พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ใช้มือถือให้ปลอดภัย

    โดย sunanta | วันที่ 11 เมษายน 2554

    เรื่องของอันตรายจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากมือถือที่จะมีผลต่อสมองขณะใช้งานนั้น ก็ยังมีผลการศึกษาออกมาตลอด

    [​IMG]

    ดร.นอรา โวลคอฟ นักประสาทวิทยาแห่งสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐอเมริกา ได้รายงานผลการวิจัยชิ้นล่าสุดในวารสารวิจัยของสมาคมแพทยศาสตร์อเมริกัน ว่า "สมองมนุษย์เรามีความอ่อนไหวต่อคลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้าที่ถูกส่งแพร่กระจายจากมือถือซึ่งมีเสาอากาศอยู่ ถ้าหากแนบมือถือชิดหูหรือศีรษะ ซึ่งก็เหมือนเสาอากาศอยู่ข้างสมอง ทางที่ดี คือ ให้สมองอยู่ห่างจากเสาอากาศก็จะปลอดภัย"

    ซึ่งในงานวิจัย ระบุว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งแพร่มาจากมือถือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการทำงานของน้ำตาลในสมอง จึงมีการแนะนำวิธีการใช้มือถือ 5 ประการด้วยกัน คือ

    หนึ่ง อย่าใช้มือถือคุยกันเพราะเวลาใช้มือถือแนบข้างหูคุยกันนานๆ คงจะรู้สึกหูชา หัวมึนเหมือนกัน มีคำแนะนำว่าให้ใช้วิธีการส่งข้อความ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า "text message" จะดีกว่า นอกจากจะไม่ต้องเสียเวลาคุยนาน เปลืองเงินเปลืองทอง การติดต่อด้วยข้อความจะรัดกุมกว่า สั้นๆ เข้าใจง่าย ลองดูซิครับ

    สอง สวมเฮดโฟนเวลาต้องการคุยมือถือ หรือจะเป็นเฮดเซตประเภทบลูทูธก็ได้ ซึ่งก็จะทำให้สมองอยู่ห่างไกลจากเสาอากาศในมือถือ เดี๋ยวนี้สาธารณชนเริ่มชินแล้ว เวลามองคนที่ใช้เฮดโฟนคุยคนเดียว เขาก็จะรู้ว่าไม่ใช่คนบ้าแน่นอน เพราะการแต่งตัวของคุณไม่เหมือนกับคนบ้าแน่ๆ

    สาม ซื้อมือถือที่ปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าน้อย ซึ่งโดยปกติแล้วที่สหรัฐอเมริกา คณะกรรมการการสื่อสารแห่งชาติ จะกำหนดเรื่องนี้ไว้เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ แต่ในทางปฏิบัติก็ยากที่จะควบคุมผู้ผลิตแต่ก็มีกลุ่มคณะของสิ่งแวดล้อม เช่น Environmental Working Group หรือ EWG และสำนักข่าว CNET ได้ทำบัญชีรายชื่อของโทรศัพท์มือถือพร้อมกับระดับการแพร่กระจายคลื่นแม่เหล็กของเสาอากาศไว้ด้วย ส่วนประเทศไทย ก็สามารถค้นหาดูจากกูเกิลได้

    สี่ ให้ใช้สปีคเกอร์โฟน หรือกดปุ่มเสียงดังแล้ววางมือถือบนโต๊ะที่ทำงาน หรือที่บ้านก็แล้วแต่ ก็สามารถคุยกันได้เหมือนในที่ประชุม แต่ระวังถ้าคุยคนเดียวควรอยู่ในห้องส่วนตัว เพราะจะไปรบกวนชาวบ้านเขาเสียสมาธิการทำงาน

    ห้า อย่าคุยยาว ลากยาว คุยให้เข้าใจก็พอ หากไม่สะใจอยากจะคุยยาวก็สวมเฮดโฟนตามข้อสองจะดีกว่าคำแนะนำง่ายๆ ที่ ดร.นอรา โวลคอฟ บอกว่าให้มือถือห่างจากศีรษะก็ดีที่สุด คำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ น่าจะเกิดประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านบ้างนะครับ


    ที่มา : นิตยสารโกลบอล บิสซิเนส โดย รศ.ดร.บุญมาก ศิริเนาวกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรียนคุณ อนัตตัง

    รบกวนแก้ลิงค์ด้านล่างของโพส #44777 ด้วยครับ

    ให้พิมพ์ว่า ที่มา จากไหนก็ได้เช่นกัน

    ไม่อย่างนั้น จะทำให้โพสต่อมา จะร่นเข้าด้านในมาอีกครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    ขอบคุณครับ



    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • anattang1.JPG
      anattang1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      134.5 KB
      เปิดดู:
      47
    • anattang2.JPG
      anattang2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      89.3 KB
      เปิดดู:
      46
  3. Lee_bangkok

    Lee_bangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +4,741
    สวัสดีปีใหม่ไทย สุขสันต์ในดิถีนี้ด้วยทุกๆท่านเลยนะครับผม โดยเฉพาะคุณหนุ่มที่คอยตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับพระวังหน้าคับ
    วันสงกานต์มีโอกาสได้ไปทำบุญ กับ หลวงปู่ วิไล แห่งวัดถ้ำพญาช้างเผือก และ หลวงปู่ท่อน ครับผม พร้ิอมทั้งให้ท่านอธิฐานจิตสิ่งมงคลให้ครับ เพื่อนำมาแจกผู้คนครับและแผ่นทองเหลืองเพื่อสร้างองค์พระ
    กระผมได้ร่วมบุญสร้างองค์พระกับทางวัดนาอุดม หลวงปู่ญา ท่านสวน ครับผม เพิ่งแจ้งไปที่กะทู้ของเขาตะกี้เองครับ
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หญิงอเมริกันฟ้องเว็บนัดพบ ต้นเหตุทำให้ถูกข่มขืน



    [​IMG]

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

    หญิง สาวชาวแคลิฟอร์เนีย ฟ้องร้องเว็บไซต์นัดพบ หลังถูกข่มขืนโดยชายที่รู้จักกันในเว็บดังกล่าว พร้อมเรียกร้องให้ทางเว็บมีมาตรการป้องกันมากยิ่งขึ้น

    ทั้งนี้ หญิงดังกล่าวซึ่งเป็นผู้บริหารอุตสาหกรรมบันเทิงแห่งหนึ่ง ได้สนทนากับสมาชิกชายของเว็บไซต์นัดพบชื่อดังแห่งหนึ่ง และมีการนัดหมายพบกับชายผู้นี้ในคาเฟ่ย่านเวสต์ ฮอลลีวูด เมื่อปี 2553 และหลังจากนั้นมีการนัดพบกันครั้งที่สอง เพราะทั้งสองฝ่ายเกิดความประทับใจซึ่งกันและกัน แต่กลายเป็นว่า หญิงสาวผู้นี้กลับถูกชายหนุ่มดังกล่าวใช้กำลังข่มขืน

