พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ถวัติ ฤทธิเดช วีรบุรุษกรรมกรที่ถูกลืม


    ผู้ใช้แรงงานคือผู้สร้างโลก แต่ชีวิตผู้ใช้แรงงานมักถูกโลกลืม ดังชีวิตของ ถวัติ ฤทธิเดช (พ.ศ. 2437-2493) สังศิต พิริยะรังสรรค์ ว่า ถวัติ เป็นวีรบุรุษคนแรกสุดของขบวนกรรมกรไทย....
    โดย...สมาน สุดโต
    ผู้ใช้แรงงานคือผู้สร้างโลก แต่ชีวิตผู้ใช้แรงงานมักถูกโลกลืม ดังชีวิตของ ถวัติ ฤทธิเดช (พ.ศ. 2437-2493) สังศิต พิริยะรังสรรค์ ว่า ถวัติ เป็นวีรบุรุษคนแรกสุดของขบวนกรรมกรไทย นริศสา สุขสนั่น ว่า ถวัติ เป็นวีรบุรุษกรรมกรที่ถูกลืม
    ณ พิพิธภัณฑ์แรงงานไทย ย่านมักกะสัน ไม่มีชื่อถวัติ นอกจากหนังสือเล่มเล็กๆ เรื่องประวัติการต่อสู้ของกรรมกรไทย ที่ สังศิต พิริยะรังสรรค์ ค้นคว้าเรียบเรียง และโครงการหนังสือเล่ม สถาบันวิจัยสังคมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย สมาพันธ์แรงงานแห่งประเทศไทย และมูลนิธิฟรีดริช เอแบรท (ประเทศไทย) จัดพิมพ์ มิ.ย. 2529 จำนวน 3,000 เล่ม

    [​IMG]
    ถวัติ



    เมื่อเขาตาย พ.ศ. 2493 นริศสา สุขสนั่น บรรยายถึงชีวิต และพิธีศพวีรบุรุษกรรมกร ว่าช่างเงียบเหงา ไม่มีแม้แต่หรีดสัก 1 พวง เรื่องราวในอดีตของผู้นำกรรมกรยุคแรกก็เงียบ คนไทยรุ่นหลังไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน
    คนบางช้าง
    เพื่อให้เห็นภาพนักต่อสู้เพื่อกรรมกรชัดเจนยิ่งขึ้น อาจารย์สังศิตพูดถึงประวัติความเป็นมาว่า ถวัติ ฤทธิเดช เกิด พ.ศ. 2437 กำพร้าแม่ พ่อชื่อ นายวร ฤทธิเดช เป็นกำนันและเป็นชาวสวนฐานะดีแห่ง อ.บางช้าง จ.สมุทรสงคราม มีพี่น้อง 4 คน เป็นชาย 2 หญิง 2 ตัวถวัติเองเป็นบุตรคนสุดท้องของครอบครัว เริ่มต้นการศึกษาที่ อ.บางช้าง พออายุครบบวชจึงมาบวชเรียนอยู่ที่วัดสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ (บางข้อมูลว่าบวชที่วัดเทพศิรินทราวาส) ต่อมาได้เป็นผู้สอนพระธรรมวินัยแก่ภิกษุสามเณรทั่วไป หลังจากสึกออกมาแล้วพักอยู่ที่บ้านเจ้าคุณมหาโยธา และต่อมาได้เข้ารับราชการเป็นเสมียนอยู่ที่กรมอู่ทหารเรือเป็นเวลา 4 ปี ถวัติเกิดความเบื่อหน่ายต่อชีวิตราชการจึงลาออกมาเป็นบรรณาธิการหนังสือ พิมพ์สยามสักขี เมื่อปี พ.ศ. 2465
    เมื่อทำหนังสือพิมพ์สยามสักขี ทนการกดขี่ไม่ได้ จึงออกมาตั้งหนังสือพิมพ์กรรมกร มีจุดมุ่งหมายเพื่อสู้ชีวิตที่ดีกว่าของชนชั้นกรรมาชีพ
    หนังสือพิมพ์เพื่อกรรมกร มีนักเขียนที่เป็นปัญญาชน เขียนอยู่ด้วย หนึ่งในนั้นคือ ร.ต.ต.วาศ สุนทรจามร ที่ใช้นามปากกาว่าหมอโพล้ง น่าเสียดายที่หนังสือพิมพ์มีอายุได้ 3 ปี ต้องปิดตัวเอง ต่อมาได้ออกหนังสือพิมพ์ชื่อปากกาไทย เพื่อเป็นปากเสียงให้ชนชั้นกรรมกรเช่นกัน พร้อมทั้งตั้งสถานทวยราฎร์ขึ้น ถวัติใช้บ้านพักเป็นสำนักงาน แต่สถานทวยราษฎร์ก็เลิกกิจการในที่สุด
    เข้าร่วมการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
    สังศิต เล่าว่า ถวัติได้มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เพราะเขาเป็นผู้นำของสมาคมรถรางที่โดดเด่นที่สุด โดยนำกรรมการรถรางไปเป็นกำลังพื้นฐานส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้ “คณะราษฎร” เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2475
    เมื่อเกิดกบฏบวรเดช (2476) เขาอาสาส่งกรรมกรไปช่วยทหารรบ เพราะพวกเขาไม่อาจยอมให้บุคคลอื่นมาเป็นรัฐบาล “เพื่อเหยียดกรรมกรและพลเมืองประดุจทาสดังที่แล้วๆ มาได้” ทว่า พล.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้ขอให้กำลังกรรมกรช่วยทำหน้าที่รักษาความสงบภายใน พระนครแทน และได้จัดส่งกำลังทหารออกปฏิบัติหน้าที่ในการปราบกบฏคราวนั้นจนเป็นผลสำเร็จ
    ในปีเดียวกันนั้น ถวัติ และ “คณะกรรมกร” ได้นำคนงานโรงสีข้าวราว 3,000 คน นัดหยุดงานประท้วงนายจ้างที่ลดค่าแรงของคนงานขนข้าว แม้ว่าคนงานจะได้รับผลประโยชน์ของตนกลับคืนมาในท้ายที่สุด แต่ทว่าแนวคิดในการแก้ไขปัญหาสังคมระหว่าง “คณะกรรมกร” กับรัฐบาล “คณะราษฎร” ก็แตกต่างกันมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ
    ถวัติยังได้ก่อตั้ง “สมาคมอนุกูลกรรมกร” เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่กรรมกรโดยทั่วไป ทำให้กรรมกรมาขอความช่วยเหลือเสมอ แต่เขาดำรงชีพด้วยการเขียนบทความขายและนำเงินส่วนนี้มาช่วยเหลือกรรมกร การดำรงชีวิตดังกล่าวทำให้ฐานะของครอบครัวยากจนลงเป็นลำดับ จนกระทั่งนำสมบัติทั้งของตนและภรรยาออกขายเพื่อยังชีพ และช่วยเหลือกรรมกรที่มาขอความช่วยเหลือ เขาต้องเขียนหนังสือถึงตี 4 ตี 5 ตรากตรำไม่ได้พักผ่อน เมื่อขึ้นไปทำธุระที่ จ.เพชรบูรณ์ ติดเชื้อมาลาเรีย และรักษาตัวที่โรงพยาบาลวชิระเพียง 5 วัน ก็ถึงแก่กรรม เมื่ออายุ 56 ปี ในวันที่เขาถึงแก่กรรมทั้งบ้านมีเงินเหลืออยู่เพียง 1 บาทเท่านั้น
    นริศสา สุขสนั่น ว่าการตายของเขาเงียบเชียบ แม้ผลงานเพื่อปวงชนจะมาก แต่ในฐานะกรรมกรจึงไม่มีที่ว่างในหน้าประวัติศาสตร์
    เขาเคยเขียนฎีกาเพื่อนำเสนอปัญหาของราษฎร และเป็นสามัญชนคนแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่อาจหาญฟ้องหมิ่นประมาทพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อสภาผู้แทนราษฎร
    เขาเป็น “วีรบุรุษคนแรกของชนชั้นกรรมกร” ที่เคยร่วมเรียกร้องค่าแรงให้กรรมกรและเรียกร้องเวลาทำงานให้มีไม่เกินวันละ 8 ชม. และสัปดาห์ละไม่เกิน 48 ชม.
    ถวัติเคยคบหาอยู่กับ “นรินทร์ ภาษิต” ฉายาคนขวางโลก แต่ลักษณะการขวางโลกของเขาไม่เหมือนกับของนรินทร์ และไม่มีสีสันเท่า
    เขาอยู่ในวงการหนังสือพิมพ์ แต่วงการหนังสือพิมพ์ไม่ได้จารึกชื่อของถวัติไว้ในระดับเดียวกับที่กระทำต่อ “ศรีบูรพา” และ “แม่อนงค์”
    เขาได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเมือง และคุ้นเคยกับผู้นำการเมืองสาย ปรีดี พนมยงค์ แต่ก็มิเคยได้รับยศถาบรรดาศักดิ์ และผลประโยชน์ใดๆ ในฐานะนักการเมือง แม้ว่าเขาจะมีโอกาสเข้าสู่อำนาจทางการเมือง แต่ก็ปฏิเสธอย่างไม่แยแส
    เขาจบชีวิตลงอย่างเงียบเหงาด้านโรคภัยไข้เจ็บ โดยไม่มีการแสดงความอาลัยอาวรณ์จากคนที่เคยช่วยเหลือ มีเพียงคนใกล้ชิด และคนในครอบครัวที่มีเงินติดตัวรวมกันเพียง 1 บาท และก่อนที่เขาจะลาโลก ยังต้องตกอยู่ในสภาพไร้ที่อยู่อาศัย และพาครอบครัวไปนอนประท้วงที่หน้าทำเนียบรัฐบาล 2 วัน 1 คืน
    รายละเอียดในชีวิตของวีรบุรุษกรรมกรท่านนี้ ถูกรวบรวมโดย ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักศึกษาปริญญาโท สาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับ “ชีวิต ความคิด และการต่อสู้ของ ถวัติ ฤทธิเดช เมื่อแรงงานคิดหาญเปลี่ยนแปลงโลก” เพื่อเสนอต่อการชำระประวัติศาสตร์แรงงานไทย ซึ่งพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย ร่วมกับภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ และมูลนิธิฟรีดริช เอแบรท ร่วมกันจัดทำทั้งในภาคเหตุการณ์สำคัญ และตัวบุคคลที่มีคุณูปการต่อแรงงานไทย
    นักหนังสือพิมพ์
    ข้อมูลที่ ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ ค้นคว้าได้เพิ่มเติมจาก สังศิต พิริยะรังสรรค์ คือหลังจากหยุดกิจการหนังสือพิมพ์กรรมกร 2467 ไปเปิดหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ฉบับใหม่ ชื่อ “วิเศษพิศูจน์” แต่เกิดเหตุขัดข้องจึงเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “สหราษฎร์” ตีพิมพ์ได้ 3 ฉบับ ก็เปลี่ยนชื่อใหม่อีกครั้งเป็น “ปากกาไทย” และเปลี่ยนจากรายสัปดาห์ เป็นรายวัน ตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค. 2468 จำหน่ายฉบับละ 10 สตางค์ ขณะที่ค่าจ้างของกรรมกรในช่วงนั้นอยู่ที่ประมาณ 50 สตางค์ต่อวัน “ปากกาไทย” ยังเต็มไปด้วยอุปสรรคเช่นเคย เพราะการแสดงความคิดเห็นไปในทางวิพากษ์วิจารณ์ต่อต้านอำนาจรัฐอย่างรุนแรง และต่อเนื่อง ทำให้เขาถูกเจ้าพระยายมราช มีคำสั่งให้จับกุมตัวถวัติด้วยข้อหาหมิ่นประมาท ในสภาพที่ห้ามเยี่ยม ห้ามประกัน จนทำให้หนังสือพิมพ์ปากกาไทยต้องหยุดพิมพ์ไปนาน 3 วัน
    ถวัติต้องลาออกจากบรรณาธิการปากกาไทย และลดบทบาทในฐานะนักหนังสือพิมพ์ลงระยะหนึ่ง นำเงินทุนที่ได้จากการทำหนังสือพิมพ์กรรมกรและปากกาไทยมาจัดตั้งองค์กร “สถานแทนทวยราษฎร์” โดยมีเจตนารมณ์ที่จะทำงานบริการเพื่อคนทุกกลุ่มอย่างไม่มีข้อยกเว้น แต่เมื่อสถานแทนทวยราษฎร์มีอายุยืนนาน และมีจำนวนสมาชิกสูงขึ้นเท่าไร ฐานะของถวัติก็เริ่มฝืดเคือง และลำบากยิ่งขึ้นเท่านั้น ในที่สุดก็ต้องปิดตัวเองลงไปในที่สุด
    ธงสามัญชนโบกสะบัด
    เขากลายเป็นคนหมดตัว ได้หันไปทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ ในช่วงปี 2471-2472 แต่ก็เต็มไปด้วยภัยจากอำนาจรัฐ ขณะที่วัฒนธรรม “การเมืองเรื่องฎีกา” ขยายตัวขึ้น ประชาชนพากันขอร้องให้เขาช่วยเขียนฎีการ้องทุกข์ปัญหาต่างๆ เพราะเขามีความรู้ความสามารถในทางหนังสือ ในช่วงปี 2474-2475 ถวัติเขียนฎีกาทูลเกล้าฯถวายความคิดเห็นแด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่ หัวไว้หลายฉบับ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาของคนกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนักโทษ ชาวนา คนว่างงาน ทั้งในนามของตนเอง และกลุ่ม ซึ่งเขาทำไปโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ โดยเฉพาะฎีกาฉบับวันที่ 8 ต.ค. 2474 เรื่องการเสด็จพระราชดำเนินไปต่างประเทศ
    การต่อสู้เพื่อกรรมกร ทั้งจากการทำหนังสือพิมพ์ การตั้งสถานแทนทวยราษฎร์ทำให้เขาได้รับความเคารพนับถือจากผู้ใช้แรงงานอาชีพ ต่างๆ และได้รับชื่อเสียงจากการเขียนฎีกาจากกลุ่มอื่นๆ ในสังคมได้อย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น
    ศิโรตม์ ให้ความหมายของถวัติในเวลานั้นว่า “เป็นเสมือนผู้นำของราษฎรผู้ปราศจากอำนาจ และเมื่อโลกของอำนาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินพร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงการปกครองอันยิ่งใหญ่เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2475 ถวัติก็ชักธงของสามัญชน แล้วโบกสะบัดไปมาอย่างแรง”
    ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ไม่นาน ถวัติได้เป็นผู้ช่วยก่อตั้ง “สมาคมกรรมกรรถรางแห่งสยาม (ส.ร.ส.)” เพื่อต่อรองกับการจ้างที่ไม่เป็นธรรม โดยคณะราษฎรอนุมัติให้จัดตั้งได้เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2475 ประวัติศาสตร์ต้องจารึกไว้ว่าเป็นองค์กรของผู้ใช้แรงงานแห่งแรกสุดในประเทศ ไทย
    แต่ผู้ก่อตั้งสมาคมถูกบริษัทเลิกจ้าง และตัดเงิน ถวัติจึงต้องทำหนังสือร้องเรียนถึงพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีในเวลานั้น ในที่สุดนายจ้างก็ตกลงรับผู้ถูกเลิกจ้างทั้งหมดกลับเข้าทำงาน และหลังจากจัดตั้งสมาคมกรรมกรรถรางแห่งสยามเพียงครึ่งปี ถวัติ ฤทธิเดช ก็ประสบความสำเร็จในการต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิของผู้ใช้แรงงานอย่างงดงาม
    คดีดื้อแพ่ง
    เขาเริ่มเป็นข่าวอีกครั้ง เมื่อเกิดข้อพิพาทกับพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ใน “คดีดื้อแพ่ง” การฟ้องร้องทำให้เขาถูกขับไล่ออกจากบ้านพักปากคลองตลาด แต่เมื่อไม่สามารถย้ายออกได้ในเวลาที่กำหนด เนื่องจากขัดสนเงินทอง ศาลได้ส่งภรรยาและบุตรของถวัติทั้งหมดไปขังที่สถานีตำรวจปากคลองตลาดเป็น เวลา 7 วัน พระยาพหลพลพยุหเสนา ต้องส่งคนมาช่วยประกันออกไป
    เมื่อยังไม่สามารถหาที่พักได้ เขาต้องพาครอบครัวไปนอนประท้วงที่หน้าทำเนียบรัฐบาล เป็นเวลา 2 วัน 1 คืน ซึ่งได้รับความช่วยเหลือในการหาบ้านเช่าราคาถูกจากเลขานุการนายกรัฐมนตรี โดยที่ไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากผู้นำคณะราษฎรคนใด
    ถวัติยุติความเคลื่อนไหวในทุกด้านอย่างสิ้นเชิง รวมทั้งตัดขาดการติดต่อกับผู้นำแรงงานทุกคน เมื่อเกิดกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 จนเป็นเหตุให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม และ พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ (ต่อมาเป็นจอมพล) ใช้เป็นข้ออ้างในการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลของ ปรีดี พนมยงค์
    nลืมเขาแล้วหรือ
    สุขภาพเขาเริ่มทรุดโทรม โดยเป็นโรคปวดศีรษะ และมาลาเรียลงกระเพาะอาหาร จนต้องเข้าโรงพยาบาล และนอนรักษาตัวแบบผู้ป่วยอนาถาได้ 5 วันก็ถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2493 รวมอายุทั้งสิ้น 56 ปี หากเขายังมีชีวิตอยู่ถึงขณะนี้ จะมีอายุถึง 117 ปี
    ผู้ค้นคว้าชีวิตของถวัติกล่าวถึงงานศพของเขาว่า “พิธีศพของผู้นำแรงงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคสมัย เป็นไปอย่างเงียบเหงา ไม่มีพวงหรีดใดๆ ไม่มีผู้นำการเปลี่ยนแปลงท่านใดจากคณะราษฎรเข้าร่วม มีเพียงครอบครัว และนายกสมาคมกรรมกรรถรางในเวลานั้น ที่เป็นประจักษ์พยานในการจากไปของบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคสมัยของเขา”
    นี่คือแบบอย่างชีวิตวีรบุรุษคนแรกของกรรมกรไทย พวกท่านลืมเขาแล้วหรือ





    .

