พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellPadding=5 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>พระครูวิมลคุณากร (หลวงปู่ศุข)
    วัดปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท

    [​IMG]

    พระครูวิมลคุณากร หลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่า


    นามเดิม ท่านชื่อ ศุข นามสกุล เกษเวช ต่อมาลูกหลานได้ใช้ เกษเวชสุริยา ก็มี เกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน ๔ ขึ้น ๘ ค่ำ ปีวอก พ.ศ. ๒๓๙๐ ที่บ้านมะขามเฒ่า ( เรียกกันในสมัยนั้น ปัจจุบันเรียก บ้านปากคลอง ) ตำบลมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท โยมบิดาชื่อ น่วม โยมมารดาชื่อ ทองดี ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลนี้ มีบุตรและธิดา ด้วยกัน ๙ คน ( ๑ ) หลวงปู่ศุข ( ๒ ) นางอ่ำ ( ๓ ) นายรุ่ง ( ๔ ) นางไข่ ( ๕ ) นายสิน ( ๖ ) นายมี ( ๗ ) นางขำ ( ๘ ) นายพลอย ( ๙ ) หลวงพ่อปลื้ม

    หลวงปู่นั้น ท่านมีลุงคนหนึ่งชื่อ แฟง ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลบางเขน จังหวัดพระนคร ( ในสมัยนั้น ) มีอาชีพ ทำสวน ไม่มีบุตรหรือธิดา จึงได้มาขอหลานจากโยมบิดามารดาหลวงปู่ศุขไปเลี้ยง โยมท่านก็อนุญาตให้เลือกเอา ลุงแฟงก็เลือกเอาคนโต หรือ เรียกว่าคนหัวปี คือ หลวงปูศุข เข้าใจว่าขณะนั้นอายุประมาณ ๑๐ ขวบ เมื่อหลวงปู่ศุขไปอยู่กับลุงแฟง เจริญเติบโตที่ตำบลบางเขน จนอายุได้ ๑๘ ปี ก็ได้ภรรยาคนหนึ่งชื่อ สมบุญ อยู่ครองคู่กันโดยประกอบอาชีพทำสวน ต่อมาได้กำเนิดบุตรชาย ๑ คน ชื่อ สอน การอุปสมบทของหลวงปู่ศุขนั้น ท่านได้อุปสมบทเมื่ออายุได้ ๒๕ ปี ที่วัดโพธิ์บางเขน ( ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดโพธิ์ทองล่าง ) โดยมี พระครูเชย จนฺทสิริ วัดโพธิ์บางเขน เป็น พระอุปัชฌาย์ พระถายมเป็นพระคู่สวด การอุปสมบทนี้มีลุงแฟงเป็นผู้อุปการะทั้งสิ้น ส่วนโยมบิดามารดาไม่ได้มาร่วมพิธีด้วย เพราะการเดินทางสมัยนั้นลำบากมาก จากชัยนาทถึงกรุงเทพฯ ก็กินเวลาอย่างน้อย ๒ ถึง ๓ วัน จึงจะถึง
    เมื่อได้อุปสมบทแล้วอยู่กับพระอุปัชฌาย์ เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยพอสมควรแล้ว ท่านก็ได้ออกเดินธุดงค์หาที่สงบฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐาน และวิชาอาคมต่าง ๆ จากสำนักที่มีชื่อเสี่ยงโด่งดังในสมัยนั้นจนชำนาญดีแล้ว จึงกราบลาอาจารย์กลับบ้านเกิดของท่าน โดยมาพักอยู่ที่วัดร้างแห่งหนึ่งข้างหมู่บ้านของท่าน ชื่อวัดอู่ทอง ปัจจุบันนี้เรียกว่า วัดปากคลอง ชาวบ้านแถวนั้นมีความศรัทธาเลื่อมใสจึงนิมนต์ให้ท่านจำพรรษาอยู่ที่นั้น เพื่อที่ว่าจะได้สร้างวัดขึ้นมาใหม่ ดังนั้นท่านจึงได้อยู่ ณ ที่นั้นมาจนท่านมรณภาพ ในระหว่างที่ท่านมีชีวิตอยู่นั้น ได้เริ่มพัฒนาในท้องถิ่นให้เจริญรุ่งเรืองด้วยจากวัดร้างที่ไม่มีอะไรเลย จนถึง พุทธาวาส ธรรมาวาส และสังฆาวาส เป็นวัดที่สมบูรณ์แบบจนถึงทุกวันนี้ ยังมีพระอุโบสถและมณฑป ปรากฏให้เห็นอยู่ ส่วนการอบรมสั่งสอนนั้นท่านได้แนะแนวการประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ให้เห็นคุณและโทษของผลการปฏิบัติตนในทางที่ดีหรือไม่ดีอย่างไร จนประชาชนแถวนั้นมีความประพฤติดีมีศีลธรรมเป็นส่วนมาก