    และเมื่อวันที่ 14 เมษายนที่ผ่านมา มาร์ค เว็บบ์ ทนายความของหญิงรายนี้ได้เรียกร้องให้ทางเว็บไซต์ดังกล่าวปิดการรับสมาชิก ใหม่ชั่วคราว จนกว่าจะทำการติดตั้งระบบสแกนในการตรวจสอบและกลั่นกรองสมาชิก เพื่อป้องกันการเกิดเหตุข่มขืนอีก เนื่องจากเว็บไซต์ดังกล่าวเป็นเว็บไซต์ชื่อดังด้านการนัดพบ และจำเป็นต้องระมัดระวังเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นกับสมาชิกเป็นพิเศษ

    ขณะที่ผู้ต้องสงสัยในคดีนี้คือ อลัน เวิร์ทเซล เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นผู้ต้องหาคดีข่มขืนผู้หญิงรายหนึ่งทางอิน เทอร์เน็ต ส่วน มาร์ค เว็บบ์ ทนายความของโจทก์ กล่าวว่า กำลังเร่งตรวจสอบหาหลักฐานเอาผิดผู้ต้องสงสัยรายนี้

    อย่างไรก็ตาม ผู้ดำเนินการของเว็บไซต์ชื่อดังนี้กล่าวว่า ปกติแล้วกรณีการถูกข่มขืนไม่ค่อยจะเกิดขึ้นกับสมาชิกของกลุ่ม และที่ผ่านมา เราได้บอกกับสมาชิกทุกคนแล้วให้เอาใจใส่ต่อคำแนะนำในการออกเดท เพื่อที่จะให้สมาชิกสามารถป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้


    ˭ԧ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 23 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 22 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong</td></tr></tbody></table>

    สวัสดีตอนดึกน้อยๆ วันจันทร์แจ่มใสครับ

    ทำอะไร ดูอะไร ต้องพิจารณา ต้องมหาพิจารณากันให้มากๆ

    พระวังหน้า ดูไม่ยาก แต่ก็ ดูไม่ง่าย ครับ

    ต้องระวัง ต้องมหาระวังกันครับ


    .




    .
     
  6. Lee_bangkok

    Lee_bangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +4,741
    ดีครับทุกท่าน คงสบายดีกันนะครับผม
    พี่หนุ่ม ไม่ทราบว่าหาเจอ ลป ทวด ที่ผมขอไว้ได้ไหมครับ ที่ลป ทวด ท่านอธิฐานจิตไว้ให้นะครับ ใช่ใน ร 2 หรือเปล่านะครับ
    ขอบคุณครับ
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 7 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 6 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong </TD></TR></TBODY></TABLE>


    สวัสดีตอนเช้า วันอังคาร เบิกบาน

    ขอให้เบิกบานกันทั้งวันครับ

    ช่วงนี้ งานผมเยอะมากๆๆๆๆๆๆ ไม่ค่อยมีเวลาเข้ามาคุยในกระทู้พระวังหน้าฯครับ



    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เป็นยุค ร.5 ครับที่จะมอบให้

    ยุค ร.2 หายากมากครับ


    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <CENTER>สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล : อรรถาธิบายภายใต้ความเป็นผู้ดี

    </CENTER>


    “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล” คือ หนึ่งในสำนวนไทยที่มักจะถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อเปรียบเปรยกระทบกระเทียบอยู่เป็นประจำ เพราะความหมายของสำนวนนี้จะเชื่อมโยงไปถึงการอบรมสั่งสอนของครอบครัวของคนผู้นั้นไปด้วย ความหมายของสำนวนนี้จะถูกสื่อได้เด่นชัดยิ่งขึ้น เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับสังคมยุคโลกาภิวัฒน์ (Globalization) ด้วยเหตุที่การอบรมสั่งสอนภายในครอบครัวของคนสมัยนี้ช่างห่างไกลกับแบบแผน “ผู้ดี” เสียเหลือเกิน

    “ผู้ดี” หมายถึง บุคคลผู้มีความประพฤติเรียบร้อยทั้งทางกาย ทางวาจา และทางความคิด ซึ่งขัดแย้งกับแนวคิดของคนส่วนใหญ่ที่เข้าใจว่า “ผู้ดี” คือ ผู้ที่มีฐานะร่ำรวย และมียศถาบรรดาศักดิ์ แต่แท้จริงแล้ว “ผู้ดี” ก็เป็นเพียงปุถุชน แต่เป็นมนุษย์ซึ่งเปี่ยมไปด้วยกิริยามารยาทในการแสดงออกทั้งทางกาย วาจาและใจเท่านั้นเอง ดังนั้นการเป็น “ผู้ดี” จึงมิใช่เรื่องที่ต้องลำบากยากเย็นแต่อย่างใด เพราะเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเท่านั้น สำหรับผู้ที่ชอบประชดประชันถึงความเป็น “ผู้ดี” สันนิษฐานได้ว่าผู้นั้นก็คงไม่แน่ใจนักว่าตนเองนั้นเป็น “ผู้ดี” หรือไม่...

    “ไม่มีใครที่จะเปลี่ยนแปลงหรือกำหนดชาติกำเนิดของตนเองได้” ข้อความนี้เป็นสัจธรรมที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยเรื่องหลักการกำเนิดของมนุษย์ ดังนั้นชาติกำเนิดจึงเป็นเพียงองค์ประกอบที่ส่งเสริมสถานภาพของบุคคลในสังคมเท่านั้น มิใช่ตัวชี้วัดความเป็นผู้ดี อย่างไรก็ตามหากผู้นั้นเป็นผู้ดีทั้งโดยการกระทำและชาติกำเนิดก็ย่อมมีภาษีสังคมเหนือผู้อื่น แต่ในทางกลับกันหากผู้นั้นเป็นผู้ดีแค่โดยชาติตระกูล กล่าวคือ มีชาติตระกูลดีแต่กิริยามารยาทเข้าขั้น “สถุล” คนผู้นั้นย่อมได้รับคำครหาว่าเป็น “ผู้ดีตีนแดง ตะแคงตีนเดิน” จึงเห็นได้ชัดว่าชาติตระกูลไม่ใช่บรรทัดฐานของความเป็น “ผู้ดี” หากแต่เป็นกิริยามารยาทเท่านั้นที่จะสื่อไปถึงการอบรมสั่งสอนของ “ชาติตระกูล”

    หากจะวิเคราะห์ความหมายของ “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล” ในการอรรถาธิบาย จำเป็นจะต้องแปลความหมายของแต่ละ “อรรถ” เสียก่อน
    สำเนียง น. เสียง, น้ำเสียง, หางเสียง, วิธีออกเสียง
    ส่อ ก. แสดงออกมาให้เห็นเค้า
    ภาษา น. เสียงสัญลักษณ์หรือกิริยาอาการที่ใช้สื่อความต่อกัน, คำพูด, ถ้อยคำที่ใช้พูดกัน
    กิริยา น. การกระทำ; อาการที่แสดงออกทางกายตามความหมายเรื่องมารยาท
    สกุล น. ตระกูล, วงศ์, เชื้อสาย, เผ่าพันธุ์


    เมื่อพิจารณาความหมายของ “อรรถ” และรวมความเป็นสำนวนแล้ว ก็น่าที่จะตีความได้ว่าหมายถึง “บุคลิก การกระทำและมารยาทจะแสดงออกมาให้ทราบว่ามาจากชาติตระกูลเช่นไร” สำนวนนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีมารยาท (กิริยาวาจาที่เรียบร้อย) เพราะสิ่งนี้จะสะท้อนไปถึง กำพืดของผู้นั้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพูด ซึ่งสามารถบ่งบอกระดับปัญญาของผู้นั้นได้ ดังที่มีคำกล่าวไว้ว่า “เมื่อไม่พูดก็ไม่รู้ว่าโง่หรือฉลาด จนกว่าจะพูดออกมานั่นแหละ เขาจะหายสงสัย”

