กรมหลวงชุมพรฯ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ๛อาภากร๛, 2 กันยายน 2010.

  1. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    [​IMG]
    หม่อมเจ้ารังษิยากร อาภากร
    พลอากาศโท หม่อมเจ้ารังษิยากร อาภากร (11 สิงหาคม พ.ศ. 2449 - 30 ธันวาคม พ.ศ. 2508) ทรงเป็นพระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์กับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพย์สัมพันธุ์ ทรงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีสั่งราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเมื่อ พ.ศ. 2491 หลังจากนั้นทรงรับราชการในกองทัพอากาศในตำแหน่งรองผู้บังคับการกองบินยุทธการในปี พ.ศ. 2501 จากในโอนไปรับราชการกระทรวงการต่างประเทศในตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ สิ้นชีพตักษัยเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2508

    หลวงปู่ศุขให้ตะกรุดสามกษัตริย์
    ในคราวหนึ่งกรมหลวงชุมพรฯ ได้เสด็จไปเยี่ยมหลวงปู่ศุขที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า มีจางวางถึกตามเสด็จไปด้วย พร้อมกับทหารเรืออีกหลายนาย และวันนั้นหลวงปู่ศุขได้ทำพิธีลงตะกรุดสามกษัตริย์ให้เสด็จในกรมซึ่งขณะนั้น เป็นเวลา 12.00 น. พอดี หลวงปู่ได้กล่าวกับเสด็จในกรมว่า

    “วิชาอาคม ต่าง อาตมภาพได้ประสิทธิ์ประสาทให้พระองค์ไว้มากแล้ว แต่ยังขาดของสำคัญอีกสิ่งหนึ่ง สิ่งนี้พระองค์จะขาดไม่ได้เพราะจะต้องติดตัวไว้กับพระองค์เสมอ เป็นของวิเศษที่มีอภินิหารมาก”

    นอกจากนี้หลวงปู่ได้ตระเตรียมสิ่งของ ไว้ให้คือ แผ่นโลหะเป็นเงินหนัก 1 บาท นาคหนัง 1 บาท ทองคำหนัก 1 บาท รวมเป็น 3 กษัตริย์ สามารถแก้อาถรรพณ์ต่าง ได้

    เมื่อลงตะกรุดแล้ว เอาด้ายสายสิญจน์มาเสกแล้วควั่นร้อยผูกเอวหรือจะคล้องคอก็ได้ ของสิ่งนี้แหละที่หลวงปู่ศุขตั้งใจทำถวาย และกล่าวกับพระองค์อีกว่า “รอเดี๋ยว เข้าที่บูชาก่อน”

    จากนั้นหลวงปู่ก็เข้าห้อง จุดธูปเทียนจนควันตลบออกมาถึงข้างนอก สักครู่หนึ่งจึงเรียกเสด็จในกรมเข้าไปในห้อง ครู่ใหญ่ทั้ง 2 ก็เดินออกมาจากห้อง ในมือของหลวงปู่ศุขถือเหล็กกับแผ่นโลหะและด้ายควั่นสีขาว อีกมือหนึ่งถือเทียนเล่มโตนำเสด็จในกรมลงจากกุฏิ จางวางถึกและทหารคนสนิทรีบก้าวตามออกไปด้วยจนถึงศาลาน้ำหน้าวัด หลวงปู่จึงพูดว่า

    พระองค์รออยู่ที่นี่เดี๋ยว อาตมาจะระเบิดน้ำลงไปทำตะกรุดที่กลางแม่น้ำเดี๋ยวนี้”

    กรมหลวงชุมพรฯ มิได้ตรัสตอบแต่ประการใด คงยืนนิ่งอยู่ที่ศาลาพร้อมด้วยเหล่าทหารคนสนิท ส่วนหลวงปู่ศุขก็หันตัวก้าวเดินลงบันไดท่าน้ำ มีเทียนเล่มใหญ่จุดไฟลุกโชติช่วง ตัวท่านค่อย จมหายไปในน้ำในที่สุด

    ทุกคนเฝ้ามองด้วยใจระทึก เพราะเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก น้อยคนจะมีโอกาสเช่นนี้ หลายคนเฝ้าจับจ้องท้องน้ำอย่างใจจดใจจ่อ ท่ามกลางสายน้ำที่ไหลวกวนไปมา นานเกือบหนึ่งชั่วโมง หลวงปู่จึงเดินขึ้นมาที่บันไดศาลาท่าน้ำ เทียนยังสว่างเหลือเพียงคืบกว่า ผ้าสบง จีวร หาได้เปียกน้ำอะไรมากมาย

    หลวงปู่ขึ้นมาแล้ว ก็มุ่งสู่กุฏิทันที แต่ก็ไม่ลืมหันมาสั่งเสด็จในกรมฯ ให้ไปกุฏิพร้อมกัน เมื่อเดินไปถึงและเข้าห้องบูชา หลวงปู่เอาเทียนที่เหลือปักไว้บนโต๊ะหมู่บูชา จึงได้นั่งลง หลวงปู่ศุขส่งตะกรุดสามกษัตริย์ให้เสด็จในกรมฯ พลางว่า

    “เก็บไว้ให้ดี ไปไหนมาไหนก็ให้เอาติดตัวไปด้วย”

    พระองค์ทรงกราบแล้วรับเอาตะกรุดจากหลวงปู่ พลางตรัสถามว่า “ท่านอาจารย์ ตะกรุดนี้มีข้อห้ามอะไรหรือไม่” หลวงปู่บอก “ไม่มีห้ามอะไร ทองคำตกอยู่ที่ไหนก็เป็นทองคำอยู่นั่นแหละ”

    จากนั้นหลวงปู่เอาพระ เครื่ององค์เล็กดำ มาแจกให้เหล่าทหารที่ตามเสด็จพร้อมกับประพรมน้ำมนต์ให้ทั่วหน้า จนเวลา 15.30 น. พระองค์จึงได้มาลงเรือและเสด็จกลับ

    ตะกรุดสามกษัตริย์นี้ กรมหลวงชุมพรฯ มิเคยเอาออกห่างพระวรกายเลย เท่าที่ทราบมาตะกรุดดอกนี้ตกอยู่ที่หม่อมเจ้ารังสิยากร เนื่องจากก่อนที่เสด็จในกรมจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงหยิบตะกรุดสามกษัตริย์ดอกนี้ออกจากคาดเอว มอบให้กับหม่อมของท่าน
    ทรงรับสั่งว่า “เอาเก็บไว้ให้เจ้าตุ่น”


    เจ้าตุ่น” นี้คือหม่อมเจ้ารังสิยากร โอรสพระองค์โปรดของเสด็จในกรม

    ในช่วงสมัยมหาสงครามเอเชียบูรพา (เสด็จในกรมสิ้นพระชนม์แล้ว) หม่อมเจ้ารังสิยากรประทับอยู่ใกล้วัดคอกหมู คลองบางหลวง ฝั่งธนบุรี วันนั้นเวลา 10.30 น. ฝูงบินฝ่ายสัมพันธมิตรส่งป้อมบินมาทิ้งระเบิดฐานทัพญี่ปุ่น เครื่องบินสีน้ำเงินสะท้อนแสงอาทิตย์วับวาวเต็มท้องฟ้า

    หม่อมเจ้ารังสิยากรแหงนหน้ามองฝูงบินที่บินผ่านไปพร้อมกับพูดกับนายทหารผู้หนึ่งที่ ยืนมองดูเครื่องบินด้วยกัน “นี่เครื่องบิน บี.27” ฉับพลันนั้น ก็ได้ยินเสียงลูกระเบิดที่ลงถล่มทางปากคลองตลาดเทเวศร์สนั่นหวั่นไหว นายทหารผู้นั้นทำความเคารพก่อนจะถามหม่อมเจ้ารังสิกากรว่า “ฝ่าบาทไม่กลัวลูกระเบิดหรือ” หม่อมเจ้ารังสิยากรได้ฟังก็ควักเอาตะกรุดขึ้นจากกระเป๋าเสื้อชูให้ดู แล้วพูดว่าจะต้องกลัวอะไร นี่..เสด็จพ่อให้ของดีไว้”

    ใช่แล้ว เป็นตะกรุดสามกษัตริย์ที่หลวงปู่ศุขทำถวายกรมหลวงชุมพรฯ นั่นเอง
    [music]http://palungjit.org/attachments/a.1174250/[/music]​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2010
  2. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ขอคัดลอกเรื่องของหม่อมของกรมหลวงชุมพร และ ตํานานแม่นาคพระโขง

    ปั้นเหน่ง คือ เข็มขัด เป็นราชาศัพท์ สมเด็จโต ท่านนําหน้าผากของแม่นาคมาไว้ที่ประคต
    ประคต คือ เข็มขัด หรือ ที่คาดเอวของพระ
    ปั้นเหน่งแม่นาค ที่ครั้งหนึสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ได้กําราบ ผีเฮี้ยนแห่งบางพระโขนงได้แล้ว ก็ได้ทําการ เจาะกระโหลก และนําส่วนหน้าผากของแม่นาค มาลงอักขระ พกไว้ติดตัวตลอดมาติดกับประคต และ มาอยู่ในมือของกรมหลวงชุมพรในภายหลัง เรื่องความเฮี้ยนบรรดาหม่อมของพระองค์ทราบดี ก็ไปนํามาจากเวปของผมอีกเวปหนึ่งครับ
    กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์(ทําเวปเสด็จเตี่ยไว้เยอะลืมจะหมดละ)

