พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ผมเล่น เฟซบุ๊ก ไม่เป็น แต่ก็นำมาฝาก

    ผมไม่มี facebook , twitter และ bb ครับ





    .

    7 สัญญาณบ่งบอกอาการนักสะกดรอยบนเฟซบุ๊ก

    <!--Share<script src="http://static.ak.fbcdn.net/connect.php/js/FB.Share" type="text/javascript"></script> Tweet<script type="text/javascript" src="http://platform.twitter.com/widgets.js"></script>-->

    [​IMG]

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    เดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็มีเฟซบุ๊ก แถมยังติดงอมแงม เข้าไปอัพเดทสถานะตัวเองกันทุกวัน ยิ่งบางคนแทบจะทุกชั่วโมงด้วยซ้ำ ซึ่งนอกจากเฟซบุ๊กจะเป็นช่องทางหนึ่งในการประกาศความเป็นตัวตนของคุณได้แล้ว มันยังเป็นช่องทางที่คุณเอาไว้คอยติดตามเพื่อน หรือบุคคลที่คุณสนใจอยู่ก็ได้ เช่น คอยตามว่าเขาอัพเดทสถานะว่าอย่างไรบ้าง ไปทำอะไรที่ไหน โพสต์รูปที่ถ่ายกับใคร เอ... รู้ไปหมดทุกอย่างแบนี้ ชักจะคล้าย ๆ กับนักสะกดรอย หรือสตอล์กเกอร์เข้าไปทุกที

    ทั้งนี้ ในเว็บไซต์ tremendousnews.com ได้ทำการรวบรวมลักษณะอาการต่าง ๆ ของสตอล์กเกอร์เอาไว้ ลองมาดูกันว่า คุณมีลักษณะอาการดังต่อไปนี้หรือไม่ ถ้าใช่ก็ยอมรับเสียเถอะว่า คุณน่ะคือ นักสะกดรอยตัวยงเลยล่ะ

    [​IMG]

    [​IMG] 1. คุณรู้เวลาที่เขาใช้เฟซบุ๊กเป็นประจำ

    คุณรู้ว่าเขาหรือเธอคนนั้น มักใช้เฟซบุ๊กตอนช่วงเก้าโมงครึ่ง และเข้ามาอีกครั้งราวสามทุ่มของทุกวัน เอ...แล้วคุณจะรู้ได้ยังไงล่ะ ถ้าคุณไม่ได้คอยสังเกตเวลาที่เขามักอัพเดทสเตตัส หรือโพสต์ข้อความใด ๆ ลงไป แถมที่น่าแปลกคือ คุณจำเวลาที่เขาหรือเธอใช้เฟซบุ๊กได้ แต่กลับจำรหัสผ่านที่คุณตั้งไว้เมื่อสมัครสมาชิกเว็บไซต์ต่าง ๆ ไม่ค่อยจะได้ ทั้ง ๆ ที่มันก็เรื่องของคุณแท้ ๆ

    [​IMG] 2. คุณรู้ตัวว่าไม่ถูกเชิญไปปาร์ตี้หนึ่ง เพราะเห็นภาพจากเฟซบุ๊ก

    คงไม่มีอะไรน่าอารมณ์เสีย และหงุดหงิดใจมากไปกว่าการที่เพื่อนแอบไปปาร์ตี้กันโดยไม่ชวนคุณ อ้าว! แล้วคุณรู้ได้ไงล่ะเนี่ย ก็เขาไม่ได้บอกคุณเลยสักหน่อย แต่คุณไปเห็นจากรูปที่เพื่อนอัพโหลดขึ้นไปต่างหาก และคุณก็คลิกเข้าไปดูรูปของเพื่อน ทั้งที่ไม่มีใครแท็กคุณไว้ในนั้นซะด้วย

    [​IMG] 3. คุณรู้ว่าเขาทำงานอะไร ทั้งที่ไม่เคยคุยกันเรื่องนี้ด้วยซ้ำ

    นึกถึงหน้าเขาหรือเธอที่ประหลาดใจสุด ๆ เมื่อคุณไปถามว่าปัญหาเรื่องทำงานเป็นไงบ้าง ก็เขาไม่เคยบอกคุณสักนิดด้วยซ้ำว่าเขาทำงานอะไร ที่ไหน แต่ที่คุณรู้ นั่นเป็นเพราะคุณคอยสังเกตรายละเอียดข้อมูลส่วนตัว และสเตตัสที่เพื่อนของคุณเข้ามาเขียนเอาไว้ทุกครั้งไปต่างหาก จำละเอียดแบบนี้ น่าจ้างไปเป็นนักสืบเสียจริง ๆ

    [​IMG] 4. คุณรู้ว่าเขาหรือเธอเลิกกับแฟนแล้ว

    พอเขาเลิกกับแฟนปุ๊บคุณก็รู้ทันทีโดยไม่ต้องมีใครปริปากบอก เพราะคุณคอยสังเกตความเคลื่อนไหวในอัลบั้มรูปว่า เขาหรือเธอคนนั้น ลบรูปที่เคยถ่ายคู่กับหวานใจคนเดิมทิ้งไปเสียหมด

    [​IMG] 5. คุณรู้สึกระแวงว่าถูกบล็อก เมื่อใครสักคนเลิกเล่นเฟซบุ๊ก

    คุณจะรู้สึกเสียเซลฟ์ไปเลย เมื่อจู่ ๆ เฟซบุ๊กแจ้งขึ้นมาว่าคุณไม่ได้เป็นเพื่อนกับใครคนหนึ่งในลิตส์อีกต่อไป และเกิดความรู้สึกระแวงว่าคุณอาจโดนบล็อก เพราะเพื่อนคุณดันรู้ทัน ที่คุณไปคอยตามเรื่องราวของเขาหรือเธอตลอดเวลา แหม ก็ถ้าไม่ได้ไปตามติดเขาจริง ๆ ก็ไม่เห็นต้องกลัวเลยนี่นา

    [​IMG] 6. ลิสต์รายชื่อ "คนที่คุณอาจรู้จัก" โผล่เป็นสิบ แต่คุณไม่คุ้นหน้าใครสักคน

    เมื่อใดก็ตามที่คลิกเข้าไปดูลิสต์รายชื่อ "คนที่คุณอาจรู้จัก" แต่คุณกลับไม่รู้จักหรือสนิทชิดเชื้อกับใครสักคน นั่นแสดงว่าคุณซอกแซกตามติด เข้าดูไปหมดว่าเพื่อนของคุณเป็นเพื่อนกับใครบ้าง ถ่ายรูปคู่กันเมื่อไหร่ คุยกันไว้ว่าอย่างไร เล่นตามคลิกเข้าไปดูอย่างนั้น เจ้าเฟซบุ๊กถึงนึกว่าคุณไปรู้จักมักจี่กับเขาน่ะสิ เลยขึ้นแนะนำว่าคุณอาจรู้จักคนพวกนี้ก็ได้ ทั้ง ๆ ที่จริงคุณแค่แอบเข้าไปดูต่างหาก

    [​IMG] 7. คุณถูกจำกัดสิทธิ์ให้เข้าดูได้แค่บางส่วนในเฟซบุ๊กของเพื่อน

    เพื่อนเริ่มไหวตัวทันว่ากำลังถูกคุณล้วงข้อมูล จึงเริ่มจำกัดสิทธิ์คุณในการเข้าถึงข้อมูลบางอย่าง โดนเพื่อนตัดรอนสิทธิ์ขนาดนี้แล้ว ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าคุณน่ะตามติดเขามากเกินไป

    [​IMG]

    อ่านลงมาถึงตรงนี้ ถ้าคุณมีคุณสมบัติตรงหมดทุกข้อ ยินดีด้วยค่ะ คุณน่ะเป็นสตอล์กเกอร์หรือนักสะกดรอยตัวยงเลยทีเดียว ชอบตามติดว่าใครทำอะไร ที่ไหน บางทีคุณอาจไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังเก็บข้อมูลบางเพื่อน ๆ ในเฟซบุ๊กไว้อย่างละเอียดเลยทีเดียว ส่วนใครมีเป็นเพื่อนเป็นนักสะกดรอยในเฟซบุ๊ก คุณคงรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ ขึ้นมาบ้างล่ะทีนี้


    .

    -http://hilight.kapook.com/view/58922-

    .
     
  2. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    วันนี้ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศผลสอบข้อเขียน 2 สาขา ผลสอบผ่านทั้ง 2 สาขา รอสอบภาคปฏิบัติวันที่ 4-5 เป็นรอบสุดท้ายครับ ปีหน้าก็สอบเวชกรรมอีก 1 สาขา วันนี้ได้คุยกับคุณ newcomer เสียดายที่กำลังติวสอบอยู่ เลยไม่สามารถคุยได้นาน ขออภัยด้วยครับ..

    เอาไว้มาคุยหลังสอบเสร็จนะครับ..
     
  3. นายเฉลิมพล

    นายเฉลิมพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +460
    ขอแสดงความยินดีด้วยครับและขอให้ประสพความสำเร็จในส่วนที่เหลือครับ
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขอแสดงความยินดีด้วย และ ขอให้ประสพความสำเร็จทุกๆประการ

    ที่สำคัญ ไว้หลังสอบ ผมมีเรื่องดีแจ้งคุณเพชรให้ทราบ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณเพชรกำลังทำอยู่ในปัจจุบันนี้ด้วยครับ



    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    ขอแสดงความยินดีพี่เพชร
     
  7. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    สวัสดีเช้าวันเสาร์ ครับ
     
  8. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ขอแสดงความยินดีด้วย ครับ
     
  9. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    <IFRAME id=_atssh921 title="AddThis utility frame" style="BORDER-RIGHT: 0px; BORDER-TOP: 0px; Z-INDEX: 100000; LEFT: 0px; BORDER-LEFT: 0px; WIDTH: 1px; BORDER-BOTTOM: 0px; POSITION: absolute; TOP: 0px; HEIGHT: 1px" name=_atssh921 src="//s7.addthis.com/static/r07/sh42.html#cb=0&ab=-&dh=palungjit.org&dr=&du=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff179%2F%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2265.html&dt=&inst=1&lng=th&pc=men&pub=xa-4a38f0f6636e48fa&ssl=0&sid=4dd702d7ee3591a2&srd=1&srf=0.02&srp=0.2&srx=0.5&ver=250&xck=0&rev=99283" width=1 height=1 frameborder="0"></IFRAME>
    <IFRAME id=_atssh454 title="AddThis utility frame" style="BORDER-RIGHT: 0px; BORDER-TOP: 0px; Z-INDEX: 100000; LEFT: 0px; BORDER-LEFT: 0px; WIDTH: 1px; BORDER-BOTTOM: 0px; POSITION: absolute; TOP: 0px; HEIGHT: 1px" name=_atssh454 src="//s7.addthis.com/static/r07/sh42.html#cb=0&ab=-&dh=palungjit.org&dr=&du=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff179%2F%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2265.html&dt=&inst=1&lng=th&pc=men&pub=xa-4a38f0f6636e48fa&ssl=0&sid=4dd702a9a54c50ad&srd=1&srf=0.02&srp=0.2&srx=0.5&ver=250&xck=0&rev=99283" frameBorder=0 width=1 height=1></IFRAME>
    'คัพเค้กผ้าขนหนู'กินไม่ได้..แต่ทำเงิน!!

    วันเสาร์ ที่ 21 พฤษภาคม 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD><TD id=ext-gen16 style="WIDTH: 57px">รูปภาพ</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]



    [​IMG]

    หยิบจับดัดแปลงและปรับใช้ ยังเป็นหัวข้อสำคัญที่ผู้มีอาชีพงานประดิษฐ์ยังต้องทำความเข้าใจและใส่ใจในรายละเอียดอยู่ ซึ่งหากเข้าใจก็สามารถนำไปใช้คิดสินค้าใหม่ ๆ ที่สามารถสร้างความแตกต่าง สร้างสรรค์จุดขายได้อย่างดี อย่างเช่นงาน ’คัพเค้กผ้าขนหนู“ ที่ทีม ’ช่องทางทำกิน“ มีข้อมูลมานำเสนอให้พิจารณากันในวันนี้...

