พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. s@n16

    s@n16 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,022
    ได้ทำบริจาคแล้วคับ คุณสิทธิพงศ์

    สวัสดีคับ คุณ สิทธิพงศ์

    ผมได้อ่านข้อความที่ คุณสิทธิพงศ์ตอบกระทู้ไว้แล้วคับ ขอบคุณคับ

    วันนี้ ผมจึงได้บริจาคเงิน จำนวน 500 บาท ที่ รร.ปริยัติบ่อเงิน บ่อทอง แล้วคับ

    KBANK S1a4981 9829

    DATE 13/04/11 TIME 16:19

    ORFT TRANSFER

    FROM BANK KBANK

    TO BANK KTBA A/C 2030063045

    NAME PHRAPARIYATTIHAM BO

    AMOUNT 500.00

    FEE AMOUNT 25.00
     
  2. s@n16

    s@n16 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,022
    สลิปคับ ที่ได้โอนเงิยบริจาคไว้คับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. jirautes

    jirautes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +575
    :cool:
    โมทนาบุญทุกๆประการการครับผม:cool:
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โมทนาบุญทุกประการครับ


    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    อันตรายจากการว่าพ่อแม่ และจ้วงจาบผู้มีบุญคุณ ผู้ทรงศีล-ทรงธรรม

    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <ins style="display: inline-table; border: medium none; height: 280px; margin: 0pt; padding: 0pt; position: relative; visibility: visible; width: 336px;"><ins id="aswift_0_anchor" style="display: block; border: medium none; height: 280px; margin: 0pt; padding: 0pt; position: relative; visibility: visible; width: 336px;"></ins></ins>
    [​IMG]



    โทษของการจาบจ้วงพ่อแม่

    ปีพ.ศ. 2500 มีนิสิตปริญญาโทจุฬา 30 คนไปที่อ.ค่ายบางระจัน สิงห์บุรี ไปให้แม่ทำครัวเลี้ยงเพื่อนๆ บอกว่า

    "เลี้ยงวันเกิดผม แม่รู้ไหม วันเกิดผม ทำครัวต้องอร่อยด้วยนะ ผมพาเพื่อนมาจากกรุงเทพฯ"

    ก็ทำแบบบ้านนอกจะไปอร่อยอะไร ก็ว่าแม่ เสียดสีแม่ ว่าแม่เสียใจร้องไห้ไปเลยนะ แล้วก็กลับกรุงเทพฯ

    อาตมาจดไว้เลย ดูซิ ลูกจะเกิดอันตรายไหม ไปจ้วงจาบกับแม่เห็นชัด ดูซิว่าจะได้รับกรรมอะไรบ้าง

    ต่อมารับราชการได้แค่ 3 ปี โดนไล่ออก นี่ปริญญาโท เมื่อปี 2500 นานมาแล้ว

    แล้วไปเข้างานบริษัทฝรั่งก็โดนไล่ออก ไปเข้างานบริษัทญี่ปุ่นก็โดนไล่ออกอีก นี่แหละ

    กฎแห่งกรรมจากการกระทำของหลักกรรมเปลี่ยน

    พฤติการณ์ของชีวิตได้ ทำให้เขากลายเป็นคนเหลวไหลไปเลย เรียนที่จุฬาฯ ปริญญาโท เป็นหมันไปเลย

    ทรัพยากรของชีวิตก็หมดไปด้วยตามสภาพของกฎแห่งกรรมจากการกระทำของเขา

    พ่อแม่ตาย น้องสาวยังอยู่ น้องสาวเคยมานั่งกรรมฐานที่วัด -ถามเขาว่าพี่ชายเธอเป็นอย่างไร

    "หลวงพ่อคะ เข้ากับใครไม่ได้เลย" นี่เขาเถียงแม่ อาตมาถึงสอนเด็กอย่าเถียงพ่ออย่าเถียงแม่



    อริโยปวาอันตราย -อันตรายเกิดจากการจ้วงจาบผู้มีบุญคุณ ผู้ทรงศีล ทรงธรรม

    เช่นพระสงฆ์องค์เจ้า เป็นต้น แล้วก็จ้วงจาบกับครูบาอาจารย์ที่สอนหนังสือ เป็นอันตรายในปัจจุบันนี้

    จ้วงจาบกับคุณพ่อคุณแม่ เป็นอันตรายในปัจจุบันนี้แน่นอน

    ยกตัวอย่างให้เห็น มาเล่นกองไฟกินเหล้าเมายากัน นี่ปริญญาครุศาสตร์ เกิดต่อยปากครู ลงไปชกปากครูเลย

    ดูซิ อย่างนี้จะมีอริโยปวาอันตรายเกิดขึ้นไหม -ครูก็ใจดี ครูก็เป็นมหาเปรียญ 6 ประโยค ตอนบวชเณร

    แล้วก็ไปเรียนวิชาความรู้ วิชาครูแล้วมาบรรจุที่วิทยาลัยเทพสตรีนั้น เดี๋ยวนี้ปลดเกษียณไปแล้ว

    "ผมไม่โกรธเขาแล้วครับ เขาต่อยปากผมไม่เป็นไร เขาเมา"

    เราก็เรียกเด็กมาบอก "หนูเป็นบาปไปแล้ว นี่อริโยปวาอันตราย เธอไปขออโหสิกรรมกับครูเสีย"

    ไม่ยอมไปขอ เปลี่ยนพฤติกรรมไปทางเมา เมาแล้วก็เปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนแปลงชีวิต กลายเป็นคนเหลวไหล

    นี่มันเปลี่ยนพฤติกรรมได้ เพราะหลักกรรมอันนี้ออกมานี่ชัดเจนมาก ขอเจริญพรนะ อยู่มาไม่ถึง 7 วัน

    ขับมอเตอร์ไซค์ที่ท่าวัง ถูกรถสิบล้อขยี้เลย มอเตอร์ไซต์พังหมด หัวเละ ตายคาที่เลย นี่แหละ

    อริโยปวาอันตราย อันตรายเกิดจากที่จ้วงจาบผู้มีบุญคุณ



    วิธีขอขมาพ่อแม่

    ผู้ใดก็ตาม ที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุข

    ส่วนคนที่เคยทำไม่ดีไว้กับท่าน ก็นำเทียนแพไปกราบขออโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วย เป็นการขอขมาลาโทษ ฯ


    ถึงวันเกิดของเราให้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้พ่อแม่ คนละ 1 ชุด

    ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆ 1 ผืน ตื่นเช้ามาไหว้พระสวดมนต์จบแล้ว

    จัดหาอาหารอย่างดีที่สุดที่พ่อแม่ชอบ ให้พ่อแม่รับประทาน

    เมื่อรับประทานแล้วให้ท่านนั่งบนเก้าอี้พร้อมกัน เอากะละมังใส่น้ำอุ่นมาล้างเท้าพ่อแม่

    เอาสบู่ฟอกให้สะอาดแล้วล้างด้วยน้ำให้สะอาด

    เอาผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆ ที่ซื้อมาเช็ดให้แห้ง เอาแป้งโรยให้ทั่วให้หอม เอาเสื้อผ้าที่ซื้อมาให้ท่าน

    เสร็จแล้วพูดว่า "กรรมใดที่ลูกได้ล่วงเกินคุณพ่อคุณแม่ ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี

    ขอให้คุณพ่อคุณแม่อโหสิกรรมให้แก่ลูกด้วยเทอญ"... เสร็จแล้วกราบเท้าท่าน 3 ครั้ง

    เอาเท้าท่านทั้ง 2 คน คนละข้างเหยียบที่ศรีษะเรา แล้วให้ท่านให้พรเรา

    นั่นแหละถึงจะล้างกรรมกันได้ ฟังดูแล้วเห็นว่าไม่ยาก ลองไปทำดูเถอะง่ายนิดเดียว


    [​IMG]


    [​IMG]


    ที่มา : BlogGang.com : : Kat_kine - �ѹ���¨ҡ�����Ҿ�����..- ��ǧ��ͨ�ѭ
    ภาพประกอบ : http://www.vipassanacm.com



    http://palungjit.org/threads/อันตรายจากการว่าพ่อแม่-และจ้วงจาบผู้มีบุญคุณ-ผู้ทรงศีล-ทรงธรรม.280793/

    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    7 วิธีปฐมพยาบาล"มือถือเปียก" เตรียมตัวรับศึกน้ำมหาสงกรานต์ <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">13 เมษายน 2554 14:16 น.</td></tr></tbody></table>


    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="right" height="1" valign="bottom" width="1">[​IMG]</td> <td align="center" background="/images/linedot_hori.gif" height="1" valign="bottom">[​IMG]</td> <td align="left" height="1" valign="bottom" width="1">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" background="/images/linedot_vert.gif" valign="middle" width="1">[​IMG]</td> <td> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">

    </td> </tr> </tbody></table> </td> <td align="center" background="/images/linedot_vert.gif" valign="middle" width="1">[​IMG]

    </td> </tr> <tr> <td align="right" height="1" valign="top" width="1">[​IMG]</td> <td align="center" background="/images/linedot_hori.gif" height="1" valign="top">[​IMG]</td> <td align="left" height="1" valign="top" width="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> เปียกทั้งตัวแบบนี้ ระวังโทรศัพท์มือถือเปียกด้วยนะจ้ะ


    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">ที่ตั้งแถบสติกเกอร์ซึ่งเป็นจุดสังเกตความชื้นในไอโฟน</td> </tr> </tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">ตัวอย่างสติกเกอร์ซึ่งเป็นจุดสังเกตความชื้นบริเวณหลังแบตเตอรี่</td> </tr> </tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">ตัวอย่างสติกเกอร์ซึ่งเป็นจุดสังเกตความชื้นบริเวณหลังแบตเตอรี่</td></tr></tbody></table>

    หลายคนอยากเปียกน้ำในวันสงกรานต์ แต่แน่นอนว่าไม่มีใครสนุกแน่หากโทรศัพท์มือถือของตัวเองต้องเปียกปอนไม่ว่า จะด้วยอุบัติเหตุหรือความพลั้งเผลอก็ตาม ฉะนั้นสิ่งควรรู้ของ"นักรบ ปืนน้ำ"ที่ไม่อาจทอดทิ้งโทรศัพท์มือถือของตัวเองไปได้ และทุกคนที่พกโทรศัพท์มือถือไว้กับตัวแล้วถูก"กระสุนน้ำ"โดยไม่ได้เตรียมตัว รับศึกในสมรภูมิมหาสนุกช่วงสงกรานต์ คือวิธีการปฏิบัติเบื้องต้นในการปฐมพยาบาลมือถือเปียกน้ำทั้ง 7 ข้อต่อไปนี้

    1. อย่าเพิ่งเปิด-ปิดเครื่อง

    โดยเฉพาะคนที่เผลอทำโทรศัพท์ทั้งเครื่องตกลงในแหล่งน้ำ ขอย้ำว่าอย่าเพิ่งกดปุ่มเปิด-ปิดเครื่องโดยเด็ดขาด เนื่องจากการกดปุ่มเปิด-ปิดเครื่องที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในยังเปียก น้ำหรือยังมีความชื้น อาจทำให้เกิดการลัดวงจรและเสียหายหนัก หรือเสียหายถาวรได้

    2. รีบแยกชิ้นส่วน

    อย่ามัวแต่ตกตะลึง แต่ให้รีบถอดส่วนประกอบต่างๆ ของ มือถือออกจากกันอย่างรวดเร็ว (เฉพาะส่วนประกอบที่สามารถถอดได้เองตามปกติ) ทั้งซิมการ์ด, แบตเตอรี่, หน้ากาก, ฝาหลัง ฯลฯ

    3. ดูแถบความชื้น

    ถอดชิ้นส่วนแล้วมาลองลุ้นความเสียหายจากแถบความชื้นที่ถูกซ่อนไว้ในเครื่องแต่ละรุ่น

    เพราะบริษัทโทรศัพท์มือถือตั้งเงื่อนไขว่า จะไม่รับประกันโทรศัพท์มือถือที่เสียหายจากความชื้น บริษัทเหล่านี้จึงซ่อนจุดสังเกตไว้เพื่อตรวจสอบว่าโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้ ตกน้ำมาหรือไม่ หรือเผลอโดนใครฉีดน้ำใส่หรือเปล่า จุดสังเกตนี้จะมาในรูปแถบความชื้นที่ทุกคนสามารถตรวจสอบเครื่องของตัวเองใน เบื้องต้นได้เช่นกัน