    หลวงพ่อพริ้ง วัดบางประกอก ไปมาหาสู่ระหว่างวัดกับวังนางเลิ้งเสมอ โอรสเสด็จในกรมฯพระองค์หนึ่งคือ หม่อมเจ้าคำแดงฤทธิ์ เคยประชวรหนัก รักษาทั้งยาฝรั่ง ยาไทย เวทมนตร์คาถาก็ไม่หาย เสด็จในกรมฯเลยรับสั่งให้บนบวช 10 วัน ปรากฏว่าได้ผล หายประชวร ทั้งครอบครัวเลยต้องไปจำศีลอยู่ที่วัดบางประกอกเกือบเดือน

    หน้าผากแม่นาคพระโขนงนั้นตกทอดเป็นลำดับจากสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) มาถึงหม่อมเจ้าพระพุทธปาธปิลันทร์ และหลวงพ่อพริ้ง


    เล่ากันสืบมาว่า สมัยนั้นแม่นาคอาละวาดผู้คน ชาวบ้าน พระ เณรแถบย่านคุ้งน้ำพระโขนงจนได้รับความเดือดร้อน สมเด็จโตจึงต้องเดินทางไปปราบด้วยพุทธคุณ เจาะกะโหลกแม่นาค ขนาดความกว้างประมาณ นิ้วครึ่ง - 2 นิ้ว ยาว 4 นิ้ว (โดยประมาณ) มาขัดมัน ลงอักขระ ปิดทองและติดย่ามไปไหนด้วยเสมอ แม้ว่าแม่นาคจะซาบซึ้งในรสธรรม แต่ก็ยังคงมีนิสัยชอบหยอกล้อสามเณรอยู่เหมือนเดิม ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร ณ อยุธยา เมื่อครั้นที่มาบวชเป็นสามเณรที่วัดระฆัง ก็โดนการหยอกล้อจนสมเด็จโตต้องล้วงกะโหลกแม่นาคออกจากย่ามแล้วบอกว่า โยมนาค อย่าไปกวนสามเณรเลย เมื่อกะโหลกแม่นาคตกทอดมาถึงพระพุทธปาธปิลันทร์ก็มีการกล่าวตักเตือนกันอีก หลังจากที่หลวงพ่อพริ้งส่งมอบกะโหลกแม่นาคให้กรมหลวงชุมพรฯ พระองค์ท่านทรงเอามาเจาะรูทำเป็นปั้นเหน่งรัดบั้นพระองค์ติดตัวไปด้วยเสมอ เมื่อประทับอยู่ในตำหนักจะใส่พานวางไว้ที่ห้องพระ และทรงบอกเล่าให้หม่อมทุกคนได้ฟังเพื่อให้รับรู้ถึงความสำคัญ กระนั้นแม่นาคก็เคยปรากฏกลิ่นถึง 2 ครั้งที่ตำหนักนางเลิ้ง

    [​IMG]
    ภาพหม่อมของเสด็จเตี่ย (นั่งกลาง)ท่านหญิงทิพยสัมพันธ์
    (ด้านหน้าจากซ้าย)หม่อมช้อย,หม่อมเมี้ยน
    (แถวยืนจากซ้าย)หม่อมแจ่ม,หม่อมกิม,หม่อมแฉล้ม

    หม่อมแจ่ม หรือหม่อมองค์น้อย นั้นเป็นคนกล้าหาญ ไม่ค่อยเกรงกลัวใคร นอกเหนือจากเสด็จในกรมฯเท่านั้น วันหนึ่งเพื่อนๆของหม่อมได้แวะมาเยี่ยมเยือน การสนทนาวันนั้นได้วกเข้าหาเรื่องแม่นาค จนเกิดการท้ากันว่า หากหม่อมไม่กลัวก็ให้เดินเข้าห้องพระ เมื่อหม่อมแจ่มเดินเข้าห้องพระ ปรากฏว่ามีกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งไปหมดจนต้องเผ่นหนีออกมาจากห้องพระ


    เสด็จในกรมฯตรัสว่า คนที่แม่นาคไม่พอใจจะเห็นร่างของแม่นาคในแบบที่น่ากลัว มีกลิ่นเหม็น ดังนั้นจึงไม่ควรไปท้าเขา กลัวหรือไม่กลัวก็เฉยๆ ซะ ส่วนคนที่แม่นาคพอใจจะมาหยอกล้อด้วยแบบที่สวยงาม กลิ่นหอมชื่นใจ

    อีกคราวหนึ่ง ขณะกำลังเสวยพระกระยาหารอยู่นั้น พระองค์ได้ตรัสกับบรรดาหม่อมทั้งหลายว่า ใครอยากจะคุยกับแม่นาคก็ได้ หม่อมแจ่ม อีกนั่นแหละที่ขอทดสอบ เสด็จในกรมฯจึงส่งหน้าผากแม่นาคให้ เมื่อถึงเวลาเข้านอน หม่อมแจ่มได้อธิษฐานขอให้แม่นาคมาอย่างงดงาม สักครู่ใหญ่ๆจึงได้กลิ่นเหม็นไหม้ ยิ่งนานก็ยิ่งอบอวลหนักขึ้น หม่อมแจ่มจึงรีบนำเอากะโหลกหน้าผากแม่นากไปคืนเสด็จฯทันที พร้อมกับทูลถึงเรื่องที่เจอมา พระองค์ทรงพระสรวลและตรัสว่า รออีกสักประเดี๋ยวก็เห็นแล้ว หลังจากนั้นไม่มีใครกล้าลองของอีก

    กระทั่งวันหนึ่ง ระหว่างอยู่ที่โต๊ะเสวย เสด็จเตี่ยได้ตรัสว่า แม่นาคเขาลาไปเกิดแล้ว

    เมื่อสิ้นเสด็จในกรมฯ สมบัติชิ้นนี้ได้ตกทอดอยู่ในการดูแลของนายเทียบ อุทัยเวช น้องชายของหม่อมแจ่ม ซึ่งเป็นมหาดเล็กคู่พระทัย ในตำแหน่งพลทหารเรือ ฝ่ายเสนารักษ์ หลังออกจากราชการ ได้ทำหน้าที่ดูแลศาลเสด็จเตี่ยเชิงสะพานเทวกรรม นางเลิ้ง ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของตำหนัก ปั้นเหน่งแม่นากเคยเก็บไว้ที่ศาลแห่งนี้ จนเมื่อมีการตัดถนนจึงได้โยกย้ายศาลดังกล่าวไปที่วัดโพธิ์ ปรากฏต่อมาว่า ของชิ้นนี้สูญหายไป

    เนื่องจากเสด็จในกรมฯมีพระอาจารย์หลายท่าน ดังนั้นจึงเชื่อกันว่า วิชาของท่านที่ร่ำเรียนมานั้นน่าจะมากกว่านี้ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องราวทางไสยเวทของกรมหลวงชุมพรฯที่มีการบันทึกไว้เป็นเกร็ดโดย หม่อมเจ้าเริงจิตรแจรง พระธิดาของเสด็จในกรมฯ เท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2010
  3. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    [​IMG]

    อีตุ้น หมายถึง หม่อมเจ้ารังษิยากร อาภากร เป็นโอรสทรงโปรดมาก
    จ๋า คือ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
    เป็นจดหมาย ที่กรมหลวงชุมพรฯ ทรงเขียนบนเรือเพื่อมอบให้ หม่อมเจ้ารังษิยากร มีภาพวาดในจดหมายด้วย

    [​IMG]
     
  4. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    [​IMG]
    นอกจากตะกุดสามกษัตริย์ ที่หลวงปู่ศุขทําขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อมอบให้กรมหลวงชุมพร ก็ยังคงมีเครื่องรางอื่นอีกที่เสด็จเตี่ยทรงใช้เป็นประจํา
    รวมถึงพระขรรค์โสฬส ด้วย ซึ่งจะมาเล่าให้ฟังในภายหลัง

    หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อมเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปก็เนื่องมาจากว่าในสมัยที่กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ยังมีพระชนมชีพอยู่นั้นนายพอนจันทร์ประเสริฐหลานชายแท้ๆคนหนึ่งของหลวงพ่อถูกเกณฑ์มาเป็นทหารเรือหลวงพ่อคงก็มอบตะกรุดให้ติดตัวไว้ดอกหนึ่งอยู่มาวันหนึ่งพลฯพอนได้ถูกสั่งให้กรรเชียงเรือให้กรมหลวงชุมพรฯกรมหลวงชุมพรฯท่านเห็นท่าทางเข้าทีเลยถามว่า "เป็นทหารจังหวัดไหน" พลฯพอนจึงตอบว่า "ทร.1 ครับ" หมายถึงสมุทรสงครามท่านก็ว่า "ไอ้พวกทร.1 นี้มันเกเรดีนัก เป็นลูกศิษย์ใคร" พลฯพอนก็ตอบว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อคงวัดบางกะพ้อมครับหลังจากวันนั้นท่านก็เลยอุปการะเลี้ยงดูจนพลฯพอนได้เป็นถึงเรือโทได้รับพระราชทานทินนามว่าหมื่นสท้านทั่วทิศมีตำแหน่งเป็นผู้คุมสมอแดง (เรือนจำทหารเรือ) ปรากฏว่านักโทษทหารเกรงกลัวกันนักถึงกับเรียก..พอนจันทร์ประเสริฐว่า "คุณพ่อ"

    ลิงหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัวฉะเชิงเทรา (ศิลป์นั่งคุกเข่าถือกระบองหางตวัดเป็นขอเบ็ดการสร้างลิงของท่านมีกรรมวิธีที่ยุ่งยากซับซ้อนมากวัสดุที่นำมาใช้เป็นรากพุดซ้อนที่ไหลไปทางทิศตะวันออกท่านจะปลุกเสกโดยการนั่งทับอาวุธต่างๆที่คลุมด้วยหนังเสือในเครื่องรางที่กรมหลวงชุมพรฯเคยทดลองยิงแล้วไม่ออกครับ
     
