พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    กรณีสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทูลขอพระธิดาพระเจ้ากรุงจีน (2)

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    การที่นิราศกวางตุ้งไม่ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในกรุง ปักกิ่งภายหลังการเดินทางไปเยือนของคณะทูตสยามไว้นั้น ย่อมแสดงว่า พระยามหานุภาพผู้แต่งนิราศกวางตุ้งมีตำแหน่งหน้าที่รับผิดชอบอยู่ในคณะทูต ชุดของเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราชอย่างไม่ต้องสงสัย โดยตัวผู้แต่งอาจเป็นคนหนึ่งคนใดในคณะทูตสำรับที่ ๒ ก็ได้ อาทิ หลวงศรียศ หลวงราชมนตรี หรือหลวงนายศักดิ์ ยกเว้นหลวงนายฤทธิ ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไปในตอนท้ายของบทความ
    เมื่อคณะทูตสำรับที่ ๒ ขายสินค้านอกบรรณาการได้เงินมาแล้ว ก็รีบหาซื้อสิ่งของต่างๆ ได้แก่ ถาดทองแดง เตาทองแดง เป็นต้น แล้วนำลงสำเภาหลวงเดินทางออกจากเมืองกวางตุ้งล่องกลับไปยังประเทศสยามตามรับ สั่งของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีในทันที ขณะที่คณะทูตสำรับแรกก็ยังคงปฏิบัติภารกิจอยู่ในกรุงปักกิ่ง

    เรื่องสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงจัดแต่งคณะทูตไปทูลขอพระธิดาพระ เจ้ากรุงจีนนั้น ไม่มีกล่าวอยู่ในจดหมายเหตุจีน ร่างพระราชสาสน์ไปเมืองจีนของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พ.ศ. ๒๓๒๔ รวมถึงเอกสารทางราชการอย่างพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯ ให้ชำระใน พ.ศ. ๒๓๓๘ และพระราชพงศาวดารกรุงสยาม จากต้นฉบับของบริติชมิวเซียม กรุงลอนดอน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๕๒-๖๗) เมื่อครั้งยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร กรมพระราชวังบวรสถานมงคล มีรับสั่งให้ตรวจชำระสำหรับนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกใน พ.ศ. ๒๓๕๐ ไว้เลยแม้แต่แห่งเดียว

    แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะมีพระราชวินิจฉัยว่า คณะทูตสำรับของเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราชคงมีพระราชสาสน์ต่างหากอีกฉบับหนึ่งใน เรื่องทูลขอพระธิดาพระเจ้ากรุงจีน แต่จะซ่อนแต่งซ่อนแปลอย่างไร ไม่มีสำนวนเก็บไว้ในห้องอาลักษณ์นั้น ไม่อาจยืนยันถึงความจริงในเรื่องนี้ได้ แม้ในปัจจุบันก็ยังไม่มีการค้นพบพระราชสาสน์ฉบับดังกล่าว ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าพระราชสาสน์ฉบับนี้คงไม่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ความ สัมพันธ์สยามและจีนอย่างแน่นอน
    แม้นิราศกวางตุ้งของพระยามหานุภาพจะมี เนื้อความตอนหนึ่งบรรยายถึงความงามของหญิงสาวชาวจีนในเมืองกวางตุ้ง แต่กลับกล่าวพาดพิงไปถึงพระธิดาของพระเจ้ากรุงจีนขึ้นมาลอยๆ โดยปราศจากเหตุผลอันควร (นอกจากตัวผู้แต่งรู้อยู่แล้วว่าจะมาทูลขอพระธิดาพระเจ้ากรุงจีน)๒๐ ความว่า

    อันหมู่สาวสุดามัดชิมาหม้าย
    นั้นแต่งกายแซมมวยด้วยไม้ไหว
    ที่เยี่ยมยลยุบนตึกใน
    นั้นอำไภยพิศพริ้งพรายตา
    ดูยืนแต่ละหย่างกับนางเขียน
    ทังจีบเจียนยั่วยวนเสน่หา
    ผัดภักตรผิวพรรณดังจันทรา
    ในยนากวัดแกว่งดั่งแสงนิน
    นาศิกเสื้องทรงดั่งวงขอ
    งามคองามคิ้วควนถวิล
    งามเกษดำเพษภุมริน
    ปักปิ่นมวยห้อยสร้อยสุวรรณ
    ปากนั้นแดงด้วยแสงลิ้นจี่แต้ม
    เมื่อยิ้มแย้มหน้าชมพิรมขวัน
    ใส่เสื้องามสามศรีสลับกัน
    พื้นสุวรรณแวววาบวิไลใจ
    แม้นองคพระธิดาดวงสมร
    จะเอกเอี่ยมอรชรสักเพียงไหน
    แต่ได้ดูหมู่ข้ายังอาไล
    ดั่งสายใจนิจะยืดไปหยิบชม
    เหนการอายที่ชะม้ายแล้วเมียงภักตร
    ก็ประจักแต่ว่าต่างภาษาสม
    แต่ษรเนตรเสียบเนตรสังเกดคม
    ยิ่งนิยมตอบต้องตระหลอดใจ
    ถึงต่างชาติกันก็ดีโลกีจิตร
    อันการคิดนี้จะเว้นแก่ใครไฉน
    ก็ห้ามเหนไว้ให้เปนประมาณใจ
    แล้วคันไลตามรัถยามาŽ๒๑

    พระยามหานุภาพบรรยายถึงความงามของหญิงสาวชาวกวางตุ้งไว้อย่างชื่นชม จนจินตนาการเลยเถิดไปว่า แม้หญิงสาวชาวบ้านยังงามถึงเพียงนี้ แม้นเป็นพระธิดาของพระเจ้ากรุงจีนแล้วจะงดงามสักเพียงใด ข้าพเจ้าเห็นว่า เนื้อความเหล่านี้เป็นแต่เพียงคำพร่ำพรรณนาตามความรู้สึกนึกคิดส่วนตัวของ ผู้แต่งเท่านั้น จึงไม่อาจยึดถือเป็นหลักฐานสำคัญในการยืนยันถึงข้อเท็จจริงเรื่องสมเด็จพระ เจ้ากรุงธนบุรีทรงจัดแต่งคณะทูตไปทูลขอพระราชทานพระธิดาจากพระเจ้ากรุงจีน แต่อย่างใดไม่

    ตามทรรศนะของข้าพเจ้าเห็นว่า พงศาวดารกระซิบเรื่องสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทูลขอพระธิดาพระเจ้ากรุงจีน เป็นแค่เพียงคำร่ำลือที่ได้รับการบอกเล่าสืบต่อกันมาภายในหมู่เจ้านาย ราชวงศ์จักรีในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเท่านั้น พึงสังเกตว่า กรมหลวงนรินทรเทวีองค์ผู้ทรงพระนิพนธ์จดหมายเหตุความทรงจำทรงมีฐานะเป็นพระ น้องนางเธอในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (เจ้าพระยาจักรี) ผู้ล้มล้างพระราชอำนาจสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงถือเป็นกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้าม ย่อมมีอคติต่อพระองค์บ้างไม่มากก็น้อย จึงทรงพระนิพนธ์เนื้อความบางช่วงบางตอนแสดงให้เห็นถึงพระอาการเสียพระจริต ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอยู่เป็นระยะๆ ตราบจนกระทั่งสิ้นรัชกาล
    การ ที่กรมหลวงนรินทรเทวีทรงพระนิพนธ์ถึงเรื่องสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงจัด แต่งคณะทูตไปทูลขอพระธิดาพระเจ้ากรุงจีนนั้น ก็คงด้วยมีพระประสงค์เบื้องลึกแสดงให้เห็นถึงการใฝ่สูงจนเกินศักดิ์ไม่เจียม พระองค์เอง เพราะตามทรรศนะของราชสำนักสยามถือว่ามหาอาณาจักรจีนเป็นประเทศศูนย์กลาง อำนาจทางการเมืองและอารยธรรมของโลกในขณะนั้น อีกทั้งยังไม่เคยมีพระเจ้ากรุงสยามพระองค์ใดในอดีตเคยทูลขอพระธิดาพระเจ้า กรุงจีนมาก่อน แม้จะกล่าวถึงอยู่ในพระราชพงศาวดารเหนือ (กรณีฉบับพิมพ์) แต่ก็เป็นเพียงตำนานปรัมปราเท่านั้น อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงพระอาการเสียพระจริตของพระองค์อีกประการหนึ่ง ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการทำลายพระเกียรติยศของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเป็น สำคัญ
    ข้าพเจ้าใคร่ขอตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จออกท้องพระโรงทรงแต่งพระราชสาสน์ไป ถึงพระเจ้ากรุงจีนใน พ.ศ. ๒๓๒๔ เอกสารฝ่ายราชวงศ์จักรีหลายฉบับต่างยืนยันตรงกันว่า พระองค์มีพระอาการเสียพระจริตแล้ว จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวีได้ให้ข้อมูลสำคัญว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเริ่มแสดงพระอาการฟั่นเฟือนมาตั้งแต่ จ.ศ. ๑๑๓๐ ปีชวดสัมฤทธิศก (พ.ศ. ๒๓๑๑) แล้ว ความว่า

    ปีชวดสัมฤทธิศก ไปตีเมืองนครราชสีมา กรมหมื่นเทพพิพิธ เจ้าศรีสังข์ ไปอยู่พิมาย ต่อสู้รบประจัญกัน จับได้กรมหมื่นเทพพิพิธ บุตรชาย ๒ บุตรหญิง ๑ กับเจ้าศรีสังข์ กรมหมื่นเทพพิพิธ ท่านให้สำเร็จโทษเสีย เจ้าศรีสังข์หนีไปเมืองขอม บุตรกรมหมื่นสุนทรเทพ หม่อมประยงค์ โปรดให้เป็นเจ้าอนิรุทเทวา บุตรกรมหมื่นจิตรสุนทร หม่อมกระจาดให้ชื่อบุษบา บุตรกรมพระราชวัง หม่อมเจ้ามิตรประทานชื่อประทุม บุตรกรมหมื่นเทพพิพิธ หม่อมมงคล หม่อมพะยอม พี่หม่อมอุบลบุตรเจ้าฟ้าจิตรเลี้ยงเสมอกันทั้ง ๔ คน แต่โปรดหม่อมฉิม หม่อมอุบล ประทมอยู่คนละข้าง

    วิบัติหนูกัดพระวิสูตร รับสั่งให้ชิดภูบาล ชาญภูเบศร์ ฝรั่งคนโปรดทั้งคู่ ให้มาไล่จับหนูใต้ที่เสวยในที่ด้วย เจ้าประทุมทูลว่าฝรั่งเป็นชู้กับหม่อมฉิม หม่อมอุบล กับคนรำ ๔ คน เป็น ๖ คนด้วยกัน รับสั่งถามหม่อมอุบลไม่รับ หม่อมฉิมว่ายังจะอยู่เป็นมเหสีขี้ซ่อนหรือ มาตายตามเจ้าพ่อเถิด รับเป็นสัตย์หมด ให้เฆี่ยนเอาน้ำเกลือรด ทำประจานด้วยแสนสาหัส ประหารชีวิตผ่าอกเอาเกลือทา ตัดมือตัดเท้า

    สำเร็จโทษเสร็จแล้วไม่สบายพระทัย คิดถึงหม่อมอุบลว่ามีครรภ์อยู่ ๒ เดือน ตรัสว่าจะตายตามหม่อมอุบล ว่าใครจะตายกับกูบ้าง เสมเมียกรมหมื่นเทพพิพิธว่าจะตามเสด็จ หม่อมทองจันทร์ หม่อมเกศ สั่งบุษบา จะตามเสด็จด้วย ประทานเงินคนละ ๑ ชั่ง ให้บังสุกุลตัว ทองคนละ ๑ บาท ให้ทำพระ แล้วให้นั่งในแพหยวกนิมนต์พระเข้ามาบังสุกุล แล้วจะประหารชีวิตคนที่ยอมตามเสด็จนั้นก่อน แล้วท่านจะแทงพระองค์ท่านตามไปอยู่ด้วยกัน เจ้าข้าพระสติฟั่นเฟือน

    เจ้าคุณใหญ่ท้าวเจ้าคุณทรงกันดาลกับเตี่ยหม่อมทองจันทร์นิมนต์พระ เข้ามามาก ชุมนุมสงฆ์ถวายพระพรขออย่าให้ทำหาควรไม่ว่าที่จะได้พบกันนั้นหามิได้ แล้วถวายพระพรขอชีวิตไว้ ได้พระสติคืนสมประดี ประทานเงินเติมให้แก่ผู้รับตามเสด็จนั้น...Ž๒๒

    จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวีมากล่าวถึงพระอาการเสียพระ จริตฟั่นเฟือนของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอีกครั้งหนึ่งในลำดับก่อนหน้า พระองค์จะทรงแต่งพระราชสาสน์ไปยังเมืองจีนใน พ.ศ. ๒๓๒๔ ว่า
    ให้ปลูกไม้ ไผ่ ๑๐๐๐ ไม้แก่น ๑๐๐๐ ไว้ท่าท่านผู้มีบุญจะมาข้างหน้า จะได้สร้างปราสาท ไม้ไผ่จะทำร่างร้าน ไม้แก่นดูกในก่อตั้งเสาปราสาท ปลูกไว้สำหรับผู้มีบุญจะมา พระองค์ท่านจะเหาะแล้วŽ๒๓

    เอกสารร่วมสมัยของฝรั่งเศสอย่างจดหมายบาทหลวงคูเดถึงบาทหลวงเดอโค เอ็ตโลกอง ลงวันที่ ๑๕ มิถุนายน ค.ศ. ๑๗๗๙ (พ.ศ. ๒๓๒๒) เป็นหลักฐานสำคัญที่ช่วยสนับสนุนข้อเท็จจริงในจดหมายเหตุความทรงจำของกรม หลวงนรินทรเทวี กรณีสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมีพระอาการเสียพระจริตในช่วงปลายรัชกาล ความว่า

    พระเจ้าตากเป็นคนที่มีความคิดพลิกแพลงอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น จึงได้ทรงพระราชดำริจะเป็นพระพุทธเจ้า ในเรื่องนี้ได้มีรับสั่งว่ามีพระราชประสงค์จะเป็นพระพุทธเจ้า และก็มีคนเรียกพระองค์ว่าพระพุทธเจ้าแล้วก็มี เพราะในเมืองนี้ไม่มีเลยที่ใครจะทำให้ถูกพระทัย ตามวิธีดำเนินการที่ทรงพระราชดำริไว้นั้น ในชั้นต้นจะได้ทรงเหาะขึ้นไปตามอากาศก่อน และเพื่อจะเตรียมการที่จะทรงเหาะนี้ ได้ทรงทำพิธีต่างๆ ในวัดและในวังมา ๒ ปีแล้ว เพราะฉะนั้น ในเวลานี้จะต้องถือพระเจ้าตากไม่ใช่มนุษย์ในโลกนี้แล้ว ถ้าเรื่องนี้ใครทูลขัดคอ หรือในเวลาทรงเข้าพิธี ใครเข้าเฝ้าแล้ว คนนั้นก็ถูกเคราะห์ร้ายŽ๒๔

    แต่พระราชสาสน์ไปเมืองจีนของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีใน พ.ศ. ๒๓๒๔ กลับไม่มีเนื้อความตอนใดบ่งบอกถึงพระอาการเสียพระจริตไว้เลยแม้แต่น้อย จึงเป็นปมปริศนาที่นักพงศาวดารไทยต้องทำการศึกษากันต่อไปในเบื้องหน้า
    คณะทูตสยามตกค้างในเมืองจีน

    ในปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเอกาทศรุทรอิศวร พระองค์ที่ ๖ กรุงธนบุรีเป็นจลาจล อันเป็นผลมาจากการที่พระองค์มีพระราชจริยาวัตรที่ไม่เหมาะสม เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) จึงรีบยกทัพกลับจากราชการสงครามในกรุงกัมพูชาเข้ามาปราบยุคเข็ญจนสงบราบคาบ แล้วกระทำการปราบดาภิเษกเป็นพระเจ้ากรุงสยามพระองค์ใหม่ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี พระองค์ที่ ๑ (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๒๕-๕๒) เมื่อวันเสาร์ แรม ๙ ค่ำ เดือน ๕ จ.ศ. ๑๑๔๔ ปีขาลจัตวาศก (วันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕) แล้วโปรดเกล้าฯ ให้กุมตัวสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีไปประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะตามคำตัดสิน ของคณะลูกขุน เมื่อวันพุธ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๕ จ.ศ. ๑๑๔๔ ปีขาลจัตวาศก (วันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕) ขณะพระชนมายุได้ ๔๘ พรรษา

    คณะทูตสำรับที่ ๒ ของเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราชเดินทางกลับมาถึงเมืองไทยหลังจากมีการผลัดแผ่นดิน แล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงโปรดเกล้าฯ ให้นำวัสดุสิ่งของที่ซื้อกลับมาจากเมืองจีนตามรับสั่งของสมเด็จพระเจ้ากรุง ธนบุรีไปใช้ในการก่อสร้างกรุงรัตนโกสินทร์นครหลวงแห่งใหม่ของสยามประเทศ
    ครั้น ถึงเดือน ๕ ปีที่ ๔๗ แห่งรัชศกเฉียนหลง (พ.ศ. ๒๓๒๕) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯ ให้หลวงอภัยชลทีและขุนภักดีกัลยาอัญเชิญพระราชสาสน์แจ้งข่าวการผลัดแผ่นดิน ในกรุงสยามไปพระราชทานข้าหลวงมณฑลกวางตุ้งและกวางสี ใจความว่า

    เจิ้งหัว [พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก - ผู้เขียน] ประมุขแห่งประเทศเซียนหลัว [สยาม - ผู้เขียน] ขอถวายบังคมมา ด้วยเหตุที่ได้จัดส่งเรือมารับราชทูต พร้อมกับถวายรายงานเรื่องพระราชบิดาได้ถึงแก่สิ้นพระชนม์แล้ว (ข้าพเจ้า) รำลึกถึงด้วยความเศร้าสลดเสียใจว่า เมื่อปีที่แล้ว เจิ้งเจา [สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี - ผู้เขียน] พระราชบิดา อดีตประมุขของประเทศ ผู้ทรงล่วงลับไปแล้ว ได้ทรงจัดส่งราชทูตเดินทางโดยทางทะเลมาถวายเครื่องราชบรรณาการแด่ราชสำนัก แห่งสรวงสวรรค์ [หมายถึงราชสำนักจีน เพราะคนจีนยกย่องพระเจ้าแผ่นดินของตนว่าเป็น โอรสแห่งสวรรค์ž - ผู้เขียน] ครั้นถึงฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ เรือฟู่ก้ง [เรือนอกบรรณาการ - ผู้เขียน] ได้เดินทางกลับเซียน (หลัว) โดยมีเจ้าหน้าที่ (คณะ) ราชบรรณาการ อันมีพีเอียหน่าสื่อเพาหัวหลี่ ไหน่ซง และไหน่อวน หม่าเห้อลี่ [พระยาราชสุภาวดี นายศักดิ์ และนายเวรมหาดเล็ก - ผู้เขียน] พร้อมบุคคลอื่นเป็นผู้นำกลับ