    “จิระวดี วันจันทร์ศิริ” เจ้าของงานไอเดียแปลกแหวกแนว เล่าว่า เรียนจบทางด้านศิลปกรรมมานาน แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้วิชา จนต่อมาต้องแต่งงานจึงคิดหาของที่ระลึก-ของชำร่วยเพื่อแจกให้แขกในงานแต่งงานของตนเอง เนื่องจากอยากได้ของที่ระลึก ของชำร่วยที่ตรงกับที่ตนเองต้องการ ประกอบกับเป็นคนที่ชอบทานขนมเค้กมาก จึงติดใจในรูปแบบและความน่ารักของขนมเค้ก โดยเฉพาะ “คัพเค้ก” เค้กที่มีลักษณะเป็นถ้วย ๆ จึงพยายามคิดดัดแปลงและทำจนสำเร็จ ปรากฏว่าเพื่อนฝูงและคนสนิทชอบ และมาติดต่อให้ช่วยทำ “คัพเค้กผ้าขนหนู” เพื่อจะนำไปเป็นของชำร่วย จึงคิดว่าน่าจะพัฒนาและต่อยอดทำเป็นอาชีพได้ จึงทำจำหน่ายเรื่อยมา โดยทำมาประมาณ 2 ปีแล้ว ซึ่งผลตอบรับค่อนข้างดี

    “เริ่มแรกไม่ได้ทำขาย ทำไว้สำหรับแจกในงานแต่งงานของตัวเองเท่านั้น ปรากฏว่าแขกที่มาร่วมงานชอบ ต่อมาก็เลยมีการติดต่อให้ช่วยทำ จากจุดนั้นก็ขยายวงกว้างออกมาเรื่อย ๆ จนยึดทำเป็นอาชีพในปัจจุบัน” เจ้าของชิ้นงานกล่าว

    สำหรับแรงบันดาลใจและไอเดีย จิระวดีขยายว่า นอกจากจะเป็นคนที่ชอบทานขนมเค้กมากแล้ว ยังชอบที่รูปทรงกับสีสันของภาชนะที่นำมาใส่หรือจัดวางเค้กอีกด้วย เนื่องจากมีสีสันและรูปทรงที่หลากหลาย น่ารัก จึงคิดว่าหากนำวัสดุที่สามารถนำไปใช้งานต่อได้ อย่าง “ผ้าขนหนู” ผืนเล็ก ๆ นำมาประดิษฐ์ให้แทนเนื้อเค้กจริง ๆ ก็น่าจะเป็นไอเดียที่ดี และสร้างความแตกต่างจากสินค้าประเภทของชำร่วยที่มีอยู่ในตลาดได้ จึงเกิดเป็น “คัพเค้กผ้าขนหนู” อย่างที่เห็น โดยใช้ชื่อสินค้าว่า “ต้นกล้า” และจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ http://tonklafavors.weloveshopping.com ซึ่งปัจจุบันมีทั้งลูกค้าตรง คือคู่วิวาห์ และลูกค้าที่เป็นบริษัทรับจัดงานแต่งงาน รวมถึงลูกค้าที่มารับสินค้าเพื่อนำไปจำหน่ายอีกต่อหนึ่ง...

    “ตลาดตอนนี้ถือว่าไปได้ดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่คนไทยนิยมจัดงานแต่งงาน อาทิ ช่วงปลายปี โดยลูกค้าจะมีหลากหลายกลุ่ม แต่ที่เห็นชัดเจนคือลูกค้าคู่วิวาห์จะมีเพิ่มมากขึ้นจากแต่ก่อน อาจเป็นเพราะไลฟ์สไตล์ของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไป และลูกค้าปัจจุบันต้องการของชำร่วยที่แตกต่างออกไปจากสินค้าทั่ว ๆ ไปที่มีอยู่ในตลาด”

    รูปแบบของ “คัพเค้กผ้าขนหนู” นั้น ปัจจุบันมีอยู่ไม่ต่ำกว่า 40 แบบ และยังสามารถต่อยอดพัฒนางานออกไปได้อีกเรื่อย ๆ โดยสินค้าที่ลูกค้านิยมส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบอย่าง ขนมคัพเค้ก, เค้กสามเหลี่ยม, แยมโรล เป็นต้น

    ทุนเบื้องต้นอาชีพ ใช้งบประมาณลงทุนราว 2,000 บาท ส่วนทุนวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 50% จากราคาขาย ซึ่งสินค้านั้นราคาตั้งแต่ชิ้นละ 15 บาท ไปจนถึง 200 บาท ขึ้นอยู่กับรายละเอียดและความยากง่ายของชิ้นงานเป็นสำคัญ

    วัสดุและอุปกรณ์ในการทำ “คัพเค้กผ้าขนหนู” หลัก ๆ ที่จำเป็น ประกอบด้วย ผ้าขนหนูสีสันต่าง ๆ, ภาชนะหรือบรรจุภัณฑ์ สำหรับใส่เบเกอรี่, ดอกไม้ประดิษฐ์ หรือวัสดุตกแต่ง, กระดาษสา, ปืนยิงกาวซิลิโคน และเครื่องมือในงานประดิษฐ์ อาทิ กรรไกร คัตเตอร์ เข็ม-ด้าย เป็นต้น

    ขั้นตอนการทำ เริ่มจากคิดแบบ โดยอาจร่างแบบลงบนกระดาษก่อน เพื่อกำหนดว่าจะเลือกใช้ผ้าขนหนูกี่ผืนต่อ 1 ชิ้นงาน จากนั้นเลือกภาชนะหรือบรรจุภัณฑ์ที่จะใช้ โดยเลือกให้เหมาะสมกับขนาดของชิ้นงานหรือผ้าขนหนูที่จะใส่เข้าไป เมื่อเลือกและกำหนดแบบได้แล้ว เริ่มจากการนำผ้าขนหนูที่เตรียมไว้มาทำการม้วนให้ครบวงรอบ จากนั้นจึงจับจัดวางลงไปในภาชนะที่เตรียมไว้ โดยไม่ต้องยึดกาว แต่ต้องระวังอย่าให้ชิ้นงานหลวมหรือแน่นจนเกินไป

    ขั้นตอนต่อมา นำวัสดุตกแต่งที่เตรียมไว้มาประดับลงบนผ้าขนหนูซึ่งใช้แทนเนื้อเค้ก นำปืนกาวยิงยึดติดส่วนประกอบของวัสดุตกแต่ง ส่วนการทำวิปปิ้งครีมเทียมนั้น เจ้าของชิ้นงานเผยว่า เลือกใช้กระดาษสา โดยนำมาขยำหรือจับให้เป็นก้อน ๆ คล้ายกับวิปปิ้งครีม และใช้ปืนกาวยิงเพื่อยึดติด ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ

    “การทำมีขั้นตอนไม่มาก และไม่ยุ่งยากซับซ้อน แต่ก็ต้องใช้ความระมัดระวังและความประณีตพอสมควร จุดเด่นอีกอย่างของชิ้นงานที่ผลิตขึ้นคือเรื่องรายละเอียดและคุณภาพ เพราะเราเป็นร้านเล็ก ๆ ดังนั้นเรื่องคุณภาพจึงสำคัญ เพราะจะทำให้ลูกค้าเชื่อมั่น และช่วยกันบอกแบบปากต่อปาก ซึ่งถือว่าเป็นการประชาสัมพันธ์สินค้าให้ร้านเราทางอ้อม” เจ้าของงานไอเดีย “คัพเค้กผ้าขนหนู” ระบุ

    ใครสนใจชิ้นงาน ต้องการติดต่อเจ้าของงานไอเดีย ’คัพเค้กผ้าขนหนู“ รายนี้ ติดต่อได้ที่ โทร. 0-2980-0232, 08-9275-4004 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกงานไอเดียที่กล้าที่จะแหวกแนวสร้างความแตกต่าง จนเป็น ’ช่องทางทำกิน“ ได้อย่างดี.


    ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : เรื่อง-ภาพ





    ที่มาเดลินิวส์ ออนไลน์
     
  10. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    <IFRAME id=_atssh862 title="AddThis utility frame" style="BORDER-RIGHT: 0px; BORDER-TOP: 0px; Z-INDEX: 100000; LEFT: 0px; BORDER-LEFT: 0px; WIDTH: 1px; BORDER-BOTTOM: 0px; POSITION: absolute; TOP: 0px; HEIGHT: 1px" name=_atssh862 src="//s7.addthis.com/static/r07/sh42.html#cb=0&ab=-&dh=palungjit.org&dr=&du=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff179%2F%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2265.html&dt=&inst=1&lng=th&pc=men&pub=xa-4b6806b250a1123b&ssl=0&sid=4dd708d836df6c9c&srd=1&srf=0.02&srp=0.2&srx=0.5&ver=250&xck=0&rev=99283" width=1 height=1 frameborder="0"></IFRAME>
    จิกมีกษัตริย์ภูฏานเตรียมเสกสมรสต.ค.นี้

    [​IMG]



    [​IMG]



    <SCRIPT type=text/javascript>var id='98098';function addCommas(nStr){ nStr += ''; x = nStr.split('.'); x1 = x[0]; x2 = x.length > 1 ? '.' + x[1] : ''; var rgx = /(\d+)(\d{***)/; while (rgx.test(x1)) { x1 = x1.replace(rgx, '$1' + ',' + '$2'); } return x1 + x2;}function count(){$.ajax({ type: "POST", url: "http://www.komchadluek.net/counter_news.php", data: "newsid="+id, success: function(txt){ var counter_=parseInt(txt); $('#counters').html('คนอ่าน '+addCommas(counter_)+' คน'); } });} featuredcontentslider.init({ id: "slider1", contentsource: ["inline", ""], toc: "markup", nextprev: ["Previous", "Next"], revealtype: "click", enablefade: [true, 0.1], autorotate: [true, 8000], onChange: function(previndex, curindex){ }})</SCRIPT>คมชัดลึก :สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมีแห่งภูฏานทรงหมั้นและเตรียมอภิเษกสมรสกับสาวสามัญชนในเดือนตุลาคมนี้ มีพระราชประสงค์ให้เป็นพระราชพิธีเรียบง่าย เผยพระคู่หมั้นเป็นนักศึกษาที่งดงาม วางตัวเรียบง่ายและเป็นมิตร

    สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวันศุกร์ (20 พ.ค.) ว่า สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน พระชนม์ 31 พรรษา ซึ่งขึ้นครองราชย์เมื่อปี 2551 ทรงประกาศหมั้นกับนักศึกษาสาวสามัญชน และเตรียมอภิเษกสมรสในเดือนตุลาคมนี้ โดยพระองค์มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับข่าวดีนี้อย่างเป็นทางการระหว่างเปิดประชุมรัฐสภาเมื่อวันศุกร์
    ทั้งนี้ ดาโช คินลีย์ ดอร์เจ เลขานุการกระทรวงข่าวสารภูฏาน ได้เปิดเผยเรื่องนี้ให้สำนักข่าวเอเอฟพีทราบทางโทรศัพท์ว่า ระหว่างทรงเปิดประชุมรัฐสภาเมื่อช่วงเช้าวันศุกร์ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาออกซ์ฟอร์ด มีพระราชดำรัสว่า ได้ทรงหมั้นและจะอภิเษกสมรสในเดือนตุลาคมนี้
    พร้อมกันนี้ พระองค์ทรงขอร้องไม่ให้รัฐบาลจัดงานใหญ่ เพราะมีพระราชประสงค์จะจัดเป็นงานเรียบง่ายเท่านั้น เนื่องจากภูฏานเป็นประเทศเล็กๆ ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติใดๆ อีกทั้งทรงเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนพระองค์มากกว่า
    อย่างไรก็ดี ดอร์เจ วังชุก กล่าวว่า ทั้งรัฐบาลและประชาชนคงจะให้มีงานฉลองพระราชพิธีอภิเษกสมรสนี้
    ดอร์เจ วังชุก เผยด้วยว่า สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมีทรงรู้จักกับ นางสาวเจตซุน หรือเจตซัน เปมา สาวสามัญชนชาวภูฏาน ซึ่งขณะนี้เป็นนักศึกษามหาวิทยาทิมพูมาชั่วระยะหนึ่งแล้ว
    ขณะเดียวกัน เชอริง ทอบเก หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านภูฏาน เผยเพิ่มเติมว่า พระคู่หมั้นงดงามมาก เป็นคนง่ายๆและเป็นมิตร สำหรับการคบหานี้ แม้จะไม่มีการประกาศให้ทราบ แต่ก็เป็นเรื่องที่ทราบกันดีเป็นการภายใน
    เชอริง ทอบเก ให้ความเห็นด้วยว่า แม้ชาวภูฏานจะรู้สึกปีติยินดีในข่าวดีนี้ แต่เป็นธรรมเนียมของประชาชนที่นี่ที่จะยินดีกันเงียบๆ ไม่ไปฉลองความยินดีกลางท้องถนน
    สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมีประสูติเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2523 เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก และสมเด็จพระราชินีอาชิ เชอริง ยางดน วังชุก เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2551 เป็นสมเด็จพระราชาธิบดีลำดับที่ 5 แห่งราชวงศ์วังชุก แต่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญพระองค์แรกของภูฏานหลังจากมีการประกาศใช้ครั้งแรกเมื่อปี 2551 ตามด้วยการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาครั้งแรก
    ถึงแม้จะเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระเยาว์ที่สุดในโลก แต่ก็ทรงได้รับการยกย่องจากชาวภูฏานรวมถึงชาวไทยส่วนใหญ่ว่ามีพระจริยวัตรงดงาม และทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของพสกนิกรทุกหมู่เหล่า จากการที่ทรงวางพระองค์อย่างเป็นกันเองในหมู่ประชาชน จึงสร้างความประทับใจแก่พสกนิกรถ้วนหน้า จนทรงได้รับยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญในการสร้างเอกภาพและเสถียรภาพในประเทศที่มีประชากรเพียง 6.5 แสนคน โดยมุ่งเน้นด้านความสุขมวลรวมของประชากรภายในประเทศเป็นสำคัญ
    สมัยที่สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ดำรงพระอิสริยยศเพียงเจ้าฟ้าชายจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก มกุฎราชกุมาร ได้เสด็จแทนพระประมุขของราชอาณาจักรภูฏาน มาประเทศไทย เพื่อทรงร่วมงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.2549 โดยทรงเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนและประชาชนชาวไทยที่ต่างชื่นชมในพระสิริโฉมและพระจริยวัตรอันงดงามของพระองค์

