พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อานิสงส์อุทิศดวงตาและอุทิศศพ
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=5533


    <TABLE class=tborder id=post53340 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">22-02-2005, 10:20 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>piromsuparp<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_53340", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: เมื่อวานนี้ 06:25 AM
    วันที่สมัคร: Nov 2004
    ข้อความ: 171 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 7 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 769 ครั้ง ใน 49 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 175 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_53340 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->[​IMG] อานิสงส์อุทิศดวงตาและอุทิศศพ
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->อานิสงส์อุทิศดวงตาและอุทิศศพ

    ผู้ถาม
    ถ้าเราจะไม่เกิดอีกแล้ว และเรา อุทิศดวงตา ให้สภากาชาด แต่ถ้าบางทีเราไม่ถึงซึ่งพระนิพพานและเราต้องมาเกิดอีก อยากทราบว่า ตาเราจะบอดหรือไม่ครับ .?

    หลวงพ่อ
    บอดแน่ ๆ เลย เสร็จ..ไม่มีตาดูน่ะซิ

    ผู้ถาม
    ก็นั่นนะซิครับ กลัวจังเลยว่าจะไม่มีตาดู

    หลวงพ่อ
    ต้องตอบว่า ตาจะแจ่มใสดีกว่าตาเดิม เพราะอานิสงส์อุทิศลูกตาเป็นทาน ไม่ใช่ตาบอดนะ

    ผู้ถาม
    ลูกเคยตั้งใจไว้ว่า การบริจาคดวงตาและร่างกายเมื่อหลังจากตายแล้ว จะได้ประโยชน์ หลวงพ่อว่าดีไหมคะ ..?

    หลวงพ่อ
    บุญน้อยไปให้เมื่อตายแล้ว ต้องให้เมื่อเป็น

    ผู้ถาม
    ก็ตาบอดซิคะ

    หลวงพ่อ
    ใส่ตาใหม่ ใส่ตาแก้วมันสวยกว่าตาเก่า ตาใสแจ๋วแต่มองอะไรไม่เห็น อย่างนี้พระพุทธเจ้าสมัยเมื่อเป็น พระวสสันดร ไงล่ะ เขามาขอของภายนอกก็คิดว่า ทำไมไม่ขอดวงหทัย.. ทำไมไม่ขอดวงตา ..ทำไมไม่ขอแขนซ้ายแขนขวา ..ถ้าขอดวงตาเราจะควักให้ ขอแขนซ้ายจะตัดให้ ขอแขนขวาจะตัดให้ เป็นต้น แต่ว่าการตั้งใจแบบนั้นก็เป็นกุศลนะ กุศลย่อมเกิดตั้งแต่เริ่มคิด ตัดสินใจว่าจะให้ เวลาตายไปแล้วก็ได้บุญแน่ แต่สงสัยซิ .. ไปเกิดใหม่ตาจะโบ๋ เพราะมีคนสงสัยหลายคนมาถาม

    ผู้ถาม
    แล้วจริง ๆ โบ๋ไหมครับ ..?

    หลวงพ่อ
    ไม่โบ๋ เพราะไปเกิดใหม่ ไม่ได้เอาตาดวงเก่าไปด้วยกายเก่าไม่ได้ไป เกิดใหม่ก็อาศัยบุญใหม่ การเกิดนี่ต้องมีบุญนะ คนไม่มีบุญเลยเกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้ ต้องมีบุญช่วยให้เกิด แต่ว่าต้องสร้างกายใหม่ ไม่ใช่กายเก่า แต่ว่าตามหลักของการปฏิบัติท่านบอกว่า ถ้าคนเจริญสมาธิจิตอยู่ คือทรงสมาธิ เวลาตายถ้าจิตออกทางตา ตาทิพย์ จิตออกทางหู หูทิพย์ จิตออกทางปาก ปากทิพย์ จิตออกทางจมูก จมูกทิพย์ ถ้าจิตออกมือ มือทิพย์ ออกทางหน้าท้อง ถ้าท้องทิพย์ละแย่เลย

    ผู้ถาม
    ทำไมหรือครับ ..?

    หลวงพ่อ
    เลี้ยงไม่อิ่มนะซิ

    ผู้ถาม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2007
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    ยังมีอยู่ครับ แจ้งการร่วมบุญบริจาคในกระทู้นี้หรือ กระทู้เชิญร่วมบริจาคค่าขุดบ่อบาดาล สนส บ่อเงินบ่อทอง ได้ครับ เมื่อร่วมบุญบริจาคแล้ว ให้แจ้งชื่อที่อยู่ ผ่านข้อความส่วนตัวมาที่ผมหรือคุณนักเดินทาง คุณนักเดินทางจะส่งพระพิมพ์ให้ครับ

    [​IMG]
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]
    http://www.redcross.or.th/pr/pr_news.php4?db=3&naid=740

    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD><CENTER>[SIZE=+2]พืช ผัก ผลไม้ ที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านหรือป้องกันการเกิดมะเร็ง[/SIZE] </CENTER></TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>[SIZE=-1][/SIZE][SIZE=-1]พืช ผัก ผลไม้ สมุนไพร ต้านมะเร็ง

    วันเพ็ญ บุญสวัสดิ์* * อาจารย์ภาควิชาการพยาบาลพื้นฐาน วิทยาลัยพยาบาลสภากาชาดไทย

    มะเร็งเป็นโรคที่คุกคามชีวิตมนุษย์เพราะเป็นโรคที่ต้องอาศัยการดูแลรักษาเป็นระยะเวลายาวนานและผลข้างเคียงของการรักษาค่อนข้างรุนแรง รวมทั้งสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดมะเร็งนั้นไม่ทราบแน่นอน ถึงแม้ว่ามะเร็งบางชนิดจะมีบทบาททางพันธุกรรมเป็นส่วนสำคัญในการเกิดโรค แต่สาเหตุของการเกิดมะเร็งร้อยละ 80 เกิดจากวิถีการดำรงชีวิตและสภาพแวดล้อม เช่น
    พฤติกรรมการบริโภค การมีโภชนาการที่ไม่เหมาะสม สิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสารพิษ อากาศที่ใช้หายใจ ตำแหน่งที่อยู่อาศัยและการประกอบอาชีพ รวมทั้งการขาดการออกกำลังกาย จากสาเหตุเหล่านี้พบว่าอุบัติการของโรคมะเร็งเพิ่มสูงขึ้นในทุกประเทศ ในประเทศไทยโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญอันดับที่ 2 หรือ 3 สลับกับโรคหัวใจในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา ปัจจุบันพบว่าโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญอันดับ 1 และมีการคาดการณ์ว่าจำนวนผู้ป่วยมะเร็งจะเพิ่มขึ้นเป็น 15 ล้านคน ในปี พ.ศ.2558 จากเดิม 9 ล้านคน ในปี พ.ศ.2541
    มะเร็งคือเซลล์ที่มีการเจริญเติบโต มีรูปร่างและคุณสมบัติผิดไปจากเซลล์ปกติทั่วไป มีโอกาสเกิดได้กับอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย นอกจากจะมีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนเซลล์มากขึ้นเป็นก้อนจนไปเบียดบังเนื้อที่ของอวัยวะรอบด้านแล้วยังสามารถทำลายเนื้อเยื่อใกล้เคียงและแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นได้ โดยผ่านไปตามต่อมน้ำเหลือง และกระแสเลือด จากจำนวนผู้ป่วยมะเร็งที่เพิ่มขึ้นทุกปี ส่งผลให้มีการศึกษาค้นคว้า ตัวยาและวิธีการใหม่ เพื่อรักษาและป้องกันโรคมะเร็ง และในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับว่า การส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันการเกิดมะเร็ง มีความสำคัญยิ่งกว่าการรักษา ดังนั้นการให้ความรู้หรือแนวทางด้านการส่งเสริมสุขภาพ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านการบริโภค ด้านการปฏิบัติตัว ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่จะช่วยให้เกิดพฤติกรรมด้านสุขภาพที่ถูกต้องเหมาะสม เช่น การลดอาหารไขมันจากสัตว์ เลือกรับประทานผักผลไม้ อาหารสมุนไพร ที่ปลอดสารพิษ เพราะว่าผักผลไม้หลายชนิดมีคุณสมบัติเป็นแอนติออกซิเดนท์ (antioxidant) และมีสารสำคัญที่ทำลายเซลล์มะเร็งได้ สมุนไพรเป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยในการส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งสามารถใช้ป้องกันหรือชลอการเกิดมะเร็ง ตลอดจนยับยั้งหรือทำลายเซลล์มะเร็งบางชนิดได้
    ในบทความนี้จะกล่าวถึงพืช ผัก สมุนไพร ที่มีสารที่สามารถต่อต้านหรือป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ ซึ่งสารดังกล่าวเรียกว่า สารต่อต้านการก่อมะเร็ง (anti -carcinogen) และสารต่อต้านการส่งเสริมมะเร็ง (anti-tumor promoter) แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

    1) สารต้านมะเร็ง แอนติออกซิแดนท์ (antioxidants) สารป้องกันปฏิกิริยาออกซิเดนท์หรือต้านฤทธิ์ของอนุมูลอิสระ (free radicals) ที่มีอยู่ในธรรมชาติในรูปของวิตามินและแร่ธาตุ ได้แก่ วิตามินเอ ซี อี, แร่ธาตุสังกะสี (Zinc) และเซลีเนียม (Selenium)
    2) สารแอนติออกซิแดนท์ที่ไม่ใช่วิตามิน ส่วนใหญ่เป็นสารรสฝาดพบในยอดผักและเมล็ดพืช ได้แก่ สารพวกโปลีฟีนอล (polyphenols) เป็นสารในกลุ่มไบโอพลาโอนอย์ (bioflavonoids) ไลโคปีน (lycopenes) แคโรทีนอยด์ (carotenoids) ไอโซฟลาโวน (isoflavone coumarin derivative) เบต้าคาโรตีน เป็นต้น

    พืช ผัก ผลไม้ ที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านหรือป้องกันการเกิดมะเร็ง
    มีดังนี้