    ก็สามารถแล่นเรือกลับประเทศ เมื่อกลับไปถึงแล้ว ให้เล่าแจ้งแถลงไขถึงการได้เข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองและการที่ได้รับพระราช ทาน รวมทั้งการได้รับพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นหลายครั้งหลายหนเป็นการพิเศษจากองค์ จักรพรรดิ แล้วท่านคงจะมีความซาบซึ้งมากยิ่งขึ้น หากว่าท่านจะถวายความจงรักภักดี และถวายเครื่องราชบรรณาการอย่างซื่อสัตย์จริงใจ รวมทั้งรับตำแหน่งจากการแต่งตั้งของราชสำนักแห่งสรวงสวรรค์ ท่านจำต้องถวายพระราชสาสน์เพื่อขอด้วยตนเองโดยตรง ดังนี้ เสนาบดี (กระทรวงนี้) จึงจะนำความขึ้นกราบบังคมทูลให้ได้ จึงได้ชี้แจงมาตามเหตุผลดังกล่าว ขอท่านได้รับทราบตามหมายรับสั่งนี้ด้วยž ขอให้ข้าหลวงดังกล่าวดำเนินการจัดส่ง (หมายรับสั่ง) ตามนั้นไปได้ ครั้นถึงคราวที่เรือราชบรรณาการ๒๖ของประเทศนั้นเข้าเมือง (อาณาเขตประเทศจีน) มาแล้ว ให้งดเว้นการจัดเก็บภาษีสำหรับสินค้าที่เป็นอับเฉาทั้งหมดตามธรรมเนียม ปฏิบัติ พร้อมทั้งให้จัดเจ้าหน้าที่ที่เหมาะสมเดินทางไปด้วยเพื่ออำนวยความสะดวกและ ดูแลความปลอดภัย อันเป็นการแสดงถึงความโอบอ้อมอารี อนึ่ง ให้นำส่งพระบรมราชโองการนี้ เพื่อแจ้งให้รับทราบโดย (ม้าเร็วควบได้วันละไม่ต่ำกว่า) ๕๐๐ ลี้Ž๒๗
    คณะทูตสยามของหลวงพิไชยเสน่หาเดินทางรอนแรมมาถึงเมืองกวางตุ้งในเดือน ๔ จ.ศ. ๑๑๔๔ ปีขาลจัตวาศก (ตามคติไทยโบราณยังคงเป็น พ.ศ. ๒๓๒๕) แต่คณะทูตสยามต้องตกค้างอยู่ในเมืองกวางตุ้ง เนื่องจากยังไม่ถึงฤดูลมมรสุม สำเภาหลวงจึงไม่อาจแล่นออกทะเลได้ หนังสือจงตกหมูอี้ เจ้าเมืองกวางตุ้งมาถึงท่านเจ้าพญาพระคลังผู้ไหญ่Ž ลงวันอังคาร ขึ้น ๕ ค่ำ เดือนยี่ จ.ศ. ๑๑๔๔ ปีขาลจัตวาศก (วันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๓๒๖ ตามคติไทยโบราณ) กล่าวว่า
    ...ด้วยให้ทูตถือพระราชสาร แลเครืองราชบรรนาการ ออกมาจิ้มก้องครั้งนี้ ถึงเมืองกวางต้องได้ช่วยทำนุกบำรุงนำเอาเองราวแต่ที่อันควร บอกหนังสือแต่งให้หูเอิยว ไหเอิอง ส่งทูตแลพระราชสาร เครืองราชบรรนาการออกจากเมืองกวางตุงขึ้นไปเมืองปากกิ่ง ณ เดือน ฯ๓๙ คำ [นิราศกวางตุ้งว่า วันศุกร์ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือนสิบสอง-ผู้เขียน] ปีฉลูตรีนิศก ได้จัดแจงผูคนหาบหาม เรือแห่สงขึ้นไปทางบกทางน้ำตามทำเนียม ครั้นถึงเมืองปากกิ่งเสรจราชการ ทูตกลับมาแต่เมืองปากกิ่ง ถึงเมืองกวางตุ้ง ณ เดือน ฯ ๔ คำ [วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๓๒๕-ผู้เขียน] ปีขาลจัตวาศก จให้ทูตใช้ใบกลับเข้ามาแจ้งราชการทูตว่า ผิดมรสุม ขัดลมยังมามิได้ ต่อถึงเดือน ฯ ๑๒ เทศการลม จึ่งจเข้ามา ครันอยูมาหลวงภักดีวานิจ เปนนายสำเภาคุมเอาสำเภาหูสงออกมารับทูต แลหลวงอภัยชลที ขุนภักดีกัลญา ถือหนังสือออกไปว่าพระเจ้าองคเก่า [สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี-ผู้เขียน] ดับสูญแล้ว พระพุทธเจ้าองคไหม่ [พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก-ผู้เขียน] ขึ้นเสวยราชสมบัด ฃ้อนี้ได้บอกเนื่อความขึ้นไปกราบทูลสมเดจพรเจาหมื่นปี สมเดจพรเจ้าหมื่นปีตรัสว่า ไม่รักไพร่ฟ้าประชากรเบิยดเบิยนไพร่ฟ้าประชากรถึงทีจะตาย เหนพระองคไหม่นี้ ไพร่ฟ้าประชากรรักใคร่แลของเครื่องบรรนาการตอบแทนให้พระองคไหม่รับไว้ ให้ยกพระราชทานข้าจังกอบปากสำเภาห้ามก้องเสิยอย่าให้เรียกเอาค่าทำเนิยมเลย แลไพร่ลูกเรือออกมาด้วยสำเภาห้ามก้องนั้น ให้พระราชทานเข้าสาร รับพระราชทานแต่วันไปถึงจนกลับเข้ามา แลได้ให้จัดแจงใหสำเภาพระราชสาร ๑ หามกอง ๑ [รวม] ๒ ลำ ถอยออกจากเมืองกวางตุ้ง ณ เดือน ฯ๖๙ ค่ำ [วันพุธที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๓๒๖-ผู้เขียน] ปีขาลจตวาศก ให้แต่งเรือออกมาส่งจนออกปากน้ำ...Ž๒๘
    ครั้นถึงฤดูกาลลมมรสุม ทางการจีนก็จัดแจงส่งคณะทูตสยามชุดเก่าของหลวงพิไชยเสน่หาและคณะทูตสยามชุด ใหม่ของหลวงอภัยชลทีและขุนภักดีกัลยาลงโดยสารสำเภาหลวงล่องออกจากท่าเรือ เมืองกวางตุ้งกลับไปยังประเทศสยาม เมื่อวันพุธ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๙ จ.ศ. ๑๑๔๔ ปีขาลจัตวาศก (พ.ศ. ๒๓๒๖)




    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308484759&grpid=no&catid=&subcatid=-


    .


    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308484759&grpid=no&catid=&subcatid=

    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    กรณีสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทูลขอพระธิดาพระเจ้ากรุงจีน (3)

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    ด้วยบัญชาของท่าน ทราบว่าเมื่อคณะถวายเครื่องราชบรรณาการได้ (เดินทาง) ถึงกวางตุ้งแล้ว ได้รับความกรุณาจากท่านขุนนางผู้ใหญ่ (ระดับมณฑล) ทั้งหลายนำความขึ้นกราบบังคมทูล (องค์จักรพรรดิ) และจัดการจัดส่ง (คณะ) ทูตราชบรรณาการและสิ่งของพื้นเมืองไปยังนครหลวง [กรุงปักกิ่ง - ผู้เขียน] อันทำให้ (เราซึ่งเป็น) ประเทศเล็กทางทะเลไกลโพ้น ได้รับพระบรมมหากรุณาธิคุณจากโอรสแห่งสรวงสวรรค์ (องค์จักรพรรดิ) ทั้งนี้ก็เนื่องมาแต่ (ความกรุณาของ) ท่านขุนนางผู้ใหญ่ (ระดับมณฑล) ทั้งหลาย ซึ่งเป็นพระคุณอย่างสูง (ข้าพเจ้า) จึง (สำนึกอยู่เสมอว่า) จักต้องปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด และซื่อสัตย์กตัญญู (ต่อราชสำนักจีน) ตลอดไป หากแต่ว่า (เราซึ่งเป็น) ประเทศเล็กบุญน้อยถึงคราวเคราะห์ประสบภัยพิบัติถึงแก่สูญเสียพระราชบิดา เมื่อวันเกิงอิ๋น เดือนยี่ ปีที่ ๔๗ แห่งรัชศกเฉียนหลง [วันที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ พระราชพงศาวดารไทยว่า วันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ - ผู้เขียน]

    เจา [สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี - ผู้เขียน] ได้ประชวรสิ้นพระชนม์ (จากโรคภัยไข้เจ็บ) ในวาระที่ใกล้จะสิ้นพระชนม์ ทรงสั่งเสียหัว [พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก - ผู้เขียน] ขอให้มีความสุขุมรอบคอบ อย่าได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงโบราณราชประเพณี และให้ยึดถือ (ผลประโยชน์ของบ้านเมือง) เป็นใหญ่ ตลอดทั้งให้เคารพนบนอบและเชื่อฟังราชสำนักแห่งสวรรค์เป็นสำคัญ

    หลังจากที่พระราชบิดาสิ้นพระชนม์แล้ว และหัวได้ทำหน้าที่ปกครองบ้านเมือง เคราะห์ดีที่บุญญานุภาพแห่งสรวงสวรรค์ปกป้องคุ้มครอง ดินแดนภายใต้การปกครองจึงสงบเรียบร้อยอยู่รอดปลอดภัย ครั้นเมื่อคำนึงถึงโบราณราชประเพณีว่าเซียนหลัวเป็นประเทศในอาณัติ จึงสมควรจะได้ถวายรายงาน(ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น)

    บัดนี้ ได้จัดให้หลั่งเอี่ยไผชวนลัวตี้ [หลวงอภัยชลที - ผู้เขียน] นำส่งสาสน์ถึงท่าน พร้อมทั้งได้จัดให้นายสมุทรวาณิชนำเรือมารับทูตบรรณาการ [คณะทูตสยามชุดของหลวงพิไชยเสน่หา - ผู้เขียน] กลับประเทศ ต่อเมื่อถึงกำหนดวาระการถวายเครื่องราชบรรณาการ หัวจักได้จัดเตรียมสิ่งของพื้นเมืองอย่างดีถวายเป็นเครื่องราชบรรณาการตาม ประเพณีปฏิบัติอย่างแน่นอน ทั้งนี้ เพื่อหวังให้พระราชบิดาผู้ทรงล่วงลับไปแล้วได้รับผลบุญ จากพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์จักรพรรดิชั่วกัปชั่วกัลป์ อันจะทำให้หัวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์จักรพรรดิตลอดไปไม่มีที่สิ้น สุด

    จึงกราบเรียนมาเพื่อขอความกรุณาจากท่านฝู่ไถ (จงตก) ท่านจื้อไถ (หมูอี) ทั้งสองท่าน
    กราบเรียนมา เมื่อวันซินไฮ่ เดือนห้า ปีที่ ๔๗ แห่งรัชศกเฉียนหลง [วันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๒๕ - ผู้เขียน]Ž๒๕

    จดหมายเหตุชิงสือลู่ รัชกาลจักรพรรดิเกาจงแห่งราชวงศ์ชิง บรรพที่ ๑๑๖๔ จดบันทึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (เจิ้งหัว) จัดส่งคณะทูตเดินทางมาแจ้งข่าวการสวรรคตของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (เจิ้งเจา) แก่ข้าหลวงมณฑลกวางตุ้งและกวางสีในห้วง พ.ศ. ๒๓๒๕ ว่า

    เมื่อวันซินโฉ่ว เดือนเก้า ปีที่ ๔๗ แห่งรัชศกเฉียนหลง [วันที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๒๕ - ผู้เขียน] (องค์จักรพรรดิ) มีรับสั่ง (ต่อมหาอำมาตย์จินจี) อีกว่า ตามที่ชั่งอันกราบบังคมทูลว่า ได้รับคำถวายรายงานของเจิ้งหัวแห่งประเทศเซียนหลัวว่า เนื่องจากในวาระที่ใกล้จะสิ้นพระชนม์ เจิ้งเจาพระราชบิดาของท่านผู้นี้ประชวรสิ้นพระชนม์ ได้รับสั่งให้เขา [เจิ้งหัว - ผู้เขียน] รับใช้เบื้องพระยุคลบาทราชสำนักแห่งสรวงสวรรค์ เพื่อให้ได้พึ่งบุญวาสนาภายใต้พระบรมโพธิสมภารสืบไปตลอดกาล จึงได้นำส่งสาสน์มาเพื่อถวายรายงานเป็นการเฉพาะ

    ครั้นเมื่อถึงกำหนดถวายเครื่องราชบรรณาการ ก็จักได้จัดเตรียมสิ่งของพื้นเมืองอย่างดี ถวายเป็นเครื่องราชบรรณาการตามธรรมเนียมปฏิบัติž ฯลฯ นั้น (ปรากฏว่า) เมื่อปีที่แล้ว เจิ้งเจาได้แสดงความจริงใจถวายเครื่องราชบรรณาการอย่างเคารพนบนอบยิ่ง [องค์จักรพรรดิ - ผู้เขียน] จึงทรงอนุญาตให้เขา [เจิ้งเจา - ผู้เขียน] ถวายเครื่องราชบรรณาการได้ และทรงพระกรุณาพระราชทานสิ่งของและเลี้ยงรับรองเพื่อเป็นการผูกจิตผูกใจ ครั้งนี้ การที่เจิ้งหัวปฏิบัติตามคำสั่งของพระราชบิดาซึ่งสั่งไว้ก่อนสิ้นพระชนม์ มาถวายความจงรักภักดีและความจริงใจเช่นนี้ (อันที่จริง) สมควรที่จะจัดส่งราชทูตมาเป็นการเฉพาะ และถวายพระราชสาสน์เพื่อขอให้โปรดเกล้าฯ (แต่ปรากฏว่า) กลับเพียงแต่จัดส่งขุนนางระดับหัวหน้านำส่งสาสน์เพื่อถวายรายงานเท่านั้น จึงมิอาจอนุญาตตามที่ขอมาอย่างรวบรัดเช่นนี้ได้ บัดนี้ได้สั่งให้มหาอำมาตย์จินจีร่างหมายรับสั่ง ความว่า ได้รับทราบคำกราบบังคมทูลรายงานแล้ว ตามที่อ้างว่าเจิ้งเจาพระราชบิดาของท่านได้ประชวรถึงแก่สิ้นพระชนม์ (แต่) ในวาระที่ใกล้จะสิ้นพระชนม์ ได้กำชับเป็นหนักหนาต่อท่านว่า ให้ยึดมั่นในการรับใช้เบื้องพระยุคลบาทราชสำนักแห่งสรวงสวรรค์ เพื่อให้ได้พึ่งบุญวาสนาภายใต้พระบรมโพธิสมภารสืบไปตลอดกาลเป็นสำคัญ จงสมควรอย่างยิ่งที่จักต้องถวายรายงาน

    ครั้นเมื่อถึงกำหนดวาระถวายเครื่องราชบรรณาการ ก็จักได้จัดเตรียมสิ่งของพื้นเมืองเป็นอย่างดีมาถวายเป็นเครื่องราชบรรณาการ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ฯลฯ นั้น (ปรากฏว่า) เมื่อปีที่แล้ว พระราชบิดาของท่านได้แสดงความจริงใจถวายพระราชสาสน์ และสิ่งของเป็นเครื่องราชบรรณาการอย่างเคารพนบนอบยิ่ง เมื่อเสนาบดี (กระทรวงนี้) ได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลให้ทรงทราบแล้ว ได้รับพระบรมมหากรุณาธิคุณ มีพระบรมราชานุญาตให้เข้าถวายเครื่องราชบรรณาการได้ พร้อมทั้งทรงให้ทูตบรรณาการ สมทบกับขบวนขุนนางที่เข้าเฝ้าโดยให้ต่อท้ายขบวนเข้าร่วมงานเลี้ยงรับรอง และเฝ้าชมพระบารมีแห่งองค์จักรพรรดิ รวมทั้งพระราชทานสิ่งของเป็นพิเศษ ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้สืบเนื่องมาจากองค์จักรพรรดิทรงพิจารณาเห็นความซื่อ สัตย์จริงใจของพระราชบิดาท่าน จึงทรงพระราชทานให้เป็นจำนวนมาก อันเป็นพระกรุณาล้นพ้นเป็นพิเศษ

    บัดนี้พระราชบิดาท่านได้ประชวรสิ้นพระชนม์ ท่านได้สืบทอดราชสมบัติเป็นประมุขและยึดมั่นในคำรับสั่งของพระราชบิดา มีความประสงค์จะถวายความจงรักภักดีต่อราชสำนักแห่งสรวงสวรรค์อย่างรีบด่วน แสดงให้เห็นถึงความซื่อสัตย์จริงใจและเคารพนบนอบ หากแต่ว่าท่านสมควรจะได้มาถวายพระราชสาสน์ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของ องค์จักรพรรดิ และถวายรายงานอย่างละเอียดชัดเจนเกี่ยวกับความตื้นลึกหนาบางของเรื่องราวที่ พระราชบิดาของท่านถึงแก่สิ้นพระชนม์ และที่ท่านสืบทอดราชสมบัติ เสนาบดี (กระทรวงนี้) จึงจะสามารถนำความขึ้นกราบบังคมทูลให้ได้ บัดนี้ ท่านเพียงแต่ได้จัดส่งราชทูตมาถวายรายงาน และกล่าวว่าเมื่อถึงกำหนดวาระถวายเครื่องราชบรรณาการก็จักได้จัดเตรียมสิ่ง ของพื้นเมืองอย่างดีมาถวายเป็นเครื่องราชบรรณาการตามธรรมเนียมปฏิบัติ ฯลฯ นั้น อันประเทศของท่านนั้นตั้งอยู่ที่ดินแดนไกลโพ้นกันดาร ไม่ทราบดีถึงระบบระเบียบ หากแต่ว่าเสนาบดี (กระทรวงนี้) ก็มีตำแหน่งหน้าที่ปกครองราชการส่วนท้องถิ่นภายในเขตอำนาจ สำหรับเรื่องราวกรณีเช่นนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ที่จะนำความขึ้นกราบ บังคมทูลให้ได้ ขณะนี้จึงขอให้ทูตบรรณาการของประเทศท่านรอคอยถึงเวลามีลมเหนือ ก็สามารถแล่นเรือกลับประเทศ

    เมื่อกลับไปถึงแล้ว ให้เล่าแจ้งแถลงไขถึงการได้เข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองและการที่ได้รับพระราช ทาน รวมทั้งการได้รับพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นหลายครั้งหลายหนเป็นการพิเศษจากองค์ จักรพรรดิ แล้วท่านคงจะมีความซาบซึ้งมากยิ่งขึ้น หากว่าท่านจะถวายความจงรักภักดี และถวายเครื่องราชบรรณาการอย่างซื่อสัตย์จริงใจ รวมทั้งรับตำแหน่งจากการแต่งตั้งของราชสำนักแห่งสรวงสวรรค์ ท่านจำต้องถวายพระราชสาสน์เพื่อขอด้วยตนเองโดยตรง ดังนี้ เสนาบดี (กระทรวงนี้) จึงจะนำความขึ้นกราบบังคมทูลให้ได้ จึงได้ชี้แจงมาตามเหตุผลดังกล่าว ขอท่านได้รับทราบตามหมายรับสั่งนี้ด้วยž ขอให้ข้าหลวงดังกล่าวดำเนินการจัดส่ง (หมายรับสั่ง) ตามนั้นไปได้ ครั้นถึงคราวที่เรือราชบรรณาการ๒๖ของประเทศนั้นเข้าเมือง (อาณาเขตประเทศจีน) มาแล้ว ให้งดเว้นการจัดเก็บภาษีสำหรับสินค้าที่เป็นอับเฉาทั้งหมดตามธรรมเนียม ปฏิบัติ พร้อมทั้งให้จัดเจ้าหน้าที่ที่เหมาะสมเดินทางไปด้วยเพื่ออำนวยความสะดวกและ ดูแลความปลอดภัย อันเป็นการแสดงถึงความโอบอ้อมอารี อนึ่ง ให้นำส่งพระบรมราชโองการนี้ เพื่อแจ้งให้รับทราบโดย (ม้าเร็วควบได้วันละไม่ต่ำกว่า) ๕๐๐ ลี้Ž๒๗

    คณะทูตสยามของหลวงพิไชยเสน่หาเดินทางรอนแรมมาถึงเมืองกวางตุ้งใน เดือน ๔ จ.ศ. ๑๑๔๔ ปีขาลจัตวาศก (ตามคติไทยโบราณยังคงเป็น พ.ศ. ๒๓๒๕) แต่คณะทูตสยามต้องตกค้างอยู่ในเมืองกวางตุ้ง เนื่องจากยังไม่ถึงฤดูลมมรสุม สำเภาหลวงจึงไม่อาจแล่นออกทะเลได้ หนังสือจงตกหมูอี้ เจ้าเมืองกวางตุ้งมาถึงท่านเจ้าพญาพระคลังผู้ไหญ่Ž ลงวันอังคาร ขึ้น ๕ ค่ำ เดือนยี่ จ.ศ. ๑๑๔๔ ปีขาลจัตวาศก (วันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๓๒๖ ตามคติไทยโบราณ) กล่าวว่า

    ...ด้วยให้ทูตถือพระราชสาร แลเครืองราชบรรนาการ ออกมาจิ้มก้องครั้งนี้ ถึงเมืองกวางต้องได้ช่วยทำนุกบำรุงนำเอาเองราวแต่ที่อันควร บอกหนังสือแต่งให้หูเอิยว ไหเอิอง ส่งทูตแลพระราชสาร เครืองราชบรรนาการออกจากเมืองกวางตุงขึ้นไปเมืองปากกิ่ง ณ เดือน ฯ๓๙ คำ [นิราศกวางตุ้งว่า วันศุกร์ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือนสิบสอง - ผู้เขียน] ปีฉลูตรีนิศก ได้จัดแจงผูคนหาบหาม เรือแห่สงขึ้นไปทางบกทางน้ำตามทำเนียม ครั้นถึงเมืองปากกิ่งเสรจราชการ ทูตกลับมาแต่เมืองปากกิ่ง ถึงเมืองกวางตุ้ง ณ เดือน ฯ ๔ คำ [วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๓๒๕ - ผู้เขียน] ปีขาลจัตวาศก จให้ทูตใช้ใบกลับเข้ามาแจ้งราชการทูตว่า ผิดมรสุม ขัดลมยังมามิได้ ต่อถึงเดือน ฯ ๑๒ เทศการลม จึ่งจเข้ามา ครันอยูมาหลวงภักดีวานิจ เปนนายสำเภาคุมเอาสำเภาหูสงออกมารับทูต แลหลวงอภัยชลที ขุนภักดีกัลญา ถือหนังสือออกไปว่าพระเจ้าองคเก่า [สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี - ผู้เขียน] ดับสูญแล้ว พระพุทธเจ้าองคไหม่ [พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก - ผู้เขียน] ขึ้นเสวยราชสมบัด ฃ้อนี้ได้บอกเนื่อความขึ้นไปกราบทูลสมเดจพรเจาหมื่นปี สมเดจพรเจ้าหมื่นปีตรัสว่า ไม่รักไพร่ฟ้าประชากรเบิยดเบิยนไพร่ฟ้าประชากรถึงทีจะตาย เหนพระองคไหม่นี้ ไพร่ฟ้าประชากรรักใคร่แลของเครื่องบรรนาการตอบแทนให้พระองคไหม่รับไว้ ให้ยกพระราชทานข้าจังกอบปากสำเภาห้ามก้องเสิยอย่าให้เรียกเอาค่าทำเนิยมเลย แลไพร่ลูกเรือออกมาด้วยสำเภาห้ามก้องนั้น ให้พระราชทานเข้าสาร รับพระราชทานแต่วันไปถึงจนกลับเข้ามา แลได้ให้จัดแจงใหสำเภาพระราชสาร ๑ หามกอง ๑ [รวม] ๒ ลำ ถอยออกจากเมืองกวางตุ้ง ณ เดือน ฯ ๖๙ ค่ำ [วันพุธที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๓๒๖ - ผู้เขียน] ปีขาลจตวาศก ให้แต่งเรือออกมาส่งจนออกปากน้ำ...Ž๒๘

    ครั้นถึงฤดูกาลลมมรสุม ทางการจีนก็จัดแจงส่งคณะทูตสยามชุดเก่าของหลวงพิไชยเสน่หาและคณะทูตสยามชุด ใหม่ของหลวงอภัยชลทีและขุนภักดีกัลยาลงโดยสารสำเภาหลวงล่องออกจากท่าเรือ เมืองกวางตุ้งกลับไปยังประเทศสยาม เมื่อวันพุธ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๙ จ.ศ. ๑๑๔๔ ปีขาลจัตวาศก (พ.ศ. ๒๓๒๖)




    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308485192&grpid=no&catid=&subcatid=-

    .


    กรณีสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทูลขอพระธิดาพระเจ้ากรุงจีน (3) : มติชนออนไลน์

    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    กรณีสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทูลขอพระธิดาพระเจ้ากรุงจีน (4)

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    มายาคติในพระราชพงศาวดารไทย
    กรณีหลวงนายฤทธิเป็นอุปทูตไปเมืองจีน
    เหตุการณ์ เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดเกล้าฯ ให้จัดแต่งคณะทูตอัญเชิญพระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการไปยังราชสำนักจีน ใน พ.ศ. ๒๓๒๔ ไม่ปรากฏว่ามีบันทึกอยู่ในพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และพระราชพงศาวดารกรุงสยาม ฉบับบริติชมิวเซียม แต่กลับมีกล่าวไว้ในพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ซึ่งเป็นพระราชพงศาวดารไทยลำดับสุดท้าย ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๔๑๑) โปรดเกล้าฯ ให้ชำระใน พ.ศ. ๒๓๙๘ ความว่า

    ครั้นลุศักราช ๑๑๔๓ ปีฉลูตรีศก [พ.ศ. ๒๓๒๔ - ผู้เขียน] ทรงพระกรุณาให้แต่งทูตานุทูตจำทูลพระราชสาส์น คุมเครื่องราชบรรณาการลงสำเภาออกไป ณ เมืองจีนเหมือนตามเคยมาแต่ก่อน และปีนั้นโปรดให้หลวงนายฤทธิเป็นอุปทูตออกไปด้วยŽ๒๙

    พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ตามต้นฉบับตัวเขียนของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้เรียบเรียงขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๑๒ ได้กล่าวสำทับถึงเรื่องหลวงนายฤทธิเป็นอุปทูตออกไปเมืองจีนในห้วง พ.ศ. ๒๓๒๔ ว่า

    ...และหลวงฤทธิ์ราชภาคิไนยซึ่งเปนอุปทูตออกไปกรุงปักกิ่งนั้นกลับ เข้ามาถึง จึ่งโปรดให้แต่งเรือลงไปรับที่เมืองสมุทรปราการ ท่านทั้งหลายจึ่งเรียกว่าเจ้าปักกิ่ง โปรดตั้งเปนสมเดจพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนรินทร์รณเรศร์ พระนามเดิมเจ้าฟ้าทองจีน ให้ตั้งอยู่สวนมังคุต... เปนพระโอรศสมเดจพระเจ้าพี่นางเธอพระองค์ใหญ่...Ž๓๐
    หาก ยึดถือตามข้อมูลในพระราชสาสน์ไปเมืองจีนของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๔ หลวงนายฤทธิผู้นี้ควรมีบรรดาศักดิ์เป็นแต่เพียง นายฤทธิŽ นายเวรมหาดเล็ก สันนิษฐานว่าได้ติดตามไปกับคณะทูตสำรับที่ ๒ ของเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช ซึ่งคุมสิ่งของนอกราชบรรณาการออกไปพระราชทานลิปูตาทัง จงตกหมูอี และนายห้างวาณิชจีน เพราะคณะทูตบรรณาการของพระยาสุนทรอภัยมีหลวงพิไชยเสน่หาทำหน้าที่เป็นอุปทูต อยู่ก่อนแล้ว

    แต่พึงสังเกตว่า คณะทูตสำรับที่ ๒ นี้มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ติดตามไปในคณะหลายคนด้วยกัน ได้แก่ พระยาราชสุภาวดี หลวงราไชย หลวงศรียศ และหลวงราชมนตรี จึงย่อมเป็นไปไม่ได้ที่นายฤทธิจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอุปทูต หากคณะทูตสำรับที่ ๒ นี้มีขุนนางผู้มีตำแหน่งเป็นอุปทูตอยู่จริง ตำแหน่งนี้ก็ควรเป็นของพระยาราชสุภาวดี หรือขุนนางผู้มียศถาบรรดาศักดิ์รองลงไป จึงเป็นไปไม่ได้ที่นายฤทธิจะมีตำแหน่งเป็นถึงอุปทูตตามที่กล่าวอ้างไว้ในพระ ราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา และพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ตามต้นฉบับตัวเขียนของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) แต่อย่างใดไม่

    ตามทรรศนะของข้าพเจ้าเห็นว่า การที่ผู้ชำระพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ได้แต่งเติมเรื่องราวของนายฤทธิเข้าไปใหม่อย่างพิสดารนั้น ก็คงด้วยต้องการยอพระเกียรติเจ้านายต้นราชวงศ์จักรีเป็นสำคัญ เนื่องจากนายฤทธิผู้นี้เป็นพระโอรสของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ กรมพระเทพสุดาวดี พระเชษฐภคินีพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีพระนามเดิมว่า ทองจีนŽ ภายหลังได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนรินทร์รณเรศ๓๑ อันนับเนื่องอยู่ในราชตระกูลของปฐมกษัตริย์ราชวงศ์จักรี

    แม้กรุงธนบุรีจะดำรงอยู่เพียงชั่วระยะเวลาอันสั้นแค่เพียง ๑๕ ปีเท่านั้น แต่ก็เป็นช่วงเวลาสำคัญยิ่งต่อการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางพระราชไมตรีและการ ค้าระหว่างสยามกับจีน ซึ่งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมีพระราชหฤทัยมุ่งมั่นในการโน้มน้าวให้ราชสำนัก จีนยินยอมรับรองพระองค์ในฐานะพระเจ้ากรุงสยามพระองค์ใหม่ ทั้งนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญ

    เชิงอรรถ
    ๑ พระยามหานุภาพ. นิราศกวางตุ้ง ฉบับพระยามหานุภาพ,Ž ใน แถลงงานประวัติศาสตร์ เอกสาร โบราณคดี (มกราคม ๒๕๑๔), น. ๖๙.
    ๒ ชะลอ ช่วยบำรุง. พระเจ้าตากแต่งทูตไปเมืองจีน,Ž ใน ศิลปวัฒนธรรม (ตุลาคม ๒๕๒๗), น. ๑๐๐-๑๐๑.
    ๓ พระยามหานุภาพ. เรื่องเดิม. น. ๗๐.
    ๔ ลิปูตาทังŽ เป็นตำแหน่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวงพิธีการของจีน คำว่า ลิปูŽ หมายถึงกระทรวงพิธีการ ส่วนคำว่า ตาทังŽ หมายถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ทำหน้าที่ในการจัดงานพระราชพิธีต่างๆ และคอยต้อนรับดูแลขุนนางจากต่างประเทศที่มาติดต่อสัมพันธ์กับราชสำนักจีน เช่น คณะทูตบรรณาการ รวมถึงคอยดูแลกิจการเกี่ยวกับการศึกษาและการสอบไล่บัณฑิต
    ๕ จงตกหมูอีŽ เป็นตำแหน่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่ คำว่า จงตกŽ หมายถึงข้าหลวงสำหรับอาณาเขต ๒ มณฑล หรือมากกว่านั้น มีอำนาจหน้าที่บริหารทั้งกิจการพลเรือนและทหาร รวมถึงกิจการชายแดนและกิจการต่างประเทศด้วย ส่วนคำว่า หมูอีŽ หมายถึงข้าหลวงมณฑล มีอำนาจหน้าที่บริหารทั้งกิจการพลเรือนและทหารในมณฑลของตน
    ๖ ชะลอ ช่วยบำรุง. เรื่องเดิม. น. ๙๙-๑๐๐.
    ๗ สำเภาห้ามก้องŽ เพี้ยนมาจากคำว่า ถ้ามก้งŽ ในภาษาจีน หมายถึงเรือที่เดินทางล่วงหน้าไปสำรวจและติดต่อก่อนเรือบรรทุกพระราชสาสน์ และเครื่องราชบรรณาการจะเริ่มออกเดินทาง
    ๘ ต้วน ลี เซิง เขียน, ประพฤทธิ์ ศุกลรัตนเมธี แปล. สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีกับจักรพรรดิจีน,Ž ใน พลิกต้นตระกูลไทย. (กรุงเทพฯ : พิราบ, ๒๕๓๖), น. ๑๕๒-๑๕๓.
    ๙ เรื่องเดียวกัน, น. ๑๕๔.
    ๑๐ พระยามหานุภาพ. เรื่องเดิม. น. ๗๙.
    ๑๑ เรื่องเดียวกัน, น. ๘๐.
    ๑๒ ประพฤทธิ์ ศุกลรัตนเมธี แปล. เอกสารประวัติศาสตร์จีนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทย-จีน รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ,Ž ใน ประวัติศาสตร์ปริทรรศน์ พิพิธนิพนธ์เชิดชูเกียรติ พลโท ดำเนิร เลขะกุล เนื่องในโอกาสมีอายุครบ ๘๔ ปี. วินัย พงศ์ศรีเพียร บรรณาธิการ. (กรุงเทพฯ : กองทุน ดำเนิร เลขะกุล เพื่อประวัติศาสตร์, ๒๕๔๒), น. ๑๒๗-๑๒๘.
    ๑๓ ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีน พ.ศ. ๑๘๒๕-๒๓๙๕, (กรุงเทพฯ : คณะกรรมการสืบค้นประวัติศาสตร์ไทยเกี่ยวกับจีนในเอกสารภาษาจีน สำนักนายกรัฐมนตรี, ๒๕๒๓), น. ๔๐.
    ๑๔ ต้วน ลี เซิง เขียน, ประพฤทธิ์ ศุกลรัตนเมธี แปล. เอกสารโบราณของจีนที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย,Ž ใน พลิกต้นตระกูลไทย. (กรุงเทพฯ : พิราบ, ๒๕๓๖), น. ๔๓-๔๔.
    ๑๕ ประพฤทธิ์ ศุกลรัตนเมธี แปล. เรื่องเดิม. น. ๑๒๘.
    ๑๖ ต้วน ลี เซิง เขียน, ประพฤทธิ์ ศุกลรัตนเมธี แปล. เรื่องเดิม. น. ๑๕๔.
    ๑๗ กรมหลวงนรินทรเทวี และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี และพระราชวิจารณ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. (กรุงเทพฯ : แสงดาว-สร้อยทอง, ๒๕๔๕), น. ๑๗๑.
    ๑๘ เรื่องเดียวกัน, น. ๑๗๑-๑๗๔.
    ๑๙ พระยามหานุภาพ. เรื่องเดิม. น. ๘๐.
    ๒๐ นิธิ เอียวศรีวงศ์. การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี. (กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๕๐), น. ๓๘๖.
    ๒๑ พระยามหานุภาพ. เรื่องเดิม. น. ๗๗-๗๘.
    ๒๒ กรมหลวงนรินทรเทวี และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. เรื่องเดิม. น. ๑๖-๑๗.
    ๒๓ เรื่องเดียวกัน, น. ๒๓.
    ๒๔ ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๒๓, (กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๑๑), น. ๑๖๔.
    ๒๕ ประพฤทธิ์ ศุกลรัตนเมธี แปล. เรื่องเดิม. น. ๑๒๖-๑๒๗.
    ๒๖ ในระบบบรรณาการของราชสำนักจีน หรือ เจ็งก้งŽ (Cheng-kung) ฝ่ายไทยมักนิยมเรียกตามสำเนียงแต้จิ๋วว่า จิ้มก้องŽ บรรดาอนารยประเทศจะส่งสำเภาบรรทุกเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระเจ้ากรุงจีน เรียกว่า เรือก้งŽ ตามที่ระบุไว้ในบัญชีของกรมพิธีการทูตจีน แต่ในหลายโอกาส รัฐบรรณาการมักจะส่งสิ่งของนอกบัญชีเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระเจ้ากรุงจีน ด้วย โดยอ้างว่าเป็นอับเฉาเรือ แต่ด้วยเหตุที่ราชสำนักจีนถือตัวว่าเป็นประเทศใหญ่ พระเจ้ากรุงจีนจะทรงรับถวายสิ่งของที่ถือว่าสำคัญแต่พอเป็นพิธี แล้วจะมีพระบรมราชานุญาตให้คณะทูตนำสิ่งของนอกบัญชีเครื่องราชบรรณาการที่ เหลือไปขายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้ จึงเรียกสำเภาบรรทุกสิ่งของนอกราชบรรณาการว่า เรือฟู่ก้งŽ การที่ราชสำนักจีนเปิดโอกาสให้คณะทูตขายสิ่งของนอกราชบรรณาการได้นั้น ก็ถือเป็นผลประโยชน์ทางการค้าที่อิงแอบอยู่กับการถวายเครื่องราชบรรณาการใน ฐานะรัฐประเทศราชตามทรรศนะของราชสำนักจีน
    ๒๗ ประพฤทธิ์ ศุกลรัตนเมธี แปล. เรื่องเดิม. น. ๑๒๘-๑๓๐.
    ๒๘ เรื่องเดียวกัน, น. ๑๒๐-๑๒๑.
    ๒๙ พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๒, (กรุงเทพฯ : กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๔๒), น. ๒๒๕.
    ๓๐ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ฉบับตัวเขียน, (กรุงเทพฯ : อมรินทร์วิชาการ, ๒๕๓๙), น. ๘.
    ๓๑ พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๒, น. ๒๓๓.




    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308485421&grpid=no&catid=&subcatid=-
    .


    กรณีสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทูลขอพระธิดาพระเจ้ากรุงจีน (4) : มติชนออนไลน์

    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    กรุงศรีปฏิวัติ : ปริศนารัฐประหารเงียบของขุนหลวงพ่องั่ว ′ยอม′ หรือ ′ยึด′ (1)

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]



    .

    [COLOR=##005800]โดย ปรามินทร์ เครือทอง[/COLOR]



    รัฐประหารŽ เปรียบเสมือนแขกยามวิกาลของสังคมไทย ที่มักจะปรากฏกายโดยไม่ได้นัดหมายและสร้างความวิตกกังวลให้กับเจ้าบ้าน แต่ก็เป็นแขกที่รู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน

    บ้านเมืองในอดีตนับเนื่องจากสมัยกรุงศรีอยุธยาจนมาถึงปัจจุบัน มีรัฐประหารที่ทำให้บ้านเมืองทั้งรุ่งเรืองและร่วงโรยอย่างปฏิเสธไม่ได้ อย่างน้อยคำว่า เมื่อครั้งบ้านเมืองยังดีŽ ที่หมายถึงระยะเวลา ๔๐๐ กว่าปีของกรุงศรีอยุธยานั้น ก็คล้ายถูกเหน็บแนมด้วยคำว่า รัฐประหารŽ จำนวนหลายสิบครั้ง

    การทำรัฐประหารในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น อาจมีจุดมุ่งหมายที่ไม่ซับซ้อนมากเท่าปัจจุบัน และดำเนินไปด้วยกติกาทางการเมืองที่ตรงไปตรงมาเช่นกัน คือ คนชนะเป็น เจ้าŽ คนแพ้ ถูกประหารŽ

    เทคนิครัฐประหารŽ ก็ไม่ยุ่งยากซับซ้อน เห็นได้จากการก่อการบางครั้งใช้คนเพียงไม่กี่คนบุกยึดวังหลวง เป็นอันเสร็จพิธีŽ

    นั่นคือภาพที่เราเห็น เบื้องหน้าŽ เท่านั้น แต่ เบื้องหลังŽ การทำรัฐประหาร ย่อมไม่ง่ายเพียงแค่ใช้หัวหมู่ทะลวงฟันไม่กี่คนก็กระทำการสำเร็จ ยังต้องการการสนับสนุนจากบรรดาเชื้อพระวงศ์ ขุนนางอำมาตย์ เจ้าเมือง เจ้าผู้ครองนครรัฐต่างๆ และที่สำคัญที่สุดคืออำนาจบารมีของ หัวหน้าŽ ผู้ก่อการ ซึ่งจะต้องขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ผู้มีอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ และเป็นสมมุติเทพที่สวรรค์คัดเลือกมาแล้ว

    ดังนั้น การทำรัฐประหารในสมัยกรุงศรีอยุธยา จึงไม่ได้นำมาแต่ความวิบัติเสียหายเพียงอย่างเดียว แต่นั่นกลับเป็นกลไกในการคัดสรร ตัวบุคคลŽ ขึ้นเป็นผู้นำแห่งราชอาณาจักร ในยุคที่การ โหวตŽ ยังไม่ถูกสลักลงบนแผ่นหิน หรือจารลงบนใบลาน

    รัฐประหารจึงกลายเป็นกลไกหนึ่งที่คานระบอบ หน่อพระพุทธเจ้าŽ หรือการส่งต่อพระราชบัลลังก์ให้กับพระราชโอรสองค์ใหญ่ ซึ่งไม่มีหลักประกันใดรับรองว่าจะทรงมีความสามารถหรืออำนาจบารมีในการปกครอง บ้านเมือง รวมทั้งบังคับบัญชาขุนนางอำมาตย์ ซึ่งมีอำนาจล้นฟ้าไม่แพ้กัน

    อย่างไรก็ดี แม้การรัฐประหารในสมัยกรุงศรีอยุธยา จะเกิดขึ้นเพื่อคานระบอบ หน่อพระพุทธเจ้าŽ แต่กติกาทางการเมืองได้วางไว้อย่างไม่เป็นทางการเช่นกันว่า ผู้ที่จะลงเล่นในเกมนี้ก็จะต้องเป็น เลือดสีน้ำเงินŽ เช่นเดียวกัน จึงจะเป็นที่ยอมรับในหมู่ชนชั้นปกครอง

    ที่น่าประหลาดใจก็คือ กฎมนเทียรบาล ซึ่งว่าด้วยกฎกติกาต่างๆ เกี่ยวกับพระราชวงศ์อย่างละเอียด แต่กลับข้ามเรื่องการสืบราชสมบัติไปเฉยๆ ทำให้กระบวนการ ผลัดแผ่นดินŽ ต้องหันมาใช้กระบวนการคัดสรรแบบต่างๆ รวมไปถึงการ ประลองกำลังŽ ในการทำรัฐประหารด้วยนั่นเอง

    ต่างจากวิธีการ สืบสันตติวงศ์Ž ที่นำมาจากฝรั่ง ในสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่มีดีมีเสียไม่ต่างจากวิธีการดั้งเดิม ข้อดีที่เห็นชัดก็คือสามารถตัดเรื่องการทำรัฐประหารแบบ บัลลังก์เลือดŽ ออกไปได้ แต่การ สืบสันตติวงศ์Ž ที่นำแนวคิดเรื่อง หน่อพระพุทธเจ้าŽ มาใช้ก็มีข้อเสียซุกซ่อนอยู่เช่นกัน คือ

    ถ้าแม้เจ้าแผ่นดินเปนผู้ที่โฉดเขลาเบาปัญญา ฃาดความสามารถ ฃาดความพยายาม เพลิดเพลินไปแต่ในความศุขส่วนตัว ไม่เอาใจใส่ในน่าที่ของตน ฉะนั้นก็ดี ฤาเปนผู้ที่มีน้ำใจพาลสันดาลหยาบ ดุร้ายแลไม่ตั้งอยู่ในธรรม เห็นแก่พวกพ้องแลบริวารอันสอพลอแลประจบ ฉะนั้นก็ดี ประชาชนก็จะได้รับความเดือดร้อนŽ๑
    แน่นอนว่าการทำรัฐประหารในอดีต อาจไม่ใช่คำตอบสำเร็จรูปที่รับประกันได้ว่า บ้านเมืองจะได้ ผู้นำŽ แบบปราดเปรื่อง มีคุณธรรม เท่านั้น แต่ก็น่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อย หากจะบอกว่าพระมหากษัตริย์สมัยกรุงศรีอยุธยา ที่สามารถนำพาบ้านเมืองให้ยิ่งใหญ่ มั่งคั่งได้นั้น เป็นพระมหากษัตริย์ที่ได้ราชบัลลังก์มาจากการทำรัฐประหารมากกว่า หน่อพระพุทธเจ้าŽ อย่างน่าอัศจรรย์

    กำเนิดกรุงศรี กำเนิดการเมืองสยามประเทศ
    ดูเหมือนว่าพระราชพงศาวดารกรุงเก่า จะไม่ได้ตื่นเต้นเห็นความวิเศษอันใดกับการกำเนิดกรุงศรีอยุธยา จึงบันทึกไว้เพียงสั้นๆ เรียบๆ ว่า

    ศักราช ๗๑๒ ขาลศก วันศุกร์ เดือน ๕ ขึ้น ๖ ค่ำ เพลารุ่งแล้ว ๓ นาฬิกา ๙ บาท แรกสถาปนากรุงพระนครศรีอยุทธยาŽ๒

    อาณาจักรที่รุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ที่สุดยุคหนึ่งในภูมิภาคนี้ กลับมี สูติบัตรŽ ประวัติความเป็นมาไม่กระจ่างชัด ปริศนากำเนิดกรุงศรีอยุธยาและพระราชประวัติผู้ทรง แรกสถาปนาŽ เพิ่งจะมาคลี่คลายเอาเมื่อราว ๔๐ ปีที่ผ่านมานี้เอง