    ดังนั้นในทุกพระกรณียกิจที่ทรงปฏิบัติขณะเสด็จเยือนประเทศไทยในครั้งนั้น จะมีคณะสื่อมวลชนของไทยตามเก็บความเคลื่อนไหวของพระองค์ในทุกพระอริยาบถจนเสด็จกลับ
    ข่าวการอภิเษกสมรสของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมีแห่งภูฏานทำให้ปีนี้เป็นปีทองอีกปีหนึ่งของพระวงศานุวงศ์ในหลายประเทศที่ได้อภิเษกสมรสหรือเสกสมรสหลายคู่ นับจากเจ้าชายวิลเลียม รัชทายาทอันดับสองแห่งราชวงศ์อังกฤษ ที่เพิ่งเสกสมรสกับนางสาวเคท มิดเดิลตัน สาวสามัญชน เมื่อวันที่ 29 เมษายน
    ส่วนเดือนกรกฎาคม เจ้าชายอัลแบรต์ หรืออัลเบิร์ตที่ 2 แห่งราชรัฐโนมาโก จะอภิเษกสมรสกับนางสาวชาร์ลีน วิตต์สต็อก แชมป์ว่ายน้ำโลก
    ที่มา คมชัดลึกออนไลน์
    <SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20110512/r20110506/show_ads_impl.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript1.1 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-1044823792492543&output=js&channel=9989085094&adtest=off&ea=0&feedback_link=on&flash=10.3.181.14&dt=1305938136187&shv=r20110512&jsv=r20110506&saldr=1&correlator=1305938136203&frm=1&adk=256789428&ga_vid=1210327821.1238986979&ga_sid=1305935944&ga_hid=1207645485&ga_fc=1&u_tz=420&u_his=9&u_java=1&u_h=768&u_w=1024&u_ah=738&u_aw=1024&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1003&bih=518&ifk=2100415818&fu=4&ifi=1&dtd=141"></SCRIPT>
     
  11. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ศรีลังกา “ไข่มุกแห่งมหาสมุทรอินเดีย”

    • 21 พฤษภาคม 2554 เวลา 07:02 น. |
    หากเอ่ยคำว่า “ลังกาวงศ์” “ลังกาทวีป” หรือ “กรุงลงกา” เป็นชื่อที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดี เพราะมักจะปรากฏอยู่ในวรรณคดีหรือเรื่องราวทางประวัติศาตร์
    ที่บรรจุอยู่ในการเรียนการสอน อาทิเช่น วรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ หรือแม้แต่เรื่องราวของพระพุทธศาสนาที่มีความเกี่ยวเนื่องกับประเทศไทยมาช้านาน และในวันนี้โลก 360 องศา ก็ได้มาจรดองศายังสถานที่ซึ่งได้กล่าวมานี้ หากแต่ว่าในปัจจุบันมีชื่อเรียกว่า “ศรีลังกา”
    ประเทศศรีลังกาคือเกาะที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอินเดียและทางเหนือของประเทศมัลดีฟส์ โดยมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา”
    มีพื้นที่ประมาณ 65,610 ตางรางกิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่ของประเทศศรีลังกาเป็นที่ราบลูกคลื่น ซึ่งมีภูเขาสลับกับที่ราบแคบๆ ทอดยาวจากชายฝั่งเข้าสู่ตอนกลางของประเทศ ซึ่งมีลักษณะเป็นที่สูง และมีอากาศที่เย็นสบาย
    [​IMG]
    ด้วยเหตุที่ประเทศศรีลังกา ตั้งอยู่บนเส้นทางหลักของการเดินเรือ จึงทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่เชื่อมต่อระหว่างโลกตะวันออกและตะวันตกมาแต่อดีตกาล โดยมีกรุงโคลัมโบเป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สุด ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนล่างฝั่งตะวันตกของประเทศ ผู้คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดว่ากรุงโคลัมโบคือเมืองหลวงของประเทศศรีลังกา แต่อันที่จริงแล้วเมืองหลวงอย่างเป็นทางการของที่นี่มีชื่อว่า ศรีชัยวรเทนปุระโกตเต แต่ด้วยเหตุที่กรุงโคลัมโบเคยมีสถานะเป็นเมืองหลวงเก่าและเป็นศูนย์กลางความเจริญทุกด้าน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ศรีชัยวรเทนปุระ-โกตเต เป็นเมืองหลวงทางนิตินัย แต่โคลัมโบคือเมืองหลวงทางพฤตินัย
    ประเทศศรีลังกาได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 3,000 ปี โดยชาวสิงหลและทมิฬอพยพมาจากประเทศอินเดีย ประมาณ 500 ปี และ 300 ปี ก่อนคริสตกาลตามลำดับ อาณาจักรสิงหลได้เริ่มก่อตั้งขึ้นบริเวณทางภาคเหนือของประเทศศรีลังกา โดยมีเมืองอนุราธปุระเป็นเมืองหลวงแห่งแรก ซึ่งมีอายุยาวนานถึง 1,200 ปี ต่อมาในศตวรรษที่ 13 จึงได้เสื่อมลงพร้อมกับการเกิดขึ้นของอาณาจักรทมิฬ โดยมีเมืองโปลอนนารุวะเป็นเมืองหลวงยาวนานประมาณ 200 ปี ชาวทมิฬจึงได้อพยพไปไปตั้งอาณาจักรจาฟนาทางคาบสมุทรจาฟนา ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ ส่วนชาวสิงหลได้ถอยร่นไปตั้งรกรากอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ โดยได้ก่อตั้งอาณาจักรแคนดี ซึ่งมีเมืองแคนดีเป็นเมืองหลวง
    พุทธศาสนาเข้ามาในประเทศศรีลังกาเมื่อประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาลโดย “ภิกขุ มหิทรา” ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งจากบันทึกทางประวัติศาสตร์ได้กล่าวกันว่า ชาวสิงหลและชาวทมิฬได้มีการสู้รบกันมาโดยตลอด ส่งผลให้ในช่วงหนึ่งพระพุทธศาสนาในดินแดนแห่งนี้มีอันต้องเสื่อม ด้วยเหตุที่จำนวนของพระสงฆ์ผู้ทำหน้าที่ในการสืบทอดศาสนามีจำนวนลดลง จึงได้มีการนิมนต์พระสงฆ์จากประเทศไทยและพม่าเพื่อมาช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในสมัยนั้น
    [​IMG]
    อิทธิพลของนิกายมหายาน และยุคการเป็นเมืองขึ้นของชาติล่าอาณานิคม ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการคงอยู่ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทในประเทศศรีลังกา อย่างไรก็ตาม ความพยามในการฟื้นฟูและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงศตวรรษที่ 19 ก็ทำให้พระพุทธศาสนาในประเทศนี้ดำรงอยู่ได้มากว่า 2,000 ปี ซึ่งในปัจจุบันพุทธศาสนากระจายอยู่ทั่วทุกที่ของประเทศยกเว้นทางตอนเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ของชาวทมิฬที่นับถือศาสนาฮินดู แต่อย่างไรก็ตามทีศาสนาพุทธคือศาสนาประจำชาติของศรีลังกา โดยมีผู้นับถือถึงกว่าร้อยละ 70 รองลงมาคือศาสนาฮินดูประมาณร้อยละ 15 ที่เหลือคือศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์
    ในช่วงเวลาประมาณศตวรรษที่ 15 อิทธิพลของชาติล่าอาณานิคมเริ่มเข้ามามีบทบาทในประเทศศรีลังกา เริ่มจากโปรตุเกส ดัตช์ และอังกฤษ ตามลำดับ โดยมาทำการค้าตามเมืองท่าโดยเฉพาะทางด้านตะวันตกของประเทศ และได้รับเอกราชเมื่อวันที่ 4 ก.พ. ค.ศ.1948 รวมเวลาที่ศรีลังกาตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติเกือบ 500 ปี และตลอดระยะเวลาของการตกเป็นเมืองขึ้น ประเทศศรีลังกาจึงถูกวางบทบาทให้เป็นแหล่งผลิต ซินเนมอน ชา กาแฟ และยางพารา โดยเฉพาะในยุคของอังกฤษที่ได้มีการนำคนงานอินเดียจากแคว้น “ทมิฬนาฑู” ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย เพื่อเข้ามาเป็นแรงงานเพาะปลูก และกรุงโคลัมโบก็ได้ถูกพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางทางราชการและการค้า นอกจากนี้อังกฤษยังได้ก่อตั้งโรงเรียน วิทยาลัย และสร้างถนนหนทางต่างๆ ซึ่งเป็นการนำเข้ารูปแบบการศึกษาและวัฒนธรรมแบบตะวันตกเข้ามาสู่คนท้องถิ่น
    ด้วยประวัติศาสตร์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานกว่า 3,000 ปี บวกกับความยั่งยืนทางพระพุทธศาสนา ถึงแม้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ครั้งก็ตามที แต่ที่นี่ก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีรากและแก่นที่แข็งแรง จึงไม่แปลกที่ว่าใครๆ จะมองว่า ดินแดนแห่งนี้มีความงดงามซึ่งมีเอกลักษณ์อันโดดเด่น หากจะเปรียบได้กับไข่มุก ก็ต้องบอกว่าไข่มุกเม็ดนี้ใช้เวลาในการสั่งสมความงามกว่านับพันๆ ปีเลยทีเดียว
    ที่มา โพสต์ทูเดย์ ออนไลน์
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    "ป๋า-วิดิช" ควงคว้ายอดเยี่ยมแห่งปีพรีเมียร์ฯ <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">21 พฤษภาคม 2554 05:31 น.</td></tr></tbody></table>

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">"ป๋าเฟอร์กี" ซิวกุนซือแห่งปีอีกแล้ว</td> </tr> </tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">"วิดิช" ได้รับเกียรติเป็นแข้งยอดเยี่ยม</td></tr></tbody></table>


    เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ควงแขน เนมันยา วิดิช กองหลังตัวเก่ง "ผีแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้ารางวัลกุนซือและนักเตะยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาล 2010/11 ของศึกลูกหนังพรีเมียร์ลีก อังกฤษ

    หลังจากมีส่วนสำคัญนำ แมนฯ ยูไนเต็ด ประกาศศักดาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีเป็นสมัยที่ 19 ในประวัติศาสตร์ มาล่าสุด เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จอมเก๋าชาวสกอตติชได้รับเกียรติจากพรีเมียร์ลีก เลือกให้เป็นกุนซือยอดเยี่ยมแห่งปี ขณะที่ เนมันยา วิดิช เซ็นเตอร์ฮาล์ฟชาวเซิร์บของ "ผีแดง" ก็รับตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมไปครอง

    สำหรับ เฟอร์กี ผู้พา แมนฯ ยูไนเต็ด เถลิงแชมป์พรีเมียร์ลีก 12 สมัย (รวมแชมป์ดิวิชัน 1 เดิม เป็น 19 สมัย) ได้รับรางวัลกุนซือยอดเยี่ยมของลีกสูงสุดเป็นสมัยที่ 9 ในอาชีพการคุมทีม โดยบรมกุนซือวัย 69 ปี ยังมีภารกิจสำคัญในการนำทัพ "ผีแดง" ล่าแชมป์ ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ในวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2554 ที่จะพบกับ บาร์เซโลนา ยอดทีมของสเปน ที่สนามเวมบลีย์ ประเทศอังกฤษ

