พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    แตงกวาอาหารผิว

    วันจันทร์ ที่ 13 มิถุนายน 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    แตงกวา พืชผักสวนครัวของไทยหาง่าย ราคาไม่แพง นอกจากทานอร่อยแล้ว ยังเป็นอาหารผิวสำหรับผู้ที่รักความสวยความงามอีกด้วย

    แตงกวา นอกจากนำมาใช้รับประทาน เป็นประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ยังสามารถนำมาดัดแปลงให้เป็นประโยชน์ต่อผิวได้ด้วย ในแตงกวามีน้ำเป็นองค์ประกอบถึงร้อยละ 96 ทำให้มีคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้น นอกจากนั้นยังมีวิตามินซี แคลเซียม ซิลิก้า และโปแทสเซียม ซึ่งล้วนแต่ทำให้ผิวสุขภาพดี วันนี้จึงมีสูตรการนำแตงกวาไปใช้บำรุงผิวมาฝาก

    สำหรับผิวหน้า ถ้าต้องการให้นุ่มและขาวขึ้น ให้คั้นน้ำแตงกวาและเติมนมสดในปริมาณเท่า ๆ กัน ผสมน้ำแช่กลีบกุหลาบ 2-3 หยด ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วค่อยล้างออก ส่วนสำหรับคนหน้ามัน ใช้น้ำมะนาวเล็กน้อยกับน้ำแช่กลีบกุหลาบ ผสมกับน้ำคั้นแตงกวา ทาบนผิวหน้า จะทำให้ผิวหน้าใสไม่มัน แต่ถ้าจะกำจัดสิวให้ใช้เนื้อแตงกวาขูดฝอยพอกบริเวณใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ 15-20 นาที จะสามารถป้องกันการเกิดสิวและสิวหัวดำได้ ถ้าทำบ่อย ๆ หรือนำมาบดให้ละเอียด แล้วกรองเอาแต่น้ำ นำมาถูตัว จะช่วยทำให้ผิวสะอาดชุ่มชื้น ไม่แห้งเป็นขุย

    นอกจากนั้นแตงกวายังสามารถลดรอยหมองคล้ำใต้รักแร้ได้อีกด้วย โดยการใช้น้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำคั้นผลแตงกวา 1 ช้อนชา น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และผงขมิ้นครึ่งช้อนชา หลังจากอาบน้ำเสร็จ เช็ดตัวให้สะอาด ใช้สำลีชุบน้ำมันมะพร้าวเช็ดบริเวณใต้รักแร้เป็นวงกลม หลังจากนั้นผสมน้ำแตงกวา น้ำมะนาว และผงขมิ้นให้เข้ากัน ทาใต้รักแร้ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นล้างออกและเช็ดให้แห้ง ลองทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง รักแร้จะขาวขึ้น

    นอกจากมีประโยชน์ต่อผิวแล้ว แตงกวายังมีประโยชน์ต่อดวงตาอีกด้วย โดยถ้ามีอาการเคืองตา ตาบวมให้ใช้แตงกวาแช่เย็นหั่นเป็นแว่นวางบนตา แล้วนอนพักสายตาประมาณ 10 นาที จะช่วยฟื้นฟูดวงตาให้กลับสดชื่นมีชีวิตชีวา เนื่องจากแตงกวามีวิตามินและเกลือแร่สูง และยังสามารถบรรเทาอาการเหนื่อยล้าของดวงตาในผู้ที่ต้องใช้สายตาเพ่งมองเป็นเวลานาน ๆ หรือได้รับฝุ่นควัน และผู้ที่ใส่คอนแทกเลนส์ ส่วนในกรณีที่ต้องการลบถุงดำใต้ดวงตา ให้คั้นน้ำแตงกวา และ น้ำมันฝรั่ง อย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วทารอบดวงตาทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออก รอยหมองคล้ำใต้ดวงตาจะหายไป.





    ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
     
  2. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ทัวร์สวนผลไม้ ลิ้มรสหวาน "จันท์ - ระยอง"</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>10 มิถุนายน 2554 10:36 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> Destination
    เรื่อง/ภาพ นพพร ยรรยง

    จะมีสักกี่ประเทศในโลกกันเล่าที่เพียบพร้อมไปด้วยอาหารการกินตลอดทั้งปีอย่างบ้านเรา แม้วันนี้คำว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ดูจะตามหายากขึ้นทุกที แต่ไม่ห่างจากใจกลางกรุง กลับยังพบร่องรอยของวันวาน กลิ่นอายจากความเรียบง่ายอันอุดมไปด้วยความหอมหวานจากผลไม้นานาพันธุ์ ซึ่งกลิ่นหอมรัญจวนใจนี้เอง ที่นำพาคอลัมน์ Destination มาพบกับเมืองในฝัน สวรรค์ของผลไม้

    จากข้อความด้านบน ผู้อ่านบางท่านคงพอเดากันออกบ้างแล้ว ว่าสุดสัปดาห์นี้เราจะไปลงเอยหย่อนกายกันที่ใด เพราะหากเอ่ยถึง เมืองผลไม้ในเมืองไทย ที่ไม่ไกลกรุงคงหนีไม่พ้น ระยองกับจันทบุรี ถูกต้องนะครับ! สองเมืองนี้คือปลายทางในสุดสัปดาห์ของเรา

    โดยการเดินทางหนนี้ เรามีโอกาสร่วมทางไปกับกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อไปดูการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน บนความเรียบง่ายที่มีมาตรฐาน หลังผ่านสายฝนจากเมืองกรุงมาได้พักใหญ่ คาราวานของเราก็มุ่งหน้ามาถึงยังปลายทางแรก จ.จันทบุรี กลิ่นไอดินโชยเข้ามาทันทีที่ประตูรถเปิดออกกลางสวนผลไม้ ในบ้านเขาบายศรี หมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งแฝงตัวอยู่หลังแมกไม้นานาพันธุ์

    หมุดหมายของคนเมือง คือการเดินชมสวนผลไม้ 100 ปี ซึ่งประกอบด้วย 6 สวน โดยคาดว่าจะใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ แต่หากมีใครหลงรสชาติของผลไม้ในสวน ผมคิดว่าเวลาเพียงเท่านี้คงไม่พอ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=420 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=420>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> สวนผลไม้ 100 ปีนี้ เปี่ยมไปด้วยภูมิปัญญาของปราชญ์ในยุคก่อน เพราะสวนเนื้อที่กว่า 1,000 ไร่นี้ อาศัยน้ำที่ได้จากการขุดอุโมงค์ใต้ดินซึ่งขุดไว้เพื่อเก็บกักน้ำไว้ใช้ตลอดปี โดยมีลักษณะคล้ายอุโมงค์ที่เวียดกงใช้ซ่อนตัวระหว่างรบกับทหารอเมริกันสมัยสงครามเวียดนาม คืออุโมงค์จะเชื่อมโยงถึงกันหมดเต็มพื้นที่และมีความสลับซับซ้อน

    พวกเราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเจ้าบ้านที่เต็มใจต้อนรับด้วย น้ำใบเตยหอมหวาน ตามด้วยผลไม้นานาชนิดที่ยั่วยวนสายตาให้ลองชิมเหลือเกิน แต่เหนืออื่นใดคือรอยยิ้มและคำทักทาย จากสำเนียงชาวจันทบุรีที่ไร้จริต แต่จริงใจโดยเนื้อแท้

    สิ่งแรกที่ควรทำก่อนการเดินชิม และชมสวนผลไม้คราวนี้คือ การทายากันยุงกันไว้ก่อน เพราะแว่วมาว่ายุงชุมมาก และยุงมักชอบขบผิวชาวกรุงเสียด้วย ทุเรียนกลายเป็นผลไม้คำแรกที่ถูกป้อนเข้าปากหลังเดินเข้าสวน อาจฟังธรรมดา หากแต่ทุเรียนผลนี้ผ่านการเดินทางมากว่า 100 ปี โดยปัจจุบันธรรมชาติสร้างให้มันมีหนามที่ใหญ่และแข็งแรงกว่าปรกติมาก เผื่อไว้ไม่ให้มันเจ็บตอนร่วงลงมาจากต้นที่สูงหลายสิบเมตร

    เสียงเรอ…เอิ๊กอ๊ากกลางสวน พร้อมกลิ่นตลบอบอวลฟุ้งไปทั่วพื้นสวน เหล่านักเดินทางที่เดินชิมโน่นชิมนี่ ทั้งเงาะ มังคุด ชมพู่ แก้วมังกร ฯลฯ เรื่อยมา เพลินตากับสีเขียวและความหวานอร่อยจากผลไม้สดๆ จากต้น

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เราเดินกันมาแบบมือไม่ว่างจนถึงปลายทางที่ทุกคนต้องรู้จักนอบน้อมต่อธรรมชาติอย่างแท้จริง เพราะนี่คือสวนสละ หากไปเดินทะเล่อทะล่า ไม่ก้มหัวหรือมองทางให้ดี คุณอาจได้ไปหาหมอที่โรงพยาบาลก่อนจะทันได้ลิ้มลองรสชาติสละ

    ก้าวสุดท้ายก่อนออกจากสวน หนังตามันหย่อน หนังท้องมันตึง จนอยากจะนอนซะที่นี่เดี๋ยวนี้เลย แต่วันรุ่งเรายังมีนัดกับอีกหนึ่งสถานที่ จึงจำต้องจากมา เช้าวันใหม่ในจังหวัดระยอง กับการตามหาความเรียบง่ายในชุมชนที่ยังคงวิถีดั้งเดิมไว้อย่างเหนียวแน่น “บ้านจำรุง” เป็นปลายทางในเช้าวันใหม่ที่ผมจะไปเยือน

    อาจเกิดคำถามผุดขึ้นมาว่า มาทำไมกัน มันก็แค่หมู่บ้านตามต่างจังหวัด เหมือนกันทุกที่ล่ะ ผมอยากให้คุณเปิดใจแล้วลองมองให้ลึกถึงความเป็นอยู่ในหมู่บ้านนี้ เพราะที่นี่ เป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ และมีชุมชนที่แข็งแกร่ง จนเกิดการก่อตั้ง มหาวิทยาลัยบ้านนอก คอยให้ความรู้แก่ชาวบ้านและคนที่สนใจเรียนรู้

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=430 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=430>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> แต่หนึ่งในไฮไลต์ที่ใครมาต้องติดใจ มาแล้วต้องมาอีก คือ โฮมสเตย์ บ้านจำรุง ที่มีคอนเซ็ปต์ว่า เสื่อผืน หมอนใบ มุ้งหนึ่งหลัง กับน้ำใจอีกนับไม่ถ้วน ซึ่งบางส่วนในคอนเซ็ปต์อาจไม่เหมาะกับคนกรุงรักสบายมากนัก แต่สำหรับขาชอปที่ชื่นชอบงานทำมือกับผลไม้แปรรูป...รับรองไม่ผิดหวัง

    สักครั้งหนึ่งถ้าคุณอยากลองสัมผัสห้องนอนในบ้านไม้ แทนห้องนอนคอนกรีต หรือเปลี่ยนห้องสี่เหลี่ยมบนตึกสูง เป็นห้องไม้กว้างโล่ง กับบานหน้าต่างที่ล้อมไปด้วยแมกไม้ เช้ามาฟังเสียงนก ตกเย็นล้อมวงกินข้าว รับรองว่าโฮมสเตย์ที่นี่ไม่ผิดหวังครับ ชีวิตคุณจะดูช้าลงเยอะ ถ้าได้มาลองใช้ชีวิตที่นี่สักหนึ่งวัน

    ถ้าวันหยุดหน้า คุณผู้อ่านอยากลองใช้ชีวิตให้ช้าลง และดื่มด่ำกับความเรียบง่ายในรสชาติที่หวานไม่รู้ลืม จากผลไม้สดๆ จากสวน ลองหมุนพวงมาลัยเลี้ยวออกจากเมือง มุ่งหน้ามายังสองจังหวัดนี้ดูครับ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> Notebook

    สวนผลไม้บ้านเขาใบศรี
    ท่องเที่ยวได้ตลอดปี

    ช่วงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการท่องเที่ยวชิมผลไม้คือประมาณเดือน พ.ค.-มิ.ย.