    นอกจากการขยายความในเชิงอรรถสัมพันธ์แล้ว การวิเคราะห์ความสมเหตุสมผลของความหมายก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยทำให้เข้าใจกุศโลบายของผู้ริเริ่มใช้สำนวนนี้ได้ดียิ่งขึ้น ในประโยคแรกที่ว่า “สำเนียงส่อภาษา” หากพิจารณาในหมู่คนส่วนใหญ่ ประโยคนี้จะเป็นข้อสรุปที่สมเหตุสมผลในตัวเองอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมองในแง่มุมใด เพราะคนทั่วไปจะมีสำเนียงพูดที่ต่างกัน ซึ่งจะบ่งบอกได้ว่าผู้ใดใช้ภาษาใด ถึงแม้จะใช้ภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาประจำของตน สำเนียงที่ออกมาก็จะแปร่งหูในสำเนียงที่แตกต่างออกไป เช่น คนจีนที่ตั้งรกรากในไทยซึ่งพูดภาษาไทย เป็นต้น ทั้งนี้ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มีค่านิยมการใช้ภาษาในอีกลักษณะหนึ่ง ก็จะพบว่าสำเนียงจะมิได้ส่อภาษาเสียแล้ว เพราะคนพวกนี้จะเป็น “ดัดจริตชน” ที่พยายามเปลี่ยนแปลงสำเนียงของตนให้กลายเป็นภาษาอื่นที่มิใช่ “ภาษาพ่อภาษาแม่” เพื่อตอบสนองค่านิยมของตนที่ว่าการใช้ภาษาอื่นๆ จะทำให้ให้ดู “โก้” กว่าการใช้ภาษาของตน ซึ่งจะเห็นได้ชัดในคนไทยยุค “ไอที”

    ส่วนในประโยคหลังที่ว่า “กิริยาส่อสกุล” ประโยคนี้ก็สามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ในเรื่อง “การขัดเกลาทางสังคม (Socialization)” ที่หมายถึง กระบวนการทางสังคมและจิตวิทยาซึ่งมีผลทำให้บุคคลมีบุคลิกภาพตามแนวทางที่สังคมต้องการ เป็นที่ยอมรับกันว่ากระบวนการขัดเกลาทางสังคมนี้จะเริ่มต้นตั้งแต่บุคคลถือกำเนิดมาในโลก ซึ่งตัวขับเคลื่อนกลไกการขัดเกลาทางสังคมเป็นกลุ่มแรกและสำคัญที่สุดก็คือ “สถาบันครอบครัว” ซึ่งมีหน้าที่ปลูกฝังแนวทางการดำเนินชีวิตทั้งทางตรงและทางอ้อม กล่าวคือ การที่พ่อแม่ผู้ปกครองสั่งสอนบุตรจัดเป็นการขัดเกลาทางสังคมทางตรง และการกระทำตนเป็นแบบอย่างให้กับลูกก็เป็นการขัดเกลาทางอ้อม ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าครอบครัวจึงมีอิทธิพลในการหล่อหลอมกิริยามารยาทของบุคคลแต่ละคน ด้วยเหตุนี้ประโยคที่ว่า “กิริยาส่อสกุล” จึงสมเหตุสมผลไปโดยนิปริยาย

    ทั้งนี้การขัดเกลาทางสังคมจากครอบครัวเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งที่สร้างพฤติกรรมของคนเพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกที่สร้างบุคลิกภาพของบุคคลได้เช่นเดียวกัน ทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน ทว่าปัจจัยอื่นนั้นจะลึกซึ้งกว่าปัจจัยด้านครอบครัว ด้วยเหตุนี้คนทั่วไปจึงมองว่ากิริยามารยาทของแต่ละคนจะมาจากครอบครัว เช่น มีเด็กชอบฉกชิงวิ่งราวทรัพย์สินผู้คนตามท้องถนน คนอื่นที่พบก็จะสรุปในทันทีเลยว่าครอบครัวนี้คงยากจน ไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนลูก หรือถึงขั้นกล่าวว่าคงเป็นโจรทั้งครอบครัว ซึ่งในความจริงอาจจะเป็นลูกของครอบครัวฐานะดีที่มีความอบอุ่นสมบูรณ์พร้อมก็ได้ แต่สาเหตุมาจากการได้รับอิทธิพลทางความคิดที่ผิดมาจากที่อื่น เป็นต้น ในบางครั้งสำนวนนี้จึงอาจไม่ยุติธรรมสำหรับวงศ์ตระกูลสักเท่าไร จากการวิเคราะห์ความสมเหตุสมผลของความหมายจึงสรุปได้ว่า สำนวนนี้มุ่งที่จะใช้กับผู้ที่แสดงกิริยามารยาทที่ไม่เหมาะสมให้รู้จักปรับปรุงตนเพื่อมิให้เสื่อมเสียต่อวงศ์ตระกูลและครอบครัว คล้ายๆ กับการกล่าวว่า “พ่อแม่ไม่สั่งไม่สอน” นั่นเอง

    เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างสำนวนนี้กับเรื่องของ “ผู้ดี” ก็จะพบว่ามีความเกี่ยวข้องกัน เพราะผู้ดีคือผู้ที่ระมัดระวังกิริยามารยาทของตนเอง ดังนั้นผู้ดีก็จะแสดงออกให้เห็นถึงลักษณะการอบรมสั่งสอนที่ดีของครอบครัว ซึ่งก็สามารถอธิบายได้ด้วยความหมายสำนวนได้ว่า การเป็นผู้ดีเป็นผลลัพธ์จากการขัดเกลาทางสังคมในวิถีที่ถูกต้องของครอบครัว และความเป็นผู้ดีก็จะส่อให้เห็นถึงความมี “สกุลสูง” ซึ่งก็แน่นอนว่าเป็นความสูงส่งทางจริยธรรมมิใช่ทางด้านฐานะ จึงอาจกล่าวได้ว่าลักษณะความเป็น “ผู้ดี” สอดคล้องและสนับสนุนความหมายของสำนวน “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล” ได้ดียิ่งขึ้น เมื่อใดที่ใช้สำนวนนี้กับผู้ดี นัยของความหมายจึงมิใช่การเสียดสีประชดประชันแต่อย่างใด หากแต่เป็นการชื่นชมถึงครอบครัวนั้นอย่างจริงใจ ดังนั้นหากต้องการจะเป็น “ผู้ดี” ก็ต้องเข้าใจความหมายสำนวนนี้ที่อธิบายด้วยความเป็นผู้ดี เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจในขณะที่จะทำพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมด้วย