    วิตามินเอ (Vitamin A) : มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านการเกิดมะเร็ง และเป็นสารอาหารที่ส่งเสริม
    ภูมิคุ้มกัน ในพืชผักไม่มีวิตามินเอ แต่มีสารประกอบพวกแคโรทีน ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ในตับ พบในผักและผลไม้ที่มีสีเขียว สีเหลือง สีส้ม สีแดง ได้แก่ ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง มะระขี้นก ใบกระเพา ใบย่านาง ผักแพว ใบแมงลัก ยอดแค ผักชะอม ฟักทอง ตะไคร้ <b style="color:black;background-color:#ffff66">บัวบก</b> มะม่วง มะขาม มะเฟือง มะละกอ แตงโม กระเจี๊ยบ แอปเปิ้ล ลูกเดือย เป็นต้น
    โดยมีรายละเอียดของส่วนที่นำมาใช้และประโยชน์ ดังนี้
    - คะน้า ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ใบ ก้าน และลำต้น ประโยชน์ คือเป็นผักที่ให้วิตามินเอสูงมาก
    และเป็นแหล่งของเบต้าแคโรทีน ( β- Carotene) ซึ่งเป็นสารยับยั้งการก่อมะเร็งนอกจากนั้นยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินซีอีกด้วย
    - ตำลึง ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ใบ ประโยชน์เป็นผักที่ให้วิตามินเอสูงมาก และยังมีแคลเซียม
    ฟอสฟอรัส วิตามินซี มีคุณสมบัติในการแก้อาการแพ้ อาการอักเสบ ช่วยป้องกันโลหิตจาง หัวใจขาดเลือดและโรคมะเร็ง
    - มะระขี้นก ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ผลและเมล็ดแก่ ประโยชน์ ให้วิตามินเอสูงมาก
    นอกจากนั้นยังพบสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ต้านไวรัสและฆ่าเซลล์มะเร็งเต้านมและเซลล์มะเร็งสมองได้ผลดี
    - มะม่วง ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ผลดิบและผลสุก ประโยชน์ เป็นผลไม้ที่มีวิตามินเอและซีสูง นอกจากนั้นยังมีฟอสฟอรัส แคลเซียม และเหล็กอีกเล็กน้อย
    - มะขาม ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ เนื้อมะขามสดหรือเปียก ประโยชน์ เป็นผลไม้ที่มีวิตามินเอ
    และแคลเซียมสูง
    -ส้ม ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ผล ประโยชน์ เป็นผลไม้ที่มีวิตามินเอมาก นอกจากนั้นยังมีแคลเซียม
    ฟอสฟอรัส และวิตามินซี
    -มะเฟือง ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ผลที่แก่จัด ประโยชน์ เป็นผลไม้ที่อุดมคุณค่าไปด้วย วิตามินเอ
    ซี ฟอสฟอรัสสูง และแคลเซียมเล็กน้อย
    -แตงโม ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ เนื้อแตงโม ประโยชน์ เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าเต็มไปด้วยวิตามิน
    เอ และซี
    - กระเจี๊ยบ ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ดอกกระเจี๊ยบสดหรือแห้ง ประโยชน์อุดมไปด้วยวิตามินเอ
    นอกจากนั้นยังมีแคลเซียม
    - มะละกอและแอปเปิ้ล ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ผล ประโยชน์ เป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยวิตามินเอ
    - ลูกเดือย ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ เมล็ด ประโยชน์ ให้ฟอสฟอรัสสูงมาก รองลงมาคือ วิตามินเอ
    - ตะไคร้ ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ เหง้าลำต้นและใบ ประโยชน์ เป็นผักที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ
    นอกจากนั้นยังมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะเริ่ม ต้นได้
    -<b style="color:black;background-color:#ffff66">บัวบก</b> ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ใบและต้นสด ประโยชน์ วิตามินเอ และแคลเซียมสูงมาก นอกจาก
    นั้นยังมีวิตามินบี1เป็นพืชที่ประกอบด้วยกลัยโคไซด์ที่มีคุณสมบัติทำให้เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissue) ที่ผิวหนังแข็งแรงส่งผลให้ผิวหนังเรียบ ตึง แน่น ช่วยบรรเทาอาการเส้นเลือดขอด ผิวด่างดำ และช่วยให้แผลเป็นจางหาย และนุ่มขึ้น สารสกัดจากใบบัวบก ทำให้แผลหายเร็ว มีขนาดเล็ก เร่งการสร้างเนื้อเยื่อ และเยื่อบุเซลล์ใหม่ ระงับการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ที่ทำให้เกิดหนองและลดการอักเสบ และมีคุณสมบัติทำให้หลอดเลือดขยายตัว ช่วยทำให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้นและเร่งการทำลายเชื้อโรคโดยเม็ดเลือดขาว นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์ในการยับยั้งและทำลายเซลล์มะเร็ง
    วิตามินซี (Vitamin C)
    พบในผลไม้รสเปรี้ยวเป็นส่วนใหญ่ มีกรดแคสคอร์บิค (ascorbic acid) ซึ่งผลิตคอลลาเจน (Collagen) ส่งผลดีต่อสุขภาพผิวหนัง เนื้อเยื่อและเส้นเลือดแข็งแรง ช่วยในการสมานแผลช่วยในกระบวนการดูดซึมเหล็ก ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานสูงขึ้น นอกจากนั้นยังมีคุณสมบัติเป็นแอนติออกซิแดนท์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง พบมากในผักสดและผลไม้ โดยเฉพาะผักสด ใบส่วนยอดและเมล็ดที่กำลังจะงอก ได้แก่ ฝรั่ง มะขามป้อม ยอ เพกา มะนาว มะเขือเทศ เชอรี สับปะรด มะม่วง มะเฟือง แตงโม คะน้า ตำลึง ถั่วงอก ยอดมะขาม ใบเหลียง ผักหวาน พริก มะรุม เป็นต้น
    โดยมีรายละเอียดของส่วนที่นำมาใช้และประโยชน์ ดังนี้
    - ฝรั่ง ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ผลแก่จัดเอาเฉพาะเนื้อ ประโยชน์เป็นผลไม้ที่มีวิตามินเอและซีสูง
    นอกจากนั้นยังมีสารเบต้า-คาโรทีน ที่ช่วยลดสารพิษในร่างกาย อีกทั้งยังป้องกันไม่ให้ไขมันจับที่ผนังหลอดเลือด
    -มะนาว ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์น้ำมะนาว เป็น antioxidantประโยชน์ มีวิตามินซีมาก, เมล็ดมีรส
    ขมใช้ขับเสมหะ และรากมะนาวมีรสปร่า แก้สติหลงลืม
    -มะเขือเทศ ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ผลสีแดง ให้วิตามินเอ และไลโคพีน ของเหลวคล้ายเยลลี
    ที่ล้อมรอบเมล็ดให้วิตามินซีประโยชน์ เป็นแหล่งวิตามินเอ วิตามินซี เส้นใยอาหาร และพบว่ามีสารอาหารที่ชื่อว่า ไลโคพีน (lycopene) ซึ่งเป็นสารสำคัญในการป้องกันการก่อตัวของสารมะเร็ง ซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอ ลดอัตราการเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ นอกจากนั้นมะเขือเทศยังมีวิตามินซี ซึ่งเป็นสารป้องกันอนุมูลอิสระที่สำคัญมีหน้าที่ในการเพิ่มความแข็งแรงให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย จากการศึกษาพบว่าผู้ชายที่บริโภคมะเขือเทศประมาณ 10 ผลต่อสัปดาห์หรือซอสมะเขือเทศ จะมีอัตราเสี่ยงของการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากและโรคไส้เลื่อนน้อยกว่าผู้ที่ไม่บริโภคมะเขือเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์ควรรับประทานมะเขือเทศที่อยู่ในอาหารที่ผ่านการปรุงแล้ว ซึ่งจะสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย
    - ยอ ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ผลแก่ ผลอ่อนประโยชน์ ผลยอเป็นผักที่มีวิตามินสูง คนไทย
    โบราณใช้เป็นยา อายุวัฒนะช่วยบำรุงธาตุ จากการศึกษาในสัตว์ทดลอง พบว่ายอมีสารยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็งขั้นต้น โดยการสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงต้านการเป็นมะเร็งและยอมีผลทำให้สมองมีการผลิตซีโรโตนินมากขึ้น ส่งผลให้การนอนหลับเป็นปกติ ข้อควรระวัง : ไม่ควรรับประทานในผู้ป่วยโรคไตและโรคหัวใจ เนื่องจากยอมีโปแตสเซียมในปริมาณสูงอาจมีผลต่อการทำงานของไตและหัวใจ
    - มะขามป้อม ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ผลสด ประโยชน์ เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมากคือ 208
    มิลลิกรัมต่อน้ำหนักมะขามป้อม 100 กรัม
    - เพกา ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ฝักอ่อน ประโยชน์ มีวิตามินซีสูงมากถึง 484 มิลลิกรัมต่อ
    น้ำหนักเพกา 100 กรัม นอกจากนั้นยังมีวิตามินเอ ซึ่งจะช่วยป้องกันอนุมูลอิสระให้เกิดขึ้น
    ในร่างกาย ทั้งนี้การรับประทานเพการ่วมกับอาหารที่มีวิตามินสูง เช่น รำข้าวในข้าวกล้องจะ
    ช่วยเสริมฤทธิ์ในการป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกายได้อย่างสมบูรณ์
    -เชอรี่ ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ผล ประโยชน์ เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก
    -สัปปะรดส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์เป็นผลที่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงมากรองลงมาคือมีวิตามินซี

