+++Premium พระเครื่องราคาพิเศษ(ปิดกระทู้ชั่วคราว)

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย dekdelta2, 13 กันยายน 2009.

  1. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 494 หลวงพ่อโต หลวงปู่ชู วัดนาคปรก เจ้าของตำนานเหรียญหลักแสน

    สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน แถวย่านธนบุรีในอดีตมีพระเกจิอาจารย์ที่เก่งๆ มากมาย พระเกจิที่มีผู้คนเคารพนับถือกันมากองค์หนึ่งก็คือหลวงปู่ชู วัดนาคปรก ขนาดหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ท่านได้เคยพูดยกย่องอยู่เสมอว่า หลวงปู่ชูท่านเป็นพระอาจารย์ที่มีญาณสมาธิสูงมาก

    หลวงปู่ชูท่านเป็นชาวนครศรี ธรรมราช ต่อมาได้เข้ามาสร้างบ้านเรือนมีครอบครัวอยู่ที่สวนหลังวัดนางชี ในขณะที่หลวงปู่ชูท่านครองเพศฆราวาสอยู่นั้น ท่านเป็นผู้ใฝ่ในธรรม และชอบศึก ษาวิทยาคม และแพทย์แผนโบราณ ได้ขึ้นไปศึกษาอยู่กับท่านอาจารย์พลับ วัดชีตาเห็น (ปัจจุบันมีชื่อว่าวัดชีโพ้น) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านอาจารย์พลับมีชื่อเสียงปรากฏขจรขจายอยู่ในขณะนั้น ต่อมาท่านก็ได้กลับมาอุปสมบทที่วัดนางชีโดยมีพระครูเปรม เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากอุปสมบทแล้วก็อยู่จำพรรษาอยู่ที่วัดนางชี 1 พรรษา ก็ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่วัดนาคปรกและได้เป็นเจ้าอาวาสในเวลาต่อมา

    ในการย้ายมาอยู่ที่วัดนาคปรกนี้ปรากฏว่ามีพระภิกษุจากวัดนางชีได้ย้ายติดตามไปอยู่ที่วัดนาคปรกด้วยจำนวน 10 รูป ตลอดระยะเวลาที่ท่านดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดนาคปรกนั้น ท่านได้บูรณะซ่อมแซมเสนาสนะตลอดจนกุฏิ วิหาร ให้เจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่นมาอีกวาระหนึ่ง ประกอบด้วยชาวบ้านในแถบนั้นต่างก็เคารพเลื่อมใสในตัวหลวงปู่เป็นอย่างมาก จึงได้ร่วมแรงร่วมใจกันทำนุบำรุงวัดนาคปรกเสมอมา หลวงปู่เป็นที่พึ่งทางใจให้แก่ชาวบ้านมาตลอด ไม่ว่าใครจะเจ็บไข้ได้ป่วยมาให้ท่านช่วยรักษา ท่านก็ช่วยรักษาให้จนหายขาดทุกรายไป ด้วยคุณธรรมของหลวงปู่อันนี้แหละจึงเป็นบ่อเกิดแห่งศรัทธาและเป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจของปวงชนเป็นอย่างดี ในวัดนาคปรกสมัยนั้นจะเต็มไปด้วยว่านยา สมุนไพรต่างๆ มากมาย ยาดีของหลวงปู่ชูขนาดหนึ่งก็คือ ยาดองมะกรูด ยานี้ท่านจะทำใส่โอ่งตั้งไว้กลางแจ้งตากแดดตากน้ำค้างเป็นจำนวนมาก ถ้าผู้ใดต้องการท่านก็จะแจกให้ไป ยานี้เป็นยาดองที่มีสรรพคุณรักษาโรคได้สารพัดแบบครอบจักรวาลเลยทีเดียว ปวดหัวตัวร้อนเป็นไข้ เป็นฝีหนอง มีอาการแพ้อักเสบต่างๆ เมื่อดื่มกินยาดองน้ำมะกรูดของท่านแล้วส่วนมากจะหายทุกรายไป

    หลวงปู่ชูท่านได้สร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ไว้องค์หนึ่ง ประ ชาชนทั่วไปเรียกว่า "หลวงพ่อโต" ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพสักการะแก่ประชาชนทั่วไป และท่านก็ได้สร้างพระเครื่องรูปหลวงพ่อโต เพื่อแจกจ่ายให้แก่ลูกศิษย์และชาวบ้าน ส่วนที่เหลือท่านก็ได้บรรจุไว้ในองค์หลวงพ่อโต

    นอกจากนี้ท่านยังได้สร้างพระเครื่องหลวงพ่อโตไว้อีกหลายรุ่น และมีเหรียญหล่อเป็นรูปเสมาเป็นพระพุทธรูปนั่งมารวิชัยประทับนั่งซ้อนกัน นิยมเรียกกันว่าพิมพ์พุทธซ้อน ส่วนเหรียญอีกรุ่นหนึ่งที่หายากก็คือเหรียญรูปท่าน ซึ่งศิษย์ขออนุญาตท่านสร้างเป็นที่ระลึกในคราวทำบุญอายุครบ 70 ปี ในปี พ.ศ.2470 ซึ่งเป็นเหรียญเงินที่มีจำนวนน้อยมาก ด้านหลังเป็นรอยบุ๋มแบบหลังแบบ ปัจจุบันหายากมาก ราคาหลักแสนครับ หลวงปู่มรณภาพในปี พ.ศ. 2475

    ในวันนี้ผมก็ได้นำรูปพระหลวงพ่อโตมาให้ชมกันครับ

    ด้วยความจริงใจ

    แทน ท่าพระจันทร์

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 5px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 5px; PADDING-TOP: 5px">[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา : ข่าวสดรายวัน -14 เมษายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7076



    สร้างราวปี 2464 องค์นี้พิเศษที่ด้านหลังมีรอยจารด้วยครับ

    ให้บูชา 1000 บาท

    ปิดรายการครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0043.jpg
      scan0043.jpg
      ขนาดไฟล์:
      50.8 KB
      เปิดดู:
      385
    • scan0044.jpg
      scan0044.jpg
      ขนาดไฟล์:
      47.7 KB
      เปิดดู:
      314
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2010
  2. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 495 พิมพ์หลวงพ่อโอภาสี วัดประสาท ปี 06

    ประวัติอีกหน้านึงเลยครับ
    ให้บูชา 490 บาท

    ปิดรายการครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0041.jpg
      scan0041.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29 KB
      เปิดดู:
      184
    • scan0042.jpg
      scan0042.jpg
      ขนาดไฟล์:
      41.1 KB
      เปิดดู:
      154
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2010
  3. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 496 ฤาษีเนื้อดิน หลวงพ่อครื้น วัดสังโฆ

    [​IMG]

    วัดสังโฆสิตาราม เป็นวัดอยู่กลางทุ่งนาในสมัยก่อน อายุการสร้างประมาณ ๑๐๐ กว่าปี ตั้งอยู่ ต.บ้านแหลม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ห่างจากแม่น้ำสุพรรณ (แม่น้ำท่าจีน) ประมาณ ๕-๖ กม.