    ค่าเข้าชมสวนคนละ 99 บาท กินได้ไม่อั้นแต่ห้ามนำออกจากสวน

    หากสนใจค้างคืน โฮมสเตย์ที่นี่ คิดราคาหัวละ 250 บาท/คืน พร้อมอาหารเช้า และสามารถชมสวนผลไม้ได้ด้วย สนใจติดต่อโทร.086-834-9604, 083-078-8002


    โฮมสเตย์บ้านจำรุง

    ท่องเที่ยวได้ตลอดปี
    โฮมสเตย์หัวละ 500 บาท กิน นอน ในสวน

    กิจกรรมประกอบด้วย เดินชมสวน ดูวิถีชาวบ้าน มีของกิน ของฝากให้เลือกชอป

    สนใจติดต่อโทร.087-817-8030
    ที่มา Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. Lee_bangkok

    Lee_bangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +4,741
    ขอบคุณคุณอนัตตังครับผม
    อยากจะบอกว่า ถ้าตอนโดนแต่แรกและรีบไปหาหมอ อาจโดนแค่ฉีดยาวัคซีนอย่างเดียว ไม่ต้องโดนเซรุ่มนะครับ แต่เนื่องจากหลายวันทำให้คุณหมอดูแผลยาก เลยต้องฉีดเซรุ่ม และค่าเซรุ่มค่อนข้างจะแพงมาก ซีซีละ 2000 บาทมั้งครับ และคิดตามน้ำหนักตัวของผู้ฉีดครับ ผมเลยต้องไปที่สถานเสวภาแทน เลยได้มา 5เข็มนะครับ ดังนั้นถ้าใครมีลูกหลานและโดนพวก หมา แมว หนู หนูแฮมเตอร์ กระรอก กระแต กัดเลือดไหล ขอบอกว่าให้รีบไปหาหมออย่ารอช้าครับผม
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมเองเป็นคนรักสุนัขมาก แต่ก็ไม่มีปัญญาเลี้ยง อาศัยเวลาที่ผมไปหาพี่ใหญ่ ก็จะไปกอดหมา เวลาที่ไปถึงมันชอบกระโดดมาเกาะผม ก็ชอบกอดมันเหมือนกัน

    เห็นแล้วก็เลยนำมาฝากครับ

    -------------------

    จูบสัตว์เลี้ยงระวัง ‘ตาอักเสบ’!?

    สุนัขและแมว ต่างก็เป็นสัตว์เลี้ยงที่คนเราเลี้ยงเอาไว้เป็นเพื่อน คลายเหงา คลายเครียด เจ้าของบางคนใส่ใจดูแลเป็นพิเศษราวกับเป็นลูกหลาน จึงไม่แปลกที่จะแสดงความรักด้วยการสัมผัสใกล้ชิด หอมกอด คลอเคลียใกล้ๆ บริเวณใบหน้า ด้วยความรักบางทีก็มีจูจุ๊บกันบ้าง ซึ่งการสัมผัสที่ใกล้เกินไปแบบนี้เองที่สามารถทำให้เจ้าของเกิดอาการตาอักเสบได้ และไม่ว่าจะรู้สาเหตุที่แท้จริง หรือไม่คิดโทษสัตว์เลี้ยงของตัวเอง ‘มุมสุขภาพ’ มีคำอธิบาย

    โรคร้ายที่แฝงมากับความรู้สึกดีๆ ระหว่างเจ้าของกับสัตว์เลี้ยงที่มักจะสัมผัสใกล้ชิดนั่นคือ แบคทีเรีย พาสตูเรลลา เพสติส เชื้อโรคที่อยู่ในช่องปากของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ติดได้ทางน้ำลายและทางลมหายใจของสัตว์ เช่น หากผิวหนังของคนเรามีแผล หรือรอยข่วน แล้วสุนัขหรือแมวมาเลียแผล เชื้อดังกล่าวก็จะเข้าไปทางกระแสเลือด ทั้งนี้การติดเชื้อที่พบได้บ่อย คือ การกอด การหอม สุนัขหรือแมวอย่างใกล้ชิด ทำให้คนเราสูดลมหายใจของสัตว์เลี้ยงเข้าไป

    คนที่ใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยงมากๆ แทบทุกคนได้รับเชื้อ แต่บางคนเชื้อพาสตูเรลลา เพสติส เข้าสู่ร่างกายแล้วไม่ทำให้ล้มป่วย จะเรียกว่า ภาวะฟลอร่า หรือเชื้อที่เป็นผู้อาศัยแต่ไม่ทำอันตรายร่างกาย

    ตรงกันข้าม หากเจ้าของร่างกายไม่แข็งแรง ภูมิคุ้มกันต่ำ เพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือป่วยด้วยโรคต่างๆ อยู่แล้ว เชื้อนี้สามารถทำให้ป่วย โดยเริ่มจากมีอาการคล้ายคนเป็นหวัด ไอ จาม คัดจมูก และมักจะทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด คิดว่าเป็นเพียงโรคหวัด จึงรักษาตัวตามอาการที่ปรากฏด้วยการกินยาแก้หวัดแล้วพักผ่อน

    ทว่าไม่นานอาการจะยิ่งรุนแรง เช่น มีอาการไอหนักขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถนอนหลับได้ ที่สุดก็ต้องไปพบแพทย์และมักตรวจพบการอักเสบรุนแรงที่ปอด หลอมลม รวมไปถึงบริเวณดวงตา ทำให้บวมและอักเสบ เนื่องจากเชื้อโรคชนิดนี้แพร่เข้าไปยังอวัยวะดังที่กล่าว

    อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อชนิดนี้จากสัตว์เลี้ยงนั้นสามารถรักษาให้หายได้ด้วยยาเพนนิซิลิน เตตร้าไซคลิน และไม่ใช่โรคที่รุนแรงถึงขั้นทำเสียชีวิต นอกเสียจากผู้ป่วยมีโรคร้ายแรงอื่นๆ คุกคามสุขภาพอยู่ด้วย

    หากรู้ตัวว่ากำลังไม่สบาย อ่อนเพลีย ควรเว้นระยะห่าง เลี่ยงการใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยงในระยะหายใจรดกันเสียหน่อย อย่างน้อยก็เพื่อป้องกันเชื้อพาสตูเรลลา เพสติส ทำให้เจ้าของยิ่งป่วยไปกันใหญ่ รอให้แข็งแรงเต็มที่ แล้วจะกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันก็ตามสบาย.

    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
    takecareDD@gmail.com

    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=457&contentId=144760-

    .
     
  6. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    ไม่ได้ดูว่าไปช้าหรือเร็ว แต่ดูที่ภูมิเดิมของคนไข้ และตำแหน่งที่ถูกกัด รวมถึงความเสี่ยงของสัตว์ที่มากัดครับ
    ความต่างเพียงอย่างเดียวคือ ยิ่งช้า โอกาสต่อการติดเชื้อยิ่งเพิ่มครับ - -"
    แต่ก็ไม่ต้องกังวลไปนะครับ มันไม่ได้ติดง่ายขนาดนั้น

    ว่าแต่พี่หนุ่มเป็นอย่างไรบ้างครับ เดี๋ยวโทรไปหานะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2011
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ของใจมากครับที่โทร.มา

    .
     
  8. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ของผมตอนนั้นโดนหมาตัวเองกัดที่นิ้ว เราบอกหมอว่า หมาฉีดวัคซีนแล้ว หมอแค่ฉีดป้องกันบาดทะยัก ผมทำประกันอุบัติเหตุไว้ด้วยค่าเบี้ย ปีละ 2500 เลย ไม่ต้องจ่ายค่ายาอะครับ ถึงจะฉีดเซรุ่ม หมอเขาก็บอกว่า ครอบคลุมครับ
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>นิทานเซน : ร่มกันฝน</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>15 มิถุนายน 2554 07:51 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>


    <CENTER>《自伞自度》</CENTER>

    ยังมีอุบาสกผู้หนึ่งหลบฝนอยู่ใต้ชายคา พอดีกับที่มีอาจารย์เซนผู้หนึ่งกางร่มเดินผ่านมา อุบาสกผู้นี้จึงร้องเรียกขอให้อาจารย์เซนพาตนไปด้วย โดยอ้างว่าตามหลักธรรม พระสงฆ์คือผู้ช่วยนำพาสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากห้วงทะเลทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด

    ทว่าอาจารย์เซนกลับปฏิเสธคำขอของอุบาสก ทั้งยังกล่าวว่า "ประสกอยู่ใต้ชายคาซึ่งไม่มีฝน มิได้เปียกปอน ฉะนั้นอาตมาไม่จำเป็นจะต้องพาประสกออกไป"

    เมื่อุบาสกได้ยินดังนั้น จึงก้าวออกมานอกชายคา ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนพรำจนร่างกายเปียกชุ่มโชก จากนั้นขอร้องอีกครั้งให้อาจารย์เซนพาเขาไปด้วย

    ยามนั้น อาจารย์เซนจึงเอ่ยว่า "ประสกยังคงไม่เข้าใจ แม้ว่าขณะนี้เราทั้งสองล้วนอยู่ใต้สายฝน แต่อาตมาไม่เปียกเพราะมีร่มคุ้ม ส่วนประสกกลับเปียกปอนเพราะไร้ร่มกำบัง ดังนั้นมิใช่ว่าอาตมาไม่พาประสกไป แต่ประสกต้องเสาะหาร่มคุ้มฝนของตน เพื่อข้ามผ่านไปด้วยตนเอง"

    ปัญญาเซน ผู้ดำเนินในกรอบแห่งศีล สมาธิ ปัญญาด้วยความเพียร จะเห็นแดนพ้นทุกข์ปรากฏขึ้นกับใจของตน

    ที่มา : หนังสือ 《一日一禅》, 东方闻睿 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 中国电影出版史, 2004.8, ISBN 7-106-02204-7




    -http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000072062-

    .




    .
     
  10. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    สวัสดี เช้าวันพุธ ครับ สมาชิกทุกท่าน
     
  11. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    "น้องธันย์"เด็กสาววัย14ปีหัวใจแกร่ง

    วันอังคาร ที่ 14 มิถุนายน 2554 เวลา 14:39 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    [​IMG]

    เปิดใจ "เดลินิวส์" ปลาบปลื้มพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระเทพฯ ทรงช่วยเหลือ คนไทยจะอยู่หนแห่งใด ยันขอเป็นจิตแพทย์ตามฝัน
    ภาพของเด็กสาว แววตาสดใส ตัวเล็ก แม้จะนั่งมากับรถเข็นวีลแชร์มากับบิดาบังเกิดเกล้าเพียง 2 คน แต่สภาพจิตใจของเธอเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งไม่ยอมย้อท้อง่ายๆ ชูสองนิ้ว ยิ้มสู้กล้องให้สื่อบันทึกภาพด้วยใบหน้าแจ่มใสร่าเริง ที่สนามบินสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ

    แม้ร่างกายเธอจะไม่เหมือนช่วงที่เดินทางออกไปจากประเทศไทย สภาพตอนนั้นเธอยังสามารถเดินเหินคล่องแคล่วแบบเด็กสาววัยรุ่นทั่วไป ปัจจุบันเธอกลับมาแผ่นดินแม่อีกครั้งในสภาพต้องนั่งรถวีลแชร์ แต่ทุกคนที่ติดตามข่าวของเธอต่างยอมรับว่าเด็กสาวรายนี้จิตใจแข็งแกร่งไม่ธรรมดา !!