    วิตามินอี (Vitamin E)
    วิตามินอีมีคุณสมบัติเป็นแอนติออกซิแดนท์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคระบบประสาท นอกจากนั้นยังมีคุณสมบัติในการทำให้เซลล์เยื่อบุผิวหนัง (Cell membrane) แข็งแรง มีสุขภาพดีขึ้น ช่วยลดริ้วรอยผิวหนัง ช่วยในการไหลเวียนเลือด พบมากในเมล็ดธัญพืช ต่าง ๆ ที่ให้น้ำมัน ได้แก่ ถั่วเหลือง ข้าวโพด งา รำข้าว ข้าวกล้อง จากการศึกษาของเพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ พบว่าเมล็ดทานตะวันมีปริมาณวิตามินอีสูงมากกว่าในถั่วเหลือง และข้าวโพด
    โดยมีรายละเอียดของส่วนที่นำมาใช้และประโยชน์ ดังนี้
    - ถั่วเหลือง ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ เมล็ด ประโยชน์ พบว่ามีสารกลุ่มไอโซพลาโวน
    (isoflavone courmarin derivative) จำนวนมาก ซึ่งสารดังกล่าวทำหน้าที่เป็น phytoestrogen ต้านทานการเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านมที่เกิดจากการกระตุ้นของเอสโตรเจน และยังพบสารเจนิสทีนที่เป็นสารในกลุ่มไบโอพลาโวบอยด์ ช่วยป้องกันมะเร็งโดยไม่ให้ร่างกายสร้างหลอดเลือดฝอยที่จะส่งอาหารไปเลี้ยงเซลล์มะเร็งทำให้เซลล์มะเร็งฝ่อตาย
    - งา ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ เมล็ด ประโยชน์ พบว่ามีวิตามินอีสูง และสารเซซามอล ซึ่งสามารถป้องกันมะเร็งได้ นอกจากนี้พบว่าน้ำมันงาเป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน มีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายมาก (Essential Fatty acid) คือ กรดไลโนเลอิค และโอเลอิค กรดนี้ร่างกายนำไปสร้างฮอร์โมนโพรสตาแกลนดิน-อี-วัน ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายได้แก่ 1)ขยายหลอดเลือด 2) ช่วยลดความดันเลือด 3) ป้องกันเกล็ดเลือดเกาะตัวเป็นลิ่มเลือด ซึ่งอาจจะไปอุดตันหลอดเลือดเล็ก ๆ เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน หรืออัมพาตถ้าลิ่มเลือดไปอุดหลอดเลือดสมอง
    และงาเป็นอาหารที่มีแร่ธาตุที่สำคัญคือ ธาตุเหล็กช่วยบำรุงเลือด ธาตุไอโอดีนป้องกันคอพอก สังกะสีบำรุงผิวหนังและแคลเซียม นอกจากนั้นพบว่างาเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 1, 2, 3, 5, 6, 9 ซึ่งจะบำรุงระบบประสาท สมอง

    ซิลีเนียม (Selenium)
    มีคุณสมบัติในการช่วยกำจัดอนุมูลอิสระควบคุมความดันโลหิต พบมากในอัลมอนด์ เห็ดต่าง ๆ กระเทียม ส้ม องุ่น กะหล่ำปลีและหัวผักกาด เป็นต้น มีการศึกษาพบว่ากะหล่ำปลีสายพันธุ์ที่ปลูกในเมืองไทย สามารถยับยั้งหรือป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านม โดยสามารถลดได้ทั้งอัตราการเกิด (incidence) และจำนวนก้อนมะเร็ง เนื่องจากมีคุณสมบัติในการกระตุ้นเอนไซม์ที่มีหน้าที่กำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้เซลล์เปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์มะเร็งลดลง ส่วนในหัวผักกาดพบว่าทำให้ขนาดและปริมาตรก้อนเนื้องอกเล็กลงทำให้การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งช้าลง(tumor progression)

    สังกะสี (Zinc)
    มีส่วนสำคัญในกระบวนผลิตสารพันธุกรรม (RNA และ DNA) ช่วยให้ร่างกายจับวิตามินเอไว้ในกระแสเลือด พบมากในขิง เมล็ดฟักทอง กระหล่ำปลี แครอท แตงกวา และส้ม
    นอกจากพืช ผักผลไม้ที่กล่าวมาแล้ว ยังมีสมุนไพรอื่น ๆ ที่มีฤทธิ์ในการต้านเซลล์มะเร็งได้แก่ ชา ขิง พริกไทย ใบแป๊ะก๊วย เกากีจี้ โสมเกาหลี หญ้าปักกิ่ง และเห็ดหลินจือ เป็นต้น

    ชา
    ในใบชามีสารที่ชื่อว่า “ฟลาไวนอยด์” ซึ่งเป็นสาร antioxidant ช่วยในการป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง นอกจากนั้นฟลาโวนอยด์ ยังเป็นสารที่ช่วยให้เกร็ดเลือดไม่จับตัวกัน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ เมื่อดื่มชาเป็นประจำทุกวัน เพียงวันละ 1 ถ้วย จะสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งและหัวใจลงได้

    ขิง
    เป็นพืชที่พรั่งพร้อมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เหง้าของขิงแก่ มีสารเบต้า คาโรทีนที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ (Free radical) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ขิงจึงเป็นพืชที่รับประทานแล้วช่วยต้านมะเร็งได้

    พริกไทย (black peper)
    เป็นพืชที่มีสารสำคัญ ชื่อ “ฟีนอลิกส์” (Phenolics) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็น antioxidant อย่างดี พริกไทยเป็นพืชที่มีคุณสมบัติด้านสารก่อมะเร็งในทางเดินอาหารได้อย่างดี และยังพบว่าพริกไทยสามารถเร่งให้ตับทำลายสารพิษมากขึ้น

    ใบแป๊ะก๊วย (Ginkgo biloba)
    มีสารสำคัญที่ส่งผลช่วยให้เลือดไหลไปเลี้ยงสมองดีขึ้น ทำให้สมองตื่นตัว ใช้กับพวกที่มีความจำเสื่อมเมื่ออายุมากขึ้น นอกจากนั้นยังช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็ง

    เกากีจี้
    ได้จากผล Lycium chinense ซึ่งเป็นพืชวงศ์เดียวกับ มะเขือ พริก เป็นพืชที่มีจำนวนวิตามินเอ และมีเบต้า-คาโรทีนสูง ซึ่งช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ นอกจากนั้นยังมีสารที่ช่วยในการทำงานของไตและตับ

    โสมเกาหลี
    รากโสม มีสารที่สำคัญคือ จินเซนโนโซด์ (ginsenoside) หรือพาแนกโซไซด์ (panaxoside) ซึ่งสามารถทำให้การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งจากตับชะงักลงและเซลล์มะเร็งดังกล่าวถูกเปลี่ยนให้กลับไปเป็นเซลล์ปกติได้นอกจากนั้นยังกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกัน กระตุ้นให้มีการสร้าง “interferon”
    ทั้งนี้ โสมจะมีสารที่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่นำมาใช้แตกต่างกัน เปลี่ยนไปตามพื้นที่และสภาพแวดล้อม
    ข้อควรระวัง : ไม่ควรรับประทานโสม ร่วมกับวิตามินซี เพราะจะลดคุณค่าของโสม ควรรับประทานห่างกันเป็นเวลา 6-8 ชั่วโมง และไม่ควรรับประทานโสมต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดภาวะเลือดออกง่ายได้

    หญ้าปักกิ่งหรือหญ้าเทวดา (Murdannia loriformis)
    ในใบและลำต้นมีสารกลุ่มกลัยโคไซด์ เช่น สารฟลาโวนอยด์ สำหรับการนำมาใช้เพื่อรักษามะเร็งเต้านมและลำไส้ใหญ่ได้ วิธีการนำมาใช้ที่เชื่อว่าจะให้ประโยชน์สูงสุดคือ เลือกหญ้าปักกิ่งจากต้นที่มีอายุ 7-12 เดือน จำนวน 6 ใบ ล้างน้ำให้สะอาด ปั่นให้แหลก เติมน้ำ 4 ช้อนโต๊ะ คั้นเอาแต่น้ำแบ่งเป็น 2 ส่วน ดื่มก่อนอาหารเช้าครึ่งชั่วโมงและก่อนนอนทุกวัน

    เห็ดหลินจือ หรือเห็ดหมื่นปี หรือเห็ดอมตะ (Holymushroom, or Lacquered mushroom)
    สารสำคัญที่พบมีฤทธิ์ต้านมะเร็งโดยเข้าไปยับยั้งเนื้องอกได้ดี คือ โพลีแซคคาไรด์ชนิดเบต้า ดี-กลูแคน (β - D – glucan) จากการศึกษาโดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ พบว่าสารสกัดจากเห็นหลินจือ มีผลต่อเซลล์มะเร็งในสัตว์ทดลอง นอกจากนั้นยังพบว่าสามารถออกฤทธิ์ช่วยให้ร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีและยังมีฤทธิ์ต้านพิษที่เกิดจากการฉายรังสีจึงอาจเป็นไปได้ว่าการใช้เห็ดหลินจือจะช่วยชะลอการลุกลามของมะเร็ง
    ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ดอกเห็ดที่อยู่ในช่วงที่สมบูรณ์ที่สุด ซึ่งจะเป็นช่วงที่มีสีน้ำตาลแดงสปอร์มีสีน้ำตาล รสขม รูปร่างรี ดอกเห็ดแก่ ขอบหมวกจะงุ้มลง สีหมวกเข้มขึ้น และอาจมีดอกใหม่งอกซ้อนขึ้นก็ได้
    พืช ผัก ผลไม้ ที่ได้กล่าวไปแล้ว เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสมุนไพรที่มีผลต่อเซลล์มะเร็ง ยังมีพืชสมุนไพรอีกหลายชนิด ที่มีผู้ศึกษาค้นคว้าว่ามีฤทธิ์ในการป้องกันและรักษามะเร็งได้ ไม่ว่าจะเป็นคื่นช่าย ผักชีฝรั่ง กระชาย ดีปลี โหระพา ผักขวง เหงือกปลาหมอ ขมิ้นอ้อย หอมใหญ่ ฯลฯ

    สรุป
    พฤติกรรมสุขภาพของคนในยุคปัจจุบัน เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ในการเกิดโรคมะเร็ง โดยที่สังคมไทยในอดีตมีภูมิปัญญาท้องถิ่น (Local Wisdom) เป็นสิ่งอันทรงคุณค่าที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรครวมถึงใช้ในการรักษาโรคของคนไทย แต่เมื่อค่านิยมของคนในสังคมเปลี่ยนแปลงไป ภูมิปัญญาท้องถิ่นดังกล่าว จึงถูกละเลยหรือหลงลืมไประยะหนึ่ง ในศตวรรษใหม่นี้ สังคมโลกกลับมาให้คุณค่าสมุนไพรในการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค รวมถึงใช้ในการรักษาโรคอีกครั้ง เพราะตระหนักถึงคุณประโยชน์ของทางเลือกใหม่(Complementary/Alternative Therapy)ในการดูแลภาวะสุขภาพของมนุษย์
    อย่างไรก็ตามทางเลือกต่าง ๆ ผู้ป่วย ครอบครัว และญาติ ควรมีโอกาสเลือกใช้วิธีปฏิบัติ ต่าง ๆด้วยตนเอง โดยไม่เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้นบุคลากรทีมสุขภาพควรคำนึงถึงสภาพจิตใจของผู้ป่วยและครอบครัวและยอมรับทางเลือก เป็นผู้ให้คำปรึกษา แนะนำ ในวิธีการรักษาโรคมะเร็งที่ผู้ป่วยเลือกใช้และทำหน้าที่ซึ่งอาจมีหลายวิธีร่วมกัน รวมทั้งผสมผสานการรักษาโดยการแพทย์แผนปัจจุบัน และการแพทย์แผนไทยเพื่อส่งเสริมให้ผู้รับบริการมีภาวะสุขภาพที่สมบูรณ์ทั้งด้านร่างกายจิตสังคมและจิตวิญญาณ ตลอดจนมีคุณภาพชีวิตที่ดี