    อย่างไรก็ดี จิตร ภูมิศักดิ์ ได้เคยวิเคราะห์ตำนาน พงศาวดาร จนสามารถวาดภาพคร่าวๆ ถึงสภาพการเมืองระหว่างรัฐในยุค ก่อนŽ กรุงศรีอยุธยาไว้ดังนี้

    ส่วนก่อนหน้าการสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นนครหลวงเมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๓ ขึ้นไป รูปรัฐของสังคมลุ่มน้ำเจ้าพระยาก็คือ นครรัฐ เล็กและใหญ่; และสภาพการเมืองยุคนั้น ก็คือการต่อสู้ช่วงชิงระหว่างนครรัฐต่างๆ ที่จะเป็นรัฐนำ หรือรัฐศูนย์กลางแห่งสหพันธนครรัฐ. และในระยะท้ายที่สุด ก่อนหน้าจะสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นนั้น รัฐของชนชาติไทยแห่งแคว้นอโยธยาและสุพรรณภูมิได้ร่วมมือกันเข้า เพื่อสถาปนารัฐศักดินารวมศูนย์ขึ้นครอบครองเหนืออาณาบริเวณแหลมทองทั้งมวลŽ๓

    ก่อนที่สมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) จะสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นนั้น อโยธยาŽ ก็ไม่ใช่บ้านเล็กเมืองน้อยแล้ว เพราะมีหลักฐานแน่นหนาบ่งชี้ว่า อโยธยาเป็นบ้านเมืองที่มีความมั่งคั่งมั่นคงอยู่ไม่น้อย เช่น การสถาปนาวัดพนัญเชิง ที่เกิดขึ้นก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาถึง ๒๖ ปี รวมถึงการมีวัดใหญ่น้อยและชุมชนขนาดใหญ่จำนวนมาก โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมือง ละโว้Ž ซึ่งมีพัฒนาการต่อเนื่องมาตั้งแต่ยุคทวารวดี ก่อนที่ศูนย์กลางความเจริญจะย้ายมาอยู่ที่เมืองอโยธยา ทางฟากตะวันออกของกรุงศรีอยุธยา และในที่สุดสมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) ก็ ข้ามฟากŽ มาสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้น โดยผนวกรวมเอา รัฐสุพรรณภูมิŽ เข้ามาไว้ด้วยกัน จนเกิดเป็นรัฐขนาดใหญ่ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา

    จะเห็นได้ว่ารัฐสุพรรณภูมิ อันมี ขุนหลวงพ่องั่วŽ หรือสมเด็จพระบรมราชาธิราชเป็นเจ้าผู้ครองนครนั้น มีศักดิ์ศรีเป็นบ้านพี่เมืองน้องกับ ละโว้-อโยธยาŽ และยังมีสายสัมพันธ์แบบเครือญาติกัน คือ สมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) เป็นพี่ (หรือน้อง) พระมเหสีของสมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง)๔ อีกชั้นหนึ่ง เมื่อ ๒ นครรัฐร่วมมือกันแล้ว ย่อมทำให้เกิดศูนย์กลางอำนาจขนาดใหญ่ขึ้น ส่งผลให้นครรัฐอื่นๆ ที่เคยยิ่งใหญ่ เช่น สุโขทัย นครศรีธรรมราช ต้องลดบทบาทลง

    ในขณะเดียวกัน ความยิ่งใหญ่ของกรุงศรีอยุธยา ก็ได้บ่มเพาะความขัดแย้งทางการเมืองให้ขยับเคลื่อนไหวอยู่อย่างเงียบๆ เพื่อคัดสรรผู้ที่มีอำนาจบารมีอย่างแท้จริงในยุคสมัยต่อๆ มา

    วิถีทางแห่งการ รัฐประหารŽ ก็เริ่มปรากฏตัวขึ้นในกรุงศรีอยุธยาในทันทีที่มีการผลัดแผ่นดิน
    สามกษัตริย์

    ว่าตาม พระราชพงษาวดารสังเขป ของ สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส กล่าวว่าสมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) เมื่อแรกได้ราชสมบัตินั้น พระชนม์ได้ ๓๗ พรรษาŽ๕ ถือว่ายังทรงเป็นกษัตริย์หนุ่ม ที่มีอำนาจบารมีมากล้น

    ส่วนสมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) พระญาติและพันธมิตรสำคัญ หากคำนวณอายุโดยอาศัยข้อมูลจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับ วัน วลิต ที่ว่าทรงครองราชสมบัติกรุงศรีอยุธยาเมื่อพระชนมายุได้ ๖๓ พรรษา ก็เท่ากับว่า เมื่อแรกสถาปนากรุงศรีอยุธยานั้น มีพระชนมายุประมาณ ๔๔ พรรษา มากกว่าสมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) ๗ พรรษา

    ปัญหาไม่ได้อยู่ที่สองกษัตริย์ข้างต้น แต่อยู่ที่สมเด็จพระราเมศวร พระราชโอรสในสมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) ซึ่งพระราชพงศาวดารกล่าวไว้ถึงตอนเมื่อแรกสถาปนากรุงศรีอยุธยาว่า

    จึงให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ พระราเมศวรขึ้นไปครองราชย์สมบัติในเมืองลพบุรีŽ๖

    เมื่อตรวจสอบพระชนมายุของสมเด็จพระราเมศวรจากเอกสารต่างๆ เช่น พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับ วัน วลิต และสังคีติยวงศ์ กล่าวตรงกันว่า ตอนที่ทรงขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อจากสมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) นั้น มีพระชนมายุได้ ๓๐ พรรษา เมื่อหักลบออกจากระยะเวลาที่สมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) ทรงครองราชสมบัติ ๑๙ ปี ก็เท่ากับว่าเมื่อตอนสถาปนากรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระราเมศวรขึ้นไปครองเมืองลพบุรีด้วยพระชนมายุเพียง ๑๑ พรรษาเท่านั้น

    ด้วยพระชนมายุเพียงเท่านี้ จึงส่งผลร้ายต่อพระองค์ในเกมการเมืองในภายหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
    และความที่ยังทรงเป็น เด็กŽ อยู่นี้เอง โอกาสที่จะได้ช่วยพระราชบิดาสร้างบ้านแปลงเมือง เพื่อสะสมบุญบารมีจึงมีอยู่น้อย บทบาทในด้านนี้จึงตกอยู่กับสมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) เป็นส่วนใหญ่ ดังเช่นการขยายอำนาจกรุงศรีอยุธยาไปสู่รัฐสุโขทัยทางตอนเหนือ ซึ่งมีอำนาจอยู่ติดกับเมืองลพบุรี ฐานที่มั่นเดิมของสมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) ในกิจการครั้งนั้นก็มีสมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) ในนาม วัตติเดชŽ เป็นตัวละครสำคัญ

    ครั้งหนึ่ง เมืองชัยนาท (พิษณุโลก) เกิดทุพภิกขภัย พระเจ้ารามาธิบดี กษัตริย์อโยชชปุระ เสด็จมาจากแคว้นกัมโพช (ลพบุรี) ทรงยึดเมืองชัยนาทนั้นได้ โดยทำเป็นทีว่าเอาข้าวมาขาย ครั้นยึดได้แล้ว ทรงตั้งมหาอำมาตย์ของพระองค์ชื่อว่าวัตติเดช [พ่องั่ว] ซึ่งครองเมืองสุวรรณภูมิ ให้มาครองเมืองชัยนาท ส่วนพระองค์เสด็จกลับไปอโยชชปุระ

    ต่อแต่นั้นมาพระเจ้าธรรมราชา [ลิไท] ก็ส่งราชบรรณาการเป็นอันมากไปถวายพระเจ้ารามาธิบดี ทูลขอเมืองชัยนาทนั้นคืน ฝ่ายพระเจ้ารามาธิบดีก็ทรงประทานคืน (เมืองชัยนาทนั้น) ให้แก่พระเจ้าธรรมราชา วัตติเดชอำมาตย์ก็กลับไปเมืองสุวรรณภูมิอีกŽ๗

    ช่วงที่สมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) ไปครองเมืองพิษณุโลกอยู่นี้เอง เชื่อกันว่าพระองค์น่าจะได้น้องสาวของพระเจ้าลิไทเป็นชายาอีกด้วย๘ ซึ่งเท่ากับว่าสมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) ทรงมีความสัมพันธ์ทั้งทางการเมืองและเป็นเครือญาติสนิทกับกรุงศรีอยุธยาและ กรุงสุโขทัยในเวลาเดียวกัน

    สายสัมพันธ์นี้ที่ถือเป็นตัวแปรสำคัญต่อการเมืองในกรุงศรีอยุธยา เมื่อสิ้นรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง)
    ขอมแปรพักตร์

    อำนาจบารมีของสมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) เด่นชัดขึ้นอีก เมื่อเกิดกรณี ขอมแปรพักตร์Ž ตามความในพระราชพงศาวดารว่า

    ทรงพระกรุณาตรัสว่า ขอมแปรพักตร์ จะให้ออกไปกระทำการปราบปรามเสีย พระราเมศวรได้ฤกษ์ยกพลห้าพัน ไปถึงกรุงกัมพูชาธิบดีเพลาพลบค่ำ พระยาอุปราชบุตรพระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดีทูลว่า ทัพซึ่งยกมานั้นเลื่อยล้าอยู่ยังมิได้พร้อมมูล จะขอออกโจมทัพ พระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดีก็เห็นด้วย พระยาอุปราชก็ออกโจมทัพ ทัพหน้ายังมิทันตั้งค่ายก็แตกฉาน มาปะทะทัพหลวง เสียพระศรีสวัสดิ์แก่ชาวกัมพูชาธิบดีŽ๙

    เหตุการณ์นี้มีเรื่องน่าคิดอยู่ว่า ความพยายามของสมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) ที่จะทรงส่งเสริมสมเด็จพระราเมศวรให้ทรงมี ผลงานŽ ในครั้งนี้ เพื่อปูทางสู่ราชบัลลังก์ในอนาคตนั้น เป็นพระราโชบายที่สุ่มเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง
    เพราะราชพงษาวดารกรุงกัมพูชากล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่าเกิดขึ้นในปีจุลศักราช ๗๑๔๑๐ เท่ากับว่าสมเด็จพระราเมศวรเวลานั้น มีพระชนมายุเพียง ๑๓ พรรษา แต่ต้องเป็นแม่ทัพนำทหารออกศึกใหญ่ จริงอยู่มีบางครั้งในประวัติศาสตร์อาจจะมีพระราชโอรสที่ทรงพระเยาว์เสด็จ ร่วมทัพไปเป็น สัญลักษณ์Ž บ้าง เพื่อ ทัศนศึกษาŽ กระบวนการรบ แต่การศึกครั้งนี้ แทนที่จะได้ ผลงานŽ กลับทำให้กรุงศรีอยุธยาต้องเสื่อมเสียพระเกียรติยศไปเป็นอันมาก
    พระราชพงศาวดารถึงกับบันทึกไว้ว่าการศึกของสมเด็จพระราเมศวรครั้งนี้ทำให้ กรุงศรีอยุธยา เสียพระศรีสวัสดิ์Ž แก่ชาวกัมพูชา พระศรีสวัสดิ์ในที่นี้ จิตร ภูมิศักดิ์ ว่าเป็นพระราชโอรสพระองค์หนึ่งของสมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ว่าคงเป็นเจ้านายเขมรที่ฝักใฝ่กรุงศรีอยุธยา แต่ ศาสตราจารย์ขจร สุขพานิช อธิบายไว้อย่างน่าสนใจว่าหมายถึง เสียพระเกียรติยศŽ๑๑ เพราะพบว่ามีการใช้สำนวนนี้ในเอกสารรุ่นหลังๆ อีกหลายครั้ง

    จะด้วยเหตุที่สมเด็จพระราเมศวรทรงเป็น เด็กŽ หรือเป็นเพราะทรงแพ้กลศึกก็ตาม แทนที่จะได้สร้าง ผลงานŽ กลับทำให้กรุงศรีอยุธยา เสียพระศรีสวัสดิ์Ž ไป และพระองค์เองก็ เสียพระเกียรติยศŽ ไม่น้อย
    ในทางตรงกันข้าม การพลาดโอกาสสร้างผลงานครั้งนี้ของสมเด็จพระราเมศวร กลับเป็นการหยิบยื่นโอกาสให้สมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) สร้าง บุญบารมีŽ เพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย เพราะทรงนำทัพ ไปช่วยหลานŽ จนได้ชัยชนะกลับมา

    มีพระราชโองการให้ขุนตำรวจออกไปอัญเชิญสมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้าผู้เป็น พระเชษฐา ซึ่งอยู่เมืองสุพรรณบุรี ครั้นเสด็จเข้ามาถึงพระนครแล้ว พระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า ขออัญเชิญท่านออกไปช่วยหลานท่าน สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้าจึงยกทัพรีบออกไปถึงกรุงกัมพูชาธิบดี ก็รบเอาชัยชำนะได้ ให้กวาดครัวชาวกัมพูชาธิบดีเข้ามาพระนครเป็นอันมากŽ๑๒

    แม้เหตุการณ์ครั้งนี้จะเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นกรุงศรีอยุธยา แต่จะมากจะน้อยก็ล้วนมีผลต่อสถานภาพของสมเด็จพระราเมศวร และสถานการณ์ทางการเมืองภายในกรุงศรีอยุธยาอย่างแน่นอน

    เปลี่ยนแผ่นดิน
    ตลอดระยะเวลา ๑๙ ปี ในรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) นอกจากบทบาทในการสร้างบ้านแปลงเมืองแล้ว ยังได้ขยายอำนาจของกรุงศรีอยุธยาให้กว้างใหญ่ยิ่งขึ้น เช่น การสกัดกั้นอำนาจของสุโขทัยไม่ให้ขยายลงมาจนถึงลุ่มน้ำป่าสัก-ลพบุรี หรือการยกทัพออกไปบังคับจัดการกับกรุงกัมพูชา

    ครั้นเมื่อ สมเด็จพระรามาธิบดีเจ้าเสด็จนฤพานŽ ในปีจุลศักราช ๗๓๑ ทำให้การรักษาความยิ่งใหญ่ของกรุงศรีอยุธยาให้คงอยู่สืบไป ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แน่นอนว่าภาระหนักนี้ตกอยู่กับสมเด็จพระราเมศวรนั่นเอง
    เมื่อมีการผลัดแผ่นดินขึ้น สมเด็จพระราเมศวรก็สืบราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา โดยอัตโนมัติ ไม่มีการคัดค้านต่อต้านจากฝ่ายใด หรืออย่างน้อยก็เท่าที่ปรากฏในพระราชพงศาวดาร

    เวลานั้นสมเด็จพระราเมศวรมีพระชนมายุ ๓๐ พรรษา ไม่ได้ทรงเป็น เด็กŽ เหมือนเมื่อครั้งศึกขอมแปรพักตร์อีกแล้ว ดังนั้น ตลอดเวลาเกือบ ๒๐ ปี ในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) ก็น่าจะทรงเรียนรู้และเตรียมพระองค์อย่างหนัก สำหรับการสืบราชบัลลังก์อันยิ่งใหญ่ต่อจากพระราชบิดาในฐานะ หน่อพระพุทธเจ้าŽ
    น่าเสียดายที่สมเด็จพระราเมศวรยังไม่ได้ทรงพิสูจน์ความสามารถใดให้ประจักษ์ เนื่องจากประมาณ ๑ ปี (ตามที่ปรากฏในพระราชพงศาวดาร) ที่ทรงครองราชบัลลังก์ ก็จบลงด้วยการ รัฐประหารŽ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา

    เปรียบฝีมือ ลุง-หลาน
    หากมองข้ามความผิดพลาดที่มีอยู่ร่ำไปในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับ วัน วลิต เราก็อาจจะพอหยิบฉวยเนื้อหาบางประการมาใช้ประโยชน์ เพื่อทราบŽ ข้อมูลประวัติศาสตร์ตอนนี้ได้ โดยเฉพาะกรณี ฝีมือŽ ของสมเด็จพระราเมศวรและสมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) ซึ่ง วัน วลิต ได้วิจารณ์ เชิงชั้นŽ ของทั้ง ๒ พระองค์ไว้อย่างชัดเจน

    โดย วัน วลิต ได้กล่าวถึงสมเด็จพระราเมศวรไว้ดังนี้

    พระองค์เป็นโอรสของพระเจ้าอู่ทอง ขึ้นเสวยราชย์อย่างสงบสุข เมื่อพระชนมายุ ๓๐ พรรษา ทรงพระนามว่า พระราเมศวร พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ไม่ค่อยจะฉลาดนัก มีอุปนิสัยไม่ดี โหดร้ายและกระหายเลือด โกรธง่าย ตระหนี่ ตะกละ โลภและตัณหาจัด พระองค์ไม่ลังเลที่จะใช้พระราชอำนาจฉุดคร่าภรรยาของผู้อื่นมาเป็นของตน พระองค์ไม่เคยสนพระทัยในสวัสดิภาพของบ้านเมือง และความสงบสุขของชุมนุมชน พระองค์ไม่ได้เป็นนักรบโดยธรรมชาติ ดังนั้นจึงไม่ทรงรักทหารเลย สนพระทัยศาสนาแต่เพียงเล็กน้อย และไม่สนพระทัยคนจนเลยŽ๑๓

    แม้ วัน วลิต จะกล่าวถึงรายละเอียดบางอย่าง เกินเลยŽ ไปมาก และยังคลาดเคลื่อนที่ว่าสมเด็จพระราเมศวรทรงครองราชสมบัติอยู่ถึง ๓ ปี ก่อนจะถูกสมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) ถอดออกจากตำแหน่ง และ Žตามล่าทุกหนทุกแห่งŽ

    อย่างไรก็ดี เราก็อาจเก็บ ความรู้สึกŽ ของคนที่บอกเล่าเรื่องนี้ให้กับ วัน วลิต ได้ว่า ชื่อเสียงŽ ของสมเด็จพระราเมศวรนั้นเป็นอย่างไร เมื่อเปรียบเทียบกับสมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) วัน วลิต กลับชื่นชมชนิดแทบจะตรงกันข้ามกับสมเด็จพระราเมศวรแบบคำต่อคำเลยทีเดียว

    เจ้าขุนหลวงพ่องั่ว ทรงเป็นกษัตริย์ที่ฉลาด มีโวหารดี เคร่งครัดในศาสนา รักความก้าวหน้า และอุทิศตนให้ศาสนาและคนจน พระองค์เกิดมาเป็นนักปกครองที่มีหัวใจนักรบ รักอาวุธและดูแลทหารและชุมนุมชนอย่างดีŽ๑๔
    ดังนั้น ไม่ว่า วัน วลิต จะถูกต้องหรือผิดพลาดเพียงใด แต่ข้อมูล เพื่อทราบŽ นี้ ก็อาจจะกลายเป็น เงื่อนไขŽ หนึ่งที่ทำให้การทำรัฐประหารครั้งแรกนี้ประสบความสำเร็จ

    ศึก ๒ ราชวงศ์

    หลังจากสมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) แห่งราชวงศ์อู่ทอง (หรือราชวงศ์เชียงราย) เสด็จสวรรคต ในปีระกา จุลศักราช ๗๓๑ สมเด็จพระราเมศวรก็เสด็จจากลพบุรีมาสืบราชสมบัติต่อในทันที

    ศักราช ๗๓๑ รกาศก แรกสร้างวัดพระราม ครั้งนั้นสมเด็จพระรามาธิบดีเจ้าเสด็จนฤพาน จึงพระราชกุมารท่าน สมเด็จพระ (ราเม) ศวรเจ้าเสวยราชสมบัติŽ๑๕

    ต่อมาในปีรุ่งขึ้น สมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ ก็ทำรัฐประหารโค่นราชวงศ์อู่ทองลง
    ครั้นเถิงศักราช ๗๓๒ จอศก สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้าเสด็จมาแต่เมืองสุพรรณบูรี ขึ้นเสวยราชสมบัติพระนครศรีอยุทธยา แลท่านจึงให้สมเด็จพระราเมศวรเจ้าเสด็จไปเสวยราชสมบัติเมืองลพบูรีŽ๑๖
    ในพระราชพงศาวดารฉบับนี้ ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับการรัฐประหารมากไปกว่านี้ ดังนั้น เราจึงไม่ทราบว่า รัฐประหารครั้งแรกของกรุงศรีอยุธยา เกิดขึ้นเมื่อไหร่ วัน เดือน ขึ้น แรม เท่าไหร่ หรือเกิดขึ้นเพราะอะไร ดูเหมือนว่าการรัฐประหารครั้งนี้จะง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อ ฝ่ายหนึ่งมา อีกฝ่ายหนึ่งก็หลีกให้ โดยไม่มีการโต้แย้งต่อต้านแต่อย่างใด

    ในขณะที่พระราชพงศาวดารฉบับอื่น ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดที่มีประโยชน์มากไปกว่านี้มากนัก นอกจากเพิ่มเติมบทของสมเด็จพระราเมศวรว่าทรง ถวายŽ ราชสมบัติให้แต่โดยดี

    ครั้นถึงศักราชได้ ๗๓๒ ปีจอโทศก (พ.ศ. ๑๙๑๓) สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้าเข้ามาแต่เมืองสุพรรณบุรี เสนาบดีกราบทูลว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้าเสด็จเข้ามา สมเด็จพระราเมศวรก็ออกไปอัญเชิญเสด็จเข้าพระนคร ถวายราชสมบัติแล้ว ถวายบังคมลาขึ้นไปลพบุรีดังเก่าŽ๑๗

    ดูเหมือนว่าการรัฐประหารครั้งนี้จะ ง่ายŽ เกินไปจนน่าสงสัย หรือว่าพระราชพงศาวดารคลาดเคลื่อน หรือว่าหลาน ยอมŽ ลุง หรือว่าเรื่องนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอื่นๆ อีกที่พระราชพงศาวดารไม่บันทึกไว้
    เบื้องหลังรัฐประหารเงียบ