    โทรศัพท์มือถือแทบทุกรุ่นจะใช้สัญลักษณ์แบบเดียวกันในการบ่งบอกว่า ตัวเครื่องถูกน้ำหรือความชื้นมาหรือไม่ จากสติกเกอร์สีขาวที่มีรูปแบบทั้งวงกลมและสี่เหลี่ยม ซึ่งซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆภายในเครื่อง ใช้การเปลี่ยนสีของสติกเกอร์เป็นสีแดงเมื่อเปียกน้ำหรือได้รับความชื้นใน ระดับหนึ่ง

    หากคุณใช้สมาร์ทโฟนยอดฮิตอย่างไอโฟนอยู่ สามารถหาจุดสังเกตที่แอปเปิลซ่อนแถบวัดความชื้นไว้บริเวณช่องเสียบสายหูฟัง 3.5 มม. และบริเวณพอร์ตเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ เพียงใช้ไฟฉายส่องเข้าไปในมุมตรง จะพบกับสติกเกอร์ดังกล่าว

    หากคุณใช้แบล็กเบอรี แถบวัดความชื้นจะซ่อนอยู่บริเวณบริเวณขั้วแบตเตอรี่และตัวเครื่องด้านหลัง ซึ่งสังเกตได้ค่อนข้างง่าย เช่นเดียวกับสมาร์ทโฟนในระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ที่สามารถถอดแบตฯได้เอง ก็จะมีสติกเกอร์อยู่ในบริเวณดังกล่าวเช่นเดียวกัน

    หากคุณใช้โทรศัพท์มือถือทั่วไป สามารถสังเกตได้จากขั้วแบตเตอรี่และตัวเครื่องเช่นกัน

    4. ใช้ผ้าเช็ด

    สำหรับเครื่องที่สามารถถอดส่วนประกอบต่างๆได้ง่าย หลังจากสลัดน้ำออกด้วยแรงพอประมาณ ให้นำผ้าชนิดที่ไม่มีขน หรือกระดาษทิชชูที่คุณภาพดี ไม่เป็นขุย มาซับน้ำที่เกาะอยู่ตามจุดต่างๆ ให้แห้งที่สุดเท่าที่จะทำได้

    5. ห้ามเป่าไดร์-ตากแดด

    ไม่ควรใช้ไดร์เป่าผมเป่าให้เครื่องแห้งเด็ดขาด เนื่องจากลมจากไดร์เป่าผมมีความร้อนสูง อาจจะทำให้เกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์ หรือวงจรอิเล็กทรอนิกส์ภายในได้ง่าย

    แม้แต่แดดก็ไม่ได้ เพราะผู้รู้บอกว่าไม่ควรนำโทรศัพท์มือถือไปตากแดดเพราะความร้อนจากแสงแดด นั้นสูงเกินไปสำหรับโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางชนิด

    ที่ใช้ได้คือพัดลมเท่านั้น

    6. อย่าเพิ่งชาร์ต

    ผู้รู้แนะนำว่ายังไม่ควรชาร์จแบตเตอรี่ทันที เนื่องจากวงจรภายในอาจยังไม่พร้อมที่จะรับกระแสไฟฟ้า โดยควรแน่ใจก่อนว่าเครื่องแห้งสนิททั้งหมด

    7. ส่งช่าง-เข้าศูนย์

    เมื่อเป่าแห้งแล้ว ช่างซ่อมโทรศัพท์มือถือแนะนำว่าให้ส่งเครื่องเข้าศูนย์หรือส่งช่างซ่อมโดย ทันที แถมยังมีการขู่ทับอีกว่าถ้าส่งเร็วก็จ่ายน้อย ส่งช้าก็จ่ายมาก จุดนี้ช่างสำทับว่าอย่าเพิ่งเปิดใช้งานในช่วงหนึ่งถึงสองวันแรก เพราะยังมีโอกาสเครื่องขัดข้องสูงมาก และการที่เครื่องแห้งในภายนอกอาจไม่ได้แปลว่าชิ้นส่วนทุกชิ้นจะแห้งสนิท การส่งเครื่องเข้าศูนย์จะทำให้เครื่องผ่านกระบวนการตรวจสอบจนแน่ใจแท้จริง

    ขั้นตอนที่เหลือก็ปล่อยใจให้สบาย ถือว่าเครื่องได้เล่นน้ำวันสงกรานต์บ้างก็แล้วกัน

    http://www.manager.co.th/CBiZReview/...=9540000045491


    CBiZ Review - Manager Online - 7
     
  7. evonaga

    evonaga เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +702
    สมาชิกใหม่

    สวัสดีปีใหม่ไทยครับ ขอให้พระรัตนตรัยคุ้มครองครับ
     
  8. evonaga

    evonaga เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +702
    เรียนคุณสิทธิพงศ์

    วันนี้เป็นวันที่ผมปลื้มใจมาก ที่ผมได้ไล่อ่านกระทู้พระวังหน้านี้มาจนครบหน้าที่

    2238 หลังจากใช้ความพยายามตั้งแต่กระทู้แรก มา 5 เดือนเศษ โดยผมไม่

    ยอมข้ามมาอ่านกระทู้สุดท้ายจนกว่าจะถึงกระทู้หลังสุด ผมได้ซึมซับความรู้

    อย่างมากมาย แม้คุณสิทธิพงศ์จะมองว่าเป็นความรู้เพียง 1-2% ก็ตาม แต่ผม

    ก็เชื่อมั่นว่าเป็นของจริง ผมเคยติดตามอ่านเรื่องราวของบรมครูหลวงปู่เทพโลก

    อุดรมาตั้งแต่เมื่อ20 ปีก่อน แต่ข้อมูลต่างๆก็ไม่ชัดเจนและมีน้อยนิด ผมเชื่อ

    ว่าเป็นบุญวาสนาที่ได้มาเจอกระทู้ของคุณเมื่อ 5 เดือนที่แล้วหลังจากผม

    บวชให้แม่ หลวงปู่ท่านคงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ผมจะได้หายสงสัยเสียที ทำให้

    ผมมาพบความจริงที่คุณนำมาบอกเล่าในกระทู้นี้ ผมไล่อ่านกระทู้ทั้งหมดอย่าง

    มีความสุขแทบจะทุกวัน หากไม่ติดงาน ขอขอบคุณ ที่ทุกท่านในคณะพระวัง

    หน้าได้ให้ความรู้อันหาได้ยากยิ่งในปัจจุบันนี้ให้ผมได้รับทราบ ผมถือว่าท่าน

    ทั้งหลายเหมือนครูบาอาจารย์ ที่ทำให้ผมได้มีปัญญา ได้พบของสูงที่ล้ำค่า

    อย่างยิ่งในชีวิต ที่ไม่เคยคิดว่าจะมีจริง หวังว่าท่านคงไม่รังเกียจสมาชิกใหม่

    ที่ไม่เปิดเผยตัวมานาน 5 เดือนเพราะตั้งสัจจะเอาไว้ว่าหากยังไล่อ่านกระทู้ไม่

    จบจะยังไม่ post อะไร ขอขอบคุณอีกครั้งครับด้วยความจริงใจ
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ยินดีครับ

    เหมือนกับเราสร้างบ้าน ต้องตอกเสาเข็มให้ดี บ้านก็จะแข็งแรงครับ

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เคล็ดลับแด่คุณแม่บ้าน ขจัด 10 คราบบนเสื้อผ้า


    [​IMG]


    เคล็ดลับแด่คุณแม่บ้าน ขจัด 10 คราบบนเสื้อผ้า (ไทยโพสต์)

    เรื่องการซักเสื้อผ้าปกติเป็นหน้าที่ของสาว ๆ ทั้งไม่โสดและโสดสนิท ซึ่งถึงแม้ว่าทุกวันนี้จะมีเครื่องซักผ้ามาอำนวยความสะดวกให้แล้ว แต่ปัญหาของคราบฝังแน่นเปื้อนกับเสื้อผ้าทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ ก็ยังเป็นเรื่องที่สองมือของคุณผู้หญิงต้องเป็นคนปราบ ดังนั้นวันนี้จึงนำสาระน่ารู้การขจัดคราบบนเสื้อผ้ามาบอกต่อกันค่ะ

    [​IMG] คราบกาแฟและอาหาร

    คราบกาแฟและอาหารเป็นคราบฝังแน่นที่ขึ้นชื่อเรื่องทำความสะอาดออกยากมาก ดังนั้นเราแนะนำใช้ผ้าขนหนูจุ่มน้ำโซดาและถูตรงรอยเปื้อนทันที หรือตั้งแต่เกิดคราบใหม่ ๆ รอยเปื้อนหลุดออกโดยง่าย หลังจากนั้นต่อด้วยการซักผ้าตามปกติได้ทันที หรือจะเปลี่ยนเป็นใช้แป้งข้าวเจ้าถูแทนได้เหมือนกันค่ะ

    [​IMG] คราบเลือด

    ไม่ว่าจะเป็นจากอุบัติเหตุหรือว่าประจำเดือน ให้นำนมข้นทาทันที ทิ้งไว้สักครู่แล้วจึงนำผ้าไปขยี้น้ำออก แล้วตามด้วยการซักผ้าปกติ (แต่ต้องระวังอย่าให้มดขึ้นผ้านะคะ) แต่ถ้าหากเกิดคราบเลือดเพียงจาง ๆ ให้ใช้เบคกิ้งโซดาผสมน้ำสักเล็กน้อย จนแป้งเปลี่ยนเป็นลักษณะข้นแล้วนำมาถูเบา ๆ เมื่อแห้งจึงเป่าฝุ่นออก นอกจากนี้ หากเป็นคราบเลือดที่ฝังแน่นมากให้ใช้ฟองน้ำชุบน้ำเย็นผสมเกลือ ถูเบา ๆ จนรอยค่อย ๆ จางลง แล้วใช้น้ำเปล่าถูอีกครั้ง สุดท้ายใช้กระดาษทิชชูซับน้ำให้แห้ง ก่อนจะซักผ้าตามปกติ

    [​IMG] คราบน้ำมันรถและน้ำมันเครื่อง

    เคล็ดลับนี้สำหรับคุณสามีที่อาจจะซ่อมรถหรือเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง นอกจากได้ลุคส์เซอร์มาดแมนแล้ว คุณแม่บ้านอาจจะได้คราบน้ำมันเครื่องกลับมาเป็นของแถมอีกด้วย แต่ไม่ต้องกังวล เพียงใช้มะนาวถูบริเวณที่เปื้อน จนรอยเปื้อนจางลง หลังจากนั้นนำไปซัก เสื้อผ้าก็จะกลับมาสะอาดเป็นปกติ

    [​IMG] คราบน้ำผลไม้ น้ำมันพืช

    บรรดาแม่ศรีเรือนทั้งหลายอาจจะเคยประสบปัญหาโดนน้ำมันพืชหรือน้ำผลไม้ กระเด็นใส่เสื้อระหว่างทำอาหาร เราสามารถขจัดคราบโดยขึงผ้าที่เปื้อนบนปากถังหรือโอ่ง แล้วเทน้ำเดือดลงบนรอยเปื้อน จากนั้นจึงนำไปซักตามปกติ

    [​IMG] คราบเบียร์

    หากคุณสามีดื่มเบียร์เพลินจนเลอะเทอะเสื้อผ้า เราสามารถขจัดคราบโดยซักในน้ำเย็นทันที หรือใช้แปรงเก่า ๆ เช่นแปรงสีฟันจุ่มน้ำเย็น แล้วแปรงตรงรอยเปื้อนทันที ก็จะช่วยสลายคราบได้

    [​IMG] คราบหมึกปากกา

    คุณแม่บ้านที่มีลูกในวัยเรียนมักจะกลุ้มใจกับรอยปากกาบนเสื้อนักเรียนสี ขาวอยู่เสมอ ก่อนซักผ้าลองนำเกลือป่นโรยตรงรอยเปื้อน แล้วบีบมะนาวลงให้ชุ่ม ผึ่งแดดไว้ครึ่งวัน แล้วนำไปซักจะช่วยเจือจางรอยปากกาได้

    [​IMG] คราบกาว

    สัปดาห์นี้อาจารย์วิชาศิลปะสั่งการบ้านให้คุณลูกประดิษฐ์ประติมากรรม จากกระดาษรีไซเคิล แต่กว่าจะได้ผลงานชิ้นเยี่ยม คุณแม่บ้านคงกลุ้มใจไม่น้อยกับคราบกาว เราแนะนำให้ใช้น้ำส้มสายชูเช็ดที่รอยเปื้อนก่อนจะนำมาแช่ในน้ำเย็น แล้วซักตามปกติ