    เอกสารอ้างอิง
    จันทรา เจณณวาสิน. (2540). โรคมะเร็งกับวิถีทางการดำรงชีวิตของคนเรา. คัดลอกจากนิตยสารใกล้หมอ 21 (2) กุมภาพันธ์ 2540. (http://www.E-LIB Health Lihrary for Thai : CANCER รอบรู้โรคมะเร็ง).
    บัญญัติ สุขศรีงาม. (2536).เครื่องเทศที่ใช้เป็นสมุนไพร เล่ม 2. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์อมรการพิมพ์. รายงานการสัมมนาทางวิชาการเรื่อง สมุนไพรไทย. เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติ ครบ 50 ปี โดยคณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาวิทยาศาสตร์ เคมีและเภสัช มหาวิทยาลัยขอนแก่น และสมาคมสมุนไพรแห่งประเทศไทยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม 23-25 มกราคม พ.ศ.2540. ณ โรงแรมเจริญธานีปริ้นเซส จังหวัดขอนแก่น. กรุงเทพฯ : บุญศิริการพิมพ์.
    เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ. (2541). การแพทย์แผนไทยกับโรคมะเร็ง. คัดลอกจากหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ.2541. (http://www.E-LIB hey.to/yimyam i.am/thaidoc).
    วันดี กฤษณพันธ์. (2541). สมุนไพรน่ารู้. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ : ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
    สมพร เตรียมชัยศรี. (2542). ประเด็นและแนวโน้มการดูแลสุขภาพเชิงองค์รวม วารสารพยาบาล, 48 (2), 71-80.
    สำนักบริหารการทะเบียนกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย. (2542). จำนวนและร้อยละของการตายด้วยเนื้องอกเนื้อร้ายทุกตำแหน่ง จำแนกตามเพศและอายุ พ.ศ.2539-2542. (http://www.moph.go.th).
    อนงค์ เทพสุวรรณ, เพียงใจ ดูประตินันท์ และวรรณี คูสำราญ. (2540). “ผลของกะหล่ำปลีและหัวผักกาดในการป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมในหนูที่ได้รับสารก่อมะเร็ง”. วารสารโรคมะเร็ง. 23 (1-2), 26-35.
    ไมตรี สุทธจิตต์ และศิริวรรณ สุทธจิตต์. (2547). พืชผักพื้นบ้าน สมุนไพร ต้านมะเร็ง. เอกสารประกอบการประชุมเชิงปฏิบัติการเวทีเครื่อข่ายผู้เป็นมะเร็งกับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม. ณ อิมแพค เมืองทองธานี นนทบุรี.
    มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร. (2547). “สมุนไพร อภัยภูเบศร”. อภัยภูเบศรสาร. 2(15),1-5.
    Vicker, A. and Zollman, C. (1999). ABC complementary medicine : Herbal medicine. BMJ. 319 (16) 1050-1052. [/SIZE]<CENTER></CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[SIZE=-1]วันที่ลงบทความ : [/SIZE][SIZE=-1]23 ธ.ค 49 11:19[/SIZE]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. sodalith

    sodalith เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +1,083
    [​IMG]

    สงสัยนิดครับ
    พระพิมพ์จิตรลดา เป็นพระที่ในหลวงเราสร้างขึ้น
    แล้วทำไมพิมพ์นี้จึงไปโผล่ในยุคก่อนในหลวงสร้าง ละครับ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]


    http://www.redcross.or.th/pr/pr_news.php4?db=3&naid=909
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD><CENTER>[SIZE=+2]รู้ไว้ก่อนใช้น้ำยาบ้วนปาก[/SIZE] </CENTER></TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>[SIZE=-1][/SIZE][SIZE=-1]ปัจจุบันมีน้ำยาบ้วนปากจำหน่ายในท้องตลาดอยู่หลายชนิด ก่อนจะเลือกใช้ชนิดใดจำเป็นต้องเลือกให้ถูกต้องและเหมาะสม โดยคำนึงถึงความปลอดภัย ไม่เกิดอันตรายต่อช่องปากและฟัน
    ในน้ำยาบ้วนปากมักจะมีส่วนผสมสำคัญ คือ ยาฆ่าเชื้อโรคและสารที่ทำให้มีกลิ่นหอม ช่วยให้ลมปากหอม สะอาดรู้สึกสดชื่น แต่ผลจะคงอยู่ระยะสั้น แค่ชั่วคราวเนื่องจากเชื้อในช่องปากมีอยู่มากมายหลายชนิด และยาฆ่าเชื้อที่ใส่ลงไปมีฤทธิ์ในการทำลายเชื้ออย่างอ่อนๆ เท่านั้น ถ้าใช้น้ำยาบ้วนปากที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เข้มข้นเกินไป อาจส่งผลต่อสมดุลของเชื้อในช่องปากจะเสียไปเชื้อราจะเจริญขึ้นเกิดเชื้อราบนลิ้น เพดานปาก หรือกระพุ้งแก้มได้
    พูดง่ายๆ ก็คือว่าน้ำยาบ้วนปากอาจมีส่วนเข้าไปกลบ ปิดบังกลุ่มอาการของโรคในช่องปากก็ได้ เพราะว่าโรคในช่องปากหลายอาการนั้น จะแสดงอาการออกมาเมื่อมีกลิ่นปาก ช่วยเตือนให้เจ้าตัวรู้ว่าเหงือกและฟันกำลังมีปัญหาแล้ว
    แต่เมื่อเจอฤทธิ์ของน้ำยาบ้วนปากเข้าไปทุกเมื่อเชื่อวัน จึงกลับกลายเป็นว่ากลิ่นปากที่จะช่วยบอกเหตุว่าเหงือกและฟันกำลังไม่สบาย มันก็เลยไม่ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างที่ควรจะเป็น [/SIZE]<CENTER></CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[SIZE=-1]วันที่ลงบทความ : [/SIZE][SIZE=-1]21 ธ.ค 49 09:24[/SIZE]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ************************************************

    http://www.redcross.or.th/pr/pr_news.php4?db=3&naid=907
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD><CENTER>[SIZE=+2]เตือนวัยรุ่นเพลินเครื่องเล่นเพลงอย่าเปิดฟังจนดังเกินถึงหูดับได้[/SIZE] </CENTER></TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>[SIZE=-1][/SIZE][SIZE=-1]สถาบันเพื่อคนหูหนวกแห่งชาติ ของอังกฤษ ได้ออกคำเตือนทางเว็บไซด์บอกกล่าวเตือนบรรดาเด็กวัยรุ่นทั้งหลายให้ตระหนักถึงอันตรายดังกล่าว และได้เรียกร้องบรรดาผู้ผลิตเครื่องฟังเพลงดิจิตอลต่างๆ ว่าไม่ควรจะผลิตเครื่องเล่นเพลงที่เปิดให้ดังในระดับเกินกว่า 90 เดซิเบลขึ้นไป [/SIZE]<CENTER></CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[SIZE=-1]วันที่ลงบทความ : [/SIZE][SIZE=-1]20 ธ.ค 49 10:37[/SIZE]
    </TD></TR><TR><TD><TABLE borderColor=#eeeeee cellSpacing=0 width="80%" align=center border=1><TBODY><TR></TR></TBODY></TABLE><!---attached file --><!--- attached file ---><!---attached file --><!--- attached file ---></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    พระพิมพ์จิตลดานั้น แบบพิมพ์ที่สร้างขึ้นครั้งแรกสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 ครับ ผมเองมีพระพิมพ์จิตลดาอยุ่ 6 เนื้อ แต่จริงๆจะมีมากเนื้อกว่านี้ครับ

    ในหลวงท่านนำแบบจากในสมัยก่อนมาสร้างลักษณะล้อพิมพ์ขึ้น แต่ในหลวงท่านเป็นผู้ที่ตั้งชื่อพิมพ์ว่าพิมพ์จิตลดา แต่ในสมัยก่อนไม่มีชื่อพิมพ์ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2007
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]

    http://www.redcross.or.th/pr/pr_news.php4?db=3&naid=902

    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD><CENTER>[SIZE=+2]ควันธูปเทียนมีสารก่อมะเร็งเนื้อร้ายสูดหายใจอาจจะเป็นอันตรายกับปอด[/SIZE] </CENTER></TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>[SIZE=-1][/SIZE][SIZE=-1]นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยมาสสทริชต์ของเนเธอร์แลนด์ ได้พบในการศึกษาว่า ธูปและเทียนที่จุดเอาไว้อาจจะปล่อยฝุ่นละอองที่อาจก่อมะเร็งออกมาในระดับอันตรายได้
    รายงานการศึกษาซึ่งเปิดเผยในวารสารการแพทย์ \"โรคระบบทางเดินหายใจยุโรป\" กล่าวว่า \"ในโบสถ์ที่จุดเทียนเอาไว้ทั้งวันเราได้พบปริมาณฝุ่นละอองเล็กจิ๋วเหล่านั้น ลอยอยู่หนาแน่นยิ่งกว่าตามถนนที่มีรถราคับคั่งมากประมาณถึง 20 เท่า ซึ่งไม่น่าเชื่อว่ามันจะมีปริมาณสูงขนาดนี้ ด้วยเหตุว่าในฝุ่นละอองเหล่านี้ มีอนุภาคพีเอ็ม 10 ซึ่งอาจจะหายใจเข้าไปและอาจเป็นอันตรายได้ปนอยู่ด้วย จึงเห็นว่าควรแจ้งให้ได้ทราบกันไว้\"
    คณะนักวิจัยยังกล่าวว่า \"ทั้งยังได้พบสารระเหยไฮโดรคาร์บอนก่อมะเร็งและสารอนุมูลอิสระที่ไม่รู้จักอีก 2-3 ชนิด ในควันของธูปและเทียนที่จุดอยู่ซึ่งปรมาณูของสารอนุมูลอิสระ อาจเป็นตัวก่อและเลี้ยงมะเร็งได้ จริงอยู่สำหรับศาสนิกชนที่วไป ที่ไปโบสถ์เป็นครั้งเป็นคราว อาจจะสร้างความรำคาญให้ได้แต่สำหรับผู้ที่ต้องอยู่ประจำ ตั้งแต่พระและนักบวชกับผู้ที่มีหน้าที่อื่น อาจจะเสี่ยงอันตรายได้\"
    ทางฝ่ายสมาคมแพทย์โรคทรวงอกของอังกฤษ ได้แสดงความเห็นว่า พวกอนุภาคที่เป็นมลพิษไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ภายในหรือนอกอาคารสถานที่ก็ล้วนแต่ก่ออันตรายได้ทั้งนั้น โดยมักอาจจะทำให้ปอดผิดปกติ ทำให้เป็นโรคของระบบทางเดินหายใจ อย่างเช่น โรคถุงลมปอดโป่งพองและโรคของระบบทางเดินหายใจ [/SIZE]<CENTER></CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[SIZE=-1]วันที่ลงบทความ : [/SIZE][SIZE=-1]18 ธ.ค 49 11:17[/SIZE]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]