    ข้อสงสัยนี้นักประวัติศาสตร์ย่อมไม่เห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย และแน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่อาจเล็ดลอดการสังเกตของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพไปได้ โดยทรงตั้งข้อสังเกตไว้บางประการดังนี้

    คิดดูความในพระราชพงศาวดารตรงนี้น่าสงสัยอยู่ จะว่าสมเด็จพระราเมศวรกับสมเด็จพระบรมราชาธิราชเกิดวิวาทกันขึ้นก็สงสัยว่า ทำไมเมื่อสมเด็จพระบรมราชาธิราชได้ราชสมบัติแล้ว จึงยอมให้สมเด็จพระราเมศวรกลับไปเป็นเจ้าครองเมืองลพบุรี ให้มีกำลังและอำนาจอยู่อย่างเก่าŽ๑๘

    นอกจากนี้ ยังทรงตั้งข้อสังเกตเรื่อง เงื่อนเวลาŽ อีกด้วย ทำนองว่า เหตุใดสมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) จึงทรงรั้งรออยู่ถึง ๑ ปี จึงตัดสินใจทำรัฐประหาร

    ในการที่สมเด็จพระราเมศวร ยอมถวายราชสมบัติแก่สมเด็จพระบรมราชาธิราชนั้นเล่า ก็น่าสงสัยถ้าสมเด็จพระราเมศวรทรงทราบว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชจะไม่ยอมอยู่ในอำนาจ และจะเอาไว้ในอำนาจไม่ได้ ทำไมไม่ถวายราชสมบัติเสียแต่แรก ถ้าสมเด็จพระราเมศวรเชื่อว่าจะสามารถครองราชสมบัติได้ ทำไมจึงยอมถวายราชสมบัติแก่สมเด็จพระบรมราชาธิราชโดยง่ายŽ๑๙

    ด้วยข้อสงสัยที่ว่า เหตุใดสมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) จึงยอมให้สมเด็จพระราเมศวรกลับไปมีอำนาจเหมือนเก่า และเหตุใดการรัฐประหารจึงไม่เกิดขึ้นในทันทีที่สมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) สวรรคต ดังนั้น จึงทรงตั้งข้อสันนิษฐานถึงเหตุ รัฐประหารเงียบŽ ไว้ดังนี้

    เรื่องจริงเห็นจะเป็นเช่นนี้ คือเดิมสมเด็จพระรามาธิบดี ปลงพระทัยให้สมเด็จพระราเมศวรเป็นรัชทายาท ข้อนี้สังเกตได้โดยพระนามราเมศวรนั้น ในพระราชพงศาวดารแผ่นดินต่อมา มีแต่พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ที่จะรับรัชทายาท

    เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีสวรรคต คนทั้งปวงรวมทั้งสมเด็จพระบรมราชาธิราชด้วย จึงยอมยกราชสมบัติถวายสมเด็จพระราเมศวร

    แต่เมื่อสมเด็จพระราเมศวรเข้ามาครองราชสมบัติอยู่ปีหนึ่งนั้น จะมีผู้ใดหรือพวกใดในกรุงศรีอยุธยากระด้างกระเดื่องขึ้น สมเด็จพระราเมศวรปราบไม่ลง จึงต้องยกราชสมบัติถวายสมเด็จพระบรมราชาธิราชŽ๒๐

    นอกจากนี้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพยังทรงสรุปความเห็นสำคัญไว้ ๒ ข้อ คือ

    ๑. สมเด็จพระราเมศวรได้ครองราชสมบัติอยู่ ๑ ปีนั้น เป็นความยินยอมของสมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว)
    ข้อนี้เห็นได้ด้วย เมืองสุพรรณ เมืองลพบุรี กับกรุงศรีอยุธยาอยู่ใกล้ชิดเดินไปมาถึงกันได้ในวันเดียว ถ้าสมเด็จพระบรมราชาธิราชไม่ยอมให้สมเด็จพระราเมศวรครองราชสมบัติ ก็จะได้รบกันเสียนานแล้ว ไม่อยู่มาได้ถึงปีŽ๒๑

    ๒. ทรงเชื่อหนักแน่นว่า การรัฐประหารเงียบครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากการ วิวาทŽ ของทั้ง ๒ ราชวงศ์
    ข้อนี้เห็นได้ด้วยสมเด็จพระบรมราชาธิราช ให้สมเด็จพระราเมศวรกลับไปครองเมืองลพบุรีอยู่อย่างเดิม ถ้ามีเหตุวิวาทกันอยู่แต่ก่อน เห็นจะไม่ปล่อยให้กลับไปมีกำลังและอำนาจเป็นแน่Ž๒๒

    สรุปข้อสันนิษฐานของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เกี่ยวกับรัฐประหารเงียบได้ว่า เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) สวรรคต สมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) ทรง ยอมŽ ให้สมเด็จพระราเมศวรครองราชย์อยู่ก่อน ๑ ปี แต่แล้วก็ไม่สามารถปกครองบ้านเมืองได้ตลอดรอดฝั่ง ดังนั้น สมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) จึงเสด็จมาจากเมืองสุพรรณบุรี เข้าปกครองกรุงศรีอยุธยาแทน โดยสมเด็จพระราเมศวร ทรง ยอมŽ ถวายราชสมบัติให้โดยไม่ได้วิวาทกัน แล้วเสด็จกลับไปครองลพบุรีดังเดิม

    จะเห็นได้ว่าข้อสันนิษฐานของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ล้วนเกิดขึ้นเพื่อไขปริศนาช่วงเวลา ๑ ปีŽ ที่สมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) ทรง ยอมŽ ให้สมเด็จพระราเมศวรขึ้นครองราชสมบัติ โดยไม่ทำรัฐประหารในทันที และการ ปล่อยŽ ให้สมเด็จพระราเมศวรกลับไปมีอำนาจดังเดิม

    ในทางตรงกันข้าม หากการรัฐประหารนั้นไม่ได้เว้นเวลาไว้ ๑ ปี ตามตัวเลขที่ปรากฏในพระราชพงศาวดาร จะเกิดอะไรขึ้น ข้อสันนิษฐานทั้งหลายนั้นยังใช้ได้อยู่หรือไม่?






    .

    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1303105807&grpid=&catid=53&subcatid=5300-

    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1303105807&grpid=&catid=53&subcatid=5300

    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    กรุงศรีปฏิวัติ : ปริศนารัฐประหารเงียบของขุนหลวงพ่องั่ว ′ยอม′ หรือ ′ยึด′ (2)


    ไขปริศนาเงื่อนเวลา ๑ ปี
    พระราชพงศาวดารกล่าวตรงกันทุกฉบับว่า สมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) สวรรคตในปีจุลศักราช ๗๓๑ จากนั้นสมเด็จพระราเมศวรก็เสด็จขึ้นครองราชสมบัติโดยอัตโนมัติทันที จนกระทั่งปีจุลศักราช ๗๓๒ สมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) เสด็จมาจากเมืองสุพรรณบุรีขึ้นครองราชสมบัติกรุงศรีอยุธยาแทน แล้วให้สมเด็จพระราเมศวรกลับไปครองลพบุรีดังเดิม

    แต่หากสมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) ทรงบุก ยึดŽ กรุงศรีอยุธยาเสียตั้งแต่สมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) สวรรคต เรื่องก็คงจะง่ายกว่านี้มาก และไม่มีปริศนาใดให้ต้องขบคิดกันอีกต่อไป

    คำถามก็คือ เป็นไปได้หรือไม่ที่ ความจริงแล้วการรัฐประหารครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงผลัดแผ่นดินนั่นเอง เพียงแต่ไม่ได้เกิดขึ้นในฉับพลันทันที แต่มีการเว้นช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะมีการ ยึดŽ กรุงศรีอยุธยา ซึ่งหมายความว่าสมเด็จพระราเมศวรอาจจะครองราชสมบัติอยู่ไม่ถึง ๑ ปี!?!

    เพื่อไขปริศนานี้ มีข้อสังเกตประการหนึ่งที่ไม่ควรละเลย นั่นคือ รหัสŽ ในคำบางคำจากพระราชพงศาวดาร
    อาศัยพระราชพงษาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ที่ยอมรับกันว่ามีความแม่นยำเรื่อง ศักราชŽ มากกว่าพระราชพงศาวดารฉบับอื่น โดยที่พระราชพงศาวดารฉบับนี้มีลักษณะการจดบันทึกแบบสั้นๆ คล้ายจดหมายเหตุโหร คือกล่าวแต่ใจความสำคัญถึงเหตุการณ์ในแต่ละปี

    ที่สำคัญคือไม่มีรายละเอียดเรื่อง วัน เดือน ขึ้น แรม ในวันสวรรคตของสมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) เช่นเดียวกับไม่มีวัน เดือน ขึ้น แรม ที่สมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) ทำรัฐประหาร บอกเพียงแต่ว่าเหตุการณ์ทั้งสองนั้นเกิดขึ้นในปี ศักราชŽ ใด

    โดยปกติแล้วพระราชพงศาวดารฉบับนี้จะขึ้นต้นเหตุการณ์ในแต่ละปีด้วยคำว่า ศักราชŽ แต่ปรากฏว่ามีคำบางคำที่ใช้ปะปนอยู่เพียงไม่กี่ครั้งในพระราชพงศาวดารฉบับ นี้ คือ คำว่า ครั้นเถิงศักราชŽ หรือ ครั้นรุ่งขึ้นปีŽ เช่น ครั้นเถิงศักราช ๗๓๒ จอศก หรือ ครั้นเถิงศักราช ๘๖๕ กุนศก วันศุกร์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๘ (ห่างจากปีใหม่ไทยในเดือน ๕ อยู่ ๓ เดือน) หรือ ครั้นรุ่งปีขึ้นศักราช ๘๘๘ จอศก เป็นต้น

    คำๆ นี้จะหมายถึงการเข้าศกใหม่หรือต้นปีได้หรือไม่?

    ดังนั้น จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า ครั้นเถิงศักราช ๗๓๒ จอศกŽ อันเป็นช่วงเวลาที่สมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) ทำรัฐประหารขึ้นนั้น อาจจะเป็น ต้นปีŽ หรือเพิ่งผ่านปีใหม่มาได้ไม่นาน

    เช่นเดียวกับที่สมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) สวรรคตในปี ศักราช ๗๓๑Ž ก็ไม่ได้หมายความว่า จะสวรรคตตั้งแต่ต้นปี อาจจะเป็นกลางปีหรือปลายปีก็ได้

    ด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปได้อีกเช่นกันว่า ระยะเวลาที่สมเด็จพระราเมศวรทรงครองราชสมบัตินั้นอาจจะไม่ถึง ๑ ปีเต็มอย่างที่เข้าใจกัน หากสมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) สวรรคตปลายปี ๗๓๑ แล้วสมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) ทำรัฐประหารต้นปี ๗๓๒ ก็อาจจะห่างกันเพียงไม่กี่เดือน หรือไม่กี่วันก็เป็นได้

    หรือเป็นไปได้แม้กระทั่งว่า เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) สวรรคตใน (ต้น) ปี ๗๓๑ สมเด็จพระราเมศวรก็ครองราชสมบัติต่อในปีเดียวกันนี้ จนกระทั่ง เถิงศักราชŽ ใหม่ ก็ถูกรัฐประหาร

    ในกรณีคล้ายๆ กันนี้ เกิดขึ้นในสมัยหลัง คือ สมเด็จพระรัฏฐาธิราช พระราชโอรสในสมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูร ขึ้นเสวยราชสมบัติด้วยพระชนมายุ ๕ พรรษา ก่อนจะถูกสมเด็จพระไชยราชาทำรัฐประหาร
    การบันทึกเหตุการณ์นี้ในพระราชพงศาวดารเหมือนกับเหตุการณ์ตอนสมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) สวรรคต แทบทุกอย่าง

    ศักราช ๘๙๕ มะเสงศก สมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูรเจ้านฤพาน จึงสมเด็จพระราชกุมารได้เสวยราชสมบัติ

    ครั้นเถิงศักราช ๘๙๖ มะเมียศก พระราชกุมารท่านนั้นเปนเหตุ จึงได้ราชสมบัติแก่พระไชยราชาธิราชเจ้าŽ๒๓
    จะเห็นได้ว่าพระราชพงศาวดารบันทึกไว้แต่เพียง ตัวเลขŽ ศักราช ทำให้ดูเหมือนว่าสมเด็จพระรัฏฐาธิราชทรงครองราชสมบัติอยู่ ๑ ปี เหมือนกรณีสมเด็จพระราเมศวร แต่พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขาระบุชัดเจนว่าสมเด็จพระรัฏฐาธิราช ทรงครองราชสมบัติอยู่เพียง ๕ เดือนŽ ก็ถูกรัฐประหาร

    ดังนั้น ตัวเลขŽ ศักราชที่พระราชพงศาวดารบันทึกต่อกันนั้น ไม่จำเป็นจะต้องหมายถึง ๑๒ เดือน หรือ ๑ ปี เสมอไป

    ขุนหลวงพ่องั่ว ยอมŽ หรือ ยึดŽ กรุงศรีอยุธยา?
    เมื่อกรอบระยะเวลาครองราชสมบัติของสมเด็จพระราเมศวร ๑ ปี ไม่ใช่เงื่อนไขตายตัวอีกต่อไป กรอบคิดเรื่องปริศนารัฐประหารเงียบก็ย่อมกว้างขึ้นตามไปด้วย

    เนื่องจากพระราชพงศาวดารไม่ได้ทิ้งเบาะแสใดๆ ที่มีประโยชน์ไว้ให้ มีเพียงข้อสันนิษฐานของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ทรงเห็นหนักไปทาง ยอมŽ มากกว่า ยึดŽ เพราะสมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) ยอมให้สมเด็จพระราเมศวรอยู่ในราชสมบัติ ๑ ปี และยอมให้กลับไปครองลพบุรีดังเก่า

    อย่างไรก็ดี เบาะแสเรื่องการ ยึดŽ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเสียเลย อย่างน้อยถ้าไม่ ติดกับดักŽ ตัวเลข ๑ ปี การยึดก็สามารถเกิดขึ้นได้ภายหลังการผลัดแผ่นดินไม่นานหรือแทบจะทันทีก็เป็น ไปได้เช่นกัน

    หลักฐานชิ้นหนึ่งที่กล่าวถึงการ ยึดŽ อยู่ในหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ โดยเฉพาะเนื้อหาตอนที่เกี่ยวกับ พระเจ้าอู่ทองŽ นั้น เป็นที่ยอมรับว่าเชื่อถือได้ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่สมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) ยึดเมืองชัยนาท (พิษณุโลก) จากพระมหาธรรมราชาลิไท หรือการกล่าวถึงมหาอำมาตย์วัตติเดช (พ่องั่ว) ว่าครองเมืองสุพรรณบุรี และอื่นๆ รวมทั้งตอนที่สมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) ยึดŽ กรุงศรีอยุธยา

    เมื่อพระเจ้ารามาธิบดีผู้เป็นใหญ่แก่แคว้นกัมโพชและอโยชชปุระสวรรคต วัตติเดชอำมาตย์มาจากเมืองสุวรรณภูมิ ยึดแคว้นกัมโพชได้Ž๒๔

    รวมถึงหนังสือสังคีติยวงศ์ ของ สมเด็จพระวันรัตน วัดพระเชตุพน แต่งขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ปรากฏความดังนี้

    ครั้งนั้นพระมาตุลพระนามว่า คุณลุมพงุ ได้แย่งเอาราชสมบัติได้แล้ว ขับพระราเมสสรเสียŽ๒๕
    ส่วน วัน วลิต กล่าวถึงสมเด็จพระราเมศวรว่า

    ถูกถอดออกจากตำแหน่งโดยพระปิตุลาŽ๒๖

    แม้ว่าเอกสารเหล่านี้จะไม่หนักแน่นเท่ากับพระราชพงศาวดาร แต่ก็ถือเป็นอีกเบาะแสหนึ่งที่แตกต่างไปจากข้อสันนิษฐานเดิม ที่ทำให้เห็นว่าหากไม่ยึดกรอบ ๑ ปีแล้ว การ ยึดŽ ก็ย่อมเป็นไปได้ไม่น้อยไปกว่าการ ยอมŽ
    อย่างไรก็ดี ถ้าหากจะถือว่า ยึดŽ มีความเป็นไปได้ ก็ต้องตอบคำถามสำคัญอีกข้อหนึ่งให้ได้ว่า หากประสงค์จะ ยึดŽ แล้ว เหตุใดจึงไม่ทำในทันที แต่กลับปล่อยให้สมเด็จพระราเมศวรครองราชสมบัติอยู่ระยะหนึ่ง (แม้จะไม่นานถึงปีก็ตาม) และเหตุใดจึง ปล่อยŽ ให้กลับไปครองลพบุรีดังเดิม

    เทคนิครัฐประหาร
    เหตุใดสมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) จึงรั้งรออยู่ระยะเวลาหนึ่ง ไม่ทำการรัฐประหารในทันที ซึ่งไม่ว่าเวลาจะมากน้อยเพียงใด ๑ เดือน หรือครึ่งปี แต่ก็มากพอที่พระราชพงศาวดารจะจารึกว่า สมเด็จพระราเมศวรเสด็จมาแต่เมืองลพบุรี ขึ้นเสวยราชสมบัติŽ เป็นข้อสงสัยที่สำคัญสำหรับทำความเข้าใจการรัฐประหารครั้งนี้

    หากใช้ข้อสันนิษฐานแบบ พื้นๆŽ ก็จะได้ว่า อาจเป็นระยะเวลาเพื่อการประเมินสถานการณ์ การตรวจสอบกำลังสนับสนุนของฝ่ายตัวเองและฝ่ายตรงข้าม รวมทั้งตรวจสอบท่าทีของพันธมิตรในรัฐอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น สุโขทัย นครศรีธรรมราช หรือแม้แต่อาณาจักรใหญ่อย่างจีน ซึ่งภายหลังก็มีพระราชสาส์นมาชวนสมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) เสี้ยมหลอฮกก๊กอ๋องŽ เป็นไมตรี๒๗

    การประเมินสถานการณ์และท่าทีของฝ่ายต่างๆ เหล่านี้ ล้วนต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง

    และสิ่งที่ไม่ควรข้ามไปก็คือ ระยะเวลาที่รั้งรออยู่นี้ เป็นช่วงเวลาของ งานถวายพระเพลิงพระบรมศพŽ ซึ่งเวลาจะมากน้อยขึ้นอยู่กับรัฐพิธีของแต่ละสมัย ในช่วงเวลาเช่นนี้สมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) ในฐานะพระญาติและผู้ร่วมสร้างกรุงศรีอยุธยา ก็เหมาะสมที่จะรั้งรอให้งานนี้ลุล่วงไปก่อนจึงค่อยก่อการ ซึ่งในพระราชพงศาวดารก็ปรากฏคำที่น่าคิดว่า สมเด็จพระราเมศวรก็ออกไปอัญเชิญเสด็จเข้าพระนครŽ

    ระหว่างงานพระบรมศพนี้เอง สมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) มีโอกาสเคลื่อนกำลังพลเข้าสู่กรุงศรีอยุธยาได้โดยชอบธรรม ในฐานะกองเกียรติยศเพื่อถวายพระเกียรติพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ

    ครั้นเมื่องานพระบรมศพสิ้นสุดลง สมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) ก็มิได้เคลื่อนกำลังพลกลับเมืองสุพรรณบุรี ซึ่งอาจมีเท่ากับเมื่อยกทัพไปตีกรุงกัมพูชาคือประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน สมเด็จพระราเมศวรก็เหลือ ทางรอดŽ ทางเดียวคือถอยกลับไปลพบุรี

    เทคนิครัฐประหารŽ แบบนี้ภายหลังก็ถูกนำมาใช้อีกในสมัยสมเด็จพระเชษฐาธิราช ผู้ที่ใช้เทคนิค เอาการศพเข้ามาบังไว้Ž คือเจ้าพระยากลาโหมซึ่งต่อมาคือสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ทั้งนี้เพราะการซ่องสุมผู้คนย่อมมีความผิดฐาน
    กบฏŽ แต่การรวบรวมไพล่พลมาช่วยงานพระราชพิธี ย่อมไม่มีผู้ระแวงสงสัย

    สมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) จะใช้ เทคนิครัฐประหารŽ นี้หรือไม่?
    ปัญหาข้อสุดท้าย คือเหตุใดสมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) จึง ปล่อยŽ สมเด็จพระราเมศวรกลับไปครองลพบุรีดังเดิม ยุทธวิธีนี้ไม่ใช่เป็นการ ปล่อยเสือเข้าป่าŽ หรอกหรือ?