    อนึ่ง มีผู้กล่าวว่าท่านมีวิชาอาคมเวทย์มนต์เก่งมาก สามารถเสกใบไม้ให้เป็นตัวต่อ ตัวแตน เสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย เสกก้านกล้วยให้เป็นงูได้ และเรื่องอภินิหารของขลัง คงกระพันชาตรี มีอีกมาก จนถึงกับสมเด็จกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ในราชวงจักรีได้มาทดลองดู เห็นจริงจึงได้ยอมมอบตัวเป็นศิษย์ตั้งแต่นั้นมา และได้วาดภาพพุทธประวัติด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ที่อุโบสถด้านในหน้าอุโบสถ ซึ่งปรากฏจนทุกวันนี้ หลวงปู่ศุข ท่านมีเมตตามากจึงมีศิษย์เป็นอันมากที่มาเรียนวิชาเหล่านี้ ท่านได้รับสมณศักดิ์ เป็นพระครูวิมลคุณากร และเป็นเจ้าคณะแขวง ( ปัจจุบันเรียกว่าเจ้าคณะอำเภอ ) เป็นองค์แรกของอำเภอวัดสิงห์ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเมื่อใด ท่านมรณภาพเมื่อ เดือน ๑ ปีกุน พ.ศ. ๒๔๖๖ ไม่ปรากฏวันที่ที่แน่นอน คำนวณอายุได้ ๗๖ ปี วันสวดพระพุทธมนต์ทำศพอยู่ ๗ วัน ๗ คืน จึงประชุมเพลิง

    ปัจจุบันชาวจังหวัดชัยนาทผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ได้ร่วมกันสร้างรูปหุ่นขี้ผึงไว้ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า เพื่อจะได้ทำการสักการบูชาโดยทั่วกัน กรมทหารเรือเห็นความสำคัญ จึงได้ทำการบูรณะซ่อมแซมมณฑป เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๕ ทำให้ประชาชนทั้งใกล้และไกลต่างจังหวัด หลั่งไหลมาสักการะบูชาทุก ๆ วันมิได้ขาด วัดปากคลองมะขามเฒ่า จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของจังหวัดชัยนาทต่อไป

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top>[​IMG] คาถาอาราธนาพระหลวงปู่ศุข
    ตั้งนะโม ๓ จบ : อิติอะระหังสุคะโต เกสโรนามะเต ประสิทธิเม อิหิอะโห นะโมพุทธายะ
    คาถาหลวงปู่ศุข : สัตถาเทวะมนุสสานัง พุทธโธภะคะวาติ มะอะอุ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ?ÐǑ?ԾÐ̓Ԃʧ?줷 - Dhammathai.org




















    .












    .