  5. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    [​IMG]
    พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์
    หม่อมเจ้าชายสมรบำเทอง อาภากร,หม่อมเจ้าครรชิตพล อาภากร,หม่อมเจ้าเริงจิตร์แจรง อาภากร, หม่อมเจ้าชายดำแคงฤทธิ์ อาภากร
    [​IMG]
    หม่อมเจ้าครรชิตพล อาภากร,หม่อมเจ้าเริงจิตร์แจรง อาภากร, หม่อมเจ้าชายดำแคงฤทธิ์ อาภากร,หม่อมเจ้าหญิงศิริมาบังอร อาภากร,หม่อมเจ้าชายสมรบำเทอง อาภากร,หม่อมเจ้าจารุพัต อาภากร
    [​IMG]
    หม่อมเจ้าจารุพัต อาภากร,เจ้าจอมมารดาโหมด,หม่อมเจ้าหญิงสุริยนันทนา(ราชสกุลสุริยง),หม่อมเจ้าหญิงศิริมาบังอร อาภากร
    [​IMG]
    หม่อมกิม อาภากร ณ อยุธยา พร้อมธิดา
    หม่อมเจ้าเริงจิตร์แจรง อาภากร,หม่อมเจ้าจารุพัต อาภากร(ศุภชลาศัย)

    [​IMG]
    พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์
    พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์
    [​IMG]
    หม่อมเจ้าหญิงศิริมาบังอร อาภากร

    เดี๋ยวมีเรื่องอาถรรพ์ วันอาภากร อันเป็นปริศนา เลขอาถรรพ์ของครอบครัวเสด็จเตี่ยมาเล่าให้ฟัง เป็นความแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ที่จะเกิดให้เห็นไม่บ่อยมากนัก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2010
  6. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580

    ภาพนี้ใช้เวลาดูนานมากกว่าภาพอื่น เพราะ หม่อมกิมตามในภาพ มีลักษณะคล้ายคลึงกับพระชายาเจ้าดารารัสมีเป็นอย่างมาก แต่เมื่อพิจรณา ตามพระประวัติ พระราชธิดาของพระชายาเจ้าดารารัสมี ซึ่งก็คงเสียชีวิตตั้งแต่อายุไม่ครบ 4 ปี

    ภาพเด็กในภาพจึงไม่น่าใช่ พระองค์เจ้าหญิงวิมลนาคนพีสี และลักษณะเด็กหญิงในภาพ คล้ายคลึงกับ พระธิดาของกรมหลวงชุมพรมากกว่า โดยเฉพาะ
    หม่อมเจ้าจารุพัต อาภากร จึงพิรณาเห็นว่าควรจะเป็น พระธิดาในราชสกุลอาภากร แต่พระชันษาของพระชายาเจ้าดารารัสมี กับ อายุของเด็กในภาพ ก็ยังประจวบเหมาะกันพอดี

    พระชายาเจ้าดารารัสมีมีพระธิดาองค์เดียวคือ พระองค์เจ้าหญิงวิมลนาคนพีสี
    หม่อมกิมมีธิดา 3 คน พระธิดาองค์เล็กเสียชีวิตตั้งแต่อายุ 3 เดือน จึงเหลือธิดาเพียง 2 คน

    เมื่อพิจรณาจาก วันเดือนปีเกิดของ ทั้ง หม่อมเจ้าจารุพัต อาภากร และพระชายาเจ้าดารารัสมีแล้ว ก็อาจจะเป็นไปได้ที่จะทรงถ่ายร่วมกัน ก็แล้วแต่จะพิจรณานะครับ แต่ผมขออ้างอิงตามชื่อที่ลงใต้ภาพครับ คือ หม่อมกิม อาภากร ณ อยุธยา หม่อมเจ้าเริงจิตร์แจรง อาภากร,หม่อมเจ้าจารุพัต อาภากร(ศุภชลาศัย)
     
  7. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    บทความนี้เป็นการรีวิวของตัวผมเองครับ
    มาดูความอัศจรรย์ของราชสกุลอาภากร อย่างแรกครับ
    อันนี้ผมมาเจอเอง หลายท่านอาจจะเห็นเป็นเรื่องปกติ แต่สําหรับผม ก็เรียกว่าแปลก


    พระชายาเอก :หม่อมเจ้าหญิงทิพยสัมพันธ์ทรงประสูติเมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม 2428
    พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ทรงมีพระโอรสและพระธิดาอันเกิดแก่พระชายาดังนี้


    หม่อมเจ้าเกียรติอาภากรประสูติและสิ้นชีพตักษัยในวันเดียวกันประมาณปี 2446
    พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา (24 กรกฎาคม 2447 ปีมะโรง - 19 พฤษภาคม 2489)
    หม่อมเจ้ารังษิยากรอาภากร (11 สิงหาคมปีมะเมีย 2449 - 30 ธันวาคม 2508)

    บรรดาหม่อม
    1. หม่อมกิม
    2. หม่อมแฉล้ม
    3. หม่อมช้อย
    4. หม่อมเมี้ยน

    5. หม่อมแจ่ม ( น้องร่วมมารดาเดียวกับหม่อมเมี้ยน)

    6. หม่อมเพื่อน
    7. หม่อมแม้น
    8. หม่อมเดชี่





    พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ทรงมีพระโอรสและพระธิดาอันเกิดแก่หม่อมดังนี้
    หม่อมกิมอาภากรอยุธยา
    ท่านหญิงจารุพัตราศุภชลาศัย (29 พฤษภาคม.. 2447 ปีมะโรง - 21 พฤษภาคม.. 2516)
    ท่านหญิงเริงจิตร์แจรงอาภากร (7 มิถุนายน.. 2448 ปีมะเส็ง - 19 สิงหาคม.. 2536)
    หม่อมเจ้าหญิงสุคนธ์จรุงอาภากร (3 ธันวาคม.. 2449 ปีมะเมีย - 2 มีนาคม.. 2450)

    (นับแบบใหม่จะเป็น 2451)




    หม่อมแฉล้มอาภากรอยุธยา
    ท่านหญิงศิริมาบังอรเหรียญสุวรรณ (6 มิถุนายน.. 2447 ปีมะโรง - 7 กุมภาพันธ์.. 2518)
    หม่อมเจ้าชายดำแคงฤทธิ์อาภากร (24 ตุลาคม.. 2448 ปีมะเส็ง - 9 กันยายน.. 2505)

    หม่อมเมี้ยนอาภากรอยุธยา
    หม่อมเจ้าชายสมรบำเทอง (19 พฤษภาคม.. 2448 ปีมะเส็ง - 19 พฤษภาคม.. 2473)

    หม่อมช้อยอาภากรอยุธยา
    หม่อมเจ้าครรชิตพลอาภากร (22 พฤษภาคม.. 2449 ปีมะเมีย - 20 กุมภาพันธ์.. 2509)

    หม่อมแจ่มอาภากรอยุธยา
    หม่อมเจ้ารุจยากรอาภากร (19 เมษายน.. 2459 ปีมะโรง - 30 ตุลาคม.. 2549)

    ทั้งพระชายาเอกและบรรดาหม่อมนั้นยังมีอีกนะครับเช่น
    หม่อมทองนุ่น
    หลวงพ่อสำเนียง (5 ตุลาคม พ.ศ. 2460 ปีมะเส็ง)
    ไม่รู้ว่ามีใครสังเกตุเห็นอย่างผมมั้ง คือ
    พระโอรสและพระธิดาของเสด็จเตี่ยทุกพระองค์ เกิดปีมะ

    ยกเว้นพระโอรสพระองค์แรกพระองค์เดียว คือ หม่อมเจ้าเกียรติอาภากร ซึ่ง สิ้นพระชนม์ตั้งแต่แรกเกิด แล้วพวกเรามีใครเกิดปีมะกันมั้ง?




    เดี๋ยวมีเรื่อง วันเดือนปีแปลกๆจากราชสกุล และ ครอบครัว เสด็จเตี่ยมาเล่าให้ฟังต่อครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ตุลาคม 2010
  8. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    เต็มเปี่ยมด้วยศรัทธามากล้นด้วยความคิดถึง
    สําเภาใหญ่จะเกรง คลื่นฤๅไป่มี
    เจรจาพาทีล้วน แกล้วกล้า...
    สิกขาอาทมาฏศิลปะ สดับล้วนธรรมา
    ตวัดดาบอาจทรงธรรม หนักแน่นชาญณรงค์

    [​IMG]
    พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์
    พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์ พระชายาในกรมหลวงชุมพร

    [​IMG]

    หมอพร กรมหลวงชุมพร นอกราชการ ทรงศึกษาวิชาแพทย์ สายงานเดียวกับผมครับ

    [​IMG]

    หมอพรอีกภาพ กรมหลวงชุมพร นอกราชการ

    [​IMG]

    กรมหลวงชุมพร นอกราชการ หมอพรอีกภาพ

    [​IMG]

    กรมหลวงชุมพร ครั้งยังดํารงพระยศกรมหมื่นชุมพรเขตอุดมศักดิ์

    [​IMG]

    สําเภาใหญ่จะเกรง คลื่นฤๅไป่มี
    เจรจาพาทีล้วน แกล้วกล้า...
    สิกขาอาทมาฏศิลปะ สดับล้วนธรรมา
    ตวัดดาบอาจทรงธรรม หนักแน่นชาญณรงค์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2010
  9. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2010
  10. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    อัศจรรย์วันอาภากร 19 พฤษภาคม
    บุคคลสําคัญในครอบครัวเสียชีวิตพร้อมกัน 4 พระองค์
    1.กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
    ทรงสิ้นพระชนม์ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2466 สิริพระชนมายุได้ 44 พรรษา โดยกองทัพเรือไทยถือเอาวันที่ 19 พฤษภาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เป็น "วันอาภากร"

