พลังงาน มนุษย์จะอยู่อย่างแร้นแค้น สำหรับประเทศไทยเป็นที่คาดการณ์ว่า น้ำจะท่วมขนาดที่กรุงเทพฯ จะจมหายเป็นเมืองใต้บาดาล ก่อนเหตุการณ์นี้จะมาถึงจึงต้องตั้งคำถามว่า เราได้ลงมือกระทำอะไรบางอย่างที่เป็นการป้องกันแล้วหรือยัง
    ประเทศไทยถูกจัดให้เป็นประเทศหนึ่งที่จะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนอยู่ในขั้น “หนักหน่วง” แม้จะเป็นประเทศที่โชคดี ยังมีทรัพยากรพื้นฐานดีกว่าประเทศอื่น แต่ด้วยมีจุดอ่อนในการบริหารจัดการ การเตรียมการป้องกันจึงยังอยู่ในอาการ “ลูกผีลูกคน” ทั้งนี้ ผลกระทบเกี่ยวกับโลกร้อนที่แสดงอาการแตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมภัยแล้ง ดินถล่ม ยังขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันด้านสิ่งแวดล้อม และคนของประเทศนั้นด้วย

    [​IMG]
    การหยุดวิกฤตในประเทศไทยจึงต้องอาศัย “ปัจจัยภายใน” เป็นหลัก และความสำเร็จในการหยุดวิกฤต จึงไม่อาจขึ้นอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ จำเป็นต้องอาศัยการระดม “พลังฝ่ามือ” ในรูปแบบเบญจภาคี ประกอบด้วย ภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคประชาชน ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมและสื่อ จึงจะมีโอกาสที่ภารกิจนี้บรรลุ
    ภาครัฐ เปรียบเสมือน “หัวแม่มือ” ตามบทบาทถือเป็นหัวเรือใหญ่ของขบวนเรือหยุดวิกฤต เพราะมีทั้งเงิน คน ข้อมูล อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือ และอำนาจ ภาควิชาการที่เป็น “นิ้วชี้” สามารถชี้ผิดชี้ถูก เป็นคลังสมองปัญญาของประเทศ หากทำหน้าที่ชี้นำให้สังคมอุดมปัญญา แทนอุดมปัญหา ก็จะเป็นอีกหนึ่งภาคส่วนที่จะช่วยหยุดวิกฤตให้ประเทศได้
    ภาคประชาชน คือ “นิ้วกลาง” ที่เป็นศูนย์กลางและสำคัญที่สุดในวิกฤตโลกทั้งหมดนี้ ภาคประชาชนได้รับผลกระทบมากที่สุดในฐานะประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม หากกลไกหยุดวิกฤตไม่ได้ผล ภาคเอกชนจะลำบากที่สุด
    ภาคเอกชน ถือเป็น “นิ้วนาง” ถึงเวลาต้องถอดแหวนเครื่องประดับราคาแพงออกเพื่อร่วมขบวนหยุดวิกฤตโลก เพราะถือเป็นตัวการสำคัญของเหตุวิกฤต เนื่องจากใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มุ่งแต่แสวงหากำไรเข้ากระเป๋า โดยขาดความรับผิดชอบ เสียงเรียกร้องจึงดังกระหึ่ม ให้คืนกำไรสู่สังคม มาเป็นพระเอกในขบวนการหยุดวิกฤตโลกด้วย “สำนึกรับผิดชอบ”
    ส่วน ภาคประชาสังคมและสื่อ เปรียบเสมือน “นิ้วก้อย” ทำหน้าที่เกี่ยวก้อยเชื่อมประสาน บอกเรื่องราว สะท้อนข้อเท็จจริง สะท้อนปัญหา นิ้วก้อยจึงเป็นพระเอกตัวจริงที่จะหยุดวิกฤตโลกได้ หรือตรงข้ามก็เป็น “ผู้ร้าย” ทำให้โลกย่อยยับไปกับตาได้เช่นกัน
    แผนเตรียมรับมือกับวิกฤตและภัยพิบัติ