    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประวัติท่านเสือมเหศวร


    มเหศวร หรือ ศวร เภรีวงษ์ เกิดที่เขตติดต่อระหว่าง อ่างทอง -สุพรรณบุรีครับ ใน ต.สีบัวทอง อ.แสวงหา จ.อ่างทอง อันประวัติก่อนจะเป็นเสือของท่านนั้น ท่านเป็นชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง ครั้นอายุ 20 ปีก็โดนไล่ทหารไปเป็นทหารเกณฑ์ หลังจากกลับจากปลดประจำการ ท่านก็ได้กลับบ้าน เพื่อมาหาพ่อ แม่ แต่วันนั้นเองพ่อของท่านได้ถูกยิง ต่อหน้าต่อตาโดยคู่อริที่หมายตำแหน่งกำนัน แล้วจะยิงมเหศวรต่อแต่มเหศวรทำเป็นไม่สู้ เพื่อยอมแพ้ ( ท่านบอกว่าสู้ไปก็ตายแน่เพราะมันมากันหลายคน) ด้วยความคับแค้นใจจึงรวบรวมพรรคพวกที่เคยเป็นทหารด้วยกัน เข้ากลุ่มกับเสือฝ้าย ที่จังหวัดอ่างทอง สมัยนั้นมีการกดขี่ข่มเหงกันมาก คนรวยข่มเหงคนจน ขณะที่รัฐบาลก็เข้าพื้นที่ไม่ทั้งถึง และทางการหลายคนก็เป็นคนไม่ดีซะมาก ชุมโจรของเสือฝ้ายนั้นได้ปล้นคนรวยมาเพื่อช่วยเหลือคนจน มเหศวรท่านก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดี ท่านได้ป้องกันคนไม่ดีออกจากหมู่บ้านต่างๆ ครั้งมีพรรคพวกและวิชาพอตัวแล้วมเหศวร จึงได้กลับไปแก้แค้นให้กับพ่อ ซึ่งคนที่ฆ่าพ่อก็ได้ตั้งตนเป็นกำนัน รังแกชาวบ้าน โดยมีชื่อว่ากำนันพันแสง มเหศวรกล่าวว่า ตอนนั้นเข้ากันไป ประมาณ 10 คน รุมยิงกำนันที่อยู่บนบ้าน ซึ่งใช้เวลานานในการยิงกัน “กำนันแกเหนียวมาก” กว่ากำนันจะตายก็เกือบชั่วโมง นานวันเข้าพรรคพวกของมเหศวรเริ่มมากขึ้นประกอบกับมีวิชาที่เข้มขลังขึ้งจากที่ได้เรียนวิชามาหลายสำนัก โดยอาจารย์หลักที่มเหศวรนับถือมากคือหลวงพ่อหล่ำ วัดวังจิก จ. สุพรรณบุรี ด้วยเหตุนี้เองเสือมเหศวรจึงได้มาตั้งชุมโจรของตนเอง โดยมีลูกน้องอยู่ 40 – 50 คน โดยปล้นไปทั่วในเขตภาคกลาง และหลายๆภาคที่ใกล้เคียง โดยเฉพาะ อ่างทอง สุพรรณ ชัยนาท กาญจนบุรี และสิงห์บุรี ทำให้ชื่อเสียงของมเหศวรโด่งดังมาก และเป็นที่นับถือกับชาวบ้านมากในหลายๆ พื้นที่เนื่องจากเป็นโจรคุณธรรม ช่วยเหลือคนจน และคนที่ถูกรังแก ปู่มเหศวรกล่าวว่าจะปล้นประมาณเดือนละ 4 -5 ครั้ง และจะปล้นในเวลากลางวัน พอชื่อของท่านดังมากขึ้นทางการจึงส่งตำรวจมาจับแต่ก็ไม่สามารถจับได้ ปู่มเหศวรกล่าวว่าเมื่อก่อนวิชาแก่กล้า ลูกปืนไม่ได้กินหรอก เมื่อถามถึงขุนพันธ์แล้ว ปู่มเหศวรกล่าวว่าเมื่อก่อนเคยโดนขุนพันธ์ไล่ล่าที่ จังหวัดชัยนาทแต่ก็หลบหนีได้ตลอด ไม่เคยปะทะกันตรงๆ ด้วยความมีวิชามากจนได้ชื่อว่าจอมโจร 5 ตำรา ทางการทำอย่างไรก็ไม่สามารถเข้าจับกลุ่มได้ จึงได้จับแม่มเหศวรเป็นตัวประกัน โดยประกาศว่าหากไม่ยอมมอบด้วยจะฆ่าแม่ตนเสีย ด้วยความรักแม่ และห่วงใยจึงยอมมอบตัว มเหศวรติดคุกได้ 4 ปี แต่ด้วยความเป็นเสือที่ดี มีคุณธรรม จึงไม่มีใครมาฟ้องร้อง ทางการจึงต้องปล่อยตัวมา และท่านได้ไปหาหลวงพ่อหล่ำ วัดวังจิกเพื่อกราบอาจารย์ หลวงพ่อหล่ำจึงให้บวช 4 พรรษา สมัยบวชนั้นมเหศวรได้ จำวัดอยู่หลายวัดตาม จังหวัดสุพรรณบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี และชัยนาท เนื่องจากมีพวกตามมารบกวนอยู่เนื่องๆ ครั้นสึกออกมาแล้วจึงกลับมาประกอบ อาชีพทำนา ทำสวน จนถึงทุกวันนี้ แต่ก็ยังมีคนไปหาเพื่อเคารพท่านเป็นประจำ ปัจจุบันนี้ปู่มเหศวรใช้ชีวิตอย่างสงบ โดยพักอยู่ที่หมู่บ้านไพรนกยูง อ.หันคา จ.ชัยนาท กับลูกสาวและลูกชาย โดยมีหลาน 4 คน ประกอบอาชีพเกษตร เลี้ยงวัว และมีรถรับส่งนักเรียนโจรมเหศวรค่อยๆ ลดลง ซึ่งชื่อเสียงนี้โด่งดังมากในยุคนั้นถึงกับเคยมีการถ่ายทำภาพยนต์เรื่อง “จอมโจรมเหศวร” โดยมีมิตร ชัยบัญชา แสดงเป็นจอมโจรมเหศวร เข้ามาถึงยุคจตุคาม พระครูประภัศร์ธรรมานุกูล ( พระเสมอ ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดแสวงหา อ. แสวงหา จ. อ่างทอง ได้ไปเชิญ เสือมเหศวรมาปรกเสกจตุคามจนเป็นที่โด่งดังไปทั่ว ทั้งหนังสือพิมพ์ หนังสือพระ และรายการทีวี โดยส่วนมากนึกว่ามเหศวรเป็นเพียงตำนาน ซึ่งจตุคามรุ่นแรกในชีวิตเสือมเหศวรนั้น คือรุ่นยันต์ลายเซ็นปู่มเหศวร ( มี 5000องค์ ) และตอนนี้ก็ ได้จัดสร้างรุ่น 2 ไปแล้วโดยปรกเสกเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2550 ปัจจุบันปู่เสือมเหศวรมีอายุ 95 ปีครับ

    View Topic
    .



    .



    .