    -http://www.posttoday.com/%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0-%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%83%E0%B8%88/%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C/86440/%E0%B8%96%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%A4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%8A-%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%A1-



    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    กู้ซื้อบ้านดบ. 0%: เอาภาษีประชาชนไปแบกภาระ

    โดย : โต๊ะข่าวธุรกิจการตลาด


    มองต่างมุมกู้ซื้อบ้านดอกเบี้ย 0%นาน 2 ปีสำหรับบ้านหลังแรกราคาต่ำ3ล้านบาท เอาภาษีประชาชนไปแบกภาระ


    ตามข่าว “ดัน​ประชา​นิยม​ลอต​สุดท้ายกู้​ซื้อ​บ้าน​ดอก 0% 2 ปี​แถม​ฟรี​ค่า​โอน-จดจำ​นอง” จะมีผลสำหรับผู้​ขอ​สินเชื่อ​สำหรับ​ซื้อ​บ้าน​หลัง​แรก โดยบ้านที่ซื้อจะ​ต้อง​มี​ราคา​ไม่​เกิน 3 ล้าน​บาท กู้​สูง​สุด 30 ปี แต่​เมื่อ​นับ​รวม​อายุ​ผู้​กู้​รวม​กับ​จำนวน​ปี​ที่​ขอ​กู้​จะ​ต้อง​ไม่​ เกิน 65 ปี โดยผู้ขอสินเชื่อจะได้รับอัตรา​ดอกเบี้ย 0% ใน​ระยะ​เวลา 2 ปี​แรก และสามารถ​ยื่น​คำ​ขอ​กู้​ระหว่าง 1 พฤษภาคม – 30 ธันวาคม 2554 และ​ทำ​นิติกรรม​ภายในวันที่ 1 พฤษภาคม 2555 รัฐบาลได้เตรียมวงเงิน​สินเชื่อ​รวม ทั้งหมด 50,000 ล้าน​บาทเพื่อการนี้
    ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส มีความเห็นว่า มีข้อสังเกตที่พึงระวังของโครงการดังกล่าว ดังนี้:
    1. เงินจำนวน 50,000 ล้านบาทนี้ เป็นภาษีของประชาชน ซี่งควรนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศมากกว่าการอุดหนุนการซื้อบ้าน โดยควรนำไปจัดสร้างสาธารณูปโภค ถนน สะพานข้ามแม่น้ำ ซึ่งควรมีมากกว่าปัจจุบันโดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะส่งเสริมให้มูลค่าอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น
    2. ในการซื้อบ้าน หากผู้จะซื้อยังไม่พร้อม ก็ไม่ควรจะสนับสนุน เพราะอาจขาดกำลังในการผ่อนส่ง ทำให้เกิดปัญหาให้กับสถาบันการเงินในภายหลัง
    3. การเร่งให้มีการซื้อบ้าน เป็นการส่งเสริมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากกว่าการส่งเสริมการมีที่อยู่อาศัย ของประชาชน เพราะในปัจจุบันนี้ก็ไม่มีปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยของประชาชนแต่อย่างใด ยกเว้นชุมชนแออัด ซึ่งนับวันจะมีจำนวนลดลง
    4. ภาวะในขณะนี้ไม่มีปัญหาในตลาด ไม่มีอะไรวิกฤติที่ต้องช่วยเหลือเป็นพิเศษ ผู้ประกอบการก็สามารถดำเนินโครงการได้ด้วยดี จากการสำรวจของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส พบว่า โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ประสบปัญหาจนล้มเลิกไปมีจำนวนน้อยมาก
    5. ในการผ่อนชำระค่าบ้านตามปกติ สมมติบ้านราคา 1,000,000 บาท ณ อัตราดอกเบี้ย 7% ต่อปี ในเวลาการผ่อน 20 ปีนั้น ในช่วง 2 ปีแรก จะเป็นการผ่อนดอกเบี้ยถึง 138,292 บาท และเป็นการผ่อนเงินต้นเพียง 50,493 บาท ดังนั้นถ้ารัฐบาลอุดหนุนดอกเบี้ย 2 ปีแรก ก็เท่ากับรัฐบาลต้องเสียเงินถึง 138,292 บาทสำหรับบ้านหลังละ 1,000,000 บาท
    6. ในการให้ผ่อนยาวนานถึง 30 ปีนั้น แทบไม่ได้ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยนัก เช่น ณ อัตราดอกเบี้ย 7% ต่อปี เงินผ่อนชำระต่อปีจะเป็นเงินประมาณ 78,572 บาท ในขณะที่หากผ่อนชำระ 15 ปี จะต้องผ่อนชำระปีละ 108,067 บาท ซึ่งเท่ากับลดภาระประชาชนลงไปเพียงปีละ 27% แต่ผ่อนนานขึ้นถึงหนึ่งเท่าตัว การผ่อนชำระเป็นเวลานานในกรณีที่ไม่จำเป็น จะเป็นการสร้างรายได้ให้กับสถาบันการเงิน แต่ทำให้เกิดค่าเสียโอกาสลงทุนอื่นของผู้ซื้อบ้าน
    7. ในกรณีภาษีและค่าธรรมเนียมโอนที่ประมาณการไว้ 3% นั้น ปกติประชาชนก็สามารถจ่ายค่านายหน้า 3%และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อยู่แล้ว ที่สำคัญรัฐบาลก็เพิ่งยกเลิกการยกเว้นภาษีและค่าธรรมเนียมโอนไป การผ่อนผันค่าธรรมเนียมโอนในอดีตก็เป็นเพราะปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ แต่ในปัจจุบันไม่มีปัญหาดังกล่าว
    8. สำหรับมาตรการนี้ที่ว่าสำหรับการซื้อบ้านหลังแรกนั้น มีข้อสังเกตว่าจะรวมเฉพาะบ้านมือหนึ่งที่ขายโดยผู้ประกอบการอย่างเดียว หรือรวมถึงการซื้อบ้านมือสองในท้องตลาดด้วย หากรัฐบาลจะออกมาตรการนี้จริง สมควรรวมถึงการซื้อขายบ้านทั่วไปของประชาชนด้วย
    โดยภาพรวมแล้วสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในปัจจุบันยังไม่เกิดวิกฤติ การออกมาตรการต่าง ๆ จึงอาจมีความจำเป็นน้อย และพึงระวังเพราะอาจสร้างการขาดวินัยทางการเงิน และอาจสร้างอุปสงค์และอุปทานส่วนเกินจำเป็นจนกลายเป็นการสร้างฟองสบู่หรือ การสร้างวิกฤติในอนาคต


    -http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/property/property/20110429/388825/%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%9A.-0:-%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B0.html-












    .



    .



    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปราสาทตาเมือนธม ภูมิประเทศรอยต่อแห่งราชมรรคา


    ปราสาทตาเมือนธม ภูมิประเทศรอยต่อแห่งราชมรรคา (ภูมิบ้าน ภูมิเมือง)
    <table cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>
    [​IMG]
    </td> </tr> <tr> <td align="center" height="10">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td><center>ตาเมือนธม-ซุ้มโคปุระ

    [​IMG]
    ปราสาทเหมือนโต๊ด

    [​IMG]
    ตาเมือนธม-ปรางค์บริวาร

    [​IMG]
    ฐานปฏิบัติการตาเมือนธม

    [​IMG]
    ตาเมือนธม-ปราสาทบริวาร

    [​IMG]
    บรรณาลัย

    [​IMG]
    จำหลักอโรคยาศาลา
    </center></td></tr></tbody></table>


    จากปัญหาการสู้รบด้านปราสาทตาเหมือน-ปราสาทตาควายนั้น ทำให้หลายคนมีความสนใจถึงเรื่องราวของสถานที่แห่งนี้มาก จึงได้เดินทางไปสำรวจและนำมาเล่าลัดตัดความให้รู้กันถึงความสำคัญ

    เมื่อครั้งพระเจ้าชัยวรมันที่๗ กษัตริย์ขอมแห่งเมืองพระนครหลวงหรือนครธมนั้น ได้มีการสร้างถนนทางเดินที่เรารู้จักกันว่า ราชมรรคา ถึง ๑๗ แห่งตั้งต้นจากเมืองพระนครหลวงนครธมมายังปราสาทเมืองพิมาย เพื่อเป็นทางเดินของกษัตริย์ขอมโบราณ ระหว่างเส้นทางราชมรรคา สายหลักนั้นได้มีการสร้างกลุ่มปราสาทขึ้น เพื่อใช้เป็นจุดพักระหว่างทาง ตรงพื้นที่รอยต่อระหว่างที่ราบของอาณาจักรเมืองพระนครด้านล่างกับพื้นที่ราบสูงของแคว้นศีจนาศะ ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองพิมาย ซึ่งเป็นเทือกเขาพนมดองเร็กหรือเขาพนมดงรักอันเป็นสัญลักษณ์กั้นเขตแดนของสองประเทศในภายหลังขึ้น

    ปราสาทกลุ่มนี้เรียกชื่อกันตามช่องเขาตาเมือนหรือตาเมียง ว่า ปราสาทตาเมือน หรือ ปราสาทบายกรีม ตั้งอยู่บนที่ราบสูงของเขาพนมดงรัก และยืนยันว่าเป็นเขตประเทศไทย ปัจจุบันมีหมู่บ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ ๘ ตำบลบ้านตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ โดยมีช่องเขาตาเมือน หรือช่องเขาตาเมียงอยู่ข้างล่าง ที่ใช้เดินระวังเป็นช่องแข่งเขตที่มีกำลังทหารสองฝ่ายดูแลเขตใครเขตมันอยู่ใน เทือกเขาพนมดงรัก เป็นกลุ่มปราสาทขนาดเล็กที่สุดของอุทยานประวัติศาสตร์กลุ่มปราสาทตาเมือน

    ประกอบด้วยปราสาทหิน ๓ หลังที่อยู่ห่างกันไม่มากนัก คือ ปราสาทตาเมือน ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือน นั้นห่างจากปราสาทตาเมือนโต๊ด ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ๓๙๐ เมตร เป็นปราสาทองค์ที่เล็กที่สุด ก่อด้วยศิลาแลง สร้างเป็นห้องยาว เชื่อกันว่าคือ ธรรมศาลา หรือที่พักของคนเดินทางแห่งหนึ่งใน ๑๗ แห่งที่พระเจ้าชัยวรมันที่๗ กษัตริย์ขอมแห่งเมืองพระนคร ให้สร้างขึ้นระหว่างทางราชมรรคา

    ปราสาทตาเมือนนี้มีลักษณะเป็นปรางค์ ที่ด้านหน้า ผนังด้านหนึ่งปิดทึบ แต่สลักเป็นหน้าต่างหลอก ส่วนอีกด้านมีหน้าต่างเรียงกันโดยตลอด เคยมีผู้พบทับหลังแห่งนี้เป็นรูปพระพุทธรูปปางสมาธิในซุ้มเรือนแก้ว แตกต่างกับทับหลังที่เป็นเทวดากับหน้ากาล

    ปราสาทตาเมือนโต๊ด นั้นสร้างเป็นอาคารหลังเดียว เชื่อว่าเป็น ธรรมศาลาหรืออโรคยาศาลา ทำหน้าที่เป็นโรงพยาบาลรักษาไข้ สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 18 ที่มีสภาพที่ทำให้เห็นรูปแบบความสมบูรณ์ในอดีต กล่าวคือปรางค์ประธานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีมุขด้านหน้า ก่อด้วยศิลาแลงและหินทราย มีบรรณาลัยอยู่ทางด้านหน้าเยื้องไปทางขวาขององค์ปรางค์ ล้อมรอบด้วยกำแพงศิลาแลง โดยมีซุ้มประตู (โคปุระ) อยู่ด้านทิศตะวันออกแห่งเดียว และมีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้า ห้องกลางของซุ้มประตูโคปุระนั้นศิลาจารึกอักษรขอมภาษาสันสกฤต เป็นจารึกที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ให้สร้างไว้ประจำอโรคยาศาลาแห่งนี้ มีข้อความเช่นเดียวกับจารึกในอโรคยาศาลาอื่น ๆ ข้อความนั้นสรุปได้ว่าเป็น คำกล่าวนมัสการพระพุทธเจ้าพระไภษัชยคุรุไวฑูรยะ ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ผู้ประทานความไม่มีโรคแก่ประชาชนผู้นับถือ และกล่าวถึงการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ประจำสถานพยาบาลในแผนกต่าง ๆ เช่น แพทย์ ผู้ดูแลสถานพยาบาล

    ปราสาทตาเมือนธม เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุด(ธม แปลว่า ใหญ่)ในกลุ่มปราสาทตาเมือน อยู่ถัดจากปราสาทตาเมือนโต๊ดไปทางทิศใต้ประมาณ ๒๐๐ เมตร ตั้งบนแนวเทือกเขาพนมดงรักประกอบด้วยปรางค์ ๓ องค์คือปรางค์ประธานขนาดใหญ่ที่สุดอยู่ตรงกลาง และมีบรรณาลัยศิลาแลง ๒ หลังอยู่ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้และทิศตะวันตกเฉียงใต้ ปรางค์ทั้งสามองค์สร้างด้วยหินทรายหันหน้าไปทางทิศใต้ สำหรับปรางค์ประธานยังเหลือลวดลายจำหลักงดงามไว้ให้เห็น

    ส่วนด้านตะวันออกเฉียงเหนือและด้านตะวันตกเฉียงเหนือนั้น มีปราสาทหินทรายบริวาร ๒ หลังมีระเบียงคดหินทรายล้อมรอบ โดยมีซุ้มประตูหรือโคปุระอยู่สี่ด้าน โคปุระด้านใต้มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีบันไดทางขึ้นจากเชิงเขาด้านหน้า

    ด้านหน้าปราสาททางทิศเหนือมีสระน้ำ ๒ สระและลานกว้าง ริมระเบียงคดทางมุขด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้พบศิลาจารึกภาษาขอม กล่าวถึงชื่อ พระกัลปกฤษณะ ทำให้สันนิษฐานได้ว่า โบราณสถานแห่งนี้สร้างในไศวนิกายนับถือพระศิวะ

    จากลักษณะทางสถาปัตยกรรมและลวดลายจำหลักต่าง ๆ ทำให้ทราบได้ว่า โบราณสถานแห่งนี้คงจะสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ประมาณ พ.ศ.๑๕๖๐-๑๖๓๐ ถือว่าเก่าแก่กว่าปราสาทตาเมือนสองแห่ง

    ตามเส้นทางราชมรรคาของกษัตริย์ขอมโบราณ ได้ผ่านพรหมแดนธรรมชาติของเขาพนมดงรักที่กั้นสองดินแดน ดังนั้นการใช้เส้นทางผ่าช่องเขาที่มีอยู่ตลอดแนว ทำให้ช่องเขาบางแห่งมีการสร้างปราสาทหินขนาดเล็กไว้ เช่น ช่องไชตะกูมีปราสาทแบแบก เป็นต้น แต่ตรงช่องตาเมือนหรือตาเมียงแห่งนี้ กลับสร้างปราสาทสามหลังอยู่บนเขาและพื้นที่สูงในเขตไทย โดยปราสาทประธานนั้นสร้างคร่อมโขดหินธรรมชาติที่มีลักษณะเป็นสยัมภูศิวลึงค์ และใช้เป็นที่สำหรับประกอบพิธีกรรม โดยมีทางขึ้นลงติดกับดินแดนเขมรที่อยู่ด้านล่าง ถือว่าอยู่ติดเขตแดนกันมากที่สุด ประเด็นสำคัญอยู่ที่ด้านหน้าปราสาทนั้นไปทางทิศใต้ แตกต่างจากแห่งอื่นๆที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก

    อย่างไรก็ตามในอดีตนั้นกลุ่มปราสาทแห่งคือจุดพักและเส้นทางเชื่อมพื้นที่ราบต่ำกับพื้นที่ราบสูง เป็นภูมิประเทศที่สามารถทำให้เกิดปัญหาชายแดนได้บ่อยครั้ง หากยังยึดเอาสิ่งก่อสร้างอยู่ที่ใหนเป็นของตนเสียหมด ก็จะเกิดกรณี ขอมโบราณ ก็ม่ใช่ เขมร ขึ้น ข้อสำคัญตรงที่ปราสาทกลุ่มนี้ กรมศิลปากรจัดงบขุดแต่งบูรณะเมื่อพ.ศ.๒๕๓๓และเฝ้าดูแลตลอดมาจนถึงปัจจุบัน จะเป็นพื้นที่ของใครได้อย่างไร

    พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ




    .