    [​IMG]
    เมื่อรู้ว่าวิกฤตและภัยพิบัติจะมา สิ่งจำเป็นที่สุดในการเตรียมรับมือคือ การมีแผน ทั้งแผนก่อนเกิดภัย ขณะเกิดภัย และหลังเกิดภัย ทั้งระบบข้อมูล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้รับผิดชอบ การประสานงาน ใครต้องทำอะไร ที่ไหน อย่างไร รวมทั้งแผนการเคลื่อนย้ายอพยพในกรณีมีการเสียชีวิต การบาดเจ็บ เด็ก คนแก่ คนเจ็บ คนตาย จะทำอย่างไร อาหาร น้ำ ยา จะลำเลียงอย่างไร อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือ จะต้องใช้อะไร ทั้งหมดจะต้องถูกระบุและเตรียมการในแผนให้ครบถ้วน
    การไม่มีแผนนั้นน่ากลัว แต่แผนที่น่ากลัวคือแผนที่ไร้ประสิทธิภาพ มีผู้รู้หลายท่านกล่าวไว้ว่า “กฎหมาย กฎระเบียบของประเทศไทยดีมาก ขาดแต่คนลงมือปฏิบัติ” แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติตั้งแต่ฉบับที่ 111 ตอกย้ำข้อเท็จจริงได้ดี ตัวอย่างหนึ่งที่จะเป็นบทพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพของการใช้แผน คือแผนป้องกันภัยพิบัติด้านการเกษตรปี 2553 ที่รัฐบาลเพิ่งประกาศใช้เร็วๆ นี้
    ถ้าว่ากันตามตัวอักษร แผนฉบับนี้เป็นแผนป้องกันที่เขียนขึ้นอย่างมีมาตรฐาน มีการกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบอย่างชัดเจน กำหนดภารกิจของแต่ละหน่วยงานในแต่ละช่วงเวลา ระยะเวลา งบประมาณ แต่ข้อน่าวิตกคือ แนวคิดของการรับมือกับภัยพิบัติที่มีภาครัฐเป็น “พระเอก” แต่เพียงผู้เดียว โดยขาดการประสานมีส่วนร่วมกับภาคส่วนอื่นของสังคม รวมทั้งการใช้กลไกเดิมๆ ที่ไร้ประสิทธิภาพในสถานการณ์ฉุกเฉินเร่งด่วน จะทำให้แผนดังกล่าวมีสภาพเป็นเพียงเสือกระดาษอีกตัวหนึ่งหรือเปล่า คงต้องรอดูกันต่อไป
    คนไทยจะอยู่กับวิกฤตอย่างไร
    ถ้าเชื่อว่าทุกปัญหามีทางออก วิกฤตก็จะแปรสภาพเป็นโอกาส อันที่จริง “ภัยพิบัติ” ทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น พายุดีเปรสชัน น้ำท่วม ดินถล่ม ฯลฯ ล้วนเป็นพัฒนาการทางธรรมชาติ ที่อยู่คู่กับสังคมมนุษย์มานาน และในอดีตไม่ได้ถูกมองว่าเลวร้ายอะไร ในสังคมตะวันออกที่มีวัฒนธรรมอยู่อย่างประสานกลมกลืนกับธรรมชาติ ภัยทางธรรมชาติที่กล่าวมาทั้งหมดก็ไม่ได้ถูกมองว่า “เป็นปัญหา” เพราะมันเป็นของมันเช่นนั้นอยู่แล้ว มนุษย์ก็จัดสรร การดำรงชีวิตให้สอดคล้องกับลักษณะทางธรรมชาติที่เป็นอยู่ ปัญหาทุกอย่างก็จะหมดไป
    วิถีชีวิตของคนไทยในอดีต ก่อนที่เราจะรับเอาวิธีคิดแบบ “เอาชนะธรรมชาติ” ของตะวันตกมา เราก็อยู่อย่างกลมกลืนสอดคล้องกับภูมิอากาศในประเทศไทยมานาน การปลูกบ้านเรือนก็ปลูกแบบสอดรับกับธรรมชาติที่เป็นประเทศร้อน เป็นที่ลุ่มยกเรือนให้สูง หน้าน้ำเราก็อยู่กับน้ำได้อย่างมีความสุข เดินทางทางน้ำค้าขายทางน้ำ เทศกาลก็มีกิจกรรมต่างๆ กับน้ำ เวลาน้ำมา ก็ขนของหนีน้ำขึ้นเรือน ไม่เห็นต้องเดือดร้อนใจ มีเรือไว้เดินทางสัญจรไปมา เพียงแค่ยอมรับปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่เป็นจริงชีวิตก็ลงตัว
    ปัญหาใหญ่ที่กลายเป็นวิกฤต เพราะคนติดสบายตามใจกิเลส ตามแนวคิดทุนนิยมตะวันตก จึงหักหาญ เอาชนะดัดแปลงเมืองเลยจุดที่ธรรมชาติจะยอมรับได้ ธรรมชาติก็เกิดการปรับสมดุลของตัวเองครั้งใหญ่ มนุษย์จึงรับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หนทางออกง่ายนิดเดียวใช้ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นเกราะกำบังชีวิต
    เพราะปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือเสาเข็มทางปัญญาที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงตกผลึกทางความคิด จากประสบการณ์อันยาวนานของพระองค์เอง กลั่นกรองออกมาเป็นแนวคิดมอบให้กับพสกนิกรไทยใช้เป็น “เครื่องมือ” ในการดำรงชีวิตท่ามกลางกระแส “วิกฤตวันสิ้นโลก” แต่เมื่อทำดีถึงที่สุดก็ยังไม่หลุดพ้น ก็คงต้อง “ช่างหัวมัน” ตามรอยพระองค์ท่านเหมือนกัน
    ที่มา โพสต์ทูเดย์ ออนไลน์
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรียน คุณอนัตตัง