    หลวงพ่อครื้น อมโร (พระครูโฆสิตธรรมสาร) บิดาเป็นกำนันชื่อ ฟุก มารดาชื่อ ผูก อยู่ที่ ต.บางใหญ่ อ.บางปลาม้า หลวงพ่อเกิดเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๔๔๒ แรม ๑๓ ค่ำ เดือนยี่ ปีชวด อุปสมบทในราวปี ๒๔๖๔ และจำพรรษาอยู่ได้หนึ่งพรรษา ตลอดเวลาที่ท่านบวชอยู่ ท่านได้ศึกษาวิชาต่างๆ มากมาย แต่แล้วบิดาและมารดาได้ขอร้องให้สึกเพื่อมาช่วยประกอบอาชีพต่อไป

    แต่หลวงพ่อท่านฝักใฝ่อยู่กับการเป็นพระมากกว่าเป็นฆราวาส จึงได้อุปสมบทอีกครั้งเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๔๖๘ ณ พัทธสีมา วัดบางใหญ่ อ.บางปลาม้า โดยมีพระอธิการสั้น เจ้าคณะตำบลบางใหญ่ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการฉัตร วัดสุขเกษม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดสังโฆสิตาราม

    เริ่มฝึกวิชากรรมฐานกับหลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน ในสมัยนั้นหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ก็เป็นศิษย์หลวงพ่อโหน่งเช่นกัน และหลวงพ่อครื้นก็ได้ศึกษาวิชาใน การทำนายทายทัก หรือท่านสามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ได้อย่างแม่นยำกับหลวงพ่อฉัตร และได้ศึกษาวิชาวาดเขียนกับการแกะสลักลวดลายต่างๆ แบบยุคสมัยไทยโบราณในสมัยนั้น
    ในราว พ.ศ. ๒๔๗๕ หลวงพ่อครื้นได้รักษาการตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดสังโฆสิตาราม ท่านได้สร้างกุฏิ ศาลา โบสถ์ และโรงเรียนประชาบาล จนเจริญขึ้นตามลำดับอย่างรวดเร็ว เพราะท่านเป็นคนขยันทำงาน จำวัดน้อยมาก ใจร้อน เวลาจำวัดจึงมีน้อย ทำงานเป็นหลัก และเป็นที่ศรัทธาของชาวบ้านละแวกนั้น
    และต่างอำเภอก็ได้รับคำกล่าวขานกันในวิชาอาคมของท่านว่าศักดิ์สิทธิ์นัก

    ทุกๆ วันจะมีคนมาหาท่านตลอด ทั้งใกล้และไกล มาให้ท่านทำนายโชคชะตาราศี ซึ่งท่านสามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ถึง ๒๐-๓๐ ปี ซึ่งถือเป็นเรื่องอัศจรรย์ยิ่งนัก จึงเป็นที่เคารพและศรัทธาของชาวบ้านเป็นอย่างมาก

    วัตถุมงคลที่หลวงพ่อครื้นสร้างไว้มีหลายชนิด ท่านเริ่มสร้างประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๐ เป็นต้นมา โดยสร้างทุกๆ ปี ใครให้แม่พิมพ์ท่านมา ท่านมีการแต่งแม่พิมพ์ใหม่เพื่อให้ได้ความงดงามตามแบบนั้นๆ วัตถุมงคลของท่านมีคนบูชาไปแล้วมีประสบการณ์มากมาย ในสมัยนั้นก็มีทหารไทยไปรบที่เวียดนาม ซึ่งก็รอดตายกลับมากราบท่านได้อย่างปาฏิหาริย์ทุกๆ คน วัตถุมงคลของท่านยังเด่นทางเมตตามหานิยม โดยเฉพาะเครื่องราง ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กแก จระเข้ โดยมีทั้งเนื้อดินและเนื้อผง เป็นที่ยอมรับกันมาก
    ส่วนใหญ่แล้วพระเครื่องของท่านจะตอกตัว (ฆ) ไว้เสมอแต่ที่ไม่ตอกก็มี ซึ่งก็ได้รับความนิยมไม่แตกต่างกัน

    หลวงพ่อครื้นมรณภาพ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๐๕ เวลา ๒๓.๐๕ น. สิริมงคลอายุ ๖๕ ปี ศพของท่านไม่เน่าเปื่อยยังเป็นปกติเหมือนคนทั่วๆ ไป ทางวัดจึงได้เก็บรักษาไว้จนถึงปัจจุบัน ณ วัดสังโฆสิตาราม

    หลวงพ่อครื้นได้สร้างพระไว้มากมายมีหลายพิมพ์ ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อดิน ส่วนเนื้อผงมีจำนวนน้อยกว่า นอกจากนี้ยังมีเหรียญรุ่นแรก ถ้ารวมกันแล้วหลวงพ่อครื้นท่านสร้างพระมีไม่ต่ำกว่า ๕๐ พิมพ์ ส่วนใหญ่จะสร้างถอดพิมพ์จากพระกรุโบราณทั่วๆ ไป ที่ชาวบ้านนำแม่พิมพ์มาถวายแล้วท่านก็แต่งใหม่ แล้วจึงทำเป็นพระเครื่องพิมพ์ต่างๆ ดังนี้
    ๑.สมเด็จพิมพ์อกร่อง
    ๒.สมเด็จพิมพ์เข่ากว้างเล็ก
    ๓.สมเด็จเข่ากว้างใหญ่
    ๔.สมเด็จเข่านูน
    ๕.สมเด็จพิมพ์เกศยาว
    ๖.สมเด็จทรงเจดีย์
    ๗.สมเด็จพิมพ์ฐานหนา
    ๘.สมเด็จฐานแซม
    ๙.พระขุนแผนบ้านกร่างทรงพลใหญ่
    ๑๐.ซุ้มประสาท
    ๑๑.บ้านกร่างพิมพ์พลายคู่
    ๑๒.บ้านกร่างพิมพ์ห้าเหลี่ยม
    ๑๓.นางเสน่ห์จันทร์
    ๑๔.นางเข่าตรง
    ๑๕.นางสมาธิใหญ่
    ๑๖.นางสมาธิเล็ก
    ๑๗.พิมพ์สี่กร
    ๑๘.พระพิมพ์
    ๒๕ พุทธศตวรรษ
    ๑๙.พิมพ์ประทานพร
    ๒๐.พิมพ์พระลีลา
    ๒๑.พิมพ์กำแพงรัศมี
    ๒๒.พิมพ์ถ้ำหีบ
    ๒๓.เม็ดขนุน
    ๒๔.ขุนแผนพิมพ์สมาธิ
    ๒๗.หลวงพ่อโต
    ๒๘.พิมพ์ถ้ำเสือ
    ๒๙.พิมพ์ฉันจังหัน
    ๓๐.ประคำรอบ
    ๓๑.พระนาคปรกมุจรินทร์
    ๓๒.นารายณ์ทรงปืน
    ๓๓.ซุ้มระฆัง
    ๓๔.ปิดตา
    ๓๕.ปางไสยาสน์
    ๓๖.นางกวัก
    ๓๗.พิมพ์เหลี่ยมสมาธิ
    ๓๘. ฤษี
    ๓๙.จันทร์ลอย
    ๔๐.พิมพ์ใบมะยม
    ๔๑.สิงห์
    ๔๒.จระเข้
    ๔๓.ตุ๊กแก
    ๔๓.เหรียญรุ่นแรก สร้างในราว พ.ศ. ๒๕๐๐ และมีจำนวนน้อยไม่เกิน ๑,๕๐๐ เหรียญ ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อทองแดง ส่วนเนื้ออื่นๆ ยังไม่เคยพบและยังมีอีกหลายๆ พิมพ์ที่ไม่ได้กล่าวไว้ ณ ที่นี้ ถ้าผู้ใดมีไว้ครอบครอง โปรดบอกกล่าวกันด้วย