    -http://www.naewna.com/news.asp?ID=259578-

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2011
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ยุคแห่งการถือครอง“ทรัพย์สิน” (เคล็ด(ไม่)ลับ สู่ความมั่งคั่ง)

    ถึง วันนี้ ความคิดที่ว่า “เงินสด” คือ พระเจ้า ดูเหมือนจะกลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว เพราะนับวัน “เงิน”? มีแต่จะด้อยมูลค่าลง อันเนื่องมาจากปัจจัยสำคัญที่เรียกว่า “เงินเฟ้อ” ว่ากันว่าในระยะยาวแล้ว เงินเฟ้อจะวิ่งที่ระดับ 3% ต่อปีโดยเฉลี่ย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วตัวเลขดังกล่าวดูจะเป็นเพียงทฤษฎี เพราะไม่เคยเห็นข้าวปลาอาหารบ้านเราขึ้นราคาครั้งละ 3% กับเขาเสียที

    และ นั่นส่งผลให้การฝากเงินไว้กับสถาบันการเงิน กลายเป็นกลายลงทุนที่ไม่ฉลาดอีกต่อไป เพราะนอกจากข้อดีในเรื่องสภาพคล่องแล้ว เงินฝากแทบจะไม่ให้สิทธิประโยชน์อย่างอื่นเลย ไหนจะดอกเบี้ยที่แสนจะต่ำ ไหนจะภาษี ไหนจะค่าธรรมเนียมต่างๆ ดังนั้นนอกเหนือไปจากเงินสำรองใช้จ่ายเผื่อฉุกเฉินแล้ว เราไม่ควรลงทุนเงินที่เหลือใช้ไว้ในเงินฝากอีกต่อไป

    เมื่อเงินฝากไม่ใช่ทางเลือก แล้วเราควรลงทุนในอะไรกันดี?

    เพื่อ ให้ง่าย และไม่ต้องคิดอะไรมาก เรามาดูกันดีกว่าว่าคนที่เขามั่งคั่งไปแล้ว อย่างสิบมหาเศรษฐีของไทยนั้น เขาลงทุนในอะไรกัน เผื่อว่าเราจะได้ลงทุนกับเขาบ้าง แล้วจะได้รวยกันสักที [ข้อมูลการจัดอันดับจาก toptenthailand.com ประจำปี 2010]

    1. เฉลียว อยู่วิทยา (ผู้ก่อตั้งธุรกิจเครื่องดื่มกระทิงแดง)

    2. เจริญ สิริวัฒนภักดี (ผู้ก่อตั้งบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ เจ้าของกิจการโรงแรมพลาซ่า แอทธินี่ และไอเอ็มเอ็ม)

    3. ครอบครัว “จิราธิวัฒน์” (ธุรกิจค้าปลีก (ห้างเซ็นทรัล),อสังหาริมทรัพย์ และโรงแรม)

    4. ธนินท์ เจียรวนนท์ (กิจการเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี.))

    5. กฤตย์ รัตนรักษ์ (บริษัท บางกอก บรอดคาสติ้ง แอนด์ ทีวี (บีบีทีวี) และหุ้น อาทิ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และปูนซิเมนต์นครหลวง)

    6. ประณีตศิลป์ วัชรพล (เจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ)

    7. วิชัย มาลีนนท์ (บีอีซีเวิร์ลด์ และไทยทีวีสีช่อง 3)

    8. จำนงค์ ภิรมย์ภักดี (ประธานบริษัทบุญรอด บริวเวอรี่ (เบียร์สิงห์))

    9. สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ (ประธานเครือบริษัท ไทยซัมมิต ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์)

    10. อนันต์ อัศวโภคิน (บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮาส์)

    จะ เห็นได้ว่า ทั้งสิบอันดับมหาเศรษฐีของไทยนั้น ต่างก็ถือครองสิ่งที่เรียกว่า “ทรัพย์สิน” (Assets) ด้วยกันทั้งสิ้น (ไม่มีใครรวยด้วยเงินฝากอีกเช่นเคย) แตกต่างกันที่ว่าจะเป็นทรัพย์สินประเภทใดก็เท่านั้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว เราสามารถแบ่งทรัพย์สินออกเป็นกลุ่มใหญ่ได้ดังนี้

    1) ตราสารทางการเงิน

    2) อสังหาริมทรัพย์

    3) ธุรกิจ

    ส่วนสิ่งอื่นๆ ที่สามารถนับรวมเป็นทรัพย์สินได้ ก็เช่น ทองคำ หรือของสะสมมีค่า (ปัจจุบันมีการถือทองในรูปตราสารการเงินเหมือนกัน)

    ทีนี้เรามาทำความรู้จัก และเข้าใจข้อดี-ข้อเสียของทรัพย์สินแต่ละประเภทกันหน่อยดีกว่า

    ตราสารการเงิน (Paper Assets)

    ตรา สารการเงินก็คือ ทรัพย์สินที่อยู่ในรูปกระดาษทั้งหลาย ที่นิยมลงทุนกันมาก ก็ได้แก่ หุ้น และพันธบัตร ถือเป็นทรัพย์สินที่เข้าลงทุนได้ง่าย ออกจากการลงทุนก็ไม่ยาก แถมยังไม่ต้องบริหารจัดการใดๆ แต่เป็นทรัพย์สินที่ควบคุมได้ยาก รูปแบบผลตอบแทนมีสองลักษณะ คือ กำไรจากส่วนต่างการขาย (ซื้อถูกขายแพง) และกระแสเงินสดจากเงินปันผล (กรณีกิจการที่ลงทุนมีผลกำไรงาม และบริษัทมีนโยบายที่จะปันผล)

    สำหรับ คนที่ต้องการผลตอบแทนระดับที่สูงหรือต้องการมีอิสรภาพทางการเงินจากการลงทุน ในตราสารการเงิน จำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะต้องมีปริมาณเงินลงทุนจำนวนหนึ่ง อย่างน้อยเริ่มต้นก็น่าจะต้องมี 1 ล้าน ถ้าน้อยกว่านั้น เป็นการลงทุนเพื่อเรียนรู้เท่านั้นครับ

    ข้อดี: เป็นการลงทุนที่มีสภาพคล่อง?สูง (ซื้อง่ายขายคล่อง) เมื่อเทียบกันกับทรัพย์สินอีกสองประเภท และมักไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับการบริหารจัดการตัวทรัพย์สินหรือตราสารนั้น เพียงแต่เลือกลงทุนตามจังหวะเวลาที่ถูกต้องเท่านั้น

    ข้อเสีย: เป็นการลงทุนที่คุณไม่สามารถใช้พลังทวี (Leverage) ได้ หรือถ้าได้ก็น้อย เพราะสถาบันการเงินไม่ปล่อยเงินกู้เพื่อให้คุณไปลงทุนในหุ้นหรือพันธบัตร อย่างแน่นอน พูดให้ง่ายเข้าก็คือ การลงทุนในตราสารการเงินนั้นคุณมีโอกาสใช้เงินของคนอื่นหรือ OPM ได้น้อย หรืออาจต้องใช้เงินตัวเองทั้งหมด

    อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate)

    เมื่อ พูดถึงอสังหาริมทรัพย์ คนจำนวนมากจะนึกถึงการลงทุนขนาดใหญ่ ใช้เงินจำนวนมาก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย เพราะเราสามารถเริ่มต้นลงทุน??ในอสังหาริมทรัพย์ด้วยเงินเพียงแสนสองแสนบาท ได้สบาย โดยอาศัยพลังทวี (Leverage) จากเงินของสถาบันการเงินในอัตรา 1:10 ได้อย่างสบาย (เงินลงทุน 1 แสน ลงทุนทรัพย์สินระดับ 1 ล้านบาทได้)

    รูป แบบการลงทุนและผลตอบแทนมีทั้งแบบกำไรจากส่วนต่าง อันเนื่องมาจากการซื้อขายเก็งกำไร (ซื้อถูกขายแพง) และการสร้างกระแสเงินสดจากการให้เช่า อาทิ บ้านเช่า คอนโค อพาร์ทเมนท์ เกสต์เฮ้าส์ หรือโรงงาน โกดังให้เช่า เป็นต้น

    ข้อดี: เป็นการลงทุนที่สามารถใช้พลังทวีจากเงินคนอื่น (Other People’s Money, OPM) ได้ ตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ การกู้เงินธนาคารมาซื้อบ้าน ซึ่งธนาคารส่วนใหญ่ก็จะปล่อยกู้ให้ถึง 80-90% ของราคาซื้อหรือราคาประเมิน??? (แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า) เลยทีเดียว ซึ่งการใช้เงินของคนอื่นนี้ จะช่วยให้เรามีอัตราผลตอบแทนการลงทุนที่สูงขึ้นกว่าการใช้เงินตัวเอง

    ข้อ เสีย: แม้จะใช้พลังทวีช่วยให้เข้าครอบครองทรัพย์สินได้ง่ายขึ้น แต่อสังหาริมทรัพย์ก็มีข้อเสียในเรื่องสภาพคล่องที่ค่อนข้างต่ำ คิดง่ายๆ หากวันนี้คุณไม่พอใจบ้านหลังที่คุณอาศัยอยู่ คุณสามารถขายมันได้วันนี้พรุุ่งนี้เลยหรือไม่ หรือหากคุณปล่อยทรัพย์สินให้เช่า ก็อาจมีเรื่องความยุ่งยากของการบริหารจัดการเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

    ธุรกิจ (Business)

    เป็น ทรัพย์สินที่ไม่มีสูตรสำเร็จ มีรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ สร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อตอบสนองและแก้ปัญหาให้กับผู้คน ยิ่งธุรกิจของคุณแก้ปัญหาคนได้มากแค่ไหน คุณก็จะยิ่งร่ำรวยมากเท่านั้น ยกตัวอย่าง ร้านตัดผมก็ตอบสนองปัญหาคนผมยาว ถ้าเปิดร้านได้ 1 ร้าน ก็แก้ปัญหาคนได้กลุ่มหนึ่ง (รวยประมาณหนึ่ง) ถ้าเปิดแฟรนไชส์ร้านตัดผม ก็ตัดผมคนได้มากขึ้น รวยยิ่งขึ้น

    ผลตอบแทนมีทั้งในรูปกระแสเงินสด นั่นคือ เงินปันผลจากกิจการ และกำไรจากการขายหุ้นกิจการ (ดูกรณีของคุณตันขายโออิชิเป็นตัวอย่าง)

    ข้อ ดี: เป็นการลงทุนที่มีความหลากหลาย มีช่องว่างทางธุรกิจสำหรับไอเดียใหม่ๆ เสมอ สามารถเริ่มต้นได้โดยไม่ต้องใช้เงิน หรือใช้พลังทวีจากเงินคนอื่น (OPM) ได้สูงสุดเมื่อเทียบกับทรัพย์สินประเภทอื่น

    ข้อเสีย: สภาพคล่องต่ำ เพราะการขายธุรกิจทิ้งทำได้ไม่ง่าย แถมยังต้องอาศัยความสามารถในการบริหารที่สูง

    ท้าย ที่สุดแล้ว ไม่มีข้อตัดสินว่าทรัพย์สินใดดีกว่ากัน หรือดีที่สุด สิ่งสำคัญ คือ “จริต” ของผู้ลงทุนนั้นว่าชอบ สนุก และเข้าใจในทรัพย์สินประเภทใดเป็นพิเศษ ก็ควรที่จะเลือกลงทุนในทรัพย์สินประเภทนั้น ทั้งนี้เพราะการลงทุนที่ดีที่สุด ก็คือ การลงทุนที่คุณสนใจ เข้าใจ และทำให้คุณนอนหลับฝันดี (High Understanding, High Returns)

    คำถาม คือ ถึงวันนี้ คุณเริ่มต้นสร้างทรัพย์สินเพื่อการลงทุนของตัวเองหรือยัง ถ้ายัง ก็จงอย่าฝันไปไกลถึงความมั่งคั่งเลยครับ เดี๋ยวเหนื่อย

    พบกันฉบับหน้าครับ

    สนใจ สัมมนาหลักสูตร Financial Literacy: พื้นฐานสู่อิสรภาพทางการเงิน รุ่นที่ 22 วันเสาร์-อาทิตย์ที่ 14-15 พฤษภาคม ติดตามรายละเอียดและลงทะเบียนสมัครได้ที่ www.bizkons.com

    จักรพงษ์ เมษพันธุ์
    financial.literacy@hotmail.com
    วันที่ 1/5/2011

     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ่านหูไว้หู อิอิ

    ถ้ามีจริง พวกเขมร มันคงไม่ยอมเวียดนามแน่ๆ เหอๆๆๆ



    .
    ทหารไทย-กัมพูชายังปะทะกัน ฮือฮา!เขมรใช้ไสยศาสตร์ส่งทหารลิงลมพรางตายิงไม่ตาย-หายตัวได้


    ชาย แดนไทย-เขมรในพื้นที่ จ.สุรินทร์ยังคงมีการปะทะกันตลอดคืนถึงเช้า ทหารไทยถูกสะเก็ดระเบิดบาดเจ็บ 1 นาย ฮือฮา!เขมรใช้ไสยศาสตร์ส่งทหารลิงลมมาพรางตายิงไม่ตาย กระโดดไปมาและหายตัวได้ แม่ทัพภาค 2 รับยังมีการปะทะกันประปรายแม้มีมติหยุดยิง