    http://www.redcross.or.th/pr/pr_news.php4?db=3&naid=896
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD><CENTER>[SIZE=+2]สัญญาณเตือนว่าคุณอาจเป็นมะเร็ง[/SIZE] </CENTER></TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>[SIZE=-1][/SIZE][SIZE=-1]การตรวจสุขภาพเป็นประจำก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เราสามารถเฝ้าระวังสุขภาพของเราจากโรคร้ายที่รุนแรงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นภัยเงียบที่แอบคร่าชีวิตผู้คนแบบไม่ทันให้ตั้งตัวมาแล้วหลายราย
    เพื่อความไม่ประมาทเราจึงควรหมั่นสำรวจตรวจตรา รวมถึงสังเกตสุขภาพร่างกายตัวเองอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่มองข้ามแม้ความผิดปกติเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจลุกลามกลายเป็นมะเร็งได้อย่างไร
    จึงถึงทุกวันนี้แพทย์ก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้แน่นอนว่ามะเร็งเกิดขึ้นจากสาเหตุใดกันแน่ แต่ที่แน่ๆมะเร็งไม่ใช่โรคติดต่อและเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคนี้ก็มีอยู่ด้วยกันหลายประการซึ่งได้แก่
    1. ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย แต่ละคนมีระบบภูมิคุ้มกันมากน้อยแตกต่างกัน แต่เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันมะเร็ง มะเร็งก็จะเกิดขึ้นได้
    2. กรรมพันธุ์ เครือญาติที่มีสายเลือดเดียวกันมีโอกาสที่จะป่วยเป็นมะเร็งเหมือนๆกัน
    3. เชื้อชาติ มะเร็งบางชนิดพบมากในคนบางเชื้อชาติ เช่น มะเร็งกระเพาะอาหารพบมากในคนญี่ปุ่น มะเร็งโพรงจมูกพบมากในชาวจีน และสำหรับคนไทยนั้น มะเร็งตับมาเป็นอันดับหนึ่ง
    4. เพศ มะเร็งบางชนิดพบมากในเพศชายมากกว่าเพศหญิง เช่น มะเร็งตับ มะเร็งปอด ขณะที่เพศหญิงจะพบมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งเต้านมเป็นส่วนใหญ่
    5. อายุ มะเร็งหลายชนิดมักพบในคนที่อายุมากแล้ว แต่ก็มีมะเร็งบางชนิดพบได้แม้ในเด็กเล็ก เช่นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ฯลฯ
    6. สารเคมี องค์การอนามัยโลกรายงานว่ามีสารเคมีจำนวนมากถึง 450 ชนิด ที่สามารถก่อให้เกิดมะเร็งได้ โดยสารเหล่านี้อาจแฝงตัวมากับธรรมชาติและมาในรูปของเครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆไม่ว่าจะเป็นสีผสมอาหาร สารปรุงแต่งกลิ่นรส สารถนอมอาหาร อาหารหมักดอง อาหารที่ขึ้นรา อาหารที่รมควันหรือย่างจนไหม้เกรียม ยารักษาโรคที่มีสารอันตรายเป็นส่วนผสม ยาฆ่าแมลงต่างๆรวมไปถึงมลภาวะที่แวดล้อมตัวเราอยู่
    7. ฮอร์โมน มะเร็งบางชนิดสัมพันธ์กับระดับของฮอร์โมนเพศหญิง หรือฮอร์โมนเพศชาย และโดยมากฮอร์โมนเหล่านี้มักจะมาในรูปของยารักษาโรค
    8. เชื้อโรค ปัจจุบันมีหลักฐานบ่งชี้ที่แน่ชัดว่าเชื้อไวรัส "พาพิลโลมา" เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับเซลล์ที่นังปากมดลูก นอกจากนี้เชื้อราซึ่งชอบขึ้นในอาหารประเภทถั่ว ข้าวและมันสำปะหลังก็สร้างสาร "อะฟลาท๊อกซิน" ที่ก่อให้เกิดมะเร็งตับได้ รวมถึงพยาธิใบไม้ซึ่งพบในเนื้อสัตว์ที่ปรุงแบบสุกๆดิบๆก็มีส่วนทำให้เกิดมะเร็งตับได้เช่นกัน
    อย่างไรก็ตามสารต่างๆที่ทำให้เกิดมะเร็งซึ่งได้กล่าวถึงเป็นเพียงปัจจัยส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมให้โอกาสเกิดมะเร็งเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น โดยร่างกายจะต้องได้รับมาสะสมไว้ในปริมาณค่อนข้างมากเป็นเวลานาน ที่สำคัญใครจะป่วยเป็นมะเร็งหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับภูมิานทานของร่างกายและสภาพแวดล้อมที่ประจวบเหมาะ ดังนั้นเราไม่ควรวิตกกังวลจนเกินกว่าเหตุ ในกรณีที่ชีวิตประจำวันของเราอาจจะบังเอิญได้รับสารต่างๆเหล่านั้นบ้างเป็นครั้งคราว
    สัญญาณเตือนของมะเร็ง ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการไม่ชอบมาพากลดังนี้
    1. น้ำหนักลดฮวบฮาบหลายกิโลกรัมโดยไม่ทราบสาเหตุ
    2. เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างกับเต้านมของคุณ เช่นคลำพบก้อนแข็งๆขึ้นในเต้านม มีเลือดหรือน้ำเหลืองไหลซึมออกจากหัวนม
    3. มีอาการคันหรือระคายเคืองบริเวณอวัยวะเพศ ตกขาวมีกลิ่นผิดปกติ เจ็บปวดท้องน้อยหรือมีเลือดออกทางช่องคลอดหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หรือเลือดออกมามากผิดปกติในช่วงที่มีรอบเดือนหรือหลังจากหมดรอบเดือนไปแล้ว
    4. รู้สึกกระหายน้ำบ่อยโดยไม่มีเหตุผล
    5. หน้ามืดและเวียนศรีษะบ่อย
    6. เกิดการเปลี่ยนแปลงกับไฝ หูดหรือปานบนผิวหนัง เช่น สีเปลี่ยนไป ขนาดโตขึ้น คัน หรือมีเลือดไหลซึมออกมา นอกจากนี้เนื้องอกผิดปกติที่เกิดขึ้นบนผิวหนังก็อาจพัฒนากลายเป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็งได้
    7. เสียงแหบแห้งนานเกิน 3 สัปดาห์ ไอเรื้อรังและเสมหะมีเลือดปน
    8. เจ็บแน่นหน้าอกและหอบเหนื่อยง่าย
    9. ใบหน้า คอ หรือท้องบวม
    10. ต่อมน้ำเหลือง โดยเฉพาะบริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบ โตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
    11. รู้สึกอ่อนเพลีย ผิวพรรณซีดเซียว หรือผิวเป็นจ้ำช้ำเลือดง่าย
    12. เวลามีบาดแผล เลือดจะหยุดไหลยากและแผลหายช้าอย่างผิดสังเกต
    13. ท้องผูกหลายวัน หรือท้องผูกสลับกับท้องเสียบ่อยๆ และถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือด
    14. มีอาการอึดอัดแน่นท้อง เพราะอาหารไม่ย่อยบ่อยๆ
    15. กลืนอาหารลำบาก เพราะเจ็บเหมือนมีก้างติดคอตลอดเวลา
    16. ปวดศรีษะรุนแรง หรือปวดมากจนผิดปกติเป็นครั้งแรก
    17. ปวดขาหรือปวดหลังโดยไม่ทราบสาเหตุและปวดบ่อยมาก
    18. รู้สึกหนาวๆร้อนๆ มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน และใจสั่น
    วิธีป้องกันมะเร็งแบบง่ายๆ
    - ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และไม่อยู่ใกล้คนสูบบุหรี่
    - ไม่กินอาหารปรุงไม่สุก และหลีกเลี่ยงอาหารปิ้งๆย่างๆ
    - กินผักผลไม้สดเสมอ
    - ตรวจร่างกายเป็นประจำ
    ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์มติชน [/SIZE]<CENTER></CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[SIZE=-1]วันที่ลงบทความ : [/SIZE][SIZE=-1]15 ธ.ค 49 16:17[/SIZE]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    *************************************************

    http://www.redcross.or.th/pr/pr_news.php4?db=3&naid=900
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD><CENTER>[SIZE=+2]"ไตรโคซาน" ภัยร้ายที่แฝงมาในสบู่และยาสีฟัน[/SIZE] </CENTER></TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>[SIZE=-1][/SIZE][SIZE=-1]จากที่เคยมีข่าวจากหนังสือพิมพ์อีฟนิ่ง สแตนดาร์ดนิวส์ ประเทศอังกฤษ รายงานว่านักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาเตือนรัฐบาลทั่วโลกให้เร่งตรวจสอบสินค้าอุปโภคประเภทยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก น้ำยาล้างจาน และสบู่ซึ่งมีส่วนผสมของสารต่อต้านแบคทีเรีย “ไตรโคซาน” ภายหลังจากวิจัยแล้วพบว่าสารไตรโคซานที่ผสมอยู่ผลิตภัณฑ์หลายยี่ห้อ เมื่อทำปฏิกิริยากับน้ำประปาผสมคลอรีนในประเทศอังกฤษจะส่งผลให้เกิดก๊าซคลอโรฟอร์ม ถ้าร่างกายได้รับก๊าซชนิดนี้เข้าไปมากๆ อย่างต่อเนื่องผ่านการหายใจ หรือผ่านการดูดซึมทางผิวหนัง อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดป่วยซึมเศร้า โรคตับหรือร้ายแรงถึงขั้นเป็นมะเร็ง ข่าวนี้จึงเป็นที่น่าสนใจในกลุ่มผู้บริโภคว่าผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไตรโคซานจะมีความปลอดภัยกับผู้บริโภคหรือไม่