    ย้อนเหตุการณ์กลับไปในช่วงเดือนเม.ย.54 ที่ผ่านมา กับข่าวคราวใหญ่โตในประเทศสิงคโปร์ ถึงเรื่องราวของน้องธันย์ หรือ ด.ญ.ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ วัย 14 ปี นักเรียนชั้นมัธยม ปีที่ 2 โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย จ.ตรัง ที่เดินทางไปเรียนภาษาอังกฤษ ช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน ในประเทศสิงคโปร์ แล้วเกิดคราวเคราะห์หามยามร้าย ช่วงสายๆของวันเสาร์ที่ 3 เม.ย. ได้ประสบอุบัติเหตุอย่างรุนแรง เนื่องจากพลัดตกลงไปในรางรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีอั้งม้อเกี้ยว ประเทศสิงคโปร์ ทำให้ถูกรถไฟทับขาทั้งสองข้าง จนแพทย์ต้องตัดขาตั้งแต่หัวเข่าลงไปทิ้ง เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้

    ประเทศสิงคโปร์ที่จัดได้ว่ามีความปลอดภัยแทบทุกๆด้าน ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันเช่นนี้ ทำให้เรื่องราวของ น้องธันย์ กลายเป็นข่าวใหญ่โตในดินแดนลอดช่อง มีผู้คนให้ความสนใจไม่น้อย ที่สำคัญชาวสิงคโปร์ต่างเกาะติดข่าวนี้อย่างใกล้ชิด เมื่อมีการนำเสนอภาพข่าวของน้องธันย์ ที่แม้จะประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจนต้องสูญเสียขาทั้งสองข้าง แต่สภาพจิตใจและร่างกายของเด็กสาวกลับแข็งแกร่งเกินวัยยิ่งนัก หลังพักฟื้นจนสภาพร่างกายเริ่มดีขึ้นก็เปิดใจด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “พร้อมยอมรับสภาพเช่นนี้ได้เพราะตัวเองเป็นคนมองโลกในแง่ดีมาตลอด” ทำให้เรื่องราวของเธอถูกนำไปเผยแพร่ทั้งตามสื่อต่างๆ รวมไปถึงโลกอินเทอร์เน็ตทั้งในเมืองไทยและสิงคโปร์ต่างให้กำลังใจเธออย่างล้นหลาม เรียบว่าเธอยังกลายเป็นขวัญใจของบรรดาวัยรุ่นในสิงคโปร์

    อย่างไรก็แล้วแต่ในโลกของความเป็นจริง แม้เจ้าตัวจะยอมรับสภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ แต่สำหรับเรื่องนี้คนในครอบครัวของเธอกับต้องเสียขวัญไปมิใช่น้อย ยังโชคดีผู้นำครอบครัวคือ นายกิตติ์ธเนศ เป็นเอกชนะศักดิ์ อายุ 55 ปี นักธุรกิจชาวตรัง ผู้เป็นบิดาต้องค่อยๆพยายามทำความเข้าใจเรื่องนี้กับผู้เป็นภรรยา โดยเฉพาะช่วงเกิดเหตุใหม่ๆ ยังไม่รู้จะหาวิธีใดบอกกับภรรยาให้เข้าใจยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับลูกสาว กลัวพูดความจริงไปแล้วทำใจรับสภาพไม่ได้และอาจช็อคเป็นลมหมดสติไปอีกคนเลยต้องปิดบังเอาไว้หลายวัน

    สุดท้ายนายกิตติ์ธเนศ ตัดสินใจวางแผนกับลูกสาวคนโตที่จะยอมบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ภรรยาทราบอย่างนิ่มนวลที่สุด ใช้โอกาสพาภรรยาขึ้นรถยนต์ เปิดเพลงเบาๆ เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศที่ตึงเครียด และเมื่อได้จังหวะก็บอกภรรยาว่า ลูกสาวได้รับบาดเจ็บขณะนี้พักรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ในสิงคโปร์ ตอนแรกยังไม่ได้บอกถึงสาเหตุของอาการบาดเจ็บเพราะกลัวทำใจไม่ได้ ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดเมื่อภรรยาทราบเรื่องทั้งหมด ถึงกับตกใจร้องไห้ อยู่นาน 2-3 ชั่วโมง เพราะไม่คาดฝันลูกสาวจะมาสูญเสียขาไปทั้งสองข้าง แต่ผู้นำครอบครัวต้องเตือนสติให้คิดว่า หากคนเป็นพ่อแม่หมดกำลังใจแล้วลูกสาวจะอยู่อย่างไร เพราะขณะนี้ลูกมีกำลังใจดีขึ้นร่างกายเข้มแข็งมากแล้ว ยังพูดคุยหยอกล้อกันว่า ถ้าใส่“ขาเทียม”แล้วสามารถกระโดดลอยได้ไปไกล 1-2 เมตร

    สิ่งหนึ่งที่ครอบครัว “เป็นเอกชนะศักดิ์” ปลาบปลื้มปีติเป็นล้นพ้น เมื่อสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานกระเช้าดอกไม้ ให้คุณหญิงอารยา พิบูลนครินทร์ เป็นผู้แทนพระองค์เข้าเยี่ยมด้วย พร้อมกันนั้นได้ทรงมีเมตตาให้คุณหญิงซักถามเรื่องการเรียนและอาการบาดเจ็บด้วยความเป็นห่วง ทำให้น้องธัญย์และครอบครัวมีกำลังใจต่างภาคภูมิใจกับการได้รับพระมหากรุณาธิคุณในครั้งนี้

    หลังจากทางทีมแพทย์ที่สิงคโปร์ รักษาอาการของน้องธัญย์ อยู่นาน 2 เดือนเต็มจนสภาพจิตใจและร่างกายดีขึ้นมากแล้วสามารถช่วยตัวเองได้บ้างแล้ว ช่วงบ่ายวันที่ 13 มิ.ย. นายกิจธเนศ จึงได้เดินทางไปรับบุตรสาวกลับมาประเทศไทย เพื่อพักรักษาตัวเตรียมใส่ขาเทียมที่ ศูนย์สิรินธร เพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข น้องธันย์ กล่าวสั้นๆว่า ขอขอบคุณคนไทยทุกคนที่เป็นห่วงตนเองพร้อมสู้ต่อไป ขณะนี้รู้สึกคิดถึงแม่ ญาติพี่น้องรวมทั้งเพื่อนๆ ซึ่งก็ได้ติดต่อคุยกันทางเฟซบุ๊ค เอ็มเอสเอ็น ส่วนวันที่ 16 มิ.ย.นี้ ตรงกับวันเกิดอายุครบ 15 ปี อยากอยู่กับครอบครัวพร้อมหน้า และอยากกินสุกี้ร้านโปรดที่เมืองตรังให้เต็มปากเต็มคำ


    เปิดใจสาวน้อยสู้ชีวิต

    วันนี้ ( 14 มิ.ย.) ด.ญ.ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ หรือน้องธันย์ พร้อมด้วย นายกิตติ์ธเนศ เป็นเอกชนะศักดิ์ บิดา ได้เข้าพักรักษาตัวต่อที่อาคารผู้ป่วยในหญิง ชั้น 2 ห้องพิเศษ 1 ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จากนั้น นพ.เรวัต วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ ได้เดินทางเข้าเยี่ยม

    นพ.เรวัต กล่าวว่า ด้วยพระกรุณาธิคุณของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณห่วงใยน้องธันย์และรับสั่งให้มีการช่วยเหลือดังนั้นทางศูนย์สิรินธรฯจะให้การดูแลน้องธันย์อย่างดีที่สุดโดยจะจัดหาขาเทียมที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในขณะนี้มาให้กับน้องธันย์ คาดว่าใน 2 สัปดาห์ต่อจากนี้จะสั่งขาเทียมซี-เลก มาให้กับน้องธันย์ได้ โดยในวันที่ 14 มิ.ย. จะให้เจ้าหน้าที่มาวัดขนาดขาทั้ง 2 ข้าง และทำขาเทียมชั่วคราวให้ก่อน ทั้งนี้ราคาขาเทียมราคาข้างละ 1.2 ล้านบาท ควบคุมการทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เป็นเทคโนโลยีใหม่ ทำงานโดยไมโครโปรเซสเซอร์ มีอายุการใช้งานประมาณ 5 ปี คาดว่าหลังจากใส่ขาเทียมแล้ว คงจะใช้เวลาหัดเดินประมาณ 1 เดือน

    ด้าน ด.ญ.ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ หรือน้องธันย์ เปิดใจกับ “เดลินิวส์” ว่า ตอนแรกที่ประสบอุบัติชีวิตก็เปลี่ยนไปเลย ตอนแรกคิดว่าจะเลวร้ายมาก พอวันรุ่งขึ้นมีแต่สิ่งดี ๆ เข้ามา รู้สึกตื้นตันที่ได้รับพระกรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงช่วยเหลือ ไม่ว่าคนไทยนั้นจะอยู่หนแห่งใด ก็ยังทรงให้ความช่วยเหลือ มีคนให้กำลังใจเต็มไปหมดเลย ก็เหมือนไม่ได้อยู่คนเดียว

    “รู้สึกอยู่แค่วันเดียว พอตื่นขึ้นมาอีกวันทุกอย่างก็เปลี่ยนไป รู้สึกดีขึ้น เราก็คงใช้ชีวิตต่อไปตามปกติ ถึงแม้จะไม่มีขาแต่เราก็ยังมีรถเข็น ก็สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ อยู่ รพ. ที่สิงคโปร์ ก็อาบน้ำเอง ไปไหนมาไหนเอง ไม่กดเรียกพยาบาลเลย ทำทุกอย่างได้หมดเลย เพียงแต่ไม่ได้เดินไปเท่านั้นเอง” น้องธันย์ กล่าวและว่า คนที่มาเยี่ยมก็ร้องไห้ ธันย์ก็คิดว่าร้องทำไมเพราะธันย์เองยังไม่ร้องไห้ให้เขาเห็นเลย และยังปลอบคนมาเยี่ยม

    น้องธันย์ กล่าวว่า ในอนาคตอยากเป็นจิตแพทย์และจะเดินตามความฝันต่อไป เหตุผลที่อยากเห็นจิตแพทย์เพราะเด็ก ๆ อยากเป็นหมอเพราะทุกคนก็ยากเรียนหมอเพราะคนเรียนหมอต้องเก่ง และเราไม่ต้องไปนั่งอยู่เฉย ๆ ให้คนไข้มาหา แต่เราไปหาคนไข้เอง และไม่จำเป็นต้องมีเครื่องมือมากมายก็สามรถช่วยเหลือ แค่เรามี คำพูด ความนึกคิด ก็สามารถพูดให้คนรอบข้างเข้าใจได้ และการที่ธันย์โดนรถไฟทับก็เป็นบทพิสูจน์อีกอย่างว่าจะเรียนได้หรือเปล่า เพราะถ้าสมมุติว่าธันย์อ่อนแอ ร้องไห้ กับสิ่งที่สูญเสียไป ก็จะเรียนไม่ได้เพราะไม่สามารถที่จะไปช่วยคนอื่นคิดเหมือนธันย์ได้