    ในอดีตสำนวนนี้คงจะก่อสำนึกให้กับผู้ฟังได้มาก แต่ปัจจุบันไม่ว่าใครจะด่าว่าถึงวงศ์ตระกูลอย่างไร จะกล่าวถึงสำนวนนี้เป็นร้อยครั้งพันครั้ง ก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนได้ เพราะ “อัตตา” ในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ได้ปิดกั้นไว้ กอปรกับการที่ครอบครัวในปัจจุบันก็ไม่ได้ทำหน้าที่ที่สถาบันครอบครัวพึงกระทำ คือ สั่งสอนให้คนในครอบครัวเป็นคนดี แต่กลับให้ความสำคัญกับเงินตรามากกว่า เหล่านี้คือผลของการพัฒนาในระบอบทุนนิยมโดยไม่ทำไปควบคู่กับจริยธรรมนั่นเอง เราจึงควรให้ความสำคัญกับความหมายของสำนวนนี้ในเชิง “ผู้ดี” บ้าง มิฉะนั้นในอนาคตสำนวนนี้อาจจะเปลี่ยนไปเป็น “สำเนียงส่อภาษา เงินตราส่อสกุล” ก็ได้
    หมายเหตุ เรียงความนี้เขียนขึ้นเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๐ เพื่อส่งงานในรายวิชา “ภาษาไทยพื้นฐาน (ท ๔๑๑๐๒)” กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โดยกำหนดให้นักเรียนเขียนเรียงความเกี่ยวกับสำนวน สุภาษิต คำพังเพย


     
  10. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    รัฐจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษาในหลวงครบ7รอบยิ่งใหญ่

    วันจันทร์ ที่ 18 เมษายน 2554 เวลา 22:15 น


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    รัฐบาลจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษาในหลวง ครบ 7 รอบ ยิ่งใหญ่ เตรียมจัดมหรสพสมโภช ถ.ราชดำเนินตลอดเส้น 3-11 ธ.ค.นี้ ซ้อมใหญ่ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ต.ค.นี้
    วันนี้(18เม.ย.)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุม 501 ชั้น 5 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฝ่ายพิธีการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธ.ค.2554 ซึ่งเป็นการติดตามความคืบหน้าในการดำเนินงานจัดงานเฉลิมพระเกียรติจากคณะอนุกรรมการฝ่ายต่างๆ โดยการเตรียมการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคในงานพระราชพิธีทรงบำเพ็ญ พระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ซึ่งกองทัพเรือได้กำหนดจัดรูปขบวนเรือ 5 ริ้ว ยาว 1,200 เมตร กว้าง 90 เมตร กำลังพล 2,200 นาย ใช้เรือพระราชพิธี 52 ลำ เส้นทางเสด็จช่วงระหว่างสะพานกรุงธน -สะพานพุทธฯ ซึ่งจะมีพิธีซ้อมใหญ่ในเดือน ต.ค.นี้ ขณะที่พระราชพิธีเสด็จออกมหาสมาคมรับการถวายพระพรชัยมงคล ในวันที่ 5 ธ.ค.นี้ เวลา 10.30 น. ในพระบรมมหาราชวัง โดยจะกราบบังคมทูลพระกรุณาเชิญเสด็จฯ ไปในการพระราชพิธีที่มุขเด็จพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และขอให้สำนักราชเลขาธิการนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยต่อไป
    สำหรับการจัดงานสโมสรสันนิบาตเฉลิมพระเกียรติฯ ในวันที่ 7 ธ.ค.2554 ที่ทำเนียบรัฐบาล จะกราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระบรมวงศ์ และพระอนุวงศ์ เสด็จฯ ไปในงาน โดยรูปแบบการจัดงานจะมีการถวายพระกระยาหารค่ำและการจัดงานสโมสรสันนิบาตเฉลิมพระเกียรติ พร้อมทั้งทูลเกล้าฯ ถวายของที่ระลึก 3 รายการ ได้แก่ พระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์จำลอง หนังสือที่ระลึกประมวลพระราชดำรัส และเงินสมทบมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ขณะที่การจัดพิธีถวายพระพรชัยมงคล กำหนดจัดทั่วประเทศ โดยให้มีพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพรและการแสดงมหรสพสมโภช รวมทั้งการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ที่ท้องสนามหลวง และสวนสาธารณะทั่วกรุงเทพมหานคร จำนวน 16 แห่ง ในทุกจังหวัด และที่ศูนย์เรียนรู้โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริระดับอำเภอต้นแบบเฉลิมพระเกียรติ จำนวน 84 แห่ง
    นอกจากนี้ พิธีเสกและอัญเชิญน้ำพระพุทธมนต์ ได้กำหนดให้ทุกจังหวัดประกอบพิธีพลีกรรมตักน้ำจากแหล่งน้ำสำคัญที่ประชาชนเคารพเลื่อมใส หรือแหล่งน้ำสำคัญของจังหวัด หรือจากแหล่งน้ำที่เคยใช้ประกอบพิธีอย่างน้อยจังหวัดละ 1 แห่ง โดยให้ประกอบพิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ ณ สถานที่ที่สำคัญหรือพระอารามหลวงของจังหวัดแล้วนำมามอบให้กระทรวงมหาดไทยเพื่อนำเข้าพิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ที่ส่วนกลางอีกครั้ง แล้วจึงนำทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในงานพระราชพิธีเสด็จออกมหาสมาคมรับการถวายพระพรชัยมงคล ในวันที่ 5 ธ.ค.2554 ซึ่งขณะนี้จังหวัดต่างๆ ได้สำรวจแหล่งน้ำที่จะประกอบพิธีพลีกรรม และรายงานให้กระทรวงมหาดไทยทราบแล้ว 63 จังหวัด ส่วนการจัดงานศาสนพิธีเบื้องต้นกำหนดจัดกิจกรรม 12 กิจกรรม อาทิ บรรพชาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติฯ ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค พิธีทางศาสนา 5 ศาสนา พิธีตักบาตร 9 เช้า 9 วัน 9 วัด พิธีเจริญพระพุทธมนต์ 9 ครั้ง การจัดสร้างพัดยศ ย่าม และพัดรองที่ระลึก ซื้อผ้าไตรถวายพระสงฆ์ เป็นต้น
    สำหรับการจัดงานมหรสพสมโภช กำหนดระหว่างวันที่ 3-11 ธ.ค.2554 ณ บริเวณถนนราชดำเนินตลอดสาย มีกิจกรรมประกอบด้วย การนำสัญลักษณ์ของทุกจังหวัดทั่วประเทศ มาประดับเป็นแลนด์มาร์คใหญ่ใจกลางงาน มีขบวนรถเฉลิมพระเกียรติ มีขบวนกลองประจำภาค การแสดงจากต่างประเทศ การจัดกิจกรรมย้อนยุควิถีชีวิตคนไทยเมื่อ ๘๐ ปีที่ผ่านมา กิจกรรมดนตรีและความบันเทิง การแสดงพลุดอกไม้ไฟ ซึ่งกระทรวงการคลังจะได้จัดทำสายรัดข้อมือพิเศษเพื่อเป็นที่ระลึกในงานนี้ด้วย.