    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คาถาบูชาพระแม่โพสพ
    ตั้งนะโม 3 จบ แล้วกล่าวว่า
    โพสะวะโภชะนัง อุตตะมะ ลาภัง มัยหัง สัพพะสิทธิหิตั้ง โหตุ
    ตำนานพระแม่โพสพ
    คาถาบูชาพระแม่โพสพ สำหรับคติความเชื่อเรื่อง แม่โพสพ ตำนานพระแม่โพสพ เป็นเทพธิดา หรือเทพีประจำพืชพรรณธัญชาติ ซึ่งหมายถึง ต้นข้าว ซึ่งถือว่าเป็นพืชพรรณชนิดเดียวที่มีเทพธิดาประจำ
    <SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-1590357468802909";/* 336x280, ถูกสร้างขึ้นแล้ว 3/6/09 */google_ad_slot = "2381184145";google_ad_width = 336;google_ad_height = 280;//--></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT>

    พระแม่โพสพ เป็นท่านเทพธิดาที่ได้รับความเคารพนับถือกราบไหว้มาแต่โบราณกาล กล่าวว่าท่านเป็นผู้ที่คุ้มครองดูแลต้นข้าวให้เจริญงอกงาม ให้ผลิตผลอุดมสมบูรณ์
    แม่โพสพ จึงเป็นเทพธิดาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำรงอยู่ของชีวิตเหล่าชาวนา เมื่อแรกทำนา จนกระทั่งถึงเวลาไถคราด เก็บเกี่ยวรวงข้าวด้วยเคียวเหล็ก จะต้องประกอบพิธีเซ่นบูชาแม่โพสพทุกระยะไป
    เช่น ก่อนหน้าเวลาฤกษ์แรกนา จะปลูกศาลเพียงตา สูงระดับสายตาคนขึ้น ณ ที่ใดที่หนึ่ง ที่กำหนดไว้เป็นที่แรกนา ตระเตรียมเครื่องสังเวยบูชา แม่โพสพให้ครบถ้วน พร้อมทั้งกล่าวคำขวัญเป็นถ้อยคำไพเราะ อ้อนวอน พระแม่โพสพให้คุ้มครองรักษาต้นข้าว ขอให้ปีนี้จงทำนาได้ผล ไม่ว่าจะเป็นนาหว่าน นาดำ เพราะแม่โพสพเป็นหญิงขวัญอ่อนง่าย จึงต้องทำพิธีเรียกขวัญเสมอ

     
  4. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 17 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 14 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>แหน่ง, sithiphong+, ปฐม </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีครับพี่หนุ่ม

    เมื่อเวลา 09.14 น. ผมโอนเงินไป 500 บาท เพื่อทำบุญตามที่คุยกับพี่หนุ่มแล้วนะครับ
     
  5. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768

    เห็นด้วยทุกประการครับ

    ดีครับจะได้กระชับพื้นที่ให้ชัดเจน หุหุ
     
  6. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768

    เห็นด้วยอย่างยิ่งยวดครับ
     
  7. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    <TABLE border=5 borderColor=#fac963 cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>เคล็ดลับวิธีฝึกใจ </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#fac963 cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#ffffcc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top>

    ในกระบวนฝึกใจนี้ ฝึกอย่างไรจึงจะดี ท่านเรียกว่าต้องมี บุพนิมิตของชีวิตดีงาม ไม่ใช่อยู่ๆ นึกครึ้มอกครึ้มใจอยากไปวัด "เอาน่า! ใส่ชุดขาวมาแล้ว ไปเดินจงกรมก็แล้วกันวันนี้ไม่บรรลุให้มันรู้ไป" เดินตั้งแต่ตี 4 กระทั่งถึง 6 โมงเย็น เดินวนเวียนอยู่อย่างนั้น หมายจะบรรลุให้ได้ภายในวันนี้ ไม่สนใจครูบาอาจารย์ เพียงเพราะผ่านการปฏิบัติธรรมมาเยอะแล้ว

    ขนาดพระพุทธเจ้าท่านยังบอกว่า อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ไม่มีสักคำที่บอกว่าต้องไปหาครูบาอาจารย์ก่อนจึงปฏิบัติ เดินจากเย็นวันเสาร์ ถึงเช้าวันอาทิตย์ ยิ่งเดินยิ่งโกรธตัวเอง เพราะยิ่งเดินก็ยิ่งวุ่น คิดแต่ว่า "เมื่อไหร่! จะบรรลุ" สุดท้ายไม่ได้อะไรเลย เดินกลับบ้านก็ยังไม่รู้ตัวอีก อันนี้เรียกว่า ปฏิบัติโดยที่ไม่มีบุพนิมิตของชีวิตดีงาม ครึ้มอกครึ้มใจอยากจะปฏิบัติก็ปฏิบัติเลย อย่างนี้อันตรายมากๆ

    ผู้เขียนเคยไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแล้วไปเจอพระรูปหนึ่งอยู่ๆ ท่านก็ลุกขึ้นมาประกาศตรงหน้าผู้ปฏิบัติธรรม "ผมคือพระสารีบุตรๆ" พระวิปัสสนาจารย์รีบเข้าไปกระซิบ "รู้หนอ รู้หนอ" พระรูปนั้นกลับตะโกนเสียงดัง "ท่านอย่ามายุ่ง ท่านเป็นใคร ผมคือพระสารีบุตร" สุดท้ายพระวิปัสสนาจารย์ก็เอาไม่อยู่ต้องให้คนอุ้มออกไป นี่คือปฏิบัติแล้วไม่ฟังครูบาอาจารย์

