พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระเถระที่ปรากฏพระนามและนามในพระราชนิพนธ์ข้างต้นนี้ พระวชิรญาณะ คือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงประดิษฐานคณะธรรมยุต
    พระพรหมสระ คือ พระญาณรักขิต (สุข) เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส รูปแรก ภายหลังลาสิกขาและได้เป็นที่ พระธรรมการบดี
    พระธัมมสิริ คือ พระเทพโมลี (เอี่ยม) เจ้าอาวาสวัดเครือวัลย์รูปที่ ๒

    พระพุทธสิริ คือ สมเด็จพระวันรัตน์ (ทับ) เจ้าอาวาสวัดโสมนัสวิหาร รูปที่ ๑

    พระปัญญาอัคคะ คือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ผู้ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหารสืบต่อจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต เป็นพระองค์แรก
    พระธัมมรักขิตะ คือ พระครูปลัด ทัด วัดบวรนิเวศวิหาร ภายหลังลาสิกขาและได้เป็นที่ พระศรีภูริปรีชา
    พระโสภิตะ คือ พระศรีวิสุทธิวงศ์ (ฟัก) วัดบวรนิเวศวิหาร ภายหลังลาสิกขาและได้เป็นที่พระยาศรีสุนทรโวหาร
    พระพุทธิสัณหะ คือ พระอมรโมลี (นบ) เจ้าอาวาส วัดบุปผาราม รูปที่.....
    พระปุสสะ คือ เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (สา) เจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม รูปที่ ๑
    พระสุวัฑฒนะ คือ พระปลัดเรือง วัดบวรนิเวศวิหาร (๑๓)
    พระเถระ ๑๐ รูปนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงยกย่องในฐานะพระเถระผู้ใหญ่และเป็นที่ทรงปรึกษากิจแห่งคณะ ขณะเมื่อยังทรงผนวชอยู่ (๑๔)
    เมื่อสำนักวัดบวรนิเวศวิหารเจริญขึ้นแล้วพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัวได้ทรงส่งพระศิษย์หลวงเดิมออกไปตั้งสำนักสาขาขึ้นที่วัดอื่นอีกหลายวัด กล่าวคือ
    โปรดให้สมเด็จพระวันรัตน์ (ทับ พุทธศิริ) แต่ครั้งยังเป็นพระราชาคณะที่ พระอริยมุนี เป็นเจ้าสำนักวัดราชาธิวาส (วัดสมอราย)
    โปรดให้ พระญาณรักขิต (สุข พรหมสระเป็นเจ้าสำนักวัดบรมนิวาส (เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวัดนอก)
    โปรดให้ พระเทพโมลี (เอี่ยม ธัมมสิริ) แต่ครั้งยังเป็นที่พระรัตนมุนี เป็นเจ้าสำนักวัดเครือวัลย์
    โปรดให้ พระเมธาธรรมรส (ถิน) แต่ครั้งยังเป็นพระครูใบฎีกา เป็นเจ้าสำนักวัดพิชยญาติการาม
    โปรดให้ พระอมรโมลี (นบ) แต่ครั้งยังเป็นพระครูวินัยธร เป็นเจ้าสำนักวัดบุปผาราม
    ส่วนที่วัดบวรนิเวศวิหารจึงยังคงเหลือพระศิษย์หลวงเดิมที่เป็นกำลังสำคัญของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ แต่ครั้งยังมิได้ทรงกรม เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (สา) แต่ครั้งยังเป็น พระอมรโมลี พระศรีวิสุทธิวงศ์ (ฟัก โสภิโต) พระปลัดเรือง พระปลัดทัด (๑๕)

    จะเห็นได้ว่า เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ได้ทรงเป็นพระเถระที่เป็นกำลังสำคัญในคณะธรรมยุตมาตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม สถาปนาคณะและตลอดมาจนถึงวาระสุดท้ายแห่งพระชนมชีพ
    เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ หลังจากที่ได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะที่ พระอมรโมลีแล้ว ได้ลาสิกขาออกไปครองชีวิตฆราวาสอยู่ระยะหนึ่ง แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าทรงลาสิกขาในปีใด ครั้นถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดให้อุปสมบทใหม่ ที่วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อเดือน ๑๐ ปีกุน พ.ศ. ๒๓๙๔ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ แต่ครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระศรีวิสุทธิวงศ์ (ฟัก โสภิโต ซึ่งภายหลังลาสิกขาและได้เป็นที่พระยาศรีสุนทรโวหาร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    ในการอุปสมบทครั้งนี้ทรงมีพระชนมายุ ๓๘ ปี (๑๖) และทรงมีพระนามฉายาว่า ปุสฺสเทโว นัยว่าเมื่อทรงอุปสมบทครั้งที่ ๒ นี้ก็ได้ทรงเข้าแปลพระปริยัติธรรมอีกครั้งหนึ่ง และก็ทรงแปลได้หมดทั้ง ๙ ประโยคอีก ด้วยเหตุนี้เองจึงมักมีผู้กล่าวขวัญถึงพระองค์ด้วยสมญานามอันแสดงถึงพระ คุณลักษณะพิเศษนี้ว่า “สังฆราช ๑๘ ประโยค” ในเวลาต่อมา
    ในคราวอุปสมบทครั้งที่ ๒ นี้ เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ทรงเป็นพระอันดับอยู่ ๗ พรรษา ถึงปีมะแม พ.ศ. ๒๔๐๑ ในรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพระกรุณาโปรดแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะที่ พระสาสนโสภณ มีสำเนาประกาศทรงตั้ง ดังนี้

    “ให้พระอาจารย์ สา วัดบวรนิเวศ เป็นพระสาสนโสภณ ที่พระราชาคณะในวัดบวรนิเวศ มีนิตยภัตรเดือนละ ๔ ตำลึง ๒ บาท ขอพระคุณจงเอาธุระพระพุทธศาสนาเป็นภาระสั่งสอนแลอนุเคราะห์ พระภิกษุสงฆ์ สามเณรในพระอารามโดยสมควร จงมีศุขสวัสดิ์เจริญในพระพุทธศาสนาเทอญ ฯ
    ตั้งแต่ ณ วันศุกร์ เดือน ๔ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีมะเมียสัมฤทธิศก พุทธศักราช ๒๔๐๑ เป็นวันที่ ๒๘๖๕ ในรัชกาลปัจจุบันนี้”
    ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานนิตยภัตรเสมอพระราชาคณะชั้นเทพ แต่ถือตาลปัตรแฉกเสมอพระราชาคณะชั้นสามัญ (๑๗) สำหรับ ราชทินนามที่ พระสาสนโสภณ นั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อให้ได้กับนามเดิมของเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ คือ สา
    สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงตรัสเล่าไว้ ความว่า
    เจ้า พระคุณสมเด็จ ฯ ก่อนที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นที่พระสาสนโสภณนั้น คนทั่วไปเรียกกันว่า อาจารย์สา เมื่อถึงคราวที่จะทรงแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงประดิษฐ์ราชทินนาม โดยเอานามเดิมของพระองค์ท่านขึ้นต้น แล้วต่อสร้อยว่า พระสาสนดิลก นาม ๑ พระสาสนโสภณ นาม ๑ แล้วโปรดให้พระสารสาสตร์พลขันธ์ (สมบุญ) ไปทูลถามพระองค์ท่านว่าจะชอบนามไหน
    เจ้า พระคุณสมเด็จ ฯ ว่า นาม สาสนดิลก นั้นสูงนัก ขอรับพระราชทานเพียงนาม สาสนโศภณ จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดแต่งตั้งเป็นที่พระสาสนโสภณดังกล่าวมา แล้วคนทั้งหลายก็เรียกกันโดยย่อว่า “เจ้าคุณสา” สืบมา (๑๘)
    ดูทีว่าเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ จะทรงโปรดราชทินนามนี้มาก ภายหลังแม้จะได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์สูงขึ้นถึงชั้นธรรม ชั้นเจ้าคณะรอง ก็ยังคงรับพระราชทานในราชทินนามว่า พระสาสนโสภณตลอดมา
    การกลับเข้ามาอุปสมบทใหม่ของเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ครั้งนี้ นับว่าเป็นคุณประโยชน์ต่อคณะธรรมยุตและคณะสงฆ์เป็นส่วนรวมเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะวัดบวรนิเวศวิหารซึ่งเป็นสำนักหลักในคณะธรรมยุต ดังที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ทรงอธิบายไว้ในตำนานวัดบวรนิเวศวิหารว่า
    พระเถระที่เป็นกำลังในการวัด ครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงครองวัด ร่วงโรยไป พระปลัดเรืองถึงมรณภาพเสียแต่ในครั้งยังเสด็จอยู่ พระศรีวิสุทธิวงศ์ (โสภิโต ฟัก) แลพระปลัดทัด ลาสิกขาเสียในครั้งนี้ (หมายถึงครั้งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงครองวัด) คงมีแต่พระสาสนโสภณ คือพระอมรโมลี (ปุสฺสเทโว สา) ผู้กลับเข้ามาอุปสมบทอีก ได้เป็นกำลังใหญ่ในการพระศาสนา พระผู้สามารถในการเทศนาโดยฝีปากมีน้อยลง ท่านจึงแต่งหนังสือเทศน์ขึ้นไว้สำหรับใช้อ่านในวันธัมมัสสวนะปกติและในวัน บูชา
    ได้แต่งเรื่องปฐมสมโพธิย่อ ๓ กัณฑ์จบสำหรับถวายเทศนาในวันวิสาขบูชา ๓ วัน ๆละกัณฑ์ และเรื่องจาตุรงคสันนิบาตกับโอวาทปาติโมกข์ สำหรับถวายในวันมาฆบูชาที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นอันได้รับพระบรมราชานุมัติ ยังได้รจนาเรื่องปฐมสมโพธิพิสดาร สำหรับใช้เทศนาในวัด ๒ คืนจบอีก
    พระนิพนธ์ต่าง ๆ ที่เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ได้ทรงรจนาขึ้นแต่ครั้งยังเป็นที่ พระสาสนโสภณ ดังกล่าวมาข้างต้นนี้ ได้เป็นหนังสือสำคัญในการเทศนาและศึกษาเล่าเรียนของพระภิกษุสามเณรสืบมาจน กระทั่งถึงปัจจุบัน
    ครั้น พ.ศ. ๒๔๐๘ เมื่อการสร้างวัดราชประดิษฐ์เสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดให้อาราธนาเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ แต่ครั้งยังเป็นที่ พระสาสนโสภณ จากวัดบวรนิเวศวิหาร มาครองวัดราชประดิษฐ์ เป็นเจ้าอาวาสองค์แรก พร้อมด้วยพระสงฆ์จากวัดบวรนิเวศวิหารอีก ๒๐ รูป
    ทรงพระกรุณาโปรดให้แห่จากวัดบวรนิเวศวิหารมาวัดราชประดิษฐ์เมื่อเดือน ๘ ปีฉลู สัปตศก จุลศักราช ๑๒๒๗ ตรงกับเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๐๘ (๑๙) และได้รับพระราชทานเปลี่ยนตาลปัตรเป็นตาลปัตรแฉกพื้นแพรเสมอชั้นธรรม (๒๐)
    เล่ากันว่า เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ทรงเป็นที่ทรงเคารพและสนิทคุ้นเคยในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็น อันมาก เป็นที่ทรงสนทนาปรึกษา ทั้งเรื่องที่เป็นกิจการบ้านเมืองและเรื่องที่เป็นกิจการพระศาสนา และเสด็จพระราชดำเนินไปทรงสนทนาปรึกษากับเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ณ ที่วัดราชประดิษฐ์ ฯ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากพระบรมมหาราชวังเนือง ๆ
    คำเล่าอ้างดังนี้น่าจะสมจริง เพราะสมกับที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ตรัสเล่าไว้ในพระประวัติตรัสเล่าว่า
    “เมื่อเรายังเยาว์ แต่จำความได้แล้ว ได้ตามเสด็จทูลกระหม่อม (หมายถึง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ไปวัดราชประดิษฐ์เนือง ๆ คราวหนึ่งได้ยินตรัสถามสมเด็จพระสังฆราช (ปุสฺสเทว สา) ครั้งนั้นยังเป็นพระสาสนโสภณว่า คนชื่อคนมีหรือไม่ สมเด็จพระสังฆราชนิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถวายพระพรทูลว่า ไม่มี ทรงชี้เอาเราผู้นั่งอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ว่า นี่แหละคนชื่อคน แต่นั้นเราสังเกตว่า ทรงพระสรวล และสมเด็จพระสังฆราชก็เหมือนกัน” (๒๑)
    นอกจากนี้ ก็ยังกล่าวกันว่า เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (สา) นั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดว่าเป็นผู้แต่งเทศน์ดี แต่ครั้งยังเสด็จดำรงอยู่ในผนวช ภายหลังเมื่อได้เป็นที่ พระสาสนโสภณแล้ว ถ้าพระราชาคณะหรือพระเปรียญจะถวายเทศน์ ต้องมาให้เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ตรวจเสียก่อน ถ้าใครไม่ชำนาญในการแต่งเทศน์ก็จะทรงแต่งให้ (๒๒)
    นับแต่ทรงสถาปนาวัดราชประดิษฐ์ขึ้นแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เสด็จพระราชดำเนินถวายพุ่มพรรษา (พุ่มเทียน) แก่พระสงฆ์วัดราชประดิษฐ์ทั่วทั้งวัดเป็นประจำทุกปีจนสิ้นรัชกาล โดยเสด็จพระราชดำเนินในวันแรม ๑ ค่ำอันเป็นวันที่พระสงฆ์เข้าพรรษา ดูเป็นทำนองอย่างทรงเป็นเจ้าของวัด
    เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ได้อยู่ครองวัดราชประดิษฐ์ สนองพระเดชพระคุณเฉลิมพระราชศรัทธาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ ๔ ปี ก็สิ้นรัชกาล
    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดี ที๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๐ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ ปีมะโรง อันเป็นวันมหาปวารณาออกพรรษาของพระสงฆ์
    ครั้นเวลาเย็นวันมหาปวารณาที่เสด็จสวรรคตนั้น พระอาการทรุดหนักลง พระองค์ทรงประกอบไปด้วยพระสติสัมปชัญญะ ทรงกำหนดอวสานกาลแห่งพระชนมายุของพระองค์เป็นแน่แล้ว จึงมีพระบรมราชโองการให้เจ้าพนักงานจัดเครื่องนมัสการพร้อมแล้วจึงมีพระราช โองการดำรัสให้ พระยาศรีสุนทรโวหาร (ฟัก) เข้าไปในที่พระบรรทม มีพระราชดำรัสพระราชนิพนธ์โดยมคธภาษา ให้พระยาศรีสุนทรโวหาร รับพระบรมราชโองการจดเป็นอักษร
    ครั้นทรงพระบรมราชนิพนธ์เสร็จแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดให้พระยาศรีสุนทรโวหารเชิญไปกับทั้งเครื่องนมัสการ สู่พระวิหารหลวงวัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม พระสงฆ์มีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์เป็นประธาน ประชุมพร้อมกันเพื่อจะทำสังฆปวารณา พระยาศรีสุนทรโวหารจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการ แล้วกราบถวายบังคมมาตามทิศ อ่านพระบรมราชนิพนธ์นั้น ณ ที่สังฆสันนิบาต สงฆ์รับอัจจยเทศนาแล้วตั้งญัตติปวารณา แล้วปวารณาตามลำดับพรรษา

    ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวดำรัสสั่งพระยาศรีสุนทรโวหารเสร็จ แล้ว ก็ทรงนมัสการจิตตวิโสธโนบาย ภาวนามัยกุศลเครื่องชำระจิตให้บริสุทธิ์ พอสมัยยามกับบาทหนึ่ง เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งภานุมาศจำรูญฝ่ายอุดรทิศ พร้อมด้วยอัศจรรย์ หมอกกลุ้มทั่วนครมณฑลโดยบุญญวันตวิสัย เมื่อเสด็จสวรรคต พระชนมายุนับเรียงปีได้ ๖๕ พรรษา นับอายุโหราโดยจันทรคติได้ ๖๕ ปีถ้วน คิดเป็นวันได้ ๒๓๓๕๘ วัน กับ ๑๖ ชั่วโมงครึ่ง คิดตามสุริยคติกาลอย่างยุโรปได้ ๖๔ ปี หย่อน ๑๖ วันกับ ๒ ชั่วโมง เสด็จอยู่ในราชสมบัตินับเรียงปีได้ ๑๘ ปี นับอายุโหราตามจันทรคติได้ ๑๗ ปี ๕ เดือนถ้วน คิดเป็นวัน ๖๓๔๘ วัน (๒๓)
    พ.ศ. ๒๔๑๕ ในรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาเลื่อน สมณศักดิ์ขึ้นเป็นพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองที่ พระธรรมวโรดม แต์ให้คงใช้ราชทินนามเดิมว่า “พระสาสนโสภณที่พระธรรมวโรดม
    พ.ศ. ๒๔๑๖ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จออกทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์แต่ครั้งยังทรงดำรงพระยศเป็น กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธ์ ทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (สา) ขณะทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสาสนโสภณ เป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ มีคณปูรกะ คือ
    ๑. หม่อมเจ้าพระธรรมุณหิสธาดา วัดบวรนิเวศวิหาร
    ๒. พระองค์เจ้า พระอรุณนิภาคุณากร แต่ครั้งยังทรงเป็นหม่อมเจ้า วัดราชบพิธ
    ๓. สมเด็จพระวันรัตน์ (ทับ พุทธสิริ) แต่ครั้งยังเป็น ที่พระพิมลธรรม วัดโสมนัสวิหาร
    ๔. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ศรี อโนมสิริ) แต่ครั้งยังเป็นที่ พระพรหมมุนี วัดปทุมคงคา
    ๕. พระพรหมเทพาจารย์ วัดเสนาสนาราม พระนครศรีอยุธยา
    ๖. พระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม จนฺทรํสี) วัดมกุฏกษัตริยาราม
    ๗. พระพรหมมุนี (เหมือน สุมิตฺโต) แต่ครั้งยังเป็นที่ พระอริยมุนี วัดบรมนิวาส
    ๘. พระเทพกวี (นิ่ม สุจิณฺโณ) แต่ครั้งยังเป็นที่ พระสุคุณคณาภรณ์ วัดเครือวัลย์ (๒๔)
    เมื่อทรงผนวชแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประทับ ณ พระพุทธรัตนสถานมนทิราราม ในพระบรมมหาราชวังชั้นใน โดยได้เชิญเสด็จสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ พระราชอุปัธยาจารย์ และนิมนต์พระราชาคณะผู้ใหญ่ต่างวัดเข้าไปอยู่ด้วยพอครบคณะสงฆ์
    ทรงผนวชอยู่เป็นเวลา ๑๕ วัน ครั้นทรงลาผนวชแล้ว ทรงรับพระบรมราชาภิเษกอีกครั้งหนึ่ง (๒๕)
    พระเถระผู้ร่วมเป็นคณะสงฆ์ในการพระราชพิธีทรงผนวชพระบาทสมเด็จพระจุล จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งนั้น ล้วนเป็นผู้ได้ทำทัฬหีกรรม (คืออุปสมบทซ้ำ) มาแล้วทั้งนั้น ยังแต่เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (สา) พระองค์เดียวเท่านั้น ที่ขณะนั้นยังไม่ได้ทำทัฬหีกรรม ทั้งจะต้องทรงเป็นผู้ที่ทำหน้าที่สำคัญในการนี้ คือเป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ด้วย
    ในครั้งนี้เองที่เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ได้ทรงทำทัฬหีกรรม ซึ่งขณะนั้นทรงมีอายุพรรษา ๒๒ แล้ว (นับแต่ทรงอุปสมบทครั้งหลัง)
    ในการทรงทำทัฬหีกรรมของเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ นั้น ไม่พบหลักฐานว่า ทำที่ไหน ใครเป็นพระอุปัชฌาย์ พบแต่เพียงว่า พระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม จนฺทรํสี) วัดมกุฏกษัตริยาราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ (๒๖) แต่สันนิษฐานว่าคงจักได้ทำที่แพโบสถ์ ตรงฝั่งวัดราชาธิวาส และวิธีการต่าง ๆ นั้นก็คงจะทำนองเดียวกันกับที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ตรัสเล่าไว้เมื่อครั้งพระองค์เองทรงทำทัฬหีกรรม ดังนี้
    “ตั้งแต่ครั้งทูลกระหม่อม (หมายถึง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ยังทรงผนวช พวกพระธรรมยุตนับถือสีมาน้ำว่าบริสุทธิ์เป็นที่สิ้นสงสัย ไม่วางใจในวิสุงคามสีมาอันไม่ได้มาในบาลี เป็นแต่พระอรรถกถาจารย์แนะไว้ในอรรถกถาอนุโลมตามสีมา ครั้งยังไม่มีวัดอยู่ตามลำพัง จึงใช้สีมาน้ำเป็นที่อุปสมบท
    ต่อมาพระรูปใดจะอยู่เป็นหลักฐานในพระศาสนา พระผู้ใหญ่จึงพาพระรูปนั้นไปอุปสมบทซ้ำอีกในสีมาน้ำ เรียกว่าทำทัฬหีกรรม
    สำนักวัดบวรนิเวศวิหารหยุดมานาน พระเถระในสำนักนี้ ก็ได้ทำทัฬหีกรรมโดยมาก สมเด็จพระสังฆราช (ปุสฺสเทว) อุปสมบทครั้งหลังกว่า ๒๐ พรรษาแล้ว จึงได้ทำทัฬหีกรรม ครั้งจะสวดกรรมวาจาอุปสมบทเมื่อล้นเกล้า ฯ (หมายถึง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงผนวชพระ
    เสด็จพระอุปัชฌายะ (หมายถึง สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์) ตรัสเล่าว่า
    พระเถระทั้งหลายผู้เข้าในการทรงผนวชล้วนเป็นผู้ได้ทำทัฬหีกรรมแล้ว ยังแต่ท่าน (หมายถึงเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (สา) องค์เดียวทั้งจักเป็นผู้สำคัญในการนั้น จึงต้องทำ... ครั้งเราบวช ความนับถือพระบวชในสีมาน้ำยังไม่วาย เราเห็นว่าเราเป็นผู้จักยั่งยืนในพระศาสนาต่อไป..เราควรเป็นผู้เข้าได้ทุก ฝ่าย อันจะให้เข้าได้ ต้องไม่เป็นที่รังเกียจในการอุปสมบทเป็นมูล ทั้งเราก็อุปสมบทเร็วไปกว่าปกติ เมื่อทำทัฬหีกรรมอุปสมบทซ้ำอีกในสีมาน้ำ จักสามารถทำประโยชน์ให้สำเร็จได้ดี เราจึงเรียนความปรารภนี้แก่เจ้าคุณอาจารย์ (หมายถึง พระจันทรโคจรคุณ (ยิ้มจันทรํสี) ขอท่านเป็นธุระจัดให้ จึงตกลงกันว่า เราจักถือเจ้าคุณอาจารย์เป็นอุปัชฌายะใหม่ ในเวลาทำทัฬหีกรรม เจ้าคุณพรหมมุนีฟันหักสวดจะเป็นเหตุรังเกียจ เจ้าคุณอาจารย์ท่านเลือกเอาเจ้าคุณธรรมไตรโลก (ฐานจาระ) วัดเทพศิรินทร์ ครั้งยังเป็นบาเรียนอยู่วัดโสมนัสวิหารเป็นผู้สวดกรรมวาจา ท่านรับจัดการให้เสร็จ พาตัวไปทำทัฬหีกรรมที่แพโบสถ์ อันจอดอยู่ที่แม่น้ำ ตรงฝั่งวัดราชาธิวาสออกไป...แรกขอนิสสัยถืออุปัชฌายะใหม่ แล้วทำวิธีอุปสมบททุกประการ สวดทั้งกรรมวาจามคธและกรรมวาจารามัญ”
    พ.ศ. ๒๔๒๒ ในรัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ “สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายเหนือ ตำแหน่งที่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
    พ.ศ. ๒๔๓๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดให้ทำการสังคายนาพระไตรปิฎก โดยทรงมีพระราชดำริว่า
    คัมภีร์พระไตรปิฎก ซึ่งแต่เดิมมาได้คัดลอกต่อ ๆ กันมาด้วยการจารลงในใบลานด้วยอักษรขอมนั้น กว่าจะได้แต่ละคัมภีร์ก็ช้านาน เป็นเหตุให้คัมภีร์ของพระพุทธศาสนาไม่ค่อยแพร่หลายและไม่พอใช้ในการศึกษา เล่าเรียน ทั้งไม่สะดวกในการเก็บรักษาและใช้ดูให้อ่าน อักษรขอมที่ใช้จารึกนั้นเล่าก็มีผู้อ่านกันได้น้อยลงทุกที