    เมื่อถามว่า คิดว่าอะไรที่ทำให้มีจิตใจเข้มแข็งทั้งที่สูญเสียขา 2 ข้าง น้องธันย์ กล่าวว่า คิดว่า ยังไงเราก็ได้กำลังใจจากคนอื่น และคนอื่นก็เห็นว่า เราเข้มแข็ง ถ้าเราอ่อนแอคนอื่นก็ไม่เห็นคุณค่าของเรา แต่ถ้าเราเข้มแข็งก็สามารถอยู่ในสังคมได้ ทุกคนก็รักมากกว่าเราอ่อนแอ ไม่ได้รังเกียจ เราก็ต้องเลือกทางที่ดีที่สุดให้กับตัวเองดีกว่า

    ผู้สื่อข่าวถามว่า อยากทำอะไรเป็นสิ่งแรกเมื่อกลับมาประเทศไทย น้องธันย์ กล่าวว่าก็อยากพบญาติ ๆ โดยวันที่ 16 มิ.ย.นี้เป็นวันเกิดก็อยากชวนญาติ ๆ มาอยู่ด้วยกันให้พร้อมหน้าพร้อมตา เพราะวันที่ 17 เม.ย.ที่ผ่านมาเป็นวันที่คุณย่าเสียทุกคนจะมาพร้อมกันที่วัด แต่ปีนี้ก็ไม่ได้ไป ส่วนเพื่อน ๆ ก็ได้คุยกันทางเฟชบุ้ค และโทรศัพท์

    ต่อข้อถามว่า จะฝากคนที่ประสบอุบัติเหตุและท้อแท้อย่างไร น้องธันย์ กล่าวว่า ก็อยากให้กำลังใจว่าชีวิตต้องมองอนาคต ไม่ใช่มองแค่ตรงนี้ อนาคตต้องเดินต่อไป ในเมื่อเรามีชีวิตรอดเราควรทำให้เรามีประโยชน์มากที่สุด ดีกว่าที่เราจะต้องมานั่งเสียใจอยู่ ส่วนคนไทยทุกคนที่เป็นห่วง ก็อยากบอกว่า เกือบหายดีเป็นปกติแล้ว ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงทั้งคนไทยและต่างประเทศที่มาเยี่ยมและซื้อของมาฝาก

    น้องธันย์ กล่าวถึงการเดินว่า แพทย์อธิบายเรื่องขาเทียมซี-เลก ให้เข้าใจแล้วตั้งแต่อยู่ที่สิงคโปร์ และดูในยูทูบแล้ว เห็นการเดินแล้วเหมือนคนปกติมาก มันจะมีที่หุ้มเหมือนเนื้อเราจริง ๆ ก็จะไม่ค่อยกังวลมาก มันก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวเองด้วย ไม่ใช่ไปพึ่งแค่ขาอย่างเดียว ถ้าเกิดตัวเองไม่มุ่งมั่นไม่ขยันซ้อม ไปพึ่งแค่ขา เดี๋ยวใส่ขาเทียมแล้วก็เดินได้ มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราไม่พึ่งตัวเองก่อนที่จะไปพึ่งสิ่งที่ช่วยเรา

    น้องธันย์ กล่าวด้วยว่า ชอบร้องเพลง อยู่บ้านอ่านหนังสือเครียดก็ร้องเพลง โดยเพลงที่ร้องเป็นเพลงสากล คือ เพลงของไมเคิล แจ๊กสัน มันคลายเครียดดี ร้องแล้วปลอดโปร่ง ส่วนศิลปินไทย ชอบเพื่อนพี่สาวคือ นุ๊กนิ๊ก เอเอฟ 6 ส่วนอาหาร ชอบสุกี้ ขาหมู ส้มตำ เมื่อถามว่า กินขาหมูไม่กลัวอ้วนหรือ น้องธันย์ กล่าวว่า กินเป็นครั้งคราว ไม่ได้กินทุกวันสักหน่อย

    เมื่อถามว่าว่าง ๆตอนนอนอยู่ รพ.ที่สิงคโปร์ ทำอะไร น้องธันย์ กล่าวว่า ก็เอ็กเซอร์ไซส์ คุยกับเพื่อนทางเอ็มเอสเอ็น ปกติทุกวันก็เขียนไดอารี่ พิมพ์เข้าเฟชบุ้คว่าวันนี้อะไร แล้วก็ส่งรูปไปให้เพื่อนดู ก็เหมือนได้พบเจอกัน ว่าง ๆ ก็มีครูมาสอนภาษาอังกฤษ ได้ฝึกภาษาอังกฤษ พูดกับพยาบาล ได้ออกไปเที่ยวข้างนอก ส่วนของสะสมชอบหมูเพราะมันน่ารักดี ตอนแรกอ้วนมาก ๆ เพื่อนจะเรียกไอ้หมู ก็แบบว่ามันน่ารักดี ก็เลยชอบอะไรที่เป็นสัญลักษณตัวเองดีกว่า

    ต่อข้อถามว่า คิดว่ากำลังใจกับคนป่วยมีส่วนสำคัญแค่ไหน น้องธันย์ กล่าวว่า ก็คิดว่ากำลังใจก็มีส่วนสำคัญพอสมควร แต่แค่กำลังใจจากคนอื่นไม่พอ เราต้องมีกำลังใจให้ตัวเองด้วย ถ้าเราให้กำลังใจตัวเองไม่พอ ได้รับจากคนอื่นมา มันก็แค่เป็นกำลังใจที่ส่งมาให้เรา

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตลอดเวลาให้สัมภาษณ์น้องธันย์มีอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอด ไม่มีท่าทีเศร้าหมอง ทั้งนี้น้องธันย์ยังได้ร้องเพลงคืนข้ามปี ของเอ็นโดรฟินให้ฟังด้วย.
    ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
     
  12. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7503 ข่าวสดรายวัน


    ศิลปะบำบัดกับ"ครูมอส" พบที่งานมติชน เฮลท์แคร์


    ปฤษณา กองวงค์


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=360 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#e0e0e0>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>"ประเทศเราขาดสุนทรียภาพ ไม่ได้ขาดศิลปะ แม้มีศิลปะแต่เป็นมิติที่ขาดความรื่นรมย์ ซึ่งสุนทรียภาพไม่ได้อยู่ในวิชาศิลปะเท่านั้น แต่ควรอยู่ในทุกสาขาอาชีพ" นายอนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี หรือ "ครูมอส" วัย 34 ปี กล่าวในฐานะเป็นผู้ที่อยู่ในแวดวงศิลปะบำบัดแนวมนุษยปรัชญา ศาสตร์ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องจิตวิญญาณด้านใน

    ครูมอสเป็นวิทยากรรับเชิญคนหนึ่งที่จะร่วมงานมหกรรมเพื่อคนรักสุขภาพ "มติชน เฮลท์แคร์ 2011" ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ วันที่ 17 มิ.ย. โดยจะเสวนาในหัวข้อ "Art Therapy" บนเวทีกลาง ในเวลา 11.00-12.00 น. จากนั้นเวลา 14.30-16.00 น. จะร่วมกิจกรรม DIY ในหัวข้อ "Clay Therapy" การปั้นดินเพื่อความสมดุลภายใน ที่ห้องมีตติ้งรูม 2

    ก่อนจะถึงวันงาน มารู้จักครูมอสกันสักนิด

    ครูมอส ศึกษาด้านศิลปะบำบัดที่ Hibernia School of Artistic Therapy ประเทศอังกฤษ และคว้าทุน Hans-Seide Stifung จากรัฐบาลเยอรมนี Diploma in Art Therapeutikumam Kraeherwald ไปศึกษาต่อที่เมืองสตุ๊ตการ์ต ในเยอรมนี

    กˆอนหน‰านั้นครูมอสเรียนครุศาสตร์ ประถมศึกษา ที่จุฬา ลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสนใจศิลปะ ซึ่งการเรียนในมหาวิทยาลัยได้เชื่อมโยงสิ่งที่ชอบคือวาดรูปและคณะที่เรียนต้องสนใจด้านการศึกษาควบคู่ไปด้วย

    "ถ้าครูสักคนสนใจอยากสอนศิลปะ เราจะสอนอะไร สอนอย่างไรกว่าที่เห็นในห้วงเวลานั้น องค์ความรู้แบบนี้เบาบางมากในบ้านเรา หาคำตอบไม่เจอ และไม่ได้รู้สึกว่าพอใจ จึงอยากไปเรียนต่อ สิ่งที่ได้พบมันน่าสนใจมาก รวมถึงการไปพบศิลปะบำบัด ทั้งยังตอบคำถามได้หลายอย่าง จึงกลับมาดูว่าเราทำงานกับใคร เด็กอายุเท่าไหร่ มีพัฒนาการอย่างไร จึงเติบโตมาแบบนี้ ถ้าเราทำงานกับเด็กด้านศิลปะบำบัด ต้องเคารพในงานและจินตนาการของเขา เราไม่ได้บอกว่าเด็กต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ด้วยจุดประสงค์ของครู ซึ่งเป็นคนละเส้นทางกัน เราไม่ได้มองที่เป้าหมายอย่างเดียวแต่มองไปถึงสุนทรียภาพด้วย" ครูมอสกล่าว

    นักศิลปะบำบัด อธิบายว่า "Art Education" ที่เกิดขึ้นในระบบการเรียนการสอน ในห้องเรียนศิลปะ หรือในโรงเรียน ต่างจาก "Art Therapist" หรือศิลปะบำบัดที่เชื่อมโยงกับศาสตร์ด้านการแพทย์ และเกิดขึ้นในสถานที่ดูแลเยียวยาเด็ก เยาวชนรวมถึงผู้ใหญ่ที่ขาดสมดุล

    "เราไม่มีจุดมุ่งหมายจนกว่าจะเห็นเด็ก และไม่คิดอะไรล่วงหน้าก่อนที่จะรู้จักคนๆ หนึ่ง อันนี้สำหรับผมเรียกว่าบำบัด แต่ถ้าเรามีรูปแบบสำเร็จรูปแล้วถึงไปหาคนๆ หนึ่ง สำหรับผมอันนี้ไม่น่าเรียกว่า การบำบัด เพราะเรายังไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เรามีนั้นเหมาะกับเขาหรือไม่ เพราะทุกคนเป็นปัจเจก เด็กคนหนึ่งก็มีความต่างในการหล่อหลอม ทั้งสภาวะการเลี้ยงดู เติบโต ครอบครัว สังคมสร้างเขามาคนละแบบและไม่มีใครโคลนนิ่งกันได้แน่นอน ทุกคนมีแววตา มีข้างในซึ่งเป็นของตัวเอง"



    ปัจจุบันครูมอสทำงานศิลปะบำบัดที่โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ และโรงพยาบาลมนารมย์ กล่าวถึงการบำบัดว่า เราดูแลทุกสภาพโรคทางอารมณ์ สมาธิก็ด้วย ปัญหาที่เข้ามาก็หลากหลาย การรักษาต้องมีลำดับไม่ใช่ป่วยปุ๊บแล้วมาทำศิลปะบำบัดปั๊บ ต้องมีขั้นตอน วิธีการนำพามาสู่การบำบัด มีคิวที่เป็นไปตามจังหวะเวลา และเราก็ทำงานร่วมกับแพทย์ ไม่ได้มีลักษณะให้ใครก็ได้เข้ามาบำบัด