    Daily News Online > หน้าการเมือง > รัฐจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษาในหลวงครบ7รอบยิ่งใหญ่
     
  11. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ขอให้พี่ท่านรวมถึงพี่ๆสมาชิกทั้งหลายคงจะงานยุ่งเช่นกันขอให้พี่ๆทุกๆท่านดูแลสุขภาพกายและสุขภาพใจให้แข็งแรงนะครับ ถึงเวลาก็พักผ่อนกันบ้างนะครับ ขอเป็นกำลังใจให้พี่ๆสมาชิกทุกๆท่านนะครับ สู้ๆ
     
  12. Lee_bangkok

    Lee_bangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +4,741
    อิอิ ได้หมดละครับผม เพราะไงท่นลป ทวด ก็เมตตาให้เหมือนกันครับผม
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    นักวิจัยเตือน! ฟองน้ำล้างจานแหล่งเชื้อโรค

    คมชัดลึก : เชื่อหรือไม่ว่า “ฟองน้ำ” หรือ “แผ่นใยขัดล้างจาน” ที่ใช้กันอยู่ในทุกครัวเรือนและตามร้านอาหารต่างๆ หากทำความสะอาดไม่ถูกสุขลักษณะ อาจเป็นแหล่งสะสม ขยายพันธุ์ และเป็นพาหะของเชื้อแบคทีเรีย ไปสู่เครื่องใช้ในครัวเรือน ทั้ง จาน ชาม ช้อน ซ้อม หรืออื่นๆ ที่เรามั่นใจว่าล้างทำความสะอาดแล้วเป็นอย่างดีได้


    ซึ่งแบคทีเรียที่แฝงอยู่ใน “แผ่นใยขัดล้างจาน” หรือ “ฟองน้ำ” นั้น สามารถทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ อาทิ โรคอาหารเป็นพิษ ซึ่งเกิดจากการเพาะบ่มของเชื้อแบคทีเรีย “ซัลโมเนลล่า” ที่ติดมากับวัตถุดิบประเภทเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่ ฯลฯ โดยสถิติจากกระทรวงสาธารณสุขชี้ให้เห็นถึงอันตรายจากการเจ็บป่วยด้วยโรค อาหารเป็นพิษ สะท้อนจากตัวเลขของผู้ป่วยตลอดปี 2552 พบว่ายังคงมีผู้ป่วย ที่ป่วยด้วยโรคอาหารเป็นพิษมากกว่า 1 แสนรายต่อปี!! (ข้อมูลสถิติประจำปี 2552 จากกระทรวงสาธารณสุข เรื่องผู้ป่วยโรคอาหารเป็นพิษ)
    ทีมนักวิจัยจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และคณะอุตสาหกรรมเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง เปิดเผยถึงอันตรายจากปริมาณแบคทีเรียที่พบในแผ่นใยขัดและฟองน้ำทำความสะอาดภาชนะบรรจุอาหารและอุปกรณ์ประกอบอาหารว่า สิ่งที่ทำให้เกิดเชื้อแบคทีเรียตกค้างบนแผ่นใยขัดและฟองน้ำ แท้ที่จริงแล้วเกิดจากการดูแลรักษาและทำความสะอาดที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ทำให้เกิดการเพาะบ่มของเชื้อแบคทีเรียซัลโมเนลล่า ที่ก่อให้เกิดโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารต่างๆ อาทิ โรคอาหารเป็นพิษและโรคอุจจาระร่วง ซึ่งเมื่อนำแผ่นใยขัดและฟองน้ำไปทำความสะอาดภาชนะบรรจุอาหารและอุปกรณ์ประกอบอาหาร ทำให้มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่เชื้อแบคทีเรียจากแผ่น ใยขัดและฟองน้ำนั้นๆ อาจติดไปกับภาชนะ อีกทั้งสภาพอากาศของประเทศไทยที่เอื้อให้เกิดการเจริญเติบโตของเชื้อ แบคทีเรียได้ง่าย จึงยิ่ง ทำให้เกิดการแพร่กระจายและเพิ่มปริมาณแบคทีเรียได้อย่างรวดเร็ว
    “วิธีการลดหรือทำลายเชื้อแบคทีเรียในแผ่นใยขัดล้างจานหรือฟองน้ำมีหลายวิธีด้วยกัน แนะนำว่าควรทำหลังจากที่ผ่านการล้างทำความสะอาดภาชนะอุปกรณ์ต่างๆ มาแล้ว โดย 1) การใช้ความร้อน โดยนำแผ่นใยขัดหรือฟองน้ำที่ ผ่านการล้างภาชนะในแต่ละวัน ล้างน้ำเปล่าให้สะอาดแล้วนำไปตากแดดจัดทิ้งไว้อย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง แต่วิธีนี้ก็ไม่สามารถเห็นผลได้ 100 เปอร์เซ็นต์ หากทำในช่วงเวลาที่ไม่มีแดด ส่วนอีกวิธีคือ 2) การใช้ความเป็นกรด โดยนำกรดน้ำส้มหรือน้ำส้มสายชู 4 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำเปล่าครึ่งลิตร แล้วนำแผ่นใยขัดหรือฟองน้ำที่ ผ่านการล้างภาชนะในแต่ละวันมาแช่ทิ้งไว้ค้างคืน และเปลี่ยนน้ำส้มสายชูใหม่ทุกวัน ภาวะที่มีความเป็นกรดสูงนั้นจะช่วยให้สามารถลดปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ดัง กล่าวให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยแก่การบริโภคได้ และวิธีสุดท้ายก็คือ 3) การใช้ผลิตภัณฑ์ล้างจานที่มีส่วนผสมในการช่วยขจัดและป้องกันการเจริญเติบโต ของแบคทีเรียในแผ่นใยขัดล้างจานหรือฟองน้ำ ซึ่งให้ผลยับยั้งแบคทีเรียได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
    อย่างไรก็ตาม วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้เชื้อแบคทีเรียซัมโมเนลล่า รวมทั้งเชื้อโรคต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย คือ การดูแลรักษาบริเวณห้องครัวให้สะอาดและมีสุขอนามัยที่ดีอยู่เสมอ รวมทั้งการใส่ใจกับการทำความสะอาดฟองน้ำหรือ แผ่นใยขัดล้างจาน ซึ่งแต่ละวิธีก็ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าจะสะดวกใช้วิธีไหน ที่สำคัญ คือ ควรเน้นที่ความปลอดภัยและความมั่นใจของแต่ละบุคคล เพื่อให้ทุกคนในครอบครัวรวมทั้งผู้บริโภคในสถานประกอบการร้านอาหารทั้งที่ อยู่ในสถาบันการศึกษา และในร้านค้าต่างๆ ทั่วประเทศปลอดภัยห่างไกลจากโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร
    ***ภาพประกอบจาก Vapvarun และ ภาพประกอบจาก Nicholasion (www.flickr.com)


    http://www.komchadluek.net/detail/20110419/94959/นักวิจัยเตือน!ฟองน้ำล้างจานแหล่งเชื้อโรค.html


     
  14. ซึ้งบน

    ซึ้งบน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +377
    ย อ ด พุ ท ธ ม น ต์

    " มันเกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - แล้วดับไป " นี้เป็นมนต์ บทใหญ่ ใช้เมื่อ " ได้ "
    ซึ่งลาภยศ สรรเสริญ สุขใจกาย ไม่เมามาย ลืมตัว หรือเงีย

    " มันเกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - แล้วดับไป " ก็เป็นมนต์ บทใหญ่ ใช้เมื่อ "เสีย"
    ซึ่งลาภยศ สรรเสริญสุข แม้ลูกเมีย ไม่อ่อนเปลี้ย สับสน หรือวุ่นวาย