    ฉะนั้น หากได้มีการตรวจชำระพระไตรปิฎกให้ครบถ้วนบริบูรณ์ แล้วพิมพ์ขึ้นเป็นเล่มหนังสือด้วยอักษรไทย ก็จะเป็นการทำให้พระคัมภีร์แพร่หลาย และเป็นการสะดวกในการใช้ศึกษาเล่าเรียนมากยิ่งขึ้น
    ฉะนั้นจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดให้จัดการสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้น โดยโปรดให้อาราธนาพระเถรานุเถระ ประชุมร่วมกันกับราชบัณฑิตทั้งหลาย ตรวจชำระพระไตรปิฎก แล้วจัดพิมพ์เป็นเล่มหนังสือขึ้น ให้สำเร็จเรียบร้อยทันกำหนดการบำเพ็ญพระราชกุศลสมโภชสิริราชสมบัติในกาล เมื่อบรรจบครบ ๒๕ ปี
    ครั้นวันที่ ๗ เดือน ๓ แรม ๑ ค่ำ ปีชวดสัมฤทธิศก (พ.ศ. ๒๔๓๑) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงเชิญเสด็จพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงผนวชได้ดำรงสมณศักดิ์ มีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ขณะทรงดำรงพระยศกรมพระ เป็นประธาน และทรงอาราธนาพระราชาคณะผู้ใหญ่ มีเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (สา) ขณะทรงสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นประธาน พร้อมทั้งพระสงฆ์เปรียญ ทั้งในกรุงและหัวเมือง ประชุมพร้อมกับในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วเสด็จพระราชดำเนินประทับในพระอุโบสถ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ อาลักษณ์อ่านประกาศพระบรมราชโองการ อาราธนาพระสงฆ์ให้ตรวจชำระพระไตรปิฎก เป็นการเริ่มการทำสังคายนา
    ในการทำสังคายนาครั้งนี้ พระเถรานุเถระได้แบ่งกันทำหน้าที่เป็นกอง ๆ ดังนี้
    สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ขณะทรงดำรงพระยศ กรมพระ ทรงเป็นประธานาธิบดีในการตรวจแบบฉบับพระไตรปิฎก
    สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ขณะทรงดำรงพระยศ กรมหมื่น และสมเด็จพระสังฆราช (สา) ขณะทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นรองอธิบดีจัดการทั้งปวง
    สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นแม่กองตรวจพระวินัยปิฎก
    พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร วัดราชบพิธ เป็นแม่กองตรวจพระสุตตันตปิฎก
    พระพรหมมุนี (เหมือน) วัดบรมนิวาส เป็นแม่กองตรวจพระสุตตันตปิฎก
    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (แสง) ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่ พระธรรมไตรโลกย์ วัดราชบุรณะ เป็นแม่กองตรวจพระสุตตันตปิฎก
    พระธรรมราชานุวัตร (ต่าย) วัดเสนาสนาราม เป็นแม่กองตรวจพระสุตตันตปิฎก
    สมเด็จพระวันรัต (ฑิต) ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่พระเทพโมลี วัดมหาธาตุ เป็นแม่กองตรวจพระสุตตันตปิฎก
    พระพิมลธรรม (อ้น) วัดพระเชตุพน ฯ เป็นแม่กองตรวจพระอภิธรรมปิฎก
    สมเด็จพระวันรัต (แดง) ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมวโรดม วัดสุทัศน์ เป็นแม่กองตรวจพระอภิธรรมปิฎก
    พระไตรปิฎกที่จัดพิมพ์ขึ้นครั้งนี้มีจำนวน ๑,๐๐๐ จบ ๆ ละ ๓๙ เล่ม พระราชทานพระราชทรัพย์ในการจัดพิมพ์ประมาณ ๒,๐๐๐ ชั่ง (๒๗) นับเป็นครั้งแรกที่ได้มีการจัดพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นเล่มหนังสือ และเป็นครั้งแรกที่ได้มีการจดจารึกพระไตรปิฎกด้วยอักษรไทยด้วย เพราะก่อนแต่นี้ขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นการจดจารึกพระธรรมเป็นภาษาบาลีหรือภาษาไทย ล้วนนิยมจดจารึกด้วยอักษรขอมทั้งนั้น
    การจัดพิมพ์เสร็จเรียบร้อยในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ได้ทันฉลองในการทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสมโภชสิริราชสมบัติบรรจบครบ ๒๕ ปีตามพระราชประสงค์
    พระไตรปิฎกที่จัดพิมพ์ขึ้นครั้งนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานไปไว้ ตามพระอารามหลวงวัดละจบ นอกนั้นก็พระราชทานแก่พระสงฆ์และคฤหัสถ์ที่มีหน้าที่ในการตรวจชำระและจัด พิมพ์ ส่วนที่เหลือก็พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้จำหน่ายแก่ผู้ที่ประสงค์จะสร้างถวายวัด หรือสถานศึกษา ในราคาพอสมควร ปรากฏว่าพระไตรปิฎกที่จัดพิมพ์ขึ้นครั้งนี้ หมดฉบับสำหรับจำหน่ายภายในเวลาเพียง ๒ ปี
    เมื่อข่าวการพิมพ์พระไตรปิฎกครั้งนี้แพร่หลายไป ปรากฏว่ารัฐบาลและสถานศึกษานานาประเทศ พากันตื่นเต้นสนใจ และขอพระราชทานมาเป็นจำนวนมาก ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานให้ตามประสงค์ เป็นเหตุให้พระไตรปิฎกชุดนี้แพร่หลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกตลอดมาจนบัดนี้ (๒๘)
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ครั้นถึง พ.ศ. ๒๔๓๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาเพิ่มอิสริยยศเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ให้พิเศษกว่าสมเด็จพระราชาคณะแต่ก่อน ๆ มา
    คือทรงสถาปนาเลื่อนขึ้นเป็น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ มีนิตยภัตรเดือนละ ๑๑ ตำลึง มีถานานุกรมได้ ๑๒ รูป มากกว่าสมเด็จพระราชาคณะตำแหน่งอื่น ๆ (ซึ่งมีนิตยภัตร ๖ ตำลึงบ้าง ๗ ตำลึงบ้าง ๑๐ ตำลึงบ้าง และมีถานานุกรมได้ ๘ รูปบ้าง ๑๐ รูปบ้าง) เพื่อเป็นการเฉลิมพระราชศรัทธาปสาทะที่ได้ทรงมีในเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ที่ทรงยกย่องเป็น “อรรคมหาคารวสถาน” โดยฐานที่ได้ทรงเป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ในคราวทรงผนวชและเรียบเรียงหนังสือ ธรรมวินัยให้ได้ทรงศึกษาเป็นอันมาก
    เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ นับเป็นพระมหาเถระรูปที่ ๒ ได้รับพระราชทานสถาปนาในราชทินนามที่ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ อันเป็นราชทินนามสำหรับตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชตั้งแต่ขณะที่ยังไม่เป็น สมเด็จพระสังฆราช นับได้ว่าเป็นการพระราชทานเกียรติยศอย่างสูงเป็นกรณีพิเศษ
    พ.ศ. ๒๔๓๕ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ องค์สกลมหาสังฆปริณายก สิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคชรา พระชนมายุ ๘๓ พรรษา แต่เป็นคราวที่ไม่สะดวกในทางราชการ พระศพสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ พระองค์นั้น ต้องประดิษฐานไว้ ณ พระตำหนักเดิมอันเป็นที่ประทับนานถึง ๘ ปีกับ ๓ เดือน จึงได้ถวายพระเพลิงพระศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๓
    ครั้น พ.ศ. ๒๔๓๖ ในรัชกาลที่ ๕ ได้ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ เป็นสมเด็จพระสังฆราช เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน รัตนโกสินทรศก ๑๑๒ (๒๔๓๖) อันเป็นปีที่ทรงมีพระชนมายุได้ ๘๐ พอดี
    การสถาปนาครั้งนี้เรียกว่า “สถาปนาเพิ่มอิสริยยศ พระราชทานมุทธาภิเศก เลื่อนตำแหน่งสมณถานันดรศักดิ์ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช มีนามตามจารึกในสุพรรณบัตรตามเดิม” คือ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ ฯลฯ มีสำเนาประกาศทรงสถาปนาดังนี้
    คำประกาศ

    ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนกาล เป็นอดีตภาคล่วงแล้ว ๒๔๓๖ พรรษา ปัตยุบันกาล จันทรคตินิยม อุรคสังวัจฉร กรรติกมาศ กาฬปักษ์ ฉัฏฐมีดิถี พุฒวาร สุริยคติกาล รัตนโกสินทรศก ๑๑๒ พฤศจิกายนมาศ เอกุณติงสติม มาสาหคุณประเภท ปริเฉทกาลกำหนด
    พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ ฯลฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริห์ว่า พระสงฆ์ซึ่งดำรงสมณคุณ สมควรจะเลื่อนอิศริยยศในสมณศักดิ์มีอยู่หลายองค์ กาลบัดนี้ก็เป็นเวลาใกล้การมหามงคลราชพิธีรัชฎาภิเศก ควรจะสถาปนาอิศริยยศพระสงฆ์ที่ควรจะสถาปนาขึ้นไว้ให้บริบูรณ์ตามตำแหน่ง เมื่อพระสงฆ์ซึ่งทรงสมณคุณได้รับอิศริยศักดิโดยสมควรแก่คุณานุรูปเช่นนั้น แล้ว แลมาสู่สงฆสมาคม ณ พระราชพิธีสถาน ก็จะเป็นการมงคลอันอุดมยิ่ง ทั้งจะเป็นการเพิ่มภูลพระเกียรติยศพระเกียรติคุณให้ไพโรจน์ชัชวาลย์ด้วย จึงทรงพระราชดำริห์ว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายเหนือ ประกอบด้วยคุณธรรมอนันตโกศล วิมลปฏิภาณ ญาณปรีชา รอบรู้พระปริยัติธรรม เป็นเอกอรรคบุรุษ แลดำเนินในสัมมาปฏิบัติดำรงคุณธรรม อันได้แจ้งอยู่ในประกาศเลื่อนตำแหน่งแต่ก่อนโดยพิศดาร จึงได้ทรงสถาปนาให้มีอิศริยศักดิพิเศษยิ่งกว่าสมเด็จพระราชาคณะ ซึ่งเป็นเจ้าคณะใหญ่โดยสามัญแล้ว บัดนี้พระมหาเถระซึ่งมีคุณแลไวยแลอิศริยศักดิเปนชั้นเดียวกันก็ล่วงลับไป สิ้นแล้ว ยังเหลืออยู่แต่พระองค์เดียวเป็นที่เจริญพระราชศรัทธา แลเปนอรรคมหาคารวะสถานยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ทั้งเจริญด้วยชนมายุกาลรัตตัญญูภาวคุณเป็นพระมหาเถระในสงฆ์ สมควรที่จะดำรงสมณถานันดรศักดิ์ ที่สมเด็จพระสังฆราช ให้ปรากฏเกียรติยศเกียรติคุณสืบไปสิ้นกาลนาน แลจะได้เป็นที่สักการบูชาแห่งพุทธสาสนิกบริสัช ทั้งคฤหัสถ์แลบรรพชิตทั้งปวงทั่วไป
    จึงมีพระบรมราชโองการมาณพระบัณฑูรสุรสิงหนาท ดำรัสสั่งให้สถาปนาเพิ่มอิสริยยศ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ พระราชทานมุทธาภิเศก เลื่อนตำแหน่งสมณถานันดรศักดิ์ขึ้นเปนสมเด็จพระสังฆราช มีนามตามจารึกในสุพรรณบัตรตามเดิมว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สุขุมธรรมวิธานธำรง มหาสังฆปรินายก ตรีปิฎกกลากุสโลภาศ ปรมินทรมหาราชหิโตปสัมปทาจารย์ ปุสสเทวาภิธานสังฆวิสุต ปาวจนุตมสาสนโสภณ วิมลศีลสมาจารวัตร พุทธสาสนบริสัชคารวะสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ อดุลยคัมภีรญาณสุนทร มหาอุดรคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสีอรัญวาสี สถิตย์ ณ วัดราชประดิษฐ์สถิตยมหาสีมารามวรวิหาร พระอารามหลวง เป็นประธานในสมณะมณฑลทั่วพระราชอาณาเขตร แลดำรงที่เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายเหนือด้วย พระราชทานนิตยภัตรเพิ่มขึ้นเปนราคาเดือนละ ๑๒ ตำลึง มีอิศริยยศถานานุศักดิ์ ควรตั้งถานานุกรมได้ ๑๖ รูป คือ
    พระครูปลัดสัมพิพัฒนศีลาจารย์ ญาณวิมล สกลคณิศร อุดรสังฆนายก ปิฎกธรรมรักขิต สถิตย์ ณ วัดราชประดิษฐ์สถิตยมหาสีมารามวรวิหาร พระอารามหลวง พระครูปลัดกลาง มีนิตยภัตรราคาเดือนละ ๓ ตำลึง ๑
    พระครูปลัดอวาจีคณานุสิชฌน์ สังฆอิศริยาลังการ วิจารณกิจโกศล วิมลสังฆนายก ปิฎกธรรมรักขิต สถิตย์ ณ วัดราชประดิษฐ์สถิตยมหาสีมารามวรวิหาร พระอารามหลวง พระครูปลัดขวา มีนิตยภัตรราคาเดือนละ ๓ ตำลึง ๑
    พระครูปลัดอุทิจยานุสาสน์ วิจารโณภาศภาคยคุณ สุนทรสังฆานุคุติ วิสุทธิสังฆนายก ปิฎกธรรมรักขิต สถิตย์ ณ วัดราชประดิษฐ์สถิตยมหาสีมารามวรวิหาร พระอารามหลวง พระครูปลัดซ้าย มีนิตยภัตรราคาเดือนละ ๓ ตำลึง ๑
    พระครูธรรมกถาสุนทร มีนิตยภัตรราคาเดือนละ ๒ ตำลึง ๑
    พระครูวินัยกรณ์โสภณ มีนิตยภัตรราคาเดือนละ ๒ ตำลึง ๑
    พระครูพรหมวิหาร มีนิตยภัตรราคาเดือนละ ๑ ตำลึง ๒ บาท ๑
    พระครูญาณวิสุทธิ มีนิตยภัตรราคาเดือนละ ๑ ตำลึง ๒ บาท ๑
    พระครูวินัยธร ๑
    พระครูวินัยธรรม ๑
    พระครูเมธังกร ๑
    พระครูวรวงศา ๑
    พระครูธรรมราต ๑
    พระครูธรรมรูจี ๑
    พระครูสังฆวิจารณ์ ๑
    พระครูสมุห์ ๑
    พระครูใบฎีกา ๑
    รวม ๑๖ รูป เป็นที่เฉลิมพระราชศรัทธาภิยโยภาพปรากฏสิ้นกาลนาน ขออาราธนาให้รับธุระพระพุทธสาสนา เปนภาระสั่งสอนแลระงับอธิกรณ์พระสงฆ์สามเณรในคณะแลคณานุคณะในสยามรัฏฐิกสง ฆมณฑลทั่วไป ให้ทวียิ่งขึ้นตามสมควรแก่กำลังแลอิศริยยศซึ่งพระราชทานนี้

    ในการทรงสถาปนาเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ เป็นสมเด็จพระสังฆราชครั้งนี้ ไม่ได้พระราชทานพระสุพรรณบัตรใหม่ เป็นแต่โปรดให้เจ้าพนักงานเชิญพระสุพรรณบัตรครั้งเป็น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ มาตั้งสมโภชที่ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระราชทานแต่ใบกำกับพระสุพรรณบัตรใหม่เท่านั้น ในคราวเดียวกันนี้ ได้พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ขณะทรงดำรงพระยศ กรมหมื่น เป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต และพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร เป็นเจ้าคณะรองฝ่ายธรรมยุตติกนิกาย ด้วย
    งานพระนิพนธ์ ของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (สา) ก็มีเป็นจำนวนไม่น้อย ส่วนใหญ่เป็นงานแปลพระสูตร หนังสือเทศนา และเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ พระนิพนธ์ต่าง ๆ ของเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ นั้น ถือกันว่าเป็นงานชั้นครู ทั้งในด้านเนื้อหา สำนวน และแบบแผนในทางภาษา โดยเฉพาะพระนิพนธ์เทศนา มีอยู่เป็นอันมากที่ใช้เป็นแบบอย่างกันมาตั้งแต่ครั้งกระโน้นจนถึงปัจจุบัน
    สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายไว้ว่า
    แท้จริง บรรดาเทศนาทั้งหลายของสมเด็จพระสังฆราช วัดราชประดิษฐ์นั้นพวกบัณฑิตย่อมนับถือกันว่า เป็นหนังสือแต่งดีอย่างเอกมาแต่ในรัชกาลที่ ๔ ถือกันว่าควรเป็นแบบอย่างทั้งในทางถ้อยคำและในทางปฏิภาณโวหารเป็นของที่ชอบ อยู่ทั่วกัน(๒๙)
    พระนิพนธ์ต่าง ๆ เหล่านี้ หากได้มีการรวบรวมไว้ให้ครบถ้วน ก็จักเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาในทางพระศาสนาและสารคดีธรรมเป็นอย่างยิ่ง เท่าที่รวบรวมรายชื่อได้ในคราวนี้ มีดังนี้
    ประเภทพระสูตรแปล
    ๑. กาลามสูตร
    ๒. จักกวัตติสูตร
    ๓. จูฬตัณหาสังขยสูตร
    ๔. ทาฬิททิยสูตร
    ๕. ทีฆชาณุโกฬิยปุตตสูตร
    ๖. ธนัญชานีสูตร
    ๗. ธัมมเจติยสูตร
    ๘. ปราภวสูตร
    ๙. ปาสาทิกสูตร
    ๑๐. มหาธัมมสมาทานสูตร
    ๑๑. โลกธัมมสูตร
    ๑๒. สฬายตนวิภังคสูตร
    ๑๓. สัมมทานิยสูตร
    ๑๔. สุภสูตร
    ๑๕. เสขปฏิปทาสูตร
    ๑๖. อนาถปิณฑโกวาทสูตร
    ๑๗. อภิณหปัจจเวกขณปาฐะ
    ๑๘. อภิปปฏิสาสสูตร
    ๑๙. อากังเขยยสูตร
    ๒๐. อายาจนสูตร
    ๒๑. มหาสติปัฏฐานสูตร
    ประเภทเทศนา
    ๑. ปฐมสมโพธิย่อ (๓ กัณฑ์จบ)
    ๒. เรื่องจาตุรงคสันนิบาตและโอวาทปาติโมกข์
    ๓. ปฐมสมโพธิ (แบบพิสดาร ๑๐ กัณฑ์จบ) เรื่องนี้ใช้เป็นหนังสือหลักสูตรนักธรรมชั้นตรี - เอก อยู่ในปัจจุบัน
    ๔. อนุปุพพิกถา (๕ กัณฑ์จบ)
    ๕. สาราทานปริยาย
    ๖. ธัมมฐิตัญญาณกถา
    ๗. ฉฟังคุเปกขากถา
    ๘. กัสสปสังยุตตกถา
    ๙. กฐินกถา
    ๑๐. วัสสูปนายิกกถา
    ๑๑. เทศนาจตุราริยสัจจกถา (๔ กัณฑ์จบ)
    ๑๒. ธุตังคกถา
    ๑๓. สัปปุริสธรรม ๗ ประการ
    ๑๔. อัฎฐักขณกถา
    ๑๕. อัฏฐมลกถา
    ๑๖. อัปปมัญญาวิภังคกถา
    ๑๗. จตุรารักขกรรมฐานกถา
    ๑๘. ธัมมุเทศกถา
    ๑๙. นมัสสนกถา
    ๒๐. ปวรคาถามารโอวาท
    ๒๑. ภัทเทกรัตตคาถา
    ๒๒. รัตตนัตตยปริตร (๓ กัณฑ์จบ)
    ๒๓. สังคหวัตถุและเทวตาพลี
    ๒๔. สรณคมนูปกถา
    ๒๕. สัตตาริยธนกถา
    ๒๖. สัพพสามัญญานุสาสนี
    ๒๗. อุกกัฎฐปฎิปทานุสาสนี
    ๒๘. โสกสัลลหรณปริยาย
    ๒๙. โสฬสปัญหา (๑๘ กัณฑ์จบ)
    ต่างเรื่อง
    ๑. พระภิกขุปาติโมกข์แปลตรงคงตามบทพยัญชนะ โดยพระบรมราชานุมัติในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
    ๒. พระภิกขุปาติโมกข์สิกขาบท
    ๓. วิธีบรรพชาอุปสมบทอย่างธรรมยุตติกนิกาย
    ๔. สวดมนต์ฉบับหลวง
    ๕. แปลธัมมปทัฎฐกถา ภาค ๑ (บางเรื่อง)
    รวมพระนิพนธ์ของเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ที่เป็นงานแปลพระสูตร ๒๐ สูตร เทศนา ๗๐ กัณฑ์ และพระนิพนธ์เบ็ดเตล็ดต่างเรื่อง ๕ เรื่อง เท่าที่รวบรวมได้ในขณะนี้ เข้าใจว่าคงยังไม่ครบบริบูรณ์แต่ก็เป็นจำนวนเกือบ ๑๐๐ เรื่องซึ่งนับว่ามิใช่จำนวนน้อย
    พระกรณียะพิเศษ
    สมเด็จพระสังฆราช (สา) ได้ทรงปฏิบัติหน้าที่ถวายพระมงคลวิเสสกถา ซึ่งเป็นเทศนาพิเศษอย่างหนึ่ง มาแต่ในรัชกาลที่ ๔ ตั้งแต่ครั้งยังทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสาสนโสภณ และได้ถวายต่อมาในรัชกาลที่ ๕ จนตลอดพระชนมชีพของพระองค์ท่าน
    เทศนาพระมงคลวิเสสกถา เป็นเทศนาพิเศษอย่างหนึ่ง ซึ่งพรรณนาพระราชจรรยาของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินเพื่อประโยชน์จะได้ทรงพระปัจ จเวขณ์ (คือพิจารณา) ถึงแล้ว เกิดพระปีติปราโมทย์แล้ว ทรงบำเพ็ญราชธรรมนั้นยิ่ง ๆ เป็นการอุปถัมภ์พระราชจรรยาให้ถาวรไพบูลย์ (๓๐)
    พระเถระที่จะรับหน้าที่ถวายพระมงคลวิเสสกถาในครั้งนั้น สุดแต่จะทรงพระกรุณาโปรด เช่นในรัชกาลที่ ๔ ก็ทรงอาราธนาเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ แต่ครั้งยังทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสาสนโสภณ เป็นผู้ถวาย และถวายต่อมาถึงในรัชกาลที่ ๕
    เมื่อเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ สิ้นพระชนม์แล้ว ได้ทรงอาราธนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส แต่ครั้งยังทรงดำรงพระยศ กรมหมื่นเป็นผู้ถวาย และได้ถวายต่อมาจนถึงในรัชกาลที่ ๖
    เมื่อสมเด็จพระสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ พระองค์นั้นสิ้นพระชนม์แล้ว สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) ได้เป็นผู้ถวายต่อมา เป็นต้น
    ในปัจจุบัน การถวายพระมงคลวิเสสกถา เป็นหน้าที่ของสมเด็จพระสังฆราช หรือพระเถระรูปใดรูปหนึ่งที่สมเด็จพระสังฆราชทรงมอบหมาย
    ทรงเป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕เมื่อคราวเสด็จออกทรงผนวชเป็นพระภิกษุ พ.ศ.๒๔๑๖
    ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์และพระกรรมวาจาจารย์ในการทรงผนวชของสมเด็จพระเจ้าลูกยา เธอเจ้าฟ้า และพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้า ในพระบรมราชวงศ์จักรีหลายพระองค์
    เกี่ยวกับพระอัธยาศัยส่วนพระองค์นั้นเล่ากันว่า ทรงปกครองบริษัทด้วยพระกรุณาอนุเคราะห์ และยกย่องสหธรรมิกด้วยธรรมและอามิสตามควรแก่คุณานุรูป มีพระอัธยาศัยค่อนไปข้างทรงถือพระวินัยละเอียดลออมาก หากเกิดความสงสัยในอาบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้จะไม่เป็นอาบัติแท้ ก็จะทรงแสดงเสียเพื่อความบริสุทธิ์ (๓๑)
    กล่าวได้ว่า สมเด็จพระสังฆราช (สา) ทรงเป็นพระมหาเถระที่เชี่ยวชาญแตกฉานในพระไตรปิฎก และทรงธรรมทางวินัยอย่างแท้จริงพระองค์หนึ่ง จึงทรงเป็นที่เคารพสักการะแห่งพุทธบริษัททุกหมู่เหล่าเป็นอย่างยิ่ง นับแต่องค์สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินเป็นต้นตลอดจนคณะสงฆ์และพุทธบริษัททั่วไป
    ในตอนปลายแห่งพระชนม์ชีพ เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ประชวรด้วยพระโรคบิดประกอบกับพระโรคชรา สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๒ นับพระชนมายุได้ ๘๗ โดยปี
    เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงดำรงอยู่ในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ๗ ปี ทรงครองวัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสาราม ๓๔ ปี
    หลังจากที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช(สา) สิ้นพระชนม์แล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็มิได้ทรงสถาปนาพระเถระรูปใดเป็นสมเด็จพระสังฆราชอีกเลยจนตลอดรัชกาล จึงว่างสมเด็จพระสังฆราชอยู่ถึง ๑๑ ปี (พ.ศ. ๒๔๔๒ - ๒๔๕๓)
    เช่นเดียวกับในครั้งรัชกาลที่ ๔ หลังจากที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส ซึ่งทรงเป็นที่ทรงเคารพนับถือ สิ้นพระชนม์แล้ว ก็มิได้ทรงสถาปนาพระเถระรูปใดเป็นสมเด็จพระสังฆราชจนตลอดรัชกาลเช่นเดียวกัน จึงว่างสมเด็จพระสังฆราชอยู่ถึง ๑๕ ปี
    นำให้เข้าใจว่า แต่โบราณมานั้น พระเถระที่จะได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชนั้น เฉพาะที่เป็นที่ทรงเคารพนับถือเป็นพิเศษ โดยฐานเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ หรือพระราชกรรมวาจาจารย์ หรือพระอาจารย์เท่านั้น
    ดังนั้น ในรัชกาลที่ ๔ เมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ซึ่งทรงเคารพนับถือมากโดยฐานทางเป็นพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ สิ้นพระชนม์แล้ว จึงมิได้ทรงสถาปนาพระเถระรูปใดเป็นสมเด็จพระสังฆราชอีก และในรัชกาลที่ ๕ เมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ พระราชอุปัธยาจารย์และสมเด็จพระสังฆราช (สา) พระราชกรรมวาจาจารย์ สิ้นพระชนม์แล้ว ก็มิได้ทรงสถาปนาพระเถระรูปใดเป็นสมเด็จพระสังฆราชอีกเช่นกันจนตลอดรัชกาล
    เชิงอรรถ
    (๑) ในหนังสือบางเล่มเรียกว่า “บางไผ่ใหญ่”
    (๒) ทำเนียบสมณศักดิ์รองสมเด็จพระราชาคณะที่ พระสาสนโสภณ (ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระสาสนโสภณ (เอื้อน) วัดเทพศิรินทราวาส ๒๕๒๑) หน้า ๗๕
    (๓) จดหมายเหตุเรื่องไต่สวนนายกุหลาบ ฯ (ในงานพระศพพระองค์เจ้าแขไขดวง ๒๔๗๒) หน้า ๒๙
    (๔) เล่มเดียวกัน หน้า ๒๙
    (๕) เรื่องแต่งตั้งพระราชาคณะผู้ใหญ่ในกรุงรัตนโกสินทร์. (ฉบับพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๖๖) หน้า ๑๔๐-๑
    (๖) ทำเนียบสมณศักดิ์รองสมเด็จพระราชาคณะ ฯ อ้างแล้ว หน้า ๗๗
    (๗) จดหมายเหตุเรื่องไต่สวนนายกุหลาบฯ อ้างแล้ว หน้า ๓๕-๓๖
    (๘) ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร (พระนิพนธ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ในงานถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ๒๔๖๕) หน้า ๒๐-๒๓
    (๙) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้ากรุงสยาม (ของนาย เอ บี กริสโวลด์. พิมพ์โดยเสด็จ พระราชกุศลในมหามงคลสมัย พระชนมายุเสมอด้วยสมเด็จพระราชบิดา ๒๕๐๘) หน้า ๓๖-๓๗.
    (๑๐) สัตตปัพพ บุพพสิกขา และบุพพสิกขาวรรณนา (ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๑/๒๕๑๐) หน้า ฎ
    (๑๑) เรื่องแต่งตั้งพระราชาคณะผู้ใหญ่ในกรุงรัตนโกสินทร์ อ้างแล้ว หน้า ๑๔๔
    (๑๒) ประชุมพระราชนิพนธ์ภาษาบาลีในรัชกาลที่ ๔ ภาค ๒ ( ในการพระเมรุพระศพ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (จวน อุฎฐายี) ๒๕๑๕ หน้า ๓๔๖ - ๓๔๙
    (๑๓) ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร อ้างแล้วหน้า ๕๒-๕๓
    (๑๔) เล่มเดียวกัน หน้า ๓๓
    (๑๕) เล่มเดียวกัน หน้า ๒๔
    (๑๖) เรื่องแต่งตั้งพระราชาคณะผู้ใหญ่ในกรุงรัตนโกสินทร์ อ้างแล้ว หน้า ๑๔๑ และ จดหมายเหตุ เรื่องไต่สวนนายกุหลาบ ฯ อ้างแล้ว หน้า ๓๖
    (๑๗) เรื่องตั้งพระราชาคณะผู้ใหญ่ ฯ อ้างแล้ว หน้า ๑๔๑-๑๔๒
    (๑๘) สาส์นสมเด็จ (ลายพระหัตถ์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ฯ องค์การค้าของคุรุสภา๒๗๖) เล่ม ๒๓ หน้า ๑๒๖
    (๑๙) ทำเนียบสมณศักดิ์รองสมเด็จพระราชาคณะ ฯ อ้างแล้ว หน้า ๘๔
    (๒๐) เรื่องแต่งตั้งพระราชาคณะผู้ใหญ่ในกรุงรัตนโกสินทร์ อ้างแล้ว หน้า ๑๔๒
    (๒๑) พระประวัติตรัสเล่า. (พระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ฉบับพิมพ์ครั้ง ๒/๒๔๙๔ มหามกุฎราชวิทยาลัย) หน้า ๓
    (๒๒) คำบอกเล่าของพระธรรมปัญญาจารย์ (ทิม อุฑาฆิโม) แต่ครั้งยังเป็นที่พระเทพเมธากร อ้างในทำเนียบสมณศักดิ์รองสมเด็จพระราชาคณะ ฯ อ้างแล้ว หน้า ๘๕
    (๒๓) มหามกุฎราชานุสสณีย์ (มหามกุฎราชวิทยาลัยพิมพ์เฉลิมพระเกียรติสมัยครบ ๑๐๐ ปี จากวาระเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๕๑๑). หน้า (๕๒)-(๕๖)
    (๒๔) ลิลิตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชใน พระนิพนธ์ต่างเรื่อง (ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส มหามกุฎราชวิทยาลัย ๒๕๑๔) หน้า ๒๔๘
    (๒๕) ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร อ้างแล้ว หน้า ๖๘-๖๙
    (๒๖) พระประวัติตรัสเล่า อ้างแล้ว หน้า ๙๙
    (๒๗) กฎหมายรัชกาลที่ ๕ (หลวงรัตนาญัปติ (เปล่ง) อธิบดีกรมอัยการ รวบรวม). หน้า ๘๓๘
    (๒๘) พระพุทธศาสนากับพระมหากษัตริย์ไทย. (ของเสทื้อน ศุภโสภณ คลังวิทยา ๒๕๐๕). หน้า ๒๔๒-๔
    (๒๙) โสฬสปัญหา (สมเด็จพระสังฆราช (สา) ทรงนิพนธ์ ในการปลงศพม่อมหลวงดวงเดือน ดารากร ๒๔๖๗) คำนำ หน้า ข
    (๓๐) พระมงคลวิเสสกถา หลักสูตรนักธรรมชั้นเอก (ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส มหามกุฏราวิทยาลัย พิมพ์ครั้งที่ ๑๒/๒๕๐๓) คำนำ หน้า ก
    (๓๑) ทำเนียบสมณศักดิ์รองสมเด็จพระราชาคณะ ฯ อ้างแล้ว หน้า ๙๐