    เนื่องจากการศึกษาวิจัยดังกล่าวเป็นการทดลองในห้องปฏิบัติการ ปฏิกิริยาที่ก่อให้เกิดเป็นคลอโรฟอร์มนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ความเข้มข้นของไตรโคซานในผลิตภัณฑ์ ความเข้มข้นของคลอรีนในน้ำ ความเป็นกรด-ด่าง รวมทั้งอุณหภูมิของน้ำจึงไม่อาจสรุปได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไตรโคซานจะก่อให้เกิดอันตรายกับผู้บริโภค

    แต่ขณะเดียวกันประเทศไทย ยังมีการอนุญาตให้ใช้สารดังกล่าวอยู่ โดยจัดอยู่ในประเภทเครื่องสำอาง ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบอ้างว่ายังไม่สามารถหาข้อสรุปที่ชัดเจนได้ว่าสารดังกล่าวก่อให้เกิดมะเร็งจริง จึงยังคงอนุญาตให้ใช้ แม้แต่ประเทศในกลุ่มอียูก็ยังอนุญาตให้ใช้สารดังกล่าวอยู่เนื่องจากหลักฐานไม่ชัดเจน แต่ทั้งนี้ทางหน่วยงานที่รับผิดชอบได้สั่งให้ตรวจสอบข้อมูลการใช้สารดังกล่าวในประเทศไทยแล้วว่ามีผลิตภัณฑ์ใดบ้างที่ใช้สารชนิดนี้ เบื้องต้นจากการทบทวนข้อมูลต่างๆแล้วพบว่ายังไม่น่าตกใจเท่าไร

    เป็นที่น่าสังเกตว่าในขณะที่ทั่วโลกตื่นตระหนกกับอันตรายที่มากับสารไตรโคซานแต่ประเทศไทยกลับเห็นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นโดยเฉพาะหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงกลับเพิกเฉยต่อปัญหาดังกล่าว หากปล่อยปละละเลยให้เป็นเช่นนี้ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือผู้บริโภคนั่นเอง

    แต่เราในฐานะผู้บริโภคสามารถเริ่มต้นระแวดระวังภัยจากไตรโคซานได้ง่ายๆด้วยตนเองโดยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมาจากสารสกัดธรรมชาติ ซึ่งปัจจุบันมีหลากหลายยี่ห้อให้เลือกใช้และประสิทธิภาพไม่แพ้ผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศด้วยเช่นกัน หรืออีกแนวทางหนึ่งคือกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาอ่านฉลากสินค้าก่อนการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ โดยศึกษาสรรพคุณรวมถึงส่วนผสมที่นำมาใช้อย่างละเอียด เพื่อจะได้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์อย่างฉลาดซื้อมากขึ้น

    ปฏิเสธไม่ได้ว่า อัตราความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ในปัจจุบันมีสูงมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะโรคมะเร็งไม่ว่าจะเป็นมะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด ฯลฯ แต่ในวันนี้เราสามารถเลือกที่จะป้องกันตนเองด้วยการสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อให้ชีวิตที่ยืนยาวได้และใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าอย่างมีความสุขต่อไป [/SIZE]<CENTER></CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[SIZE=-1]วันที่ลงบทความ : [/SIZE][SIZE=-1]18 ธ.ค 49 08:45[/SIZE]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ********************************************

    http://www.redcross.or.th/pr/pr_news.php4?db=3&naid=895
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD><CENTER>[SIZE=+2]การเลือกซื้อเครื่องดื่มน้ำผลไม้[/SIZE] </CENTER></TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>[SIZE=-1][/SIZE][SIZE=-1]ในปัจจุบันพบว่ามีการจำหน่ายเครื่องดื่มน้ำผลไม้ทั้งบรรจุในขวดพลาสติก ขวดแก้วพร้อมจำหน่ายวางขายตามตู้แช่ในร้านค้าทั่วไป สามารถหาซื้อได้ง่าย ถ้าน้ำผลไม้เหล่านี้ผลิตและบรรจุขวดอย่างสะอาดถูกสุขลักษณะใหม่สดทุกวันก็จะมีประโยชน์ต่อผู้บริโภค แต่ถ้าหากการเตรียมโดยไม่ถูกสุขลักษณะ ก็อาจเกิดการปนเปื้อนโดยเชื้อจุลินทรีย์ทำให้ผู้บริโภคเกิดอันตรายได้

    ในการเลือกซื้อเครื่องดื่มน้ำผลไม้ จะต้องเลือกซื้ออย่างระมัดระวัง ซึ่งจะมีข้อสังเกต ดังนี้ คือ

    1. น้ำผลไม้ในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท ต้องได้รับเครื่องหมายรับรองจาก อย. และจะต้องสังเกตรายละเอียดบนฉลาก ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 68 ( พ.ศ. 2525 ) ซึ่งฉลากต้องมีข้อความภาษาไทยแต่จะมีภาษาอังกฤษก็ได้ และต้องมีข้อความแสดงรายละเอียด ชื่ออาหาร ชื่อและที่ตั้งผู้ผลิต ส่วนประกอบที่สำคัญ ปริมาตรสุทธิ วันเดือนปีที่ผลิต หรือวันเดือนปีที่หมดอายุ เลขทะเบียนตำรับอาหาร เป็นต้น นอกจากนี้แล้วควรสังเกตลักษณะของภาชนะบรรจุและตัวผลิตภัณฑ์ด้วย ภาชนะบรรจุต้องสะอาด ไม่มีคราบสกปรก ไม่บุบไม่บู้บี้ ฝาปิดสนิท ภาชนะไม่รั่วซึม ลักษณะของเครื่องดื่ม ไม่มีสี กลิ่น รส ผิดปกติ
    2. น้ำผลไม้สดที่ผลิต จำหน่ายโดยไม่ผ่านความร้อนและไม่ได้บรรจุในภาชนะที่ปิดสนิท ควรทำมาจากผลไม้ที่สด สะอาดและมีคุณภาพดี ควรผลิตวันต่อวัน และควรบริโภคให้หมดทันที เพราะถ้าบริโภคน้ำผลไม้สดที่ค้างไว้นานปริมาณคุณค่าทางอาหารจะลดน้อยลง และอาจมีเชื่อจุลินทรีย์ปนเปื้อน ทำให้เกิดอันตรายได้

    ที่มา www.foodsan.anamai.moph.go.th [/SIZE]<CENTER></CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[SIZE=-1]วันที่ลงบทความ : [/SIZE][SIZE=-1]15 ธ.ค 49 09:14[/SIZE]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sodalith [​IMG]
    [​IMG]

    สงสัยนิดครับ
    พระพิมพ์จิตรลดา เป็นพระที่ในหลวงเราสร้างขึ้น
    แล้วทำไมพิมพ์นี้จึงไปโผล่ในยุคก่อนในหลวงสร้าง ละครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    บอกเพิ่มอีกหน่อย พระพิมพ์จิตลดาที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้น บางพิมพ์ก็นำพระธาตุไปเป็นมวลสารด้วยก็มี บางพิมพ์เป็นเนื้อว่านบุเงินก็มี

    เรื่องของพระผู้เสก บางพิมพ์หลวงปู่อิเกสาโรเสก บางพิมพ์หลวงปู่พระอุตรเสก บางพิมพ์หลวงปู่อิเกสาโรและสมเด็จพระพุฒาจารย์โตเสก
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]
     
  12. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    เวียงกาหลง พิศวงเครื่องถ้วยล้านนา
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message --><TABLE id=Table8 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD align=left width=155 height=42><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TR><TD class=message-copyright vAlign=top align=middle height=10>คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR><TR><TD style="HEIGHT: 2px" vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle bgColor=#fbe5f2 height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle bgColor=#fbe5f2 height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle bgColor=#fbe5f2 height=20></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR><TR><TD class=message-normal vAlign=top align=middle height=10><SCRIPT>// URLs of slidesvar slideurl = new Array('http://ads.dailynews.co.th/news/images/2007/variety/1/6/113083_43780.jpg','http://ads.dailynews.co.th/news/images/2007/variety/1/6/113083_43781.jpg','http://ads.dailynews.co.th/news/images/2007/variety/1/6/113083_43782.jpg') ;// Comments displayed below the slidesvar slidecomment = new Array('','','');var picNo = new Array('0','1','2');var i;var j;var picturecontent=''function poppic(ncId,NewsType,picNum){window.open('/dailynews/pages/front_th/popup_news/popup_news_popuppic.aspx?ncId=' + ncId + '&NewsType=' + NewsType + '&picNum='+picNo[picNum],'','menubar=no,toolbar=no,location=no,directories=no,status=no,scrollbars=yes,resizable=yes,dependent,,');}function createtable(){picturecontent ='<table width=100% cellSpacing=5 cellPadding=0 border=0>' ;for (i=0;i<=(slideurl.length-1);i++) {picturecontent +='<tr>' ;picturecontent +='<td vAlign=top align=center>' ;picturecontent += '';picturecontent += '[​IMG]' ;picturecontent += '</td>' ;picturecontent +='</tr>' ;picturecontent +='<tr>' ;picturecontent += '<td bgcolor=#fbe5f2 class=messageblack vAlign=middle align=center height=20>' ;picturecontent+=slidecomment ;picturecontent +='</td>' ;picturecontent +='</tr>' ;}picturecontent+='</table>' ;hlblTable.innerHTML=''+picturecontent+'';}</SCRIPT>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top align=left width=11 background=/dailynews/images/front_th/bkk_local/bg_dot_up.gif height=42></TD><TD class=messageblack width="100%" height=42><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD class=headline-normal>[​IMG] เวียงกาหลง พิศวงเครื่องถ้วยล้านนา</TD></TR><TR vAlign=top align=left><TD class=messageblack>สวัสดีปีหมู ลาทีปีหมา หมูไปไก่มา เป็นความหมายถึงการแลกเปลี่ยนสิ่งของ หรือสินค้า หรือผลประโยชน์ ซึ่งมีต่อกันทั้งสองฝ่าย โดยเป็นระบบการค้าขายแลกเปลี่ยน ก่อนจะมีสื่อกลาง เช่น เงินตรา หรือเงินตีตรา เป็นระบบแลกเปลี่ยนในอดีตจวบจนปัจจุบัน และก็คงมีอยู่ต่อไปตราบเท่ายังมีการติดต่อค้าขาย แต่ก็เป็นเรื่องเศร้าประจำปีหมาโหด ที่กลุ่มเสียประโยชน์สุดชั่ว มั่วระบอบประชาธิปไตย ที่หน้ามืดตามัว ไม่กลัวบาปทำการวางระเบิด จนคนดี ๆ บาดเจ็บล้มตาย ทั้งที่ไม่ได้มีผิดอะไรต้องมาเดือดร้อนไปพร้อมหน้าพร้อมตากัน ถ้าบาปบุญมีจริงขอให้วายร้ายมันตายแบบ “จิวยี่” รู้แล้วรู้รอดไป.....!