    จ.สุรินทร์: วันนี้ ( 1 พ.ค.54) ผู้สื่อข่าวรายงาน เกิดการยิงปะทะกันอีกครั้งเป็นวันที่ 10 ของการปะทะกันของทหารเขมรกับพูชากับทหารไทย เมื่อคืนนี้ที่บริเวณปราสาทตาควาย ตั้งแต่เวลา 23.00 น.ของคืนที่ผ่านมา(30 เม.ย.) และเสียงปืนการปะทะหนักขึ้นเวลา ตี 1 ถึง ตี 2 โดยมีเสียงระเบิดเอ็ม 79 ยิงเข้ามาประมาณ 20 นาที หลังจากนั้นก็เป็นปืนเล็ก ปะทะเป็นระยะตลอดแนวถึงปราสาทตาเมือนธม จนถึงเวลา 07.00 น.วันนี้ จึงสงบลง และมีรายงานมีทหาร ได้รับบาดเจ็บทราบชื่อ ส.ต.รัฐพล ครองยุทธ์ สังกัด ร.8 พ.2 ถูกสะเก็ดระเบิดบาดเจ็บบริเวณใบหน้า และทหารไม่ทราบชื่อ อีก 1 นาย ถูกสะเก็ดระเบิด เช่นกัน และถูกน้ำตัวส่ง รพ.พนมดงรัก แล้วและส่งต่อมายัง รพ.ค่ายวีรวัฒน์โยธิน จังหวัดทหารบกสุรินทร์ทำให้ยอดทหารไทย ได้รับบาดเจ็บ จากการปะทะกับทหารกัมพูชา จากการปะทะ 10 วัน บาดเจ็บ 108 นาย เสียชีวิต 7 นาย พลเรือนเสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บ 2 คน
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ปะทะปราสาทตาควาย พบทหารกัมพูใช้ไสยศาสตร์แปลงกายเป็นมนุษย์ลิงลม เข้ามาหลอกพรางตาที่เวลายิงแล้วไม่ตายกระโดดหลบไปมา และปีนขึ้นต้นไม้และหายตัวได้ ซึ่งเชื่อว่าทางทหารกัมพูชาได้เล่นไสยศาสตร์ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ไทยกำลังใช้วิธีแก้ไสยศาสตร์ โดยการนำเลือด ของสุภาพสตรีที่มีประจำเดือนเพื่อให้ทหาร นำไปทาที่กระปืนทุกชนิดแล้วทำการยิง
    ด้านพระสงฆ์ สายป่ารูปหนึ่งระบุว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง มีทหารนำเรื่องมาแจ้งให้ทราบ และได้ทำพิธีแก้เคล็ดให้แล้ว ซึ่งได้ผล ทหารที่ออกรบ ลงมาบอกว่า ยิงมนุษย์ลิงลมตายไปหลายคนแล้ว
    ด้านพ.อ.ประวิทย์ หูแก้ว โฆษกกองทัพภาค 2 เปิดเผ ถึงกรณีสถานการณ์บริเวณริมชายแดนจังหวัดสุรินทร์ว่า ยังคงมีการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา ซึ่งเมื่อช่วงทุ่มเศษ (30 เม.ย.) ได้มีกองกำลังสอดแนมฝ่ายทหารกัมพูชา เข้ามาในพื้นที่ใกล้ปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ และเปิดฉากยิงก่อน ทหารไทยจึงยิงตอบโต้ด้วยอาวุธปืนประจำกาย โดยใช้เวลาไม่นาน ก่อนหยุดการปะทะกันไป ต่อมาเวลา 21.45 น. กองกำลังสอดแนม ฝ่ายกัมพูชา มีการหนุนกำลังเสริมเข้ามาเป็นจำนวนมาก และเริ่มปะทะกันอีกรอบ โดยเป็นเพียงการใช้อาวุธปืนกลเล็ก และระเบิดมือ ขณะที่การปะทะหยุดลง เมื่อเวลาประมาณ 23.00 น. โดยฝ่ายไทยเราสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เบื้องต้นยังไม่ได้รับรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
    นอกจากนี้ โฆษกกองทัพภาค 2 กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีที่ชาวบ้านอพยพมาพักพิงที่ศูนย์อพยพจากเหตุการณ์ปะทะกัน โดยบางส่วนเริ่มทยอยกันกลับบ้านของตนนั้น ทางกองทัพ มีความเข้าใจว่า ชาวบ้านเป็นห่วงบ้านและทรัพย์สินของตน หลังจากที่ต้องมาพักพิงที่ศูนย์อพยพเป็นเวลา 9 วันแล้ว อีกทั้งชาวบ้านเข้าใจถึงสถานการณ์ว่า ขณะนี้บรรยากาศบริเวณริมชายแดนเริ่มดีขึ้น แต่ทั้งนี้ทางกองทัพก็ได้จัดกำลังทหาร และชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) คอยดูแลความปลอดภัยให้กับชาวบ้านในพื้นที่ริมชายแดนอยู่แล้ว แต่หากจะให้ชาวบ้านออกจากศูนย์อพยพได้ทั้งหมด เมื่อไหร่นั้น คงจะต้องประเมินสถานการณ์อีกครั้ง
    อย่างไรก็ตาม โฆษกกองทัพภาค 2 กล่าวย้ำว่า ถึงแม้ว่า จะมีการปะทะกันอยู่ ภายหลังที่การเจรจาหยุดยิง ผ่านไปแล้ว 2 วัน แต่ก็เป็นการปะทะกันเพียงประปราย ซึ่งหลังจากนี้ ทางกองทัพ ก็จะยังคงยึดหลักเจรจาทำความเข้าใจระหว่างสองฝ่าย ตามนโยบายของทางผู้บังคับบัญชา ต่อไป




    -http://www.siamrath.co.th/web/?q=node/55233-


    .

    http://www.siamrath.co.th/web/?q=node/55233

    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร ?
    โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์
    (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)



    ขอเจริญพร บรรดาญาติพี่น้องและคณะอาจารย์วิทยาลัยครูธนบุรีและผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน ขอเจริญสุขนักศึกษาที่มาปฏิบัติธรรมทุกคน วันนี้จะแสดงธรรมะในเรื่องกฎแห่งกรรมและกรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร ขอให้ท่านทั้งหลายได้ตั้งใจฟังธรรมสืบไป

    คำว่า กฎแห่งกรรม แปลว่าอะไร กฎ แปลว่า ดัน และผลัก กรรม แปลว่า การกระทำ แต่ละราย แต่ละรูปไม่เหมือนกัน ทำดีก็ดันไปทางดี ทำชั่วก็ดันไปทางชั่ว กฎ ตัวนี้คือ กฎแห่งธรรมชาติ กฎ แปลว่า กดลงไปและดันขึ้นมา ถ้าหากเรามีคุณธรรมได้อบรมมาดีแล้ว มันจะดันและผลักไปในทางดีให้มีปัญญาถ้าการกระทำของเราไม่สมส่วนควรกันไม่สม เนื้อสมน้ำ เพราะจิตใจที่อบรมมาไม่ดี มันจะดันไปในทางที่ไม่ดีและกดให้จมลง ให้ต่ำลงไปโผล่ไม่ขึ้น

    อาตมาประสบมามากหลาย บางคนไม่สนใจในเรื่องกรรมดี กรรมชั่ว ต้องการอายุมั่นขวัญยืน ต้องการให้มีความสวยงาม ผิวพรรณผ่องใส ต้องการให้สุขภาพอนามัยดี และต้องการให้กิจการสำเร็จตามเป้าหมาย แต่เขาไม่ได้สร้างเหตุผลที่จะส่งผลให้อายุยืน กลับไปทำให้อายุสั้น ไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เบียดเบียนชีวิตเขา อาฆาต เคียดแค้นผูกพยาบาท ริษยา รับรองผู้นั้นจะอายุสั้น พลันตายตั้งแต่อายุยังน้อย

    พระท่านสอนไว้ว่า “กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ” การเกิดเป็นมนุษย์แสนจะยาก ลำบากเหลือเกินที่จะเกิดมาโสภาภาคย์ มีน้าตาดียิ่งหายากที่สุด ท่านต้องมีญาณมา มีปัญญามา มีวิชชามา มีความรู้ของมนุษย์ คือมีคุณสมบัติมนุษย์ครบ คือคุณธรรม มีศีล ๕ ครบ จึงจะมาเกิดเป็นมนุษย์ที่โสภาได้

    บางคนมีศีลมาไม่ครบ มีคุณสมบัติไม่ครบ เกิดมาขี้ริ้วขี้เหร่ บางคนเกิดมาง่อยเปลี้ยเสียขา บางคนตาบอดหูหนวก บางคนแถมยังปัญญาอ่อนอีก บางคนเฒ่าแก่ชราเป็นอัมพาต

    บางคนมีทานดีมาแต่ชาติก่อน ก็เกิดมาเป็นลูกมหาเศรษฐีมั่งมีศรีสุข แต่เมื่อชาติก่อนเขาได้ทำการเบียดเบียนสัตว์มา ชาตินี้จึงสามวันดีสี่วันไข้ เข้าโรงพยาบาลไม่พัก มีเงินก็ช่วยไม่ได้ บางคนไม่ได้สร้างเหตุแห่งปัญญามา ถึงเกิดเป็นลูกเศรษฐี เงินก็ชื้อวิชาไม่ได้ เงินก็ช่วยลูกเรียนเป็นดอกเตอร์ไม่ได้ เพราะเหตุใด เพราะทำบุญมาไม่ครบ

    บางคนบ้านใหญ่โตราวกับวัง แต่กินข้าวกับน้ำตาไม่เว้นแต่ละวัน ท่านทั้งหลายโปรดทราบ เรื่องสังข์ทองเป็นปริศนาธรรม หกเขยคือหน้าโง่ โง่ทางอายตนะ ตาโง่ ไม่มีกำหนดเห็นหนอ เห็นด้วยโง่ๆ ไม่เห็นลึกซึ้ง ไม่เห็นนิสัยใจคอคน ดูคนไม่เป็น ดูคนให้ดูหน้า ดูผ้าให้ดูเนื้อ ดูเสื่อให้ดูลาย ดูชายให้ดูพ่อ จะได้ไม่ย่อท้อใจ !

    ท่านทั้งหลาย เพิ่งเริ่มเข้ามาปฏิบัติไม่กี่ชั่วโมง จึงอาจจะไม่ลึกซึ้งถึงขึ้นที่ดูหน้าดูตาก็จะรู้ได้ ดูคนให้ดูหน้า ดูโหงวเฮ้ง การแนะแนวไม่ใช่มาถึงวัดสอนบุญ บาป ทำบุญไปสวรรค์ ทำบาปไปนรกเท่านั้น ต้องสอนแนะแนวถึงกรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร ใครเอาไปใช้ปฏิบัติเป็นประจำ จะแก้กรรมได้จริงๆ ถ้าใช้ไม่จริงก็เหมือนถ้วยชา เขาให้มาแล้วเอาไปใส่ตู้ไว้ ไม่ค่อยใช้ให้เป็นประโยชน์เลย ตัวเรานี้มีประโยชน์มาก แต่ใช้ตัวไม่เป็น ไปใช้ในเรื่องไร้สาระเสียมาก ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง เกิดมาเสียชาติเกิดไม่ประเสริฐล้ำเลิศ ไหนๆ จะตายจากโลกไปก็จะต้องมีความดีติดตัวไปด้วย และทิ้งความดีไว้ในโลกมนุษย์ คือความดีเป็นตรา ถ้าใครทำกรรมฐานได้ลึกซึ้ง จะรู้เหตุผลของชีวิตได้อย่างดีที่สุด เป็นประโยชน์แก่ชีวิตประจำวัน แก้ไขปัญหาเกิดขึ้นเฉพาะหน้าด้วยกรรมฐาน

    บางคนชอบไปหาหมอดู หมอดูบอกว่าต้องสอบได้ที่หนึ่ง แต่ปรากฏว่า สอบตก หมอดูว่า สอบตกกลับสอบได้เพราะเราขยัน เราต้องสร้างความดีให้กับดวง หาใช่ดวงทำให้เราดีไม่ ต้องสร้าง อยู่เฉยๆ ดีได้อย่างไร มันต้องเกิดจากการกระทำ คือกฎแห่งกรรมนั่นเอง

    การสร้างความดีให้กับดวง ก็คือสร้าง ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เกิดขึ้นแก่ตัวเรา แล้วเราจะอบอวล ทวนลม ผู้ที่มีสมาธิจะเป็นคนขยันหมั่นเพียร และเป็นผู้มีปัญญา คนที่มีปัญญาแหลมลึก แหลมหลักต้องมีสามคม

    คมกริบ ไว้ภายในจิต ไม่บอกใคร แสดงออกในเมื่อมีความจำเป็นจะต้องใช้

    คมคาย มันยังเป็นหลุม เป็นบ่อ ไม่เสมอ ก็เอาบุ้งมาแทง อย่างนี้เป็นต้น

    คมสัน มันต้องใช้ขวานตอกย้ำลงไป จึงจะเข้าเรียบร้อยดี นี่มันมีในลักษณะศีล สมาธิ ปัญญา ครบ ศีล คือ สถาปนิก ออกรูปแบบพื้นฐานให้คนชอบ

    สมาธิ คือ วิศวกร รู้วาระจิต รู้จักน้ำหนัก รู้จักชั่งตวงวัด รู้จักวาระจิตของคนในฐานะเช่นไร ควรทำกับเขาอย่างไร รู้จักกาลเทศะ รู้จักบาป รู้จักบุญ รู้จักคุณ รู้จักโทษ รู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ที่วิศวกร

    ปัญญา คือ นายช่าง ลงมือทำทันที มิได้รอรีแต่ประการใด

    ถ้าใครเป็นทั้งสถาปนิก วิศวกรและนายช่างแล้ว รับรองคนนั้นเอาตัวรอดปลอดภัยในอนาคต บางคนเกิดมาแต่ชาติก่อน นิสัยดีมีปัญญาในโลกมนุษย์นี้ เขาจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ถึงจะเกิดในบ้านยากจนก็สามารถเป็นรัฐมนตรี หรือเป็นใหญ่เป็นโตได้ เพราะสติปัญญาที่สร้างมาแต่ชาติก่อน คนเราก็มีทั้งถูกและแพง มีทั้งเก๊และดี มีทองคำก็มีทองชุบ มีหลวงพ่อทวดก็มีหลวงพ่อเทียบ คนดีหายากคนเก๊เยอะ มีน้อยเหลือเกินที่จะดีเด่นเห็นชัดและเห็นไกล อย่างนี้หายาก ต้องอดทน ต้องฝึกฝนท่านทั้งหลายเอ๋ย จิตนี้ฝึกได้ขยันก็ได้ฝึกให้ทำงานก็ได้ ฝึกให้ขี้เกียจก็ได้

    การเจริญวิปัสสนากรรมฐานจะรำลึกชาติได้ รู้กฎแห่งกรรมที่ผ่านมา จะแก้ปัญหากรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในกิจประจำวันของเราได้ ถ้าใครเจริญวิปัสสนากรรมฐานโดยต่อเนื่อง สร้างความดีให้ติดต่อกัน สร้างความดี ถูกตัวบุคคล ถูกสถานที่ ถูกเวลา ต่อเนื่องกันเสมอต้นเสมอปลายแล้ว คนนั้นจะได้รับผลดี ๑๐๐% และจะเอาดีในชาตินี้ได้แน่นอน ไม่ต้องรอดีถึงชาติหน้า สำคัญที่ทำความดีผิดสถานที่ ผิดตัวบุคคล และผิดกาลเวลาด้วย ไม่ใช่กาลเวลาที่จะต้องทำไปแล้วไปทำ ไม่ใช่กาลเวลาที่จะพูดแล้วไม่พูด มันก็เสียหาย ถ้าเรานั่งสมาธิอยู่หายใจยาวๆ มีกรรมฐานเป็นการพักผ่อนในร่างกายในตัว เช่น ๑ นาทีหายใจ ๑๘ ครั้ง กำลังนอนหลับเหลือ ๑๕ ครั้ง ถ้าเราทำสมาธิปกติเหลือ ๑๕ ครั้ง ก็เหมือนได้หลับไปแล้ว มันไม่อ่อนเพลียละเหี่ยใจแต่ประการใด มันจะเข้าภาวะปกติอย่างดียิ่ง จะมีพลังจิตสูง ต่อสู้กับเหตุการณ์และปัญหาได้ ด้วยการฝึกฝนกรรมฐานนี่แหละเพราะฉะนั้นกรรมฐาน แปลว่า การกระทำให้ฐานกายนี้เป็นที่ตั้งของสติ พอท่านทั้งหลายทำจนได้ดวงตาเห็นธรรมวิเศษบางประการ ได้ศีล สมาธิ ลึกซึ้งในจิตใจ ท่านจะเห็นความดีในจิต

    รำลึกถึงบุพการีได้ สามารถรำลึกชาติได้ จะไม่ลืมพ่อ ลืมแม่ ปู่ย่าตายาย ครูบาอาจารย์ จะสนิทสนมกลมกลืนกันกับครูบาอาจารย์ผู้มีพระคุณทั้งหลาย