    พระเครื่องของท่านเสกได้ขลังนัก จากคำบอกเล่าของคนรุ่นเก่าๆ ตอนนี้พระของท่านราคายังไม่สูงมากนักยังพอมีโอกาสหาได้ พุทธคุณเหนือกว่าราคาหลายเท่านัก แต่อีกหน่อยอาจจะแพงและก็จะหาได้ยากยิ่ง

    ขอบคุณ ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก ครับ





    องค์นี้ตุ๊กแกของท่านดังมากๆๆๆๆๆๆ มีพลังจิตเยี่ยมยอด ถึงขนาดที่หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ เคยกล่าวยกย่องว่าหลวงพ่อครื้นมีฤทธิ์เปรียบเหมือนพระโมคคัลลานะ และหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ก็นับถือในวิชาของท่าน เวลาท่านปลุกเสกพระต้องเอามุ้งครอบไว้เพราะท่านปลุกเสกพระจนบินได้ หลวงพ่อครื้น มรณภาพเมื่อปี 2505 อายุได้ 65ปี สำหรับลูกศิษย์ในสายหลวงพ่อครื้นเท่าที่ทราบก็มีเช่น หลวงพ่อหล่ำ วัดสามัคคีธรรม ได้วิชาการทำตุ๊กแกโดยตรงจากหลวงพ่อครื้น หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ เป็นต้น

    หลังมีจาร ฆ เป็นเอกลักษณ์ของท่านครับ

    ให้บูชา 350 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0035.jpg
      scan0035.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.4 KB
      เปิดดู:
      449
    • scan0036.jpg
      scan0036.jpg
      ขนาดไฟล์:
      64.3 KB
      เปิดดู:
      282
  4. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 497 ลีลาเนื้อดิน หลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD> <TR><TD class=headnews vAlign=top>พระเครื่องเรื่องน่ารู้-พระลีลาหลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top height=4></TD></TR><TR><TD class=dessubmmenu1>หลวงพ่อซวง อภโย วัดชีปะขาว ต.พระงาม อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี เป็นพระคณาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณทางด้านไสยเวท ผู้เพียบพร้อมด้วยศีลาจารวัตร ท่านจะให้ความอนุเคราะห์แก่ศิษย์และขาวบ้านทั่วไป โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ เท่าที่กิจของสงฆ์จะทำได้ เช่น การรับกิจนิมนต์ การรดน้ำมนต์ การแจกวัตถุมงคล เป็นต้น
    [​IMG]