    2.พลเรือโท พลอากาศโท พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา
    ประสูติ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2447 ประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงเป็นพระโอรสพระองค์แรกใน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่ประสูติแต่ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์ พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช

    เมื่อประสูติ ทรงพระนามว่า หม่อมเจ้าอาทิตย์ทิพอาภา เมื่อพระมารดาทรงน้อยพระทัยพระบิดา และปลงชีพพระองค์เอง เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2451 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับพระองค์ไปเลี้ยงดู ทรงเอ็นดูเป็นพิเศษและโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนเป็น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา โดยพระองค์อาทิตย์ฯ อภิเษกสมรสกับ หม่อมกอบแก้ว นางพระกำนัลในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2472 ทรงสิ้นพระชนม์ สิ้นพระชนม์ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2489

    3.หม่อมกอบแก้ว อาภากร ณ อยุธยา
    หม่อมกอบแก้ว อาภากร ณ อยุธยา ชายาสุดรักของ พลเรือโทพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม 2551 เวลา 20.30 น.ด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือด รวมอายุ 101 ปี ซึ่งในวันนี้ (วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม 2551) เมื่อเวลา 16.00 น.ได้มีพิธีประทานน้ำหลวงอาบศพ ณ ศาลาบัณณรศภาค วัดเบญจมบพิตร ดุสิตวนาราม

    4.นายพลโทพระยาสุรินทราชา
    เดิมชื่อ นายนกยูง วิเศษกุล เป็นต้นสกุล วิเศษกุล เกิดในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านเป็นพระอาจารย์ถวายพระอักษรแก่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงศ์ภูวนารถ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในระหว่างที่ทรงศึกษาอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ต่อมาท่านได้เข้ารับราชการในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับตำแหน่งเป็นหลวงอภิรักษ์ราชฤทธิ์ เมื่อพ.ศ. 2441 ทำหน้าที่สอนหนังสือในโรงเรียนมหาดเล็ก วิชา ภูมิศาสตร์สากล และสุขวิทยา และเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนราชินีสอนวิชาภูมิศาสตร์ หลังจากนั้นได้เลื่อนยศเป็นพระวิสูตรเกษตรศิลป์ รับตำแหน่งเจ้ากรมเพาะปลูก กระทรวงเกษตราธิการ ในพ.ศ.2454 ซึ่งท่านได้ออกตรวจการทำไร่ยาสูบที่เกาะสุมาตรา และการทำสวนยาง สวนมะพร้าวและเหมืองแร่ ที่ปีนังและกัวลาลัมเปอร์ เป็นระยะเวลา 2 ปี

    ในปี พ.ศ.2547 ท่านได้รับตำแหน่งพระยาอจิรการประสิทธิ์ ทำหน้าที่เป็นอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข หลังจากนั้นได้เลื่อนยศเป็นพระยาสุรินทราชา เมื่อ พ.ศ. 2463 ท่านทำหน้าที่สมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต ท่านได้พบหาดและตั้งชื่อว่า หาดสุรินทร์
    ท่านมีผลงานสำคัญในขณะดำรงตำแหน่งพระยาสุรินทราชา คือ การแปลนวนิยายเป็นภาษาไทยเรื่องแรก โดยให้ชื่อว่า "ความพยาบาท" แปลจากเรื่อง Vendetta, or the Story of One Forgetten ของ มารี คอเรียลลิ ซึ่งเป็นผลให้เกิดการเขียนรูปแบบใหม่คือนวนิยายขึ้นในประเทศไทย นอกจากนี้ ท่านได้ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 สิริอายุได้ 62 ปี

    ทั้งนี้จัดเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์อย่างที่ บุคคลสำคัญของประวัติศาสตร์ไทยของไทยทั้ง 4 คน มิหนำซ้ำยังเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน ได้เสียชีวิตลงในวันและเดือน เดียวกัน


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2010
  11. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    เรื่องราวของ เสือไท ที่จะเล่าย่อๆ ต่อไปนี้ สรุปความมาจาก หนังสือ?จอมโจรอาคม เสือไท ทหารเสือกรมหลวงชุมพรฯ?
    เรียบเรียงโดย โอฆะ บุรี พิมพ์ครั้งที่ 1 ในเดือนมีนาคม 2551 โดย สำนักพิมพ์อุทยานความรู้ ISBN 978-974-05-4262-9


    คำนำของผู้เขียนตอนหนึ่งที่อยากเกริ่นนำไว้ ณ. ที่นี้ ได้แก่
    "..จอมโจรอาคมเสือไท ทหารเสือกรมหลวงชุมพรฯ เป็นบุคคลผู้มีชีวิตลึกลับซับซ้อนที่สุดในบรรดาประวัติความเป็นมาของจอมโจรที่ถูกตราหน้าว่าเป็น เสือที่เคยมีมาทั้งหมดในประเทศไทย....?

    ...ข้อมูลเกี่ยวกับเสือไทที่ข้าพเจ้ามีอยู่ ความจริงนั้นควรเรียกว่าความทรงจำอันยาวนาน ที่ซึมซับมาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก....ภาพชายศสูงอายุมีผมสีดอกเลาจัดหวีเรียบร้อย พูดน้อยและดูเคร่งขรึม สุภาพ แต่มีความน่าเคารพยำเกรงอยู่ในตัว เคยเดินทางมาที่บ้าน และไปไหนมาไหนกับบิดาของข้าพเจ้าบ่อยๆ พ่อหลิม เป็นคำเรียกขานที่บิดาและมารดาตลอดจนผู้ใหญ่ ในบ้านของข้าพเจ้าเรียกชายสูงอายุผู้นี้ด้วยความเคารพ.....ในหมู่ผู้ใกล้ชิดและผู้ที่เป็นลูกศิษย์ต่างเข้าใจกันดีว่าหมายถึง ?เสือไท? จอมโจรชื่อดังที่มาหลบซ่อนอยู่ที่จังหวัดพิจิตร...

    เสือไท เป็นบุคคลที่กำเนิดจากครอบครัวของผู้ที่มีฐานะ เดินสู่เส้นทางนักเลง ร่ำเรียนไสยเวทอาคมและวิชาการต่อสู้เกือบทุกรูปแบบก่อนถวายตัวเป็นมหาดเล็กของ พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงค์ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ บิดาแห่งกองทัพเรือไทย ต่อมาภายหลังชะตาชีวิตได้หักเหกลายเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาร้ายแรงต้องหนีข้ามน้ำข้ามทะเล
    แต่ถึงกระนั้น ก็ยังได้รับความนับถือยกย่องให้เป็น?สุภาพบุรุษเสือ?ถึงขนาดยอดมือปราบขมังเวทย์อย่าง พล.ต.ต. ขุนพันธรักษ์ราชเดช รวมทั้งตำรวจมือปราบและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอีกหลายคนในยุคนั้นยังต้องฝากตัวเป็นลูกศิษย์?

    เรื่องราวชีวิตของเสือไทนี้ มีความเกี่ยวข้องกับบริบททางสังคมและผู้คนร่วมสมัยเดียวกัน เป็นส่วนหนึ่งของเกร็ดประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ สะท้อนให้เห็นในอีกมิติหนึ่งของสังคมไทยในอดีต...?


    จอมโจรอาคม เสือไท ทหารเสือ กรมหลวงชุมพรฯ
     
  12. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ตำนานเจ็ดทหารเสือ

    ทหารเสือกรมหลวงชุมพรฯ ในความหมายแรก น่าจะหมายถึงนายทหารเรือทั้งหมดที่เป็นลูกศิษย์ของเสด็จในกรมฯ ที่ได้รับการฝึกสอนด้วยพระองค์เอง รวมถึงทหารเรือชั้นประทวนที่ประจำการร่วมสมัย หลายคนมาจากมหาดเล็กที่ถวายตัวรับใช้พระองค์.....เกือบทุกคนสัก
    คำว่า ร.ศ. 112 ตราด ที่หน้าอก เพื่อเตือนใจตัวเองไม่ให้ลืมวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ที่ฝรั่งเศสบุกน่านน้ำไทยจนเกิดยุทธนาวี ผลที่สุดไทยต้องจำใจจำยอมให้ฝรั่งเศสครอบครองจังหวัดจันทบุรีและตราด ก่อนจะเสียดินแดนบางส่วนด้านมณฑลบูรพาฝั่งซ้ายแม้น้ำโขง และดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง เพื่อแลกสองจังหวัดกลับคืนมา....เป็นความขมขื่นที่ไม่มีวันลืม....

    ทหารเสือในความหมายที่สอง ซึ่งเป็นที่มาของคำว่าเจ็ดทหารเสือ? มีด้วยกันทั้งหมด 7 คน มียศตั้งแต่นายทหารสัญญาบัตรไปจนถึงพลทหาร ทั้งเจ็ดทหารเสือมีคำล่ำลือในด้านเชี่ยวชาญไสยเวทอาคมและวิชาการต่อสู้เป็นพิเศษกว่าคนอื่นๆ ประการสำคัญนอกจากมีรอยสักคำว่า ร.ศ. 112 ตราด? ที่หน้าอกแล้ว ทหารเสือทั้งเจ็ดคนจะต้องมีรอยสักอักขระขอม ปรากฎที่ท้ายทอยหรือต้นคอทุกคน....