    ครูมอส เล่าต่อว่า บำบัดเด็กตั้งแต่อายุ 5 ขวบจนถึงผู้ใหญ่วัย 80-90 ปี การบำบัดเป็นเรื่องโรคภายในที่สัมพันธ์กับการป่วยภายนอก เช่น คนป่วยภายในมีความเครียดมากก็เป็นโรคกระเพาะ เป็นไมเกรนได้ หรือคนที่ป่วยทางกายเป็นโรคร้ายต่างๆ ข้างในก็เปราะบางรวมถึงกำลังใจที่สัมพันธ์กันอยู่ ไม่ว่าการเป็นแพทย์ทางเลือกหรือการแพทย์แผนปัจจุบันก็มองเช่นกัน ทว่า มนุษย ปรัชญามองเรื่องของจิตกับวิญญาณที่มีพัฒนาต่อกันด้วย เช่น คนๆ หนึ่งด้านในใช่ว่าจะสมบูรณ์ตั้งแต่เป็นทารก การเติบโตในแต่ละช่วงเวลา สภาพแวดล้อม บ้าน โรงเรียน นั้นจะหล่อหลอมให้วิญญาณด้านในเติบโตอย่างไร ไม่ได้มองเรื่องกายอย่างเดียว แต่วิญญาณที่เขารู้สึกความสัมพันธ์กับกาย วัตถุสิ่งที่ถูกกดดันนั้นมันส่งผลกับเขาอย่างไร

    กรณีส่วนใหญ่เป็นกลุ่มจิตเวทตั้งแต่ วิตกกังวล ซึมเศร้า จิตเภท หรือโรคที่มีปัญหาด้านการกิน กินแล้วล้วงคอออกมา หรือผู้ใหญ่ที่ถูกวินิจฉัยว่ามีภาวะออทิสติก ส่วนวัยรุ่นจะเป็นเรื่องพฤติกรรม บุคลิกภาพ บางคนเป็นแอสเพอร์เกอร์ (Asperger Syndrome) ความบกพร่องของฮอร์โมนทำให้มีภาวะการเข้าสังคม การสื่อสารมีปัญหา ซึ่งสิ่งดีๆ ในการทำงานทำให้เราได้เรียนรู้และโตไปกับเขา เป็นงานที่ลึกเป็นการรอคอยในระยะยาว

    การทำศิลปะบำบัดในแนวมนุษยปรัชญา อุปมาเหมือนศิลปะทุกองค์ประกอบ ทั้ง เส้น สี รูปทรง พื้นที่ว่าง ความมืด ความสว่าง ทุกโทนสีเป็นยา ใช้ทุกขั้นตอนในการดูว่า คนๆ นี้ ควรได้รับยาอะไร ก่อนอื่น ต้องรู้ว่าเขาทำอย่างนี้เพราะ อะไร ทำไม แล้วส่งผล อย่างไรกับตัวโรคและจุดกำเนิดของโรค อันนี้คือไฮไลต์ของศิลปะแนวมนุษยปรัชญา ฉะนั้น นักศิลปะบำบัดต้องวิเคราะห์ ผลงานในเชิงคุณภาพของงานศิลปะของผู้เข้ารับการบำบัด

    ส่วนการปั้นดินเป็นอีกบทบาทหนึ่งของการบำบัด ดินเป็นธาตุที่มีความสัมพันธ์กับมนุษย์ ดินที่พืชเจริญเติบโตได้ต้องเป็นดินเย็น เมื่อดินมาอยู่ในมือมนุษย์จะร้อน ดินมีความมั่นคง ปั้นตั้งได้ ยืดหยุ่น หลอมตัวเป็นรูปทรงต่างๆ ได้ตามที่มือปั้น และการปั้นดินเป็นการทำงานที่สัมพันธ์กันระหว่าง "hand" "head" และ "heart" สำหรับคนที่ขาดความสมดุล เช่น คนที่นั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศจนไมเกรนขึ้น นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ หรือมีเรื่องเครียด เหล่านี้ทำให้เกิดความไม่สมดุลในร่างกายและจิตใจ เราต้องทำให้เขากลับมาสู่ความสมดุลอีกครั้ง

    ดินเป็นยาขนานหนึ่ง อย่างงานเพนต์ เป็นงาน 2 มิติ แต่ดินเป็นงาน 3 มิติ มีคุณภาพสำหรับการบำบัดในเชิงการทำงานกับพลังชีวิตของมนุษย์ให้ผลที่ดีและทำงานไปพร้อมกับร่างกาย เวลาปั้นดินต้องนั่งปั้นดีๆ ขาต้องสัมพันธ์กับพื้น ไม่นั่งขัดสมาธิเพราะมีเอฟเฟ็กต์ต่อการปั้น การวางมือจะสัมพันธ์กันหมด นอกจากนี้ การปั้นยังสัมพันธ์กับระบบดูดซึมต่างๆ ซึ่งเชื่อมโยงกับระบบภายในร่างกายทั้งหมด

    ด้าน "สี" เป็นเรื่องของความรู้สึก สีส่งผลกับวิญญาณข้างใน เราใช้สีบำบัดแก้ไขสิ่งที่อยู่ภายใน เช่น ถ้าเป็นคนเก็บตัว เป็นเรื่องลำบากที่จะให้เขาเปลี่ยน แปลงตัวเอง พูดคุยกับเพื่อนบ้าน หรือออกกำลังกาย หรือบางคนอาจจะทำ แต่บางคนเปลี่ยนยาก

    ครูมอส บอกอีกว่า นักศิลปะบำบัดบ้านเรายังมีน้อยและเป็นที่ต้องการ คนที่ทำงานด้านนี้ต้องมีความรู้ที่ลึกซึ้งจึงจะแก้ไขปัญหาปมที่ลึกได้

    "การทำงานมีท้อบ้างแต่พอทำมาสักพักเราต้องเข้าใจกับโลกว่า ถ้าเราทำเต็มที่เราจะไม่เสียใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำก็มีความคาดหวัง แต่จะได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับสภาวการณ์อื่นๆ ด้วยไม่ได้อยู่ที่เรา แต่มีความมุ่งหมายที่ดีอยากให้เขาหาย" ครูมอสกล่าวและว่า

    "มีคนเคยบอกว่า ศิลปะนั้นเปลี่ยน แปลงคนได้ อันนี้จริงอย่างที่เราเห็น ถ้าเรามีความหวังเล็กๆ ว่า ศิลปะจะเปลี่ยนแปลงสังคมและประเทศ เราต้องให้ความสำคัญกับศิลปะเพราะกระบวนการของศิลปะ มีการควบคุม ปล่อยวาง ไม่คาดหวัง โอนอ่อนผ่อนตาม ที่ล้วนอยู่ในศิลปะบำบัดทั้งหมด"
    ที่มา ข่าวสด ออนไลน์
     
  13. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    พริกเข้าตา ‘อมเกลือ’ ช่วยได้?

    วันพุธ ที่ 15 มิถุนายน 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    เวลาทำกับข้าว ปรุงอาหาร หากพริกกระเด็นเข้าตาแล้วควรทำอย่างไรดี เพื่อให้อาการแสบร้อนหายได้อย่างรวดเร็วและเศษพริกหลุดออกมาด้วย

    ‘สามัญประจำบ้าน’ วันนี้มีวิธีแก้แสบร้อนเพราะพริกเข้าตา จากภูมิปัญญาของคนรุ่นก่อน รับรองว่า ปลอดภัย และไม่ต้องเดือดร้อนหายาแพงๆ มาใช้ เพราะ แค่นำเกลือที่ใช้ทำกับข้าวเพียงเล็กน้อยใส่ปากแล้วอมไว้ จากนั้นไปลืมตาในน้ำสะอาดเพื่อชะล้างเอาเศษพริกออก อาการแสบร้อนที่ดวงตาก็จะหายไปในไม่ช้า

    วิธีอมเกลือเพื่อช่วยแก้อาการแสบร้อนจากพริกเข้าตา อาจฟังดูแปลกๆ และทำให้หลายคนสงสัยว่า พริกเข้าไปทำระคายเคืองในดวงตา แต่เหตุใดจึงให้อมเกลือไว้ในปากนั้นเป็นการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดหรือ

    ข้อสงสัยนี้สามารถอธิบายได้ไม่ยาก เพราะหู ตา คอ จมูก ของคนเราเชื่อมต่อถึงกันหมด การอมเกลือที่มีสรรพคุณแก้เผ็ดไว้ในปากจึงออกฤทธิ์ไปถึงดวงตาได้ ทำนองเดียวกับเวลาที่คนเราหยอดตา แล้วรู้สึกเหมือนมีของเหลวไหลลงมาที่ลำคอ รสขมๆ เหมือนยานั่นเอง

    ส่วนเหตุผลที่ไม่ให้ใช้เกลือเจือจางกับน้ำแล้วล้างตาโดยตรงเลยนั้น ก็เพราะดวงตาเป็นอวัยวะที่บอบบาง อาจยิ่งระคายเคืองหรือเกิดแผลหากถูกเม็ดเกลือแข็งๆ

    เพื่อป้องกันพริกกระเด็นเข้าตา ขณะทำกับข้าวหรือปรุงอาหารที่มีพริกเป็นส่วนประกอบ ควรใช้มือป้องเพื่อกันพริกกระเด็น หรือสวมแว่นบังดวงตาเอาไว้.

    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตัวอย่างของความทุ่มเท ความขยัน ที่ต้องนำไปเป็นแบบอย่าง




    -----------------------------------------


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"ปาร์กจีซุง" นายแน่มาก เด็กผีเวียดนามแห่กรี๊ดเนืองแน่น </TD><TD vAlign=baseline align=right width=102>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>15 มิถุนายน 2554 01:15 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=572 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=572>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>
    ปาร์กจีซุง (Park Ji-Sung) มิดฟีลด์ ชาวเกาหลีของทีมปิศาลแดง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เดินทางเข้านครโฮจิมินห์พร้อมคู่หู ปาตริซ เอวรา (Patrice Evra) ไม่ว่าจะย่างไปไหน เหล่าเด็กผีเวียดนามแห่ตามไปที่นั่น ทั้งสองกำลังจะนำทีมรวมดาราลงฟาดแข้งมิตรภาพกับทีมนาวีแบงก์ (Navbibank) ของประเทศเจ้าภาพในวันพุธนี้ บัตรเข้าชมขายเกลี้ยง จากราคา 7 แสนขึ้นเป็น 1 ล้าน และ 2 ล้านด่ง ก็ไม่มีใครยอมปล่อย. -- ภาพ: ติ๋นติ๊ก.
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- มิดฟีลด์ฝีเท้าเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งของโลกกำลังอยู่ในเวียดนามพร้อมเพื่อนคู่หู เพื่อลงประลองแข้งนัดมิตรภาพระหว่างทีมรวมดารากับทีมนาวีแบงก์ (Navibank) ของประเทศเจ้าภาพ แฟนๆ ผีแดงแห่ไปรับกันแน่นสนามบินโฮจิมินห์คืนวันจันทร์ที่ผ่านมา

    แฟนๆ อีกหลายร้อยคนที่ทราบข่าวไปออกันแน่นสนามในเช้าวันอังคารนี้ เพื่อจะได้มีโอกาสอยู่ใกล้นักฟุตบอลที่พวกเขาหลงใหล ขณะที่บัตรเข้มชมบอลนัดพิเศษขายเกลี้ยงล่วงหน้า

    ปาร์กจีซุง (Park Ji-Sung) เดินทางถึงนครโฮจิมินห์กลางดึกวันจันทร์ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมาพร้อมเพื่อนร่วมทีมจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและเพื่อนสนิท คือ ปาตริซ เอวรา (Patrice Evra) ไม่ว่าจะดึกอย่างไร แฟนๆ หลากรุ่นหลากวัยนับพันคนก็ยังไปรอรับ เช่นเดียวกับแฟนๆ คลับของสมาชิกวง JYJ ซึ่งก็คือ DBSK เมื่อก่อน ที่เดินทางจากกรุงโซลในเวลาไล่เลี่ยกัน

    ปาร์กกับเพื่อนๆ จากเกาหลี ไปทำกิจกรรมสอนเทคนิคการเล่นฟุตบอลให้แก่เยาวชนที่สนามทังลอง ในตอนสายวันอังคารนี้ ท่ามกลางแฟนๆ ที่ไปรอคอย

    บอลนัดพิเศษนัดฟาดแข้งกันในวันพุธ บัตรเข้าชมราคาคู่ละ 700,000 ด่ง (ราว 1,100 บาท) พุ่งขึ้นเป็น 1 ล้านด่ง (เกือบ 1,500 บาท) ในวันอังคารนี้ แต่ก็ยังหาซื้อไม่ได้ แฟนๆ หลายคนประกาศขึ้นราคาให้ถึง 2 ล้าน แต่ก็ไม่มีใครขายให้เช่นกัน สำนักข่าวติ๋นตึ๊กออนไลน์กล่าว.