    ในส่วนของ วิดิช วัย 29 ปี ถือเป็นหัวใจสำคัญในเกมรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด โดยเป็นนักเตะที่ลงสนามให้ต้นสังกัดมากที่สุด (35 นัด) ทำได้ทั้งสิ้น 5 ประตู และนี่ก็เป็นรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งซีซันหนที่ 2 ในการมาลุยพรีเมียร์ลีก ซึ่งในเกมที่ "ผีแดง" จะเปิดโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ปิดท้ายฤดูกาลกับ แบล็คพูล คืนวันอาทิตย์ที่ 22 พ.ค.นี้ ดาวเตะทีมชาติเซอร์เบียจะออกมาชูโทรฟีแชมป์อย่างเป็นทางการด้วย


    -http://www.manager.co.th/Sport/ViewNews.aspx?NewsID=9540000062004-



    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    [FONT=Tahoma,]ความซื่อสัตย์

    คอลัมน์ ศาลาวัด


    มี พุทธภาษิตบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า "สัจเจน กิตตี ปัปโปติ" แปลว่า "คนเราจะบรรลุถึงเกียรติได้เพราะความสัตย์" หมาย ความว่า คนที่จะมีเกียรติ ย่อมต้องเป็นคนที่มีความสัตย์ซื่อ จึง จะเป็นที่ยอมรับนับถือของคนในสังคมได้อย่างจริงใจ โดยไม่ต้อง เสแสร้งแกล้งทำ

    'ความซื่อสัตย์' เป็นคุณธรรมที่จำเป็นต่อทุกสังคม ไม่ว่าจะเป็นความซื่อสัตย์ในระดับไหนก็ตาม จะต้องมีการปลูกฝังหรือสอนเยาวชนรุ่นหลังให้ประพฤติปฏิบัติ ทั้งนี้ หากคนในสังคมขาดคุณธรรมข้อนี้เมื่อใด สังคมก็จะวุ่นวาย ไม่สงบ คนจะเอารัดเอาเปรียบกัน และเห็นแก่ตัวมากขึ้น จนก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย

    การไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเอง หากเราขาดความซื่อสัตย์ต่อตนเอง และผัดผ่อนไปเรื่อยๆ ในระยาวเราอาจจะกลายเป็นคนขาดระเบียบ ขาดความตั้งใจ กลายเป็นคนทำอะไรไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต

    การไม่ซื่อสัตย์ต่อครอบ ครัว สร้างปัญหาในชีวิต ก่อให้เกิดความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังเป็นที่ดูถูกเหยียดหยามของผู้อื่น หากเป็นหัวหน้าไปมีสัมพันธ์กับลูกน้อง ก็จะทำให้ลูกน้องคนอื่นๆ ขาดความเชื่อถือ หรือหัวหน้าระดับสูงขึ้นไปไม่ให้ความไว้วางใจ เป็นต้น

    การ ไม่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่การงาน เช่น หากเป็นข้าราชการใช้อำนาจในทางมิชอบ กระทำทุจริต หรือแสวงหาผลประโยชน์แก่ตนเองหรือครอบครัว ก็จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนและบ้านเมืองดังที่เราจะเห็นกันอยู่ใน ปัจจุบัน เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและผู้เกี่ยวข้องทั้งสิ้น

    การ ไม่ซื่อสัตย์ต่อมิตร ซึ่งความเป็นมิตรนั้นจะคงทนถาวรอยู่ได้ตลอดไปก็ต้องมีความซื่อสัตย์ ไม่คิดคดทรยศต่อกัน มิตรภาพจึงจะยาวนาน หากไม่ซื่อตรงต่อกันแล้ว ก็ย่อมจะแตกความสามัคคี ทำให้เราไม่มีเพื่อน หรืออยู่ในสังคมได้ยากเพราะกลัวคนอื่นจะหักหลังเราตลอดเวลา เป็นต้น

    การ ซื่อสัตย์ต่อประเทศชาติ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะหากชาติอยู่ไม่ได้ ประชาชนคนในชาติก็อยู่ไม่ได้ และหากชาติล่มสลาย พวกเราที่จะกลายเป็นคนไร้แผ่นดิน

    ความซื่อสัตย์ที่ว่านี้ ยังรวมไปถึงการมีสัจจะ พูดจริงทำจริง ไม่โกหกหรือพูดเหลวไหล พูดคำไหนเป็นคำนั้นด้วย คนเช่นนี้ไปที่ใด ย่อมเป็นที่เคารพนับถือว่าเป็นคนมีเกียรติ ข้อสำคัญ ถ้าทุกคนทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ย่อมจะทำให้สังคม และประเทศชาติมีความมั่นคง สงบสุข
    [/FONT]


    -http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdOVEl4TURVMU5BPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1TMHdOUzB5TVE9PQ==-














    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    นิติบุคคลหมู่บ้านกับปัญหาที่แก้ไม่ตก


    แม้จะมีกฎหมายเกี่ยวกับการจัดตั้งนิติบุคคล เพื่อเป็นองค์กรที่จะมาบริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคของหมู่บ้านจัดสรร เพื่อแก้ปัญหาเจ้าของโครงการทิ้งลูกบ้านเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมากมายในอดีต แต่ดูเหมือนว่ากฎหมายที่ออกเป็นข้อบังคับมาหลายปีจะยังไม่สามารถแก้ปัญหาให้ กับผู้ที่เป็นเจ้าของบ้านจัดสรรได้อย่างแท้จริง

    เพราะบางหมู่บ้านที่ราคาค่อนข้างสูงและโครงการมีความรับผิดชอบต่อลูกบ้าน จะจ้างบริษัทมาบริหารจัดการนิติบุคคลอย่างเป็นทางการ บางหมู่บ้านการจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง จนต้องยอมยกพื้นที่โครงการให้อยู่ในความดูแลของกรุงเทพมหานครหรือองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นแบบเลี่ยงไม่ได้ ขณะที่บางหมู่บ้านแม้จะมีการจัดตั้งนิติบุคคลจนมีการบริหารงานได้อย่างเป็น ทางการ แต่มักเกิดปัญหาเรื่องลูกบ้านไม่ยอมจ่ายเงินค่าส่วนกลางจนทำให้การบริหารงาน มีปัญหา

    นอกจากปัญหาจะมาจากลูกบ้านด้วยกันเองแล้ว บางกรณีนิติบุคคลยังต้องประสบปัญหามากกว่านั้น เมื่อไม่สามารถรับโอนสาธารณูปโภคจากเจ้าของโครงการได้ หลังจากมีการจัดตั้งนิติบุคคลขึ้นมาบริหารอย่างเป็นทางการ เพราะพบว่าสาธารณูปโภคที่จะรับโอนมาจากเจ้าของโครงการนั้น ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดีอย่างที่ควรจะเป็น และกรณีที่ว่ากำลังเกิดขึ้นกับโครงการพฤกษา วิลล์ 3 ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการฟ้องร้องต่อศาลปกครอง

    “เรื่องถนนภายในโครงการที่บริษัทได้ซ่อมแซมไปครั้งหนึ่งแล้วนั้น ปรากฏว่าใช้งานมาได้ไม่นานก็เกิดชำรุดอีก และเราก็พบว่าเหล็กเส้นที่ใช้ในการยึดเกาะถนนนั้นไม่ได้มาตรฐานตามที่ระบุ ไว้ในเอกสารโครงการและวิธีการจัดสรรที่ดินซึ่งทางบริษัทได้ยื่นไว้กับสำนัก ส่งเสริมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยในเอกสารระบุว่าจะใช้เหล็กเส้นขนาด 9 มิลลิเมตร แต่หน้างานที่ใช้จริงกลับเป็นเหล็กเส้นขนาด 4 มิลลิเมตรเท่านั้น” เสกสรร พรหมนิช ประธานกรรมการนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรพฤกษา วิลล์ 3 ระบุ

    ประธานกรรมการนิติบุคคลหมู่บ้านพฤกษา วิลล์ 3 ระบุด้วยว่า หากมีฝนตกเมื่อใดถนนโครงการจะเต็มไปด้วยน้ำเต็มพื้นที่ทันที เนื่องจากไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน มาจากระดับบ่อพักน้ำซึ่งจัดสร้างไว้สำหรับการตรวจสอบคุณภาพน้ำเสียที่ออกจาก โครงการมีระดับต่ำกว่าท่อระบายน้ำด้านนอก จึงทำให้เกิดน้ำท่วมขังทุกครั้งที่มีฝนตก โดยทางโครงการได้แก้ปัญหาให้กับลูกบ้านด้วยการติดตั้งปั๊มน้ำเพื่อสูบน้ำจาก บ่อพักออกไปยังทางระบายน้ำสาธารณะให้

    ในเอกสารโครงการและวิธีการจัดสรรที่ดินระบุไว้เกี่ยวกับระบบบำบัดน้ำเสียว่า ในครัวเรือนจะใช้ถังแบบสำเร็จรูปแบบบ่อกรองไร้อากาศสำหรับแปลงพักอาศัยทุก หลัง เพื่อบำบัดน้ำทิ้งจากครัวเรือนก่อนระบายสู่ท่อระบายน้ำของโครงการ ซึ่งจะไหลผ่านระบบบำบัดน้ำเสียรวม คสล. ปริมาณน้ำเสีย 400 ลบ.ม.ต่อวัน

    “ความจริงแล้วโครงการนี้เป็นโครงการขนาดเล็กที่มีเนื้อที่ประมาณ 14 ไร่ และมีจำนวนแปลงย่อยที่ขาย 160 ยูนิตนั้น ตามกฎหมายระบุไว้ว่าไม่จำเป็นจะต้องมีการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียรวมโดยมี เพียงแค่บ่อตรวจสอบคุณภาพน้ำทิ้งตามที่กฎหมายกำหนดก็เพียงพอแล้ว เพราะทุกหลังคาเรือนจะมีบ่อบำบัดอยู่แล้ว หากตรวจสอบแล้วพบว่าน้ำเสียมีคุณภาพเกินมาตรฐานที่กำหนด ก็สามารถแก้ไขด้วยการเติมสารเคมีบำบัดลงในถังของแต่ละบ้านเท่านั้น ส่วนโครงการที่จำเป็นต้องมีบ่อบำบัดน้ำเสียรวมจะต้องเป็นโครงการที่มีขนาด ตั้งแต่ 100 ไร่หรือ 500 แปลงขึ้นไป” พสิษฐ์ ชัยชนะศิริวิทยา บริษัท บีซี บิซซิเนส แอนด์ ลอว์ จำกัด ระบุ

    ความกังวลเกี่ยวกับระบบบำบัดน้ำเสียของนิติบุคคลหมู่บ้านน่าจะมาจาก กรณีที่เกิดขึ้นกับโครงการอื่นของพฤกษา เรียลเอสเตท 5 โครงการในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีที่กำลังมีปัญหาอยู่ เนื่องมาจากการปล่อยน้ำเสียเกินมาตรฐานลงในลำคลองสาธารณะ

    แต่ปัญหายังไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะการเรียกร้องให้มีการจัดการสาธารณูปโภคต่าง ๆ ภายในโครงการให้สมบูรณ์ รวมทั้งจัดสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียรวมตามที่ระบุไว้ในเอกสารโครงการและวิธีการ จัดสรรที่ดินก่อน นิติบุคคลจึงจะเซ็นรับโอนสาธารณูปโภคทั้งหมดมาดูแลนั้น ทำให้โครงการตัดการดูแลระบบสาธารณูปโภคทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2554 เป็นต้นมา เพราะถือว่าได้มีการดูแลให้ลูกบ้านจัดตั้งนิติบุคคลขึ้นมาดูแลเรียบร้อยแล้ว

    วันนี้พฤกษา วิลล์ 3 จึงไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เพราะเงินค่าส่วนกลางที่เก็บแบบชั่วคราวเพื่อให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายเฉพาะ หน้าหลังคาเรือนละ 350 บาทนั้น สามารถจ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้เพียงกะละคนเดียว ทุกวันนี้จึงต้องดูแลเรื่องความปลอดภัยกันเอง เพราะเงินที่เก็บได้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคทั่วไปเท่านั้น

    “ขณะนี้เงินค่าส่วนกลางล่วงหน้า 2 ปีของลูกบ้านประมาณ 30 หลังที่ทำสัญญาทีหลัง ทางโครงการก็ไม่ได้โอนให้นิติบุคคล รวมทั้งเงินกองทุนด้วย”

    เหตุที่เงินค่าใช้จ่ายไม่ถูกโอนมายังนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรพฤกษา วิลล์ 3 นั้นอาจเป็นเพราะนิติบุคคลยังไม่มีการรับโอนระบบสาธารณูปโภคทั้งหมดจาก โครงการ นั่นหมายความว่าหากปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข ลูกบ้านก็จำต้องทนรับกับสภาพที่เป็นอยู่ต่อไป

    นี่เป็นหนึ่งในปัญหาที่เกิดขึ้นกับนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ที่รอให้หน่วยงานรัฐซึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้ายตัดสินว่าสิ่งใดคือหนทางที่ควรจะ เป็น.


    article@dailynews.co.th


    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=494&contentId=139969-





    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=494&contentId=139969



    .
    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แบบทดสอบความคาดหวังต่อคนรักโดยการเลือกไข่


    [​IMG]



    แบบทดสอบทางจิตวิทยา บ่งบอกความคาดหวังของผู้ทำแบบทดสอบ ที่มีต่อลูกหรือคนรัก โดยการเลือกไข่ จะตรงหรือไม่ต้องลองเล่นดู

    สมมติว่าวันหนึ่งคุณเดินไปในสวนสาธารณะ แล้วไปนั่งพักอยู่ที่เก้าอี้สีขาวใต้ต้นไม้ใหญ่ ระหว่างนั้นก็บังเอิญเหลือบไปเห็นตะกร้าหวายใบหนึ่งวางอยู่บนสนามหญ้า เมื่อมองเข้าไปในตะกร้าก็พบไข่อยู่ฟองหนึ่ง คิดว่าไข่ที่เจอนั้น เป็นไข่ของสัตว์ชนิดใด เชิญเลือกจาก 4 ข้อ ด้านล่าง ห้ามดูเฉลยก่อนนะ

    1. ไข่งู 2. ไข่เต่า 3. ไข่ไก่ 4. ไข่ไดโนเสาร์


    ....
    ........
    ...........
    ..................
    .......................
    ...........................
    ................................