    พ่อหลิม หรือ เสือไท เล่าว่าตนเองเป้นมหาดเล็กปลุกบรรทม มีหน้าที่ดูแลเรื่องเครื่องบรรทม และคอยปลุกเสด็จในกรมฯ ตามที่ทรงรับสั่ง หน้าที่นี้เองทำให้เขาเป็นมหาดเล็กใกล้ชิดและอยู่ในเหตุการณ์ในวันสิ้นพระชนม์....

    มหาดเล็กหลิม ได้เล่าเหตุการณ์ในวันที่ต้องสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ด้วยข้อมูลที่แตกต่างไปจากที่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์.....

    ..ในตอนสายวันที่ 19 พฤษภาคม 2466 เป็นช่วงเวลาที่เสด็จไปพักผ่อนในที่ประทับที่สร้างขึ้นอย่างเรียบงาย ที่หาดทรายรี จังหวัดชุมพร ทรงประทับรักษาพระองค์จากไข้หวัดใหญ่ เสด็จในกรมฯ ทรงมีรับสั่งให้คนใกล้ชิดเข้าเฝ้าทีละคน......หลังจากประทานปืนยาวให้เขาโดยทรงสำทับว่า อย่านำไปฆ่าคน..ให้เป็นที่ระลึก แล้ว ทรงรับสั่งให้นำธูปและดอกไม้มาถวายเพื่อจะไหว้พระ ซึ่งทรงปฏิบัติเป็นประจำทุกวัน...ทรงรับสั่งว่า สิบเอ็ดโมงวันนี้ไม่ต้องเข้าไปปลุก



    หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง กรมหลวงชุมพรทรงสิ้นพระชนม์
    นายหลิม หรือเสือไทอยู่รับใช้กรมหลวงชุมพร ตราบจนวาระสุดท้าย
     
  13. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ในค่ำคืนวันหนึ่งที่ตลาดนางเลิ้ง มีเสียงตะโกนไล่หลังกันมาจากหัวมุมถนน คนหนึ่งพยายามหนีเอาตัวรอด อีก 4 คน วิ่งไล่ตามอย่างบ้าคลั่ง.....เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ชายอีกสามคนที่กำลังจะเดินสวนไปยังโรงบ่อนเบี้ยต้องพากันดึงตัวหลบไปหลังต้นมะขามใหญ่ คนที่ดูท่าทางจะเป็นเจ้านายของอีกสองคนส่งเสียงกำชับเบาๆ ให้เฉยไว้ ดูไปก่อน ....

    .....ก่อนที่ดาบของกลุ่มคนที่ไล่มาทันจะได้ลิ้มเลือดของคนไม่มีทางสู้ ฉับพลันมีร่างหนึ่งกระโจนเข้ามาจากไหนก็ไม่มีใครทราบ ...เขาตวัดขาเตะไปที่ข้อมือของคนถือดาบ และอัดกำปั้นเข้าที่ปลายคางของอีกคนหนึ่งที่พรวดเข้ามา....

    การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด ชายหนุ่มที่เข้ามาช่วยถูกฟันเต็มเหนี่ยวที่กลางหลัง และถูกนักเลงอีกคนหนึ่งจ้วงแทงด้วยมีดพก แต่เขาก็เพียงเซไป และกลับฮึดสู้ข้นมาอีก การต่อสู้เป็นไปอย่างรวดเร็วแทบดูไม่ทัน....ขณะที่อีก 3 คนในมุมมืดไม่อาจทนดูการต่อสู้ที่ไม่เป็นธรรมและก้าวออกมาจะช่วยต่อสู้ แต่เสียงนกหวีดจากพลตระเวนที่ดังจนแสบแก้วหูพร้อมเสียงตะโกนสั่งให้หยุด ทำให้ต้องชะงักถอยกลับ และสุนัขหมู่ 4 ตัวก็หายไปกับความมืด...

    บ่ายวันรุ่งขึ้น...ที่วังนางเลิ้ง มหาดเล็ก 2 คน พาชายคนหนึ่งเข้ามาก้มกราบอยู่แทบพระบาทเสด็จในกรมฯ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ขณะทรงประทับอยู่ในศาลาเล็กริมสระน้ำ...

    ....รับสั่งถามความเป็นมาจนทรงทราบว่า นายหลิมเป็นคนย่านสะพานถ่าน อยู่ไม่ไกลจากนางเลิ้ง เป็นคนเคยเรียนหนังสือพอมีความรู้ติดตัว เมื่อพ่อแม่เสียไปก็อาศัยอยู่กับญาติ ความรักอิสระและชอบวิชาการต่อสู้ทำให้ต้องเร่ร่อนและคบค้าสมาคมกับพวกนักเลง เมื่อคืนที่มีเรื่องได้ออกมาช่วยน้องชายของเพื่อนรักคนหนึ่งที่ถูกรุมทำร้าย ตัวเขาเองไม่มีอาชีพแน่นอนเพียงช่วยงานที่โรงเหล้าของญาติห่างๆ เป็นคนชอบชกมวย และมีฝีมือฟันดาบ กระบี่กระบอง แต่สิ่งที่เสด็จในกรมฯทรงพอพระทัยมากเป็นพิเศษคือ นายหลิมเป็นคนชอบการร่ำเรียนไสยศาสตร์คาถาอาคม.....ทรงรับสั่งชวนนายหลิมมารับราชการกับพระองค์..

    หลิม ทองย่อน ตัดสินใจถวายตัวเป็นมหาดเล็กประจำพระองค์เพื่อติดตามรับใช้เสด็จในกรมฯ ไปก่อน ส่วนการเข้ารับราชการเป็นทหารเรือของเขานั้น เกิดขึ้นในปี พ. ศ. 2450.... เกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาห้าปีก่อนรับราชการเป็นทหารเรือ แน่นอนว่าย่อมเป็นเหตุการณ์ไม่ปกติธรรมดา....


    ผลกระทบจากสัญญา เบาว์ริง ที่ประเทศไทยจำยอมลงนามร่วมกับประเทศอังกฤษ พ ศ. 2398 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่4)ทำให้ฝรั่งเศสบีบคั้นไทยให้ทำสัญญาลักษณะเดียวกันในปี พ.ศ. 2399 ประเทศไทยต้องสูยเสียอำนาจทางศาลที่เรียกว่า ?สิทธิสภาพนอกอาณาเขต? ฝรั่งตาน้ำข้าวไม่ต้องขึ้นศาลไทย หากมีกรณีพิพาทเกิดขึ้น ก็จะไปขึ้นศาลกงสุลของประเทศตน...สัญญานี้ยังพ่วงอภิสิทธิ์ของพวก?สัปเยก? หรือคนในบังคับที่อยู่ในความคุ้มครองของประเทศยุโรปเหล่านี้ด้วย (สัปเยกมีรากศัพท์มาจากคำว่า subject ในภาษาอังกฤษ)

    พวกสัปเยกที่คนไทยรู้สึกไม่ชอบหน้าก็คือ ทหารญวน พวกนี้เหิมเกริมเพราะเคยกดขี่คนไทยมาตั้งแต่ครั้งที่ฝรั่งเศสปกครองจันทบุรีและตราด หลังจากเกิดวิกฤติการณ์ ร.ศ. 112 จึงมักมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนไทยเสมอ และทุกครั้งคนไทยเราเป็นฝ่ายเสียเปรียบ จะถูกจะผิดก็ต้องไปขึ้นศาลกงสุลต่างชาติ...

    แล้วมันก็เกิดเรื่องขึ้นกับ มหาดเล็กหลิมของเราจนได้....สัปเยกญวน 4-5 คน ลวนลามสาวชาวบ้านลูกครึ่งจีนที่ช่วยพ่อแม่ค้าขายอยู่หน้าโรงยาฝิ่น เตี่ยและแม่ร้องเรียกคนช่วย แต่พอเห็นว่าเป็นพวกญวน ก็ไม่มีใครอยากมีเรื่องด้วย....มหาดเล็กหลิมและเพื่อนเข้าไปห้ามปราม แต่กลับถูกเล่นงานก่อน การตะลุมบอนกันระหว่างญวน 5 คน กับพวกของหลิม ทองย่อน 3 คน ทำให้พวกญวนสู้ไม่ได้และกลายเป็นผู้เสียหายแม้ว่าจะก่อเรื่องขึ้นก่อน เมื่อปรากฏต่อมาว่าสัปเยกที่ถูกแทงเสียชีวิต พยานคือสาวชาวบ้านคงกลัวเลยไม่กล้าเป็นพยาน แม้ในตอนแรกจะเคยให้การที่เป็นประโยชน์ต่อมหาดเล็กหลิมและพวก...

    พวกฝรั่งเศสไม่ยอมเลิกรา จะเอาตัวคนแทงมาลงโทษ ส่วนความผิดของฝ่ายสัปเยกญวน กลับอ้างว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย.........เมื่อกรมพระนครบาลส่งคนมาสืบสวนสอบสวน มหาดเล็กหลิมจึงต้องหลบหนีไปชั่วคราวเพราะพวกญวนจำหน้าได้ พร้อมที่จะชี้ตัวเอาไปขึ้นศาลของตน....และนี่คือการหนีอาญาครั้งแรก.....
    ชีวิตของคนเรานั้น...ในวิกฤติมักมีโอกาสอยู่เสมอ ชีวิตของ หลิม ทองย่อน ก็เป็นเช่นนั้น ในช่วงเวลาที่ต้องระหกระเหินหลบหนีคดีครั้งนั้น ทำให้เขาได้มีโอกาสพบกับอาจารย์ขมังเวทหลายคน....