    ที่เป็นเช่นนี้ก็อาจเป็นเพราะสมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) ทรงเชื่อมั่นในศักยภาพของพระองค์ ซึ่งในเวลานั้นทรง เหนือŽ กว่าในทุกๆ ด้าน อีกทั้งการปล่อยให้กลับไปครองลพบุรี ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทรง ปล่อยŽ ให้มีกำลังมากเกินกว่าที่จะควบคุมได้ นอกจากนี้ รัฐสุโขทัยทางตอนเหนือ ซึ่งมีสมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) เป็น เขยŽ อยู่นั้น ก็ไม่เป็นภัยต่อลพบุรีและกรุงศรีอยุธยาอีกต่อไปแล้ว นั่นเท่ากับว่าเมืองลพบุรีของสมเด็จพระราเมศวรแทบไม่มีความสำคัญใดๆ อีกต่อไป

    นอกจากนี้ หากการ ปล่อยŽ ถ้าหมายถึงการ ไม่ฆ่าŽ ตามที่นิยม ตีงูให้หลังหักŽ ในสมัยต่อๆ มา ก็อาจจะยังใช้ไม่ได้ในสมัยนี้

    เพราะการรัฐประหารครั้งนี้นับเป็น ครั้งแรกŽ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา กติกาการ ฆ่าชิงบัลลังก์Ž ยังไม่เกิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครั้งนี้นับเป็นการแย่งชิงราชสมบัติครั้งแรกในกรุงศรีอยุธยา ที่เกิดขึ้นในเครือญาติใกล้ชิด ดังนั้น หากมีการ ฆ่าชิงบัลลังก์Ž เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นราชอาณาจักรเช่นนี้ บรรดาพระญาติวงศ์หรือขุนนางอำมาตย์ก็อาจจะไม่ยอมรับก็เป็นได้

    แม้สมัยต่อมา เมื่อสมเด็จพระนครอินทร์แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ กลับมายึดกรุงศรีอยุธยาอีกครั้งในสมัยสมเด็จพระรามราชาธิราช (พระราชโอรสในสมเด็จพระราเมศวร) ครั้งนั้นสมเด็จพระนครอินทร์ ก็ไม่ได้ ฆ่าชิงบัลลังก์Ž เช่นเดียวกับบรรพบุรุษราชวงศ์สุพรรณภูมิของพระองค์ แต่ทรง ปล่อยŽ สมเด็จพระรามราชาธิราชให้ไปอยู่เมืองปทาคูจาม เหมือนกับที่สมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว) ปล่อยŽ สมเด็จพระราเมศวรกลับไปลพบุรีนั่นเอง
    ดังนั้น กติกาการ ฆ่าชิงบัลลังก์Ž จึงไม่ใช่กฎตายตัวสำหรับผู้ทำรัฐประหารสำเร็จ การ ปล่อยŽ จึงสามารถเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน

    สมเด็จพระราเมศวรที่ถูก ปล่อยŽ ไปต่างหาก ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกแห่งกรุงศรีอยุธยา ที่ใช้บริการ ท่อนจันทน์Ž เพื่อชำระแค้นที่เฝ้ารอคอยอย่างอดทนถึง ๑๘ ปี กับพระราชโอรสของสมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว)

    และทรงเป็นผู้สร้าง กงเกวียนกำเกวียนŽ ขึ้นระหว่าง ๒ ราชวงศ์อย่างไม่รู้จบ!

    เชิงอรรถ
    ๑ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. จดหมายเหตุรายวัน. (กรุงเทพฯ : พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ หม่อมเจ้าชัชวลิต เกษมสันต์, ๒๕๑๗), น. ๔๙.
    ๒ พระราชพงษาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์, (กรุงเทพฯ : ต้นฉบับ พิมพ์ตามฉบับพิมพ์ครั้งแรก ร.ศ. ๑๒๖, ๒๕๔๐), น. ๑.
    ๓ จิตร ภูมิศักดิ์. สังคมไทยลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อนสมัยศรีอยุธยา. (กรุงเทพฯ : ไม้งาม, ๒๕๒๖), น. ๒๖๙.
    ๔ พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๑, (กรุงเทพฯ : คลังวิทยา, ๒๕๑๖), น. ๑๑๑.
    ๕ สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส. พระธรรมเทศนา พระราชพงษาวดารสังเขป. (กรุงเทพฯ : พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจ นายชิน ไชยกิจ, ๒๕๑๕), น. ๗.
    ๖ พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๑, น. ๑๑๑.
    ๗ แสง มนวิทูร (แปล). ชินกาลมาลีปกรณ์. (กรุงเทพฯ : พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายพงษ์สวัสดิ์ สุริโยทัย, ๒๕๑๘), น. ๑๑๑.
    ๘ พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. ศาสนาและการเมืองกรุงสุโขทัย. (กรุงเทพฯ : เจ้าพระยา, ๒๕๒๘), น. ๗.
    ๙ พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๑, น. ๑๑๒.
    ๑๐ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, (พระนคร : แพร่พิทยา, ๒๕๑๓), น. ๗๙.
    ๑๑ ขจร สุขพานิช. อยุธยาคดี. (กรุงเทพฯ : คุรุสภา, ๒๕๓๐), น. ๓๓๑.
    ๑๒ พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๑, น. ๑๑๒.
    ๑๓ วัน วลิต. รวมบันทึกประวัติศาสตร์อยุธยา. (กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๔๖), น. ๑๘๒.
    ๑๔ เรื่องเดียวกัน, น. ๑๘๓.
    ๑๕ พระราชพงษาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์, น. ๑.
    ๑๖ เรื่องเดียวกัน, น. ๑.
    ๑๗ พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๑, น. ๑๑๓.
    ๑๘ เรื่องเดียวกัน, น. ๔๑๐.
    ๑๙ พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๑, น. ๔๑๑.
    ๒๐ เรื่องเดียวกัน, น. ๔๑๑.
    ๒๑ เรื่องเดียวกัน, น. ๔๑๒.
    ๒๒ เรื่องเดียวกัน, น. ๔๑๒.
    ๒๓ พระราชพงษาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์, น. ๙.
    ๒๔ ชินกาลมาลีปกรณ์, น. ๑๑๑.
    ๒๕ สมเด็จพระวันรัตน. สังคีติยวงศ์. (กรุงเทพฯ : พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระอุบาลีคุณูปมาจาร (กมลเถระ), ๒๕๒๑), น. ๓๗๕.
    ๒๖ วัน วลิต. รวมบันทึกประวัติศาสตร์อยุธยา. น. ๑๘๒.
    ๒๗ พระราชสาส์นส่งมาในปีจุลศักราช ๗๓๒ อันเป็นปีที่เกิดรัฐประหาร จึงไม่แน่ว่าจะส่งมาในรัชกาลสมเด็จพระราเมศวรหรือสมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ่องั่ว)

    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1304339713&grpid=&catid=53&subcatid=5300-

    .

    กรุงศรีปฏิวัติ : ปริศนารัฐประหารเงียบของขุนหลวงพ่องั่ว ′ยอม′ หรือ ′ยึด′ (2) : มติชนออนไลน์


    .
     
  7. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    สวัสดีครับ วันเสาร์ ตอนค่ำ
     
  8. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>วัตถุอวกาศจะเฉียดใกล้โลกหลังเที่ยงคืนวันที่ 27 มิ.ย.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>25 มิถุนายน 2554 13:56 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ภาพจำลองการเข้าใกล้โลกของ 2011 เอ็มดี (ดิสคัฟเวอรี/iStockPhoto)</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ภาพระยะเข้าใกล้โลกของวัตถุอวกาศ 2011 เอ็มดี โดยระบุวันตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ (นาซา)</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>นาซาพบวัตถุอวกาศขนาดเล็กจะผ่านใกล้โลกในระยะ 12,000 กิโลเมตร หลังเที่ยงคืนวัน 27 มิ.ย. แต่จะไม่เป็นอันตราย แม้จะพุ่งชนโลกแต่ก็จะเผาไหม้หมดไปในชั้นบรรยากาศ นักวิทยาศาสตร์ระบุเป็นโอกาสดีให้ได้ศึกษา

    โจ ราโอ (Joe Rao) วิทยากรประจำท้องฟ้าจำลองไฮเดน (Hayden Planetarium) ในนิวยอร์ก สหรัฐฯ รายงานผ่านสเปซด็อทคอมโดยอ้างคำแถลงของ องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) ว่า หลังเที่ยงคืนวันที่ 27 มิ.ย.54 เวลา 00.14 น. ตามเวลาประเทศไทย วัตถุอวกาศขนาดเล็กจะผ่านโลกเข้าใกล้ที่ระยะ 12,000 กิโลเมตร โดยเคลื่อนผ่านเหนือท้องฟ้าของชายฝั่งในทวีปแอนตาร์กติกาไปถึงตะวันตกเฉียงใต้ของแอฟริกาใต้รวมระยะทาง 3,218 กิโลเมตร

    วัตถุอวกาศดังกล่าวเป็นวัตถุขนาดเล็กที่เพิ่งค้นพบเมื่อ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยกล้องโทรทรรศน์หุ่นยนต์คู่ลิเนียร์ (LINEAR) ซึ่งตั้งอยู่ในนิวเม็กซิโก สหรัฐฯ และทำหน้าที่ตรวจตราท้องฟ้าเพื่อค้นหาวัตถุอวกาศใกล้โลก โดยข้อมูลละเอียดที่สุดระบุวัตถุอวกาศนี้มีความกว้างประมาณ 9-30 เมตร และนักวิทยาศาสตร์นาซาตั้งชื่อวัตถุอวกาศดังกล่าวว่า 2011 เอ็มดี (2011 MD)

    จากข้อมูลของสำนักงานศึกษาวัตถุใกล้โลก (Near-Earth Object Office) ของนาซา ที่ห้องปฏิบัติการจรวดขับเคลื่อนความดัน (Jet Propulsion Laboratory: JPL) ในพาซาดีนา แคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ คาดการณ์ว่าวัตถุอวกาศขนาดนี้จะผ่าใกล้โลกโดยเฉลี่ยทุก 6 ปี

    “ไม่มีทางที่ 2011 เอ็มดีจะพุ่งชนโลก แต่นักวิทยาศาสตร์จะใช้โอกาสที่วัตถุนี้เข้าโลกเพื่อศึกษาวัตถุนี้" นักวิทยาศาสตร์โครงการเฝ้าระวังวัตถุอวกาศ (Asteroid Watch program) ของนาซาระบุ และได้ทวีตผ่านทวิเตอร์เมื่อ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า หากวัตถุอวกาศที่มีลักษณะเป็นหินขนาดน้อยกว่า 25 เมตรผ่านชั้นบรรยากาศโลกจะแตกสลายไปก่อนและไม่ตกถึงพื้นโลก

    แม้ว่า 2011 เอ็มดีจะเข้าใกล้โลกมากแต่ยังไม่มากที่สุด โดยวัตถุอวกาศที่เข้าใกล้โลกมาที่สุดเมื่อเร็วๆ นี้คือ 2011 ซีคิว1 (2011 CQ1) ที่เข้าใกล้โลกในระยะ 5,471 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 4 ก.พ.ของปีนี้
    ที่มา Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    'ตุ๊ก-ดวงตา' 57 ยังแจ๋ว ได้ธรรมะเป็นที่พึ่งทางใจ

    วันเสาร์ ที่ 25 มิถุนายน 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD><TD id=ext-gen16 style="WIDTH: 57px">รูปภาพ</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]
    [​IMG]



    [​IMG]

    เห็นหน้าเห็นตาศิลปินสาวสวยพันปีคนนี้ แทบไม่ต้องบรรยายอะไรเลยก็ว่าได้ เพราะคนทั้งประเทศเรียกว่าทุกเพศทุกวัยต่างก็รู้จักเธอเป็นอย่างดี “เจ๊ตุ๊ก-ดวงตา ตุงคะมณี” นักแสดงคุณภาพระดับแถวหน้าของเมืองไทย ที่ยืนหยัดอยู่ในวงการบันเทิงมานานจนถึงวันนี้ เป็นเวลา 30 ปี ในขณะที่เพื่อนนักแสดงรุ่นเดียวกัน ห่างหายไปจากวงการฯคนแล้วคนเล่า แต่เจ๊ตุ๊กก็ยังมีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่มากเหมือนในอดีตแต่เธอก็อยู่ได้สบาย ๆ วันนี้เราจึงขอนัดสัมภาษณ์ “เจ๊ตุ๊ก” แบบส่วนตั๊ว..ส่วนตัว ที่ร้านอาหาร ดวงตา ตุงคะมณี ย่านทาวน์อินทาวน์ ใกล้รร.บดินทรเดชา

    พอไปถึงปุ๊บ! ก็สั่งก๋วยเตี๋ยวรสเด็ดประจำร้านมาให้ทาน พร้อมกับคุยไปด้วยประสาคนกันเอง เริ่มเมาท์เลยเรา.. เจอ “เจ๊ตุ๊ก” ทีไร..ก็ยังสวยไม่สร่าง ตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้วคะ “พี่อายุ 57 ปีแล้ว” ไม่อยากเชื่อเลย พี่ดูแลตัวเองยังไงคะ ถึงได้ดูปิ๊งตลอด “ทำไมล่ะ ..พ่อแม่แจ้งผิดหรือเปล่าก็ไม่รู้ (หัวเราะร่า..) อายุ 57 จริง ๆ พี่ก็ดูแลตัวเอง อย่างทางกายก็พาตัวเองไปหามดหาหมออยู่บ่อย ๆ เป็นประจำ เจ็บนู่นนิดเจ็บนี่หน่อย เป็นคนที่ไม่ทิ้งอะไรไว้นาน ๆ ไม่คิดไปเองว่าคงไม่เป็นอะไร พี่เป็นโรคปวดหัวบ่อย ปวดคอปวดไหล่ปวดบ่า เพราะหมอนรองกระดูกเสื่อม เคยประสบอุบัติเหตุรถชน แล้วคอมันกระตุกอย่างแรง มาเห็นผลตอนแก่นี่” ทางใจดูแลยังไงคะ “ตอนนี้โชคดีได้ธรรมะได้ศาสนาเป็นที่พึ่ง เมื่อก่อนไม่มีที่พึ่ง ใช้ชีวิตแบบสำมะเลเทเมา จะกินเหล้าเมายา เที่ยวเต้นระบำรำฟ้อน เป็นผู้หญิงเสเพล เดี๋ยวนี้ก็คือเอาธรรมะมาอยู่ในจิตในใจ และนำธรรมะมาเป็นพื้นฐานดำเนินชีวิต”

    แล้วอะไรที่ทำให้ เจ๊หักมุม ..จนหันมาสู่ธรรมะ “น่าจะมาจากมีความทุกข์ เอาความทุกข์เข้าวัดไปปฏิบัติธรรม แล้วก็ค้นพบว่าเมื่อปฏิบัติธรรมแล้ว ความทุกข์นั้นหายไป” ทุกข์ของ “เจ๊ตุ๊ก” ส่วนใหญ่เป็นเรื่องอะไร “ช่วงนั้นนะ (น้ำเสียงหนักแน่น) เป็นช่วงที่งานไม่มี งานน้อยมาก ปกติเป็นคนที่คิดมากอยู่แล้ว ก็จะยิ่งคิดมากเข้าไปใหญ่ว่า เอ๊ะ..อยู่ในช่วงที่เราดาวน์สุดขีดเหรอ งานพิธีกรก็ไม่มี งานละครก็ไม่มี ไม่มีงานอยู่เกือบปี อยู่ดี ๆ เขาเอาเวลาคืนมั่ง เปลี่ยนพิธีกรมั่งอะไรมั่ง ประมาณปลายปี 48 ต้นปี 49” ตอนนั้นคิดจะเข้าไปของานผู้จัดฯ มั้ยคะ “ไม่ขอ ..ไม่เดินเข้าไปขอ แต่นั่งคิดด้วยตัวเอง คิด ๆ ๆ คิดมากจนคอเลสเตอรอลพุ่งขึ้นไปเกือบ 400 หมอด่าเลยคุณตุ๊ก-ดวงตาไปทำอะไรมา ก็สงสัยจะเครียดมั้งคะ ถามว่าลำบากมั้ย..ไม่ ยังดีที่มีเงินเก็บแต่มีความคิดฟุ้งซ่านเยอะมาก แล้วก็มีปัญหาเรื่องความรักด้วย เป็นรักต่างวัย ซึ่งสุดท้ายเค้าก็ไปมีเด็ก เค้าไม่ได้หลอกเรา แต่ต่างฝ่ายต่างยินดีที่จะมาเป็นเพื่อนใกล้ชิดกัน พอถึงเวลานึงที่หมดเวรหมดกรรมกันมากกว่า เค้าก็ไปโดยการที่ไปมีเด็กกว่าพี่”

    ความรักที่ไม่สมหวัง มันให้อะไรกับพี่บ้าง “ให้ซิ..เยอะเลย พี่ได้สัจธรรม มีความรักก็ต้องมีทุกข์ เมื่อไม่มีรักก็จะไม่มีทุกข์ ก็เลยปฏิญาณตนว่าจะไม่มีรักอีกต่อไป กับผู้ชายกับผู้หญิงอะไรก็ไม่มี จะรักอะไรก็แล้วแต่แม้กระทั่งรักลูก ก็จะรักให้น้อยลง รักลูกมากก็เป็นทุกข์มากเหมือนกัน ตอนนั้นมันเป็นความรักระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง พอเวลาเราศึกษาธรรมะทำให้รู้ว่าเวลารักอะไรก็เป็นทุกข์ไปหมด เพราะฉะนั้นต้องคลาย ๆ” จะไม่มีรักอีกจริง ๆ เหรอ? “จริงจริ๊ง..ก็แก่แล้วจะไปรักใครทำไมอีกล่ะ เพื่อนผู้หญิงเราก็มีเยอะแยะ เพื่อนผู้ชายก็มี จะให้ไปรักแบบหนุ่มสาวไม่เอา ๆ ไม่สมสู่ ไม่มีเพศสัมพันธ์ (หัวเราะก๊าก ๆ ๆ)

    หากจะเอ่ยชื่อนักแสดงรุ่นเดียวกันก็มี ตุ๋ย-นวลปรางค์ ตรีชิต, เพ็ญพร ไพฑูรย์, วันทิพย์ ภวภูตานนท์, คนางค์ ดำรงหัด, ลินดา ค้าธัญเจริญ, ฉวีวรรณ บุญปก ส่วนใหญ่ก็หายเงียบไปจากวงการ แต่เจ๊ก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ คิดว่าเป็นเพราะอะไร “อาจจะเป็นเพราะว่าผลงานเราถูกใจท่านผู้ชมมั้ง ถูกใจผู้จัด เรื่องดวงอาจจะมีส่วนบ้าง มันเป็นอะไรที่เราไม่มีทางรู้ ถ้ารู้ล่วงหน้าได้เราก็คงจะเตรียมตัวเพื่อรับมือกับมัน แต่นี่เราไม่รู้ พี่ก็ไม่ได้เชื่อเรื่องดวงร้อยเปอร์เซ็นต์ มีความรู้สึกว่าเราอาจจะถูกลิขิตมาให้อยู่ในตำแหน่งนี้ ให้อยู่กับอาชีพนี้ แต่ในขณะเดียวกันถ้าเราถูกลิขิตมาแล้วไม่พัฒนาตัวเองเลย มันก็อยู่ไม่ได้นาน แต่เพื่อนนักแสดงคนอื่น พี่ว่าเค้าไปเน้นงานด้านอื่นมากกว่า”

    หลายคนที่เคยเป็นดาวเจิดจรัส แล้ววันหนึ่งดาวก็ร่วงลงมาตามกาลเวลา อยากให้เจ๊ตุ๊กพูดถึงจุดนี้ในฐานะผู้มีประสบการณ์ “ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่เข้าวัดก็รู้ว่าไม่มีอะไรแน่นอน เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีแต่ความไม่เที่ยงทั้งนั้น ก็ดูซิเคยมีชื่อเสียงโด่งดัง มันก็ร่วงลงมาได้ หรือใครจะไปคิดว่า ลินดาเป็นคนที่แบบว่าคล่องแคล่ว ทำอะไรปราดเปรียวมาก กลายมาเป็นคนที่เดินไม่ได้ ตอนที่พี่ดาล้มป่วยเนี่ย เค้าเคยพูดเองว่าเค้ากำลังชดใช้กรรมของเค้าอยู่ คือเราไม่เคยพูดไม่เคยถาม เราไม่อยากพูดเพราะจะเป็นการตอกย้ำ มันยังไงไม่รู้ ได้แต่ให้กำลังใจเพื่อน เค้าบอกไม่เป็นไรหรอก มันเป็นวิบากกรรมของเค้าที่เค้ากำลังชดใช้อยู่ พี่ว่าถ้าเค้าคิดได้หยั่งงี้ จะทำให้เค้าดีขึ้น เค้าก็จะไม่จมปลักอยู่กับความคิดลบ ๆ กับการป่วยของเค้า”

    ชีวิตโดยทั่วไปของเจ๊ ณ วันนี้ ถือว่าสุขสบายแล้ว ถูกต้องมั้ยคะ “ชีวิตอยู่สบาย ๆ มีคุณแม่ที่คอยดูแล ลูกชายอายุ 30 กว่าก็ทำงานทำการอยู่บริษัทโฆษณา” ตราบใดที่คนเรายังมีลมหายใจ ก็ยังอยากจะมีนู่นทำนี่ เจ๊ล่ะมีอะไรที่ต้องการอีกมั้ย “พี่ขอแค่อยากเห็นอนาคตของลูก ให้เราเห็นวี่แววว่าเค้าจะมีอนาคตรุ่งเรือง จริงอยู่เค้าทำงานแล้วแต่เรายังมีความรู้สึกว่า อยากเห็นเค้าได้ดีกว่านี้ อยากจะเห็นเค้าเข้มแข็ง..แข็งแรงกว่านี้ คล้าย ๆ ว่าเรามีความคาดหวัง แม่น่ะ..แม่ อยากเห็นลูกรวย อยากเห็นลูกมีตำแหน่งในบริษัทอย่างนี้ นั่นคือความฝันของพี่ ซึ่งเค้าก็รู้ มันก็เป็นความฝันของเค้าด้วยแต่ยังไปไม่ถึง ถ้าเผื่อไปถึงตรงนั้นเมื่อไหร่พี่ก็เข้าวัดแล้วล่ะ”