    นักปราชญ์ท่านสอนไว้ว่า ถ้าเราให้อะไรใครจะไม่นับไม่จำ แต่ใครให้อะไรเรา แม้น้ำถ้วยเดียว เราก็กำหนดจดจำไว้ได้ เราจะไม่ลืมบุญคุณของเขา อย่างนี้จะเกิดขึ้นกับนักกรรมฐานที่ซึ้งใจ เพราะเหตุที่เราไม่หวังผลตอบแทน แล้วบุญกุศลจะสนองแก่เราเอง เงินไหลนอง ทองไหลมา จะคิดอ่านทำอะไรก็ได้ผลสำเร็จตามเป้าหมายทุกประการ มีแต่ความเจริญ จะได้อยู่ในแวดวงสิ่งแวดล้อมที่ชื่นใจ ไม่มีการทะเลาะวิวาทกัน จะมีแต่สิ่งที่เป็นมงคลในบ้านนี้

    อันนี้บางคนทำได้ยาก เพราะสันดานทำไม่ได้ นิสัยไม่ให้ รูปร่างก็ดีๆ นะ แต่นิสัยไม่ให้ บางคนเข้าใจว่าคนอื่นคงเหมือนเรา และเราเหมือนคนอื่นเขา เหมือนไม่ได้ ! เพราะแตกต่างด้วยกฎแห่งกรรม เหมือนกันไม่ได้ ! การแต่งกายก็ไม่เหมือนกัน บางคนชอบทรงนั้นทรงนี้ ถ้าเคยชอบอย่างไร ไปใช้อย่างอื่นมันก็ไม่พอใจ ไม่สบายใจเป็นที่การฝึก เราเคยทำอย่างนี้แล้วไปทำอย่างนั้นมันก็ทำไม่ได้ ก็ธรรมดา เพราะกฎแห่งกรรมนี้มันแยกประเภทของสรรพสัตว์เหมือนกันไม่ได้ กฎแห่งกรรมสั้นๆ มาจากไหน อาตมาทบทวนได้แล้วขอฝากท่านทั้งหลายไว้ด้วย เราจะดูได้จาก เห็นหนอ ! รู้หนอ คิดหนอ เข้าใจหนอ และกำหนดกิเลสได้ในตัวเรา ธาตุ อายตนะจะโง่หรือฉลาดอยู่ที่ อายตนะ ๖ อยู่ที่.....อินทรีย์ หน้าที่นี้เอง ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต จะโง่หรือไม่โง่ อยู่ที่ตรงนี้

    จะฉลาดหรือมีปัญญาอยู่ที่ตา หู.....ทำได้จริงหรือเปล่า กำหนดต่อเนื่องหรือเปล่า เปล่าเลย มันก็ไม่ได้ ก็ได้แค่นั้น ที่กำหนดก็ไม่รู้ด้วย และรู้ไม่จริง ที่ท่านทั้งหลายทำนี่ก็ต้องการเอาเป็นนิสัยปัจจัย เพื่อทำต่อเนื่องต่อไปในอนาคต เพื่อแก้ปัญหาปัจจุบัน จากการกำหนดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่เอง นี่มันอยู่ตรงนี้ มันโง่หรือฉลาดมันอยู่ตรงนี้เอง ขันธ์ ๕ รูปนามก็อยู่ตรงนี้เองเพราะฉะนั้นการกระทำของแต่ละท่านนี้ เราดูได้จากตัวเรา สังเกตได้จากตัวเรา เจริญกุศลภาวนามีหน่วยกิตครบ เราจะรู้ได้เองว่าตัวเรามีปาณาติบาตติดตัวมา ๖๐% เราจะต้องรับใช้หนี้ในชาตินี้แน่

    รับใช้หนี้อะไร ก็หมายความว่าเราจะต้องโดนรถชน เราจะต้องโดนฆ่าตาย เราจะต้องโดนใส่ร้าย มันจะบอกเราเองก่อนที่จะไปบอกคนอื่นเขา อันนี้อาตมาก็ได้ประสบมาเป็นต้น เช่นมีปาณาติบาตฆ่าสัตว์ติดตัวมา ๖๐% เรารู้แจ้งแก่ใจ รู้วันตายว่าจะต้องตายอย่างไร รถชนตาย โดนยิงตาย โดนอุบัติเหตุตาย เป็นต้น

    จะโดนง่อยเปลี้ยเสียขา โดนทรมาน โดนหนอนกินจนชีวิตหาไม่ มันจะบอกเหตุการณ์ชัดในตัวเราก่อน

    ในเมื่อบอกตัวเราได้ ดูคนอื่นมันก็บอกได้ เราอ่านภาษาอังกฤษที่นี่จบ ไปอ่าน เอ บี ซี ที่ไหน มันก็ต้องผสมสระ ผสมอักษรเข้าแล้วก็แปลความหมายของศัพท์ได้ นั่นแหละเช่นเดียวกัน

    เราจะรู้ได้ว่าเห็นหนอ คนนี้มีปาณาติบาตติดมาก็จะรู้ได้เลยว่า กฎแห่งกรรมคนนี้จะต้องเป็นอัมพาต คนนี้ต้องไปอุบัติเหตุ คนนี้ไปโดนรถชนตาย มันบอกชัดนะ มีประโยชน์มากสำหรับผู้ทำได้ มันมีประโยชน์อย่างนี้

    ถ้าเราเจริญกรรมฐาน เราจะรู้กฎแห่งกรรมได้ตอนมีเวทนา คนไหนอดทนต่อเวทนาได้ กำหนดผ่านเวทนาได้ เราจะรู้ได้ว่าทุกข์ทรมานที่ผ่านนั้นไปทำกรรมอะไรไว้ มันจะมีกรรมอะไรมาแทรกซ้อน มันจะบอกเราเอง อันนี้มีตัวอย่างที่อาตมาประสบการณ์มามากมาย เช่น อทินนาทาน

    เบียดเบียนทรัพย์เขามานะ แล้วก็ไปเบียดเบียนสัตว์ด้วย ทุกอย่างเอาหมดมักได้มักง่าย รุกหัวคันไร่คันนา ลักเงินลักทอง โจรกรรมเล็กๆ น้อย สะสมหน่วยกิตนิสัยไม่ดี นิสัยเคยชินในการลักขโมย ไปเบียดเบียนทรัพย์ เหมือนเศรษฐีมีเงินแล้วไปบ้านเหนือบ้านใต้ ก็ต้องหยิบมีดเขามา หยิบโน่นใส่พกใส่ห่อมา จนได้คือนิสัยสันดาน มีเงินแล้วยังต้องไปลักของเขาอีก ไปเบียดเบียนเขาอีก เบียดเบียนคนจนอีก ทำนองนี้เป็นต้น

    กฎแห่งกรรมจะบ่งบอกออกมาเป็นดุจเครื่องคอมพิวเตอร์ว่า คนนี้ได้เงินได้ทองมาแล้วต้องถูกโจรกรรม ต้องถูกคนลัก ตีชิงวิ่งราว มิฉะนั้นไฟจะไหม้บ้าน ไม่เคยผิดแม้แต่รายเดียว อาตมาเคยทายไว้ คนนี้ระวังนะโยมเคยถูกโจรกรรมไหมโยม ไม่ถูกเลยค่ะ ระวังอันเดียวคือไฟไหม้บ้านหมดเนื้อประดาตัว แล้วก็จริงด้วย อันนี้เห็นได้ชัด

    นี่แหละท่านทั้งหลาย ทำให้มันจริง จะเห็นจริง ทำไม่จริง จะเห็นจริงได้อย่างไร ต้องเห็นจากตัวเราออกมาข้างนอก เรารู้ตัวว่าเรามีเวรมีกรรมประการใด ก็ใช้หนี้โดยไม่ปฏิเสธทุกข้อหา จิตอโหสิกรรมได้ ยินดีรับเวรรับกรรมได้ โดยไม่มีปัญหาใดๆ

    กาเมสุมิจฉาจาร ถ้าเรารู้ตัวเอง นั่งเจริญกุศลภาวนา มันจะบอกว่าอดีตชาติ ไปปู้ยี่ปู้ยำเขามา ชู้สาวนานาประการ ผัวเขา เมียเขา นานาชนิด มีข้อคิดหลายอย่าง

    มาในชาตินี้ เราก็มาลำบากลำบนในครอบครัวหาความสุขไม่ได้เลย มีสามีก็เป็นของเขาหมด มีภรรยาก็มีชู้หมด และครอบครัวต้องหายนะ ทะเลาะวิวาทกัน ไม่ใช่คู่สร้างคู่สม กลายเป็นคู่วิวาทกัน และจะต้องแตกแยกหย่าร้างกันไป ถึงจะมีลูกด้วยกันแล้ว มีทั้งเขยสะใภ้แล้วก็ตาม จะต้องแยกกันไปตามกาลเวลา จากการกระทำของเราแน่นอนที่สุดบางท่านเป็นผู้ชายแท้ๆ ปู้ยี่ปู้ยำผู้หญิง ทำให้เขาช้ำอกช้ำใจหลายชาติที่ผ่านมา เกิดมาในชาตินี้ต้องเกิดมาเป็นผู้หญิงโสเภณี ก่อนจะตายต้องให้หนอนกินก่อน มีจริงที่จดไว้หลายราย ถ้าท่านไม่เชื่อลองไปทำดูนะ มีความหมายอย่างนี้

    นอกเหนือจากนั้น หลอกลวงโลกหวังเอาลาภเขา หลอกลวงเขาตลอดรายการ พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ เพ้อเจ้อ เลี้ยวลดคดเคี้ยวติดวิญญาณมาในชาตินี้ รับรองอย่าปฏิเสธ ไม่ช้าเราต้องโดนหลอกเอาเงินไป โดนหลอกเอาโน่นไป โดนหลอกเอานี่ไปอย่างแน่นอน ใครเป็นผู้หลอก ผู้ใกล้ชิด ญาติมิตรหรือเพื่อนฝูง เขามาเกิด จะต้องสนองงานในกฎแห่งกรรม ก็มาหลอกเอาของเราไป และเราไม่ต้องติดตามของนั้นแน่นอนที่สุด เพราะเราไปหลอกเขามาก่อนอย่างนี้เป็นต้น

    สุราเมรัย เครื่องดองของเมานานาชนิดทุกประการ ถ้าเรานั่งภาวนาเราจะรู้ตัวเองว่า อดีตชาติเราเสพยานี้มาไหม ถ้าติดมา ๖๐% รับรองว่า เรานี้จะไม่ต้องเรียนอะไรเลย เรียนไม่ไหวแล้ว และเป็นโรคปัญญาอ่อน ไปเรียนอะไรก็ไม่จบหลักสูตรมัธยมศึกษา แน่นอนและเป็นความจริงด้วยเราต้องแก้กรรมของเราเสีย อ๋อ ! ปาณาติบาตเมื่อชาติก่อนติดมา เรายังไม่ง่อยเปลี้ยเสียขาในขณะนี้ เราจะต้องรับสนองผลงานในโอกาสหน้า เราก็รีบบำเพ็ญกุศล ด้วยการปฏิบัติกรรมฐาน

    เราก็มาบำเพ็ญทานศีลและภาวนา สวดมนต์เป็นนิจ อธิษฐานจิตเป็นประจำ อโหสิกรรมเสียก่อนและเราก็แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เราไปสร้างกรรมมาครั้งอดีต รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง รู้เท่าทันหรือไม่เท่าทันก็ตาม ถ้ารู้เท่าไม่ถึงการณ์เช่นนี้แล้ว ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า มันก็จะน้อยลงไป ยกตัวอย่างอาตมาเป็นต้น

    อาตมารู้ตัว ๖ เดือน ก็ขออโหสิกรรมทุกวัน ว่าเราก็ไปหักคอนกมามากหลาย เราก็บอกว่า พ่อนกเอ๊ยตอนที่ข้าพเจ้าเป็นเด็กรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อย่าเอาโทษเราเลย ขอให้โทษเราลดลงไป ให้อภัยโทษเถิด เหมือนให้การกับศาลรับสภาพฉะนั้น ศาลจะเมตตาเราที่ให้ความสะดวกในการพิจารณาของศาล จึงลดโทษลงไปอีก ๖๐% เราอาจจะรอดจากความตายได้ เลยก็เตรียมให้รถชนคอหักหมุนได้ แล้วก็กลับมาใช้เวรกรรมให้สิ้นสุดในชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น ผ่านจากหนักเป็นเบาได้ คือมิได้ปฏิเสธทุกข้อหาด้วยกรรมฐาน แก้กรรมได้อย่างนี้ โดยรู้ตัวของเราเอง

    ญาติโยมผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน ถ้ามีเวทนาต้องสู้ กำหนดให้ได้ ปวดท้อง ปวดขา หรือปวดตรงไหน ปวดหนอ ตายให้ตาย เดี๋ยวท่านจะเห็นกรรม เมื่ออดีตชาติท่านทำอะไรไว้ท่านจะโล่งใจนะ ท่านจะดีใจเดี๋ยวท่านจะได้แก้กรรมด้วยการแผ่เมตตา อโหสิกรรม ข้าพเจ้าจะไม่ปฏิเสธกรรมทุกข้อหา นี่กรรมฐานแก้กรรมอย่างนี้

    บางทีเรามีเวทนาหน่อยเลิกเลย ไม่รู้จะแก้อย่างไร ครูอาจารย์เขาบอกกำหนด ปวดหนอๆ นักศึกษาวิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยามานั่งปฏิบัติ เดี๋ยวนี้จบปริญญาโทเป็นอาจารย์ที่ขอนแก่นไปแล้ว ปวดหนอๆ ปวดหนักเข้ามาบอกแม่ยุพิน บอกหนูไม่หาย แม่ยุพินให้กำหนดต่อไป พอวันที่ ๓ นึกขึ้นได้ เมื่ออยู่ชั้นประถมสอง ประถมสาม หักขาเขียด หักทั้งเป็น ใส่เกลือทั้งเป็น กำหนดหนักเข้าให้อโหสิกรรม แผ่เมตตาให้สัตว์เสีย นี่แหละกรรมฐานแก้กรรม ก็เลยเบาลงไปและหายวับไปกับตา ไม่ปวดขาอีกต่อไป

    เขาบอกว่าไปหักขาขวาเขียดและปวดขาขวามาตลอด พออโหสิกรรมว่าไม่ปฏิเสธ เราไปหักขาเขามาจริง เราปวดอย่างนี้ เขาก็ต้องปวดอย่างนั้นแหละ เราก็ต้องใช้หนี้ด้วยการปวดไป ทรมานพอสมควรแก่เวลา และเรากำหนดจิตแผ่เมตตาต่อเมื่อออกจากกรรมฐาน อโหสิกรรมเสีย นี่เรียกว่า กรรมฐานแก้กรรมอย่างนี้ สามารถจะไม่ปวดอีกต่อไปแล้ว

    บางคนปวดตา บอกว่า “ไม้แทงตา ไม้แหลมมาแทงตาปวดเหลือเกิน” กำหนดเข้าโยม ไม่มีใครไปแทง กำหนดเสีย นึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นคนข้างวัดนี้เอง แต่ไม่เคยทำกรรมฐาน เดี๋ยวภาพนิมิตออกมาทันที

    โยมคนนี้อายุ ๗๐ กว่าแล้ว ภาพนิมิตออกมาว่า เมื่อยังแข็งแรงอยู่ มาลักหน่อไม้วัดนี้ หน่อไหนที่เอาไม่ได้ เอาไม้แหลมแทงให้มันเสีย แทงหน่อไม้วัดเลย ตัวเองก็ต้องปวดตาอย่างนี้ พอรู้ชัดเข้าก็ขออโหสิกรรม พระสงฆ์อนุโมทนาและก็หายปวดตาจนชีวิตหาไม่ นี่กรรมฐานแก้กรรมอย่างนั้น

    บางคนไม่รู้พอปวดก็เลิกไปเลย ไม่เอาแล้ว ชอบสบาย รับรองท่านจะไม่รู้กฎแห่งกรรม เดี๋ยวจะว่าอาตมาหลอกไม่ได้นะ อาตมาผ่านมาแล้วนะ ขอฝากผู้ปฏิบัติธรรมไว้ด้วย