    "มันเกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - แล้วดับไป " ใช้เป็นมนต์ บทใหญ่ ครั้ง "สุดท้าย"
    เป็นอาวุธ สัประยุทธ์ กับความตาย แสนสบาย เพราะก้าวล่วง จากบ่วงมาร ฯ

    พุทธทาสภิกขุ

    หวังว่าคงให้ข้อคิด ที่เป็นประโยชน์ กับ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ บ้างครับ
     
  15. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ‘แผลเป็น’ หายได้ด้วย ‘ซิลิโคน เจล’

    วันพุธ ที่ 20 เมษายน 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD><TD id=ext-gen16 style="WIDTH: 57px">รูปภาพ</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]
    [​IMG]



    [​IMG]

    อุปสรรคตัวฉกาจในความสวยงามและสมบูรณ์ของผิวหนัง นั่นก็คือ ‘รอยแผลเป็น’ แบบที่เป็นกันมากๆ จะมีลักษณะนูนหนา แผลสามารถขยายขอบเขตออกไปได้มากกว่ารอยแผลดั้งเดิม มีสีแดงบ้าง น้ำตาลบ้าง ระยะแรกเริ่มเมื่อตอนก่อตัวจะทำให้มีอาการคัน อย่างนี้เรียกว่า แผลเป็นแบบ Keloid ตัวอย่างเช่น แผลที่ถูกของมีคมบาด แผลผ่าตัดต่างๆ แผลไฟไหม้-น้ำร้อนลวก แผลจากการเจาะ การสัก แผลฉีดวัคซีน-ปลูกฝี

    อีกแบบเรียกว่า Hypertrophic เป็นแผลเป็นที่นูนอย่างจำกัดอยู่ในขอบเขตของแผลแรกเริ่ม ที่แผลมีสีแดงหรือชมพู ทำให้รู้สึกคันและเจ็บเล็กน้อย มักเกิดในตำแหน่งที่ผิวหนังมีความตึงมาก

    เมื่อผิวหนังของคนเราเกิดแผลจะมีกระบวนการหายของแผลเกิดขึ้น ในกระบวนการนี้เอง เชื่อว่าถ้าน้ำในผิวระเหยออกมามาก ทำให้ผิวหนังบริเวณที่เป็นแผลขาดความชุ่มชื้น ส่งผลให้กระบวนการสร้างคอลลาเจนเกิดขึ้นมากเกินกว่าปกติและเกิดการเรียงตัวอย่างไม่เป็นระเบียบ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดแผลเป็นนั่นเอง

    อย่างไรก็ตาม ในคนปกติเมื่อมีแผลเกิดขึ้น ตามธรรมชาติของผิวหนังบริเวณนั้นจะเกิดการอักเสบราว 3-7 วัน โดยตั้งแต่ 1 สัปดาห์ ผิวหนังก็จะเริ่มขั้นตอนการเยียวยาตัวเอง หลังจากนั้นความยืดหยุ่นของผิวจะค่อยๆ คืนกลับมา สภาพผิวจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ในกรณีที่เกิดแผลเป็น กระบวนการหายของแผลยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี แผลยังคงมีการอักเสบอยู่ จึงทำให้หลายท่านที่เป็นแผลเป็นมีอาการ คัน เจ็บ จื๊ดๆบริเวณแผลได้ แผลเป็นอาจค่อยดีขึ้นตามกาลเวลาหรือไม่แล้วแต่อันนี้แล้วแต่บุคคล

    รู้กันแล้วว่า แผลเป็นมีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่ายๆ แต่กว่าจะจางหายใช้เวลานานเหลือเกิน เช่น มีแผลเป็นที่แขนหรือหัวไหล่ ทำอดใส่เสื้อแขนกุด หรือคุณแม่ที่ผ่านการผ่าตัดคลอดบุตร

    ทุกปัญหาความสวย ย่อมมีทางออก อย่างเรื่องแผลเป็นก็เช่นกัน ทางการแพทย์ชี้ว่า ซิลิโคน ชีท หรือแผ่นซิลิโคนที่ใช้แปะทับบริเวณแผลเป็นสามารถช่วยฟื้นฟูสภาพแผลให้จางและยุบตัวลงเป็นปกติ เพราะในซิลิโคน ชีท มีส่วนประกอบสำคัญอย่าง โพลีเมอร์ ช่วยป้องกันการระเหยของน้ำจากผิวหนังสู่บรรยากาศ ทำให้เพิ่มความชุ่มชื้นแก่เซลล์ผิวหนัง

    แต่ปัญหาของซิลิโคน ชีท นั้นมีขนาดไม่เล็ก ไม่บาง จึงไม่เหมาะที่จะแปะแผลเป็นบริเวณในหน้า อีกทั้งตัวกาวสำหรับยึดติดแผ่นซิลิโคนกับผิวหนัง อาจเคลื่อนหลุดหากติดในบริเวณผิวหนังที่มีการเคลื่อนตัวบ่อย ๆ เช่น ข้อศอก บางคนถึงกับต้องใช้วัสดุอื่นๆ มาช่วยปิดทับให้แน่นสนิท กลับยิ่งขัดขวางการถ่ายเทอากาศบริเวณแผล ซึ่งทั้งหมดจัดเป็นอุปสรรคขวางการใช้งานอย่างต่อเนื่อง แผลเป็นก็อาจหายได้ช้าลง

    อ่านดูก็อย่างเพิ่งถอดใจ ถ้าแผลที่เป็นอยู่ไม่สะดวกที่จะใช้ซิลิโคน ชีท ก็ยังสามารถพึ่งพานวัตกรรมทางการแพทย์ล่าสุด อย่าง ‘ ซิลิโคน เจล ’ ซิลิโคน รักษาแผลเป็นในรูปแบบของเจลบีบจากหลอด เนื้อเจลที่ใส มีความหนืดพอควร ใช้เพียงปริมาณเท่าเม็ดถั่วเขียว ทาลงบนแผลเป็นชนิด Keloid และ Hypertrophic ได้ทุกส่วน ใช้ทาหลังจากแผลแห้งสนิท ไม่เว้นแม้ใบหน้า เพราะเนื้อเจลบางเบา ไม่มีสี โดยควรทาหลังจากทำความสะอาดผิวหนังและเช็ดให้แห้งแล้วจึงทาลงไป ผิวจะถูกเคลือบไว้คล้ายแผ่นฟิล์มเคลือบทับ หากทาที่ใบหน้าควรทิ้งไว้ให้แห้งสนิท หรือราว 5 นาที จึงทาครีมบำรุงผิวและเมคอัพต่อไป

    ซิลิโคน เจล ซึ่งได้มาตรฐานและผ่านการรับรองอย่างถูกต้อง ซึ่งมีผลวิจัยยืนยันว่า การใช้ซิลิโคน เจล ต่อเนื่องสม่ำเสมอ วันละ 2 ครั้ง ไม่ต่ำกว่า 12 สัปดาห์ ช่วยให้แผลดูดีขึ้น ความนูนลดต่ำลง แผลนุ่มขึ้น รอยแดงจางลงเช่นเดียวกับสีของแผล ลดอาการคันและปวดลงได้ด้วย