    เวลาพักผ่อนจริง ๆ เจ๊ทำอะไร “จะนัดเพื่อนไปไหว้พระเป็นส่วนใหญ่ อย่าง พี่โย-ทัศนวรรณ, พี่สุเชาว์ พงษ์วิไล, พี่ก้อย-ทาริกา, น้องเดือน-ไปรมา แล้วก็อีกหลายคน มีก๊วนชื่อโมทนาบุญ จะรวมก๊วนไปทำบุญกัน จะไปวัดที่เราเป็นลูกศิษย์ลูกหา ที่วัดหลวงพ่อกล้วย ที่จ.ขอนแก่น และพระอาจารย์อีกท่านหนึ่งที่ จ.เชียงราย” ทำงานอยู่ในวงการฯมา 30 กว่าปี หลายคนมองว่าเป็นดาราแล้วรวย เจ๊รวยมั้ย? “สำหรับตัวพี่เอง พี่จะบอกว่ายังไม่รวย แค่มีเงินใช้จ่ายสบาย ๆ ถ้ารวยของพี่พี่ต้องมีเป็นร้อยล้าน แต่ยังมีไม่ถึง (หัวเราะ) ถ้าสำหรับพี่เท่าไหร่ถึงจะเรียกว่ารวย ต้องมีเป็นร้อยล้านเกินกว่ายิ่งดี”

    เขารู้กันทั้งบางว่า เจ๊เป็นสาวสวยพันปี ที่มีเสน่ห์มั้ก..มาก แต่ก็เป็นผู้หญิงดุในเวลาเดียวกัน “ใช่เลย..พี่เป็นคนดุ ๆ ผู้ชายคนไหนเข้ามาก็กลัวพี่แล้วแหละ อ่อนหวานก็ไม่เป็น เป็นคนพูดไม่เพราะ ตา(ดุ)ก็เป็นอย่างเงี้ย เสียงเป็นอย่างเงี้ย ดัดก็ไม่ได้ เพราะไม่ใช่เรา ก็อาจจะมีส่วนที่ทำให้ใครที่เข้ามาคบ ไม่อยากอยู่กับเรา แต่ตอนนี้พี่กำลังปรับอยู่ พระอาจารย์สอนให้พี่คุมให้ได้ 4 ข้อ หนึ่ง..คุมโทนเสียงให้นุ่มนวลขึ้น สอง..แววตา สาม..รอยยิ้ม สี่..ใจที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา เราเป็นอยู่แล้วแต่เราไม่ได้ดึงมันออกมา ถ้าเมื่อไหร่เราดึงมันออกมา มันจะออกทางสีหน้า แววตา รอยยิ้ม ท่านบอกถ้าทำได้จะมีคนวิ่งเข้ามาหาเราอีกเยอะ ท่านไม่ได้หมายถึงผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นลูกน้องหรือบริวารอะไรก็แล้วแต่ เพราะคนกลัวพี่เยอะมาก” แล้วทำได้หรือยังคะ “ทำได้บ้างบางครั้ง มันต้องฝืนเพราะสันดานเรามันไม่ใช่ มันต้องฝืนแน่นอน แต่เราต้องพยายามทำให้ได้ ต้องใช้เวลา”

    เอาล่ะ..ถึงเวลาที่เจ๊จะต้องไปถ่ายละครต่อ ใครคิดถึงก็แวะไปที่ร้านอาหาร “ดวงตา ตุงคะมณี” ทาวน์อินทาวน์ (ใกล้รร.บดินทรเดชา) เปิดบริการตั้งแต่เวลา 10 โมงครึ่ง-3 ทุ่ม ไปไม่ถูกโทร.0-2934-6757 มีเมนูเด็ดประจำร้าน หมูย่างคะน้า, หมูย่างน้ำผึ้ง, ไข่ตุ๋น, ตุ๊กตุง ฯลฯ งานนี้ถูกใจเจ๊! แบบเต็ม ๆ.






    ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
     
  10. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7513 ข่าวสดรายวัน


    ยืดอายุนั่งรถเมล์-รถไฟฟรีถึงสิ้นปี ขสมก.-รฟท.จ่ายก่อนพันล้าน-รอเบิกรัฐบาลใหม่




    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=360 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#e0e0e0>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง และกระทรวงคมนาคม ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับมาตรการลดค่าครองชีพที่จะหมดอายุในสิ้นเดือนมิ.ย.นี้ โดยจะขยายเฉพาะมาตรการรถไฟ และรถเมล์ฟรี เพียง 2 มาตรการเท่านั้น ออกไปอีก 6 เดือน หรือถึงสิ้นปี"54 ส่วนมาตรการช่วยไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วย และตรึงราคาก๊าซ แอลพีจี ถูกบรรจุอยู่ในแผนประชาวิวัฒน์แล้ว ซึ่งจะมีการขับเคลื่อนมาตรการต่อไป

    สำหรับการขยายอายุมาตรการดังกล่าวได้ให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ (ขสมก.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) บริหารต้นทุนไปก่อน และให้ตั้งงบประมาณขอชดเชยภายหลังจากที่จัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณในส่วนของ ขสมก.ประมาณเดือนละ 160-170 ล้านบาท หรือคิดระยะเวลา 6 เดือนที่ 1,000 ล้านบาท และ รฟท.เดือนละ 30 ล้านบาท หรือคิดตลอดอายุมาตรการ 180 ล้านบาท

    "การต่ออายุมาตรการดังกล่าวรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการได้ทันที เพราะนโยบายค่าครองชีพก็เป็นนโยบายที่ทั้ง 2 รัฐบาล ทั้งในส่วนพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยได้ทำต่อเนื่องกันในช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกันจะช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชนด้วย" นายอารีพงศ์กล่าว

    นายยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าการรฟท. กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการ รฟท.วันที่ 29 มิ.ย.นี้จะเสนอให้พิจารณาเรื่องดังกล่าว โดย รฟท.พร้อมดำเนินการตามที่กระทรวงการคลังเห็นชอบ ส่วนการให้ รฟท.สำรองจ่าย ค่าโดยสารไปก่อนนั้น หากกระทรวงการคลังมีหนังสือยืนยันอย่างเป็นทางการ รฟท.ก็จะดำเนินการนโยบายลดรายจ่ายประชาชนต่อเนื่องไปได้ไม่มีปัญหา

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ นายโอภาส เพชรมุณี ผู้อำนวยการ ขสมก. เคยยืนยันว่า หากกระทรวงการคลังมีความเห็นอย่างไรในเรื่องการต่ออายุมาตรการรถเมล์ฟรี ขสมก.ก็พร้อมดำเนินการเพื่อลดภาระให้ประชาชน

    สำหรับมาตรการลดค่าครองชีพรอบล่าสุดที่จะหมดอายุในสิ้นเดือนมิ.ย.นี้ ทั้งรถเมล์ฟรี รถไฟฟรี ใช้ไฟไม่เกิน 90 หน่วยฟรี เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 22 ก.พ.ที่ผ่านมา ให้ขยายมาตรการลดค่าครองชีพออกไปอีก 4 เดือน ในการดูแลช่วยเหลือประชาชน โดยสิ้นสุดเดือนมิ.ย.54 จากเดิมสิ้นสุดในวันที่ 28 ก.พ.54 รัฐบาลเชื่อว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์ในมาตรการเชิงสังคม โดยจากการขยายมาตรการดังกล่าวต่อไปอีก 4 เดือนดังกล่าว รัฐต้องใช้งบประมาณกว่า 5,800 ล้านบาท

    อย่างไรก็ดี จากการสำรวจการใช้ไฟฟ้าภาคครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน โดยเฉพาะผู้เช่าอาคารชุด ราคาไม่เกิน 3,000 บาทต่อห้องต่อเดือน มีแนวโน้มผู้ใช้สิทธิลดลงจากเดิม 9 ล้านครัวเรือน เหลือ 7 ล้านครัวเรือน ส่วนมาตรการลดค่าใช้จ่ายรถโดยสารประจำทางยังคงให้บริการ 800 คันต่อวัน ใน 73 เส้นทาง ที่ประชาชนสามารถใช้บริการฟรี รวมถึงการใช้บริการรถไฟฟรี ใน 164 ขบวนต่อวัน และรถไฟระยะทางไกลเชิงพาณิชย์ อีก 8 ขบวนต่อวัน

    ที่มา ข่าวสด ออนไลน์
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    คลังเปิดรับแก้หนี้สินเชื่อบุคคล ถึง 30 ก.ย.นี้


    [​IMG]


    เปิดรับแก้หนี้สินเชื่อบุคคลถึงสิ้นก.ย. (ไทยโพสต์)

    คลัง เปิดรีไฟแนนซ์บัตรเงินสดถึง 30 ก.ย.54 ชี้ยื่นกู้ได้ ไม่ต้องใช้หลักฐานเงินเดือน เคยมีประวัติผิดนัดก็เข้าร่วมได้ แต่ต้องใช้คนค้ำ

    นาย อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดโครงการรีไฟแนนซ์สินเชื่อส่วนบุคคลของผู้ ประกอบการธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Bank) เปิดเผยว่า โครงการนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 24 มิ.ย.ไปจนถึงวันที่ 30 ก.ย.2554 โดย 3 ธนาคาร คือ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ได้ตั้งวงเงินไว้ 1 หมื่นล้านบาท

    เงื่อนไข เช่น 1.จะต้องเป็นเงินกู้ส่วนบุคคลที่ไม่เกี่ยวกับการเช่าซื้อ/ลีสซิ่งรถยนต์หรือ รถมอเตอร์ไซค์ 2.วงเงินไม่เกิน 3 แสนบาท และหากผู้ขอสินเชื่อได้ขอสินเชื่อรีไฟแนนซ์บัตรเครดิตด้วย จะพิจารณาวงเงินร่วมกัน 3.ระยะเวลาผ่อนชำระไม่เกิน 3 ปี 4.อัตราดอกเบี้ย 14% ต่อปี 5.ผู้ขอสินเชื่อจะต้องมีสถานะหนี้ปกติตามข้อมูลเครดิตในวันที่ยื่นขอสิน เชื่อ และมีประวัติการชำระเงินที่ดีย้อนหลังไป 1 ปี หากในกรณีที่มีการผิดนัดชำระบ้างในรอบ 1 ปีย้อนหลัง ธนาคารอาจพิจารณาให้กู้โดยมีเงื่อนไขให้มีการค้ำประกันส่วนบุคคล และบุคคลค้ำประกันจะต้องมีสถานะหนี้ปกติตามข้อมูลเครดิต ณ วันที่มายื่นค้ำประกันให้กับผู้กู้

    นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า ปัจจุบันลูกหนี้บัตรเงินสดมีประมาณ 4 ล้านบัญชี ซึ่งเฉลี่ยแล้วน่าจะมีบัตรคนละไม่เกิน 2 ใบ หรือน่าจะมีผู้ถือบัตรประมาณ 2 ล้านคน โดยหนี้คงค้างที่เข้าเกณฑ์ร่วมโครงการนี้ได้ น่าจะคิดเป็นวงเงินประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งได้เจรจากับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ข้อสรุปแล้วว่า ไม่จำเป็นต้องแสดงหลักฐานเงินเดือน จึงเชื่อว่าน่าจะทำให้ขอกู้รีไฟแนนซ์ได้ง่ายขึ้น เพียงแค่มีหลักฐานการตรวจสอบเครดิตบูโรว่าสถานะหนี้ปกติเท่านั้น




    [24 มิถุนายน] คลังดีเดย์ 24 มิ.ย. เปิดรีไฟแนนซ์บัตรเงินสด

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


    กระทรวงการคลัง เตรียมเปิดรีไฟแนนซ์บัตรเงินสด 24 มิถุนายนนี้ วงเงิน 10,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยร้อยละ 14

    นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่ากระทรวง การคลัง จะเปิดตัวโครงการรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเงินสด ในวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายนนี้ พร้อมทั้งเปิดให้ประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถลงทะเบียนได้เลย ณ สำนักงานใหญ่ และสำนักงานสาขาของธนาคารรัฐทั้ง 3 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งประกอบด้วย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย

    ด้าน นายธีรศักดิ์ สุวรรณยศ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย หรือ ไอแบงก์ กล่าวว่า ธนาคารได้รับมอบหมายให้เปิดรับรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเงินสด ภายใต้วงเงิน 1,000 ล้านบาท จากวงเงินทั้งสิ้น 10,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นการจัดสรรให้ธนาคารกรุงไทย และธนาคารออมสิน แห่งละ 4,500 ล้านบาท โดยจะเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายนนี้

    สำหรับ เงื่อนไขปล่อยกู้ จะใช้เงื่อนไขเดียวกับโครงการรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิต โดยจะต้องเป็นลูกหนี้บัตรเงินสด ที่มีประวัติการชำระเงินดีเท่านั้น เงินกู้จะต้องไม่เกิน 5 เท่าของเงินเดือน หรือ รายได้ปัจจุบัน แต่ต้องไม่เกิน 300,000 บาทต่อราย ระยะเวลาผ่อนชำระ 1 - 3 ปี แต่ อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ร้อยละ 14 สูงกว่าดอกเบี้ยโครงการรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิต ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 10 และจะแยกการคิดดอกเบี้ยหากมีประวัติการชำระหนี้ดี ไม่มียอดค้างชำระ สามารถยื่นขอกู้ได้ทันที แต่หากภายใน 12 เดือนนั้นมีค้างชำระไม่เกิน 3 ครั้ง ขอให้มีบุคคลค้ำประกันได้ ถ้าค้างชำระเกิน 3 ครั้งขึ้นไปถือว่าไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการ


    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

    [​IMG] [​IMG][​IMG]



    -http://www.komchadluek.net/detail/20110623/101201/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%9424%E0%B8%A1%E0%B8%B4.%E0%B8%A2.2%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9D%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%B2.html-

    -http://www.innnews.co.th/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B9%8C%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%9A--292813_02.html-


    -http://www.thaipost.net/-


    -http://hilight.kapook.com/view/60098-

    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ประกันสังคม เตรียมเก็บเงินสมทบเพิ่มอ้างขาดทุน



    [​IMG]


    ประกันสังคม เตรียมเก็บเงินสมทบเพิ่มอ้างขาดทุน (ไทยโพสต์)

    รร.ดิ เอ็มเมอรัลด์ แฉ สปส.เตรียมเก็บเงินสมทบผู้ประกันตนเพิ่ม อ้างกองทุนชราภาพขาดทุน คาดมีผลเดือน ก.ย.นี้ แต่สภานายจ้างค้านไม่เห็นด้วย เพราะระบบโดยรวมยังไม่เป็นธรรมสู้บัตรทองไม่ได้

    เวลา 13.00 น. วันที่ 23 มิ.ย.2554 สภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย ได้จัดงานสัมมนาเรื่อง "ทำไมผู้ประกันตนตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2553 ต้องจ่ายเงินเข้ากองทุน เพื่อให้ได้รับบริหารทางด้านสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน" นายประสิทธิ์ จงอัศญากุล ประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ค้าและบริการเครื่องอุปโภค-บริโภค และกรรมการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เปิดเผยว่า จาก กรณีที่นายปั้น วรรณพินิจ เลขาธิการ สปส. เตรียมเสนอขอเก็บเงินสมทบจากผู้ประกันตนเพิ่มเติม แต่ไม่ทราบว่าเท่าใด เพื่อลดภาระการขาดทุนของกองทุนชราภาพ รวมถึงเตรียมลดการจ่ายเงินให้กับผู้ประกันตนชราภาพลง เข้าสู่การประชุมคณะกรรมการ สปส. และคาดว่าจะมีผลในเดือน ก.ย.2554 นั้น ตนเห็นว่าเป็นการไม่ยุติธรรมสำหรับกลุ่มผู้ประกันตนที่ สปส.จะต้องเร่งแก้ไขระบบการบริหารจัดการให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ประกันตน อย่างรวดเร็ว

    "ผมยืนยันว่าเงินของกองทุน สปส.ไม่มีปัญหาในการจัดการ แต่ปัญหาสำคัญอยู่ที่ระบบ ที่ยังยึดติดกับระบบราชการ ผมเป็นกรรมการประกันสังคม 5 ปี และเสนอให้ สปส.ตั้งอนุกรรมการฯ รับเรื่องร้องเรียนให้สปส.พิจารณาเรื่องโดยตรง ไม่ต้องผ่านกรรมการการแพทย์ ซึ่งมีแต่ผู้บริหาร รพ.เอกชน แต่ทุกวันนี้ยังตั้งไม่ได้เลย ในวันนี้เป็นหน้าที่ของผู้ประกันตนในการกระตุ้นให้กับสังคมรับรู้ หาทางผลักดันเรื่องนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ประกันตนบ้าง" นายประสิทธิ์กล่าว

    นาย ภูมิ มูลศิลป์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ม.อัสสัมชัญ กล่าวว่า แม้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาจะประกาศว่าการดำเนินงานของสำนักงานประกัน สังคมนั้นให้สิทธิ์ไม่เท่าเทียมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่ให้รักษาฟรี ขัดกับรัฐธรรมนูญนั้นก็มีความเป็นไปได้ ที่ศาลรัฐธรรมนูญอาจไม่ตัดสินไปในแนวทางเดียวกัน เพราะศาลรัฐธรรมนูญอาจวิเคราะห์ว่าทั้งสององค์กรมีรากฐานจากกฎหมายคนละมาตรา กัน ซึ่งกลุ่มผู้ประกันตนอาจต้องเคลื่อนไหวในแนวทางอื่นโดยอาศัยมาตรา 10 ของ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ 2545 ที่ระบุให้กรรมการ สปสช. และคณะกรรมการ สปส.ให้บริการด้านสุขภาพที่เป็นธรรม แต่ถึงวันนี้ผ่านมาเกือบ 10 ปีแล้วยังไม่มีการตกลงกัน


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไทยโพสต์

    [​IMG]



    .

    -http://health.kapook.com/view27541.html-

    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 9 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 7 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong
    </td></tr></tbody></table>

    อรุณสวัสดิ์ยามเช้า วันอาทิตย์หรรษา


    เมื่อคืนนี้ กว่าจะได้นอนพักผ่อน ก็เกือบๆตีสอง

    มาสรุปเรื่องของจำนวนพระพิมพ์ที่บรรจุลงกล่องสเตนเลส(ไม่รวมพระบูชา และพระพิมพ์ที่บรรจุลงในกล่องสเตนเลส(ขนาดเล็ก) )

    กล่องที่ 1 จำนวน 4,387 องค์
    กล่องที่ 2 จำนวน 2,675 องค์
    กล่องที่ 3 จำนวน 2,065 องค์
    กล่องที่ 4 จำนวน 1,179 องค์
    กล่องที่ 5 จำนวน 2,193 องค์
    กล่องที่ 6 จำนวน 1,319 องค์
    รวมจำนวนทั้งหมด( 6 กล่อง) 13,818 องค์

    ส่วนพระที่บรรจุลงกล่องสเตนเลส(ขนาดเล็ก) จำนวน 20 ใบ พระบูชา หนังตัก 9" 1 องค์, พระบูชา อู่ทอง หน้าตัก 7" 1 องค์ พระบูชา ยืนประทานพร 1 องค์ , พระบูชา (เนื้อปูนเพชร) พิมพ์พระปิดตา 2 องค์ และ พระบูชา (เนื้อปัญจสิริ) พิมพ์สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี 2 องค์ ผมบรรจุลงกล่องสเตนเลส(ขนาดใหญ่) ทั้งหมด 6 ใบเรียบร้อยแล้ว

    ผมจะนำไปมอบให้กับพี่เปี๊ยก และ ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า เพื่อบรรจุตามพระเจดีย์ต่างๆ หรือ ตามฐานชุกชี หรือ สถานที่่ต่างๆเพื่อความเหมาสม

    ส่วนกล่องสเตนเลสขนาดใหญ่อีก 2 ใบ ผมคงต้องเตรียมพระบรรจุลงกล่องสเตนเลสขนาดเล็กก่อน และ จะดำเนินการนำพระวังหน้า ลงกล่องสเตนเลสใบใหญ่อีกครั้งครับ

    โมทนาบุญกับทุกๆท่าน ทุกๆประการครับ


    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    เรื่องหรรษา??? ยามหน้าฝนมาเยือน


    [​IMG]

    เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ monman

    เมฆ ฝนตั้งเค้ามาแต่ไกล ดูท่าว่าจะไม่รอดจากพายุฝนเสียแล้ววันนี้ เฮ้อ...ทีเมื่อวานพกร่มมาฝนก็ไม่ยอมตก แต่พอไม่พกร่มมาเท่านั้นแหละ ฝนก็ตั้งเค้าเสียทุกที ไม่รู้มีใครเคยเป็นแบบนี้บ้างหรือเปล่าจ๊ะ คิด ๆ แล้วก็พาลหงุดหงิด ใจหมองหม่นตามเมฆครึ้ม ๆ ไปด้วย ไหนจะเจอรถติด ไหนจะเปียกปอน ทางเท้าก็แสนจะเฉอะแฉะจะเดินจะเหินก็ลำบากสุด ๆ

    แต่ ขอบอกว่า ไม่ใช่คุณคนเดียวหรอกนะจ๊ะ ที่หงุดหงิดกับหน้าฝนเช่นนี้ เพราะยังมีเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกหลายคนที่ยามนี้มาขอร่วมทุกข์ร่วมสุขอย่าง ไม่ได้ตั้งใจกับคุณด้วย อิอิ งานนี้ คุณ Monman จึงขอเตือนเพื่อน ๆ ทั้งหลายให้ระมัดระวังตัวให้ดี มิฉะนั้น คุณอาจจะตกอยู่ในกับดักของหน้าฝนเช่นนี้ก็เป็นได้!!!

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    -http://hilight.kapook.com/view/60136-



    ...