    [​IMG]



    .



    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทธสิริ)

    [​IMG]
    สมเด็จ พระวันรัต(ทับ พุทธสิริ) วัดโสมนัสวิหารเป็น สมเด็จพระวันรัตองค์ที่ 12 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ท่าน เป็นมหาเถระองค์หนึ่งในจำนวนพระมหาเถระ 10 องค์ผู้เป็นต้นวงศ์ธรรมยุติกนิกาย เป็นเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายใต้เป็นพระมหาเถระที่มีความ รู้แตกฉานในพระไตรปิฎก เป็นนักกรรมฐานที่ชอบธุดงค์ เป็นผู้ที่มีปฏิปทามุ่งพระนิพาน และเป็นนักปฏิบัติที่เคร่งครัด ต่อพระธรรมวินัยมากท่านมีอาจารสมบัติที่ประทับใจ น่าเลื่อมใสและเป็นสมเด็จที่ทรงเกียรติคุณควรแก่ การเคารพบูชามากองค์หนึ่งของประเทศไทย
    ชาติภูมิ
    สมเด็จพระวันรัต วัดโสมนัสวิหาร มีนามเดิมว่า ทับ มีฉายาว่า พุทฺธสิริ ท่านเกิดเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2349 ในรัชกาล ที่1 ณ. หมู่บ้านสกัดน้ำมันปากคลองผดุงกรุงเกษม ฝั่งตะวันออก ใกล้วัดเทวราชกุญชร กรุงเทพมหานคร โยมบิดาชื่อ อ่อน ผู้คนนิยมเรียกว่าท่านอาจารย์อ่อน โยมมารดาชื่อคง ท่านเป็นบุตรคนโตในตระกูล นี้ กล่าวกันว่าครอบครัวของท่านเป็นชาวกรุงเก่า แต่เมื่อกรุงศรีอยุธยา เสียแก่พม่าเมื่อพ.ศ. 2310 ก็ได้อพยพเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ

    การศึกษาเมื่อปฐมวัย
    ในรัชกาลที่ 2 เมื่อท่านมีอายุ 9 ขวบ ได้เข้าเรียนอักษรสมัยอยู่ที่วัดภคินีนาถแล้วต่อมาได้ เข้าเรียนบาลีโดยเรียนสูตรมูลกัจจายน์ อยู่ที่วัดมหาธาตุ คือได้เรียนบาลีตั้งแต่สมัยที่ยังไม่ได้บวช ครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงดำรงพระยศเป็นพระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงพอพระราชหฤทัยในตัวท่านจึงทรงให้อุปการะใน การเล่าเรียนศึกษาพระปริยัติธรรม ของท่าน ทรงจัดสอบความรู้ผู้ที่เรียนสูตรเรียนมูลที่วังเนื่องๆ ท่านได้ไปสอบถวาย โปรดทรงประทานรางวัล จึงได้ทรงเมตตาในตัวท่านแต่นั้นมา

    การบรรพชาอุปสมบท
    ท่านได้บรรพชาเมื่ออายุเท่าไร ยังไม่ปรากฎหลักฐาน ทราบแต่ว่าท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดสังเวชวิศยาราม บางลำภู ครั้นได้ บรรพชาเป็นสามเณรแล้ว รัชกาลที่3ในสมัยที่ยังดำรง พระยศเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ได้ทรงโปรดให้ท่านไปอยู่ที่วัดราชโอรส อันเป็นวัดที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ครั้นเมื่ออายุครบอุปสมบทแล้ว คุณโยม ของท่านจึงให้ท่านมาอุปสมบทที่วัดเทวราชกุญชรอันเป็นวัดที่ตั้งอยู่ใกล้ บ้านเดิม ท่านจึงได้อุปสมบทเมื่อปีจอ พ.ศ. 2369 ที่วัดเทวราชกุญชร โดยมีพระ ธรรม วิโรจน์ (เรือง) วัดราชาธิวาส เป็นอุปัชฌาย์ พระพุทธโฆษาจารย์(ขุน) วัดโมกฬีโลกยาราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระวินัยมุนี(คง) วัดอรุณราชวราราม เป็นพระอนุกรรมวาจาจารย์ เมื่อบวชแล้วก็ได้อยู่ในสำนัก พระธรรมวิโรจน์ที่วัดราชาธิวาส ตั้งแต่นั้นมาท่านได้ไปอยู่และศึกษาเล่า เรียนในสำนักอาจารย์ นพรัตน์ ที่วัดไทรทอง (วัดเบญจบพิตร) บ้าง ที่พระมหาเกื้อวัดชนะสงครามบ้างเนืองๆ

    สอบได้เปรียญ 9 ประโยค
    ลุถึงปีวอก พ.ศ. 2379 เมื่อท่านมีพรรษา 11 อายุ 31 ปี ยังเป็นพระอันดับอยู่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอาราธนาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้า อยู่หัว (ขณะที่ทรงผนวช) เสด็จไปครองวัดบวรนิเวศวิหาร และในสมัยนั้นพระสงฆ์วัดราชาธิวาสมีทั้งพระมหานิกายและพระธรรมยุตอยู่ด้วย กัน แต่อธิบดี สงฆ์เป็นมหานิกายจึงได้โปรดให้ท่านอยู่ครองฝ่ายธรรมยุตที่วัดราชาธิวาส ครั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จมาประทับที่วัดบวรนิเวศวิหารเรียบร้อยแล้ว จึงโปรดให้ท่านเข้าแปลพระปริยัติธรรมในสนามหลวง ครั้งแรกท่านแปลได้ถึง ๗ ประโยค แล้วท่านไม่แปลต่อ รอมาอีกระยะหนึ่งจึงเข้าแปลได้อีก ๒ ประโยค รวมเป็น ๙ ประโยค หลังจากท่านเป็นเปรียญ ๙ อยู่ไม่นาน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หั วก็ทรงแต่งตั้งท่านเป็นพระราชาคณะที่พระอริยมุนี และท่านคงอยู่ที่วัดราชาธิวาสต่อมา

    เป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดโสมนัสวิหาร
    หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงลาผนวชและขึ้นครองราชย์ในปี ๒๓๙๔ แล้ว พระองค์ได้ทรงสร้างวัดโสมนัสวิหารขึ้น ด้วยพระราชทรัพย์ของพระนางโสมนัสวัฒนาวดี อัครมเหสีของพระองค์ ได้พระราชทานนามว่า วัดโสมนัสวิหาร โดยทรงวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถ เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ. ๒๓๙๖ ทรงสร้างเป็นพระอารามหลวงชั้นโทชั้นราชวรวิหาร ในเนื้อที่ ๓๑ ไร่เศษ ครั้งสิ่งก่อสร้างสำเร็จลงบ้าง พอเป็นที่อาศัยอยู่จำพรรษา ของภิกษุสามเณรได้บ้างแล้ว ใน พ.ศ. ๒๓๙๙ พระองค์ก็ได้ทรงอาราธนาสมเด็จพระวันรัต ในสมัยที่ยังเป็นพระอริยมุนี จากวัดราชาธิวาส พร้อมด้วยคณะสงฆ์ประมาณ ๔๐ รูป โดยขบวนแห่ทางเรือ ให้มาอยู่ครองวัดโสมนัสวิหาร ท่านจึงได้เป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดนี้ ท่านปกครองวัดโสมนัสวิหารมาจนกระทั่งได้ถึงมรณภาพลงเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๔