    แม้จะเป็นซิลิโคน ชนิดเจล แต่ก็ไม่ซึมเข้ากระแสเลือดไปรบกวนการทำงานระบบต่างๆ ของร่างกาย เพราะออกฤทธิ์ที่ชั้นผิวหนังเท่านั้น ทั้งยังมีความอ่อนโยน เนื่องจากใช้ได้กับเด็กเล็กๆ อายุ 18 เดือนขึ้นไป สำหรับ ซิลิโคน เจล หลอดบรรจุ 18 กรัม หากใช้ตามปริมาณที่แนะนำจะใช้ได้นาน 2-3 เดือน สนนราคาหลอดละพันกว่าบาท ซึ่งตอนนี้มีจำหน่ายที่โรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชน

    ทีนี้เรามาดูความเห็นของ ‘พญ.ธวลิดา เวชชวณิชย์’ คุณหมอผู้เชี่ยวชาญกันบ้าง ว่า ซิลิโคน เจล เป็นอย่างไรบ้าง ควรใช้หรือไม่

    จากการศึกษาทางคลินิกและการวิจัยต่าง พบว่ากลไกการออกฤทธิ์ของ ซิลิโคนเจลที่ช่วยในการรักษาแผลเป็น ต่างๆดังต่อไปนี้

    •เพิ่ม Hydration ให้ผิว โดยการปิดเคลือบบนแผล ทำให้เกิดความชุ่มชื้นแก่ stratum corneum ( ผิวหนังกำพร้าชั้นสุด ) ทำให้ collagen เรียงตัวกันได้เป็นระเบียบมากขึ้น

    •ช่วยลดการหลั่ง cytokine ( สารเคมีชนิดหนึ่งในร่างกาย ) ที่จะกระตุ้นการทำงานของ fiboblast ( เซลล์สร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน )

    •ลดการทำงานของ mast cell ( เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ) ลดการบวมและการขยายตัวของหลอดเลือด

    •เพิ่มการสร้าง bFGF ( basic fibroblast growth factor ) ซึ่งทำให้ลดการสร้าง type 1 collagen

    •ลดการสร้าง TGFb1 ( transforming growth factor ) ซึ่งทำให้ลดการเกิดแผลเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    นอกจากนี้ การใช้ ซิลิโคน เจล ยังช่วยทำให้คนไข้มีวินัยในการใช้ยามากขึ้น เนื่องจาก ซิลิโคน เจล เป็นเจลใส ไร้สี ไร้กลิ่นใช้สะดวก ใช้ง่าย สามารถทาเคลือบบริเวณแผลเป็นได้เหมือนครีมทั่วๆไป สามารถใช้ได้ในเด็กเล็กและหญิงมีครรภ์ได้อย่างปลอดภัย

    ทราบเรื่องราวของซิลิโคนเจลแล้ว คนที่มีปัญหาแผลเป็นอยู่คงสบายใจขึ้น ทว่าอยากลองค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับซิลิโคนเจลก่อนลองใช้ เข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่ www.doctorskinhouse.com จะมีคำอธิบายจากแพทย์ผิวหนังเพิ่มเติมให้อ่านอีก.

    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
    takecareDD@gmail.com
     
  16. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เมื่อลูกไม่เข้าใจ "ความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ต"</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เป็นเรื่องที่ต้องกระตุกพ่อแม่ให้หันมาให้ความสำคัญอย่างมาก กับความรู้สึก "ไว้ใจโลกออนไลน์" ของลูก ๆ ที่เด็กหลายคนมองว่า เป็นพื้นที่ที่มีทั้งเพื่อน มีทั้งความบันเทิง มีข้อมูลต่าง ๆ รอให้ค้นหาอยู่มากมาย และความไว้ใจนี้นำไปสู่การกระทำบางอย่างที่ล่อแหลม และอาจนำภัยมาถึงตัวเด็ก ๆ ได้โดยง่าย

    ความน่าสะพรึงกลัวของปัญหานี้อยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่เด็กมีความไว้ใจ และป้อนข้อมูลต่าง ๆ ของตนเองลงไปในแบบฟอร์มที่เว็บไซต์ต่าง ๆ ระบุให้กรอก ทั้งที่อยู่ที่แท้จริง เบอร์โทรศัพท์ โรงเรียน ฯลฯ

    หากมีผู้ไม่ประสงค์ดีทำทีขอเป็นเพื่อนกับเด็กคนดังกล่าวผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ประเภทเครือข่ายสังคม ก็จะสามารถเข้ามาดูข้อมูลของเด็ก รวมถึงอาจล่อลวงไปทำอันตรายได้นั่นเอง

    แม้แต่ประเทศมหาอำนาจในสหภาพยุโรปอย่างอังกฤษ ก็กำลังปวดหัวกับปัญหานี้เช่นกัน เนื่องจากพบว่า กว่าครึ่งของเด็กอายุ 9 - 12 ปีในประเทศตนเองสร้างโปรไฟล์เอาไว้บนเว็บไซต์เครือข่ายสังคม และในเด็กวัยรุ่น (13 - 16 ปี) ตัวเลขนี้เพิ่มสูงเป็น 88 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว (อ้างอิงจากการสำรวจของ EUKidsOnline network) สิ่งที่น่ากลัวคือ หนึ่งในห้าของเด็กเหล่านั้นใส่ที่อยู่หรือเบอร์โทรศัพท์ของตนเองลงไปด้วยในโปรไฟล์ แต่มีเด็กอายุ 11 - 12 ปีเพียงครึ่งหนึ่งระบุว่า พวกเขารู้วิธีการตั้งค่าระบบรักษาความปลอดภัยให้เข้มงวดขึ้นกว่าเดิม ส่วนที่เหลือระบุว่าไม่ทราบ

    สถิติที่น่าตกใจอีกประการหนึ่งก็คือ ในแต่ละปี มีความพยายามค้นหาภาพอนาจารเด็ก (เฉพาะในอังกฤษ) สูงถึง 58 ล้านครั้ง

    ในเมื่อไม่สามารถปฏิเสธการมาถึงของสื่อเหล่านี้ได้ สิ่งที่ผู้ปกครองควรดำเนินการเพื่อสร้างความปลอดภัยให้ตนเองและลูก ๆ หนีไม่พ้น

    เรื่องที่ต้องสร้างความเข้าใจกับลูก ๆ

    ไม่ควรรับคนแปลกหน้าเป็นเพื่อน พ่อแม่ควรสอนให้ลูกพิจารณาส่วนประะกอบต่าง ๆ เช่นน ภาพ และชื่อของคนที่มาDขอแอดเป็นเพื่อน หรืออย่างน้อยถ้าเป็นเพื่อนกัน ก็ควรมีการทักทายใด ๆ มาพร้อมกับการขอแอด ส่วนคนแปลกหน้านั้น ลบทิ้งได้ควรลบทิ้ง ไม่ต้องเก็บไว้

    ไม่ควรใส่ที่อยู่ หรือเบอร์โทรศัพท์ลงไป หรือแม้แต่สถานที่เรียน เพราะหากคนร้ายเห็นข้อมมูลจากโปรไฟล์อาจดักรอ ลักพาตัว หรือกระทำการต่าง ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อตนเอง และคนในครอบครัวได้