    เป็นคนจริงหรือเปล่า ถ้าจริงต้องได้ผลแน่ อย่างหนูที่วิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา เจริญวัยชันษาพอดี ผู้ที่ไม่ได้รับราชการครู แต่เรียนวิชาครูไม่จำเป็นต้องเข้าครูเสมอไป เพราะวิชาครูเป็นหลักสำคัญมาก เป็นศูนย์กลางอันสำคัญ ที่เรียนเข้าไว้ สามารถจะเลื่อนยศตำแหน่งได้

    มีจ่าทหารคนหนึ่ง มีฝึกกรรมฐานที่นี่ สอบวิชาครูได้ปริญญาตรี บัดนี้เลื่อนเป็นนายร้อยโทแล้ว อาตมาช่วยบอกเจ้ากรม กรมยุทธศึกษาทหารบก เดี๋ยวนี้เป็นร้อยเอกไปอีกคนหนึ่ง

    อย่างท่านทั้งหลายเป็นทหาร เป็นฝ่ายอะไรก็ตามมีประโยชน์นะ แต่ท่านไม่นั่งกรรมฐานจริง ก็ไม่ทราบประโยชน์ตัวเอง อันนี้ช่วยไม่ได้ นี่เห็นว่าคนเข้างานได้หมดแล้ว บรรจุได้หมด เจริญกรรมฐาน เป็นผลงานกฎแห่งกรรม แก้กรรมได้คนที่เป็นหนี้เขา ยังใช้หนี้ไม่หมด สร้างความดีไม่ขึ้นหากินไม่ขึ้น บางคนหาเงินโดยค้าขายร่ำรวยจริง แต่เก็บไม่อยู่ ทำอย่างไรก็ไม่อยู่ ไม่รู้ไหลออกไปทางไหนหมด

    อาตมาก็ดูให้ บอกให้มานั่งกรรมฐานเสีย แก้กรรมนี้ ก็ได้ความว่าสร้างเวรสร้างกรรมมามากยังใช้ไม่หมด พอใช้เวรใช้กรรมหมด อโหสิกรรมแผ่เมตตา บำเพ็ญกุศลเสร็จเรียบร้อย ทีนี้เงินเก็บอยู่ละ เป็นเศรษฐีได้ นี่กลายเป็นคนมีเงินมีทองไปแล้ว นี่แหละใช้หนี้ใครไม่หมดไม่เจริญหรอก ทำไม่ขึ้น ขอฝากไว้สั้น ๆ นะ บางคนมาถามว่า "ฉันมีเวรมีกรรมอะไร”

    “มานั่งกรรมฐานซิโยม จะได้รู้”

    “โอ๊ย ฉันไม่มีเวลา ไม่ว่าง"

    แต่เวลาไปคุยบ้านเหนือบ้านใต้ว่างดีนัก คุยนินทากันนั่นแหละว่าง ไปสร้างความชั่วว่าง แต่สร้างความดีไม่มีใครว่าง ถูกต้องแล้วน่าเห็นใจ เพราะคนเราจะดีเหมือนกันทุกคนไม่ได้ แล้วแต่วาสนาบารมี คนที่ไม่มีบุญวาสนา มันทำยาก อาตมาก็เห็นใจด้วยคนเราที่จะดึงมาสร้างความดีดึงยาก เพราะดูเหตุการณ์แล้ว คนนั้นไม่มีบุญ ไม่มีวาสนา เขาจึงทำยาก อย่าไปว่าเขาเลย เพราะไม่มีวาสนา ทำอย่างไรก็ทำไม่ขึ้น และทำไม่ได้ด้วย

    ขอ เจริญพรให้ญาติพี่น้องได้ทราบว่า กรรมฐานแก้กรรมได้ มีนายทหารคนหนึ่ง ยศร้อยโท อยู่ศูนย์การทหารปืนใหญ่มาบวชที่นี่ พ.ศ. ๒๕๐๐ มีลูกผู้หญิง ๒ คนแล้ว ปู้ยี่ปู้ยำกับผู้หญิงจริงๆ ไม่เชื่อบุญเชื่อกุศล ไม่เชื่อเวรเชื่อกรรมด้วย อาตมาบอก “ผู้บังคับหมวด อาตมาขอบิณฑบาต สึกหาลาเพศแล้ว อย่าไปยุ่งกับผู้หญิงเขานะ”

    “โอ๊ยหลวงพ่อ ผมไม่เชื่อ ไม่มีทางหรอก สนุกสนานไปชั่วคราวเท่านั้น ตอนตายแล้วมันก็สูญ จะไปเกิดที่ไหนอีก ที่ผมมาบวชที่นี่ไม่ใช่เพราะศรัทธานะ แม่ให้มาบวช แม่บอกว่าสำเร็จนักเรียนนายร้อยแล้วบวชให้แม่หน่อย เลยผมก็ไปมีครอบครัวเสียก่อน”

    “เอาละผู้หมวด ไม่เชื่ออาตมาไม่เป็นไรนะ จดไว้นะไม่มีลูกผู้หญิงบ้างก็แล้วไปนะ”

    “โอ๊ย ผมมี ๒ คนแล้ว”

    “จดไว้เผื่อจะมีลูกผู้หญิงอีก”

    ในที่สุดก็สึกหาลาเพศไป จากไปเป็นเวลานานหลายสิบปี ยศสุดท้ายก่อนที่จะมาพบกัน เป็นนายพันเอกพิเศษ มีลูกสาว ๓ คน ลูกชาย ๒ คน ภรรยาเป็นอาจารย์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอฝากข้อคิดท่านทั้งหลายไว้ หนักเข้าลูกสาวสามคนเป็นอย่างไร ลูกสาวจบ ม.๖ ทุกคน จบแล้วออกเลเพลาดพาด ไปด้วยกฎแห่งกรรม จากที่พ่อทำให้กับลูก มาหาพ่อ พ่อก็เตะทั้งรองเท้า มาหาแม่ แม่ก็บ่นจู้จี้ สอนลูกด้วยด่าลูกด้วย ลูกก็เลยออกจากบ้านไป ไปร้องเพลงอยู่ตามโฮเต็ล ตามโรงแรม ทำเสียหายน่าบัดสีในวงศ์ตระกูลเหลือเกิน ลูกชายสองคนดีหมด นี่แหละกฎแห่งกรรม

    หนักเข้าสามีภรรยาก็ร้องไห้มาหา เพราะว่าบันทึกหลักฐาน จำได้ว่าบวชที่วัดนี้เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ บันทึกไว้ว่า ไม่เชื่อตามใจ ลูกจะต้องเสียหายมากราบนมัสการอาตมา อาตมาบอก ท่านจะแก้ไหมล่ะ ถ้าจะแก้ลาพักร้อนมาด้วยกันทั้งคู่ มานั่งเจริญกรรมฐาน ๗ วัน แล้วก็แผ่เมตตาให้ลูก อโหสิกรรมให้ลูกทุกวันๆ อย่าด่าลูกอีกต่อไป ตั้งแต่นาทีนี้เป็นต้นไป

    ลูกมาแล้วก็อย่าไปพูดเรื่องเก่ามาเล่ากันใหม่โดยเด็ดขาด เอาเรื่องใหม่เลย ให้ลูกไปเรียนปริญญาต่อไป ก็ได้ความว่า กลับไป ลูกกลับทีละคน ไปตามน้องมาหมด พ่อแม่ไม่ได้ว่าอะไร หนักเข้าทั้งสามคนก็ไปเรียนรามคำแหง สำเร็จปริญญาด้วยกันทั้งหมด และบัดนี้เข้าทำงานด้วยกันทั้งหมด ลูกสาวก็มานั่งวิปัสสนาที่นี่ด้วย

    บางคนหาเงินหาทองร่ำรวยจริงๆ ได้มาเก็บไม่อยู่ ต้องไหลออกไปจนได้ มีเรื่องให้ไหลออกไป ก็เพราะเราใช้กรรมไม่หมด มันต้องใช้กรรมอยู่ตลอดไป อย่าไปเสียใจไม้ต้องไปหาหมอดู เราก็เป็นพิเภกเสียเอง คือ สติเป็นพิเภก หนุมานเป็นลิง คือจิตใจ ลักษณ์ราม คือธรรมะที่ประทับใจ ขาวผ่องบริสุทธิ์ใจคือพระลักษณ์ น่ารัก น่าเอ็นดู น่าบูชา เขียวชอุ่ม เป็นพุ่มไสว อิทธิพลของบุญกุศล ดลบันดาลให้จิตใจชุ่มชื่นเป็นเรื่องการกระทำของกรรม เพราะคนไม่มีบุญวาสนาทำอย่างนี้ไม่ได้ ต้องฝืนใจ คนที่จะดีได้ต้องฝืนใจได้ ถ้าฝืนใจไม่ได้รับรองเอาดีไม่ได้ ไปเกิดอยู่ที่ไหนก็เอาดีไม่ได้ จะไปบวชเป็นพระเป็นชีก็เอาดีไม่ได้

    ดีไม่ได้แน่เพราะฝืนใจไม่ได้ ล่องไปตามกระแสลมและสายธาร ตามอารมณ์ตามใจตัวเองตลอดมาช้านานแล้ว จึงเอาดีไม่ได้ดังเหตุที่กล่าวมานี้ มีความหมายอย่างนั้น

    เรื่องที่จะเล่าสู่กันฟังมีมาก มีหลายเรื่องก็จริง แต่หมดเวลาแล้ว ขอแนะนำโยมผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน จงอุตส่าห์ตั้งใจอดทน เดินจงกรมนั่งปฏิบัติคู่กันไป

    อย่างที่คุณหมอชลอ คู่กับแม่ใหญ่มาช้านานนั้น ก่อนที่จะเข้าผลสมาบัติได้ ๘๔ ชั่วโมง รำลึกชาติได้ว่าตัวเองเกิดที่บ้านมอญ จังหวัดราชบุรี ไปฆ่าเขาตายที่น้ำตกเอราวัณ พอเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว เข้าผลสมาบัติ ลืม ! อาตมาจดไว้ครบ และเขาต้องไปตายตรงนั้นทีเดียวกฎแห่งกรรมอย่าลืมนะ ทำเขาไว้ ไปฆ่าเขาตายที่ ต.ท่าพุทรา อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ที่กระท่อมหลังนั้น ตัวเองก็ต้องไปโดนฆ่าตายตรงนั้น

    ขอฝากไว้ด้วยเป็นกฎแห่งกรรม ทำอะไรขอให้ทำให้จริงๆ ได้ผลจริงและสมค่า สมปรารถนาทุกประการด้วยกฎแห่งกรรม ที่ชี้แจงแสดงมาในวันนี้



    .......................................................................

    คัดลอกจาก ::
    หนังสือกฎแห่งกรรม เล่ม 3
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    [​IMG] อีกแล้วครับท่าน เปลี่ยนเนื้อหมู กลายเป็นเนื้อวัว ที่ประเทศจีน
    อีกแล้วครับท่าน เปลี่ยนเนื้อหมู กลายเป็นเนื้อวัว ที่ประเทศจีน เนื้อวัวปลอม โผล่อีกที่จีน เปลี่ยนเนื้อหมู กลายเป็นเนื้อวัว อีกแล้วครับท่านสำหรับ จอมก๊อปปี้ อย่างพี่จีนเขาหละ เมื่อมีพ่อค้าหัวใสในเมือง เซี่ยงไฮ้ กวางเจา และอีกหลายๆเมืองใน ประเทศจีน ใช้ผงชนิดหนึ่งที่สามารถ เปลี่ยนเนื้อหมู กลายเป็นเนื้อวัว ได้ภายใน 90 นาที และเมื่อนำเอา เนื้อปลอม มาลองเปรียบเทียบดูแทบจะไม่เห็นความแตกต่างเลยทีเดียวซึ่ง สารเปลี่ยนเนื้อหมู กลายเป็นเนื้อวัว ทางการแพทย์ได้ออกมาเตือนว่า เป็นอันตรายต่อร่างกาย และในระยะยาวเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วย สุดยอดจริงๆก๊อปปี้ได้กระทั่ง เนื้อวัวปลอม

    .

    คลิปวีดีโออีกแล้วครับท่าน เปลี่ยนเนื้อหมู กลายเป็นเนื้อวัว ที่ประเทศจีน



    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 7 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 6 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong</td></tr></tbody></table>

    อรุณสวัสดิ์ยามเช้า วันจันทร์แจ่้มใส

    วันนี้บางท่านก็ยังหยุดงาน เนื่องจากเป็นวันหยุดชดเชยวันแรงงานครับ

    ขอให้มีความแจ่มใสทั้งวันครับ

    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ปืนไม่ท้อบี้ผีแดง 1-0 ไล่ 6 แต้ม <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">1 พฤษภาคม 2554 21:52 น.</td></tr></tbody></table>

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="baseline"> "ปืนใหญ่" อาร์เซนอล ไม่ท้อถอยเปิดบ้านบี้เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 ทำให้ยังพอมีหวังลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ อยู่เล็กๆ เมื่อไล่ "ผีแดง" จ่าฝูงเหลือ 6 แต้ม ขณะที่โปรแกรมโค้งสุดท้ายเหลือให้โม่แข้งกัน 3 นัด

    ศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
    อาร์เซนอล 1-0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="350"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="350"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">"วัลค็อตต์" กระดกหนี "ปาร์ค"</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> อาร์แซน เวนเกอร์ ไม่มีทางเลือกต้องนำ "ปืนใหญ่" อาร์เซนอล เอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ให้ได้เพื่อต่ออายุลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่นัดนี้มีปัญหาใหญ่เมื่อ เชส ฟาเบรกาส เจ็บช่วงฝึกซ้อมต้องส่ง อารอน แรมซีย์ ลงมาบัญชาเกมแทน โดยมี ธีโอ วัลค็อตต์ กับ ซาเมียร์ นาสรี ช่วยกันปั้น โรบิน ฟาน เพอร์ซี หน้าเป้า ด้าน เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน วางทัพใหญ่ "ผีแดง" มาเยือนลอนดอน แผงมิดฟิลด์พัก ไรอัน กิกส์ ให้ อันแดร์สัน ไล่บอล หลุยส์ นานี กลับมาขึ้นเกมทางกราบ เวย์น รูนีย์ กับ ฮาเวียร์ เฮอร์นานเดซ ประจำการเหมือนเดิม

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Right" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td width="5">[​IMG]</td> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="200"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="200"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">"รูน" เจอ "ซง" ประกบติด</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> เริ่มเกมการแข่งขัน อาร์เซนอล ลุยใส่ก่อนทันทีและก็ได้เสียวจากลูกยิงเต็มข้อในกรอบโทษของ แจ็ค วิลเชียร์ แต่บอลหลุดกรอบไป ถัดมานาทีที่ 7 กาแอล กลิชี ลุยขึ้นมาทางซ้ายก่อนเปิดเข้ากลางให้ ธีโอ วัลค็อตต์ ปาดเข้ามายิงข้ามคาน แปดนาทีถัดมาเจ้าถิ่นใกล้เคียงกับการได้ประตูขึ้นทุกขณะ วิลเชียร์ กึ่งยิงกึ่งผ่านไปหน้าประตูจะให้ วัลค็อตต์ ชาร์จที่เสาสอง ทว่าเป็น ปาทริซ เอฟรา สไลด์สกัดออกหลังได้หวุดหวิด

    นาทีที่ 20 จังหวะสวนกลับของ แมนฯ ยูไนเต็ด เกือบทำงาน ฟาบิโอ ทะลุเข้ากรอบโทษทางขวา แต่ลังเลว่าจะยิงหรือเปิดก่อนไหลเข้าใน ฮาเวียร์ เฮอร์นานเดซ กำลังง้างยิงแต่โดนแผงหลังเจ้าบ้านเคลียร์ทิ้งไปได้ ครึ่งชั่วโมงพอดี โรบิน ฟาน เพอร์ซี พยายามฟ้องผู้ตัดสินเมื่อเห็น เนมันยา วิดิช กางแขนลักษณะใช้มือปัดบอลออกหลัง ทว่า คริส ฟอย ไม่ได้ให้เป็นแฮนด์บอลแต่อย่างใด ท้ายครึ่งแรก อันแดร์สัน ได้ยิงส่งท้ายให้ทีมเยือนแต่บอลไปเข้ามือ วอจ์เซียค เซสนี จบ 45 นาทีแรกยังทำอะไรกันไม่ได้