    [​IMG] คราบยางกล้วย

    เมื่อถึงเทศกาลลอยกระทงที่คุณแม่บ้านอาจจะต้องแปลงร่างเป็นนางนพมาศเตรียม กระทงด้วยหยวกกล้วย จึงอาจจะโดนคราบยางกล้วยเปื้อนเสื้อผ้าโดยไม่รู้ตัว แต่เราสามารถขจัดคราบได้โดยใช้มะนาวที่ฝานเป็นชิ้นบาง ๆ ถูตรงรอยเปื้อนที่เป็นคราบดำ แล้วรีบนำมาซักทันที

    [​IMG] คราบยาทาเล็บ

    สำหรับคราบน้ำยาทาเล็บ ให้คุณแม่บ้านเอาน้ำยาล้างเล็บมาซับรอยเปื้อนก่อนและเช็ดด้วยผ้าที่สะอาด จนกระทั่งรอยเปื้อนจางลง แล้วค่อยซักผ้า

    [​IMG] คราบลิปสติก

    ไม่ว่าจะเป็นรอยบนเสื้อคุณเอง หรือว่ารอยลิปสติกสุดเซ็กซี่บนเสื้อสามี ให้นำน้ำมันหมูมาถูตรงรอยเปื้อน แล้วจึงซักในน้ำสบู่ร้อน ๆ หรือใช้วาสลีนถูตรงรอยเปื้อนแล้วนำมาซักตามปกติ และอีกวิธีคือให้แช่ผ้าเอาไว้ในน้ำผสมเกลือทิ้งไว้ 1 คืน จะทำให้รอยลิปสติกจางหาย


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไทยโพสต์

    [​IMG]


    เคล็ดลับแด่คุณแม่บ้าน ขจัด10คราบบนเสื้อผ้า | ไทยโพสต์




    http://thaipost.net/tabloid/281110/30712

    http://hilight.kapook.com/view/57840


    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    [FONT=Tahoma,]อุโมงค์

    นิทานเซน
    เสฐียรพงษ์ วรรณปก
    [/FONT]


    [FONT=Tahoma,]เซ็น ไกเป็นบุตรซามูไร เดินทางไปเมืองเอโด ได้เป็นบริวารขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่ง ต่อมาถูกจับได้ว่าลอบเป็นชู้กับเมียขุนนาง ขณะต่อสู้ป้องกันตัวได้ฆ่าขุนนางตาย จึงพาเมียหนีไปตั้งตนเป็นโจร แต่เมียเป็นคนไม่รู้จักอิ่ม เซ็นไกจึงเบื่อ ในที่สุดก็แยกทางกับเธอ เดินทางไปบวชเป็นนักบวชแสวงบุญที่จังหวัดบูเซ็น ตั้งใจบำเพ็ญความดีตลอดชีวิตเพื่อล้างบาปกรรมในอดีต พอดีมาทราบว่ามีถนนมรณะอยู่สายหนึ่งผ่านหน้าผาสูงชัน ทำให้ผู้สัญจรไปมาประสบอุบัติเหตุถึงตายและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก จึงตัดสินใจเจาะอุโมงค์ลอดภูเขาลูกนั้น

    กลางวันเขาเที่ยวภิกขาจารขออาหารชาวบ้านกิน กลางคืนทำงานเจาะอุโมงค์ เวลาผ่านไป 30 ปี เขาเจาะได้ 2,280 ฟุต กว้าง 30 ฟุต

    เหลือเวลาสองปี ก่อนอุโมงค์จะสำเร็จ ลูกชายขุนนางที่เขาฆ่าตายฝึกปรือการฟันดาบจนเชี่ยวชาญแล้ว ได้ตามมาหมายจะฆ่าล้างแค้นแทนบิดา

    เซ็นไกกล่าวกับชายหนุ่มว่า

    "ข้าพเจ้าเต็มใจมอบชีวิตให้ท่าน แต่ขอให้งานเสร็จก่อน วันใดที่งานเสร็จ ข้าพเจ้าพร้อมให้ท่านฆ่าทันที"

    ลูก ชายขุนนางอยู่เฝ้ารอวันนั้น หลายเดือนผ่านไป เซ็นไกยังคงทำงานขุดเจาะอุโมงค์ต่อไป เขาเบื่อที่อยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรจึงช่วยเซ็นไกเจาะอุโมงค์ อยู่ช่วยงานได้ปีเศษ ชายหนุ่มรู้สึกเลื่อมใสในความตั้งใจอันมั่นคงและบุคลิกของเซ็นไก

    ในที่สุด งานขุดเจาะอุโมงค์ก็สำเร็จลุล่วง ประชา ชนได้ใช้สัญจรไปมาโดยปลอดภัย

    เซ็นไกกล่าวกับชายหนุ่มว่า "เชิญตัดศีรษะของข้าพเจ้าเถิด งานของข้าพเจ้าสำเร็จแล้ว"

    ชายหนุ่มน้ำตาคลอเบ้า กล่าวว่า

    "ข้าพเจ้าจะฆ่าครูของข้าพเจ้าได้อย่างไร"
    [/FONT]

    .

    http://www.khaosod.co.th/view_news....nid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1TMHdOQzB4TkE9PQ==

    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ต้นวงศ์ "พระป่า-ธรรมยุต" สมัยรัชกาลที่ ๓ : จิตรกรรมฝาผนังภายในหอพระไตรปิฎก วัดบวรนิเวศวิหาร


    ธัชชัย ยอดพิชัย


    <style>p { margin: 0px; }</style> ศิลปวัฒนธรรมฉบับเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๔ ในบทความ "หอพระไตรปิฎก วัดบวรนิเวศวิหาร : อาคารเล็กๆ แต่มีจิตรกรรม ′ประวัติคณะธรรมยุต′žสมัยรัชกาลที่ ๓" ผมได้นำเสนอว่าภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในหอพระไตรปิฎก วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นจิตรกรรมฝาผนังที่มีความสำคัญยิ่งในคุณค่าด้านประวัติศาสตร์ ที่มีการบันทึกเขียนเป็นภาพประวัติศาสตร์ "ประวัติคณะธรรมยุต"Žสมัยรัชกาลที่ ๓ โดยเขียนบนผนังตอนล่างระหว่างช่องประตูและหน้าต่างภายในหอพระไตรปิฎก และส่วนคุณค่าด้านศิลปกรรมงานช่างจิตรกรรมฝาผนังภายในหอพระไตรปิฎกยังจัดได้ ว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดจิตรกรรมสกุลช่างขรัวอินโข่งชิ้นเยี่ยมของวัดบวรนิเวศ วิหารที่ยังมิเคยมีการนำเสนอเผยแพร่ แสดงถึงความล้ำสมัยในเนื้อหา แนวคิด และรูปแบบ แม้จะอยู่ในอาคารเล็กๆ แต่คุณค่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถ ถือได้ว่าเป็นศิลปกรรมงานช่างชิ้นเอกของวัดบวรนิเวศวิหาร ที่ควรได้มีการนำเสนอเผยแพร่


    ต้นวงศ์ "พระป่า-ธรรมยุต"Žสมัยรัชกาลที่ ๓ : จิตรกรรมฝาผนังภายในหอพระไตรปิฎก วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นบทความต่อเนื่องที่ผมได้แรงดลใจจากการได้ติดตามข่าวการละสังขารของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หรือพระธรรมวิสุทธิมงคล แห่งวัดป่าบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔ สื่อหลายแขนงนำเสนอประวัติของหลวงตามหาบัว ขณะยังมีชีวิตอยู่ที่นอกจากหลวงตามหาบัวเป็นพระนักปฏิบัติแล้ว ยังมีปฏิบัติการช่วยชาติด้วยการรับบิณฑบาตเงินดอลลาร์ เงินสกุลต่างๆ และทองคำเพื่อช่วยให้ประเทศชาติพ้นจากภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจที่มีมหา ทานบริจาคหลั่งไหลมาไม่ขาดสายด้วยแรงศรัทธาในหลวงตา


    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นพระนักปฏิบัติที่มุ่งศึกษาธรรมโดยการกระทำและอยู่ตามป่าตามเขาที่สงบ สงัด สะดวกต่อการปฏิบัติ จึงเรียกว่า "พระธุดงคกรรมฐาน"Žหรือ "พระป่า" โดยหลวงตามหาบัวเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


    ขอให้ข้อมูลในเบื้องต้นนี้ก่อนว่าเมื่อกล่าวถึงพระภิกษุในพระพุทธ ศาสนานั้นจะแบ่งออกได้เป็น ๒ ฝ่าย คือ "ฝ่ายคันถธุระ"Žและ "ฝ่ายวิปัสสนาธุระ"Ž


    พระภิกษุ "ฝ่ายคันถธุระ"Žจะศึกษาพระปริยัติธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อให้เกิดความรอบรู้ในหลักธรรม เพื่อนำไปประพฤติปฏิบัติ และสั่งสอนผู้อื่นต่อไป ส่วนใหญ่พระภิกษุฝ่ายคันถธุระมักจะอยู่ที่วัดในเมืองหรือหมู่บ้าน เพื่อความสะดวกในการแสวงหาความรู้เพื่อตนเองจากแหล่งความรู้ต่างๆ และได้ใช้ความรู้นั้นๆ สั่งสอนผู้อื่นได้ง่าย ได้บ่อยครั้งและได้เป็นจำนวนมาก จึงเรียกพระภิกษุฝ่ายนี้อีกอย่างหนึ่งว่าเป็น "ฝ่ายคามวาสี" หรือ "พระบ้าน"Ž


    ส่วนพระภิกษุ "ฝ่ายวิปัสสนาธุระ"Žนำเอาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไปประพฤติปฏิบัติ อย่างเคร่งครัด จริงจังโดยเน้นที่การฝึกจิตในด้านสมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญา การปฏิบัติเพื่อให้บรรลุผลดังกล่าวจำเป็นต้องหาที่สงบสงัด ห่างไกลต่อการรบกวนจากภายนอกในรูปแบบต่างๆ ดังนั้นพระภิกษุฝ่ายนี้จึงออกไปสู่ป่าเขา แสวงหาสถานที่เพื่อที่จะบำเพ็ญสมาธิภาวนาอย่างได้ผล จึงเรียกพระภิกษุฝ่ายนี้ว่า "ฝ่ายอรัญวาสี"Žหรือ "พระป่า"Žหรือ "พระธุดงค์"Ž


    "พระป่า"Žในไทย ถ้าในรอบกว่าศตวรรษที่ผ่านมา แบ่งเป็นสายใหญ่ๆ ได้ ๒ สาย คือ


    สายแรกเป็นพระป่าฝ่ายธรรมยุต หรือเรียกว่าสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


    ส่วนสายที่ ๒ เป็นพระป่าฝ่ายมหานิกาย ที่เป็นหลักใหญ่ คือ สายหลวงพ่อชา สุภทฺโท วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี และหลวงพ่อสนอง กตปุญฺโญ วัดสังฆทาน จังหวัดนนทบุรี


    สำหรับพระภิกษุที่ได้รับการยกย่องนับถือว่า เป็นพระบูรพาจารย์ใหญ่แห่งกองทัพธรรม "พระธุดงคกรรมฐาน"Žหรือ "พระป่า"Žในประเทศไทย คือหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ผู้ได้บำเพ็ญความเพียรในขั้นเอกอุ สั่งสมบารมีธรรมแก่พระภิกษุสามเณร จนมีศิษย์เป็นพระธุดงคกรรมฐาน ผู้ทรงคุณธรรม สัมมาปฏิบัติ ออกจาริกธุดงค์ เผยแผ่ธรรม เป็นอันมาก พระป่าสายหลวงปู่มั่น มีชาวบ้านศรัทธามากเริ่มทยอยเพิ่มจำนวนมากขึ้น ขยายงานการเผยแผ่ในภาคอีสาน โดยเฉพาะทางจังหวัดอุดรธานี หนองคาย นครพนม สกลนคร อุบลราชธานี นครราชสีมา ขอนแก่น และตามภูมิภาคต่างๆ ที่กองทัพธรรมสายหลวงปู่มั่นได้แผ่ไปถึง พระป่าทุกรูปจะต้องรักษาศีลอย่างบริสุทธิ์ ในกระบวนไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา


    ต้นวงศ์ "พระป่า-ธรรมยุต"Žสมัยแรกเป็นอย่างไร (ก่อนหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) เป็นคำถามที่ผุดเข้ามาในความคิดของผม แล้วภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในหอพระไตรปิฎก วัดบวรนิเวศวิหาร จะมีภาพต้นวงศ์ "พระป่า-ธรรมยุต"Žหรือเปล่า? เพราะพบว่าช่างเขียนได้เขียนภาพพระธุดงค์ปรากฏมีในหลายภาพ และผมก็พบว่ามี