    ไปชมภาพซูเปอร์สตาร์ขวัญใจของเหล่าปิศาจแดง.


    <CENTER>ขวัญใจตลอดกาล </CENTER>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><CENTER>2 </CENTER>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><CENTER>3 </CENTER>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><CENTER>4 </CENTER>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><CENTER>5 </CENTER>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><CENTER>6 </CENTER>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><CENTER>7 </CENTER>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><CENTER>8 </CENTER>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><CENTER>9 </CENTER>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><CENTER>10 </CENTER>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><CENTER>11 </CENTER>

    <CENTER>ไปดักรอแต่เช้าตรู่ </CENTER>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><CENTER>12 </CENTER>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><CENTER>13 </CENTER>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><CENTER>14 </CENTER>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><CENTER>15 </CENTER>
    <CENTER>ดึกแค่ไหนก็ไม่ง่วง </CENTER>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><CENTER>16 </CENTER>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><CENTER>17 </CENTER>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><CENTER>18 </CENTER>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><CENTER>19 </CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>


    .
    -http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9540000072861-

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2011
  15. Lee_bangkok

    Lee_bangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +4,741
    สวัสดีครับ ก่อนกลับบ้านนะครับผม
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>รวบแก๊งลักพระเครื่อง รับทำตามใบสั่งเซียนพระชี้เป้าหมาย </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ทีมข่าวอาชญากรรม</TD><TD class=date vAlign=center align=left>15 มิถุนายน 2554 15:56 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ตำรวจสมุทรปราการควบคุมตัวแก๊งลักพระเครื่อง มาแถลงโชว์จับพร้อมของกลางพระเครื่องกว่าพันองค์</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>



    ตำรวจสมุทรปราการ แถลงจับ 3 คนร้ายแก๊งขโมยพระเครื่อง พร้อมของกลางกว่าพันองค์ โดยแกะรอยจากกล้องวงจรปิดที่จับภาพขณะก่อเหตุได้แล้วขยายผลตามรวบพรรคพวกได้ยกทีม สารภาพงัดบ้านลักพระเครื่องมานับครั้งไม่ถ้วน จะลงมือตามใบสั่งของกลุ่มนักเลงพระที่ชี้เป้าหมายเซียนพระคนไหนมีพระดี และพักอยู่ที่ใด

    วันนี้ (15 มิ.ย.) เมื่อเวลา 13.00 น.ที่ สภ.เมืองสมุทรปราการ พล.ต.ต.จิตติ รอดบางยาง ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ พ.ต.อ.สังวาลย์ ฤกษ์ศรีลักษณ์ ผกก.สภ.เมืองสมุทรปราการ พ.ต.ท.โสภณ มงคลโสภณรัตน์ รองผกก.( สส ) พ.ต.ท.นฤดล มารศรี รองผกก.(ป) แถลงการจับกุมนายสิทธิชัย หรือ ตี๋ ปรีชาเวช อายุ 28 ปี นายสุทธิพงษ์ มีคุณประเสริฐ อายุ 29 ปี และ นายธนพร บุญรัตน์ อายุ 22 ปี พร้อมของกลาง รถ จยย.ยามาฮ่า ฟีโน่ สีดำขาว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จำนวน 1 คัน คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 1 เครื่อง เครืองเล่นดีวีดี 1 เครื่อง ชุดโฮมเธียเตอร์ จำนวน 1 ชุด สุราต่างประเทศ 4 ขวด โทรศัพท์มือถือ 6 เครื่อง พระเครื่อง 1,199 องค์ เหรียญกษาปณ์ 894 เหรียญ เงินสด 30,000 บาท และทรัพย์สินอื่นอีกกว่า 200 รายการ

    ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจาก นายดำรง บุญพยนต์ อายุ 55 ปี เจ้าของบ้านเลขที่ 99/1396 หมู่บ้านทรัพย์ดินทอง ม.6 ต.บางเมือง อ.เมือง สมุทรปราการ ว่า มีคนร้ายก่อเหตุงัดบ้านเข้าไปกวาดทรัพย์สินหลายรายการ เจ้าหน้าที่จึงได้นำกำลังเข้าตรวจสอบ พร้อมสืบสวนก่อนได้ภาพถ่ายกล้องวงจรปิดขณะคนร้ายก่อเหตุ จำนวน 2 คน จึงได้นำมาเปรียบเทียบประวัติอาชญากร พบว่า 1 ใน 2 คือ นายสิทธิชัย ซึ่งเคยถูกจับในคดีลักทรัพย์และยาเสพติดมาแล้วหลายครั้ง เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการขยายผลจับกุมนายสิทธิชัย ขณะกบดานอยู่ภายในบ้านเช่า ซ.เฟื่องฟ้า 1 ถ.เทพารักษ์ พร้อมนายสุทธิพงษ์ พบของกลางหลายรายการ ก่อนขยายผลจับกุมตัว นายธนพร ซึ่งมีหน้าที่นำของกลางไปขายต่อ

    ขณะที่ นายสิทธิชัย ให้การรับสารภาพว่า ก่อเหตุงัดบ้านขโมยพระเครื่องมาแล้วหลายครั้ง โดยจะก่อเหตุขโมยพระตามใบสั่งของกลุ่มนักเลงพระ ที่จะมีการบอกเป้าหมายว่าเซียนพระคนใดมีพระเครื่องอะไรและบ้านพักอยู่ที่ไหน

    เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันลักทรัพย์ในเคหะสถาน หรือรับของโจร ควบคุมตัวดำเนินคดี

    ขณะที่ นายคณิต อยู่คง อายุ 55 ปี ผู้ช่วย ผจก.ฝ่ายควบคุณภาพ บ.ฮีโน่ (ประเทศไทย) จำกัด เจ้าของบ้านเลขที่ 312 หมู่บ้านสกุณา ม.4 ต.แพรกษา อ.เมืองสมุทรปราการ กล่าวว่า ตนก็เป็นผู้เสียหายอีกรายหนึ่ง โดยบ้านพักตนถูกคนร้ายงัดบ้านลักพระเครื่องเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.2554 ที่ผ่านมา ส่วนทรัพย์สินที่สูญหายไปประกอบไปด้วย พระเครื่องชื่อดังหลายรายการ มูลค่ากว่า 1 ล้านบาท





    .


    -http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9540000073173-

    .
     
  17. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    คืน 'พระจันทร์สีเลือด' ก็มาถึง

    <!-- main-content-block --><!--15 มิถุนายน 2554 - 00:00-->
    15 มิถุนายน 2554 - 00:00