    เพราะเหตุนั้น ในการปฏิบัติเราจึงต้องสอบอารมณ์เป็นระยะๆ เพราะเมื่อปฏิบัติไปแล้วเกิดปีติไปทั้งตัว แล้วหลงยึดเอาปีตินั้นมาเป็นอารมณ์ การปฏิบัติธรรมจึงไม่ก้าวหน้า เพราะยึดเอาสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวมาเป็นอารมณ์ เหตุดังนี้การปฏิบัติธรรมจึงต้องมีพระวิปัสสนาจารย์คอยให้คำแนะนำ

    ในการศึกษาในการปฏิบัติธรรม หรือแม้แต่ในการใช้ชีวิต ถ้าเราไม่มีสิ่งที่เรียกว่า บุพนิมิตของชีวิตดีงาม เราอาจเดินหลงทาง โดยที่ไม่รู้ว่าเรากำลังหลง

    หลวงปู่มั่นเคยบอกว่า
    จิตดีอันตรายยิ่งกว่าจิตชั่ว เพราะถ้าจิตชั่วมีคนเห็นมีคนรู้เขายังช่วยเตือน เช่น เราเดินสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ พอมีใครเขาเห็น เขาก็ช่วยตักเตือนว่ามันไม่ดีไม่ควร แต่คนที่จิตดี มันอยู่ข้างในบางทีมันมองไม่เห็น ใครๆ ก็มองไม่เห็น พอจิตดีแล้วนึกครึ้มอกครึ้มใจว่า "โอ้...ฉันมันดี" ยิ่งถ้ามองเห็นคนอื่นว่าไม่ดีไปหมดยิ่งแย่เข้าไปกันใหญ่ ทีนี้ปฏิบัติธรรมจึงหลงผิดคิดแต่ว่า "ฉันมันเป็นคนดี คนดีย่อมไม่เคยทำชั่ว" พอถามว่าแล้วใครชั่ว ก็ตอบว่า "คนอื่นชั่วหมดเลย" นี่คือจิตดีที่ร้ายยิ่งกว่าจิตชั่วเสียอีก ยกตัวอย่างในสมัยพุทธกาล

    พระฉันนะ ทุกวันต้องไปนั่งอยู่หน้าวัดพระเชตวัน พอมีใครมาเฝ้าพระพุทธเจ้าก็จะมองตั้งแต่หัวจรดเท้า "มาได้ไง จะมาหาพระพุทธเจ้าต้องผ่านฉัน ฉันเป็นคนพาพระพุทธเจ้าออกบวช รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร คนรับใช้ใกล้ชิดพระพุทธเจ้าเชียวนะ เพราะฉะนั้นจะมาติดต่อลูกพี่ต้องผ่านหน้าห้องก่อน" ทำตัวเป็นหน้าห้องพระพุทธเจ้า ห่มจีวรที่รีดเรียบร้อย นั่งวางมาดอย่างดี พระผู้ใหญ่ที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้าพบพระฉันนะก็เข้าใจว่าเป็นพระมหาเถระพากันกราบไหว้ ครั้นพอถามว่า "ท่านพรรษาเท่าไร" พระฉันนะยิ้มด้วยความภาคภูมิใจแล้วบอกว่า "ยังไม่ได้สักพรรษาเลยท่าน" นี่ขนาดยังไม่ได้สักพรรษาเริ่มปลูกต้นกร่างแล้ว ปลูกต้นกร่างเต็มวัด อยู่กับพระพุทธเจ้าแท้ๆ แต่กลับไม่ได้รับธรรมะเลย เพราะมัวแต่คิดว่าฉันดีกว่าพระรูปอื่นทั้งหมด ฉันคือคนโดยเสด็จพระพุทธเจ้าตอนที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ฉันคือผู้โดยเสด็จก่อนใคร ฉันคือมหาดเล็กรับใช้ใกล้ชิด ฉันคือพระสหชาติของพระพุทธเจ้า ส่วนพระสารีบุตร พระโมคคัลลานที่มาบวชรุ่นหลัง พวกนี้เด็กๆ ทั้งนั้น คิดอย่างนี้ ภูมิใจนั่งลำพอง แต่ไม่ฟังธรรม ทำไมไม่ฟังธรรม กิเลสมันอยู่ข้างในมันไม่มีที่ว่างให้ธรรมะเข้าไปได้

    สุดท้ายแล้ว เมื่อพระพุทธเจ้าท่านเสด็จดับขันธ์พระปรินิพพาน ทิ้งพระฉันนะเอาไว้ ก่อนจะนิพพานพระพุทธเจ้าตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ถ้าฉันล่วงลับไปแล้วให้เธอลงพรหมธรรมแก่ฉันนะ" พรหมธรรม เขาเรียกว่า ธรรมของพรหม ซึ่งก็คือการลงโทษแบบผู้ดี หมายความว่า ถ้าพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปแล้ว ให้พระสงฆ์ทั้งหมดห้ามพูดกับพระฉันนะ ห้ามมองพระฉันนะ ห้ามพบพระฉันนะ เธอจะทำอะไรก็ปล่อยตามใจเธอ ไม่ต้องยุ่ง ไม่ต้องคบ ไม่ต้องมอง