    ที่มา
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา learners.in.th/file/be_sincere/ประวัตินักเศรษฐศาตร์.doc

    พระประวัติกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์

    พระองค์ เจ้ารัชนีแจ่มจรัสทรงเป็นพระโอรสในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ (พระองค์เจ้า ยอดยิ่งยศ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) กับ เจ้าจอมมารดาเลี่ยม (เล็ก) ประสูติเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๑๙ ในพระบวรราชวัง

    เมื่อเยาว์วัยเรียนหนังสือกับมารดาที่ตำหนัก เมื่อชันษา ๕ ขวบ ก็ทรงอ่านหนังสือได้คล่อง ทรงเข้าศึกษาที่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๙ และต่อมาศึกษาภาษาอังกฤษจนถึง พ.ศ. ๒๔๓๖ จึงเข้ารับราชการในตำแหน่งนายเวร กระทรวงธรรมการ ขณะพระชันษาได้ ๑๖ ปี และได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยในกรมศึกษาธิการใน ทรงรับหน้าที่พิเศษเป็นข้าหลวงสอบไล่วิชาหนังสือไทย ทรงเป็นกรรมการพิเศษร่างพระราชบัญญัติพิจารณาความแพ่ง และทรงได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยที่ปรึกษากระทรวงพระคลังมหาสมบัติ

    เมื่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสยุโรป พ.ศ. ๒๔๔๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัสตามเสด็จด้วย และทรงศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เป็นเวลา ๒ ปี ทรงเสด็จกลับจากประเทศอังกฤษเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๒ ทรงเข้ารับราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ทรงรับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยอธิบดีกรมตรวจและกรมสารบาญชี

    พ.ศ. ๒๔๔๔ ทรงย้ายเป็นปลัดกรมธนบัตร และเจริญก้าวหน้าเป็น ผู้แทนเจ้ากรมธนบัตร เจ้ากรมกองที่ปรึกษาอธิบดีกรมประสาปน์สิทธิการ อธิบดีกรมตรวจและกรมสารบาญชี อธิบดีกรมพาณิชย์และสถิติพยากรณ์ ทรงจัดตั้งและวางรากฐานกิจการสหกรณ์ จนในที่สุดได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองเสนาบดี กระทรวงพาณิชย์

    พ.ศ. ๒๔๕๔ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัสเป็น องคมนตรี และโปรดเกล้าฯ ให้ทรงกรมฯ เป็น กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๖>>
    พ.ศ. ๒๔๖๘ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ดำรงตำแหน่งอุปนายกกรรมการหอพระสมุดสำหรับพระนคร ซึ่งต่อมาได้รวมเข้ากับกรมศิลปากร ต่อมาได้เปลี่ยนจากหอสมุดสำหรับพระนครเป็น "ราชบัณฑิตยสภา"

    พระราชวร วงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ทรงโปรดเล่นกีฬาเทนนิส ทรงพระดำริตั้ง ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย ขึ้นเมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๐
    พระรา ชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ สิ้นพระชนม์เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ด้วยพระโรคหลอดโลหิตในสมองตัน สิริพระชนมายุ ๖๘ ปี ๖ เดือน ๑๓ วัน
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระราชวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ
    พระบิดาแห่งการสหกรณ์ไทย
    พระบิดาแห่งการสหกรณ์ไทย



    ประวัติการสหกรณ์ในประเทศไทย

    การ สหกรณ์ในประเทศไทย มีมูลเหตุสืบเนื่องมาจาก เมื่อประเทศไทยได้เริ่มมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ มากขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ระบบเศรษฐกิจของชนบทก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากระบบเศรษฐกิจแบบเพื่อเลี้ยง ตัวเองมาสู่ระบบเศรษฐกิจแบบเพื่อการค้า ความต้องการเงินทุนในการขยายการผลิตและการครองชีพจึงมีเพิ่มขึ้น ชาวนาที่ไม่มีทุนรอนของตนเองก็หันไปกู้ยืมเงินจากบุคคลอื่นทำให้ต้องเสียดอก เบี้ยในอัตราสูง และยังถูกเอาเปรียบจากพ่อค้านายทุนทุกวิถีทางอีกด้วย ชาวนาจึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ตลอดเวลา ทำนาได้ข้าวเท่าใด ก็ต้องขายใช้หนี้เกือบหมด นอกจากนี้การทำนายังคงมีผลผลิตที่ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศ ถ้าปีไหนผลผลิตเสียหายก็จะทำให้หนี้สินพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆจนลูกหนี้บางราย ต้องโอนกรรมสิทธิ์ในที่นาให้แก่เจ้าหนี้ และกลายเป็นผู้เช่านา หรือเร่ร่อนไม่มีที่ดินทำกินไปในที่สุด

    จากสภาพปัญหาความยากจนของ ชาวนาในสมัยนั้น ทำให้ทางราชการคิดหาวิธีช่วยเหลือ ด้วยการจัดหาเงินทุน มาให้กู้และคิดดอกเบี้ยในอัตราต่ำความคิดนี้ได้เริ่มขึ้นในปลายรัชการที่ 5 โดยกำหนดวิธีการที่จะช่วยชาวนาในด้านเงินทุนไว้ 2 วิธี คือ วิธีที่ 1 จัดตั้งธนาคารเกษตรเพื่อให้เงินกู้แก่ชาวนา แต่ขัดข้องในเรื่องเงินทุนและหลักประกันเงินกู้ ความคิดนี้จึงระงับไป
    วิธี ที่ 2 วิธีการสหกรณ์ประเภทหาทุน วิธีนี้เกิดจากรัฐบาลโดยกระทรวงพระคลังมหาสมบัติในปัจจุบันคือ กระทรวงการคลังได้เชิญเซอร์เบอร์นาร์ด ฮันเตอร์ หัวหน้าธนาคารแห่งมัดราช ประเทศอินเดียเข้ามาสำรวจหาลู่ทางช่วยเหลือชาวนาได้เสนอว่าควรจัดตั้ง "ธนาคารให้กู้ยืมแห่งชาติ" ดำเนินการให้กู้ยืมแก่ราษฎร โดยมีที่ดินและหลักทรัพย์อื่นเป็นหลักประกันเพื่อป้องกันมิให้ชาวนาที่กู้ ยืมเงินทอดทิ้งที่นาหลบหนี้สิน ส่วนการควบคุมเงินกู้และการเรียกเก็บเงินกู้ ท่านได้แนะนำให้จัดตั้งเป็นสมาคมที่เรียกว่า "โคออเปอราทีฟ โซไซ"(Cooperative Society) โดยมีหลักการร่วมมือกันเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันซึ่งคำนี้พระราชวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณได้ทรงบัญญัติศัพท์เป็นภาษาไทยว่า "สมาคมสหกรณ์" จึงกล่าวได้ว่าประเทศไทยเริ่มศึกษาวิธีการสหกรณ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2457 แต่ก็ยังมิได้ดำเนินการอย่างไร จนกระทั่งในปี 2458 ได้มีการเปลี่ยนกรมสถิติพยากรณ์ เป็นกรมพาณิชย์และสถิติพยากรณ์ ประกอบด้วยส่วนราชการ 3 ส่วน คือ การพาณิชย์ การสถิติพยากรณ์ และการ สหกรณ์
    การจัดตั้งส่วนราชการสหกรณ์นี้ ก็เพื่อจะให้มีเจ้าหน้าที่ดำเนินการทดลองจัดตั้งสหกรณ์ขึ้นและพระราชวรวงศ์ เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ ในฐานะทรงเป็นอธิบดีกรมพาณิชย์และสถิติพยากรณ์ ขณะนั้นได้ทรงพิจารณาเลือกแบบอย่างสหกรณ์เครดิตที่จัดกันอยู่ในต่างประเทศ หลายแบบ ในที่สุดก็ทรงเลือกแบบไรฟ์ไฟเซนและทรงยืนยันไว้ใน รายงานสหกรณ์ฉบับแรกว่า "เมื่อได้พิจารณาละเอียดแล้วได้ตกลงเลือกสหกรณ์ชนิดที่เรียกว่าไรฟ์ไฟเซน ซึ่งเกิดขึ้นในเยอรมันก่อน และซึ่งมุ่งหมายที่จะอุปถัมภ์คนจน ผู้ประกอบกสิกรรมย่อมๆ เห็นว่าเป็นสหกรณ์ชนิดที่เหมาะสม ที่สุดสำหรับประเทศไทย" จากการที่พระองค์ท่าน ทรงเป็นผู้บุกเบิกริเริ่มงานสหกรณ์ขึ้นในประเทศไทย บุคคลทั้งหลายในขบวนการสหกรณ์จึงถือว่าพระองค์ทรงเป็น "พระบิดาแห่งการสหกรณ์ไทย" สำหรับรูปแบบของไรฟ์ไฟเซนก็คือ สหกรณ์เพื่อการกู้ยืมเงินที่มีขนาดเล็ก สมาชิกจะได้มีความรับผิดชอบร่วมกัน ทำให้สะดวกแก่การควบคุมท้องที่ที่ได้รับการพิจารณาให้จัดตั้งสหกรณ์ คือ จังหวัดพิษณุโลก เนื่องจากเป็นจังหวัด ที่มีผู้คนไม่หนาแน่นและเป็นราษฎรที่เพิ่งอพยพมาจากทางใต้ จึงต้องการช่วยเหลือผู้อพยพซึ่งประกอบอาชีพการเกษตร ให้ตั้งตัวได้ รวมทั้งเพื่อเป็นการชักจูงราษฎรในจังหวัดอื่นทีมีผู้คนหนาแน่นให้อพยพมาใน จังหวัดนี้ และเข้าทำประโยชน์ในที่ดินอย่างเต็มที่ ต่อมากรมพาณิชย์และสถิติพยากรณ์ จึงได้ทดลองจัดตั้งสหกรณ์หาทุนขึ้น ณ ท้องที่อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลกเป็นแห่งแรกใช้ชื่อว่า "สหกรณ์วัดจันทร์ไม่จำกัดสินใช้" โดยจดทะเบียนเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2459 มีพระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ เป็นนายทะเบียนสหกรณ์ พระองค์แรก นับเป็นการเริ่มต้นแห่งการสหกรณ์ในประเทศไทยอย่างสมบูรณ์