     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="headline" align="left" valign="baseline">ด่วน! "สุวิทย์" ประกาศถอนตัวจากภาคีมรดกโลกแล้ว</td> <td align="right" valign="baseline" width="102">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">26 มิถุนายน 2554 04:36 น.</td></tr></tbody></table>

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">สุวิทย์ คุณกิตติ หน.ทีมเจรจามรดกโลกฝ่ายไทย</td> </tr> </tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">นายสุวิทย์ แสดงหนังสือแสดงเจตจำนงค์การถอนตัวฯ</td> </tr> </tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">ยื่นหนังสือถอนตัวให้ยูเนสโก้อย่างเป็นทางการ</td> </tr> </tbody></table>

    "สุวิทย์" ทวีต ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก บรรจุวาระพิจารณาแผนบริหารจัดการโดยรอบประสาทเขาพระวิหาร โดยไม่ยอมเลื่อนตามที่ไทยขอ ประกาศนำประเทศไทยถอนตัวจากการเป็นสมาชิกมรดกโลกแล้ว ย้ำไม่มีประโยชน์ใดที่จะอยู่ในสังคมที่ดำเนินการตามใจตนเอง ไม่คิดถึงกฏระเบียบที่ลงมติโดยสมาชิกแล้ว

    นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจามรดกโลกไทย ได้ทวิตข้อความผ่าน @SuwitKhunkitti เมื่อเวลา 23.24 น. ระหว่างการเดินทางร่วมประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งจะมีการประชุมเพื่อหาข้อสรุปกรณีปราสาทเขาพระวิหาร ว่า ที่ประชุมบรรจุวาระ ผมไม่มีทางเลือกครับ คงต้องถอนตัว ผมได้เคยพูดกับสื่อไทยไปว่า หากสังคมใดดำเนินการตามใจตนเอง ไม่คิดถึงกฏระเบียบที่ลงมติโดยสมาชิกแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ใดๆที่เราจะอยู่ในสังคมแบบนี้

    นายสุวิทย์ เผยต่อมาว่า "กำลังแถลงต่อที่ประชุมครับ คณะผู้แทนพยายามเข้าใจ อธิบาย และอดทนรออย่างเต็มที่แล้ว"

    ล่าสุด เมื่อเวลา 23.40 น. ตามเวลาในประเทศไทย นายสุวิทย์ระบุว่า "ผมและคณะนำประเทศไทยถอนตัวจากการเป็นสมาชิกมรดกโลกแล้วครับ"

    โดยก่อนหน้านี้เมื่อเวลาประมาณ 17.47 น. นายสุวิทย์ ได้ระบุว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่ประเทศไทยจะอยู่ในสังคมที่ไม่มีกติกาแบบนี้ ทุกคนได้ทำหน้าที่ในการปกป้องผลประโยชน์ของไทยอย่างเต็มความสามารถแล้ว ทำทุกอย่างเท่าที่ควร และจำเป็นต้องทำไปหมดแล้ว สิ่งที่เหลือในตอนนี้คือ รอการพิจารณา และเราจะตัดสินใจในขั้นสุดท้ายต่อไป คาดว่า คณะกรรมการมรดกโลก จะมีคำตอบให้ภายใน 1 ชั่วโมงนับจากนี้ ซึ่งเราจะใช้เวลาช่วงสุดท้ายตัดสินใจก่อนเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ

    ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า ในการถอนตัวดังกล่าวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ได้รับทราบแล้ว อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นยังไม่ได้พูดคุยกับนายกรัฐมนตรีว่าจะมีการแถลง ข่าวอย่างเป็นทางการหรือไม่ ส่วนผลกระทบบริเวณชายแดนนั้นก็ต้องดำเนินการผ่านกรอบที่มีอยู่แล้วไม่ว่าจะ เป็นการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) หรือ การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (จีบีซี ) ทั้งนี้ยืนยันว่าทางทหารไทยพร้อมที่จะปกป้องอธิปไตยของชาติอยู่แล้ว


    .


    -http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9540000077762-

    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 6 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 5 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong</td></tr></tbody></table>

    สำหรับท่านใดที่ไปแจ้งเรื่องการลงคะแนนเสียงล่วงหน้า อย่าลืมไปใ้ช้สิทธิการเลือกตั้งกันครับ




    .
     
  17. rak-dee001

    rak-dee001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +482
  18. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    สวัสดีครับ วันอาทิตย์
     
  19. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    'ภาวะน้ำคั่งในโพรงสมองฯ' รู้เท่าทัน...เร่งรักษาก่อนสาย!!

    วันอาทิตย์ ที่ 26 มิถุนายน 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากจะเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเลขอายุแล้ว ยังมีความเสื่อมถอยของสุขภาพร่างกาย การดูแลรักษาสุขภาพผู้สูงอายุ หมั่นสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นอาการเดินที่ไม่มั่นคง ล้มบ่อย การขับถ่ายปัสสาวะที่ควบคุมไม่ได้หรือแม้แต่อาการหลงลืม ฯลฯ สิ่งเหล่านี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความแก่ชรา แต่มีความสำคัญซึ่งไม่อาจมองข้ามละเลย!!

    ภาวะน้ำคั่งในโพรงสมองแบบความดันในกะโหลกศีรษะปกติ (Normal Pressure Hydrocephalus) หรือ NPH เป็นอีกโรคหนึ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้สูงอายุและยังปรากฏอาการนำมาของโรคดังเช่นที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเสมือนสัญญาณเตือนให้เฝ้าระวัง อ.พญ.อภิญญ์เพ็ญ สาระยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ สาขาประสาทวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความรู้ถึง การเกิดขึ้นของ NPH ว่า โรคนี้เป็นโรคที่เกิดขึ้นโดยมีภาวะคั่งน้ำในไขสันหลังในโพรงสมองโดยที่พบมีความดันในกะโหลกศีรษะปกติทำให้ไม่มีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน เหมือนอาการของความดันในกะโหลกศีรษะสูงทั่วไป แต่ NPH กลับให้อาการแบบค่อยเป็นค่อยไป และเป็นอาการที่คนทั่วไปอาจหลงว่าเป็น “โรคคนแก่”

    “ปกติร่างกายจะสร้างน้ำไขสันหลังวันละประมาณเกือบ 500 ซีซี แต่ที่อยู่ในโพรงน้ำไขสันหลังจริง ๆ มีประมาณ 150 ซีซี ส่วนที่เหลือกว่า 300 ซีซีจะถูกดูดซึมเข้าไปในระบบไหลเวียนของร่างกายผ่านไปทางเส้นเลือดดำที่อยู่ในสมองแล้วก็เข้าสู่ระบบไหลเวียนของร่างกาย

    แต่สำหรับโรคนี้มีเหตุทำให้การไหลเวียน การดูดซึมของน้ำไขสันหลังลดลงทำให้มีภาวะของน้ำไขสันหลังคั่งอยู่ในโพรงสมองมากขึ้น ซึ่งเมื่อมีความไม่สมดุลเกิดขึ้น หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา ภาวะน้ำคั่งในโพรงสมองทำให้ช่องโพรงสมองมีขนาดโตขึ้น และเบียดเนื้อเยื่อสมองข้างเคียง ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ทางระบบประสาทได้”

    สำหรับอุบัติการณ์ของโรคจากที่มีการศึกษารายงานของต่างประเทศ พบในกลุ่มผู้ที่มีอายุสูงเกิน 65 ปีขึ้นไปจะพบประมาณ 5-6 รายต่อแสนคน แต่ในด้านการกระจายของโรคจะอยู่ที่ประมาณ 0.5-0.8 เปอร์เซ็นต์ และแม้จะพบไม่บ่อยมากแต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่

    แต่อย่างไรแล้วโรค NPH ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ทุกช่วงอายุ สาเหตุของโรคดังกล่าวอาจเกิดจากเคยมีภาวะติดเชื้อในเยื่อหุ้มสมอง ผลจากภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดสมอง ภาวะแทรกซ้อนหลังจากมีเลือดออกในเยื่อหุ้มสมอง หรือจากอุบัติเหตุเคยได้รับการกระทบกระเทือนศีรษะที่รุนแรงมาก่อน

    “โรคนี้จะมีอาการสำคัญคือ การเดินผิดปกติซึ่งมักจะเป็นอาการแรกที่นำมาก่อน โดยผู้ป่วยจะเดินขากาง ๆ ยกขาไม่พ้นพื้น ก้าวเท้าสั้น ๆ (ท่าเดินคล้ายคนเป็นโรคพาร์กินสัน) จากนั้นจะมีอาการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะลำบาก มีอาการปัสสาวะเล็ดปัสสาวะรั่วราด เมื่อโรคดำเนินไปอีกระยะหนึ่งจะมีอาการเกี่ยวกับความจำ หลงลืมง่าย ซึ่งก็จะเป็นอาการที่นำมาของโรคซึ่งคนไข้จะมาด้วยอาการเหล่านี้ ส่วนที่จะมาพร้อมกันทั้งสามอาการมีโอกาสพบเจอได้ 60-70 เปอร์เซ็นต์ แต่โดยมากมักจะเจอเพียงสองกลุ่มอาการร่วมกันประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์”

    ในอาการดังกล่าวอาจจะมีความใกล้เคียงกับอัลไซเมอร์หรือพาร์กินสัน แต่อย่างไรแล้วอาการของ NPH จะมีความต่างกันอยู่บ้าง อย่างการเดินที่ผิดปกติมีการเดินเหมือนก้าวขาไม่ออก มีลักษณะเดินติดพื้นเหมือนขาถูกแม่เหล็กดูดติดพื้นไว้ซึ่งก็จะเป็นเฉพาะกับการเดินไม่เป็นกับการเคลื่อนไหวอื่น ๆ

    แต่หากเป็นพาร์กินสันการเคลื่อนไหวที่ช้าลงจะเป็นกับการเคลื่อนไหวอื่น ๆ ทั้งหมด อีกทั้งอาจมีการแข็งเกร็งของกล้ามเนื้อ (rigidity)และอาการสั่นร่วมด้วย ซึ่งถ้าไม่สังเกตอาจจะแยกโรคทั้งสองได้ลำบาก

    จากการเดินที่ไม่สะดวกสิ่งนี้เป็นสัญญาณหนึ่งในการบ่งบอกว่าผู้ป่วยอาจกำลังเผชิญกับโรคดังกล่าวซึ่งไม่เพียงการเดินที่ลำบากขึ้นก้าวขาไม่ออก ผู้ป่วยอาจมีอาการล้มบ่อยซึ่งหากเป็นผู้สูงอายุมาก ๆ เดินแล้วล้มบ่อยก็อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บหัวแตก ฯลฯ ตามมาได้

    “หากตั้งต้นจากอาการที่ปรากฏดังกล่าวทั้งในด้านการเดิน ปัสสาวะเล็ดราด ควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะไม่ได้ สิ่งนี้อาจเป็นการสังเกตได้เบื้องต้นซึ่งโดยมากคนไข้ก็จะมาด้วยลักษณะอาการความผิดปกติเหล่านี้จึงไม่ควรที่จะนิ่งนอนใจควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย

    อย่างไรก็ตาม NPH มีลักษณะอาการหลาย ๆ อย่างไม่เหมือนกับพาร์กินสัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแข็งเกร็ง การสั่น ฯลฯ นอกจากนี้อาจจะมีความจำสั้น การทำงานของสมองระดับสูงจะเสียไปกลายเป็นบุคคลที่ไม่ค่อยสนใจในกิจกรรมที่ชื่นชอบทำ กลายเป็นคนเงียบเฉย ขาดความสนใจในความท้าทายของชีวิตไป ซึ่งก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พบได้ในโรคดังกล่าวซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อาจทำให้มีปัญหาในเรื่องความจำต่อจากที่เริ่มมีอาการในเรื่องของการเดินและการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ”

    ปัญหาเรื่องความจำ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนไข้หลายคนอาจได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นความจำเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ แต่อย่างไรแล้วในความต่างของลักษณะการหลงลืม ลักษณะความจำที่จะเสียไปจะเด่นในด้านของความจำระยะสั้น ทำให้การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ยากขึ้น แต่ยังเหลือความระลึกได้ (recognition) ไว้ ส่วนถ้าเป็นอัลไซเมอร์เรียกว่า จะลืมหมดเกือบทุกอย่าง

    สำหรับโรค NPH การได้รับการตรวจรักษาที่รวดเร็วจึงมีโอกาสที่จะทำให้ผู้ป่วยได้กลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีมีความสุขในการดำเนินชีวิตได้อีกระยะหนึ่ง การรักษาที่สามารถทำได้ในปัจจุบันคือ การใส่ shunt ระบายน้ำไขสันหลังในโพรงสมองออกไปที่ช่องท้อง โดยปัจจุบันถ้าคัดเลือกผู้ป่วยที่เหมาะสมแก่การรักษาแล้ว จะทำให้อาการเดินผิดปกติดีขึ้นได้ถึง 80-90 เปอร์เซ็นต์ในช่วงปีแรก ๆ หลังการผ่าตัดเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้ป่วย ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติดังกล่าวของผู้สูงอายุที่บ้าน อย่านิ่งนอนใจควรรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยต่อไป

    ส่วนถ้าละเลยไม่ได้รับการรักษาคุณภาพชีวิตก็จะลดลงเรื่อย ๆ ชีวิตก็จะสั้นลงกว่าปกติ นอกจากนี้แพทย์ท่านเดิมยังฝากคำแนะนำการดูแลสุขภาพเพิ่มอีกว่า การมีความรู้เข้าใจถึงการเกิดขึ้นสิ่งนี้มีความสำคัญซึ่งจากการเกิดขึ้นของ โรคนี้ สิ่งหนึ่งที่อาจนำมาเพิ่มความระมัดระวังได้ก็คือ หากเคยมีอาการเลือดออกในสมองมาก่อนหรือมีอาการติดเชื้อในสมอง มีภาวะเนื้องอกในสมอง ฯลฯ เวลาที่มีอาการผิดปกติเกิดขึ้นอาจจะต้องคิดถึงโรคดังกล่าวนี้ไว้บ้าง ส่วนผู้ที่ดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวอาจจะต้องตระหนักถึงโรคนี้ เพราะมักมีโอกาสเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ.

    ..........................................

    เคล็ดลับสุขภาพ : แนะวิธีรักษาอาการ 'หนาวใน' ด้วยศาสตร์แพทย์แผนไทย


    อาการหนาวใน เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกวัย โดยเฉพาะหญิงที่ไม่ได้อยู่ไฟหลังคลอดลูก เพราะตามตำราแพทย์แผนไทยเชื่อว่าการคลอดลูกทำให้เสียความร้อนในร่างกาย และยังสามารถเป็นได้ในผู้สูงอายุที่ใกล้จะหมดประจำเดือนหรือหมดประจำเดือนแล้ว รวมทั้งหญิงที่ประจำเดือนมาปกติแต่มาน้อย มีไข้และปวดท้องรุนแรงก็สามารถเป็นหนาวในได้ ซึ่งอาการดังกล่าวสามารถรักษาให้หายได้ด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย

    ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว แพทย์มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ให้ความรู้ว่า อาการหนาวในบางครั้งแค่ฝนตั้งเค้าก็เกิดอาการหนาว มือเท้าเย็น ปากเขียว หนาวสั่นสะท้าน เหมือนเลือดไหลเวียนไม่ดีและเมื่อมีอาการหนาวในเป็นประจำจะทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ได้ เช่น ปวดหลังชา ๆ ขัดข้อตะโพก มีจ้ำเขียวตามร่างกายได้ง่าย เป็นไข้ทับระดูทุกครั้งที่มีประจำเดือน มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นตะคริว ซึ่งแพทย์แผนไทยถือว่าเป็นอาการของกลุ่มมดลูกอักเสบที่ต้องรักษาด้วยการปรับสมดุลธาตุอย่างต่อเนื่องโดยสามารถรักษาหายได้

    การรักษาอาการหนาวในด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทยจะเน้นการรักษาด้วยการจ่ายยาที่ช่วยปรับธาตุทั้ง 4 ให้สมดุลและจ่ายยาที่ช่วยบำรุงเลือดที่มีรสร้อนเพื่อกระจายเลือดให้ไหลเวียนได้ดีและทำให้ไฟธาตุทำงานได้ดีขึ้น โดยใช้ต้มกินติดต่อกันนาน 1-3 เดือนเพื่อเป็นการปรับสมดุลให้ร่างกายและธาตุของคนไข้หากเป็นมากก็จะจ่ายยาจำพวกเบญจกูลและกลุ่มว่านชักมดลูก โดยอาจจะใช้ว่านชักมดลูก ไพล ขมิ้นอ้อย เพื่อช่วยในการดึงมดลูกกลับเข้าที่และถ้าเป็นมากต้องต้มกินและต้มอาบด้วย ที่สำคัญคนที่มีอาการนี้ยังทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากได้อีกด้วย

    การรักษาแบ่งได้เป็น 3 ขั้นตอนตามอาการของบุคคลดังนี้ ขั้นแรกเรียกว่าการปลูกไฟธาตุ คือ การใช้ยาร้อนปลูกให้ธาตุไฟทำงานเนื่องจากอาการหนาวในมักเกิดขึ้นเมื่อร่างกายขาดธาตุไฟ จึงควรปรับสมดุลธาตุในร่างกายก่อน ต่อมาคือ การบำรุงไฟธาตุ โดยการใช้ยารสเปรี้ยว เน้นไปที่การฟอกเลือด บำรุงเลือดเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง และวิธีสุดท้ายโดยการใช้ยาร้อนที่สุดเพื่อช่วยขับโลหิตและของเสียออกจากร่างกาย เช่น เจตมูลเพลิง หรือว่านชักมดลูก เพื่อให้ร่างกายมีการขับของเสีย เช่น ประจำเดือนออกจากร่างกายให้หมดไม่ให้มีตกค้าง เพราะอาจทำให้เป็นสาเหตุของการเกิดช็อกโกแลตซีสต์ได้ ซึ่งโรคนี้มีชื่อเต็มว่า เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

    มีอาการปวดประจำเดือนทุกเดือน ลักษณะอาการปวด คือ ปวดอย่างรุนแรงและจะปวดมากขึ้นทุกเดือน การวินิจฉัยโรคถ้าเกิดอัลตราซาวด์แล้วเห็นก้อนชัด ๆ ก็สามารถบอกได้ทันที ตามตำราแพทย์แผนไทยมีการกล่าวถึงการรักษาก้อนที่อยู่ในท้องโดยใช้เจตมูลเพลิงซึ่งมีสรรพคุณเน้นในการขับของเสีย ผู้หญิงเราทุกคนมีความเสี่ยงที่จะเกิดก้อนในท้องหรือที่แพทย์แผนปัจจุบันเรียกว่า “กลุ่มมดลูกอักเสบ” หรือ “กลุ่มอาการช็อกโกแลตซีสต์” ซึ่งทางแผนไทยมีแนวทางป้องกัน สามารถทำได้โดย กินยาสตรีทุกเดือนก่อนมีประจำเดือน เพื่อให้มีการขับประจำเดือนที่เป็นของเสียออกให้หมดจากร่างกาย ไม่ให้มีการคั่งค้าง สะสม

    หากใครรู้ตัวว่าเริ่มมีอาการหนาวในแล้วสามารถสอบถามข้อมูลหรือวิธีรักษาแบบแพทย์แผนไทยได้ที่โทร. 0-3721-1289 มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี ซึ่งที่นี่มีบริการตรวจร่างกายสไตล์แพทย์แผนไทยพร้อมให้คำแนะนำโดยแพทย์แผนไทยฟรีทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30-16.30 น. เพื่อสุขภาพที่ดีของหญิงสาวยุคใหม่ค่ะ.





    ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
     
  20. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>หมอมุกหายใจเองได้แล้ว! แพทย์พอใจผลการรักษา</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>26 มิถุนายน 2554 13:03 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>พ.ต.พญ.หทัยพร อิ่มวิทยา หรือ “หมอมุก” </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> แพทย์เจ้าของไข้ เผย เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้ถอดเครื่องช่วยหายใจออก เพราะหมอมุกสามารถหายใจได้เองแล้ว ภาวะอาการบวมในสมองลดลงจนเกือบปกติ ตอบสนองต่อเสียงคำสั่งได้ดีขึ้น พร้อมระบุแพทย์มีความพอใจผลการรักษา

    พ.อ.นพ.พีระพล ปกป้อง ผู้อำนวยการกองอุบัติเหตุ และเวชกรรมฉุกเฉิน แพทย์เจ้าของไข้ พ.ต.พญ.หทัยพร อิ่มวิทยา หรือ “หมอมุก” เปิดเผยถึงอาการล่าสุดของหมอมุก ว่า เป็นข่าวดีสำหรับครอบครัวของหมอมุก ที่เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (26 มิ.ย.) แพทย์ได้ถอดเครื่องช่วยหายใจออก เพราะหมอมุกสามารถหายใจได้เองแล้ว แพทย์มีความพอใจผลการรักษา

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ขณะเข้ารับการรักษาตัวจากเหตุรถชนที่รพ.พระมงกุฏ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ส่วนอาการทั่วไป หมอมุก ไม่มีอาการเหนื่อยหอบ ไข้ลดลง ภาวะอาการบวมในสมองลดลงจนเกือบปกติ ตอบสนองต่อเสียงคำสั่งได้ดีขึ้น ซึ่ง นายกอสล้าง วรรณรสพากย์ ลูกพี่ลูกน้องของ หมอมุก กล่าวแสดงความดีใจที่หมอมุกมีอาการดีขึ้น ซึ่ง พญ.พรรณกร อิ่มวิทยา มารดาของหมอมุก ทราบผลอาการแล้ว จึงเดินทางไปทำบุญปล่อยปลาที่วัดย่านฝั่งธนบุรีตั้งแต่ช่วงเช้ามืด เพื่อขอพรให้บุตรสาวมีอาการดีขึ้นจนกลับเป็นปกติโดยเร็ว
    ที่มา Manager Online

    ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ยังคงมีประชาชนเดินทางมาเยี่ยมและเขียนข้อความให้กำลังใจหมอมุก ที่บริเวณตึกอุบัติเหตุ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...