    คืนนี้ ช่วงรอยต่อของวันที่ ๑๕ กับวันที่ ๑๖ มิ.ย. ตั้งแต่ตอนตี ๑ กว่าๆ เป็นต้นไป อย่าลืมตื่นขึ้นมาดู "พระจันทร์สีเลือด" นะครับ เหตุที่เป็นสีเลือดก็เพราะพระจันทร์ถูกเงาโลกบังมิดทั้งดวง แต่พระจันทร์ขึ้น ๑๕ ค่ำ ก็ยังคงส่องแสงแยงม่านฟ้าเหมือนเดิม จึงเห็นผ่านเงามืดเป็นสีเลือด หรือสีแดงอิฐ
    ครับ...ผมไม่มีความรู้ด้านศาสตร์จักรวาลและดวงดาวหรอกครับ อาศัยอ่านเอา นี่ก็อ่านจากสารคดีหนังสือพิมพ์ข่าวสด ที่เขาไปรวบรวมมาจากการแถลงข่าวของ ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รอง ผอ.สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ และอาจารย์วรเชษฐ์ บุญปลอด จากสมาคมดาราศาสตร์ไทย
    เห็นคืนนี้จะเกิด "จันทรคราส" ในแบบอมมิดเต็มดวง แถมอมยาวนานเป็นเวลา ๑ ชั่วโมง ๔๐ นาที เรียกว่าเกือบ ๒ ชั่วโมง ไม่อยากให้ท่านนอนหลับทับคราสน่ะ ก็เลยนำมาบอก เผื่อท่านจะได้ดับไฟใส่กลอนนอนแต่หัวค่ำ แล้วลุกตื่นขึ้นมากลางดึกตอน ๒ ยามกว่าๆ
    มาแหงนหน้าถ่างตาดูพระจันทร์สีเลือดน่ะครับ เพราะนานปีทีหนจะมีให้เห็น ครั้งนี้ให้เห็นเป็นครั้งแรกในรอบ ๔ ปี แถมเป็นราหูอมจันทร์ที่อมยาวนานทำลายสถิติตั้งแต่มีมาในเมืองไทย ถ้าเอาแต่นอนจนอดดู ท่านก็ต้องรอไปอีก ๕-๖ ปี
    โน่นแน่ะ รอไปจนถึงวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖!
    ฉะนั้น คืนนี้ลืมได้แต่พลาดไม่ได้ ไม่ว่าท่านอยู่จังหวัดไหน ทิศไหนของประเทศ ตี ๑ ถึงตี ๔ ตื่นขึ้นมา รีบแหงนหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
    แล้วท่านจะพบกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ชวนพิศวงงงงวย โดยดวงจันทร์วันเพ็ญเข้าสู่เงามืดของโลกจนมิดดวง มองเห็นเป็น...พระจันทร์สีเลือด เป็นเวลายาวนานร่วม ๒ ชั่วโมง
    ส่วนหมาจะหอนทั้งเมืองเหมือนที่เกิดคราสทุกครั้งหรือเปล่าก็ไม่ทราบนะครับ ถึงหอนก็คงหอนประเดี๋ยว-ประด๋าว ขืนหอนต่อเนื่องยาวนานร่วม ๒ ชั่วโมง
    หมาขากรรไกรค้างหมดประเทศแหงๆ!?
    นอกจากเห็นจันทร์สีเลือดจากจันทรคราสแล้ว ยังจะเห็น "ทางช้างเผือก" บนท้องฟ้าด้วย เรียกว่าปรากฏการณ์คืน ๑๕ ต่อ ๑๖ มิ.ย.นี้ ลด-แลก-แจก-แถม ครบเครื่อง ดร.ศรัณย์ท่านบอกว่า
    "ขณะที่ดวงจันทร์เคลื่อนที่เข้าไปในเงาของโลกเกือบเต็มดวงนั้น ดวงจันทร์ยังเคลื่อนที่ไปบังดาวฤกษ์ที่ชื่อว่า 51 Ophiuchi หรือดาว ๕๑ คนแบกงู โดยดาว ๕๑ คนแบกงูนี้ จะเริ่มหายเข้าไปหลังดวงจันทร์สีแดงอิฐในเวลาประมาณ ๐๒.๐๘ น. และจะโผล่พ้นดวงจันทร์ออกมาในเวลาประมาณ ๐๒.๑๒ น. ดาวฤกษ์ Ophiuchi นี้ เป็นดาวฤกษ์สีขาว อยู่นอกระบบสุริยะ มีขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์มาก แต่อยู่ไกลจากโลกมากถึง ๔๔๖.๓๕ ปีแสง ดังนั้น เราอาจมองเห็นดาวฤกษ์นี้ด้วยตาเปล่าได้ไม่เด่นชัดมากนัก"
    เอ้า...ก็มาดูกำหนดการของจันทรคราสกันชัดๆ ซักนิด
    ๐๐.๒๕ น.จันทร์เริ่มแตะเงามัว
    ๐๑.๒๒ น.จันทร์สัมผัสเงามืดโลก ขอบเริ่มแหว่ง
    ๐๒.๐๐ น.จันทร์ถูกอมครึ่งดวง
    ๐๒.๒๒ น.จันทร์ถูกอมมิดทั้งดวง
    ๐๓.๑๓ น.จันทร์ใกล้ศูนย์กลางเงาโลกมากที่สุด จนคล้ำดำมืดมากที่สุด
    ๐๔.๐๓ น.สิ้นสุดจันทรุปราคาเต็มดวง
    ย้ำเพื่อเข้าใจตรงนี้นะครับ ขณะที่คราส ตัวดวงจันทร์ยังคงมีแสงสว่างตลอด แต่เมื่อ ดวงอาทิตย์-โลก-ดวงจันทร์ มาเรียงอยู่ในแนวเดียวกัน ทำให้ "เงามืด" โลกทอดยาวออกไปในอวกาศ ดวงจันทร์ก็เข้ามาอยู่ส่วนของเงามืดโลกตรงนี้พอดี จึงเรียก "จันทรุปราคาเต็มดวง"
    "ราหู" ในทางดาราศาสตร์ไม่มีตัวตน ก็แค่เงาโลก แต่ทางคติและความเชื่อบางคน บางกลุ่ม บางลัทธิ บางศาสนา ยึดว่ามีตัวตน หนังสืออาจารย์พลูหลวงบอกว่า ในคัมภีร์โหราศาสตร์กล่าว พระอิศวรเอาผีโขมด ๑๒ ตัวเท่ากำลังพระราหูมาร่ายพระเวทให้ป่นละเอียดแล้วประพรมด้วยน้ำอมฤตชุบราหูขึ้น
    ในขณะที่ตำนานดาวพระเคราะห์บอกว่า ราหูคือด้วงและแมลง ย่อมกัดกินต้นไม้หมดทั้งต้น และบ้างก็ว่าราหูคือดวงดาว เป็นเจ้าแห่งลูกอุกกาบาต เป็นผู้คุ้มครองอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ คือทางทิศที่เราจะเห็นพระจันทร์โผล่หลังถูกคราสในคืนนี้นั่นแหละ
    ในเทพนิยายบอกว่า ราหูเป็นยักษ์พวกหนึ่ง คอยจับพระอาทิตย์และพระจันทร์กลืนกิน และแต่ละครั้งทำให้เกิดคราสขึ้น!
    แต่ในทางวิทยาศาสตร์บอกว่า คราสเกิดจากเงาโลกบังจันทร์ และดวงจันทร์บังอาทิตย์แค่นั้นเอง!!
    ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาก็มี เรียกราหูว่า "อรินทรราหู" ถือเป็นราชาแห่งอสูร คือยักษ์ทั้งปวง จอมอสูรนี้ไม่เคยเกรงกลัวใครเลยในจักรวาลนี้ ยกเว้น "สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"
    ครั้งหนึ่ง พระอาทิตย์ พระจันทร์ ถูกราหูจับ ไม่รู้ทำไงจะรอด จึงรำลึกถึงพระพุทธเจ้า ผมจะยกเรื่องพระจันทร์และพระอาทิตย์ในพระไตรปิฎกให้ท่านอ่าน ดังนี้
    เรื่อง "จันทิมสูตร"
    พระผู้มีพระภาคประทับเขตพระนครสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้น จันทิมเทวบุตรถูกอสุรินทราหูเข้าจับแล้ว ครั้งนั้นจันทิมเทวบุตรระลึกถึงพระผู้มีพระภาค ได้ภาษิตคาถานี้ในเวลานั้นว่า
    "ข้าแต่พระพุทธเจ้าผู้แกล้วกล้า ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระองค์ พระองค์เป็นผู้หลุดพ้นแล้วในธรรมทั้งปวง ข้าพระองค์ถึงเฉพาะแล้ว ซึ่งฐานะอันคับขัน ขอพระองค์จงเป็นที่พึ่งแห่งข้าพระองค์นั้น"
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงปรารภจันทิมเทวบุตร ได้ตรัสกะอสุรินทราหู ด้วยพระคาถาว่า
    "จันทิมเทวบุตร ถึงตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ว่าเป็นที่พึ่ง ดูกรราหู ท่านจงปล่อยจันทิมเทวบุตร พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้อนุเคราะห์แก่โลก"
    ลำดับนั้นอสุรินทราหู ปล่อยจันทิมเทวบุตรแล้ว มีรูปอันกระหืด-กระหอบ เข้าไปหาอสุรินทเวปจิตติถึงที่อยู่ ครั้นแล้วก็เป็นผู้เศร้าสลด เกิดขนพอง ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
    อสุรินทเวปจิตติ ได้กล่าวกะอสุรินทราหู ผู้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ด้วยคาถาว่า
    "ดูกรราหู ทำไมหนอ ท่านจึงกระหืดกระหอบปล่อยพระจันทร์เสีย ทำไมหนอ ท่านจึงมีรูปสลด มายืนกลัวอยู่"
    อสุรินทราหูกล่าวว่า ข้าพเจ้าถูกขับด้วยคาถาของพระพุทธเจ้า หากข้าพเจ้าไม่พึงปล่อยจันทิมเทวบุตร ศีรษะของข้าพเจ้าพึงแตกเจ็ดเสี่ยง มีชีวิตอยู่ ก็ไม่พึงได้รับความสุข"
    ครับ...ก็มาอ่าน "สุริยสูตร" คือเรื่องพระอาทิตย์บ้าง ดังนี้
    ก็โดยสมัยนั้น สุริยเทวบุตร ถูกอสุรินทราหูเข้าจับแล้ว ครั้งนั้น สุริยเทวบุตรระลึกถึงพระผู้มีพระภาค ได้กล่าวคาถานี้ในเวลานั้นว่า
    "ข้าแต่พระพุทธเจ้า ผู้แกล้วกล้า ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระองค์ พระองค์เป็นผู้หลุดพ้นแล้วในธรรมทั้งปวง ข้า-พระองค์ถึงเฉพาะแล้วซึ่งฐานะอันคับขัน ขอพระองค์จงเป็นที่พึ่งแห่งข้าพระองค์นั้น"
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงปรารภสุริยเทวบุตร ได้ตรัสกะอสุรินทราหูด้วยพระคาถาว่า
    "สุริยเทวบุตร ถึงตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ว่าเป็นที่พึ่ง ดูกรราหู ท่านจงปล่อยสุริยะ พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้อนุเคราะห์แก่โลก สุริยะใดเป็นผู้ส่องแสง กระทำความสว่างในที่มืดมิด มีสัณฐานเป็นวงกลม มีเดชสูง ดูกรราหู ท่านอย่ากลืนกินสุริยะนั้น ผู้เที่ยวไปในอากาศ ดูกรราหู ท่านจงปล่อยสุริยะ ผู้เป็นบุตรของเรา"
    ลำดับนั้น อสุรินทราหูปล่อยสุริยเทวบุตรแล้ว มีรูปอันกระหืดกระหอบ เข้าไปหาอสุรินทเวปจิตติถึงที่อยู่ ครั้นแล้วก็เป็นผู้เศร้าสลด เกิดขนพอง ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
    อสุรินทเวปจิตติ ได้กล่าวกะอสุรินทราหู ผู้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ด้วยคาถาว่า
    "ดูกรราหู ทำไมหนอ ท่านจึงกระหืดกระหอบ ปล่อยพระสุริยะเสีย ทำไมหนอ ท่านจึงมีรูปเศร้าสลด มายืนกลัวอยู่" อสุรินทราหูกล่าวว่า
    "ข้าพเจ้าถูกขับด้วยคาถาของพระพุทธเจ้า ถ้าข้าพเจ้าไม่พึงปล่อยพระสุริยะ ศีรษะของข้าพเจ้าพึงแตกเจ็ดเสี่ยง มีชีวิตอยู่ ก็ไม่พึงได้รับความสุข"
    ครับ..อสุรินทเวปจิตติ นั่นคือ "พ่อ" ของราหูนั่นเอง สรุปแล้ว คนมีศีล-มีธรรม และคนที่หมั่นสวดมนต์ ไหว้พระ ราหูทำอะไรไม่ได้ ขืนกำแหง
    "หัวแตก ๗ เสี่ยง" ไม่รู้ตัว!
    ที่มา ไทยโพสต์ ออนไลน์
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    คู่หูต่างสายพันธุ์ บาบูนกับบุชเบบี้ตัวน้อย


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก youtube.com โพสต์โดย NTVKenya

    รายงานจากเว็บไซต์เดลิเมล ระบุว่า เกิดคู่หูต่างสายพันธุ์คู่ใหม่ที่ประเทศเคนยา ระหว่างเจ้าลิงบาบูนเหลืองวัย 7 เดือน และลูกบุชเบบี้วัย 3 เดือน ซึ่งทั้งสองได้พบกันที่สถานสงเคราะห์สัตว์เมืองไนโรบี และกลายเป็นคู่เพื่อนซี้น่ารักน่าเอ็นดู

    ด้วยชะตากรรมที่ถูกทอดทิ้งจากแม่ ลิงบาบูนวัย 7 เดือน จึงถูกส่งตัวมาจากทางตอนเหนือของเคนยา เช่นเดียวกับเจ้า "กากี" บุชเบบี้วัย 3 เดือน ที่ถูกส่งตัวมาจากตอนกลางของประเทศ ทำให้ทั้งสองได้มาพบกันที่สถานสงเคราะห์สัตว์เมืองไนโรบี และดูเหมือน โชคชะตาจะเป็นใจ ให้ทั้งคู่ดึงดูดซึ่งกันและกัน กลายเป็นคู่หูประจำสถานสงเคราะห์ที่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะไปไหน อีกตัวก็ตามติดตลอด ทั้งเล่นด้วยกัน กินนมชามเดียวกัน เป็นที่ประหลาดใจแกมเอ็นดูของผู้ที่พบเห็น และด้วยอายุที่มากกว่าอยู่สี่เดือน ทำให้บาบูนน้อยคล้ายจะเป็นแม่ของเจ้ากากีไปกลาย ๆ บางครั้งจึงได้เห็นเจ้ากากีเกาะใต้ท้องห้อยติดไปกับเจ้าบาบูนด้วยเสมอ