    พระฉันนะเมื่อสิ้นพระองค์แล้ว ปรากฏว่าไม่มีใครมาคบค้าสมาคมดังเช่นแต่ก่อน เกิดอาการว้าเหว่ อุปมาดังเจ้าไม่มีศาล คนตกงานจะรู้สึกว่าชีวิตหลักลอยที่สุด เชื่อมโยงกับใครก็ไม่ติด เหมือนคนที่คิดฆ่าตัวตาย เพราะมันต่อกับใครไม่ติด มีมือถือ แต่ขาดแบตเตอรี่ อาการอย่างนั้นมันไม่มีประโยชน์เลย พระฉันนะก็สงสัยว่าทำไมพระสงฆ์ทั้งหมดไม่พูดกับฉัน มันเกิดอะไรขึ้น พอไปถามพระอานนท์ พระอานนท์บอกว่า "ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จปรินิพพานสั่งลงพรมธรรมแก่ท่าน"

    พอรู้ว่าพระพุทธเจ้าสั่งลงพรมธรรมแก่ตัวเอง พระฉันนะเป็นลมสลบไป 3 ครั้ง เพราะคนที่ตนรักที่สุดคือคนที่สั่งลงโทษ ขาดความเชื่อมั่นทางจิตวิญญาณ เพราะผิดหวังจากพระพุทธเจ้า แต่พอผ่านไปได้สักพักก็สำนึกตัวได้ "อ๋อ..ที่พระพุทธเจ้าสั่งลงพรมธรรมเรา ก็เพราะว่าเราคิดดี หลงดีนั่นเอง" พอรู้ตัวแล้วเริ่มทิ้งดี อ่อนน้อมถ่อมตน พอเริ่มอ่อนน้อมถ่อมตน ปฏิบัติธรรมไม่ถึงสัปดาห์ก็ได้เป็นพระอรหันต์ นี่คือข้ออันตรายของจิตดี แต่ถ้าเลิกจิตดีได้ก็มีความสุข

    ดังนั้น ในการทำความดีก็เพื่อเอาความดีเป็นบันไดไต่ไปหาความดีที่สูงขึ้น แล้วสุดท้ายทิ้งทั้งดีทั้งชั่ว แต่ถ้าคนทำความดีแล้วภูมิใจ "วันนี้มาฟังธรรมแล้ว รู้สึกตัวหนักขึ้น ชีวิตก็เริ่มเข้าท่า" พอบอกว่าชีวิตเริ่มเข้าท่าก็จะภูมิใจ กลับไปที่บ้านภรรยาทัก "พี่ไปไหนมา" นั่งนิ่งไม่ตอบ พอภรรยาถามบ่อยๆ "ทำไมเอาแต่นิ่ง" สุดท้ายก็เลยบอก "อาจารย์ท่านบอกว่า ต้องมีสติต้องนิ่งๆ" เลยพูดน้อย นี่คือการปฏิบัติธรรมที่เกินความพอดีไป จุดหมายของปฏิบัติธรรมก็เพื่อก้าวไปหาธรรมที่สูงกว่า ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมแล้วก็หลงวนอยู่ในธรรม บางคนปฏิบัติแล้วครึ้มอกครึ้มใจ พระท่านบอกให้พูดความจริง กลับไปที่ออฟฟิศบอกเจ้านาย "เจ้านายครับ ผมไม่ชอบหน้าท่านเลย" เจ้านายถาม "ทำไม" ลูกน้องก็ซื่อตอบว่า "พระท่านบอกให้พูดแต่ความสัตย์ครับ" คงลืมไปว่าความสัตย์นั้นมันต้องขึ้นอยู่กับกาลเทศะด้วย

    ดังนั้น ในการปฏิบัติธรรม ถือหลักอย่างหนึ่งว่า เราทำความดีเพื่อต่อยอดไปหาความดีที่สูงกว่า ไม่ใช่ทำความดีเพื่อเอาความดีของเราไปข่มเหงใคร หรือไม่ใช่ทำความดีเพื่อเอาความดีนั้นไปอวดอ้างกับใคร ให้ใช้ความดีนั้นต่อยอดไปหาความดียิ่งๆ ขึ้นไป วางเป็นหลักไว้อย่างนี้ ทุกครั้งที่เราเป็นคนดีหรือทำความดี ยิ่งมีความดีในตัวมากยิ่งอ่อนน้อมลงมา ยิ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ยิ่งทำตัวว่างเปล่า ก็เหมือนแก้วเปล่าๆ ที่รอใช้ประโยชน์ ดังนั้นจิตจะฝึกได้ก็ต่อเมื่อเราทำจิตให้ว่าง บางคนจิตเต็มไปด้วยความดี ได้ยินใครพูดผิดหูหน่อยไม่ได้ก็เก็บไปคิดต่ออีกทั้งวัน เราจึงควรทำให้ว่าง ทำให้อ่อนน้อมถ่อมตน