    เฉลยด้านล่าง

















    .
























































































    เฉลย

    ไข่งู


    ถ้าเลือกไข่งู แสดงว่าคุณเป็นคนที่มักจะคาดหวังอย่างมากว่าลูกของคุณ หรือคนที่คุณรักนั้นจะต้องเป็นคนที่ร่ำรวย มั่งมีศรีสุข มีทรัพย์สินเงินทองมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ นอกจากจะรวยมาก ๆ แล้ว ยังต้องมีความปราดเปรียว ฉลาดเฉลียว รู้จักเอาตัวรอด มีเสน่ห์ทางเพศ และยังต้องมีความร้ายลึกซ่อนอยู่ในตัวอีกด้วย คงจะไม่อยากให้เป็นคนใส ๆ ซื่อ ๆ เกินไปจนถูกเอาเปรียบได้

    ไข่เต่า

    ถ้าเลือกไข่เต่า แสดงว่าคุณเป็นคนที่รักความเป็นคนสันโดษ คุณจึงอยากให้ลูกหรือคนที่คุณรัก เป็นคนที่มีชีวิตสุขสงบ มีอายุมั่นขวัญยืน มีชีวิตที่สงบเงียบเรียบง่าย ไม่ต้องมีอะไรหวือหวาโลดโผนนัก และคุณยังคาดหวังอยากให้เขา เป็นคนที่มีคุณธรรมประจำใจ ไม่เบียดเบียนใคร มีความรู้ มีความสุขุมเป็นที่นับถือของคนทั่วไป

    ไข่ไก่


    ถ้าเลือกไข่ไก่ แสดงว่าคุณเป็นคนที่มีความคาดหวังต่อลูก ๆ หรือต่อคนที่คุณรักในระดับธรรมดา ๆ ปกติสามัญเหมือนชาวบ้านทั่ว ๆ ไป คือมิได้คาดหวังหรือบงการชีวิตลูกมากนัก
    คุณแค่อยากให้เขามีชีวิตที่สุขสบาย มั่นคงปลอดภัย ชีวิตราบรื่น ไม่มีอะไรให้คุณต้องห่วงนัก เขาอยากจะเลือกเป็นหรืออยากทำอะไร คุณจะให้คำแนะนำโดยไม่คิดต่อต้านเขา


    ไข่ไดโนเสาร์


    ถ้าเลือกไข่ไดโนเสาร์ เป็นคนที่มีความคาดหวังต่อลูก ๆ และต่อคนที่คุณรักสูงมาก คุณไม่ได้อยากให้เขามั่งคั่งร่ำรวย แต่คุณอยากให้เขา เป็นคนพิเศษที่มีความโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน คุณไม่อยากให้ลูกหรือคนรัก เป็นคนธรรมดา ๆ เหมือนชาวบ้านที่ต้องทำงาน 9 โมงเช้าเลิก 5 โมงเย็น หรือมีวิถีชีวิตในด้านอื่น ๆ ที่เรียบง่ายจนเกินไป.


    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    กทม.แจกแบบบ้านฟรีอีก 30 แบบ ผนึก 4 แบงก์ปล่อยกู้ดอกเบี้ย0% 2 ปี


    นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหาคร(กทม.) เปิดเผยว่ากทม.ได้จับมือกับสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ได้ออกแบบบ้านใหม่เพิ่มเติมอีก 30 แบบ ภายใต้โครงการ”สร้างบ้าน...ด้วยรอยยิ้ม” จากเดิมมีอยู่ 100 แบบ ที่ได้แจกให้กับประชาชนไปแล้ว ตามโครงการ”แบบบ้านยิ้ม..เพื่อประชาชน”ซึ่งได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็น อย่างดี มียอดผู้มาขอรับแบบบ้านมากถึง 2,500 รายเมื่อปี 2553 ที่ผ่านมา กทม.จึงได้จัดทำแบบบ้านใหม่เพิ่มเติม รวมกับของเดิมมีแบบบ้าน 130 แบบ ที่ให้ประชาชนได้เลือกเพื่อนำไปปลูกสร้างบ้านบนที่ดินของตัวเองได้

    อย่างไรก็ตาม ในครั้งได้ขยายไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศให้สามารถรับแบบบ้าน ทั้ง 130 แบบได้ฟรี ทั่วประเทศ โดยแบบรายละเอียดจะเสร็จต้นเดือนสิงหาคมนี้และจะเปิดให้รับแบบได้ในเดือนกัน ยายนี้เป็นต้นไป ตั้งเป้าจะมีประชาชนมาขอรับแบบประมาณ 1,000 ราย

    “แบบใหม่ 30 แบบนี้จะเป็นบ้านสไตล์โมเดิร์นและคอนเทมโพรารี่ ที่ทันสมัยและประหยัดพลังงาน ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 180-800 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 2.5-15 ล้านบาท”

    นายธีระชนกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ประชาชนที่มาขอรับแบบบ้านโดยไม่ต้องเสียค่าออกแบบแล้ว กทม.ยังได้ผนึกกับสถาบันการเงิน 4 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทยและธนาคารกรุงศรีอยุธยา ปล่อยกู้ 100% ให้กับประชาชนที่ต้องการสร้างบ้านตามแบบบ้านที่กทม.จัดให้นี้ พร้อมอัตราดอกเบี้ยพิเศษถูกกว่าท้องตลาด โดยปล่อยกู้ระยะยาว 20-30 ปี

    ขณะนี้กำลังหารือกับสถาบันการเงินจะให้ดอกเบี้ยพิเศษอัตรา0% เป็นระยะเวลา 2 ปี หลังจากนั้นจะเป็นดอกเบี้ยMLR ลบ อาจจะเป็นลบ1% หรือลบ2% อยู่ระหว่างการพิจารณา โดยจะเริ่มลอนซ์แคมเปญนี้ในงานมหกรรมรับสร้างบ้านระหว่างวันที่ 25-28 สิงหาคมนี้ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์


    -http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1305787820&grpid=00&catid=07-




    กทม.แจกแบบบ้านฟรีอีก 30 แบบ ผนึก 4 แบงก์ปล่อยกู้ดอกเบี้ย0% 2 ปี : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์


    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    สร้างความแตกต่างตั้งแต่เริ่มคิด


    ยิ่งในยุคการแข่งขันที่มีสูง ประกอบกับความปรวนแปรของเศรษฐกิจจากภัยการเงินการลงทุน และภัยธรรมชาติ การปรับตัวในยุคนี้จึงต้องมีอยู่สูง....
    เรื่อง : รัฐพร คำหอม
    “สิ่งที่คิดกำหนดสิ่งที่เป็น หากจะแตกต่างต้องเริ่มตั้งแต่ วิธีคิด อย่าปล่อยให้ความคิดลอยนวล” คำนิยามน่าสนใจจาก สมชาติ ลีลาไกรศร ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย ที่ได้เพิ่มบทบาทลองเป็นนักเขียน นำประสบการณ์จากการได้ร่วมแนะนำ ดูแล ช่วยเหลือ แก้ปัญหา ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เข้าร่วมกับโครงการธนาคารกสิกรไทย มาเป็นผลงานหนังสือที่ชื่อว่า ...คิดออกนอกหน้า


    สมชาติ เล่าว่า เขาให้ความสำคัญนับตั้งแต่การเริ่มคิดหากจะทำธุรกิจขึ้นมาสักอย่าง หากจะแตกต่างอย่าเพียงสักแต่ทำให้ดูต่าง ต้องไปเริ่มตั้งแต่วิธีคิดทั้งกระบวนการ หากจะสร้างนวัตกรรมก็ไม่ใช่แค่ทำสิ่งที่ยังไม่มีในโลก ทุกสิ่งเริ่มต้นจากความคิด เพราะว่าสิ่งที่คิดกำหนดสิ่งที่เป็น เมื่อขบคิดค้นหาสิ่งที่มี ตั้งโจทย์ที่ใช่ ปรับรูปแบบให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนยุคนี้ คำตอบที่นำทางไปสู่ความสำเร็จอาจอยู่ตรงหน้านั่นเอง
    เขามองว่า ธุรกิจนั้นคล้ายการเดิมพันอยู่เหมือนกัน หลายคนลงเงินไปแล้วได้กำไรกลับแบบน่าพอใจ แต่ก็มีหลายคนไม่ใช่แค่ลงแล้วหายแต่เป็น เสียแล้วก็เสียอีก ซึ่งหลายอย่างก็ขึ้นอยู่กับ จังหวะ และ โอกาส แต่ทั้งสองสิ่งก็ไม่ได้จะมาพร้อมกัน สิ่งที่เขาแนะนำในการทำธุรกิจที่ควรเตรียมพร้อมไว้เสมอก็คือ ทำสินค้าให้โดนใจตลาดอยู่เสมอ พัฒนาประสิทธิภาพบุคลากรและการบริการให้เหนือคู่แข่ง เพิ่มแรงจูงใจด้วยการมอบส่วนลด แต่ถ้าทำทั้งหมดแล้วความสำเร็จยังมองไม่เห็น ก็คงต้องพึ่งอะไรสักอย่าง และสมชาติบอกว่า เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่หลายคนจะหันไปหาความเชื่อ พลังลี้ลับ ที่หวังจะช่วยให้ธุรกิจพลิกฟื้นขึ้นมา ซึ่งอาจเคยได้ยินกันถึงคำว่า ชะตาฟ้า ชะตามนุษย์ และชะตาดิน แต่ถ้าให้เขามองในแง่ธุรกิจ คิดแล้วนำมาปรับใช้ได้
    ชะตาฟ้า เปรียบเสมือนกับทรัพย์สินมรดกที่ตกทอดกันมา ใครเกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทอง หรือพ่อแม่ปูทางธุรกิจมาให้แล้ว ก็ถือว่าวาสนาดี มีข้อได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ซึ่งถือเป็นความได้เปรียบของการแข่งขัน - Competitive Advantage
    ชะตามนุษย์ ก็คือคุณลักษณะของแต่ละคน ทักษะความสามารถในการบริหารจัดการ ความขยันหมั่นเพียรในการประกอบสัมมาชีพ ถือเป็น ประสิทธิภาพ-Capability หรือความสามารถที่มี-Competency ของบุคคลนั้นๆ
    ชะตาดิน คือการปรับธาตุต่างๆ ให้สมดุลและเข้ากับสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก ถ้าเป็นบ้านอยู่แล้วมีสุข ถ้าเป็นธุรกิจประกอบกิจการรุ่งโรจน์ลงตัว เงินทองไหลมาเทมา นั่นก็คือกลยุทธ์-Strategy
    ยิ่งในยุคการแข่งขันที่มีสูง ประกอบกับความปรวนแปรของเศรษฐกิจจากภัยการเงินการลงทุน และภัยธรรมชาติ การปรับตัวในยุคนี้จึงต้องมีอยู่สูง สมชาตินำเสนอว่า การที่มีกลยุทธ์การตลาดโดยยึดหลัก 4P Product Price Place และ Promotion อาจไม่เพียงพอเสียแล้ว เพราะเดิมนั้นทำตลาดแบบใช้ตลาดเป็นตัวนำ แต่ยุคนี้ต้องยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง
    ดังนั้นจาก 4P ก็ควรหันมาสนใจเพิ่มกับ 4C ได้แก่ Customer Need-สังเกตพฤติกรรมและเข้าใจความต้องการของลูกค้า Costing-รู้จักคำนวณราคาต้นทุน หาจุดที่เหมาะสม เพื่อให้ลูกค้าพึงพอใจ Channel-ช่องทางที่จะเข้าถึงลูกค้าที่หมายรวมในทุกๆ ช่องทาง ไม่ใช่สถานที่เพียงแค่ ตลาด ห้างสรรพสินค้า หรือซูเปอร์มาร์เก็ต Communication-รวมหมดถึงการประชาสัมพันธ์ การจัดกิจกรรมกับลูกค้า ไม่ใช่ใช้เพียง ลด แลก แจก แถม
    ข้างต้นนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของการรวบรวมการ คิดนอกหน้า ออกมาเป็นเล่ม ยังมีเทคนิคอีกเพียบ พร้อมด้วยตัวอย่างจากเหตุการณ์จริง เมื่อยังไม่มีโอกาสพูดคุยกับ สมชาติ ลีลาไกรศร โดยตรง ก็สามารถหางานเขียนของเขาไปศึกษาและลองต่อยอดก่อนได้