    เบื้องต้นนี้ขอเสนอข้อมูลพอสังเขปที่กล่าวถึง "พระป่า-ธรรมยุต"Ž(ในภาคอีสาน) ข้อมูลแรกมาจาก "ต้นตระกูลกรรมฐาน"Žแสดง โดยพระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา เนื่องในวันบูรพาจารย์ เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ (ข้อมูลจาก http://www24.brinkster.com)
    

    "บูรพาจารย์ หมายถึง อาจารย์ผู้เกิดก่อนเรา ท่านเกิดก่อนเรา ท่านบวชก่อนเรา ท่านสอนเรามาก่อน จึงได้ชื่อว่า พระบูรพาจารย์


    อันดับของพระบูรพาจารย์ในภาคอีสาน อันดับแรก ท่านอริยกวี (อ่อน) (พระอริยกวี (อ่อน) เป็นพระอุปัชฌาย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) ได้ไปอุปสมบทในสำนักของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ซึ่งสมัยนั้นพระองค์ยังทรงอุปสมบทอยู่ ยังไม่ทรงลาผนวชออกมาครองเมือง แล้วท่านผู้นั้นก็ได้ศึกษาพระปริยัติธรรมเรียนรู้พระธรรมวินัย แล้วก็นำธรรมวินัยซึ่งถอดแบบจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ไปประดิษฐานคณะพระกรรมฐานธรรมยุตสงฆ์ที่วัดสีทอง จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อสิ้นบุญบารมีของท่านอริยกวี (อ่อน) ก็ตกทอดมาถึงท่านพันธุละ ซึ่งเป็นสหธรรมิกของท่าน


    ถัดจากนั้น ก็มาถึงยุคของพระเดชพระคุณ เจ้าพระคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) เจ้าพระคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ท่านบริหารกิจการพระศาสนาทั้งฝ่ายปริยัติและทั้งฝ่ายปฏิบัติ ภาษากฎหมายเขาว่า คันถธุระ และ วิปัสสนาธุระ คันถธุระ มีหน้าที่จัดการบริหาร ปกครองคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นผู้ตราเป็นกฎหมายสงฆ์ขึ้นมาเรียกว่าพระ ราชบัญญัติคณะสงฆ์ และก็จัดการศึกษาพระปริยัติธรรม คือ สอนนักธรรม สอนบาลี สอนทั้งการปฏิบัติธุดงคกรรมฐาน สอนจนกระทั่งสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เป็นนักปฏิบัติที่ยอดเยี่ยม ขนาดขึ้นนั่งบนธรรมาสน์ พอขยับตัว ขาหัก ยังนั่งเทศน์เฉย เอาซิ


    ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์นี้แหละ ท่านมีลูกศิษย์สององค์ องค์หนึ่งคือ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺสมหาเถร) ตอนนี้มาแยกสายกัน สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺสมหาเถร) เป็นผู้ทำธุระในฝ่ายคันถธุระแล้วลูกศิษย์อีกองค์หนึ่งคือ พระเดชพระคุณ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล นี้ ทำหน้าที่เฉพาะฝ่ายปฏิบัติฝ่ายเดียว


    พระธุดงค์ในภาคอีสานที่ออกเดินธุดงค์ไปตามหัวเมืองน้อยเมืองใหญ่ ตามป่าตามชนบทเป็นองค์แรกเท่าที่รู้มา คือ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล หลังจากที่ท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์แล้วประมาณ ๖ พรรษา ก็มาได้ลูกศิษย์องค์สำคัญ คือ พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต นี่เป็นกำลังสำคัญ


    ถ้าจะเปรียบเทียบผู้สอนหนังสือ หลวงปู่เสาร์สอนได้เฉพาะแต่ระดับประถมและมัธยม แต่หลวงปู่มั่นสอนถึงระดับมหาวิทยาลัยจนถึงปริญญาเอก ทีแรกหลวงปู่มั่นมาเรียนกรรมฐานกับหลวงปู่เสาร์แต่บุญบารมีของหลวงปู่มั่น นั้น บุญวาสนาของท่านมีปฏิภาณรวดเร็ว การปฏิบัติธรรมก้าวหน้าได้ดี แล้วลงผลสุดท้าย ขั้นสมถะ พระอาจารย์เสาร์สอนพระอาจารย์มั่น ขั้นวิปัสสนาพระอาจารย์มั่นย้อนกลับมาสอนพระอาจารย์เสาร์ อาจารย์กลับเป็นลูกศิษย์ ลูกศิษย์กลับเป็นอาจารย์ แต่ท่านก็ยังมีความเคารพต่อกันอย่างสุดซึ้ง ซึ่งหาความเคารพของพระภิกษุสามเณรปัจจุบันนี้มีต่อครูบาอาจารย์นั้น จะเปรียบเทียบอย่างท่านไม่ได้เลย แม้ว่าท่านจะเก่งกว่าอาจารย์ในทางภูมิจิต ภูมิธรรม ท่านก็ไม่เคยลบหลู่ดูหมิ่นอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่าน เคารพปรนนิบัติอยู่จนกระทั่งมรณภาพตายจากกันไป อันนี้คือจุดเริ่มของพระธุดงคกรรมฐานในสายภาคอีสาน


    อยู่มาภายหลัง พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ไปเรียนหนังสืออยู่ที่วัดสุทัศน์ จังหวัดอุบลราชธานี พอดีในพรรษานั้น พระอาจารย์มั่นไปจำพรรษาที่วัดบูรพาฯ ซึ่งอยู่ในเมืองเดียวกัน ไม่ทราบว่าเป็น พ.ศ. เท่าใด ทีนี้พระอาจารย์ดูลย์ กับ พระอาจารย์สิงห์ เวลาว่างจากเรียนพระปริยัติธรรม ว่างจากการสอนหนังสือ (เมื่อก่อนนี้ โรงเรียนชั้นประถมนี้อยู่ในวัด) พอตกค่ำก็ไปเฝ้าพระอาจารย์มั่น ไปเรียนกรรมฐาน ไปฟังเทศน์ฟังธรรมพระอาจารย์มั่น ในทางปฏิบัติสมาธิ สมถภาวนา แล้วมาปฏิบัติตาม เกิดผลจิตสงบเป็นสมาธิ มีสภาวะรู้ ตื่น เบิกบาน มีปีติ มีความสุข ทั้งสององค์ท่านก็เลยตัดสินใจเลิกเรียนปริยัติธรรมติดตามพระอาจารย์มั่นไป เป็นลูกศิษย์ เดินธุดงค์ไปทั่วภาคอีสาน"Ž


    ข้อมูลอีกส่วนที่ขอคัดมานำเสนอมีความสำคัญต่อการอธิบาย ต้นวงศ์ "พระป่า-ธรรมยุต"Žสมัยแรกอยู่มาก คือสมัยที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงครองสมณเพศเป็น "วชิรญาณภิกขุ"Žในสมัยรัชกาลที่ ๓ หนังสือ "ประวัติคณะธรรมยุต"Žจัด พิมพ์เนื่องในวาระงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในโอกาสที่วันพระบรมราชสมภพครบ ๒๐๐ ปี วันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ โดย คณะกรรมการบริหารคณะธรรมยุต ได้ค้นคว้ากล่าวถึงการที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงฟื้นฟูการ ศึกษาฝ่ายวิปัสสนาธุระไว้ว่า


    "ทรงฟื้นฟูการศึกษาฝ่ายวิปัสสนาธุระ


    การคณะสงฆ์ไทยแต่โบราณมา จัดการปกครองออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายคามวาสี มีหน้าที่เอาธุระศึกษาเล่าเรียนพระคัมภีร์ เรียกว่า ฝ่ายคันถธุระ มีพระสังฆราชา หรือพระสังฆราชเป็นประมุขปกครองดูแล และมีพระสังฆนายกรองลงมาเป็นผู้ช่วย ฝ่ายอรัญวาสี มีหน้าที่เอาธุระศึกษาอบรมทางสมณะและวิปัสสนา เรียกว่า ฝ่ายวิปัสสนาธุระ มีพระสังฆราชา หรือพระสังฆราช เป็นประมุขปกครองดูแล และมีพระสังฆนายกรองลงมาเป็นผู้ช่วยเช่นเดียวกัน แต่ละฝ่ายต่างปกครองดูแลคณะของตนโดยไม่ขึ้นแก่กัน


    แบบแผนการคณะสงฆ์ของไทยได้ดำเนินมาในลักษณะนี้จนถึงสมัยกรุง ศรีอยุธยาตอนปลาย จึงได้มีการเปลี่ยนแปลง คือมีพระสังฆราชา หรือพระสังฆราช ซึ่งต่อมาเรียกว่าสมเด็จพระสังฆราช แต่พระองค์เดียว เป็นประมุขของสังฆมณฑล แต่ให้มีพระสังฆนายกฝ่ายคามวาสี และพระสังฆนายกฝ่ายอรัญวาสี ซึ่งต่อมาเรียกว่า ฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย เป็นผู้ช่วยสมเด็จพระสังฆราช ปกครองดูแลในฝ่ายนั้นๆ แบบแผนการคณะสงฆ์ลักษณะนี้ได้ดำเนินสืบมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้มีการเปลี่ยนแปลง


    ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ เป็นต้นมา ได้เปลี่ยนแปลงการคณะสงฆ์จากเดิมที่จัดเป็นฝ่ายคามวาสีและฝ่ายอรัญวาสี เป็นฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ โดยให้แต่ละฝ่ายปกครองดูแลทั้งพระสงฆ์สามเณรคามวาสีและอรัญวาสี ดังปรากฏในสร้อยนามสมเด็จพระราชาคณะ เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายเหนือ และเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายใต้ว่า มหาอุดรคณฤสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสีž และ มหาทักษิณคณฤสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสีž ทั้งนี้เพราะพระสงฆ์สามเณรฝ่ายอรัญวาสีมีน้อยลงจนไม่พอที่จะจัดการปกครอง เป็นฝ่ายหนึ่งต่างหากเช่นแต่ก่อน แต่ยังคงให้มีเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายอรัญวาสีไว้โดยไม่มีวัดในปกครอง เพราะมีหน้าที่ต้องตามเสด็จสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน


    มาถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อมีการตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ขึ้นแล้ว ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายอรัญวาสีก็เป็นอันยกเลิกไป เพราะไม่มีวัดฝ่ายอรัญวาสีขึ้นอยู่ในปกครอง

    จากลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ของไทยแต่โบราณมาจะเห็นได้ว่า วิปัสสนาธุระ ถือว่าเป็นหน้าที่ที่พระสงฆ์สามเณรจะต้องศึกษาอบรมกันอย่างจริงจัง สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินก็ทรงอุปถัมภ์บำรุงอย่างเต็มที่ ถึงกับทรงตั้งสังฆราชาและพระสังฆนายกปกครองดูแลกันเองอย่างเป็นเอกเทศ แต่การศึกษาอบรมฝ่ายวิปัสสนาธุระค่อยจืดจางลงตามลำดับ พระสงฆ์สามเณรฝ่ายอรัญวาสีก็ลดน้อยลงตามกาล วัดฝ่ายอรัญวาสีก็ลดน้อยลงจนไม่พอที่จะจัดการปกครองเป็นฝ่ายหนึ่งหรือคณะ หนึ่งต่างหากจากฝ่ายคามวาสี ที่สุดฝ่ายอรัญวาสีหรือคณะอรัญวาสีก็เป็นอันยกเลิกไป พระสงฆ์สามเณรฝ่ายอรัญวาสีที่ยังคงพอมีอยู่จึงรวมอยู่ในปกครองของฝ่าย คามวาสีสืบมาจนปัจจุบัน เป็นอันว่าธุระหรือหน้าที่ประการหนึ่งของพระสงฆ์สามเณร คือวิปัสสนาธุระได้ถูกลืมเลือนไปหรือได้รับการเอาใจใส่น้อยลงตามลำดับจน เกือบจะไม่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป


    ในตอนปลายรัชกาลที่ ๒ ได้มีความพยายามที่จะฟื้นฟูการศึกษาฝ่ายวิปัสสนาธุระให้เข้มแข็งขึ้นครั้ง หนึ่ง โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ทรงพระกรุณาโปรดให้อาราธนาพระเถรา จารย์ฝ่ายวิปัสสนาธุระทั้งในกรุงและหัวเมืองเข้ามาตั้งเป็นพระอาจารย์บอก กรรมฐาน แล้วส่งไปประจำอยู่ตามวัดต่างๆ ทั้งในกรุงและหัวเมือง เพื่อสั่งสอนพระกรรมฐานแก่พระสงฆ์สามเณรและอุบาสกอุบาสิกา แต่พระอาจารย์กรรมฐานที่ทรงพระกรุณาโปรดให้อาราธนาทั้งจากในกรุงและจากปักษ์ ใต้ฝ่ายเหนือครั้งนั้นก็มีเพียง ๗๖ รูป ฉะนั้น การฟื้นฟูการศึกษาฝ่ายวิปัสสนาธุระเมื่อครั้งนั้น จึงคงเป็นไปไม่ได้ทั่วถึงและเมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๒ แล้ว ไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้มีการดำเนินการอย่างใดต่อไปอีก


    จากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า การศึกษาของภิกษุสามเณรฝ่ายคันถธุระ เจริญก้าวหน้าไปเป็นอันมาก เพราะได้รับการส่งเสริมและเอาใจใส่ดูแลด้วยดีตลอดมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนการศึกษาฝ่ายวิปัสสนาธุระกลับซบเซาลงไปตามลำดับ เพราะขาดการส่งเสริมและเอาใจใส่อย่างจริงจัง


    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยเมื่อเสด็จประทับ ณ วัดสมอรายนั้น นอกจากจะทรงกวดขันให้ภิกษุสามเณรที่ถวายตัวเป็นศิษย์ศึกษาเล่าเรียนฝ่าย คันถธุระหรือพระปริยัติธรรมอย่างจริงจังแล้ว ยังทรงแนะนำให้ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ทั้งทางสมถะและทางวิปัสสนา ให้ภิกษุสามเณรที่เป็นศิษย์หลวงทั้งหลายได้ศึกษาและปฏิบัติ ได้ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือทางพระพุทธศาสนาแสดงแนวทางการศึกษาอบรมทั้งทาง สมถะและวิปัสสนาไว้หลายเรื่อง เช่น วิปัสสนาวิธี วิปัสสนากรรมฐาน อารักขกรรมฐานสี่ พรหมจริยกถา เป็นต้น แม้พระองค์เองก็ทรงนำในทางปฏิบัติดังเป็นที่ทราบกันว่า เมื่อถึงหน้าแล้งจะทรงนำพระศิษย์หลวงออกจาริกไปตามป่าเขาในหัวเมืองต่างๆ ในมณฑลนครชัยศรี มณฑลราชบุรี มณฑลอยุธยา มณฑลนครสวรรค์ ตลอดไปจนถึงมณฑลพิษณุโลก เพื่อบูชาปูชนียสถานสำคัญและแสวงหาที่วิเวกเจริญสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน เป็นประจำแทบทุกปี เป็นการวางแบบอย่างให้ภิกษุสามเณรในคณะธรรมยุตถือเป็นแนวทางการศึกษาและ ปฏิบัติพระศาสนาสืบมา ด้วยเหตุนี้ จึงปรากฏว่า พระสงฆ์ธรรมยุตในชั้นต้นมักเป็นผู้เอาธุระทั้งสองอย่างเป็นส่วนใหญ่ กล่าวคือ


    ในฤดูฝน อยู่จำพรรษาตามอาราม ศึกษาเล่าเรียนพระคัมภีร์ เป็นการเอาธุระฝ่ายคันถธุระ


    เมื่อถึงฤดูแล้ง มักจาริกไปตามป่าเขาเพื่อแสวงหาที่วิเวกเจริญสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน เป็นการเอาธุระฝ่ายวิปัสสนาธุระ (ตัวเน้นโดยผู้เขียน)


    พระเถรานุเถระธรรมยุตในยุคแรกจึงมักเป็นที่ปรากฏต่อสายตาสาธุชน ว่าเป็นพระกรรมฐาน แม้พระเถระผู้ใหญ่จำนวนมากก็ปรากฏชื่อเสียงเกียรติคุณในทางวิปัสสนาธุระ เช่น


    พระอมราภิรักขิต (เกิด อมโร ป.๙) วัดบรมนิวาส


    สมเด็จพระวันรัตน์ (ทับ พุทฺธสิริ ป.๙) วัดโสมนัสวิหาร


    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ศรี อโนมสิริ ป.๙) วัดปทุมคงคา


    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เขียว จนฺทสิริ ป.๘) วัดราชาธิวาส


    พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท ป.๔) วัดบรมนิวาส


    พระครูสิริปัญญามุนี (อ่อน เทวนิโภ) เจ้าคณะธรรมยุตจังหวัดปราจีนบุรี


    พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เป็นต้น


    เพราะเหตุนี้ จึงได้ถือเป็นประเพณีนิยมในคณะธรรมยุตว่า พระเถรานุเถระเป็นผู้ปกครองหมู่คณะ ควรเป็นผู้เอาใจใส่ในวิปัสสนาธุระ คือปฏิบัติกรรมฐานด้วย แม้จะสำนักอยู่ในอารามที่เป็นคามวาสี ทั้งนี้เพื่อจักได้เป็นแบบอย่างแก่ภิกษุสามเณรในปกครองสืบไป


    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อยังทรงผนวชอยู่ จึงได้ชื่อว่าทรงเป็นผู้ฟื้นฟูการปฏิบัติกรรมฐานให้เป็นที่นิยมในหมู่ภิกษุ สามเณรขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และยังผลให้เป็นที่นิยมแพร่หลายตลอดไปถึงพุทธศาสนิกชนทั่วไปในเวลาต่อมา ด้วย"Ž(ตัวเน้นโดยผู้เขียน)


    หนังสือ "ประวัติคณะธรรมยุต"Žทำให้เห็นภาพ ต้นวงศ์ "พระป่า-ธรรมยุต" สมัยรัชกาลที่ ๓ ที่เกิดจากการที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้ฟื้นฟูฝ่าย วิปัสสนาธุระ ดังปรากฏว่า พระสงฆ์ธรรมยุตในชั้นต้นมักเป็นผู้เอาธุระทั้ง ๒ อย่างเป็นส่วนใหญ่ คือเป็นทั้ง "พระบ้าน"Žและ "พระป่า"Žอนึ่งก็คือภาพสะท้อนสภาพความเป็นธรรมชาติที่ยังมีอยู่มากในอดีตที่ ป่ากับชุมชนยังมิได้แยกอย่างชัดเจนดังเช่นสังคมยุคสมัยปัจจุบันที่ชุมชน สังคมเมืองขยายรุกไปยังป่า


    กลับมาพิจารณาภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในหอพระไตรปิฎก วัดบวรนิเวศวิหาร ที่ช่างเขียนได้เขียนภาพพระธุดงค์ปรากฏมีในหลายภาพ ผมพิจารณาอย่างละเอียดอีกรอบ ซึ่งในการดูช่วงแรกมิได้ตั้งข้อสังเกตในภาพแต่เมื่อมีประเด็นเรื่อง "พระป่า-ธรรมยุต"Žจากข่าวการละสังขารของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน และพิจารณาข้อมูลประวัติคณะธรรมยุตจากที่กล่าวมา ผมพบว่ายังมีภาพบนผนังหนึ่งที่เขียน "ประวัติคณะธรรมยุต" สมัยรัชกาลที่ ๓ ได้อย่างชัดเจนอีก ๑ ภาพ เป็นจินตนาการของผมบนพื้นฐานของข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของประวัติคณะธรรมยุต ที่ผมขอเรียกภาพนี้ว่า ภาพต้นวงศ์ "พระป่า-ธรรมยุต" ที่ในภาพคือภาพวาดที่ช่างเขียนให้หมายแทนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัวครั้งยังทรงผนวช พระองค์ทรงฟื้นฟูการศึกษาฝ่ายวิปัสสนาธุระ ในทางปฏิบัติทรงนำพระศิษย์หลวงออกจาริกไปตามป่าเขาในหัวเมืองต่างๆ เพื่อบูชาปูชนียสถานสำคัญและแสวงหาที่วิเวกเจริญสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน เป็นประจำแทบทุกปี ซึ่งเป็นการวางแบบอย่างให้ภิกษุสามเณรในคณะธรรมยุตถือเป็นแนวทางการศึกษาและ ปฏิบัติพระศาสนาสืบมา (ดูภาพประกอบ)


    ภาพต้นวงศ์ "พระป่า-ธรรมยุต"Žสมัยรัชกาลที่ ๓ ที่ตีความอธิบายภาพนำเสนอใหม่นี้ นับเป็นภาพที่ ๓ จากภาพจิตรกรรมฝาผนัง "ประวัติคณะธรรมยุต" สมัยรัชกาลที่ ๓ ภายในหอพระไตรปิฎก วัดบวรนิเวศวิหาร ที่ผมได้ตีความว่าช่างเขียนบันทึกไว้เพื่อให้หมายแทนพระบาทสมเด็จพระ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวครั้งยังทรงผนวช เป็นภาพประวัติศาสตร์ล้ำสมัยทั้งในด้านเนื้อหา แนวคิด และรูปแบบ ที่บันทึกเป็นภาพเขียน แต่ก็ยังมีภาพเขียนอีกหลายภาพภายในหอพระไตรปิฎก วัดบวรนิเวศวิหาร ที่ควรจะได้มีการศึกษาค้นคว้าเพื่อเผยแพร่จัดพิมพ์เป็นหนังสือเพื่อเฉลิมพระ เกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นจอมปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาพระองค์หนึ่งให้เป็นที่ปรากฏสืบไป


    คำบรรยายใต้ภาพ


    [​IMG]

    หอพระไตรปิฎก วัดบวรนิเวศวิหาร อาคารเล็กๆ ที่ภายในมีจิตรกรรมภาพประวัติศาสตร์ ประวัติคณะธรรมยุตŽ สมัยรัชกาลที่ ๓ ศิลปกรรมงานช่างชิ้นเอกของวัดบวรนิเวศวิหาร



    [​IMG]


    ภาพเขียน ประวัติคณะธรรมยุตŽ สมัยรัชกาลที่ ๓ ในจิตรกรรมฝาผนังภายในหอพระไตรปิฎก วัดบวรนิเวศวิหาร ที่ผมนำเสนอไปแล้วนั้นมี ๒ ภาพ ที่ผมตีความภาพว่าเป็นภาพที่ช่างเขียนให้หมายแทนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวครั้งยังทรงพระผนวช ภาพแรกนี้อยู่บนผนังระหว่างช่องหน้าต่างกับประตูด้านทิศเหนือ ที่ส่วนสำคัญของภาพคือ ภาพที่มุมซ้ายล่างเขียนเป็นภาพอาคารที่ต่อเนื่องไปยังศาลาท่าน้ำ มีพระสงฆ์กำลังนั่งเก้าอี้สนทนากับฝรั่ง ในประวัติศาสตร์สมัยรัชกาลที่ ๓ ที่มีการบันทึกเป็นเอกสารไม่ว่าจะเป็นเอกสารของไทยหรือเอกสารของชาวต่างชาติ ล้วนบันทึกว่ามีพระสงฆ์เพียงองค์เดียวที่สนใจในการศึกษาเรียนรู้ภาษาต่าง ประเทศและวิทยาการอันทันสมัยของชาวต่างชาติต่างภาษา คือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อยังทรงครองสมณเพศ และภาพนี้น่าจะเป็นภาพวาดให้หมายแทนพระประวัติครั้งยังประทับอยู่วัดสมอราย หรือวัดราชาธิวาส


    [​IMG]


    ภาพที่ ๒ ที่ผมตีความว่าช่างเขียนให้หมายแทนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวครั้ง ยังทรงพระผนวช คือภาพบนผนังระหว่างช่องหน้าต่างด้านทิศตะวันออก ที่สำคัญมากแสดงความเป็น ประวัติคณะธรรมยุตŽ สมัยรัชกาลที่ ๓ ที่ชัดเจน คือภาพแพโบสถ์น้ำที่หน้าวัดสมอราย หรือวัดราชาธิวาส มุมบนด้านซ้ายช่างเขียนเป็นภาพแพโบสถ์ในแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนด้านขวาช่างเขียนเป็นภาพภายในสำนักวัดสมอราย ที่ท่าน้ำของวัดมีภาพพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ถือร่มกำลังจะลงเรือไปยังแพโบสถ์ ช่างเขียนให้หมายแทนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อยังทรงครองสม ณเพศ อาจจะยังประทับอยู่ที่วัดสมอราย หรือเสด็จมาครองวัดบวรนิเวศวิหารแล้วก็เป็นได้ แต่เสด็จมาร่วมพิธีทำทัฬหีกรรม หรืออุปสมบทซ้ำ ที่แพโบสถ์อันจอดอยู่ที่แม่น้ำตรงฝั่งวัดสมอรายออกไป (ภาพบนผนังนี้ในปัจจุบันทางวัดบวรนิเวศวิหารได้บูรณปฏิสังขรณ์แล้วภายใต้ โครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดบวรนิเวศวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์)