    คำว่า อ่อนน้อมถ่อมตน พระพุทธเจ้าใช้ภาษาบาลีว่า นิวาตะมุตติ นิวาตะ มาจากคำ 2 คำ นิ แปลว่า ออก วาตะ แปลว่า ลม มุตติ คือ ความประพฤติ เพราะฉะนั้น นิวาตะมุตติ แปลว่า ประพฤติโดยการถ่ายเทลมออกเรียบร้อยแล้ว หมายความว่า ไม่มีลมเบ่งนั่นเอง ลมเบ่ง ลมกร่าง ลมอหังการไม่มี ทำตัวเหมือนลูกโป่งที่มันถูกแทงแล้ว ไปไหนถ้าตอนเป็นลูกโป่งที่มันมีลมอัดแน่นอยู่ ธรรมชาติของลูกโป่ง คือ หยุดนิ่งไม่ได้ จะต้องลอย คนเราก็เช่นกัน ทำดีแล้วติดดีก็ลอย ถ้าลอยแล้วทำอย่างไร ลอยต่ำก็ไม่ได้จะต้องลอยให้เลยหัวคนอื่นเขา

    เพราะฉะนั้น เบื้องต้นในการทำความดี ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน ทีนี้ในการทำความดีในการปฏิบัติธรรมมันจะก้าวหน้าไม่ได้ ถ้าไม่มีบุพนิมิตของชีวิตดีงาม อะไรคือ บุพนิมิตของชีวิตดีงาม พระพุทธองค์ตรัสว่า
    "ก่อนที่แสงเงินแสงทองจะทอประกายจากขอบฟ้าในทุกๆ เช้า มันจะมีแสงเรืองรองขึ้นมา" ที่เราเรียกว่า "แสงอรุณ" แสงอรุณในภาษาไทยเรียกว่า "แสงเงินแสงทอง" แสงอรุณหรือแสงเงินแสงทองนี้จะเป็นสัญลักษณ์ของเช้าวันใหม่ เป็นสัญลักษณ์ให้เรารู้ว่าฟ้าเปิดแล้ว เช้าวันนี้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

    ความข้อนี้ฉันใด ในโลกของการดำเนินชีวิตก็เช่นเดียวกัน ถ้าเรามีบุพนิมิตของชีวิตดีงาม แสดงว่าชีวิตของเราเริ่มก้าวขึ้นสู่เส้นทางของความดีงาม เส้นทางของความสุขและเส้นทางของความรุ่งโรจน์



    โดย :ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    <TABLE border=5 borderColor=#fac963 cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>วิธีผ่อนคลายก่อนเข้านอน </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#fac963 cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#ffffcc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top>
    ใครที่อยากนอนหลับสบายตลอดคืน วันนี้มีวิธีผ่อนคลายก่อนเข้านอนมาบอก

    - ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
    ก่อนการเข้านอน ถ้าจำเป็นต้องดื่ม ก็ควรดื่มไม่เกิน 2 แก้ว

    - ปิดโทรศัพท์ก่อนเข้านอน เพื่อไม่ให้มีใครโทรมารบกวนเวลาที่ใกล้จะหลับ

    - นอนที่ที่รู้สึกสบายที่สุด และเป็นที่นอนที่ไม่เป็นแอ่ง
    เพราะอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังและปวดไหล่ตอนตื่นนอนได้

    - เลือกหมอนที่รู้สึกว่านอนแล้วรับกับลำคอ

    - อาจเปิดเพลงช้าๆ ฟังสบายๆ เพื่อทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
    อาจเป็นพลงบรรเลงเบาๆ หรือฟังเพลงโปรดก็ได้

    - ก่อนนอนพยายามเปิดแสงไฟนวลตา หรือไฟสีเหลืองส้มจะทำให้ดวงตา
    ปรับแสงได้ดี ประสาทตาทำงานน้อยลง หลังจากปิดไฟนอนจะหลับสบายมากขึ้น

    - ก่อนนอนใส่เสื้อผ้าสบายๆ เลือกใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าสบายๆ
    ไม่หนามากจนเกินไป เพื่อให้เหมาะกับอากาศ เและไม่ควรใส่ชุดชั้นในเวลานอน

    - ค่อยๆล้มตัวลงนอนกับหมอนนุ่มๆ แล้วสูดหายใจเข้าออกยาวๆ หลายๆครั้ง
    เมื่อเริ่มรู้สึกผ่อนคลายแล้วก็ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง

    เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้หลับสบายตลอดคืนแล้ว.