    แม้ จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าสักเพียงใด ท่านก็ไม่เคยปริปากบ่นเลยแม้แต่น้อย ชาวบ้านแถบวัดชีปะขาว และบ้านใกล้เรือนเคียงต่างก็ให้ความเคารพนับถือ และยกย่องหลวงพ่อซวงเปรียบเสมือนบิดาของพวกเขา โดยจะเรียกหลวงพ่อซวงว่า “พ่อใหญ่” จนติดมาก
    สำหรับศิษย์หลวงพ่อซวงที่อยู่ต่างถิ่นแดนไกล ต่างเคารพยกย่องท่านมาก และให้สมญานามท่านอย่างยิ่งใหญ่ว่า “เทพเจ้าแห่งเมืองสิงห์” เลยทีเดียวหลวงพ่อซวง ชาตะเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๔๔๒ มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๐ สิริรวมอายุได้ ๖๙ ปี นับเป็นพระบริสุทธิสงฆ์ผู้มั่นคงในพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง โดยเน้นการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน มีฌานอันบริสุทธิ์ และพลังจิตอันแก่กล้า จนสำเร็จอภิญญาสมาบัติ สามารถล่วงรู้วาระจิตใจของผู้อื่น และยังสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ
    นอกจากนี้แม้แต่ อีกาตาแวว ท่านยังเลี้ยงให้เชื่องได้ และรู้ภาษาของมันอีกด้วย
    หลวง พ่อซวง ศึกษาวิชาไสยเวทมาจาก ๓ พระคณาจารย์ คือ ๑.หลวงพ่อฤทธิ์ วัดบ้านสวน อ.กงไกรลาส จ.สุโขทัย ๒.หลวงพ่อแป้น วัดเสาธงใหม่ อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา ๓.อาจารย์คำ อดีตเจ้าอาวาสวัดสิงห์ อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ท่านจึงเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญทางด้านไสยเวทเป็นอย่างมาก
    ในด้านวัตถุมงคล ท่านได้จัดสร้างไว้หลายชนิด แต่ที่ขึ้นชื่อลือชาเป็นที่รู้จักกันดีในวงการพระเครื่องคือ พระลีลา ของท่าน
    พระ ลีลาหลวงพ่อซวง เป็นพระหล่อแบบโบราณ ลักษณะโดยรวมเป็นพระพุทธรูปยืนในลักษณะเยื้องพระวรกายอยู่ในกรอบคล้ายสาม เหลี่ยมหน้าจั่วทรงชะลูด พระหัตถ์ขวาจะยื่นมาตรงพระอุระ (หน้าอก) พระหัตถ์ซ้ายทิ้งขนานกับพระวรกาย พระบาทขวาแนบขนานกับพื้น ส่วนพระบาทซ้ายยกพระปราษณี (ส้น) ขึ้น แบ่งออกเป็น ๔ พิมพ์ ดังนี้
    ๑. พิมพ์ฐานตุ้ม เป็นพิมพ์แรกที่จัดสร้างขึ้น เอกลักษณ์ที่เด่นชัดคือ ที่ฐานจะมีลักษณะเป็นวงกลม เพื่อให้ตั้งบูชาได้ หลวงพ่อซวงตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อให้นำไปตั้งบูชา ไม่ต้องการให้นำไปห้อยคอบูชาติดตัว
    ๒.พิมพ์ใหญ่ พระพิมพ์นี้มีลักษณะเขื่องกว่าพิมพ์ฐานตุ้มเล็กน้อย เอกลักษณ์ที่เด่นชัดของพิมพ์นี้คือ บริเวณพระอุระ ใต้พระหนุ (คาง) จะมีตำหนิคล้ายตัววี ( V )คว่ำ และพระกร (แขน) พระเพลา (ขา) พระวรกาย จะใหญ่กว่าพิมพ์ฐานตุ้ม มองดูค่อนข้างล่ำสัน
    ๓.พิมพ์เศียรปลาไหล พระพิมพ์นี้เป็นการนำ พระลีลาพิมพ์ใหญ่ มาถอดพิมพ์ และแก้ไขตกแต่งใหม่ เอกลักษณ์ที่เด่นชัดของพิมพ์นี้ คือ รอยต่อระหว่างพระเศียรกับพระเกศ ซึ่งมี ๒ ขยัก จะตื้นเขิน ไม่เด่นชัดเหมือนพิมพ์ใหญ่ และพระกร พระเพลา พระวรกาย จะเล็กเรียวกว่าพิมพ์ใหญ่ บางท่านจึงเรียกพระลีลาพิมพ์นี้ว่า “พิมพ์เศียรชะลูด”
    ๔.พิมพ์ใบข้าว พระพิมพ์นี้เป็นการนำ พระลีลาพิมพ์ฐานตุ้ม มาถอดพิมพ์ และแก้ไขปรับปรุง ฐานเดิมให้เป็นฐานตัดแบบธรรมดา ตั้งบูชาไม่ได้ พระพิมพ์นี้เมื่อมองดูในลักษณะทั่วไป ตรงส่วนบนจะเรียวเหมือนใบข้าว จึงเรียกพิมพ์นี้ว่า “พิมพ์ใบข้าว” เอกลักษณะที่เด่นชัดของพระพิมพ์นี้คือ พระเศียรและพระเกศจะแลดูกลมกลืนกันไปคล้ายกับหยดน้ำ
    พระลีลาหลวงพ่อซวง มีหลายเนื้อ คือ เนื้อเงิน ทองแดง ทองเหลือง ตะกั่ว อลูมิเนียม และสัมฤทธิ์ (โลหะผสม) ซึ่งสามารถพบเห็นได้ทั่วไป
    สำหรับ เนื้อพิเศษ คือ เนื้อผง เนื้องาแกะ ก็มีเช่นเดียวกัน แต่สร้างไว้น้อยมาก และพบเห็นได้ยาก มักจะตกอยู่กับญาติ และศิษย์ผู้ใกล้ชิดของหลวงพ่อเท่านั้น
    หลวงพ่อซวง ได้สร้างพระลีลาแจกหลายครั้งหลายคราว อยู่ในช่วง พ.ศ. ๒๔๘๕ ถึง ๒๕๐๗ โดยใช้แม่พิมพ์ทั้งหมด ๔ พิมพ์ สลับกันไป
    [​IMG]
    การ สร้างพระ ท่านจะเลือกเอาวันที่มีฤกษ์ผานาทีดีทางไสยศาสตร์ เป็นวันจัดสร้าง เช่น วันที่ตรงกับเสาร์ห้า วันที่ตรงกับพิธีฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ เป็นต้น
    ใน ด้านของพุทธคุณ พระลีลาหลวงพ่อซวงมีประสบการณ์เด่นชัดทางด้านแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี และมหาอุด ที่เชื่อถือได้ ชนิดที่แมลงวันไม่ได้กินเลือดกันเลยทีเดียว
    ก่อนที่หลวงพ่อจะมอบพระลีลาของท่านให้แก่ผู้ใด ท่านมักจะเน้นอยู่เสมอว่า “ให้เก็บรักษาไว้ให้ดี ในภายภาคหน้าจะมีค่าเหมือนทองคำ”
    ซึ่งก็เป็นจริงตามคำกล่าวของท่าน เพราะในปัจจุบัน พระลีลาของท่านมีการเช่าหากันที่ระดับหลักหมื่นขึ้นไป และพุ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ
    ไพศาล ถิระศุภะ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ให้บูชา 450 บาท

    [​IMG]
    ข้อมูลประวัติ
    เกิด ปี พ.ศ.2442 ณ ต.พระงาม อ.พรหมบุรี สิงห์บุรี ในสกุล พานิช
    อุปสมบท วัดโบสถ์ จ.อ่างทอง
    มรณภาพ วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2510
    สิริอายุ 69 ปี
    วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม
    ท่านสร้างวัตถุมงคลเอาไว้หลายประเภททั้งประเภทหล่อโบราณ เนื้อโลหะ เช่น พระสีดา เหรียญหล่อรูปเหมือนใบเสมา รูปหล่อ สมเจหล่อ พระกลีบบัวเนื้อปรอท และนอกจากนั้นยังมี พระเนื้อผง รูปถ่าย ตะกรุด ผ้ายนต์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0049.jpg
      scan0049.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.7 KB
      เปิดดู:
      271
    • scan0050.jpg
      scan0050.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48.6 KB
      เปิดดู:
      577
  5. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    วันนี้หมดแล้วครับ ลงเผื่อหลายๆวันเลย พอดีไปเติมหมึกพริ้นเตอร์ที่พันธ์ทิพย์งามวงศ์วาน ว่าจะไม่ไปชั้นสามแล้ว ก็ยังไปจนได้ เลยได้ติดไม้ติดมือมาครับ


    ช่วงใกล้ๆนี้จะมีรายการโปรโมชันครบหนึ่งปีกระทู้นะครับ
     
  6. mint&may

    mint&may เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    123
    ค่าพลัง:
    +224
    รบกวนขอจองนะครับ ยังอยู่นะครับ
     