    [​IMG]


    ภาพต้นวงศ์ พระป่า-ธรรมยุตŽ สมัยรัชกาลที่ ๓ ภาพบนผนังระหว่างช่องหน้าต่างกับประตูด้านทิศเหนือภายในหอพระไตรปิฎก ที่เขียน ประวัติคณะธรรมยุตŽ ได้อย่างชัดเจนอีก ๑ ภาพ คือภาพวาดที่ช่างเขียนให้หมายแทนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวครั้ง ยังทรงพระผนวช พระองค์ทรงฟื้นฟูการศึกษาฝ่ายวิปัสสนาธุระ ในทางปฏิบัติทรงนำพระศิษย์หลวงออกจาริกไปตามป่าเขาในหัวเมืองต่างๆ เพื่อบูชาปูชนียสถานสำคัญและแสวงหาที่วิเวกเจริญสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน เป็นประจำแทบทุกปี ซึ่งเป็นการวางแบบอย่างให้ภิกษุสามเณรในคณะธรรมยุตถือเป็นแนวทางการศึกษาและ ปฏิบัติพระศาสนาสืบมา


    [​IMG]


    ภาพพระศิษย์หลวงของพระบาทสมเด็จพระ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้นวงศ์ พระป่า-ธรรมยุตŽ สมัยรัชกาลที่ ๓ ในถ้ำผาพงไพร ในจิตรกรรมฝาผนังภายในหอพระไตรปิฎก วัดบวรนิเวศวิหาร


    [​IMG]


    ภาพ พระป่า-ธรรมยุตŽ สมัยรัชกาลที่ ๓ กำลังเดินธุดงค์ ในภาพจะเห็นวิธีการและรูปแบบการเขียนภาพที่ล้ำสมัย มีมิติลึกตื้น เหมือนจริง ทิวทัศน์งามตามแบบ ฝรั่งŽ แต่มีบรรยากาศแบบไทย มีกลุ่มพระสงฆ์ออกธุดงค์ ดูฝีมือจัดให้อยู่ในงานช่างจิตรกรรมสกุลช่างขรัวอินโข่งได้เลย




    ต้นวงศ์ "พระป่า-ธรรมยุต" สมัยรัชกาลที่ ๓ : จิตรกรรมฝาผนังภายในหอพระไตรปิฎก วัดบวรนิเวศวิหา

    .

    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1302668810&grpid=no&catid=&subcatid=

    .

    ที่มา มติชนออไลน์


    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ตุ๋นขายกรมธรรม์ประกันภัยปลอม


    [​IMG]

    รวบสาวประกันแสบ หลอกขายกรมธรรม์ประกันภัยปลอม ความแตกลูกค้าเคลมไม่ได้โร่แจ้งตำรวจโคราชจับได้คาหนังคาเขา
    วันนี้ (13 เม.ย.) พ.ต.อ.วชิรวิชญ์ กฤษณ์ฤทธิศักย์ รอง ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.ท.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผกก.ปป. พ.ต.ท.ภูมิ ทองโพธิ์ สว.สส. สภ.เมือง ร่วมกันสอบปากคำน.ส.สุนิสา มาหมื่นไวย อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 237 หมู่ 5 ต.จอหอ อ.เมือง จ.นครราชสีมา ผู้ต้องหาคดีฉ้อโกง และปลอมแปลงเอกสาร พร้อมตรวจยึดของกลาง ประกอบด้วย กรมธรรม์ประกันภัยปลอมของบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง จำนวน 6 กรมธรรม์ ใบเสร็จรับเงินค่ากรมธรรม์ประกันภัยจำนวน 8 แผ่น เงินสด 15,500 บาท เอกสารกรมธรรม์ประกันภัยที่ยังไม่กรอกรายละเอียดข้อมูล จำนวน 3 ชุด สำเนาเอกสารของผู้เสียหายที่ใช้ในการทำกรมธรรม์จำนวน 4 ชุด และบัตรพนักงานของบริษัทประกันภัย 1 ฉบับ ระบุชื่อ น.ส.สุนิสา ผู้ต้องหา

    สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับการร้องเรียนจากประชาชนและบริษัทประกัน ภัยแห่งหนึ่งว่ามีมิจฉาชีพหลอกลวงทำประกันภัย ทำพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ และทำประกันชีวิตให้กับประชาชนในเขตพื้นที่ จ.นครราชสีมา เมื่อประสบเหตุแล้วไม่ได้รับการคุ้มครองจากบริษัทประกันภัย และจากการตรวจสอบกรมธรรม์ปรากฏว่าเป็นของปลอม พล.ต.ต.ฉัตรกนก เขียวแสงส่อง ผบก.ภ.จว. จึงได้มีคำสั่งการให้สืบสวนจับกุมผู้ต้องหาให้ได้โดยเร็ว เพราะเกรงจะมีผู้ถูกหลอก

    กระทั่ง พ.ต.ท.ภูมิ สืบสวนจนพบว่า น.ส.สุนิสา ซึ่งเคยเป็นตัวแทนขายประกันของบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง ภายหลังถูกให้ออกจากบริษัท แต่ยังไม่คืนบัตรพนักงานและยังแสดงตัวเป็นตัวแทนทำการขายประกันให้กับ ประชาชนทั่วไป แล้วออกกรมธรรม์ปลอม ซึ่งเอกสารที่ออกให้นั้นลักขโมยมาจากบริษัทฯ จึงส่งเจ้าหน้าที่แฝงตัวเข้าไปเป็นพนักงานบริษัทและอยู่ในเหตุการณ์ขณะ น.ส.สุนิสา กำลังทำประกันภัยให้กับลูกค้า และแสดงตัวเข้าจับกุมได้ขณะกระทำความผิด เบื้องต้นมีผู้ได้รับความเสียหาย มาชี้ยืนยันตัวแล้วจำนวน 6 ราย

    สอบสวน น.ส.สุนิสา ให้การรับสารภาพว่า ได้ทำและขายกรมธรรม์ปลอมจริง โดยอาศัยลูกค้าที่เคยทำประกันภัยของบริษัท และคนที่รู้จักคุ้นเคย




    .


    Daily News Online > หน้าอาชญากรรม > ตุ๋นขายกรมธรรม์ประกันภัยปลอม

    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=419&contentID=132647

    .
     
  14. tawatd

    tawatd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    506
    ค่าพลัง:
    +2,020
    ขอบคุณ คุณสิทธิพงษ์มากครับ เข้ามาอ่านกระทู้นี้ได้ความรู้มาก สงสัยใช้เวลาอ่านกระทู้ต่างๆในเน็ตวันละหลายชั่วโมงเลย
     
  15. s@n16

    s@n16 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,022
    ขอบคุณในความกรุณา และขออนุโมทนาบุญเช่นกัน ครับ คุณสิทธิพงศ์

    * ผมเองก็เชื่อว่าพระนี้มีอยู่จริง ตัวผมเองไม่ใช่นักซื้อขายพระเครื่องครับ
    แต่อยากจะนำพระนี้ ไว้ฝึกพุทธานุสติกรรมฐานครับ และวันข้างหน้าเมื่อผม
    สว่างพอที่จะไม่ต้องพกพาวัตถุธรรมใดๆ พระนี้จะถูกส่งต่อแก่คนที่ควรได้รับครับ
    ส่วนเรื่องของพิมพ์ผมตั้งใจที่จะไม่ขอเลือกแต่ต้นถึงหากเลือกได้ครับ
    ตรงนี้เป็นวาสนา ของผมเองครับ ขอบพระคุณครับ
     
  16. s@n16

    s@n16 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,022
    ร่วมค่ารักษาพยาบาล ลป.บุญฤทธ์ ปัณฑิโต สำนักสงฆ์สวนทิพย์

    ธ.กรุงศรี ออมทรัพย์ สาขา รพ.เกษมราษฎร์ 471-107291-4


    ร่วมค่าบำรุงเสนาสนะ ลป.บุญฤทธ์ ปัณฑิโต สันักสงฆ์สวนทิพย์

    ธ.กรุงศรี ออมทรัพย์ สาขา รพ.เกษมราษฎร์ 471-1-07092-0


    โครงการช่วยเหลือเด็กพิการ โดยชุมชน จ. นครศรีธรรมราช

    ธ.ไทยพาณิชย์ สาขาสยามสแควร์ ออมทรัพย์ 038-261551-3

    ร่วมอุปการะค่าใช้จ่ายแก่ หมาแมว ที่ถูกทอดทิ้ง กับ ป้าสำรวย โตพฤกษา (ที่เคยออกในรายการตาสว่าง ของคุณ สัญญา คุณากร )
    ชื่อบัญชี สำรวย โตพฤกษา
    ธ.ไทยพาณิช สาขา รัชดา / ออมทรัพย์ 060-255357-2


    ร่วมอุปถัมถ์เด็กกำพร้า กับ ลพ.วัดโบสถ์ พระครูวุฒิธรรมาทร
    ชื่อบัญชี วัดโบสถ์วรดิตถ์

    ธ.กสริกรไทย ออมทรัพย์ สขาป่าโมก อ่างทอง 182-2-11-364-4
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    รับประทานอาหารกระป๋องให้ปลอดภัย



    ช่วงวันสงกรานต์อย่างนี้ ร้านรวงหลายแห่งก็ปิด การหาอาหารทานช่างยากลำบาก คงต้องหยิบอาหารกระป๋องที่เก็บไว้ขึ้นมากิน แต่ก็ไม่แน่ใจว่า อาหารกระป๋องเหล่านั้น จะปลอดภัยพอที่จะรับประทานได้ไหม ลองอ่านดู มีคำแนะนำ

    เริ่มตั้งแต่เวลาซื้ออาหารกระป๋องมาใหม่ ๆ ถ้าอยากให้อยู่ได้นานและมีคุณภาพดีจนถึงวันหมดอายุ ก็ควรเก็บในที่แห้งและสะอาด ไม่ร้อนจัดจนเกินไป แต่ถ้าสงสัยว่าอาหารกระป๋องที่เก็บไว้ยังทานได้หรือไม่ แนะนำให้หยดน้ำลงบนกระป๋อง 2-3 หยด แล้วใช้ตะปูใหม่ ๆ ที่ไม่เป็นสนิม เช็ดให้สะอาด เจาะกระป๋องให้ทะลุ ถ้าลมในกระป๋องดูดน้ำลงไปแสดงว่าอาหารยังดีสามารถรับประทานได้ แต่ถ้ามีลมดันน้ำขึ้นมา แสดงว่าเสียห้ามทาน

    ทางที่ดีไม่ควรบริโภคอาหารกระป๋องที่เก็บไว้นานเกินไป เพราะอาจมีปริมาณของโลหะบางชนิดจากภาชนะที่บรรจุอาหารอยู่ ละลายลงสู่อาหารในระดับที่สูงเกินมาตรฐานกำหนด อาจทำให้เกิดพิษต่อผู้บริโภคได้

    สิ่งที่ควรทำอีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อจะรับประทานให้เทอาหารจากกระป๋องใส่ในภาชนะอื่น แล้วสังเกตดูว่าด้านในกระป๋องที่บรรจุนั้น มีรอยถูกกัดกร่อนหรือไม่ เพราะหากมีอาจจะได้รับอันตรายจากโลหะที่หลุดลอกออกมาได้

    ส่วนอาหารคาวนั้นถ้าเป็นไปได้ควรจะใส่ภาชนะหุงต้ม แล้วนำไปอุ่นให้เดือดก่อนรับประทาน (ห้ามอุ่นด้วยกระป๋อง) ประมาณ 5-10 นาที เพราะนอกจากจะทำให้อาหารน่ารับประทานยิ่งขึ้นแล้ว ยังมั่นใจได้ว่าปลอดภัยอีกด้วย.

    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์

    .

    Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าเกร็ดความรู้ > รับประทานอาหารกระป๋องให้ปลอดภัย

    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=132531
    .
     