    หมาไปหมูมา นับเป็นการเปลี่ยนปีเปลี่ยนศักราชใหม่ ซึ่งความจริงคงจะต้องเป็นเดือนเมษายน ตามหลักโหราจารย์ ในวิชาโหราศาสตร์ไทย ซึ่งปีนี้ปีกุน นพศกจุลศักราช ๑๓๖๙ พุธศักราช ๒๕๕๐ คริสต์ศักราช ๒๐๐๗ อธิกมาสปกติวาร ปกติสุรทิน วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๐ เป็นวันมหาสงกรานต์ ซึ่งตรงกับวันเสาร์ แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๕ เวลา ๑๒ นาฬิกา ๔๓ นาที ๑๒ วินาที แต่จากการคำนวณทางดาราศาสตร์ปัจจุบัน ดวงอาทิตย์โคจรสู่ราศีเมษ วันเสาร์ที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๐ เวลา ๑๔.๑๙ น. ซึ่งเป็นเวลาห่างกันไม่มากนัก

    นางสงกรานต์ทรงนามมโหธรเทวี ทรงพาหุรัตน ทัดดอกสามหาว (ไม่รู้ดอกอะไร) แก้วนิลรัตน์ เป็นอาภรณ์ ภักษาหารเนื้อทราย พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล เสด็จนั่งบนหลังนกยูง

    เถลิงศกนั้นขึ้นจุลศักราช ๑๓๖๙ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๐ เวลา ๑๖ นาฬิกา ๔๐ นาที ๔๘ วินาที ปีนี้ตามกาลโยค วันอาทิตย์ธงชัย วันจันทร์อธิบดี วันเสาร์อุบาทว์ วันพุธโลกาวินาศ ที่กล่าวมายืดยาดมากเรื่อง ก็แอบฉกมาจากปฏิทินโหราศาสตร์ไทยของ พ.อ.สุชาติ ศุภประเสริฐ นั่นเอง เพื่อเป็นของแถมทางสติปัญญาเป็นของขวัญในปีหมูนั่นเอง

    จริงแท้แน่แล้ว เครื่องถ้วยเวียงกาหลงนี้ คนพบมานานนักหนา แต่กลับหึ่งกันในปีสองปีนี้เอง ทั้งนี้อาจจะเป็นสงครามวัตถุดิบระหว่างกลุ่มธุรกิจในพื้นที่ แต่ไม่ใช่เรื่องของผู้เขียนจะกล่าวถึง แต่จะกล่าวและอ้างถึงเรื่องราวในอดีตที่มารับใช้ปัจจุบันกันต่างหาก

    เพื่อทำความรู้จักและง่ายขึ้น ขอแนะนำเรื่องราวของอาณาจักรล้านนา ซึ่งปัจจุบันครอบครองจังหวัดภาคเหนือตอนบนถึง ๘ จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน และแม่ฮ่องสอน

    ล้านนามีประวัติศาสตร์ยาวนาน ตั้งแต่มีมนุษย์ป่า มนุษย์ถ้ำ หรือยุคก่อนประวัติศาสตร์นั่นเอง และมาเด่นชัดในยุคมีกษัตริย์ปกครอง เป็นแว่นแคว้นสร้างบ้านแปลงเมือง เป็นนครรัฐในที่สุด

    หากนับจากพญามังราย เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์มังราย ได้ก่อตั้งอาณาจักรขึ้น โดยสถาปนาเวียงกุมกาม (ปัจจุบันเป็นเขตแดนต่อจังหวัดลำพูน อยู่ในอำเภอสารภี จังหวัดเชียง ใหม่) ริมฝั่งแม่ระมิงค์ เมื่อ พ.ศ. ๑๘๓๗ ซึ่งต่อมาได้ทรงสร้างและสถาปนานครเชียงใหม่ ขึ้นเป็นเมืองหลวงใหม่ ในปี พ.ศ. ๑๘๓๙ ซึ่งเป็นเวลาร่วมสมัยกับกรุงสุโขทัย ในสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช (๑๘๒๐-๑๘๖๐)

    ฐานะและตัวตนของอาณาจักรล้านนา เมื่อแรกสถาปนานั้น อยู่ในระดับเดียวกันกับรัฐสุโขทัย นอกจากความสัมพันธ์ในฐานะศิษย์อาจารย์เดียวกันแล้ว การร่วมเป็นพันธมิตรระหว่างพญามังรายและพระเจ้ารามคำแหงมหาราช ยังเป็นพลังสำคัญทางรัฐศาสตร์การเมืองที่สำคัญทางการเมืองในยุค “พ่อกูชื่อ ศรีอินทราทิตย์” อีกด้วย

    เมื่อพญามังรายทรงมีพระราชดำริ สถาปนาเมืองเชียงใหม่ก็ได้อัญเชิญให้พระยาร่วงหรือพ่อขุนรามคำแหงมหาราช แห่งรัฐสุโขทัยมาพร้อมกับพญางำเมือง แห่งเมืองพะเยา ซึ่งเป็นสหายกันและมิตรที่ดีต่อกันเสมอมา เพื่อปรึกษาในการนั้น

    ราชวงศ์มังราย (พ.ศ. ๑๘๓๙-๒๑๐๑) ได้ครอบครองอาณาจักรล้านนานาน กว่า ๒๕๐ ปี มีกษัตราและกษัตริย์ถึง ๑๘ พระองค์ จนนครเชียงใหม่ตกเป็นเมืองขึ้น ของพม่าในสมัยพระเจ้าบุเรงนอง ใน พ.ศ. ๒๑๐๑

    มีผลให้อาณาจักรล้านนาเป็นเมืองขึ้นของพม่าอยู่ถึงสองร้อยกว่าปี (พ.ศ. ๒๑๐๑-๒๓๑๗) ซึ่งระยะเวลาดังกล่าวเป็นระยะเวลาที่เวียงกาหลงได้ผลิตเครื่องถ้วยออกจำหน่ายและส่งออกไปทางด้านเหนือ ถึงอ่าวเมาะตะมะ

    และในต้นยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. ๑๙๒๙ เมื่อเจ้าเมืองเชียงรายยกทัพมาตีเชียงใหม่ไม่สำเร็จได้มาขอความช่วยเหลือจากสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (ขุนหลวงพงั่ว) แห่งกรุงศรีอยุธยา ได้ยกทัพขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่แต่ไม่สำเร็จ

    ในทางตรงกันข้ามในสมัยพญาติโลกราช แห่งราชวงศ์มังราย (๑๙๘๔-๒๐๓๐) ผู้ทรงอำนาจทรงมีความเข้มแข็งมาก ก็ได้ขยายอำนาจสู่ด้านใต้ทำสงครามกับอยุธยาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถติดต่อกันนานถึง ๒๔ ปี !

    แต่ทางสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถก็เข้มแข็งมาก ทัพฝ่ายเหนือมิอาจเอาชนะได้จนเหนื่อยเมื่อยล้ายุติกันไปทั้งคู่ เมื่อ พ.ศ. ๒๐๑๘

    ในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี นับเป็นยุคมหาสงครามอีกยุคหนึ่งที่ประวัติศาสตร์ไทยต้องศึกษาและจดจำไว้ว่าล้านนาเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อไทย และร่วมกันขับไล่พม่าออกไปจนสำเร็จ และล้านนาก็เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรสยามนับแต่นั้นมา

    เท่าที่กล่าวมายืดยาวนั้นก็เพื่อว่าท่านที่สนใจในประวัติศาสตร์ล้านนา ก็พอจะสรุปการแบ่งเลาความเจริญและความเสื่อมของล้านนาได้คล่องตัวขึ้น มิได้มีความหมายต้องมาเรียนวิชาประวัติศาสตร์ล้านนาแต่ประการใด แต่ถ้าไม่กล่าวถึงเสียบ้างก็ดูจะเลื่อนลอยเกินไปจนเป็นนิยายปรัมปราไป ซึ่งนิยายเหล่านี้ย่อมเชื่อมโยงความเชื่อของศาสนา และระบอบความเชื่อแห่งยุคสมัยของสังคมนั้น จนอาจหาที่สิ้นสุดแห่งตัวตนมิได้

    พระยานครพระราม หรือสวัสดิ์มหากายี ท่านเป็นคนกรุงเทพฯ ย่านเดิมอยู่แถวบางรัก เป็นคนในสมัยรัชกาลที่ ๕ นับเป็นผู้ที่มีความสนใจในการศึกษาเครื่องถ้วยเวียงกาหลงเป็นคนแรก ๆ เป็นข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ๓๑ ปี และออกจากราชการเมื่ออายุ ๔๙ ปี และสนใจเครื่องสังคโลกไทย ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๕ เมื่อคราวเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสวรรคโลก มักต้องรับแขกชาวต่างประเทศ และอธิบายเรื่องต่าง ๆ ของประวัติศาสตร์เมืองสวรรคโลก รวมทั้งเตาเผาเครื่องสังคโลกให้แขกคนสำคัญฟังอยู่เสมอ จึงจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลา อีกทั้งเป็นคนมีใจรักเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวด้วย