  7. อาณัติ

    อาณัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2006
    โพสต์:
    6,073
    ค่าพลัง:
    +22,254

    จองนะครับ

    โอนพร้อมกับเหรียญหลวงปู่บุญศรี(350+180)
     
  8. technology

    technology เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +1,097
    ผมขอบูชารายการที่ 492 จำนวน 1 เหรียญ และรายการที่ 495 ครับ
     
  9. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    ปิดรายการเหรียญหลวงพ่อหวล เหลือ 1 เหรียญ
    วัดประสาท และพระหลวงพ่อครื้น ให้คุณอาณัติครับ
     
  10. nnatp

    nnatp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +470

    ผมโอนเงิน 380 บาทรวมค่าส่งให้แล้วครับ
    ที่อยู่ PM ไปครับ
     
  11. wat.R

    wat.R เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    347
    ค่าพลัง:
    +745
    สมัยสองปีก่อน ท่านเปิดตัวใหม่ๆ ดังมากๆ ขนาดชานหมากลูกเล็ก ยังลูกละ 2000 บาท อันนี้เป็นลูกใหญ่ครับ ถักลายธงชาติ

    ให้บูชา 350 บาท<!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>
    จองชานหมากหลวงปู่ขุ้ยครับ
     
  12. rang551

    rang551 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,363
    ค่าพลัง:
    +3,131
    ได้รับพระทั้งสองรายการเรียบร้อยแล้วครับผม ขอบพระคุณมากๆครับผม
     
  13. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 498 รูปถ่ายเก่า หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย

    รูปนี้สร้างอายุประมาณเกือบ 70 ปีแล้วครับ แต่ไม่ทันหลวงพ่อปานนะครับ

    ผู้เสก คือ หลวงพ่อนก วัดสังกะสี ผู้สร้างเสืออันโด่งดังนั่นเอง

    แต่รูปนี้มีความพิเศษอย่างยิ่งก็คือ ติดยันต์แดง ของหลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้วมาด้วย(สงสัยเจ้าของเดิมเป็นคนพื้นที่ แบบทำไว้ห้อยเองครับ)



    แค่รูปถ่ายก็เล่นกันแรงพอสมควรครับ

    http://uauction.uamulet.com/AuctionUClubDetail.aspx?bid=86&qid=21068


    ให้บูชา 1090 บาท ครับ พิเศษ

    ......................................................................................

    หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย เนื่องจากท่าน ได้ล่วงลับมาเป็นเวลานาน และท่านไม่ได้เล่าถึงชีวิตในอดีตของท่านให้ลูกศิษย์ทราบ ข้อมูลชีวประวัติของท่านจึงมีน้อย ทราบเพียงว่า

    ท่านเกิดปี พ.ศ. ๒๓๖๘ ที่ตำบลคลองด่าน ตาเป็นคนจีนชื่อ เขียว ยายเป็นคนไทยชื่อปิ่น โยมพ่อไม่ทราบชื่อ แต่โยมแม่ชื่อตาล เป็นลูกสาวคนโตของยายปิ่น ในตอนเยาว์วัย ท่านได้บรรพชา เป็นสามเณรที่วัดแจ้ง หรือวัดอรุณฯ กรุงเทพฯ เพื่อเรียนหนังสือ ไทย หนังสือขอม มูลกัจจายน์ และหนังสือใหญ่ ต่อมาท่านได้สึกจากเณร มาช่วยพ่อแม่ ประกอบอาชีพ ทำจาก และตัดฟืนไปขายเป็นอาชีพประจำ ท่านเป็นผู้มีนิสัยอดทนหนักเอาเบาสู้ ทำให้พ่อแม่เบาใจมาก

    ต่อมาเมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ท่านก็ได้บรรพชาอุปสมบทที่วัดอรุณฯ โดยมีพระศรีศากยมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วก็ได้อยู่ศึกษากับพระอุปัชฌาย์หลายปี ท่านมีความสนใจในทางกรรมฐานเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นท่านได้กราบลามาอยู่ วัดบางเหี้ย ตำบลบางเหี้ย อำเภอบางบ่อ ท่านประพฤติปฏิบัติ เคร่งครัดต่อพระธรรมวินัย เจ้าอาวาสขณะนั้น ได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้ปกครองดูแลพระเณร ออกพรรษาแล้วท่านก็ออกรุกขมูล บุกดงพงป่าเพื่ออบรมสมาธิฝึกกรรมฐาน แสวงหาความรู้วิทยาคมจากสำนักอาจารย์ที่มีชื่อเสียง รู้ว่าอาจารย์ที่ไหนดี ท่านก็บุกไปจนถึงเพื่อขอศึกษาอาคมกับอาจารย์นั้น ท่านสนใจในวิชาไสยศาสตร์ เป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงไม่มีความยากสำหรับท่าน เมื่อมีความชำนาญแคล่วคล่องในเวทย์มนต์ ก็ทำให้เกิดความขลัง ความรู้ความสามารถก็ทวีเป็นเงาตามตัว ต่อมาท่านได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาส ปกครองสงฆ์ดูแลวัด

    หลวงพ่อปานฯ กับหลวงพ่อวัดกระบกต้นผึ้ง จังหวัดระยอง (ซึ่งได้พบกันในระหว่างธุดงค์) ได้ชวนกันไปเรียนวิทยาคมการปลุกเสกเสือ จากอาจารย์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งพร้อมกัน (ไม่ทราบชื่อ และสำนักของอาจารย์ท่านนั้น) ขณะที่เรียนอยู่นั้น เมื่อเรียนถึงขั้นทดลองพิสูจน์ดู โดยเอาเสือใส่บาตร หรือในโหลให้เอาไม้พาดไว้ ปลุกเสกจนเสือออกมาจากบาตร หรือจากโหลหายเข้าป่าไป ถ้าใครภาวนาเรียกเสือกลับมาได้ก็จะให้เรียนต่อไป ถ้าเรียกกลับมาไม่ได้ ก็ไม่ให้เรียน

    หลวงพ่อปานวัดบางเหี้ย ปลุกเสกเสือออกจากบาตรเข้าป่าไปได้ และเรียกกลับมาได้ ส่วนหลวงพ่อวัดกระบกต้นผึ้ง ปลุกเสกเสือออกมาได้เข้าป่าไปเช่นกัน แต่เรียกเท่าไรๆ ก็ไม่กลับ ก็เป็นอันว่าหลวงพ่อปานเรียนต่อจนสำเร็จองค์เดียว หลวงพ่อวัดกระบกต้นผึ้งก็ต้องพักจากการเรียนเสือ ก็หันมาเรียน สร้าง และปลุกเสกแพะ จนสำเร็จ เมื่อได้วิทยาคมนี้ต่อมาก็มาเป็นอาจารย์ของหลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก จังหวัดระยอง หลวงพ่ออ่ำนี่มีชื่อเสียงมากในการสร้างแพะ จนได้สมญาว่า “หลวงพ่ออ่ำแพะดัง” และหลวงพ่อวัดกระบกต้นผึ้งนี้ ก็เป็นอาจารย์ของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จังหวัดระยอง ผู้โด่งดังมากในปัจจุบันนี้