  18. ซึ้งบน

    ซึ้งบน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +377
    ขอขอบคุณ

    เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นภาพจิตรกรรมฝาผนัง ภายในหอพระไตรปิฏก วัดบวรนิเวศวิหาร (ขอขอบคุณ ทั้งรูปภาพและคำบรรยายครับ )

    และเป็นครั้งแรกที่ได้รู้เรื่อง ต้นวงค์ " พระป่า-ธรรมยุต "
    (ขอขอบคุณ ความรู้ ที่สรรหามาให้ ครับ)

    สุดท้ายขอขอบคุณ ที่ช่วยเปิดกะลา ให้ครับ
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 4 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong</td></tr></tbody></table>

    อรุณสวัสดิ์ยามเช้า วันศุกร์แห่งชาติ ครับ


    .
     
  20. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    โรคฮิตหน้าร้อนประจำภาค
    ประเทศไทยสามารถแบ่งเป็นภูมิภาคใหญ่ๆได้ 4 ภาค คือ เหนือ ใต้ ตะวันออกเฉียงเหนือ และกลาง (ตามหลักเกณฑ์การแบ่งภาคของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย) ซึ่งแต่ละภาคล้วนเอกลักษณ์ในการดูแลสุขภาพ ตลอดจนมีอาการเจ็บป่วยไม่สบายซึ่งอิงอยู่กับภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และวัฒนธรรมการกินอยู่
    โดยเฉพาะในฤดูร้อนที่อากาศอ้าวระอุทะลุจุดเดือดเช่นนี้ โรคร้ายที่กำลังบั่นทอนสุขภาพของคนในแต่ละภาคมีอะไรบ้าง และเราจะหาวิธีป้องกันและกำหราบโรคเหล่านี้ให้อยู่หมัดได้อย่างไร ชีวจิตรวบรวมมาฝากกันค่ะ

    ภาคเหนือ
    ฤดูร้อนในภาคเหนือเป็นอย่างไร
    เมื่อเอ่ยถึงภาคเหนือเรามักจะนึกถึงอากาศหนาวเย็น เนื่องจากภาคเหนือมีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูง แต่ถึงอย่างนั้น ภาคเหนือก็มีฤดูร้อน ตามลักษณะภูมิอากาศภาคเหนือส่วนใหญ่เป็นแบบสะวันนา คือ อากาศร้อนชื้นสลับฤดูแล้ง ฤดูร้อนของภาคเหนือจะอยู่ระหว่างช่วงเดือน กุมภาพันธ์ ถึง พฤษภาคม โดยอากาศเริ่มร้อนอย่างชัดเจนในเดือนมีนาคม และจะร้อนจัดในเดือนเมษายนและพฤษภาคมด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาโอบล้อม ทำให้หน้าร้อนของภาคเหนือร้อนไม่แพ้ภาคอื่นๆ ของประเทศ เมื่อบวกกับปัจจัยทางด้านวัฒนธรรมความเป็นอยู่ และการทำมาหากิน จึงกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้โรคฮิตในหน้าร้อนแตกต่างไปจากภาคอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ชัยวัฒน์ บำรุงกิจ รองผู้อำนวยการ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ อธิบายถึงโรคในหน้าร้อนที่คนในภาคเหนือเป็นกันมาก ดังต่อไปนี้
    โรคระบบทางเดินหายใจ เกิดเพราะฝุ่น PM 10
    คุณหมอชัยวัฒน์เล่าถึงสาเหตุของการเกิดโรคระบบทางเดินหายใจนี้ว่า
    “ที่เป็นปัญหามากในหน้าร้อนของภาคเหนือ คือ เนื่องจากจะมีไฟป่า ซึ่งเกิดจากการเผาป่าเพื่อทำไร่ กำจัดหญ้า หลังฤดูเก็บเกี่ยว ส่วนใหญ่เป็นไร่ที่ทำการเพาะปลูกถั่ว ตามวิถีชีวิตการทำมาหากิน ซึ่งทำให้เกิดมลพิษทางอากาศที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ
    “จะพบว่าช่วงเดือนมีนาคม คนภาคเหนือจะป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจกันมาก ไม่ว่าในโรงพยาบาลใหญ่ หรือโรงพยาบาลเล็กๆ จะพบผู้ป่วยมากที่สุด เพราะเป็นช่วงที่มีระดับฝุ่น PM10 เป็นจำนวนมาก โดยฝุ่น PM 10 เป็นฝุ่นที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 10 ไมครอนลงมา จัดฝุ่นละอองที่เป็นมลพิษ”
    นอกจากนี้ ดร. ณรงพันธ์ ฉุนรัมย์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ยังอธิบายสาเหตุที่ทำให้เมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นเมืองที่พบปัญหาฝุ่นควันพิษรุนแรงที่สุดว่า
    “ช่วงสามปีที่ผ่านมาจนถึงปีที่แล้ว เชียงใหม่มีปัญหาหมอกควัน เพราะเชียงใหม่เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในแอ่ง ที่เรียกว่าแอ่งเชียงใหม่ - ลำพูน เมื่อเผาป่ากันมากขึ้น และเป็นช่วงที่ลมนิ่ง จะทำให้ลมไม่สามารถพัดเอาฝุ่นควันลอยออกจากแอ่งไปได้ มลพิษจึงตกอยู่ในเมือง”
    เมื่อมีฝุ่น PM 10 ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศเป็นจำนวนมากจึงส่งผลเสียต่อสุขภาพ คุณหมอชัยวัฒน์อธิบายดังนี้
    “ฝุ่น PM 10 ก่อให้เกิดอาการ เช่น ระคายเคืองเยื่อบุจมูก มีอาการเจ็บคอ เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ หรือคนที่มีโรคหืดหรือถุงลมโป่งพองเป็นโรคประจำตัวอยู่แล้ว เมื่อสูดละอองฝุ่นพิษเข้าไป อาจทำให้อาการกำเริบได้
    “นอกจากนี้เรากำลังศึกษาอยู่ว่า คนในภาคเหนือที่ต้องเผชิญกับมลพิษทางอากาศจากไฟไหม้ป่าสัมพันธ์กับอุบัติการณ์การเป็นมะเร็งปอดที่มีสูงกว่าคนในภาคอื่นๆ หรือไม่”
    จากปัญหาที่เรื้อรังมานานปีนี้ และการฟุ้งกระจายของฝุ่นควันที่ควบคุมได้ยาก วิธีการป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ทุกคนสามารถทำได้ทันทียามวิกฤต

    ป้องกันก่อนป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจหน้าร้อนภาคเหนือ
    คุณหมอชัยวัฒน์แนะนำวิธีป้องกันโรคระบบทางเดินหายใจจากฝุ่นควันพิษไว้ดังต่อไปนี้
    1.ใส่หน้ากากอนามัยเพื่อช่วยลดการหายใจเอาฝุ่นควันพิษเข้าไป ถ้าระดับฝุ่นควันมีมาก
    ให้ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ ปิดปากปิดจมูก
    2.เมื่อมีปริมาณฝุ่นละอองมาก ให้งดออกกำลังกายในที่โล่ง เพื่อป้องกันไม่ให้สูดเอา
    ฝุ่นควันเข้าร่างกาย
    3.ทุกครัวเรือนควรงดเผาขยะ เพื่อลดจำนวนฝุ่นควันที่จะเพิ่มขึ้นในละแวกบ้าน

    โรคหน้าร้อนของถิ่นใต้
    ถึงแม้ว่าภาคใต้จะมีเพียงสองฤดูคือฤดูร้อนกับฤดูฝน แต่ลักษณะภูมิประเทศก็กำหนดให้ภูมิอากาศในฤดูร้อนแตกต่างจากภาคอื่นๆ สำหรับภูมิอากาศ ภาคใต้มีภูมิอากาศแบบมรสุมเมืองร้อน ฤดูร้อนของภาคใต้ เริ่มตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงกลางเดือนพฤษภาคม ในระยะนี้ดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนผ่านเส้นศูนย์สูตรขึ้นไปทางซีกโลกเหนือ ดังนั้นพื้นดินจะสะสมความร้อนไว้และร้อนขึ้นเรื่อยๆ ในฤดูนี้อุณหภูมิทางภาคใต้ของประเทศต่ำกว่าภาคอื่น ๆ เล็กน้อยเนื่องจากอยู่ใกล้ทะเลทำให้อากาศไม่สู้ร้อนจัด

    ด้วยเหตุนี้สาเหตุของความเจ็บไข้ได้ป่วยในฤดูร้อนจึงแตกต่างไปจากภาคอื่นๆ ด้วยแพทย์หญิงพรหมศิริ อำไพ นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ โรงพยาบาลหาดใหญ่ อธิบายถึงการป่วยเป็นโรคในหน้าร้อนของคนในภาคใต้ว่า
    “หน้าร้อนของภาคใต้ไม่เหมือนภาคอื่น เพราะมีลมทะเลที่มีลักษณะร้อนชื้น และได้รับความชื้นจากป่าดงดิบ ทั้งยังมีฝนตกในบางช่วงด้วย โรคในหน้าร้อนที่คนใต้เป็นกันมากเป็นอันดับหนึ่ง จึงเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ซึ่งมีสาเหตุสัมพันธ์อยู่กับวัฒนธรรมการกิน”
    คุณหมอพรหมศิริเล่าถึงสาเหตุของอุจจาระร่วงเฉียบพลัน โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารที่คนใต้เป็นมากเป็นอันดับหนึ่งในหน้าร้อนว่า

    โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน
    “ในหน้าร้อน สาเหตุที่ทำให้มีอาการอุจจาระร่วงเฉียบพลัน อาจเกิดได้จากการกินน้ำยาขนมจีนที่มีกะทิเป็นส่วนผสมและรสจัด นอกจากนี้คนใต้นิยมกินเส้นขนมจีนจากแป้งหมัก ซึ่งเสียง่ายกว่าขนมจีนแป้งสดที่ยังไม่มีขายอย่างแพร่หลายนัก และหากกระบวนการทำเส้นขนมจีนแป้งหมักไม่สะอาดจะยิ่งเสียเร็วขึ้นไปอีก
    “ผักที่กินกับขนมจีนก็ทำให้ท้องเสียได้ ทั้งผักดอง เช่น ผักบุ้งดอง หรือแตงกวาดอง หรือเป็นผักลวกแล้วราดกะทิ ก็จะบูดง่าย และผักสดที่เป็นผักพื้นบ้าน พวกผักเหนาะ ผักนกเขา ผักชะอม ใบหมุย ใบบัวบก หากล้างไม่สะอาดก็อาจทำให้ท้องเสียได้หรือเป็นพยาธิได้
    “อาหารอีกอย่างหนึ่งที่อาจก่อปัญหาคือข้าวยำ ถ้าทำทิ้งไว้นานๆ แล้วมากินก็ทำให้ท้องเสียได้ เพราะมีผักสดเป็นส่วนผสมเหมือนกัน นอกจากนี้อาหารท้องถิ่นที่พบว่ามักทำให้ท้องเสียในหน้าร้อน คือ จิ้งจัง หรือกุ้งหมัก แป้งแดง ซึ่งเป็นปลาหมัก และน้ำบูดู ถ้าไม่ปรุงให้สุกสะอาดก็ทำให้ท้องเสียได้”
    ส่วน วิธีการป้องกันนั้นต้องเน้นความสะอาดเป็นหลัก (ดูรายละเอียดเพิ่มในหัวข้อวิธีการป้องกันโรคระบบทางเดินอาหารของภาคเหนือ)