    เวียงกาหลง อยู่ห่างจากเมืองพะเยาไม่มากนัก ได้พบซากเตาทำเครื่องถ้วยชามทำนองเดียวกันกับเครื่องถ้วยที่สวรรคโลก มีห้วยกาหลง ซึ่งตรงกับลำน้ำกาหลงในเรื่องพระลอ วรรณกรรมสำคัญของมณฑลพายัพ ปัจจุบันเวียงกาหลงอยู่ที่ตำบลเวียงกาหลง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ห่างจากเตาวังเหนือจังหวัดลำปาง ไม่ถึง ๓ ก้าว เพียงมีห้วยเล็ก ๆ คั่นอยู่เท่านั้นเอง แต่ในทางวัฒนธรรมนั้นถือได้ว่าเป็นชุมชนกลุ่มเดียวกันที่มีความเชื่อพื้นฐานทางด้านศาสนาและคติธรรมอย่างเดียวกันกับชุมชนหมู่เหล่าทำเครื่องปั้นดินเผาเดียวกัน มิอาจแบ่งแยกกันได้ แต่ที่แบ่งว่าเตาวังเหนือกับเตากาหลงนั้นด้วย แบ่งด้วยเส้นแบ่งเขตทางภูมิศาสตร์ในปัจจุบันเท่านั้นเอง สำหรับสกุลช่างและวัฒนธรรมเป็นอย่างเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน

    สำหรับลักษณะรูปทรงทั่วไปของผลิตภัณฑ์เวียงกาหลง จะเป็นเมื่อดินปั้นไฟแรงสูงมีทั้งชนิดเคลือบใส เคลือบขุ่น เคลือบเขียวขุ่น เคลือบเซาลาดอน (เขียวอย่างจีน) ชนิดเขียนสีใต้เคลือบ เช่นเดียวกับของจีน สมัยราชวงศ์สุ้งและหยวน ของเตาสือโจ้ว และบางใบก็มีส่วนของเตาของทางเวียดนาม แต่ลายส่วนใหญ่เป็นลายรูปพืชพันธุ์ต้นไม้น้ำ จำพวกสาหร่าย ลายใบไม้ และดอกไม้พื้นเมือง ลายปลา ลายหงส์ บางครั้งพบตัวอักษรคล้ายตัว “หอหีบใส่ผ้า” บ้างทำเป็นรูปสัตว์ ตัวม้าขุน เบี้ยของการเล่นหมากฮอส ซึ่งการเคลือบสีเขียว และเขียนลายใต้เคลือบนั้น เผาอยู่ในเตาและสมัยเดียวกัน แยกไม่ออกว่าใครเผาก่อนทำก่อน นอกจากนี้ยังพบรูปตัวสัตว์ เช่น วัว ช้าง นก หงส์ เต่า ของใช้ก็จะพบพวก กระปุก ขวด จาน ชาม และของใช้เล็กน้อยจำพวกตะคัน ตามไฟบูชาพระหรือเทวดา และที่สำคัญคือพระพุทธรูปแบบล้านนาเชียงแสนที่เรียกว่า “ช่างเชียงใหม่ หรือเชียงแสนสิงห์ ๓” นั่นเอง บางครั้งพบตัวอักษรอยู่ใต้ฐานพระ ซึ่งพอจำกำหนดอายุการสร้างได้อย่างแน่นอน คือราว พ.ศ. ๒๐๕๐ ไม่หลังไปกว่านี้ แต่จะก่อนนี้กี่ปีนั้นยังคงเป็นคำตอบที่รอคอยที่จะทำการตรวจพิสูจน์กันต่อไป เพราะในบางครั้งกาลเวลาและสถานการณ์เท่านั้น จะเป็นเครื่องตัดสินความถูกต้องตามความเป็นจริงที่ควรจะเป็น.
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ref.http://www.dailynews.co.th/dailynews...e=1&Template=2
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  13. อู๊ดลาดพร้าว

    อู๊ดลาดพร้าว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +262
    มีเรื่องรบกวนพี่ๆอีกแล้ว แรกๆก็ไม่เชื่อ แต่พยายามหาสาเหตุแล้วไม่เจอ เรื่องแบบนี้พอเกิดกับตัวเองก็แก้ไม่เป็นเหมือนกัน คือน้องสาวผมอายุ 20 ปี(น้องเมียอะ สวยดีแต่ไม่ได้คิดอะไร)เวลานอนผมก็บอกให้หันศรีษะไปทางทิศตะวันออก นอนมาปีกว่าแล้วไม่มีอะไร แต่มา2-3เดือนหลังนี้พอนอนหลับได้สักพักก็มีผู้หญิงแก่อายุสัก45-55 มาดึงขาบ้าง นอนข้างๆบ้าง เป็นยังงี้แทบทุกคืน บางคืนก็โดนจิกผม เป็นคนเดียวกันหมดเลย เวลาโดนมักจะประมาณตี3-6โมงเป็นระยะ พอหลับอีกก็โดนอีกรู้สึกตัวทุกครั้งแต่ขยับหรือทำอะไรไม่ได้ รอสักพักพยายามลุกมานอนกับพี่สาวอีกห้องก็โดนอีก และรู้สึกตัวมีสติทุกอย่าง คืนหนึ่งโดนประมาณ4-5รอบหลับเมื่อไรเป็นโดนแล้วทุกครั้งที่โดนก็จะมาเล่าให้ผมฟัง แรกๆผมก็ไม่เชื่อ ผมก็เลยเอาผ้ายันต์ของหลวงพ่ออุตตมะมาติดไว้หน้าห้อง
    แล้วเอาน้ำมนต์จากวัดพระแก้ววันงานปลุกเสกพระเบญจภาคีมาพรมให้ทั่วแล้วอาบ พร้อมกับให้พระนางพญา ส.ก ปี17 ที่หลวงปู่โต๊ะร่วมปลุกเสกตลอด7วันที่วัดบวร มาห้อยนอนทุกคืน แล้วก็ให้ไปทำบุญแผ่เมตตาถึงคนหรือผีที่มารังควาน เพื่อให้สบายใจพอผ่านไปสักอาทิตย์จนผมลืมไปแล้ว น้องก็โทรศัพท์มาบอกผมอีก บอกว่ามีอะไรวิ่งแปลบๆจากปลายขาแล้ววูปมาถึงสันหลังแล้วก็ขยับไม่ได้เหมือนเดิม มานอนข้างๆแล้วก็มีเสียงหัวเราะชอบใจ ก็พยามลุกหนีจากที่เคยนอนประจำมานอนกับพี่สาวก็โดนเหมือนเดิม ผมเลยไม่รูจะแก้ทางไหนแล้ว ก่อนนอนน้องก็สวดมนต์ด้วย ลำพังความรู้สึกผมไม่ค่อยกลัวหรอก ถ้ามาก็จะถามว่าต้องการอะไร ให้ช่วยอะไรมั้ย แต่น้องผมมันโดนบ่อยจนชินแล้วอยากจะถามแต่ขยับและพูดไม่ได้กลัวก็กลัว ไม่ได้นอนเลย
    หลับทีไรเป็นโดน พี่ๆพอจะแนะนำอะไรได้บ้างมั้ยครับ ผมสงสารน้องอะ นอนหลับไม่เป็นสุข ชีวิตไม่ปกติเลย สติและความคิดยังสมบูรณ์ดีทุกอย่างไม่น่าจะเกี่ยวกับสุขภาพเพราะแข็งแรงดี ฝากรบกวนพี่ๆช่วยหน่อยนะครับ
     
  14. อู๊ดลาดพร้าว

    อู๊ดลาดพร้าว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +262
    เพิ่มเติมน้องคนนี้อยู่ต่างจังหวัดนอนกับแม่ทุกคืนตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยห่างเลย จนมาเรียนต่อที่กรุงเทพได้ปีกว่า แล้วพักอยู่กับพี่สาว2คนแม่ก็ลงมาเยี่ยมเป็นระยะๆ ผมดูแล้วก็ไม่น่าจะคิดถึงแม่เวลานอนนะ เพราะเด็กก็โตเป้นผู้ใหญ่แล้ว
     
  15. Oddy99

    Oddy99 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +22
    สวัสดีครับ พี่ sithiphong<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_169555", true); </SCRIPT> ผม อ๊อดเพื่อนเอก หลานคุณตาประถมเองครับ ได้เข้ามาอ่านหลายครับ แล้วขอบคุณพี่มากครับที่ได้นำข้อมูลมีประโยชน์มาให้อ่านกัน แล้วอังคารหน้านี้พี่จะไปหาคุณตาไหมครับ ผมว่าจะไปด้วย
     
  16. Oddy99

    Oddy99 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +22
    ขออนุญาติโชว์พระสมเด็จฯกรมท่า บ้างด้วยครับ
    เบญจรงค์ และ สมเด็จลงรักและชาด ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. Oddy99

    Oddy99 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +22
    ผมมีพิมพ์ใหญ่ พระประทาน มีหน้ามีตา ไว้จะถ่ายรูปมาโชว์ด้วยนะครับ
     
  18. kaicp

    kaicp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +1,190
    คุณสิทธิพงษ์ ครับ

    ได้รับพระแล้ว ขอบคุณมาก
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    ปกติพี่จะไปหาท่านวันอาทิตย์ เพราะว่าทำงานกัน ไปกันแต่ละครั้งก็ไม่น้อยกว่า 7 คนขึ้นไปครับ

    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แสดงว่าเคยนำพระพิมพ์ที่มีพวกกระดูกผี หรือพวกคุณไสย์เข้ามาในบ้าน

    ลองพระพิมพ์ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสกสิครับ เคยมีผู้ที่โดนในลักษณะนี้มาแล้ว และทุกวันนี้เวลานอนจะห้อยพระหลวงปู่ติดคอไว้ตลอดครับ

    บ้านน้องสาวอยู่กรุงเทพหรือต่างจังหวัดครับ
    ผมขอเบอร์โทร.ผ่านข้อความส่วนตัวด้วยสิครับ เผื่อจะแนะนำอย่างอื่นได้
    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...