    นอกจากนี้หลวงพ่อปานฯยังเป็นหัวหน้าสายรุกขมูล และสอนกรรมฐานอันลือชื่อ การออกธุดงควัตร ท่านจะเป็นอาจารย์ควบคุมพระเณร เช่นเดียวกับหลวงพ่อนก วัดสังกะสีซึ่งเป็นคณะธุดงค์อีกสายหนึ่ง ทั้งสองสายมีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยนั้น หลวงพ่อปานนำพระเป็นร้อยรูป บางปีก็ถึงห้าร้อย พระกรรมฐานสองสายนี้ มีชื่อเสียงมาก่อนกรรมฐานสายอาจารย์เสาร์ อาจารย์มั่น

    เนื่องจากหลวงพ่อปานมีอาคมขลัง มีสมาธิจิตเข้มแข็ง เวลาออกรุกขมูลพักปักกลดอยู่ในป่า ตอนกลางคืนเดือนหงายๆ ท่านมักจะลองใจศิษย์ เนรมิตกายให้เป็นงูใหญ่ เลื้อยผ่านหมู่ศิษย์ไปบ้าง ทำเป็นเสือโคร่งเดินผ่านกลดศิษย์ไปบ้าง เป็นที่เลื่องลือไปทั่ว

    เนื่องจากหลวงพ่อปานได้ศึกษาวิทยาคม ในการสร้างเสือมาโดยสมบูรณ์แบบ ท่านก็เริ่มสร้างแจกจ่ายให้กับประชาชนแถวย่านบางเหี้ยก่อน ที่วัดจึงต้องต้อนรับประชาชน ที่พากันหลั่งไหลเข้าสู่วัดบางเหี้ยเพื่อรับแจกเสือ ตอนแรกคนแกะเสือก็มีเพียงคนเดียว ต่อมาต้องเพิ่มคนแกะเรื่อยๆ จนถึง ๔ คน และมากกว่านั้น แต่ที่มีฝีมือนั้นมีอยู่ ๔ คน ใครต่อใครก็พากันกล่าวขวัญว่า “เสือหลวงพ่อปาน” แม้แต่เด็กเล็กๆ ก็ยังรู้จัก และในสมัยนั้นไม่มีใครทำเลียนแบบ สำหรับหลวงพ่อปานวัดบางเหี้ยนั้น ท่านแก่กว่าหลวงพ่อปานวัดบางนมโค ๔๐ ปี และในจังหวัดสมุทรปราการ มีหลวงพ่อปาน วัดบางกระสอบ เป็นพระเกจิอาจารย์ที่ดังมากอีกองค์หนึ่ง หลวงพ่อปานเมื่อออกรุกขมูล พระเณรก็จะนำเอาเสือที่ปลุกเสกแล้วติดไปแจกประชาชนด้วย

    ปรากฏว่าเสือของท่านมีประสบการณ์ในทางอำนาจ และคงกระพันยอดเยี่ยม หรือจะใช้ในทางเมตตามหานิยม ค้าขายของก็ได้ผล พ่อค้าแม่ค้ามักจะไปขอเสือหลวงพ่อกันวันละมากๆ ชื่อเสียงเกียรติคุณของท่านจึงแพร่หลายโดยรวดเร็ว ยิ่งมีผู้รู้เห็นพิธีปลุกเสก เสือวิ่งในบาตรเสียงดังกราวๆ ก็ยิ่งทำให้ประชาชนแห่แหนมารับแจกเสือกันไม่ขาดระยะ นอกจากนี้ จีนเฉย (อาแป๊ะเฉย) ซึ่งมีความคุ้นเคยกับหลวงพ่อปาน ถึงกับไปค้างที่วัดเป็นประจำ วันหนึ่งแกก็ไปที่วัดเช่นเคย แต่เอาหมูดิบๆ ไปด้วย เวลาดึกสงัดหลวงพ่อปลุกเสือแกก็เอาหมูแหย่ลงไปในบาตร ปรากฏว่าเสือติดหมูขึ้นมาเป็นระนาว แกยังสงสัยว่าแกจิ้มแรงจนเสือติดหมูออกมา ตอนหลังพอหลวงพ่อปลุกเสกจนเสือวิ่งในบาตร แกก็เอาหมูผูกกับไม้ แล้วชูหมูไว้เหนือบาตร ปรากฏว่าเสือที่อยู่ในบาตรกระโดดกัดหมู เหนือขอบปากบาตร จีนเฉยซึ่งเห็นกับตาตนเองก็นำไปเล่า จนข่าวเสือกระโดดกัดหมู เสือวิ่งในบาตร เสือกระโดดได้ แพร่สะพัดไปราวกับลมพัด ประชาชนต่างก็เห็นเป็นอัศจรรย์

    หลวงพ่อกับ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

    สมัยก่อนมีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง ซึ่งไหลผ่านป่าดงพงพีมีต้นน้ำอยู่แปดริ้ว มาลงทะเลที่สมุทรปราการ ทุกครั้งที่น้ำทะเลหนุน น้ำเค็มจะทะลักเข้าไปตามแม่น้ำลำคลองต่างๆ ทำให้ชาวบ้านในย่านนั้นได้รับความลำบาก สิ่งที่ไหลขึ้นมาตามน้ำคือตัวเหี้ย ตะกวด และจระเข้ จนต้องมีการทำประตูกั้นน้ำไว้เพื่อมิให้น้ำเค็มจากทะเลไหลขึ้นไปปนกับน้ำจืด และเพื่อป้องกันสัตว์เลื้อยคลานที่มีอยู่ชุกชุม มิให้แพร่หลายไปตามคลองต่างๆ ด้วยเหตุที่มีสัตว์พวกนี้ชุกชุม ชาวบ้านจึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านบางเหี้ย” และคลองบางเหี้ย วัดก็ตั้งชื่อว่า วัดบางเหี้ย มี ๒ วัดคือวัดบางเหี้ยนอก กับวัดบางเหี้ยใน ประตูที่กั้นคลองนั้น มีชื่อเรียกกันปัจจุบันว่า “ประตูน้ำชลหารวิจิตร”

    ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ ประตูน้ำเกิดชำรุด ต้องทำการซ่อมแซมหลายครั้ง เมื่อแล้วเสร็จได้กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จไปที่ตำบลบางเหี้ย จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อที่จะทำพิธีเปิดประตูน้ำใหญ่ที่ตั้งอยู่ในคลองบางเหี้ย ปรากฏว่าทรงประทับอยู่ที่คลองด่านถึง ๓ วัน


    บรรดาชาวบ้านที่อยู่ในแถบถิ่น บางบ่อ บางพลี บางเหี้ย และบริเวณใกล้เคียง เมื่อรู้ข่าวว่าพระเจ้าอยู่หัวฯจะเสด็จมาเปิดประตูน้ำ ต่างก็พากันเตรียมของที่จะถวาย หลวงพ่อปานได้นำเขี้ยวเสือ ที่แกะอย่างสวยงามใส่พาน แล้วให้เด็กป๊อดซึ่งเพิ่งจะมีอายุ ๗-๘ ขวบหน้าตาดี เดินถือพานที่ใส่เขี้ยวเสือแกะเป็นรูปเสือ ตามหลังท่านไปเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ริมคลองด่าน

    เมื่อไปถึงที่ประทับของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ หลวงพ่อได้เรียกเอาพานใส่เขี้ยวเสือจากเด็กผู้ติดตาม แต่เด็กคนนั้นบอกกับท่านว่า

    “เสือไม่มีแล้ว เพราะมันกระกระโดดน้ำไปในระหว่างทางจนหมดแล้ว”

    หลวงพ่อปานจึงได้เอาชิ้นหมูที่ทำขึ้นจากดินเหนียว แล้วเสียบกับไม้ แกว่งล่อเอาเสือขึ้นมาจากน้ำต่อหน้าพระพักตร์ พระองค์ทรงตรัสว่า

    “พอแล้วหลวงตา”

    หลังจากนั้นหลวงพ่อได้ถวายเขี้ยวเสือแกะนั้นแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระองค์ทรงพิจารณาชั่วครู่ จึงตรัสถามชื่อพระเถระรูปร่างสูงใหญ่ผู้ปลุกเสกเขี้ยวเสือ หลวงพ่อปาน ทูลว่าท่านชื่อปาน (ติสโร) เป็นเจ้าอาวาสวัดบางเหี้ย

    พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ มีรับสั่งกับพระปานว่า

    “ได้ยินชื่อเสียง และกิตติคุณมานาน เพิ่งเห็นตัววันนี้”

    แล้วรับสั่งถามว่า

    “ที่แจกเครื่องรางเป็นรูปเสือมีความหมายอย่างไร ?”

    หลวงพ่อปานทูลตอบว่า

    “ได้ไปรุกขมูลธุดงค์ในป่า พบเสือใหญ่หลายครั้ง ได้สังเกตดูเห็นว่า “เสือ” เป็นสัตว์ปราดเปรียว ฉลาด ว่องไว เฉียบขาด มีตบะ และอำนาจ สามารถที่จะใช้ตาสะกดสัตว์อื่นให้อยู่ในอำนาจได้ คนทั่วไปเรียกผู้ร้ายใจฉกรรจ์ว่า “ไอ้เสือ” ก็คือเอาความเก่งกาจของเสือมานั่นเอง การที่ทำเครื่องรางรูปเสือ มิใช่จะสนับสนุนให้คนกลายเป็น”อ้ายเสือ” เพียงแต่ต้องการเอาลักษณะของเสือจริงในป่า ที่ปราดเปรียว ว่องไว เฉลียวฉลาด เฉียบขาดมาเป็นตัวอย่างเท่านั้น”

    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทรงพอพระทัยในคำตอบของพระปานยิ่งนัก (ด้วยท่านมิได้ โอ้อวดว่า เครื่องรางของท่านดีเด่น แต่ประการใด) ทรงพระราชทานผ้าไตร และผ้ากราบ (ต่อมาได้พระราชทานสมณศักดิ์ เป็น “พระครูพิพัฒน์นิโรธกิจ”)

    พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง”เสด็จประพาส มณฑลปราจิณ” ได้เล่าถึงพระปานไว้ว่า

    “พระครูปานมาหาด้วย พระครูปานรูปนี้นิยมกันในทางวิปัสสนา และธุดงควัตร มีพระสงฆ์วัดต่างๆ ไปธุดงค์ด้วยสองร้อยสามร้อย แรกลงไปประชุมที่วัดบางเหี้ย มีสัปบุรุษที่ศรัทธาเลื่อมใสช่วยกันเลี้ยง กินน้ำจืดที่มีไว้เกือบจะหมดแล้วก็ออกเดิน ทางที่เดินนั้น ลงไปบางปลาสร้อย แล้วจึงเวียนกลับขึ้นไปปราจิณ นครนายก ไปพระบาท แล้วเดินลงมาทางสระบุรี ถ้ามาตามทางรถไฟ แต่ไม่ขึ้นรถไฟ เว้นแต่พระที่เมื่อยล้าเจ็บไข้ ผ่านกรุงเทพฯกลับลงไปบางเหี้ย ออกเดินทางอยู่ในแรมเดือนยี่ กลับไปวัดอยู่ในราวเดือนห้าเดือนหก ประพฤติเป็นอาจิณวัตรเช่นนี้มา ๔๐ ปีแล้ว

    คุณวิเศษที่คนเลื่อมใสคือ ให้ลงตะกรุด ด้ายผูกข้อมือ รดน้ำมนต์ ที่นิยมกันมากคือ เขี้ยวเสือแกะเป็นรูปเสือ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ฝีมือหยาบๆ ข่าวที่ร่ำลือกันว่า เสือนั้นเวลาจะปลุกเสก ต้องใช้หมู ปลุกเสกเป่าไปข้อไร เสือนั้นกระโดดลงไปในเนื้อหมูได้ (น่าจะหมายความว่า พอปลุกเสกได้ที่เสือจะกระโดดกัดเนื้อหมู เป็นอันใช้ได้น่ะครับ) ตัวพระครูเองเห็นจะได้ความลำบาก เหน็ดเหนื่อยในการที่ใครๆ กวนให้ลงโน่นลงนี่ เขาว่าบางทีก็หนีไปอยู่ในป่าช้า ที่พระบาทฯ (สระบุรี) ก็หนีไปอยู่บนเขาโพธิ์ลังกา คนก็ยังตามไปกวนไม่เป็นอันหลับอันนอน แต่บริวารเห็นจะได้ผลประโยชน์ ในการทำอะไรๆ ขาย เวลาแย่งชิงก็ขึ้นไปถึง ๓ บาท ว่า ๖ บาทก็มี ได้รูปเสือนั้นแล้วจึงไปให้พระครูปลุกเสก สังเกตดูอัธยาศัยเป็นคนแก่ใจดีมีกิริยาเรียบร้อย อายุ ๗๐ แล้วยังไม่แก่มาก รูปร่างล่ำสันใหญ่โต เป็นคนพูดน้อย มีคนมาช่วยพูด"