    เวลาผ่านไปกว่าสามปี หลวงประชาธนาณัติ หนึ่งในเจ็ดทหารเสือที่เป็นเพื่อนสนิท ได้ส่งคนไปตามเขาที่จังหวัดระยอง ภายหลังจากกรมหลวงชุมพรฯ เสด็จกลับมาและทรงมีรับสั่งให้ตาม หลิม เข้าเฝ้า..เขาเดินทางกลับกรุงเทพฯด้วยหัวใจอันพองโตสุดบรรยาย
     
  14. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    วังนางเลิ้ง....เช้าตรู่ของวันหนึ่งใน พ ศ. 2450 เมื่อได้ทรงสนทนากับอดีตมหาดเล็กหลิมแล้ว เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ทรงมีรับสั่งด้วยเมตตาว่า

    ไอ้หลิม เอ็งก็ลำบากมามากเพราะเรื่องช่วยคนอื่นแท้ๆ ....ข้าจะให้เอ็งเข้ามาประจำการเป็นทหารอย่างที่เอ็งต้องการเสียที คดีของเอ็งก็เลื่อนลอย ไอ้สัปเยกญวนก็ไม่ระบุชื่อเอ็ง คดีก็ถูกโอนไปที่กงสุล คนที่ตายก็ไม่ใช่คนฝรั่งเศส เป็นพวกญวนที่มาข่มเหงรังแกคนไทยก่อน ฝรั่งเศสคงไม่สนใจติดตามเรื่อง กรมพระนครบาลก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เรื่องเงียบไปนานแล้ว...เอาละเอ็งเป็น *ไท *เสียที

    ไอ้ไท....ข้าตั้งชื่อให้เอ็งใหม่ให้สมกับความรักอิสระของเอ็ง หลิม ชื่อเดิมพ่อแม่ตั้งให้ก็ดีแล้ว เอ็งก็ใช้ไปตามสำมะโนครัวไม่ต้องเปลี่ยน ชื่อ ไท เป็นฉายาข้าตั้งให้เอ็ง....และนี่คือที่มาของสมญานามที่ได้รับการเรียกขานกันต่อมา

    เมื่อ พ. ศ. 2454 ต้นรัชกาล พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้เกิดกบฏ รศ. 130 และมีความหวาดระแวงกันเองในราชสำนัก โดยมีผู้ปล่อยข่าวลือว่า กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์จะทำการกบฏชิงราชบัลลังก์ และเมื่อกระทำการสำเร็จแล้วจะอัญเชิญสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์วรพินิต ขึ้นครองราชย์แทน ทั้ง 2 พระองค์ จึงมีพระดำริจะทรงลาออกจากราชการแต่ทว่าล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ได้ส่งคนมาไกล่เกลี่ยขอให้ทรงรับราชการต่อไป

    แต่แล้วก็ได้เกิดเหตุตามมาอีก จนนำไปสู่จุดแตกหักของความระแวงสงสัย....พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จในกรมฯ ออกจากราชการเมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2454 ขณะนั้นทรงมีพระชันษาเพียง 31 ปี เท่านั้น..

    ครั้งนั้น มีนายทหารระดับสูงหลายคนจะลาออกตาม แต่เสด็จในกรมฯ ทรงห้ามไว้อย่างเด็ดขาด ดังนั้นผู้ที่ลาออกตามจึงมีเพียงไม่กี่คน.........เป็นทหารเสือที่รับใช้ใกล้ชิดในฐานะมหาดเล็กติดตามรวมถึง พลทหารไท หรือ พลทหาร หลิม ด้วย
    ในช่วง 6 ปี ที่ออกจากการรับราชการ ทรงซื้อเรือใบและเรือกลไฟท่องไปในทะเลบ่อยครั้ง ยังได้เสด็จล่องไปตามแม่น้ำลำคลองในชนบท ตามบ้านเกิดของมหาดเล็กหรือข้าหลวงที่รับใช้อยู่ในวังนางเลิ้งรวมถึงเสด็จแวะตามวัดวาอารามต่างๆ เพื่อนมัสการพระเกจิอาจารย์หลายรูปของพระองค์

    ทรงโปรดศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณจนมีความรู้ความชำนาญ ทรงสามารถวินิจฉัยและทำการรักษาคนป่วยที่ส่วนมากเป็นชาวบ้านที่ยากจน ทั้งคนไทยและคนจีนต่างเรียกพระองค์ตามที่ทรงแนะนำตัวว่า หมอพร เป็นช่วงที่ทรงดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายและมีความสุข จนล่วงเข้าปี พ.ศ. 2460 ซึ่งเป็นช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 1
     
  15. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    วันที่ 22 กรกฎาคม พ. ศ. 2460 ประเทศสยามประกาศสงครามกับเยอรมันและ ออสเตรีย-ฮังการี

    พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ กลับเข้ารับราชการในกองทัพเรือตามเดิมในวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2460 และทรงโปรดเกล้าฯ เลื่อนพระอิสริยศเป็น พลเรือโท ได้ทรงดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือในเวลาต่อมา

    การเสด็จกลับเข้ารับราชการในครั้งนี้ พลทหารไท พร้อมทั้งทหารเสือทั้งหมดได้ติดตามกลับเข้ารับราชการเป็นพลทหารประจำการอีกครั้งหนึ่ง
    เสด็จในกรมฯ ต้องทรงงานหนักกว่าเดิม ทรงพัฒนากองทัพเรือตามนโยบายที่ได้ทรงวางไว้ก่อนออกจากราชการ และทรงมีพระภารกิจเป็นผู้แทนรัฐบาลสยาม เดินทางไปเจรจาขอซื้อเรือรบที่ประเทศอังกฤษ เมื่อการเจรจาซื้อเป็นผลสำเร็จทรงทำหน้าที่เป็นผู้บังคับการเรือรบหลวงพระร่วง นำกลับสู่ประเทศสยามด้วยพระองค์เอง

    พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงจัดพิธีเฉลิมฉลองต้อนรับอย่างยิ่งใหญ้ ในปี พ.ศ. 2463 และทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เลื่อนพระอิสริศักดิ์ให้ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เป็น กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ในปี พ.ศ. 2465 หลังทรงบัญชาการควบคุมการก่อสร้างฐานทัพเรือสัตหีบเรียบร้อยแล้ว จึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่ง เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระพลานามัยไม่สู้ดีนัก

    ดังนั้น ในฤดูร้อนของปีพุทธศักราช 2466 จึงตัดสินพระทัยกราบบังคมลาออกจากราชการเพื่อพักรักษาพระองค์ โดยเลือกที่จะเสด็จไปพักผ่อนที่พระตำหนักที่สร้างแบบเรียบง่าย ณ. ตำบลหาดทรายรี จังหวัดชุมพร ได้ทรงสิ้นพระชนม์ในต้นฤดูฝนในปีเดียวกันนั้นเอง.....
    เมื่อสิ้นเสด็จในกรมฯ พลทหารไท หรือ หลิม ทองย่อน หวนกลับสู่ถนนนักเลง โดยไปช่วยงานที่โรงบ่อนเบี้ย ดูแลโรงเหล้าและโรงยาฝิ่น ซึ่งมีหลวงประชาธนาณัติ ทหารเสือผู้หันมาเอาดีด้วยการยึดอาชีพเป็นนายอากรบ่อนเบี้ยเป็นผู้แนะนำ

    เศรษฐกิจของประเทศสยามในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้ตกต่ำลงมาก....อันเป็นผลกระทบมาจากสถานการณืเศรษฐกิจโลกและปัจจัยภายในประเทศหลายอย่าง กล่าวกันว่ารายได้ของรัฐบาลส่วนหนึ่งที่หดหายไปคือการออกกฎหมายประกาศยกเลิกการเล่นหวย ก. ข. ในปีพุทธศักราช 2459 และการประกาศเลิกบ่อนเบี้ย ในปีพุทธศักราช 2460 แต่ทว่า.....หวยและบ่อนนั้น เป็นการพนันที่เลิกยาก ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ เมื่อห้ามไม่ให้เปิดตามกฎหมาย ก็ยังคงมีคนลอบเปิด รวมถึงโรงยาฝิ่นด้วย...

    ?คืนวันหนึ่ง..ที่โรงบ่อนเบี้ยเถื่อนในกรุงเทพฯ มีการทะเลาะวิวาทกันรุนแรงจนถึงขั้นตะลุมบอนยิงแทงกัน ให้บังเอิญที่ อดีตพลทหารไท อยู่ในที่นั้นด้วย มีเสียงปืนจากพลตระเวนดังขึ้นหลายนัดเพื่อระงับเหตุและพวกนักเลงที่ยิงกันเอง.....กระสุนปืนเจ้ากรรมนัดหนึ่งเป็นลูกหลงปริศนาพุ่งเข้าตัดขั้วหัวใจของพลตระเวณนายหนึ่งล้มลงขาดใจตาย เป็นขณะเดียวกันที่ พลทหารไทกับพวกวิ่งสวนมาทางนั้นพอดี ......มีเสียงตะโกนมาจากนักเลงอีกกลุ่มหนึ่งว่า ไอ้ไทยิงตำรวจ...

    ...ลำพังคดีฆ่าคนธรรมดาก็หนักอยู่แล้ว แต่นี่เป็นคดีที่ถูกกล่าวหาว่าฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจในขณะปฏิบัติหน้าที่ยิ่งหนักหนาสาหัส็นการหลบหนีคดีครั้งที่ 2 ของชีวิต.....ดูเหมือนว่าการหนีในคราวนี้แผ่นดินไทยดูจะแคบเกินไปจนแทบจะไม่มีที่หลบซ่อนตัว....
     