    -http://www.posttoday.com/lifestyle/health-me/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2/89041/%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94-




    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    พระอาจารย์ฝั้นอาจาโร


    ม่มาเกิดไม่มาตายเรียกว่าชาติสุดท้าย พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร หมายเหตุ - ในโอกาสวันถวายเพลิงสรีระสังขาร หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา คณะศิษย์วัดภูสังโฆ ได้จัดทำหนังสือ ไม่มาเกิดมาตายเรียกว่า “ชาติสุดท้าย” แจก เป็นที่ระลึก ก่อนหน้านี้คณะผู้จัดทำได้เคยจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้แล้วนำถวายหลวงตามหาบัว ครั้งยังดำรงขันธ์อยู่มาก่อนแล้ว เนื่องจากการพิมพ์ครั้งล่าสุดนี้หนังสือมีจำนวนจำกัด

    ทางกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์จึงได้ขออนุญาต พระอาจารย์วันชัย วิจิตโต เจ้าอาวาสวัดภูสังโฆ นำรายละเอียดของหนังสือมาเผยแผ่ซึ่งท่านได้แจ้งว่า ให้พิจารณาว่าจะเป็นประโยชน์หรือไม่ ทางกองบรรณาธิการจึงจะนำเสนอต้นฉบับตามเดิม โดยเพิ่มเนื้อหาที่เป็นเทศนาของพ่อแม่ครูอาจารย์แต่ละรูปเข้ามาอีกส่วนหนึ่ง แล้วนำเสนอต่อเนื่องไปคราวละสัปดาห์จนกว่าจะสิ้นความหลักในหนังสือ มีรายละเอียดดังนี้

    ******************************

    [​IMG]


    พวกเราจงพิจารณาดูตัวเรากับรอบๆ ตัวเรา มันมีอะไร ตามภูตามเขามีดินมีหิน นั่นเป็นธาตุดิน มีห้วยมีธาร นั่นเป็นธาตุน้ำ มีฟ้าอากาศ นั่นเป็นธาตุลม มีความร้อนมีไฟ นั่นคือธาตุไฟ ดูเอาซี่ธาตุดินเขาเป็นอะไร ธาตุน้ำเขาเป็นอะไร ธาตุลมเขาเป็นอะไร ธาตุไฟเขาเป็นอะไร เขาเจ็บเขาปวดเขาร้อนอะไร นี่แน่ะไฟ เห็นไหมล่ะ ธาตุไฟที่เผาอาหารให้ย่อย เผาร่างกายให้ชำรุดทรุดโทรมไป หรือให้อุ่นตามสรรพางค์กาย นี่เรียกว่าธาตุไฟ เรามาอาศัยธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ นี้ประชุมกันเข้า เรียกว่าเป็นตัวเป็นตน

    เมื่อเราจำแนกแจกธาตุแล้วมันก็ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรซักอย่าง มีแต่ธาตุ รวมลงเป็นรูป
    รูปกายได้แก่ธาตุสี่นี้ นามกายได้แก่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สิ่งเหล่านี้เขาเป็นอะไรล่ะ?
    ให้พิจารณาขันธ์ ล้วนแต่ไม่เที่ยง เวทนาก็ไม่เที่ยง สัญญาก็ไม่เที่ยง สังขารก็ไม่เที่ยง วิญญาณก็ไม่เที่ยง มันเป็นยังงั้น นี่แหละเรามาพิจารณาให้ลงยังงี้ เราอย่าถือว่าเป็นคน อย่าถือว่าเป็นตัวเป็นตน เข้าใจไหมล่ะข้อนี่แหละเราก็ควรพิจารณายังงั้น

    สิ่งเหล่านั้นมันเป็นธาตุ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ สิ่งเหล่านั้นมันเป็นตัวเวทนา เป็นตัวสัญญา เป็นตัวสังขาร เป็นตัววิญญาณ เราเห็นสิ่งทั้งหลายนั้นไม่เที่ยง สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ตนอยู่ที่ไหนเล่าทีนี้ โอปนะยิโก เราต้องน้อมเข้า ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตนเท่านั้น

    ใครเป็นผู้รู้เวทนา ใครเป็นผู้รู้สัญญา ใครเป็นผู้รู้สังขาร ใครเป็นผู้รู้วิญญาณ เราก็ต้องน้อมเข้ามา
    ใครว่าธาตุดิน ใครว่าธาตุน้ำ ใครว่าธาตุลมและธาตุไฟ ผู้ไม่ได้เป็นพุทธะก็ไม่รู้อะไร เราจำแนกแจกออกไปแล้วก็เหลือแต่พุทธะ คือ ผู้รู้ ดังนี้เราจึงจับตัวมันได้

    ที่ไม่รู้จักอันใดนั้นเพราะมันคลุมเครือกันอยู่ ไม่รู้จะเอาอันใดเป็นสุข ไม่รู้จะเอาอันใดเป็นทุกข์ จะเอาอันใดดีจะเอาอันใดชั่ว มืดอยู่ยังงั้น นี่เรา นี่เราจำแนกแล้ว ส่วนใดเป็นธาตุดินมันก็เป็นดินไปแล้ว ส่วนใดเป็นธาตุน้ำมันก็เป็นน้ำลงไปแล้ว ส่วนใดเป็นลมก็เป็นลมไปแล้ว ส่วนใดเป็นไฟก็เห็นว่าเป็นไฟไปหมด ไฟเขาเป็นอะไร ดินเขาอะไร เขาหลับเขานอนไหมล่ะ เขาเจ็บเขาปวดเขาเหนื่อยเขาหิวไหมล่ะ
    สิ่งเหล่านี้เราก็พิจารณาให้มันรู้ เพื่อกำจัดภัย กำจัดเวร กำจัดกิเลส ตัณหา ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ เราจึงจะไม่ยึดไม่ถือ
    เมื่อเห็นแล้วจิตของเรามันก็วางก็ละน่ะซิ

    ...เรื่องสมมตินี่สัตว์ทั้งหลายจมอยู่ในมหาสมุทร จมอยู่ที่สมมติเป็นนั่นเป็นนี่ หากเราจำแนกแจกออกแล้วมันก็ไม่มี จิตมันก็สงบน่ะซี พอจิตสงแล้วมันก็หายหมดภัยหมดเวรทั้งหลาย เหลือแต่กรรม
    เหตุนั้นจึงพากันดูให้รู้ อายตนะเป็นบ่อเกิดของสิ่งทั้งหลาย คือ ตา หู จมูก ตาเขาเป็นอะไร หูเขาเป็นอะไร จมูกเขาเป็นอะไร ลิ้นเขาเป็นอะไร กายเขาเป็นอะไร เขาไม่ได้เป็นอะไรซักอย่าง ตาสำหรับดู หูสำหรับฟัง จมูกสำหรับดม เท่านั้นไม่ใช่เรอะ ลิ้นก็สำหรับรับรสอาหาร กายก็สำหรับสัมผัส ใจเป็นธรรมารมณ์ นี่แหละให้พิจารณา

    นี่เป็นบ่อเกิดแห่งสุขและทุกข์
    จงเพ่งพิจารณาให้มันรู้มันเห็นซิ พอเราจำแนกแจกสิ่งเหล่านั้นแล้วจิตของเราก็เป็นหนึ่งอยู่ มันไม่มีคน ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีผู้ ไม่มีคน ไม่มีบ้าน ไม่มีเมือง ไม่มีอะไรซักอย่าง จิตมันก็ว่างหมดละ
    พอจิตมันว่างหมดแล้วก็ไม่มีอะไร ไม่มีภัยไม่มีเวร นี่เราไปก่อกรรมก่อเวร สมมติเป็นอันโน้นสมมติเป็นอันนี้ มันก็หลงสมมตินี่ซิ สัตว์ทั้งหลายคาอยู่ที่นี่ จมในมหาสมุทรนี่ ข้ามไม่ได้.ต้องพ้นจากสมมติ...เราไปหลงเอาเฉยๆ นี่แหละ ต้องจำแนกแจกออกไปเพื่อไม่ให้หลง
    พุทโธให้มันรู้ซิ จิตของเราสงบ มีความเบิกบาน

    พุทโธเป็นผู้เบิกบาน พุทโธสว่างไสว พุทโธเป็นผู้รู้ สิ่งใดเกิดขึ้นรู้ได้หมด ให้เรารู้เท่าสังขาร รู้เท่าวิญญาณ สังขารไม่เที่ยง วิญญาณมันก็ไม่เที่ยงทั้งหมด... เราไม่ควรไปยึดไปถือเอาเป็นตัวเป็นตน ถ้าไม่ยึด จิตของเรามันก็พ้นทุกข์น่ะ ซิ เขาให้พิจารณาตนเสียก่อน อยัง อัตตะภะโว ภวะ ความเกิดมาแล้ว ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน อสุจิ อสุภัง มีแต่น้ำเน่าน้ำหนองเหมือนกัน อิมัง กัมมัฏฐานัง ภเวติ ให้พิจารณากรรมฐานให้เห็นอย่างนั้น

    ท่านให้พิจารณาตนให้เห็นเป็นอย่างนั้น อันนี้ อนิจจา วตะ สังขารา สังขารทั้งหลายเป็นอย่างนี้ มันไม่เที่ยงทั้งหมด เราไม่ควรจะหลง... ให้พิจารณาให้มันรู้มันเห็น เราไม่ข้องอะไรไม่คาอะไร ข้องลูกข้องหลาน ข้องบ้านข้องเมือง ไม่มีข้องล่ะผู้นี้ ยศมันก็ไม่คา อะไรมันก็ไม่คาซักอย่าง... อะไรมันก็ไม่ข้องซักอย่าง เห็นไหมล่ะ เราก็เพ่งดูให้มันรู้มันเห็นซี่... นี่คนจะมีสุขเพราะเหตุใด
    ผู้ระงับสังขารน่ะหละ วูปสโม สุโข มีความสุขเพราะระงับสังขาร

    สัพเพ สัตตา มรัญติจะ มริงสุจะ มริสสเร ตเถวาหัง มริสสามิ นัตถิ เม เอถะ สังสโย ไม่ต้องสงสัยเราทั้งหลายก็ต้องเป็นอย่างนี้ สัตว์ทั้งหลายย่อมตายมาแล้ว ที่อยู่ในปัจจุบันนี้ก็จะต้องเป็นเหมือนกัน เราไม่ต้องสงสัย จะสงสัยอะไรอีกเล่า มันจะได้อะไรที่ไหนแม้สักอย่าง แต่ก่อนเขาก็ห่วงนั่นห่วงนี่ ไปไหนก็ไม่ได้ มีแต่ข้องแต่คา กลัวอด กลัวหิว กลัวทุกข์ กลัวยาก มาบัดนี้เขาไม่กลัวอะไรสักอย่าง
    เราก็พิจารณาให้มันรู้มันเห็นอย่างนั้นซี่ มันจะได้ไม่หลง ...