    หลังจากนี้ไป คะแนนในส่วนของ 2.การเข้ามาพูดคุยในกระทู้พระวังหน้า (ไม่น้อยกว่า 20 ครั้ง / 1 เดือน)

    ผมจะให้คะแนนเต็มในแต่ละเดือนเพียง 10 คะแนนเท่านั้นครับ

    จึงเรียนมาเพื่อทราบ
    sithiphong
    4/7/2554

    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จากสาเหตุที่ลดลง เนื่องจากในวันงานผ้าป่าสามัคคีศรีชัยผาผึ้ง คุณอนัตตัง ไม่ได้เข้าไปร่วมในงานดังกล่าว จะได้ให้สมาชิกชมรมพระวังหน้าหลายๆท่าน ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยด้วย

    หากผ่านเกณฑ์ในส่วนของการให้คะแนนแล้ว ยังต้องผ่านความเห็นชอบของสมาชิกชมรมพระวังหน้า ในคะแนนเสียงที่ต้องไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิก(ไม่นับเสียงของท่านประธานชมรมพระวังหน้าและรองประธานชมรมพระวังหน้า)

    ถามว่า ทำไมถึงสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้ายากขนาดนี้

    ตอบได้ว่า เป็นเพราะอดีตสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า(ชมรมรักษ์พระวังหน้า ปัจจุบันได้ปิดไปแล้ว) , อดีตสมาชิกกองทุนหาพระถวายวัด (กองทุนหาพระถวายวัด ปัจจุบันก็ปิดไปแล้วเช่นกัน) และ อดีตสมาชิกชมรมพระวังหน้า ที่ทำให้ผมและสมาชิกชมรมพระวังหน้าหลายๆท่าน มีประสบการณ์ในการพิจารณาผู้ที่สนใจจะเข้ามาสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้า

    โดยส่วนตัวผม โดนไปเยอะครับ ที่ว่าโดนนั้น โดนนำข้อมูลต่างๆ ไปบิดเบือน อีกทั้ง นำไปผสมปนเปกับข้อมูลเท็จอื่นๆ อีกทั้งการโดนแต่งเรื่องราวที่เป็นเท็จอีก และในเรื่องนี้ ปัจจุบันผมไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะใครทำอะไร ต้องได้เช่นนั้น แต่ต้องนำเรื่องราวต่างๆนี้ มาเป็นบทเรียนในการรับพิจารณาการรับสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้า

    ผมบอกได้ว่า การสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้า ทำได้ยากจริงๆ การทำให้สมาชิกชมรมพระวังหน้า(มากกว่ากึ่งหนึ่ง ยกเว้นคะแนนเสียงของท่านประธานชมรมพระวังหน้า และ ท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า) ลงความเห็นชอบในการรับสมาชิกใหม่นั้นยากกว่าหลักเกณฑ์ในตารางของผมอีก

    ที่สำคัญกว่านั้น ยังต้องไปผ่านความเห็นของท่านประธานชมรมพระวังหน้า หรือ ท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า อีก

    ผมได้รับความเห็นของสมาชิกชมรมพระวังหน้าหลายๆท่านมาว่า ให้ผมใจเย็นๆในการรับสมาชิกใหม่ เท่าที่มีอยู่ก็อบอุ่นมากอยู่แล้ว

    แต่หากคุณอนัตตัง ยังคงมีความตั้งใจ , ความมุ่งมั่นเกินร้อย ก็ให้พยายามต่อไป ผมแนะให้อีกเรื่องก็คือ หากมีงานบุญที่ชมรมพระวังหน้า ร่วมเป็นเจ้าภาพ ให้ไปทุกๆครั้ง อย่างเช่น งานผ้าป่าพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง เป็นต้น

    ขอบคุณครับ
    sithiphong
    4/7/2554

    .
     
  18. Lee_bangkok

    Lee_bangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +4,741
    สวัสดีครับทุกท่านตอนค่ำๆนะครับ คงทานข้าวกันแล้วนะครับผม
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรียนท่านประธานชมรมพระวังหน้า
    ท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า
    ท่านผู้ช่วยเลขานุการชมรมพระวังหน้า
    ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า
    ท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้าทุกๆท่าน

    ผมส่งรายการงานบุญด่วนพิเศษไปใ้ห้ทุกๆท่านทาง Email แล้วครับ

    ขอบคุณครับ


    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรียน คุณธวัชครับ

    ผมขอนำเงินจำนวน 1,000 บาท ที่ฝากผมทำบุญ ผมขอนำไปทำงานบุญที่ผมแจ้งใน Email นะครับ

    โมทนาบุญทุกประการครับ

    เมื่อคุณธวัชประเดิมงานบุญนี้แล้ว ผมขอตามร่วมทำบุญด้วยอีก 1,000 บาทครับ

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...