  16. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    พ่อหลิม หรือ เสือไท ได้เล่าถึงช่วงที่ชีวิตตกอับที่สุดในตอนนั้นว่า....มีความพยายามจากศัตรูฝ่ายตรงข้ามของตนเองที่จะรื้อคดีเก่าของเขาออกมา ในขณะที่คดีที่เกิดใหม่ก็ยังเอาตัวไม่รอด เป็นเรื่องเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เขาจึงตัดสินใจลงเรือสินค้าแล้วแอบแวะขึ้นบกที่นครศรีธรรมราช เดินทางลงใต้ไปเรื่อยๆ ทางบกบ้าง ทางเรือบ้าง หนีไปกบดานในเขตประเทศมาเลเซีย และเตลิดเลยเข้าไปถึงประเทศสิงคโปร์....ต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากมาก จึงลงเรือกลับมาประเทศไทย โดยไม่กล้าแวะเข้ากรุงเทพฯ หนีขึ้นเหนือกันเรื่อยๆ......

    ...มีคนแอบอ้างชื่อเขาเป็นโจรออกปล้นจี้ อยู่ระหว่างเขตพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง สิงห์บุรี ชัยนาท สุพรรณบุรี เลยไปถึงฝั่งตะวันตก กาญจนบุรี ทำให้สถานการณ์ของเขากลับเลวร้ายลงไปอีก...ไอ้ไท คนร้ายหนีคดีฆ่าตำรวจ ได้กลายเป็นเสือไท ไปแล้ว.......

    ด้วยวิธีหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง เขาจึงหนีเข้าป่าไปรวมกับพวกหนีคดีอีกหลานคน จนมีการบอกกันปากต่อปาก จากหนึ่งเป็นสอง เป็นสาม เป็นสิบ และเป็นร้อยในเวลาต่อมา เมื่อทุกคนรู้ประวัติความเป็นมาของอดีตพลทหารไท จึงมีความเคารพยกย่องให้เป็นลูกพี่หรือผู้นำ....เขาได้กลายเป็นหัวหน้าชุมโจรไปแล้วโดยสมบูรณ์แต่บัดนั้น....

    งานแรกสำหรับเสือไท ก็คือการล้างรอยแค้นตามไปจัดการกับ ไอ้เสือไทตัวปลอมที่แอบอ้างชื่อเขาหากิน.....ที่เขตรอยต่อสุพรรณบุรีและกาญจนบุรี ชาวบ้านหวาดกลัว?เสือไทตัวปลอมมาก มีการปล้นฆ่าเจ้าทรัพย์ ฉุดลูกเมียชาวบ้านไปข่มขืน กระทำการอย่างอุกอาจไม่เกรงกลัวกฎหมาย ทุกครั้งที่เข้าปล้น ได้ประกาศชื่อเสือไท มันเป็นคนสูงใหญ่ ไว้หนวดเคราเข้มขรึม พูดจาเสียงดัง
    มีนิสัยชอบข่มขู่และทำร้ายคนไม่มีทางสู้ ชาวบ้านต่างเข้าใจว่ามันคือเสือไทตัวจริง....

    ในหนังสือ ได้เล่าปฏิบัติการฆ่าตัดหัวเสือไทยตัวปลอม โดยใช้มีดปังตอของอาแป๊ะเจ้าของร้านเหล้า ที่เขาแต่งตัวแบบชาวบ้านเข้าไปกับลูกน้องคนสนิทเพียงสองคน...แล้วประกาศว่า กูนี่แหละ เสือไทตัวจริง...

    ปัญหาใหม่ที่ตามมา คือ จำนวนสมัครพรรคพวกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ ในช่วงเวลานั้นเป็นปลายสมัยรัชกาลที่ 7 แล้ว บ้านเมืองใกล้เข้าสู่ยุคเปลี่ยนแปลง เศรษฐกิจตกต่ำ มีคนหนีคดีอาญาเข้าป่าเป็นเสือเป็นโจรจำนวนไม่น้อย

    พ่อหลิม หรือ เสือไท ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องการปล้น แต่ทำด้วยสำนึกเสมอว่าตนเองเป็นเสือลำบาก ไม่ใช่โจรโดยจึงเลือกปล้นเฉพาะพวกเศรษฐีหรือนายทุนหน้าเลือด เอารัดเอาเปรียบและชอบรึดนาทาเร้นคนยากจนเท่านั้น เขาเคยปล้นเรือโยงข้าว...แล้วขนเอาข้าวสารไปแจกจ่ายชาวบ้านก็เคยทำมาแล้ว ชื่อเสียงที่เคยเสียหายเพราะเสือไทตัวปลอมทำไม่ดีไว้ เริ่มจะพอมีคนพูดถึงในทางที่ดีบ้าง...

    วันเวลาได้ผ่านไปจนเข้าสู่ต้นสมัยของรัชกาลที่ 8 เสือไทเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต ที่ต้องแบกรับปัญหาลูกน้องนับร้อย มันขัดกับนิสัยของเขาที่ชอบชีวิตเรียบง่ายและสมถะ ตลอดชีวิตที่เป็นโจรต้องหนีตำรวจอย่างเดียวเท่านั้น นี่คือกฎเหล็กที่เขากำหนดขึ้นมา ห้ามฆ่าหรือทำร้ายเจ้าทรัพย์ และห้ามต่อสู้กับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง....และแล้วเมื่อความเบื่อหน่ายต่อชึวิตการเป็นโจรมาถึงจุดสุกงอม เสือไทจึงเรียกประชุมลูกน้องแล้วประกาศให้รับรู้พร้อมกันว่า
    ข้าจะปล้นเป็นครั้งสุดท้าย
     
  17. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    การปล้นครั้งสุดท้าย ได้ทรัพย์สินตามต้องการ แต่เขาไม่ขนอะไรออกมามากจนเกินความจำเป็น ไม่ยอมให้ความโลภมาครอบงำ เสือไทได้บอกกับเศรษฐีชาวจีนคนนั้นว่า ให้ถือว่าเป็นการชดใช้หนี้เก่า ชาติที่แล้วคงเอาของตนไป ชาตินี้จึงมาปล้น.....ก่อนกลับออกมาขอร้องให้เลิกรีดดอกเบี้ยชาวบ้าน ถ้ายังขืนทำต่อก็จะมีโจรก๊กอื่นมาปล้นจนหมดตัว เถ้าแก่ไม่มีทางปฎิเสธได้แต่พยักหน้ารับคำ...

    ..ภายหลังจากได้เดินสำรวจดูลาดเลาจนแน่ใจ เสือไทตัดสินใจเลือกจังหวัดพิจิตรเป็นที่พักพิงสุดท้ายที่คิดว่าน่าจะปลอดภัยที่สุด....นับแต่นั้นเป็นต้นมาจาก นายหลิม?พี่หลิม..ลุงหลิม...น้าหลิม จนกลายเป็น พ่อหลิม ที่ชาวบ้านเคารพนับถือ อันเนื่องมาจากความมีน้ำใจเอื้ออาทรของเขาที่ให้กับเพื่อนบ้านทุกคนอย่างเสมอต้นเสมอปลาย


    พ่อหลิม ได้พบรักกับสาวชาวบ้านหน้าตาดีคนหนึ่ง อยู่กินด้วยกันจนมีบุตรชายหนึ่งคนชื่อหนึ่ง
    วิชาความรู้ทางตำราสนุนไพรของพ่อหลิม นั้นล่ำลือว่าขลังนัก นอกจากเป็นหมอแผนโบราณแล้วยังมีวิชาสื่อสารกับเจ้าที่เจ้าทางด้วย..หากพ่อหลิม บอกว่าห้ามซื้อ ต่อให้ที่ดินสวยเพียงไรก็จะไม่มีใครกล้าซื้อ เพราะกลัวว่าต่อไปจะอยู่ไม่เป็นสุขหรือมีปัยหาอื่นๆ ตามมาโดยไม่ค่ดคิด...

    หลังจากใช้ชีวิตสมถะอย่างมีความสุขมานานหลายปี โจรก๊กหนึ่งพาพวกนับสิบข้ามลำน้ำยมเข้ามาในเขตจังหวัดพิจิตร ปล้นดะรายทางมาเรื่อย จนถึงหมู่บ้านจระเข้ผอม มันกะกวาดทั้งหมู่บ้าน เพราะเห็นว่าเป็นหมู่บ้านเล็กๆ คงไม่มีทางป้องกันตัวได้ บ้านหลังแรกที่มันเข้าปล้นคือบ้านพ่อหลิม นั่นเอง พ่อหลิมปักหลักดวลโจรแบบหนึ่งต่อสิบ โจรหลายคนถูกสอยร่วงเป็นใบไม้ ปืนที่โจรยิงไปยังเป้าหมายในบ้าน มีทั้งที่กระสุนขัดลำกล้อง กระสุนด้าน ที่ลั่นออกไปก็ไม่โดนเป้าหมาย....

    ...การปล้นครั้งนั้นดังไปทั่วจังหวัดพิจิตร แล้วเริ่มมีคำถามด้วยความสงสัยว่า ?พ่อหลิมเป็นใคร ปูมหลังความเป็นเสือที่อุตส่าห์ปิดบังมานามหลายปีบัดนี่มันหมิ่นเหม่เหลือเกิน ขณะนั้นอายุพ่อหลิม ใกล้จะหกสิบ.