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Left" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="200"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="200"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">"วิดิช" โขกเหนือ "ฟาน เพอร์ซี"</td></tr> </tbody></table></td> <td width="5">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ลุยต่อครึ่งหลัง อาร์แซน เวนเกอร์ ปรับหมากทันทีปล่อย อังเดร อาร์ชาวิน มาเสริมเกมรุกถอด ซาเมียร์ นาสรี ออกไป แต่เป็น แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ฟรีคิกระยะหวังผล 30 หลา เวย์น รูนีย์ ปั่นข้ามกำแพง เซสนี พุ่งไปปัดเอาไว้ เอฟรา ปาดเข้ามาซ้ำบอลชนตาข่ายด้านข้าง เจ้าถิ่นลุยขึ้นมาเหมือนกัน บาการี ซานญา ตะบันด้วยขวาบอลพุ่งทะแยงมุมเลยเสาสองไป จากนั้น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เปลี่ยนเอา อันโตนิโอ วาเลนเซีย มาเล่นแทน อันแดร์สัน แต่นาที 56 กลายเป็น "ปืนใหญ่" สลุตนำ 1-0 จากจังหวะ ฟาน เพอร์ซี ไหลให้ อารอน แรมซีย์ สอดเข้ามาแปบอลลอดขา ไมเคิล คาร์ริค ผ่านมือ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ เสียบตาข่าย

    เข้าสู่ช่วง 20 นาทีสุดท้าย ท่านเซอร์ ส่ง ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ลงมาเล่นแทน "ชิชาริโต" เฮอร์นานเดซ ที่วันนี้ค่อนข้างเงียบ ถัดมาทีมเยือนได้ลุ้นอีกครั้งจากฟรีคิกลางประตู แต่ รูนีย์ ปั่นบอลแทบไม่มีน้ำหนักไปเข้าซอง เซสนี ง่ายๆ นาที 77 จังหวะสวนของ "ผีแดง" เกือบเป็นผล รูนีย์ ไหลให้ นานี ยิงติดเซฟ เซสนี ท้ายเกมทีมเยือนทิ้งไพ่ใบสุดท้ายส่ง ไมเคิล โอเวน แทน คาร์ริค และนาที 87 แมนฯ ยูไนเต็ด ร้องจะเอาจุดโทษเมื่อ กลิชี เหยียดสกัด "เบบีโกล" ล้มลงแต่ไม่มีเสียงนกหวีด ครบ 90 นาที อาร์เซนอล ประคองตัวชนะ มีเพิ่มเป็น 67 คะแนนจาก 35 นัด อยู่ที่ 3 ตามหลัง "ผีแดง" เหลือ 6 แต้ม ขณะที่โปรแกรมเหลืออีก 3 นัด

    รายชื่อ 11 ผู้เล่นตัวจริงของทั้งสองทีม
    อาร์เซนอล : วอจ์เซียค เซสนี , บาการี ซานญา , โยฮัน ฌูรู , โลร็องต์ กอสเซลนี , กาแอล กลิชี , แจ็ค วิลเชียร์ , อเล็กซ์ ซง , ธีโอ วัลค็อตต์ , อารอน แรมซีย์ , ซาเมียร์ นาสรี , โรบิน ฟาน เพอร์ซี

    แมนฯ ยูไนเต็ด : เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ , ฟาบิโอ ดา ซิลวา , เนมันยา วิดิช , ริโอ เฟอร์ดินานด์ , ปาทริซ เอฟรา , ปาร์ค จี ซอง , อันแดร์สัน , ไมเคิล คาร์ริค , หลุยส์ นานี , เวย์น รูนีย์ , ฮาเวียร์ เฮอร์นานเดซ

    ผลฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ประจำคืนวันอาทิตย์

    เบอร์มิงแฮม ซิตี 1-1 วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส
    [0-1 : สตีเวน เฟล็ทเชอร์ (จุดโทษ น.7) , 1-1 : เซบาสเตียน ลาร์สสัน (น.27)]

    ลิเวอร์พูล 3-0 นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
    [1-0 : มักซี โรดริเกซ (น.10) , 2-0 : เดิร์ก เคาท์ (จุดโทษ น.59) , 3-0 : หลุยส์ ซัวเรซ (น.65)]

    อาร์เซนอล 1-0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
    [1-0 : อารอน แรมซีย์ (น.56)]

    แมนเชสเตอร์ ซิตี 2-1 เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
    [1-0 : ไนเจล เดอ ยอง (น.11) , 2-0 : ลาร์ส ยาค็อบเซน (ทำเข้าประตูตัวเอง น.14) , 2-1 : เดมบา บา (น.33)]</td></tr></tbody></table>

    -http://www.manager.co.th/Sport/ViewNews.aspx?NewsID=9540000053614-


    "เซอร์" ก่นผีชวดโทษ "เวนเกอร์" ชี้ปืนก็ควรได้ <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">2 พฤษภาคม 2554 03:17 น.</td></tr></tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">"ท่านเซอร์" ครวญผีชวดจุดโทษ</td> </tr> </tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">"เวนเกอร์" พอใจปืนซิวชัย</td></tr></tbody></table>

    เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือ "ผีแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกโรงครวญชวดจุดโทษท้ายเกมทำบุกพ่าย อาร์เซนอล 0-1 ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อคืนวาน ขณะที่ อาร์แซน เวนเกอร์ ก่น "ปืนใหญ่" ก็น่าจะได้ลูกโทษเช่นกันจากจังหวะแฮนด์บอลของ เนมันยา วิดิช ตั้งแต่ครึ่งแรก

    แมนฯ ยูไนเต็ด ยังต้องลุ้นหนักสำหรับการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีสมัยที่ 19 ในประวัติศาสตร์ หลังบุกพ่าย อาร์เซนอล ถึงกรุงลอนดอน 0-1 โดยเจ้าถิ่นได้ประตูชัยจาก อารอน แรมซีย์ นาทีที่ 56 ซึ่งทั้งสองฝ่ายน่าจะได้จุดโทษ เริ่มจากครึ่งแรก เนมันยา วิดิช กองหลัง "ผีแดง" ใช้มือปัดบอลจังหวะขึ้นพยายามโหม่งสกัดทิ้ง ขณะที่ท้ายเกม กาแอล กลิชี แบ็กซ้าย "ปืนใหญ่" ดูไปเกี่ยว ไมเคิล โอเวน กองหน้าสำรองทีมเยือนล้มลง ทว่าทั้งสองหน ผู้ตัดสิน คริส ฟอย เมินเป่านกหวีดยาว

    ภายหลังการแข่งขัน เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จึงออกโรงก่น "เกมใหญ่ๆ แบบนี้การตัดสินใจมักไม่ค่อยถูกไม่ควรนัก โดยจังหวะที่ วิดิช แฮนด์บอล ผมคิดว่ามันยากที่จะมองได้ทัน แต่ในช่วงท้าย กลิชี รู้ดีแก่ใจว่าเขาใช้มือได้ไม่ถูกต้อง ซึ่งเกมนี้ผมคิดว่าเราควรจะได้อะไรติดไม้ติดมือ ทว่าเราดันมาเสียประตูในช่วงเวลาไม่เหมาะ อย่างไรก็ดี นี่ถือเป็นสัปดาห์สำคัญของ แมนฯ ยูไนเต็ด วันพุธเราต้องตัดเชือกเกมยุโรปนัดสอง ต่อด้วยวันอาทิตย์เจอกับ เชลซี ที่ตอนนี้เราดันไปเปิดโอกาสให้พวกเขา"

    ด้าน อาร์แซน เวนเกอร์ แสดงทรรศนะเช่นกันถึงประเด็นจุดโทษ "มันเป็นจังหวะแฮนด์บอลแน่ แต่ผมคิดว่าผู้ตัดสินคงไม่เห็น ซึ่งคุณจะทำอะไรได้ ส่วนจังหวะที่ ยูไนเต็ด บอกว่าควรได้จุดโทษ เมื่อผมดูภาพจากโทรทัศน์อีกครั้ง รู้สึกว่ามันยังน่าจะเป็นจุดโทษน้อยกว่าการทำแฮนด์บอลของ วิดิช ส่วนเกมวันนี้ลูกทีมของผมเล่นได้ดี มีระเบียบวินัย สู้ด้วยสปิริต ผ่านบอลกันได้ตามสไตล์จนมาสู่ประตู ผมคิดว่าเราคุมเกมไว้ได้ พยายามปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง แม้ต้องเจอกับความกดดันก็ตาม"


    -http://www.manager.co.th/Sport/ViewNews.aspx?NewsID=9540000053646-
    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ข่าวฟุตบอล "ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล ไม่ท้อถอยเปิดบ้านบี้เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 ทำให้ยังพอมีหวังลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ อยู่เล็กๆ เมื่อไล่ "ผีแดง" จ่าฝูงเหลือ 6 แต้ม ขณะที่โปรแกรมโค้งสุดท้ายเหลือให้โม่แข้งกัน 3 นัด

    ผลบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
    วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน 2554
    อาร์เซน่อล 1 : 0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

    ประตู : 1-0 แอร่อน แรมซี่ย์ น.56

    ไฮไลท์การทำประตูในเกมนี้

    ครึ่งแรก

    เริ่ม ต้นเกมมาทางด้าน อาร์เซนอล มีจังหวะได้ยิงทักทายก่อนจาก แจ็ค วิลเชียร์ ที่ซัดหลุดกรอบออกไป ก่อนที่เกมในช่วงครึ่งแรกแทบจะเป็นของฝ่ายเจ้าบ้านที่ควบคุมสถานการณ์เอาไว้ ได้หมดจด

    โดยนอกเหนือจากจังหวะง้างเท้าของวิลเชียร์แล้วก็ยังมี โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ที่ได้ยิงช่วงต้นเกมด้วย แต่ที่ได้ลุ้นที่สุดเป็นจังหวะที่ กาแอล กลิชี่ กระชากไปทางซ้ายก่อนจะเปิดบอลเข้ามาให้ ธีโอ วัลค็อตต์ ได้ยิงข้ามคานออกไป เป็นจังหวะใกล้เคียงที่สุดของอาร์เซนอล ในครึ่งแรก

    แต่จังหวะที่ เป็นปัญหาที่สุดคือลูกที่ วัลค็อตต์ ได้เปิดบอลไปแล้วปรากฏว่าติดตัวของ เนมันย่า วิดิช ซึ่งจากภาพช้าแสดงให้เห็นชัดว่าเป็นการทำแฮนด์บอลในเขตโทษแต่ผู้ตัดสินไม่ ทันได้่เป่าให้เป็นจุดโทษแต่อย่างใด

    แมนฯ ยูไนเต็ด รับอยู่นานก่อนจะเริ่มดีขึ้นเมื่อพ้นกลางครึ่งแรกไป แต่ก็ไม่ได้มีจังหวะที่จะสามารถสร้างเกมรุกกดดันให้กับฝ่ายเจ้าบ้านได้เลย ทำให้จบครึ่งแรกแม้สกอร์จะยังนิ่งที่ 0-0 แต่โดยรูปเกมแล้วจ่าฝูงทำได้น่าผิดหวัง

    ครึ่งหลัง

    นาที ที่ 53 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด น่าจะได้ประตูขึ้นนำสุดๆ จากจังหวะที่นานี่ได้บอลทางริมเส้นฝั่งขวา ก่อนที่จะครอสเข้ากรอบเขตโทษไปที่เสาแรก เป็นเอร์นานเดซที่พุ่งโฉบเข้าไปก่อนหน้าใคร แต่ความสูงขาดไปนิดเดียวทำให้โหม่งบอลไม่โดน เซสนี่ย์รับเอาไว้ได้ ไม่งั้นแล้วจังหวะนี้อาจจะมีหายก็ได้

    นาที 56 กลายเป็น "ปืนใหญ่" สลุตนำ 1-0 จากจังหวะ ฟาน เพอร์ซี ไหลให้ อารอน แรมซีย์ สอดเข้ามาแปบอลลอดขา ไมเคิล คาร์ริค ผ่านมือ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ เสียบตาข่าย

    เมื่อเสียประตูไปทีมเยือนก็พยายามจะเอาคืน โดยมาได้ลุ้นจากลูกตั้งเตะเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นโหม่งของเนมันย่า วิดิช หรือการได้ซัดฟรีคิกระยะอันตรายของ รูนี่ย์ แต่ก็ปั่นไปเข้าซองของ เชสนี่ อีก

    จังหวะเปิดเกมที่สวยที่สุดของแมนฯ ยูไนเต็ด เป็นการเข้าทำโดย รูนี่ย์ ปล่อยบอลให้ นานี่ ได้เข้าไปยิงแต่ว่าไม่ผ่านด่านของ เชสนี่ ที่ช่วยชีวิตปืนเอาไว้ได้อีก ก่อนที่เจ้าบ้านจะหันลงไปแพ็กเกมรับต้านทานได้อย่างดี

    แมนฯ ยูไนเต็ด บุกในช่วงท้ายแต่ก็ไม่สำเร็จ โดยเกือบจะเรียกจุดโทษได้จากจังหวะที่ กลิิชี่ ไปดักใส่ ไมเคิล โอเว่น ตัวสำรองแต่ว่าผู้ตัดสินไม่ได้เป่าให้จุดโทษ ก่อนที่เกมจะจบลงด้วยชัยชนะของ อาร์เซนอล ที่ขยับตามมาเหลือ 6 แต้มเท่านั้น โดย แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ยังนำเชลซี อยู่ แต่เหลือแค่ 3 คะแนนโดยจะต้องเจอกับแชมป์เก่าในเกมหน้าด้วย

    รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

    อาร์เซนอล :
    วอจเซียจ เซสนี่ย์,โลร็องต์ กอสเซียลนี่,โยฮัน ฌูรู(สกิลลาชี่ น.69),กาแอล กลิชี่,บาการี่ ซานญ่า,แจ็ค วิลเชียร์,อเล็กซ์ ซง[​IMG],ซาเมียร์ นาสรี่(อาร์ชาวิน น.45),ธีโอ วัลค็อตต์(เอบูเอ้ น.78),โรบิน ฟาน เพอร์ซี่,แอร่อน แรมซี่ย์[​IMG]

    แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์,เนมันย่า วิดิช,ริโอ เฟอร์ดินานด์,ปาทริซ เอฟร่า,ฟาบิโอ[​IMG],อันแดร์สัน(วาเลนเซีย น.56),ไมเคิ่ล คาร์ริค(โอเว่น น.85),นานี่,ปาร์ค จี ซอง[​IMG],เวย์น รูนี่ย์[​IMG],ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ(เบอร์บาตอฟ น.74)



    -http://football.kapook.com/news_inside.php?id=13466&key=news-




    .

    http://football.kapook.com/news_inside.php?id=13466&key=news

    .

    [​IMG]



    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • pre2-5-54.JPG
      pre2-5-54.JPG
      ขนาดไฟล์:
      53.7 KB
      เปิดดู:
      308
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2011
  11. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    อีกแล้วรึครับของปลอมแปลง สมัยนี้ต้องดูให้ดีจริง ๆ ตาดีได้ตาร้ายเสียแต่ถ้ารอบคอบก็อาจกันได้ส่วนหนึ่ง
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 9 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 6 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong, อนัตตัง, ปฐม+</td></tr></tbody></table>


    วันนี้จะได้เตรียมพระวังหน้า จัดส่งให้กับทั้ง 4 ท่านครับ



    .
     