    ภโวภวัง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความเกิดนั้นไม่เที่ยงทั้งหมด มีแต่น้ำเน่าน้ำเหลืองไหลยังงี้แหละ อิมัง กัมมัฏฐานัง ภเวติกรรมฐานต้องพิจารณาดู นี่ใครจะเอาบ้างล่ะรูปอย่างนี้ ไม่ต้องซื้อไม่ต้องหาก็ใครจะเอาล่ะ ให้เปล่าๆ ก็เถอะ พอพระเหล่านั้นไปเห็นแล้ว มีความสังเวชสลดใจ จิตของท่านก็สงบ ได้สำเร็จพระอรหันต์ทั้งหมด แน่ะ เป็นยังงั้น

    เพราะฉะนั้นการพิจารณาศพมีผลานิสงส์มาก จึงได้นิมนต์พระไปบังสุกุล ทีนี้พระรับนิมนต์ไปบังสุกุลกลับไปเพ่งเอาเงินเอาทองเขา มันก็ใช้ไม่ได้น่ะซี่ ฮึ่ มันเป็นเสียยังงั้น ท่านให้ปลงกรรมฐาน ให้พิจารณาเพื่อจะได้ผลานิสงส์มาก...
    เมื่อพิจารณาแล้ว ปลงธรรมสังเวชแล้ว บางคนก็ได้สำเร็จ นั่นคือน้อมเข้ามาหาตน พิจารณาให้เห็นว่ามันไม่ได้อะไรจริงสักอย่าง ได้ยศก็มียศอยู่ที่ไหน ได้ทรัพย์สมบัติก็ได้ที่ไหน ได้ลูกได้หลานได้ที่ไหน ได้บ้านได้ช่องได้ที่ไหน ไม่ได้อะไรจริงสักอย่าง นั่นแหละข้อสำคัญคือทิ้งให้โม้ด เข้าใจไหมล่ะ...

    ...เรามาอาศัยธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาประชุมกันเข้า เราถือว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นที่ไหนเล่า เพ่งดูซิ เราห่วงอะไร เราคาอะไร เราข้องอะไร ให้เพ่งพิจารณา

    เมื่อกายเราสบายแล้วบริกรรมภาวนา เคยภาวนาอันใดก็เอานั่นก็ได้ หรือนึก พุทโธ ธัมโม สังโฆ สามหนแล้วรวมเอา พุทโธ พุทโธ คำเดียว อย่าส่งใจไปข้างหน้ามาข้างหลัง ทั้งซ้ายทั้งขวา ข้างบนข้างล่าง ตั้งไว้เฉพาะท่ามกลางตรงที่รู้ พุทโธ พุทโธ อยู่นั้น อย่าส่งใจไปอื่น หลับตางับปากแล้วก็เพ่ง ทำใจให้สงบ เราอยากสุขอยากสบาย อย่าไปนึกทุกข์นึกยาก สิ่งไรทุกข์ สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวเรา อย่าส่งใจไป ตั้งไว้เฉพาะส่วนที่รู้

    ความรู้นี่แหละสำคัญ มันไม่เป็นของแตกของทำลายของฉิบหาย เป็นผู้รู้อยู่ภายใน เพ่งดูให้รู้ว่ามีอยู่จำเพาะตนของตน สุขทุกข์ ดีชั่ว เป็นความสมมติทั้งหมด สุขก็ว่าเอาเอง ทุกข์ก็ว่าเอาเอง ดีก็ว่าเอาเอง ชั่วก็ว่าเอาเอง อย่าไปว่าอะไรซี่ เย็นร้อนเราก็ว่าเอาเองทั้งหมด อย่าไปว่า วางใจให้สบายเท่านั้นแหละ เรื่องจึงจะดี

    เมื่อจิตเป็นกุศล จิตมันว่างหมด จิตมันสบาย จิตดีมีความสุขความสบาย ที่เรามานี้ต้องการความสุข ความสบาย ต้องการความพ้นทุกข์เท่านั้น เราจะเอาอะไรสุขสบายล่ะนอกจากใจของเราสงบ
    เมื่อใจของเราสงบแล้ว ความสุขความสบายก็เกิดที่นั่น ไม่ได้เกิดที่อื่น ไม่ได้สุขสบาย เพราะวัตถุข้าวของทั้งหลายต่างๆ ใจเราสบาย เท่านั้นแหละความสุข

    เมื่อใจเราสบายแล้ว ทำอะไรก็สบาย ทำมาหากิน ค้าขาย การอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง เราก็สุขก็สบาย ธรรมนั้นก็นำความสุขความสบายให้ ไปในชาติใดภพใดธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าจิตเราไม่ดี ทุกข์ยากวุ่นวายเดือดร้อน หนักหน่วงง่วงเหงาหาวนอน เดือดร้อนฟุ้งซ่านรำคาญ นั่น ธรรมนั้นก็นำสัตว์ทั้งหลายตกทุกข์ได้ยาก แม้เรานั่งอยู่อย่างนี้ก็เป็นทุกข์ได้ ไม่ใช่อื่นไกล ธรรมนั้นเองนำความทุกข์ยากให้เรา

    เราจึงต้องเลิกต้องละ อย่าไปยึดเอาซี่ สิ่งที่ทุกข์ที่ยาก วางให้หมดละให้หมด
    ทำจิตให้สบาย อยากสุขอยากสบายอย่าสำคัญมั่นหมาย ต้องการหายโรคหายภัยก็อธิษฐานเอา ตั้งสัจจะบารมีของเรา นี่ แหละ จะตัดบาปตัดกรรม ไม่มีวิธีอื่น เราต้องทำจิตให้สงบ ถ้าจิตเราไม่สงบแล้ว มันก็ไปก่อกรรมก่อภัยก่อเวร พอจิตเราสงบแล้วมันก็ไม่มีกรรม ความชั่วทั้งหลายไม่มี มีแต่ความสุข ความสบาย เราต้องการความสุขความสบายจะไปหากับทรัพย์สมบัติไม่มีหรอก มีแต่ที่ใจเราสงบ

    พอใจเราสงบแล้วมันได้รับความสุขความสบาย ก็หายโรคหายภัยหายกิเลสจัญไรหมดน่ะซี่ เคราะห์ทั้งหลายมันก็หายหมด

    ต่อไปนี้หมั่นทำนะนี่น่ะ ได้ยินไหมล่ะ ถ้าเราหัวใจยังอ่อน เราก็ตั้งมันให้แข็งขึ้น ตั้งหลักตั้งฐานขึ้น มันแล้วกับใจของเรา สำเร็จ กับใจของเรา สิ่งทั้งหลายทั้งหมดใจถึงก่อน ใจเป็นรากฐาน ใจเป็นประธาน มันไม่ได้เป็นเพราะอื่น เราปล่อยใจมันอ่อน มันก็อ่อน ต่อไปอย่าให้มันอ่อนนะ ทำใจให้เข้มแข็ง พิจารณาให้หมดที่ได้อธิบายให้ฟังแล้ว

    สังขารร่างกายอันนี้ไม่ใช่เป็นตัวของเรา ถ้าเป็นตัวของเรามันก็ไม่เป็นไปเพื่อโรคเพื่อภัยน่ะซี่ เราอยากหายโรคหายภัยก็ต้องทำใจให้สงบ ถ้าใจเราสงบ โรคภัยทั้งหลายมันก็หายไป เรื่องมันเป็นยังงั้น ถ้าใจไม่สงบแล้ว มันไปก่อกรรมก่อเวรอยู่งั้น ก่อภัยอยู่ยังงั้น มันก็ไม่หมดซักที ความจะหมดภัยเกิดเพราะจิตของเราไม่มีภัย จะหมดกรรมเพราะจิตของเราไม่มีกรรม จะหมดความชั่วก็เพราะใจของเราไม่มีความชั่ว จะหมดทุกข์ก็เพราะจิตเราไม่ทุกข์ แน่ะ เป็นยังงั้น มันหมดตรงนี้ คือจิตของเราไม่ทุกข์แล้วจะเอาอะไรมาทุกข์ล่ะ จิตของเราไม่ชั่วจะเอาความชั่วมาจากไหนล่ะ มันก็ไม่มีน่ะซี่

    ...บาปกรรมทั้งหลาย สุขทุกข์ทั้งหลาย ความดีความชั่วทั้งหลาย เราเป็นผู้ทำเอาเอง...

    ...นี่แหละพิจารณาดู เราว่ามาไกลจากบ้านจากเมืองนั้นคิดดูแล้วมันไม่ไกล มันอยู่แค่ดวงใจของเรานี่เอง บ้านก็ดีเมืองก็ดี อะไรๆ ก็ดี มันอยู่ในใจของเรานี่แหละ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านสอนให้มาแก้ที่ดวงใจทั้งหมด เมื่อดวงใจไม่มีอะไรแล้ว สิ่งทั้งหลายมันก็หมดไป ข้อนี้แหละให้หมั่นพิจารณา ที่พึ่งของเรา ที่อยู่ของเรา ที่อาศัยของเราอยู่ที่ไหน ทำไมเราจึงทุกข์จึงยากต้องพากันบ่น สิ่งทั้งหลายเขาไม่ได้ทุกข์ไม่ได้ยาก มันยากที่หัวใจเท่านี้ ว่ามันจน สิ่งทั้งหลายไม่ได้จน มันจนที่ดวงใจเท่านี้ ไม่ได้จนที่อื่น พอดวงใจจนแล้วละก็จนหมด ทรัพย์สมบัติทั้งหลายมันก็เป็นอย่างนั้น
    ถ้าดวงใจเราไม่จนก็ไม่มีอะไรจน ถ้าดวงใจไม่ทุกข์ก็ไม่มีอะไรทุกข์ ถ้าดวงใจไม่ยากก็ไม่มีอะไรยาก เรื่องมันเป็นยังงั้น

    ...เมื่อใจมีความสุขความสบายสิ่งทั้งหลายมันก็สบายนะ เรื่องสำคัญมันเป็นอย่างงั้น จะนอนก็นอนเพ่งดูหัวใจจนหลับ ใจ มีพุทโธแล้วเป็นใหญ่กว่าเขาหมด ใหญ่กว่าพระอินทร์พระพรหม เทวบุตรเทวดา ยักษ์กุมพน กุมภัณฑ์ พญาครุฑพญานาค พุทโธนี่ของเล็กน้อยเมื่อไหร่ล่ะ ใจเราเป็นใหญ่กว่าทั้งหมดล่ะนะ เรื่องเป็นอย่างนั้น เข้าใจไหมล่ะ



    .

    -http://www.posttoday.com/%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0-%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%83%E0%B8%88/%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0/89530/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A3-



    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    การไหว้ 5 ครั้ง ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญ ญาณวรเถระ )

    ไหว้ 5 ครั้ง
    ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
    ( เจริญ ญาณวรเถระ )
    วัดเทพศิรินทราวาส


    [​IMG]



    คัดลอกจาก http://www.konmeungbua.com/saha/Lung...pu_armpan.html


    คัดลอกจาก http://www.konmeungbua.com/saha/Lung...pu_armpan.html


    ในวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ไม่ว่าเวลาไร ตามแต่เหมาะต้องไหว้ให้ได้ 5 ครั้งเป็นอย่างน้อย ในคราวเดียวนั้น ถ้ามีดอกไม้ธูปเทียนก็บูชา ถ้าไม่มีก็มือ 10 นิ้วและปากกับใจ ควรไหว้จนตลอดชีวิต คือ


    ครั้งที่ 1 พึงนั่งกระโหย่งเท้าประณมมือว่า

    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ 3 หน

    แล้วว่าพระพุทธคุณ คือ
    อิติปิโส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควาติ ฯ

    หยุด ระลึกถึงพระปัญญาคุณทรงรู้ดีรู้ชอบสิ้นเชิง พระบริสุทธิคุณทรงละความเศร้าหมองได้หมด พระกรุณาคุณทรงสงสารผู้อื่นและสั่งสอนให้ปฏิบัติตามของพระพุทธเจ้า จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ


    ครั้งที่ 2 ว่าพระธรรมคุณ คือ

    สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโน สนฺทิฆฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญญูหีติ ฯ

    หยุดระลึกถึงคุณพระธรรมที่รักษาผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ


    ครั้งที่ 3 ว่าพระสังฆคุณ คือ
    สุ ปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ สามีจิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ยทิทํ จตฺตาริ ปุริสยุคานิ อฏฐปุริสปุคฺคลา เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ อาหุเนยฺโย ปาหุเนยฺโยทกฺขิเนยฺโย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺสาติฯ

    หยุดระลึกถึงคุณ คือ ความปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติชอบ ของพระอริยสงฆ์ จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    นั่งพับเพียบประณมมือตั้งใจถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะไม่ถือสิ่งอื่นยิ่งกว่าจนตลอดชีวิต ว่าสรณคมน์ คือ
    พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
    ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
    สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ

    ครั้งที่ 4 ระลึกถึงคุณมารดาบิดาของตน จนเห็นชัดแล้ว กราบลงหน 1 ฯ

    ข้า ฯ ขอ กราบไหว้คุณท่านบิดาและมารดา

    เลี้ยงลูกเฝ้ารักษา แต่คลอดมาจึงเป็นคน

    แสนยากลำบากกายไป่คิดยากลำบากตน

    ในใจให้กังวลอยู่ด้วยลูกทุกเวลา

    ยามกินพอลูกร้องก็ต้องวางวิ่งมาหา

    ยามนอนห่อนเต็มตาพอลูกร้องก็ต้องดู

    กลัวเรือดยุงไรมดจะกวนกัดรีบอุ้มชู

    อดกินอดนอนสู้ ทนลำบากหนักไม่เบา

    คุณพ่อแม่มากนักเปรียบน้ำหนักยิ่งภูเขา

    แผ่นดินทั้งหมดเอามาเปรียบคุณไม่เท่าทัน

    เหลือที่ จะแทนคุณ ของท่านนั้น ใหญ่อนันต์

    เว้นไว้ แต่เรียนธรรม์ เอามาสอนพอผ่อนคุณ

    สอนธรรมที่จริงให้ รู้ไม่เที่ยงไว้เป็นทุน

    แล้วจึงแสดงคุณ ให้เห็นจริงตามธรรมดา

    นั่นแหละจึงนับได้ ว่าสนองซึ่งคุณา

    ใช้ค่าข้าวป้อนมาและน้ำนมที่กลืนกิน ฯ


    รั้งที่ 5 ระลึกถึงคุณของบรรดาท่านผุ้มีอุปการคุณแก่ตน เช่น พระมหากษัตริย์และครูบาอาจารย์ เป็นต้นไป จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    ข้า ฯ ขอนอบน้อมคุณแด่ท่านครู ผู้อารี
    กรุณาและปรานีอุตส่าห์สอนทุก ๆ วัน
    ยังไม่รู้ ก็ได้รู้ ส่วนของครูสอนทั้งนั้น
    เนื้อความทุกสิ่งสรรพ์ดีชั่วชี้ ให้ชัดเจน
    จิตมากด้วยเอ็นดูอยากให้รู้เหมือนแกล้งเกณฑ์
    รักไม่ลำเอียงเอนหวังให้แหลมฉลาดคม
    เดิมมืดไม่รู้แน่เหมือนเข้าถ้ำเที่ยวคลำงม
    สงสัยและเซอะซมกลับสว่างแลเห็นจริง
    คุณส่วนนี้ควรไหว้ ยกขึ้นไว้ ในที่ยิ่ง
    เพราะเราพึ่งท่านจริงจึงได้รู้ วิชาชาญ ฯ

    (บท ประพันธ์สรรเสริญคุณมารดาบิดา และ ครูบาอาจารย์ของ ท่านอาจารย์ จางวางอยู่ เหล่าวัตร วัดเทพศิรินทราวาส ลิขสิทธิ์เป็นของ ท่านเจ้าคุณพระโศภนศีลคุณ (หลวงปู่หลุย พาหิยาเถร) วัดเทพศิรินทราวาส)

    ต่อ ไปนี้ไม่ต้องประณมมือ ตั้งใจพิจารณาเรื่อง และร่างกายของตนว่า จะต้องแก่ หนีความแก่ไปไม่พ้น จะต้องเจ็บ หนีความเจ็บไปไม่พ้น จะต้องตาย หนีความตายไปไม่พ้น จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น มีกรรมเป็นของตัว คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นอนิจจังไม่เที่ยง ไม่แน่นอน เป็นทุกข์ลำบากเดือดร้อน เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของตน ฯ ครั้งพิจารณาแล้ว พึงแผ่กุศลทั้งปวงมีการกราบไหว้เป็นต้นนี้ อุทิศให้แก่ท่านผู้มีคุณมีมารดาบิดา เป็นต้น ตลอดจนชั้นสูงสุด คือพระมหากษัตริย์ ทั้งเทพยดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายว่า จงเป็นสุข ๆ อย่ามีเวรมีภัยเบียดเบียนกันและกัน รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด ฯ


    การ ไหว้ 5 ครั้งนี้ ถ้าวันไหนขาด ให้ไหว้ใช้ 5 ครั้งในวันรุ่งขึ้น ถ้านั่งกระโหย่งเท้าไม่ได้ ก็นั่งพับเพียบ ถ้าไม่ได้ ก็นอนไหว้ เมื่อยกมือไม่ขึ้น ก็ปากกับใจ ถ้าทำได้อย่างนี้เป็นเครื่องพยุงตนให้เป็นคนดี ไม่ให้เป็นคนชั่ว และให้ตั้งอยู่ในที่ดี ไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ถ้าผู้ใดประพฤติได้เสมอตลอดชีวิต ผู้นั้นจะอุ่นใจในตัวของตัวเอง มีความเจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่ง ๆ ขึ้นเสมอทุกคืนทุกวัน คุ้มครองป้องกันภยันตรายปราศจากความเสียหายที่ไม่เหลือวิสัย และ ตั้งตัวได้ในทางคดีโลกและทางคดีธรรม เต็มภูมิเต็มขั้นของตน ๆ ทุกประการ จบเท่านี้ ฯ

















    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญญาณวรเถระ )

    http://72.14.235.104/search?q=cache:...h&ct=clnk&cd=7


    [​IMG]

    สมเด็จพระพุทธโฆษจารย์ นามเดิม เจริญ สุขบท เกิดในรัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2415 ที่จังหวัดชลบุรี เป็นบุตรนาย ทองสุก และนางย่าง

    เมื่ออายุ 8 ปี ได้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณชลโธปมคุณมุณี (พุฒ ปุณณกเร) ปฐมวัยอาวาสวัดเขาบางทราย เมื่ออายุ 12 ปีได้บรรพชาที่วัดเขาบางทราย

    และเข้าศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดราชบพิธอุปสมบทเมื่อวันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2435 ที่วัดเขาบางทราย จังหวัดชลบุรี พ.ศ.2439 ได้ศึกษาพระวินัยปิฎกในสำนัก สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ที่วัดเทพศิรินทราวาส

    "ตาบุญ (พระยาธรรมปรีชา) ผู้เป็นอาจารย์สอนบาลีของ
    เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มอบช้างเผือกส่งเข้ามาให้ "


    สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยา วชิรญาณวโรรส ออกพระโอษฐ์รับสั่งเมื่อครั้งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเร) สอบไล่ภาษาบาลี ในมหามงกุฎราชวิทยาลัยได้ที่ 1ทุกชั้นเป็นลำดับมา

    พ.ศ.2441 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระราชาคณะที่พระอัมราภิลักขิต เป็นผู้อำนวยการศึกษามณฑลปราจีนบุรี ต่อมาได้ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสได้เลื่อนสมณศักดิ์เรื่อยมา พ.ศ.2471 โปรดให้สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์

    พ.ศ.2476กรรมการเถรสมาคมมีมติให้ท่าน เป็นประธานกรรมการมหาเถรสมาคมบัญชาการคณะสงฆ์แทนพระสังฆราชเจ้าซึ่งสิ้นพระชนม์ ประมวลเกียรติคุณพิเศษสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเร)เป็นพระเถระบริหารงานพระศาสนาถึง 5 แผ่นดิน คือแต่รัชกาลที่ 5-9 เป็นพระราชาคณะแต่อายุ 28 ปี เป็นสมเด็จพระราชาคณะแต่อายุ 57 ปี นับเป็นพระเถระที่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พรรษาน้อยกว่า พระเถระหลายรูปเป็นเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส แต่อายุ 28 ปี ถึง 80 ปีรวม 53 ปี นับว่ายาวนานที่สุดไม่มีใครเทียบได้
    เมื่อสอบนักธรรม หรือบาลีจะสอบได้ที่ 1 ทุกชั้นทุกประโยคเป็นรูปเดียวในสังฆมณฑล ดำรงตำแหน่งแม่กองธรรมสนามหลวง แม่กองบาลีสนามหลวง องค์เดียวกัน

    ในวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2494เวลา 10.30 น. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเระ)มรณภาพด้วยโรคเนื้องอกที่ตับรวมอายุได้ 80 ปี พรรษาที่ 59

    ความคิดเห็นส่วนตัวผม

    ท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ท่านบอก กับผู้ที่ไปกราบท่านว่า ขอให้ทุกๆวันได้ไหว้ 5 ครั้ง จะได้เป็นศิริมงคลกับตนเอง จะเหมือนกับชื่อของท่าน (เจริญ) ครับ ท่านเจ้าคุณนรเอง ก็มีความเคารพในท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ)มาก โดยท่านเจ้าคุณนรเอง เวลาเดินผ่านกุฎิของท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ)ทุกครั้ง ท่านเจ้าคุณนร ก็จะก้มลงกราบที่กุฎิอยู่ทุกครั้งครับ


    วันที่ 14 สิงหาคม 2550
    ขอเพิ่มเติมเรื่องราว ไหว้ 5 ครั้ง
    http://www.saktalingchan.com/index.p...icle&Id=262016

    [​IMG]


    เจ้าพระคุณสมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรเถร

    เจ้าพระคุณสมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรเถร
    วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร

    1. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้เป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวงนี้ เมื่อพระคุณท่านมีอายุเพียง 27 ปี มีพรรษา 7 ยั่งยืนตลอดมาเป็นเวลาช้านานถึง 53 ปีฯ

    2. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯได้รับพระราชทานสมณศักดิ์สถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ นั้นมีอายุเพียง 56 ปี เท่านั้น ฯ

    3. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งธรรมเนียมการเทศนาธรรมในวันอาทิตย์ขึ้นเป็นแห่งแรก เริ่มเมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2471 ติดต่อกันมาถึงปัจจุบันนี้ นับเป็นเวลา 45 ปี ล่วงแล้ว ฯ

    4. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคมบัญชาการคณะสงฆ์แทนพระองค์สมเด็จพระ สังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ แลบัญชาการคณะสงฆ์โดยตรงสืบต่อมาเป็นเวลา 5 ปี ( ตั้งแต่ พ.ศ. 2476 ถึง พ.ศ. 2481 ) ฯ

    5. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้ถวายพระธรรมเทศนามงคลวิเสสกถาติดต่อกันถึง 4 รัชกาล คือตั้งแต่รัชกาลที่ 6-7-8-9 เป็นเวลาถึง 25 ปี ฯ

    6. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ มีสัทธิวิหาริก-อันเตวาสิก มากที่สุดถึง 6,666 องค์ ฯ

    7. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นต้นกำเนิดตำราไหว้ 5 ครั้งให้ศิษยานุศิษย์ปฏิบัติตาม หากผู้ใดไหว้ครบ 1 ปี เป็นกำหนด ผู้นั้นจักได้รับรูปที่ระลึกจากองค์ท่านด้านหน้าเป็นรูปองค์ท่าน ด้านหลังเป็นรูปยันต์ภควัม จากกรึกนามองค์ท่านเป็นอักษรย่อ โดยลำดับแห่งราชทินนามนั้น ๆ กระทั่งครั้งสุดท้ายได้จารึก 3 อักษรว่า พ.ฆ.อ. ซึ่งย่อจากราชทินนามว่า พุทธโฆษาจารย์ สมเด็จพระราชาคณะ ฯ

    8. สัทธิวิหาริกของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ที่มีอายุยืนยาวที่สุด คือ ท่านเจ้าคุณพระโศภณศีลคุณ ( หลวงปู่หลุย พาหิยเถร ) ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกองค์ที่ 23 ปัจจุบันอายุ 92 ปี พรรษา 67 ( เกิด 9 สิงหาคม 2426 ) ยังเดินลงโบสถ์ลงสวดมนต์ทำวัตรได้เป็นประจำทุก ๆ วัน เป็นพระเถราจารย์องค์สำคัญ ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือยิ่งของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ฯ

    9. สัทธิวิหาริกของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ที่ประพฤติปฏิบัติยอดเยี่ยม และเป็นพระเถระองค์สำคัญที่มีเกียรติคุณโด่งดังในปัจจุบัน คือ ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ฯ ธมมฺวิตกฺโก ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกองค์ที่ 1740 ฯ

    ปัจฉิมโอวาท
    ของ

    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรมหาเถระ
    วัดเทพศิรินทราวาส

    ไม่ตายควาวนี้ ก็ตายคราวหน้า อย่างเศร้าโศก เสียทีที่ศึกษาปฏิบัติมา ร้องให้เศร้าโศก ก็ร้องไห้เสร้าโศกสังขารที่
    เกิดแก่เจ็บตายนั้นเอง ที่ไม่ร้องไห้เศร้าโศกนั้นมิใช่จะเป็นคนใจไม้ใส้ระกำอะไร

    ธรรมของพระก็คือ
    สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา
    สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา
    สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา
    ย่นลงก็ สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา
    สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา แล้วปรินิพพาน
    ไม่ต้องเกิดมาแก่ มาเจ็บ มาตายอีก

    (มีบัญชาให้บันทึกไว้เมื่อเช้าวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๙๔)




    .



    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...