    กรมตำรวจได้รับร้องเรียนจากชาวพิจิตรที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยโจร จึงกำลังมองหาตำรวจมือดีเพื่อส่งมาแก้ปัญหา....ขณะนั้น มือปราบขมังเวท ร.ต.อ. ขุนพันธรักษ์ราชเดช กำลังไล่ล่าโจรอยู่ที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี เกิดไปเหยียบตอผู้มีอิทธิพลเข้า จึงถูกร้องเรียนขอให้ย้ายออกจากพื้นที่
     
  18. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    การย้ายขุนพันธรักษ์ราชเดชมาประจำจังหวัดพิจิตรครั้งนี้ ผลประโยชน์ประการแรกคือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องการถูกร้องเรียนอย่างไม่เป็นธรรม ผลประโยชน์อีกข้อหนึ่งก็คือ ได้มือปราบมาแก้ปัญหาโจรผู้ร้าย.....สามปีในระหว่างที่อยู่เมืองพิจิตร นอกจากทำการปราบปรามโจรผู้ร้ายและบรรดาอันธพาลจนราบคาบแล้ว จุดหมายสำคัญที่ขุนพันธรักษ์ราชเดชมา เก็บงำไว้เป็นความลับก็คือตามหาเสือไท หรือมหาดเล็กหลิม ทองย่อน....หนี่งในเจ็ดทหารเสือกรมหลวงชุมพรฯ ตามเบาะแสข้อมูลที่ได้มาจาก หลวงประชาธนาณัติ อดีตเพื่อนรักของเสือไท

    ในขณะนั้น พ่อหลิม มีอายุประมาณ 67 ปี ส่วน?ขุนพันธ์? ยังเป็นหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบต้นๆ ห่างกันแบบลูกหลานเลยทีเดียว ขุนพันธ์ได้เดินทางไปพบพ่อหลิม ที่บ้านจระเข้ผอม ตำบลรังนก พิจิตร สองครั้งจึงได้พบตัว ความจริงครั้งแรก พ่อหลิมก็นั่งอยู่บนบ้าน แต่ขุนพันธรักษ์ราชเดชมา มองไม่เห็นเอง พ่อหลิมเล่าว่า...ขุนพันธ์นั่งห่างจากตัวเขาไม่เกินสองวา....ตอนแรกคิดจะปรากฏตัวให้เห็น แต่เปลี่ยนใจ ต้องการทดสอบนิสัยขุนพันธรักษ์ราชเดชมา เสียก่อน...

    ขุนพันธรักษ์ราชเดช ได้เคยให้สัมภาษณ์ว่า....เสือไทเป็นคนดีเป็นคนจริง และเป็นสุภาพบุรุษ ประการสำคัญเป็นจอมโจรอาคม ที่สอนวิชาอาคมให้กับตนเองหลายอย่าง โดย ขุนพันธ์ ยอมรับและยกย่องให้ พ่อหลิม หรือ เสือไท เป็นอาจารย์คนหนึ่งของตนเอง....

    ..ในปีนั้นตรงกับ พ. ศ. 2511 ใกล้เดือนสิบสอง....ตะวันกำลังจะตกดิน...อดีตเสือใหญ่ค่อยๆ นอนลงหนุนหมอนสี่เหลี่ยมเล็กๆ หลับตาภาวนาทำสมาธิอย่างที่เคยปฏิบัติอย่างปกติทุกครั้งเวลาหลับตานอน ในวันนั้นไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า นี่คืก..การนอนหลับดรั้งสุดท้ายอย่างมีความสุขของ เสือไท พลทหาร หลิม ทองย่อน อดีต ทหารเสือกรมหลวงชุมพรฯ...

    ในงานศพ...ลูกศิษย์หลายคนปรารถนาดีจะส่งวิญญาณอาจารย์ตนสู่สวรรค์ด้วยการยิงปืนขึ้นฟ้าข้ามกองฟอน แต่ไม่มีเสียงปืนดังออกมาเลยแม้แต่กระบอกเดียว และทันที่ที่ร่างกลายเป็นเถ้าอัฐิ ก็ยังไม่วายมีคนร้อนวิชานำไปทดสอบยิงอีก แต่จะยิงเถ้าอัฐิสักกี่ครั้งก็ไม่ปร่กฎเสียงปืนดังเช่นเคย


    จอมเสือ ได้จากไปอย่างมีศักดิ์ศรี แม้ร่างกายจะจากโลกนี้ไปแล้ว เหลือไว้แต่เรื่องราวมหัศจรรย์เป็นตำนานให้เล่าขานกันตลอดไป ญาติมิตรและบรรดาลูกศิษย์ได้สร้างอนุสรณ์เล็กๆ เป็นที่ระลึก เพื่อบรรจุอัฐิไว้กราบไหว้ ณ. สุสานวัดจระเข้ผอม อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร ซึ่งยังอยู่มาตราบจนทุกวันนี้

    จบเรื่อง จอมโจรอาคม เสือไท ทหารเสือ กรมหลวงชุมพรฯ

    แต่ชื่อของขุนพันราชเดช และเสือไท ยังจะปรากฎต่อในเรื่องเล่าของอาวุธในตํานาน พระขรรค์โสฬส อาวุธประจํากายของกรมหลวงชุมพร ที่ว่ากันว่า คือดาบฟ้าฟื้นยุคสุดท้าย

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2010
  19. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    แมวขาวมณี
    ว่ากันว่าเป็นสัตว์เลี้ยงของกรมหลวงชุมพรที่ทรงโปรดมาก เพียงชนิดเดียวของพระองค์
    นอกเสียจากสุนัข ที่ทรงปล่อยให้เดินเกะกะเพ่นพ่านในวังนางเลิ้ง ครั้นสมัยที่พระองค์ยังทรงพระชนม์ และถูกเจ้านายพระองค์ตั้งข้อกล่าวหาเรื่องย่าเหล่ จึงทรงปล่อยสุนัข ให้เดินวิ่งกันในวัง เพื่อให้ผู้อื่นเห็นว่า ข้อกล่าวหาเรื่อง สุนัข ย่าเหล มาวิ่งไล่กัดแมวพระราชทานจากพระจุลจอมเกล้า ไม่มีมูล (สงสัยวังนางเลิ้ง กับ พระบรมมหาราชวังจะติดกันมาก แล้วยิงในวังนางเลิ้งวิ่งกลับไปเสียชีวิตแถววัดโพธิ์) เพราะทั้ง หมา และ แมวก็อาศัยด้วยกันอยู่ได้ หลังจากทรงปล่อยสุนัขนอน นั่งในวังเช่นนั้น ถึงกับมีผู้ไม่พอใจ นําความไปกราบทูล ว่ากบฏ ประชดประชัน จึงเป็นที่มาของข้อหากบฏ มาในภายหลัง ถึงกับมีถ้อยคําบางอย่างเปรียบเปรยว่า

    พอแสดงให้เห็นก็กับไม่มาดู พอลับหลังกับกล่าวหาว่าร้าย
    ถ้าปูมีเขาเต่ามีหนวด ถ้าตะกวดมีงา ดูน่าขัน
    ถ้ากองไฟกองไหนไม่มีควัน
    มนุษย์นั้นหรือจะสิ้นคํานินทา

    แมวเอ๋ยแมวเหมียว รูปร่างปราดเปรียวเป็นนักหนา
    ร้องเรียกเหมียวๆ เดี๋ยวก็มา เคล้าแข้งเคล้าขา น่าเอ็นดู

    "แมวขาวมณีคนไม่เข้าใจมาจากไหน เพราะไม่ปรากฏชื่อในสมุดข่อย ตำราต่างๆ เท่าที่รู้มาแมวขาวมณีมีมาก่อนรัตนโกสินทร์ แต่พอถึงช่วงรัชกาลที่ 5 แมวขาวมณีเริ่มหายาก ใกล้จะสูญพันธ์ หายากเหมือนช้างเผือก เหมือนแมวเผือก สมัยรัชกาลที่ 5 มีทั้งหมดแค่ 9 ตัว ท่านทรงหวงและโปรดที่สุด ต่อมามอบให้พระโอรส กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ขยายพันธุ์จาก 9 ตัวเพิ่มเป็น 18 ตัว จากนั้นท่านทรงมอบให้พระธิดาของท่าน ม.จ.หญิงเริงจิตรแจรงอาภากร จาก 18 ตัวเพิ่มเป็น 40 ตัว เมื่อปี 2500 ได้มอบแมวทั้ง 40 ชีวิตให้ และในปี 2541 ได้เปิดเป็นอุทยานแมวไทยโบราณนัยน์ตา 2 สี ขยายพันธุ์เพิ่มเป็น 300 กว่าตัว ปัจจุบันเหลือเพียง 177 ตัว"

    ด้วยดวงตา 2 ข้างซึ่งมีสีต่างกัน ทำให้แมวไทยโบราณ "ขาวมณี" หรือ "แมวตาเพชร" มีลักษณะเด่นกว่าแมวพันธุ์อื่นๆ นัยน์ตามแมวขาวมณีมีทั้งหมด 9 สี ได้แก่สีหยก มรกต(เขียว) บุษราคัม(สีเหลือง) อำพัน (ทอง) สีน้ำตาล สีเทา สีขาว (เพชร) สีน้ำเงิน สีฟ้าอ่อน

    "สียืนพื้นคือสีฟ้า หรือไม่ก็สีขาว (ไดมอนด์) ส่วนอีกข้างอาจเป็นสีมรกต บุษราคัม น้ำตาล เทา ฯลฯ พ่อตามรกต อีกข้างไดมอนด์ แม่ตาสีฟ้า อีกข้างอำพัน(ทอง) ลูกออกมา 6 ตัวจะเหมือนแม่ 3 ตัว พ่อ 3 ตัว หรือเหมือนพ่อ 2 เหมือนแม่ 4 ตัว ตาเหมือนพ่อเหมือนแม่ และต้องสลับตามกรรมพันธุ์ ดูแปลกตา แมวขาวมณีทั่วๆไปที่เป็นพันทางนัยน์ตามีแค่สีฟ้าและเหลือง สีอื่นไม่ค่อยมี"

    [​IMG]
     
  20. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...