  13. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ลอตเตอรี่เหงาเซ่นพิษหยุดยาว

    วันจันทร์ ที่ 02 พฤษภาคม 2554 เวลา 0:09 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    เซียนหวยแห่ซื้อเลขดังเมืองพิจิตร แต่ลอตเตอรี่เหงาพิษวันหยุดยาว ด้าน "ขุนคลัง" ยาหอมเดินหน้าขายหวยออนไลน์
    วานนี้ (1 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศซื้อขายล็อตเตอรี่ ในงวดวันแรงงานแห่งชาติ ซึ่งจะออกรางวัลในวันที่ 2 พ.ค. ว่า บรรยากาศเป็นไปด้วยความเงียบเหงา เนื่องจากว่ามีวันหยุดติดกันนาน 3 วัน ประกอบกับใกล้โรงเรียนเปิดเทอม จึงทำให้บรรดาพ่อค้าแม่ค้าต่างขายกันไม่ได้ และถือว่าเป็นเรื่องปกติหรือเป็นวัฐจักรของการซื้อขายล็อตเตอรี่ในช่วงนี้ จากราคาขายส่งคู่ละ 85 บาท ลดลงมาเหลือเพียงคู่ละ 80 บาท และอาจจะต้องเลหลังขาย เหลือในราคา 3 ใบ 100 บาทแน่นอน

    สำหรับเลขดังที่เซียนหวยนิยมซื้อกันมากได้แก่กลุ่มเลขมงคล ทั้ง เลข 29,84,56,28 และ 498 และมีเลขที่เซียนหวยตามกันมาอย่างต่อเนื่องอย่าง 15, 11,14 และ54 นอกจากนี้มีเลขดังจากจังหวัดพิจิตรคือ 15,11,14 และ54 โดยเฉพาะเลข 68 และ 86 มีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก

    ด้าน นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า หากได้รับการเลือกตั้งให้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง จะเดินหน้าเรื่องโครงการหวยออนไลน์ต่อแน่นอน หลังจากคณะทำงานเรื่องกฎหมายได้แก้ไขปัญหาเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยจะถือเป็นครั้งแรกของการซื้อล็อตเตอรี่ได้โดยที่ไม่มีเรื่องของโควต้าเข้ามาเกี่ยวข้อง ขณะที่ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ครม.ยังเห็นชอบให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลออกหวยการกุศลได้รวมกันประมาณ 15,000 ล้านบาท และเปิดทางให้สำนักงานสลากฯ สามารถนำไปใช้กับโครงการหวยออนไลน์ได้.






    ที่มา เดลินิวส์ออนไลน์
     
  14. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    พิษดอกเบี้ย-เงินเฟ้อฉุดอสังหาฯ

    วันจันทร์ ที่ 02 พฤษภาคม 2554 เวลา 0:00 น


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>


    รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภาพรวมภาคอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา ชะลอตัวลงจากไตรมาส 4 ของปีก่อน เป็นผลจากผู้บริโภคบางส่วนชะลอการซื้ออสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากค่าครองชีพเริ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกันคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มปรับเข้าสู่ภาวะปกติ จะเป็นแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และอาจส่งผลให้ราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นในอนาคต

    นอกจากนี้ผลกระทบของการเริ่มใช้มาตรการของ ธปท.ในการลดแรงจูงใจของธนาคารพาณิชย์ในการปล่อยสินเชื่อที่มีสัดส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันมากกว่า 90% ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แต่ขณะนี้ยังไม่พบสัญญาณที่ชัดเจนถึงความไม่สมดุลในตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยผู้ประกอบการลดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่โดยเฉพาะอาคารชุดลง เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการซื้อที่เริ่มกลับ
    เข้าสู่ภาวะปกติหลังสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลในปีก่อน ทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดอุปทานล้นตลาดในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าลดลง

    นอกจากนี้แนวโน้มการเปิดโครงการที่อยู่อาศัยแบบแนวราบมากกว่าอาคารชุด ส่งผลให้มีความยืดหยุ่นในการลงทุนก่อสร้างมากขึ้น และสามารถปรับตัวเพื่อรองรับความเสี่ยงจากแนวโน้มความต้องการที่อยู่อาศัยและสถานการณ์เศรษฐกิจได้ดีขึ้น ส่วนของราคายังทรงตัวเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค แม้จะมีแรงกดดันด้านต้นทุนมากขึ้นจากราคาที่ดิน ราคาวัสดุก่อสร้างและค่าจ้างแรงงาน แต่จากการสอบถามผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ พบว่า การปรับราคาทำได้ยาก

    สำหรับภาวะอสังหาริมทรัพย์ในเดือนมี.ค. ที่ผ่านมาคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน สะท้อนจากจำนวนที่อยู่ที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อปล่อยใหม่จากธนาคารพาณิชย์ที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 8,869 หน่วย จากเดือนก.พ.ที่อยู่ที่ 5,895 หน่วย ส่วนหนึ่งมาจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ.






    ที่มา เดลินิวส์ออนไลน์
     
  15. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>“ไฮป๊อป นู้ดเดิ้ล”หลากเมนูฟิวชั่น ลูกชิ้นและบะหมี่ มีทีเด็ด</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>1 พฤษภาคม 2554 14:15 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> โดย : ผ่านมาแวะกิน (travel_astvmgr@hotmail.com)

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>บรรยากาศในร้านไฮป๊อป นู้ดเดิ้ล</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> “ผ่านมาแวะกิน” พาไปลองชิมอาหารกันมาแล้วหลากหลายแหล่ง ซึ่งก็มีความเอร็ดอร่อยแตกต่างกันไป อย่างในมื้อนี้ที่ขอแวะเข้าห้างรับแอร์เย็นๆ เสียหน่อย เลยขอพามาลิ้มลองความอร่อยกันที่ “ไฮป๊อป นู้ดเดิ้ล” ร้านอาหารน้องใหม่ที่เปิดมาได้เพียง 3 เดือน แต่ความอร่อยนั้นนับว่าไม่เป็นรองใครเหมือนกัน

    จุดเริ่มต้นของร้านนี้ก็มาจากการทำโรงงานผลิตลูกชิ้นปลาส่งให้ร้านอาหาร และโรงแรมต่างๆ จากนั้นก็เริ่มขยายมาทำโรงงานผลิตเส้นบะหมี่ และเมื่อถึงจุดหนึ่งก็มีการคิดสร้างตราสินค้าของตัวเองขึ้นมา จนกลายมาเป็น “ไฮป๊อป นู้ดเดิ้ล” ในวันนี้

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>บะหมี่ลูกชิ้นปลาแห้ง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เมื่อเดินเข้าไปในร้านจะเห็นการตกแต่งแบบโมเดิร์น ที่ดูโปร่งสบาย ผนังด้านในจะเป็นสีแดงสด ขับเน้นตัวอักษรภาษาจีนสีขาวที่แปลว่า “ของมีค่าจากท้องทะเล” และเมื่อมาดูในเมนูแล้วส่วนใหญ่ก็จะเป็นเมนูแบบฟิวชั่น ที่คิดค้นผสมผสานกันมาอย่างกลมกลืน

    และจุดเด่นๆ ของร้านนี้ก็เห็นจะอยู่ที่เส้นบะหมี่ และลูกชิ้นปลา ซึ่งก็มีโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง ที่จะคัดสรรวัตถุดิบและควบคุมการผลิตให้มีคุณภาพ อย่างเส้นบะหมี่ก็จะเน้นที่ใส่ไข่ ทำให้ได้ความเหนียวนุ่ม และความหอม ส่วนลูกชิ้นปลาก็ใช้เนื้อปลาจันทร์ ปลาดาบ และปลาข้างเหลืองมาผสมกัน แล้วปรุงรสตามสูตรเฉพาะ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>บะหมี่ผัดผงกะหรี่</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> มาลองชิมเมนูแรกเริ่มที่ บะหมี่ลูกชิ้นปลาแห้ง (45 บาท) ชามนี้เป็นเส้นบะหมี่ไข่ที่มีจุดเด่นที่ความเหนียวนุ่มแตกต่างจากที่อื่น ส่วนลูกชิ้นที่ใส่มาในชามก็มีทั้ง ลูกชิ้นปลากลม ลูกชิ้นปลารักบี้ ลูกชิ้นปลาผสมสาหร่ายทะเล ลูกชิ้นปลาผสมเห็ดหอมจีน และลูกชิ้นกุ้ง ที่ทำมาจากเนื้อกุ้งผสมกับเครื่องเทศ เสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำซุปกระดูกหมูรสชาติกลมกล่อม ชิมเส้นบะหมี่ก็เหนียวนุ่ม ได้รสชาติกระเทียมเจียวที่คลุกเคล้ามาเล็กน้อย ลูกชิ้นเด้งหนึบ ไม่คาว

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>บะหมี่ต้มยำทรงเครื่อง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> จานที่สองเป็น บะหมี่ผัดผงกะหรี่ (60 บาท) ที่ใช้บะหมี่ตัวเดียวกันมาผัดกับน้ำซอสผงกะหรี่สูตรของทางร้าน ใส่ทั้งไข่ไก่ ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นสาหร่าย กุ้งสด และปลาหมึกสด พร้อมกับขึ้นช่ายเพิ่มความหอมชวนกิน พอลองลิ้มรสแล้วก็อร่อยถูกปาก รสชาตินุ่มนวล

    ต่อกันด้วย บะหมี่ต้มยำทรงเครื่อง (60 บาท) ใช้เส้นบะหมี่มาลวก ใส่ลูกชิ้นปลา กุ้งสด ปลาหมึกสด และเห็ดนางฟ้า ลงไปในน้ำซุปต้มยำที่ใส่นมสดเพิ่มความกลมกล่อม ลองชิมแล้วรสชาติจัดจ้านพอประมาณ หอมกลิ่นเครื่องเทศ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>บะหมี่ผัดฉ่า</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> แล้วขอมาต่อกับความจัดจ้านอีกสักจาน บะหมี่ผัดฉ่า (55 บาท) นะเส้นบะหมี่มาผัดกับซอสผัดฉ่าที่ปรุงมาเฉพาะ ใส่ลูกชิ้นปลา กุ้งสด ปลาหมึกสด และผักหลายชนิด ลองชิมแล้วได้รสชาติของผัดฉ่าแบบเข้มข้น แต่ไม่เผ็ดจนเกินไป

    ส่วนจานนี้ เส้นหมี่ปลาผัด (50 บาท) ขอแนะนำว่าต้องมาลิ้มลอง เพราะทางร้านใช้เส้นปลามาผัดกับซอสพริกไทยดำ ใส่เนื้อหมู กะหล่ำปลี เห็ดหอม และต้นหอม ชิมเส้นปลาก็นุ่มหนึบ ได้รสชาติของพริกไทยดำเข้าไปในเนื้อ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>เส้นหมี่ปลาผัด</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> และขอแนะนำกันอีกสักสองจาน เริ่มที่ ลูกชิ้นปลาลวกจิ้ม (50 บาท) ใช้ลูกชิ้นชนิดต่างๆ มาลวกให้สุก กินคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดที่รสชาติจัดจ้าน ได้ความหวานของลูกชิ้นเข้ากับน้ำจิ้มได้อย่างดี กับอีกจานคือ ลูกชิ้นปลาน้ำสลัด (55 บาท) ที่นำลูกชิ้นปลามาคลุกเกล็ดขนมปังแล้วทอดกรอบ เสิร์ฟพร้อมกับน้ำสลัดและผักสด จานนี้เป็นอาหารกินเล่นที่อร่อยไม่แพ้ใคร

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ลูกชิ้นปลาลวกจิ้ม และ ลูกชิ้นปลาน้ำสลัด</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> หรือหากอยากลองเมนูอื่นก็มีให้ชิมกัน อาทิ บะหมี่เป็ดย่าง (55 บาท) บะหมี่หมูแดง (45 บาท) บะหมี่หมูทงคัตสึ (60 บาท) บะหมี่ไก่เทริยากิ (60 บาท) เป็นต้น ซึ่งก็แวะเวียนกันมาได้ที่ร้าน “ไฮป๊อป นู้ดเดิ้ล”

    * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

    “ไฮป๊อป นู้ดเดิ้ล” ตั้งอยู่บริเวณชั้น 1 ของเทสโก้ โลตัส สาขาแจ้งวัฒนะ ถ.แจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. การเดินทางจากสะพานพระรามที่ 4 (ปากเกร็ด) ให้วิ่งตรงมาบน ถ.แจ้งวัฒนะ ผ่านเมืองทองธานี วิ่งตรงมาจนผ่านแยกคลองประปา-แจ้งวัฒนะ ให้ชิดซ้าย แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าห้างเทสโก้โลตัส ร้านจะอยู่ที่ชั้น 1 ใกล้ๆ กับบันไดเลื่อน ร้านเปิดทุกวัน เวลา 10.00-21.00 น. โทร. 0-2982-6246
    ที่มา Manager Online

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรียน ท่านประธานชมรมพระวังหน้า

    ท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า

    ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้าทุกๆท่าน

    และท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้าทุกๆ่ท่าน

    ผมได้ส่งรายละเอียดงานบุญให้ทุกๆท่านทราบทาง Email แล้วครับ

    ขอเชิญทุำกๆท่านร่วมงานบุญกันครับ

    โมทนาบุญทุกประการครับ



    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เดี๋ยวจะลืม

    สำหรับพระพิมพ์สมเด็จที่ผมส่งให้นั้น เป็นพิมพ์คะแนนร้อย เนื้อผงยาจินดามณี หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร 5 พระองค์ อธิษฐานจิต (คุณอนัตตัง , คุณs@n16 , และคุณซื้งบน)

    ส่วนพระปิดตาวังหน้า 2 หน้า สีดำ เป็นพระปิดตาของวังหน้า หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต

    สำหรับคุณLee_bangkok จะได้พิมพ์หลวงปู่ทวด (สร้างสมัยรัชกาลที่ 5) 1องค์ และพิมพ์พระปิดตาวังหน้า 2 หน้า สีดำ 1 องค์

    สำหรับคุณอนัตตัง ที่ร่วมทำบุญมา 3 ครั้ง อีก 3 องค์จะเป็นพิมพ์พระสมเด็จ (รักสมุ หรือ รักพม่า สีน้ำเงิน) สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี อธิษฐานจิต , พิมพ์พระปิดตาวังหน้า 2 หน้า สีขาว หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต และ พิมพ์ต้นรังคู่ เนื้อกรมท่า หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต ครับ

    ส่วนค่าจัดส่ง คุณเฉลิมพล ได้มอบเงินมาให้ผม ผมจะนำเงิน(บางส่วน)ของคุณเฉลิมพล , น้องปฐม ได้มอบเงินมาให้ผม ผมจะนำเงิน(บางส่วน)ของน้องปฐม และเงินของผม เป็นค่าจัดส่งให้ครับ

    รายละเอียดตามนี้ครับ

    1.คุณอนัตตัง

    1.1 พระสมเด็จ พิมพ์คะแนนร้อย เนื้อผงยาจินดามณี 1 องค์ หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร 5 พระองค์ อธิษฐานจิต

    1.2 พระปิดตาวังหน้า 2 หน้า สีดำ เป็นพระปิดตาของวังหน้า 1 องค์ หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต

    1.3 พิมพ์พระสมเด็จ (รักสมุ หรือ รักพม่า สีน้ำเงิน) 1 องค์ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี อธิษฐานจิต

    1.4 พิมพ์พระปิดตาวังหน้า 2 หน้า สีขาว 1 องค์ หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต

    1.5 พิมพ์ต้นรังคู่ เนื้อกรมท่า 1 องค์ หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต ครับ

    2.คุณLee_bangkok

    2.1 พิมพ์หลวงปู่ทวด (สร้างสมัยรัชกาลที่ 5) 1องค์

    2.2 พิมพ์พระปิดตาวังหน้า 2 หน้า สีดำ 1 องค์ หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต

    3.คุณs@n16

    3.1 พระสมเด็จ พิมพ์คะแนนร้อย เนื้อผงยาจินดามณี 1 องค์ หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร 5 พระองค์ อธิษฐานจิต

    3.2 พระปิดตาวังหน้า 2 หน้า สีดำ เป็นพระปิดตาของวังหน้า 1 องค์ หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต

    4.คุณซื้งบน

    4.1 พระสมเด็จ พิมพ์คะแนนร้อย เนื้อผงยาจินดามณี 1 องค์ หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร 5 พระองค์ อธิษฐานจิต

    4.2 พระปิดตาวังหน้า 2 หน้า สีดำ เป็นพระปิดตาของวังหน้า 1 องค์ หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต


    โมทนาบุญกับทุกๆท่านทุกๆประการ



    .
     
  18. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ขออนุโมทนาบุญกับคุณ SITHIPHONG ด้วยครับ ถ้าได้รับพระ ผม จะมาแจ้งให้ทราบในกระทู้ อีกครั้งครับ
     
  19. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ขอโมทนาบุญทุกประการนะครับพี่ท่าน รู้สึกช่วงนี้พี่ท่านงานหนักจริง ๆ แถมวันหยุดก็ทำงานบุญอีก กำลังใจดีจริงนะครับ:cool:
     
  20. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    โมทนาบุญทุกประการครับผม ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงามจริงดังโบราณว่าไว้จริง ๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...