    ในระยะ แรกตั้งสหกรณ์วัดจันทร์ไม่จำกัดสินใช้มีสมาชิกจำนวน 16 คน ทุนดำเนินงาน 3,080 บาท ซึ่งเป็นเงิน จากค่าธรรมเนียมแรกเข้า 80 บาท และเงินทุนจำนวน 3,000 บาท ได้อาศัยเงินกู้จากแบงค์สยามกัมมาจล จำกัด ซึ่งก็คือธนาคารไทยพาณิชย์ในปัจจุบัน โดยมีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติเป็นผู้ค้ำประกัน และเสียดอกเบี้ยให้ธนาคารในอัตราร้อยละ 6 ต่อปี คิดดอกเบี้ยจากสมาชิกในอัตราร้อยละ 12 ต่อปี กำหนดให้สมาชิกส่งคืนเงินต้นในปีแรกจำนวน1,300 บาท แต่เมื่อครบกำหนดสมาชิกส่งคืนเงินต้นได้ถึง 1,500 บาท ทั้งส่งดอกเบี้ยได้ครบทุกราย แสดงให้เห็นว่าการนำวิธีการสหกรณ์เข้ามาช่วยแก้ไขความเดือดร้อนของชาวนาได้ ผล และจากความสำเร็จของสหกรณ์วัดจันทร์ดังกล่าว รัฐบาลจึงได้คิดขยายกิจการสหกรณ์ไปยังจังหวัดอื่นๆแต่การจัดตั้งสหกรณ์ใน ระยะแรกนั้น นอกจากจะมีข้อจำกัดเรื่องเงินทุนแล้วยังมีข้อจำกัดในทางกฎหมายด้วย เพราะพระราชบัญญัติเพิ่มเติมสมาคม พ.ศ. 2459 ทำให้การจัดตั้งสหกรณ์ไม่กว้างขวางพอที่จะขยายสหกรณ์ออกไป หากจะให้การจัดตั้งสหกรณ์เจริญก้าวหน้าและมีความมั่นคงจะต้องออกกฎหมายควบ คุมให้มีขอบเขตกว้าง ดังนั้นในเวลาต่อมาทางราชการจึงได้ประกาศยกเลิกพระราชบัญญัติเพิ่มเติมสมาคม พ.ศ. 2459 แล้วประกาศใช้พระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2471นับเป็นกฎหมายสหกรณ์ฉบับแรก พระราชบัญญัติฉบับนี้ ได้เปิดโอกาสให้มีการรับจดทะเบียนสหกรณ์ประเภทอื่นๆ จากนั้นได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2471อีก 3 ครั้ง นับว่าการประกาศให้พระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2471 ช่วยให้การจัดตั้งสหกรณ์ได้ขยายออกไปอีกมาก
    ปี พ.ศ. 2478 มีการริเริ่มจัดตั้งสหกรณ์เช่าซื้อที่ดินที่จังหวัดปทุมธานีและได้จัดตั้ง สหกรณ์ประเภทใหม่ๆ ขึ้นอีกหลายประเภท เช่น สหกรณ์บำรุงที่ดินสหกรณ์ค้าขาย สหกรณ์นิคมฝ้าย สหกรณ์หาทุนและบำรุงที่ดิน ในปี พ.ศ. 2480 ร้านสหกรณ์ได้ถูกจัดตั้งขึ้นเป็นแห่งแรกที่อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชื่อว่าร้านสหกรณ์บ้านเกาะ จำกัดสินใช้ มีสมาชิกแรกตั้ง279 คน และได้มีการจัดตั้งร้านสหกรณ์ในลักษณะนี้อีกหลายแห่งเพื่อช่วยเหลือ ประชาชนเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพ โดยจัดตั้งขึ้น ทั้งในส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และส่วนของประชาชน การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดของขบวนการสหกรณ์ในประเทศไทย ก็คือการควบสหกรณ์หาทุนเข้าด้วยกัน โดยทางราชการได้ออกพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2511 เปิดโอกาสให้สหกรณ์หาทุนขนาดเล็กที่ดำเนินธุรกิจเพียงอย่างเดียวควบเข้ากัน เป็นขนาดใหญ่ สามารถขยายการดำเนินธุรกิจเป็นแบบอเนกประสงค์ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่สมาชิก ได้มากกว่า ด้วยเหตุนี้สหกรณ์หาทุนจึงแปรสภาพเป็นสหกรณ์การเกษตรมาจนปัจจุบัน และในปี 2511 สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทยได้ถือกำเนิดขึ้นมา เพื่อเป็นสถาบันสำหรับให้การศึกษาแก่สมาชิกสหกรณ์ทั่วประเทศ มีหน้าที่ติดต่อประสานงานกับสถาบันสหกรณ์ต่างประเทศ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์และความช่วยเหลือ ร่วมมือกันระหว่างสหกรณ์สากลในด้านอื่นๆ ที่มิใช่เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจโดยมีสหกรณ์ทุกประเภทป็นสมาชิก ซึ่งประเทศไทยได้กำหนดประเภทสหกรณ์ไว้ 6 ประเภท ตามประกาศกฎกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2516 ประกอบด้วยสหกรณ์การเกษตร สหกรณ์นิคม สหกรณ์ประมง สหกรณ์ออมทรัพย์ สหกรณ์ร้านค้า และสหกรณ์บริการ

    ซึ่ง นับแต่สหกรณ์ได้ถือกำเนิดขึ้นในประเทศไทยจวบจนปัจจุบัน ผลการดำเนินงานของสหกรณ์ในธุรกิจต่างๆ ได้สร้างความเชื่อถือเป็นที่ไว้วางใจของสมาชิกจนทำให้จำนวนสหกรณ์ จำนวนสมาชิก ปริมาณเงินทุน และผลกำไรของสหกรณ์ เพิ่มขึ้นทุกปี ปัจจุบันมีสหกรณ์ทั่วประเทศ ณ วันที่ 1 มกราคม 2542 ประมาณ 5,549 สหกรณ์ และสมาชิก 7,835,811 ครอบครัว การสหกรณ์ในประเทศไทยจึงมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยเฉพาะ ต่อประชาชนที่ยากจน สหกรณ์จะเป็นสถาบันทางเศรษฐกิจและสังคมที่ช่วยแก้ไขปัญหาในการประกอบอาชีพ และช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น



    ที่มา : กรมส่งเสริมสหกรณ์



     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  7. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    :::เพชร:::, newcomer, nongnooo, sithiphong, ปฐม

    สวัสดียามดึกทุกท่านครับ
    วันนี้กลับบ้านดึก ไปทานข้าวเป็นเพื่อนคุณแม่ที่บ้านอ่ะครับ ฝนตกทุกวัน ระวังสุขภาพด้วยนะครับ
     
  8. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    ใช่พระรอดเหรอเปล่าครับ ถ่ายชัดดีจังเรยครับ รอชม Top3 ของคุณลุงข้างบ้านอยู่นะครับ :cool:
     
  9. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    พระสมเด็จ ทรงเจดีย์พิมพ์พิเศษ นอกพิมพ์นิยม ถวายรัชกาลที่ ๔ เมื่อคราวฉลองกรุงเทพมหานคร ๘๐ ปี พ.ศ ๒๔๐๕
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1010177.JPG
      P1010177.JPG
      ขนาดไฟล์:
      277.7 KB
      เปิดดู:
      69
  10. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    พระงามจัง ถ่ายสวยอีกด้วย ใช้กล่องไฟช่วยหรือเปล่าครับ
     
  11. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    แสง daylight ครับ หลบเงาสะท้อนไม่ไหว พระพิมพ์สังกัจจายยะ เป็นพิมพ์ที่ถ่ายยากมาก เพราะเงาสะท้อนไปทุกด้าน คือทรงอ้วนกลมมากครับ
     
  12. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ดึกๆดื่นๆ ยังมาชวนทานก๋วยเตี๋ยวอีก s6..s6..ครัวลงพุงยามดึกครับ
     
  13. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    ขอบคุณครับ ลองทำกล่องไฟซิครับใช้ฉากหลังดำ แสงจากข้างบน น่าจะช่วยลดเงาสะท้อนได้อ่ะครับ ผมจะลองดูเหมือนกัน ส่วนใหญ่จะถ่ายแต่นาฬิกาไม่ค่อยได้ถ่านพระอ่ะครับ

    รูปนี้ถ่ายด้วยกล่องไฟอ่ะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • tom3.jpg
      tom3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      62.4 KB
      เปิดดู:
      38
  14. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    องค์นี้ก็งามมากครับ พุทธคุณทางด้านไหนอ่ะครับ
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 25 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 22 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong, :::เพชร:::+, Pinkcivil</td></tr></tbody></table>
    สวัสดีครับ

    ไปพักผ่อนแล้วนะครับ

    อย่าลืมไปทานก๋วยเตี๋ยวกันนะครับ

    กระทู้ รวมก๋วยเตี๋ยว ที่ไม่ธรรมดา vbvb

    ราตรีสวัสดิ์ครับ



    .



    .
     
  16. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    ไปดูแล้วหิวอ่ะพี่ น่ากินไปหมดเรยครับ(ping-love(ping-love(ping-love(ping-love
    ปล. วันนี้ไปตรวจหมอว่ายังไงบ้างครับ ผมว่าพักผ่อนไม่พอแน่เรย ดูจากที่โพสตื่นกันเช้ามากเรยครับ
     
  17. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    องค์นี้งามจังเลยครับพี่เพชร ว่าแต่พี่ท่านนี้มีพระที่หายากๆทั้งนั้นเลยนะครับหุหุหุ
     
  18. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    ขออนุญาตนำรูปไปเผยแพร่

    เรียนพี่หนุ่มครับ
    จากหน้า 583 มีรูปพี่หนุ่มถ่ายออร่า ผมพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นรูปธรรมมองเห็นได้ ซึ่งผู้คนที่ไม่เคยห้อยพระบูชาติดตัวจะได้เกิดปัญญาพิจารณาไว้
    หากอนุญาตแล้วผมขอนำรูปไปลงใน Blog นะครับ จะเป็นรูปออร่าที่พี่หนุ่มห้อยพระวังฯ และตอนไม่ได้ห้อยพระเลย (รูปปิดหน้า) และผมจะอ้างอิงที่มาของภาพให้ด้วยครับ
    ขอบคุณครับ
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มาแจ้งข่าว

    บ้านคุณณฑนน น้ำไม่ได้เข้าตัวบ้าน เนื่องจากอยู่ที่สูง แต่เดินไปที่ซอยบ้าน น้ำครึ่งเอว

    บ้านคุณเฉลิมพล ตอนนี้กำลังใช้กระสอบทรายกั้นน้ำอยู่ น้ำยังทรงๆตัวอยู่

    ส่งกำลังใจไปช่วยคุณณฑนน , คุณเฉลิมพล และชาวโคราช และผู้ประสบภัยน้ำท่วมกันครับ

    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    ยินดีครับ

    ควรแจ้งด้วยว่า การเลี่ยมพระที่ผมเลี่ยม เป็นการเลี่ยมโดยเจาะรูที่กรอบด้วยครับ

    .

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...