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ผมเองก็ไม่มีเจตนาปิดโอกาสใครนะครับท่านแหน่ง อยากให้ได้ของดีๆกันในชาตินี้กันทั้งนั้น แต่ทุกอย่างควรจะค่อยเป็นค่อยไป เมื่อถึงเวลาท่านก็จะมาโปรดเอง(จริงๆ) เหมือนอย่างที่พวกเราประสบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี้

    จริงมั๊ยพี่ๆ :)
     
  10. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    คลิ๊กอนุโมทนาคงไม่พอมั๊ง :cool:

    โมทนาสาธุครับ ขอเป็นกำลังใจน้อยๆ
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    เรียน ท่านสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า , สมาชิกคณะพระวังหน้า และคณะสมาชิกกองทุนหาพระถวายวัด ทุกๆท่าน

    ในวันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม 2553 เป็นวันที่น้องอุ้มจะไปทำบุญ โดยพระภิกษุรูปหนึ่ง(ที่ผม ,น้องสมบัติ และคณะพี่ชนิดา ได้เคยไปกราบท่านมา) จะทำบุญโดยนิมนต์พระภิกษุมาสวด ในการที่พระภิกษุรูปหนึ่งสร้างพระพุทธรูปด้านหน้ากุฎิของท่าน และมีการจัดเรื่องของอาหารถวายพระภิกษุที่นิมนต์มาสวด อีกทั้งเลี้ยงผู้ที่ไปร่วมงาน และอื่นๆ

    หากท่านใดมีความประสงค์ที่จะร่วมทำบุญในการนี้ ขอให้ท่านแจ้งความประสงค์มาที่ผม ว่าจะทำบุญเท่าไหร่ และ โอนเงินเข้ามาที่บัญชีผม(ให้โทร.สอบถามเลขที่บัญชีกับผม) ภายในวันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม 2553 เวลา 15.00 น.

    ผมจะได้โอนเงินไปให้น้องอุ้มได้ทันเวลา ครับ

    โมทนาบุญทุกประการ

    หมายเหตุ หากต้องการทราบว่า พระภิกษุรูปหนึ่ง ชื่ออะไร ให้โทร.สอบถามผม ผมจะไม่แจ้งบนบอร์ดครับ


    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    หากท่านใดมีความประสงค์ที่จะร่วมทำบุญในการนี้ ขอให้ท่านแจ้งความประสงค์มาที่ผม ว่าจะทำบุญเท่าไหร่ และ โอนเงินเข้ามาที่บัญชีผม(ให้โทร.สอบถามเลขที่บัญชีกับผม)

    ภายในวันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม 2553 เวลา 15.00 น.

    สำหรับท่านที่ร่วมทำบุญในตอนนี้ มีคุณpsombat , คุณเพชร ,คุณnewcomer ,คุณlittlelucky , คุณnongnooo ,คุณแหน่ง ,คุณchantasakuldecha และผม(และ ผบทบ.ผม)

    รวมจำนวนเงิน 3,000 บาท

    โมทนาบุญทุกประการครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับวันงานล้างพระ ของคณะกองทุนหาพระถวายวัด

    ผมต้องไปรับน้องพรสว่าง ที่เดินทางมาจาก กุฉินารายณ์ กาฬสินธุ์ ประมาณ 8 โมงเช้า ซึ่งน่าจะถึงบ้านท่านอาจารย์ประถม ประมาณ 9.30 น.

    ผมเตรียมพระวังหน้าไปจำนวนพอสมควร น่าจะประมาณ 4-5 พันองค์ ครับ

    เท่าที่คิดไว้ จะถวายพระภิกษุสองรูป (ที่เคยได้เดินทางไปกราบพร้อมกับคณะพี่ชนิดามาแล้ว) ถวาย 4,000 องค์ , จะถวายหลวงพ่อแผนอีกประมาณ 2,000 องค์ และจะถวายพระภิกษุอีกรูปหนึ่ง ประมาณ 1,000 องค์

    คงจะทยอยนำไปล้างกันครับ

    .
     
  13. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ภาวนาอยากให้คนบ้านเดียวกันมาร่วมงานบุญได้อยู่พอดี ดีใจนะครับคุณรุ่ง(พรสว่าง) ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ
    ผมเองจะเดินทางเข้า กท. คืนนี้ กลับคืนวันอาทิตย์ ถึงเช้าก็ลุยงานกันต่อเลย
     
  14. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เยี่ยม :cool:
     
  15. Phocharoen

    Phocharoen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +225
    สวัสดีครับ คุณ มูริญโญ,สมบัติ และคุณ เพชร สบายดีทุกคนนะครับ
     
  16. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ผมสบายดีครับพี่ dencee
    รักษาสุขภาพด้วยนะครับพี่ๆทุกคน
     
  17. chantasakuldecha

    chantasakuldecha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,331
    สวัสดีครับ อาเฮียเพชรวันนี้ตลาด..ขึ้นน่าดูน่าชมเลยนะ
     
  18. chantasakuldecha

    chantasakuldecha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,331
    ผมว่าวันนี้กะจะเอาให้ถึง 900เลยนะเฮีย
     
  19. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ดีจังครับ :cool:
    พอร์ทผมพึ่งจะเป็นสีเขียว หลังจากแดงมาหลายเดือน เนื่องจากขายหุ้นหลักออกไปเพื่อไปสร้างบ้าน หุหุ
    ยินดีด้วยนะครับ
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มีท่านที่ร่วมทำบุญเพิ่ม คือคุณพรสว่าง ร่วมทำบุญ 300 บาท

    และผมได้โอนเงินจำนวน 3,333 บาท ให้กับน้องอุ้มเรียบร้อยแล้ว

    มาโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่ร่วมทำบุญในครั้งนี้กันครับ


    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...