    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือถิ่นอีสานบ้านเฮา มีลักษณะภูมิอากาศเป็นแบบทุ่งหญ้าสะวันนา คือ มีอากาศร้อนชื้นสลับกับฤดูแล้ง มีฝนตกปานกลาง
    มีฤดูร้อน ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - พฤษภาคม อากาศจะร้อนและแห้งแล้งมาก เพราะอยู่ไกลจากทะเล จังหวัดที่ มีอุณหภูมิสูงสุดคือ อุดรธานี
    ศาสตราจารย์แพทย์หญิง เพลินจันทร์ เชษฐ์โชติศักดิ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ ประจำโรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น กล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับโรคที่พบบ่อยในเขตนี้ว่า โดยมากแล้วเกี่ยวข้องกับโรคทางเดินอาหารเป็นหลัก ดังนี้
    โรคอุจจาระร่วง
    ด้วยเป็นถิ่นต้นกำเนิดของอาหารเลื่องชื่ออย่าง ส้มตำ ปลาร้า (ซึ่งทำจากปลาหมัก) แกงอ่อม และลาบชนิดต่างๆ ที่ทำสุกบ้าง ดิบบ้าง ตามประสาอาหารพื้นบ้านที่คนในพื้นที่กินกันเป็นประจำ
    ตามปกติแล้ว อาหารพื้นบ้านกลุ่มนี้ อาจไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ หรือก่อให้เกิดโรค แต่เมื่อฤดูร้อนมาถึง คุณหมอเพลินจันทร์ อธิบายว่า สภาพความร้อนในอากาศที่สูงขึ้นนี้ จะเป็นปัจจัยที่กระตุ้นเชื้อแบคทีเรียที่มีอยู่ในอาหารให้เจริญเติบโตได้ดีขึ้น
    ดังนั้น อาหารที่ทำไม่สุก ไม่สะอาด และอาจทำมาจากวัตถุดิบซึ่งใกล้จะเสียแล้ว จึงเป็นปัจจัยให้ผู้กินอาหารดังกล่าว มีอาการของโรคอุจจาระร่วง
    “เนื่องจากเชื้อแบคทีเรีย จะเข้าไปทำให้เกิดการอักเสบในลำไส้ กว่าผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการหลังจากได้รับเชื้อ เวลาอาจจะผ่านไปแล้วเป็นวัน จากนั้นจึงจะมีอาการท้องเสีย ถ่ายเหลว ร่างกายต้องสูญเสียน้ำจากการขับถ่ายออกไปเป็นจำนวนมาก ในบางรายอาจมีไข้ร่วมด้วย”
    ทั้งนี้ กลุ่มผู้ป่วยโดยเฉลี่ยมากที่สุด คือ วัยทำงาน
    โดยคุณหมอเพลินจันทร์ให้เหตุผลว่า “เนื่องจากคนทำงานส่วนใหญ่ จะต้องพึ่งพาร้านอาหารนอกบ้านอยู่เสมอ จึงมีโอกาสกินอาหารที่มีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อนในอาหารได้มากกว่าเด็ก และผู้สูงอายุ ซึ่งกินอาหารที่บ้าน และใส่ใจในเรื่องของความสะอาดมากกว่า”
    ไร้โรคภัย ด้วยการดูแลสุขภาพเป็นประจำ
    สำหรับ โอม – คุณวิทชยุตม์ อนันตศักดิ์ หนุ่มวิศวกรอุตสาหการ ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น เล่าวิธีการดูแลสุขภาพของตัวเองให้ฟังว่า
    “ผมเล่นบาสเก็ตบอลต่อเนื่องมาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 วันละ 1 ชั่วโมงครึ่ง เลือกกินอาหารให้ครบหมู่ และนอนพักผ่อนให้เพียงพอมาโดยตลอด
    “ยิ่งปัจจุบันนี้ทำงานแล้ว ก็ยิ่งใส่ใจกับการพักผ่อนมากขึ้น เพราะหากนอนพักไม่พอ จะส่งผลให้สมองล้า และคิดงานไม่ออก”
    จากพฤติกรรมของโอมที่ทำเป็นประจำ เขาจึงมีภูมิต้านทานโรคดีอยู่เสมอ
    ด้านการเลือกกินอาหารเพื่อดูแลตัวเอง คุณโอมบอกว่า “ผมจะเลือกกินอาหารที่สุกแล้วเท่านั้น หากต้องกินอาหารนอกบ้าน ผมจะดูก่อนว่า ร้านอาหารนั้นสะอาดหรือไม่”
    ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่เคยป่วยด้วยโรคอุจจาระร่วง หรืออาหารเป็นพิษเลย

    ภาคกลาง
    ภูมิประเทศบริเวณภาคกลางส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม ระดับพื้นที่ลาดลงมาทางใต้ตามลำดับจนถึงอ่าวไทย ในภาคนี้มีภูเขาบ้างแต่ส่วนใหญ่ไม่สูงมาก เว้นแต่ทางด้านตะวันตกใกล้ชายแดนประเทศพม่า มีเทือกเขาตะนาวศรีวางตัวในแนวเหนือ-ใต้ ต่อเนื่องมาจากภาคเหนือเป็นแนวกั้นพรมแดนกับประเทศพม่า และมีความสูงเกินกว่า 1,600 เมตร
    ทางตะวันออกมีทิวเขาดงพญาเย็น เป็นแนวแบ่งเขตภาคนี้กับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
    ในฤดูร้อน จึงมีอากาศร้อนอบอ้าวเด่นชัด
    แพทย์หญิงตรีธันว์ ศรีวิเชียร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ครอบครัว โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า
    “ในฤดูร้อน เป็นช่วงที่สภาพอากาศส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรค เช่น แบคทีเรีย และไวรัสได้เป็นอย่างดี”
    ดังนั้น หากมองกันในภาพรวม พื้นที่ภาคกลาง กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ในเขตพระนครศรีอยุธยา จึงมีประชาชนป่วยเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคอุจจาระ โรคอาหารเป็นพิษ ซึ่งมีรายละเอียดเหมือนกับภาคอีสาน โดยมีโรคที่แตกต่างไปจากภาคอื่นๆ คือ โรคผิวหนัง ดังรายละเอียดต่อไปนี้
    โรคผิวหนัง
    แพทย์หญิงตรีธันว์ เล่าว่า ประชาชนป่วยเป็นโรคผิวหนังได้ง่ายขึ้น เนื่องจากอากาศร้อน ส่งผลต่อการทำงานของต่อมเหงื่อบริเวณผิวหนังโดยตรง
    “โดยตัวอาชีพของคนทำงานในโรงงาน บางคนต้องสวมใส่ชุดสม็อค (คล้ายกับชุดนักบินอวกาศ) ซึ่งทำจากผ้าเนื้อหนา จึงไม่ช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกาย ทำให้ผิวหนังอับชื้น และไวต่อการสัมผัสกับสิ่งต่างๆ จึงทำให้เกิดผื่นคันที่ผิวหนังได้ง่ายขึ้น”
    ด้าน นายแพทย์จิโรจ สินธวานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง อธิบายเสริมว่า “เมื่ออากาศมีอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ผิวหนังซึ่งเป็นอวัยวะที่อยู่ภายนอกสุดของร่างกาย จึงได้รับผลกระทบโดยตรง
    “เนื่องจากการขับเหงื่อ และการขับน้ำมันต่างๆ ของชั้นผิว สิ่งเหล่านี้ ล้วนไปกระตุ้นภาวะภูมิแพ้ของร่างกาย จึงทำให้เกิดอาการแพ้ทางผิวหนังได้ง่ายขึ้น”
    ด้วยเหตุนี้ พนักงานบริษัทเอกชนต่างๆ ทั้งในเขตภาคกลาง กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ที่ต้องสวมใส่ชุดสูท ใส่เสื้อแขนยาว หรือชุดทำงานในโรงงาน จึงมักมีผื่นคัน หรือผื่นภูมิแพ้ตามบริเวณจุดอับชื้น อาทิ ข้อพับแขน ข้อพับขา และขาหนีบ มากขึ้นในฤดูร้อน
    ทั้งนี้ คุณหมอจิโรจ ยังเสริมข้อมูลให้อีกว่า การเกิดโรคผิวหนังในฤดูร้อน มิได้เกิดเพราะปัจจัยจากการทำงานเท่านั้น แต่การใช้ชีวิตประจำวัน ยังส่งผลให้เกิดโรคผิวหนังได้ด้วยเช่นกัน
    “ผิวหนังไหม้แดด หรือที่ฝรั่งเรียกกันว่า Sunburn นี้ มีแสงแดดเป็นปัจจัยก่อโรค ทำให้เกิดการไหม้เกรียมของผิวหนังบริเวณที่ไม่มีเสื้อผ้าปกปิด
    “อาการนี้เกิดจากการทำกิจกรรมกลางแจ้งติดต่อกันเป็นเวลานาน จนเป็นเหตุให้เกิดอาการแพ้ โดยผู้ป่วยบางราย มีอาการผิวหนังไหม้เกรียม ในขณะที่บางราย มีเพียงเม็ดผื่นคัน ซึ่งเป็นลักษณะของการแพ้เฉพาะบุคคล บางคนเป็น บางคนไม่เป็น”
    นอกจากนี้ยังมี โรคผื่นแพ้ต่อมน้ำมัน หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า Seborrheic dermatitis
    คุณหมอจิโรจ ให้รายละเอียดต่อว่า “โรคนี้เกิดการอักเสบบริเวณต่อมไขมันตามที่ต่างๆ ของร่างกาย ดังนี้
    “กลุ่มที่หนึ่ง บริเวณหน้า คอ หลังหู ศีรษะ
    “กลุ่มที่สอง บริเวณหน้าอก และแผ่นหลังตอนบน
    “กลุ่มที่สาม ใต้ศอก รักแร้ สะดือ ขาหนีบ และง่ามก้น เป็นต้น
    “โดยมีปัจจัยก่อโรคหลายอย่าง ได้แก่ แสงแดดจัดที่ส่งผลให้อากาศร้อนขึ้น ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทำงานหนัก นอนน้อย จนก่อเกิดเป็นความเครียด ทั้งยังใส่เสื้อผ้าไม่เหมาะสมกับฤดูกาล หรือป่วยเป็นโรคอื่นๆ อาทิ ไข้หวัด ซึ่งทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่องลงไป” การป้องกันโรคทางผิวหนัง
    1. ดื่มน้ำมากๆ เพราะน้ำเป็นตัวช่วยให้ร่างกายเกิดการปรับสมดุลให้ภูมิต้านทานไม่แกว่งขึ้นหรือลง จนเป็นเหตุให้เกิดโรคผิวหนังตามมา
    2. หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้งในช่วงเวลาที่มีแสงแดดจ้า
    3. เลือกสวมเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้าย ซึ่งระบายความร้อนได้ดี
    4. กรณีเกิดอาการคันที่บริเวณผิวหนัง ไม่ควรซื้อยาแก้คันมาทาเอง เนื่องจากปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังมีหลายสาเหตุ ดังนั้น ระดับความเข้มข้นของการใช้ยาแต่ละชนิด จึงสมควรให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยว่าเหมาะสมกับอาการที่ผู้ป่วยกำลังเป็นหรือไม่ จึงจะเป็นการรักษาที่ได้ผลดีที่สุด

    นอกจากนี้ คุณหมอตรีธันว์ ยังให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า โรคที่พบบ่อยในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ยังมีโรคอาหารเป็นพิษ และโรคอุจจาระร่วง เช่นเดียวกับที่พบบ่อยในภาคอื่นๆ

    ห่างไกลโรค เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการรักษาความสะอาด
    สำหรับ คุณสิทธรัฐ ไทรวิจิตร หรือ ดั๊ม หนุ่มวัย 25 ปี ภายหลังเรียนจบปริญญาตรีที่กรุงเทพฯ แล้วกว่า 3 ปี เขาเลือกกลับไปใช้ชีวิตทำงานที่บ้านเกิด เป็นเจ้าหน้าที่ในโรงงานแห่งหนึ่ง ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    แม้จะต้องทนใส่เสื้อกราวด์หนาๆ เข้าทำงาน แต่คุณดั๊มยังคงมีสุขภาพแข็งแรงดี ไม่เจ็บป่วยเป็นโรคผิวหนัง หรือโรคอื่นๆ ให้ต้องมีผลกระทบต่อหน้าที่การงาน ซึ่งตัวเขาเองต้องรับผิดชอบอย่างหนัก
    เขาเล่าถึงการดูแลตนเองว่า เป็นคนเหงื่อออกมาก แต่ไม่เคยเป็นโรคผิวหนังให้ต้องกังวลใจ
    “ผมออกกำลังกายด้วยการวิ่งเป็นประจำหลังเลิกงานแล้ว อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน เมื่อวิ่งเสร็จแล้ว กลับถึงบ้าน จะอาบน้ำทันที เพื่อทำความสะอาดร่างกาย ไม่ให้อับชื้น หรือให้ตัวเองต้องรู้สึกเหนียว เหนอะหนะ ไม่สบายตัว
    เสื้อผ้าอยู่บ้าน มักจะเลือกใส่เสื้อที่มีลักษณะโปร่ง ทำจากผ้าฝ้าย ซึ่งระบายความร้อนได้ดี เวลาซักผ้า จะตากผ้ากลางแจ้งทุกครั้ง เพื่อฆ่าเชื้อโรคในตัว”
    คุณดั๊ม เล่าถึงสุขลักษณะการกินของตนเองว่า “จะเลือกกินอาหารที่ปรุงสุก และสะอาดแล้วเท่านั้น หากไม่มั่นใจว่า อาหารนั้นๆ มีความสะอาดเพียงพอ หรือเสียแล้วหรือไม่ เขาเลือกที่จะไม่กินโดยเด็ดขาด”
    ดังนั้น เขาจึงมีสุขภาพแข็งแรงอยู่เสมอ

    นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 300
     

แชร์หน้านี้

Loading...