    หมั่นให้ลูกตรวจสอบโปรไฟล์ของตนเองเสมอ ๆ และลบคนที่ไม่ไว้ใจ หรือไม่สนิทพอออกไป ดีกว่าปล่อยให้คนเหล่านั้นเข้ามาเห็นข้อมูลการเคลื่อนไหวของลูก ๆ ตลอดเวลา (รับแอดเป็นเพื่อนได้ก็ยกเลิกแอดได้ ไม่มีใครตำหนิ)

    ตั้งค่าระดับการรักษาความปลอดภัยให้สูงเข้าไว้ ในเมื่อหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่ลงมาดำเนินการ ในฐานะผู้บริโภคเทคโนโลยีก็ต้องดูแลตนเอง โดยพ่อแม่ก็ควรชวนลูก ๆ มานั่งเซ็ตค่าต่าง ๆ เหล่านี้ด้วยกัน จะได้สอนและให้ความเข้าใจกับลูกได้อย่างถูกต้อง

    ยุคนี้ อะไรที่ประชาชนสามารถทำได้เพื่อป้องกันตัวเอง ก็ขอให้ทำไปก่อน เพราะบางครั้ง การรอผู้ที่มีหน้าที่ลงมาให้ความช่วยเหลืออาจไม่ทันการก็เป็นได้
    http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000047904]Life & Family - Manager Online -
    </TR></TBODY></TABLE></TR></TBODY>
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ปรุงอาหารกลางวันจานด่วน ในวันทำงาน


    [​IMG]

    ปีกไก่หมักเครื่องเทศ


    อาหารกลางวันจานด่วนระหว่างวันทำงาน เมนูง่ายๆ หลากรสในชั่วโมงรีบเร่ง (Lisa)

    ด้วยเวลาที่เร่งรีบในวันทำงาน อาหารจานง่ายที่ปรุงเร็วดูจะเป็นสิ่งที่ทุกคนถามหาวันนี้เรามี 5 เมนู สูตรอร่อยประจำร้านจานด่วนที่ได้จากหลังครัว Good Taste ร้านอร่อยบนถนนสาทร ที่ถึงรส เข้มข้น และเผ็ดร้อนเหมาะกับรสปากคนไทย

    ปีกไก่หมักเครื่องเทศ

    ปีกไก่คือหนึ่งในเซ็ตของอาหารอีสาน ที่หลายๆ คนเป็นต้องหลงรสถ้าได้ลองชิม

    ส่วนผสมสำหรับ 1-2 ที่

    ปีกไก่ทั้งชิ้น 300 กรัม ซอสหอยนางรม 2-3 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1-2 ช้อนโต๊ะ รากผักชี กระเทียม และพริกไทยโขลกละเอียด 4 ช้อนโต๊ะ เกลือป่นเล็กน้อย น้ำมันสำหรับทอด น้ำปลา 1-2 ช้อนโต๊ะ​

    วิธีทำ

    1. คลุกเคล้าปีกไก่กับซอสหอยนางรม รากผักชี กระเทียม และพริกไทยที่โขลกจนละเอียดแล้ว พร้อมน้ำตาล น้ำปลา และเกลือ แล้วหมักพักไว้ในตู้เย็นอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง​

    2.ตั้งกระทะใส่น้ำมัน รอจนน้ำมันร้อนดีแล้ว นำปีกไก่ลงทอดจนสุกหอม ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน จัดเสิร์ฟพร้อมส้มตำรสจัดและข้าวเหนียวตามชอบ​

    เวลาในการปรุง 10 นาที

    ส่วนผสมราคาประมาณ 210 บาท


    [​IMG]


    ก๋วยเตี๋ยวเรืออยุธยา

    ก๋วยเตี๋ยวโบราณรสเด็ดที่ยกเรือมาอร่อยกลางกรุงกับสูตรเฉพาะครัว

    ส่วนผสมสำหรับ 2-3 ที่

    เส้นหมี่สด 100 กรัม ลูกชิ้นเนื้อ 50 กรัม เนื้อสันในแล่บาง 50 กรัม ตับลวก 30 กรัม ผ้าขี้ริ้วลวกสุก 30 กรัม ถั่วงอก 20 กรัม ผักบุ้งหั่นท่อน 20 กรัม กระเทียมเจียวและกากหมูทอดกรอบตามชอบ ต้นหอมและผักชีซอยเล็กน้อย น้ำซุปเนื้อตุ๋นเครื่องยาจีน​

    วิธีทำ

    1. ลวกเส้นใส่ชามแล้วเคล้าด้วยน้ำมันกระเทียมเจียวเล็กน้อย ตามด้วยถั่วงอกและผักบุ้งลวก ใส่ลูกชิ้น เนื้อสด ตับ และผ้าขี้ริ้วที่ลวกในน้ำซุปจนสุกตามชอบ​

    2. จากนั้น ใส่กากหมูพร้อมโรยต้นหอมและผักชีตามชอบ ตักน้ำซุปเนื้อตุ๋นเครื่องยาจีนที่ต้มจนเดือดจัดราดลงบนเครื่องปรุงพร้อมเสิร์ฟ​

    เวลาในการปรุง 10 นาที

    ส่วนผสมราคาประมาณ 120 บาท


    [​IMG]

    สปาเกตตีทะเล

    เมนูกินง่ายสำหรับคนชอบกินเส้นร้อนลิ้มหมอกลิ่นสมุนไพร

    ส่วนผสมสำหรับ 1-2 ที่

    สปาเกตตีลวกสุก 150 กรัม เนื้อกุ้งและปลาหมึก 100 กรัม หอยลายพร้อมเปลือก 30 กรัม กระเทียมสับละเอียด 1-2 ช้อนชา พริกขี้หนูแห้งทอดซอย 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ น้ำซุปเล็กน้อย เกลือและพริกไทยดำบดตามชอบ​

    วิธีทำ

    1. ผัดกระเทียมกับน้ำมันให้พอได้กลิ่นหอมใส่พริกคั่ว ตามด้วยเนื้อกุ้ง ปลาหมึก และหอยผัดให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย ตามชอบ​

    2. จากนั้น ใส่เส้นสปาเกตดี ถ้าแห้งเกินไปให้เติมน้ำซุปเล็กน้อยแล้วเคล้าให้เข้ากันอีกครั้ง จัดใส่จาน ตกแต่งให้สวยงาม พร้อมเสิร์ฟ​

    เวลาในการปรุง 10 นาที

    ส่วนผสมราคาประมาณ 210 บาท


    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก Lisa
    [​IMG]


    http://lisaguru.com/sexlovemoney/ทำอย่างไรดี-ถ้าอยากให้คนมองแบบ-“มืออาชีพ”


    .

    http://women.kapook.com/view25249.html

    .
     
  18. tawatd

    tawatd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    506
    ค่าพลัง:
    +2,020
  19. Lee_bangkok

    Lee_bangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +4,741
    เคยลองทำทานตามที่เขาบอกบ้างไหมครับ ได้รสชาติอย่างเหมือนหรืออย่างไรครับ
     
  20. tawatd

    tawatd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    506
    ค่าพลัง:
    +2,020
    เขาไม่ได้บอกสูตรการทำ เพียงแต่บอกสถานที่ขายอาหารรสดีราคาถูกในสนามบินสำหรับพนักงานในสนามบินและบุคคลทั่วไปครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...