    โดย ธรรมชาตินั้น บาบูนเหลือง มีถิ่นอาศัยอยู่บริเวณทุ่งหญ้าหรือป่าโปร่งทางแอฟฟริกาตะวันออก ส่วนบุชเบบี้เป็นสัตว์พื้นเมืองของทวีปแอฟฟริกา แม้จะมีถิ่นฐานอาศัยใกล้เคียงกัน แต่ความจริงลักษณะการใช้ชีวิตนั้นมีความแตกต่างกันอยู่ไม่น้อย โดยบาบูนจะหากินตอนกลางวันและหลับพักผ่อนในเวลากลางคืน ส่วนบุชเบบี้นั้นกลับกัน เป็นสัตว์หากินกลางคืนและจะเชื่องช้าเมื่อยามกลางวัน ซึ่งแม้จะมีลักษณะนิสัยขัดกันเช่นนี้ แต่ในตอนนี้ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการอยู่ร่วมกันของทั้งสองตัวแม้แต่น้อย ขนาดที่เจ้าหน้าที่ของสถานสงเคราะห์เองยังนึกฉงนอยู่ในใจ


    [​IMG]

    โดย ธรรมชาตินั้น บาบูนเหลือง มีถิ่นอาศัยอยู่บริเวณทุ่งหญ้าหรือป่าโปร่งทางแอฟฟริกาตะวันออก ส่วนบุชเบบี้เป็นสัตว์พื้นเมืองของทวีปแอฟฟริกา แม้จะมีถิ่นฐานอาศัยใกล้เคียงกัน แต่ความจริงลักษณะการใช้ชีวิตนั้นมีความแตกต่างกันอยู่ไม่น้อย โดยบาบูนจะหากินตอนกลางวันและหลับพักผ่อนในเวลากลางคืน ส่วนบุชเบบี้นั้นกลับกัน เป็นสัตว์หากินกลางคืนและจะเชื่องช้าเมื่อยามกลางวัน ซึ่งแม้จะมีลักษณะนิสัยขัดกันเช่นนี้ แต่ในตอนนี้ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการอยู่ร่วมกันของทั้งสองตัวแม้แต่น้อย ขนาดที่เจ้าหน้าที่ของสถานสงเคราะห์เองยังนึกฉงนอยู่ในใจ

    อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ของสถานสงเคราะห์สัตว์ก็ได้วางแผนในอนาคตว่า อาจต้องลองให้เจ้าบาบูนและบุชเบบี้น้อยแยกกันอยู่ดูบ้าง แม้จะฟังดูใจร้ายไปสักนิด แต่ก็ต้องทำเพื่อให้ทั้งสองตัวได้เรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่ตามธรรมชาติของ ตัวเอง ซึ่งการจับคู่ของสัตว์ต่างสายพันธุ์นี้แม้จะเป็นเรื่องแปลก แต่ก็พออธิบายได้ว่าทั้งสองต่างพบกับชะตากรรมที่น่าสงสารเช่นเดียวกัน จึงต่างโหยหาความอบอุ่น ต้องการเพื่อนและการดูแล

    นอก จากคู่หูต่างสายพันธุ์ของเจ้าบาบูนกับบุชเบบี้แล้ว เคนยาก็ยังมีคู่หูต่างสายพันธุ์อื่น ๆ อีกด้วย อย่างเมื่อปี พ.ศ.2543 มีคู่นางสิงโตที่เลี้ยงดูละมั่งโอริกซ์อย่างกับลูกของตัวเอง ทั้งที่ปกติโอริกซ์เป็นเหยื่ออันโอชะของมันแท้ ๆ และเมื่อปี พ.ศ.2545 ก็มีคู่ของเต่าบกยักษ์กับลูกฮิปโปที่ถูกผลกระทบจากคลื่นสึนามิพัดมาติดฝั่ง และกลายเป็นเพื่อนกันในที่สุด

    ดูสิคะ ขนาดสัตว์ต่างสายพันธุ์ก็ยังเป็นเพื่อนที่ดูแลกันได้น่ารักน่าชังขนาดนี้ เราเองก็อย่าลืมรักและดูแลคนรอบข้างเราด้วยนะคะ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]




    .

    -http://pet.kapook.com/view27163.html-

    .
     
  19. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405

    :cool: น่าสนใจมากครับ ต้องลองพิสูจน์ แต่ยังหาคำอธิบายให้กับตัวเองไม่ได้เลยครับ
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    การไหว้ 5 ครั้ง ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญ ญาณวรเถระ )

    ไหว้ 5 ครั้ง
    ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
    ( เจริญ ญาณวรเถระ )
    วัดเทพศิรินทราวาส


    [​IMG]



    คัดลอกจาก http://www.konmeungbua.com/saha/Lung...pu_armpan.html


    คัดลอกจาก http://www.konmeungbua.com/saha/Lung...pu_armpan.html


    ในวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ไม่ว่าเวลาไร ตามแต่เหมาะต้องไหว้ให้ได้ 5 ครั้งเป็นอย่างน้อย ในคราวเดียวนั้น ถ้ามีดอกไม้ธูปเทียนก็บูชา ถ้าไม่มีก็มือ 10 นิ้วและปากกับใจ ควรไหว้จนตลอดชีวิต คือ


    ครั้งที่ 1 พึงนั่งกระโหย่งเท้าประณมมือว่า

    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ 3 หน

    แล้วว่าพระพุทธคุณ คือ
    อิติปิโส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควาติ ฯ

    หยุด ระลึกถึงพระปัญญาคุณทรงรู้ดีรู้ชอบสิ้นเชิง พระบริสุทธิคุณทรงละความเศร้าหมองได้หมด พระกรุณาคุณทรงสงสารผู้อื่นและสั่งสอนให้ปฏิบัติตามของพระพุทธเจ้า จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ


    ครั้งที่ 2 ว่าพระธรรมคุณ คือ

    สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโน สนฺทิฆฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญญูหีติ ฯ

    หยุดระลึกถึงคุณพระธรรมที่รักษาผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ


    ครั้งที่ 3 ว่าพระสังฆคุณ คือ
    สุ ปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ สามีจิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ยทิทํ จตฺตาริ ปุริสยุคานิ อฏฐปุริสปุคฺคลา เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ อาหุเนยฺโย ปาหุเนยฺโยทกฺขิเนยฺโย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺสาติฯ

    หยุดระลึกถึงคุณ คือ ความปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติชอบ ของพระอริยสงฆ์ จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    นั่งพับเพียบประณมมือตั้งใจถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะไม่ถือสิ่งอื่นยิ่งกว่าจนตลอดชีวิต ว่าสรณคมน์ คือ
    พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
    ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
    สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ

    ครั้งที่ 4 ระลึกถึงคุณมารดาบิดาของตน จนเห็นชัดแล้ว กราบลงหน 1 ฯ

    ข้า ฯ ขอ กราบไหว้คุณท่านบิดาและมารดา

    เลี้ยงลูกเฝ้ารักษา แต่คลอดมาจึงเป็นคน

    แสนยากลำบากกายไป่คิดยากลำบากตน

    ในใจให้กังวลอยู่ด้วยลูกทุกเวลา

    ยามกินพอลูกร้องก็ต้องวางวิ่งมาหา

    ยามนอนห่อนเต็มตาพอลูกร้องก็ต้องดู

    กลัวเรือดยุงไรมดจะกวนกัดรีบอุ้มชู

    อดกินอดนอนสู้ ทนลำบากหนักไม่เบา

    คุณพ่อแม่มากนักเปรียบน้ำหนักยิ่งภูเขา

    แผ่นดินทั้งหมดเอามาเปรียบคุณไม่เท่าทัน

    เหลือที่ จะแทนคุณ ของท่านนั้น ใหญ่อนันต์

    เว้นไว้ แต่เรียนธรรม์ เอามาสอนพอผ่อนคุณ

    สอนธรรมที่จริงให้ รู้ไม่เที่ยงไว้เป็นทุน

    แล้วจึงแสดงคุณ ให้เห็นจริงตามธรรมดา

    นั่นแหละจึงนับได้ ว่าสนองซึ่งคุณา

    ใช้ค่าข้าวป้อนมาและน้ำนมที่กลืนกิน ฯ


    รั้งที่ 5 ระลึกถึงคุณของบรรดาท่านผุ้มีอุปการคุณแก่ตน เช่น พระมหากษัตริย์และครูบาอาจารย์ เป็นต้นไป จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    ข้า ฯ ขอนอบน้อมคุณแด่ท่านครู ผู้อารี
    กรุณาและปรานีอุตส่าห์สอนทุก ๆ วัน
    ยังไม่รู้ ก็ได้รู้ ส่วนของครูสอนทั้งนั้น
    เนื้อความทุกสิ่งสรรพ์ดีชั่วชี้ ให้ชัดเจน
    จิตมากด้วยเอ็นดูอยากให้รู้เหมือนแกล้งเกณฑ์
    รักไม่ลำเอียงเอนหวังให้แหลมฉลาดคม
    เดิมมืดไม่รู้แน่เหมือนเข้าถ้ำเที่ยวคลำงม
    สงสัยและเซอะซมกลับสว่างแลเห็นจริง
    คุณส่วนนี้ควรไหว้ ยกขึ้นไว้ ในที่ยิ่ง
    เพราะเราพึ่งท่านจริงจึงได้รู้ วิชาชาญ ฯ

    (บท ประพันธ์สรรเสริญคุณมารดาบิดา และ ครูบาอาจารย์ของ ท่านอาจารย์ จางวางอยู่ เหล่าวัตร วัดเทพศิรินทราวาส ลิขสิทธิ์เป็นของ ท่านเจ้าคุณพระโศภนศีลคุณ (หลวงปู่หลุย พาหิยาเถร) วัดเทพศิรินทราวาส)

    ต่อ ไปนี้ไม่ต้องประณมมือ ตั้งใจพิจารณาเรื่อง และร่างกายของตนว่า จะต้องแก่ หนีความแก่ไปไม่พ้น จะต้องเจ็บ หนีความเจ็บไปไม่พ้น จะต้องตาย หนีความตายไปไม่พ้น จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น มีกรรมเป็นของตัว คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นอนิจจังไม่เที่ยง ไม่แน่นอน เป็นทุกข์ลำบากเดือดร้อน เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของตน ฯ ครั้งพิจารณาแล้ว พึงแผ่กุศลทั้งปวงมีการกราบไหว้เป็นต้นนี้ อุทิศให้แก่ท่านผู้มีคุณมีมารดาบิดา เป็นต้น ตลอดจนชั้นสูงสุด คือพระมหากษัตริย์ ทั้งเทพยดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายว่า จงเป็นสุข ๆ อย่ามีเวรมีภัยเบียดเบียนกันและกัน รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด ฯ


    การ ไหว้ 5 ครั้งนี้ ถ้าวันไหนขาด ให้ไหว้ใช้ 5 ครั้งในวันรุ่งขึ้น ถ้านั่งกระโหย่งเท้าไม่ได้ ก็นั่งพับเพียบ ถ้าไม่ได้ ก็นอนไหว้ เมื่อยกมือไม่ขึ้น ก็ปากกับใจ ถ้าทำได้อย่างนี้เป็นเครื่องพยุงตนให้เป็นคนดี ไม่ให้เป็นคนชั่ว และให้ตั้งอยู่ในที่ดี ไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ถ้าผู้ใดประพฤติได้เสมอตลอดชีวิต ผู้นั้นจะอุ่นใจในตัวของตัวเอง มีความเจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่ง ๆ ขึ้นเสมอทุกคืนทุกวัน คุ้มครองป้องกันภยันตรายปราศจากความเสียหายที่ไม่เหลือวิสัย และ ตั้งตัวได้ในทางคดีโลกและทางคดีธรรม เต็มภูมิเต็มขั้นของตน ๆ ทุกประการ จบเท่านี้ ฯ






    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...