    จะเห็นว่า ในพระราชนิพนธ์ “เสด็จประพาสเมืองปราจิณ” ได้เล่าถึง “พระปาน” อย่างละเอียด สิ่งสำคัญยิ่งก็คือ เครื่องรางเขี้ยวเสือที่ทำเป็นรูปเสือ ในขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ ราคาเช่าซื้อตัวละ ๑ บาทบ้าง ๓ บาทบ้าง ๖ บาทบ้าง ซึ่งเป็นราคาที่สูงมาก (ในสมัยนั้น กาแฟถ้วยละ ๑ สตางค์ ก๋วยเตี๋ยวชามละ ๓ สตางค์ ข้าวผัดจานละ ๕ สตางค์) หลังจากเสร็จสิ้นพระราชกรณียกิจ ก่อนที่ท่านจะเสด็จกลับเมืองหลวง พระองค์มีรับสั่งกับหลวงพ่อปานว่า

    “ฟ้าไปก่อน แล้วให้พระท่านไปทีหลัง”

    พระราชดำรัสนี้ทำให้ทุกคนพิศวง เพราะไม่เข้าใจความหมาย (ยกเว้นหลวงพ่อฯ) แต่หลังจากนั้นไม่กี่ปี พระองค์ท่านก็เสด็จสวรรคต และต่อจากนั้นไม่ถึงปี หลวงพ่อปานก็มรณภาพลงเช่นกัน จึงสันนิษฐานว่าพระองค์อาจจะรู้ด้วยญาณ ว่าท่านและหลวงพ่อปานคงถึงเวลาที่จะละสังขารแล้ว

    บุญญาภินิหารของหลวงพ่อ

    หลวงพ่อปานท่านเป็นผู้มีความเมตตา ปรานี และมีวาจาสิทธิ์ จนเป็นที่ยำเกรงแก่ประชาชนทั่วไป บรรดาลูกศิษย์ของท่านจะพยายามปฏิบัติตนอยู่ในคุณงามความดี เพราะกลัวหลวงพ่อว่าตนไม่ดี แล้วจะไม่ดีตามวาจาสิทธิ์ของท่าน กอปรกับท่านมีเจโตปริยญาณ และอนาคตังสญาณ

    อาทิเช่นครั้งหนึ่งท่านเตรียมจะออกเดินธุดงค์ พร้อมกับพระภิกษุสามเณรจำนวนมากจากวัดต่างๆ พระทั้งหลายจะต้องเข้ามาหาหลวงพ่อ เพื่อรายงานตัวก่อน ถ้าท่านไม่ให้ไปก็ไปไม่ได้ ในครั้งนั้นมีพระอยู่องค์หนึ่ง ชื่อพระผิว หลวงพ่อได้เรียกเข้ามาหา และบอกว่า

    “คุณเก็บบาตร เก็บกลด กลับวัดไปเถอะ”

    พระผิวเสียใจเป็นอย่างยิ่งถึงกับร้องไห้ หลวงพ่อปานจึงกล่าวกับพระผิวว่า

    “อย่าเสียใจไปเลยคุณ กลับไปวัดเถอะ เดินทางไปกับหลวงพ่อมันลำบากมาก องค์อื่นท่านแข็งแรง หลวงพ่อกลัวคุณจะลำบากจึงให้กลับไปก่อน”

    พระผิวจึงจำใจกลับ หลังจากพระผิวกลับมาถึงวัดได้ ๒ วันเท่านั้นท่านก็เป็นไข้ทรพิษ และมรณภาพลงในที่สุด การเดินธุดงค์นั้น ท่านมักจะให้ศิษย์ออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อนทุกคราว แต่พอถึงจุดนัดหมาย หลวงพ่อจะไปคอยอยู่ข้างหน้าก่อนเสมอ

    หลวงพ่อปานท่านเป็นพระที่เคร่งครัดเอาจริงเอาจัง มีจิตใจกล้าหาญ ผิดว่าผิด ถูกว่าถูก ไม่มีการเอนเอียงไปทางใดเลย การทำกรรมฐาน ท่านให้นั่งพิจารณาธาตุ เพ่งสิ่งต่างๆ เช่น ไฟเทียน น้ำในบาตร ปฐวีธาตุ จนพลังใจแก่กล้ามั่นคง และฝึกสติโดยการให้เดินจงกรม เมื่อฝึกจิตจนได้ที่แล้วท่านจึงจะสอนวิชาเคล็ดลับต่างๆ ให้ มีทั้งอยู่ยงคงกระพัน เมตตามหานิยม และวิชาไสยศาสตร์ต่างๆ ที่เรียนนี้ก็เพื่อรู้ เรียนไว้เพื่อแก้ และเพื่อป้องกันตัว (เวลาออกธุดงค์) ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากในสมัยนั้น ในการไปเดินธุดงค์คราวหนึ่ง ท่านไปได้หินเขียววิเศษ เป็นวัตถุสีเขียว แวววาวมาก โตขนาดเมล็ดถั่วดำ และข้างๆ หินนี้ มีเต่าหินที่สลักด้วยหินทรายสีออกน้ำตาลแดงเล็กน้อย หลวงพ่อปานท่านนิมิตเห็นสิ่งนี้ก่อนท่านจะออกธุดงค์

    ของวิเศษนั้น หลวงพ่อปานไม่เคยเปิดเผยกับใคร ท่านนำไปไว้ยังศาลที่ปลูกไว้ภายในบริเวณวัด ที่ศาลนี้มีพระพุทธรูปศิลาศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วย ใครไปมาผ่านศาลก็จะกราบไหว้พระพุทธรูป และจะเห็นเต่าศิลาตัวนั้น แต่บางคราวเต่านั้นก็หายไป และก็น่าแปลกที่หลวงพ่อปานก็จะไม่อยู่ด้วยทุกครั้ง ทุกคนเข้าใจว่าท่านไปธุดงค์ในป่า แต่ทำไมจะต้องนำเต่าหินนั้นไปด้วยเพราะทั้งหนัก และต้องลำบากดูแลรักษา

    เรื่องนี้ใครๆ ไม่สนใจ แต่สามเณรน้อยองค์หนึ่งสนใจ และคอยแอบดูอยู่ ว่าเต่าหายไปไหนใครพามันไป ทั้งๆ ที่หนักมาก สามเณรน้อยนี้มีความพยายามมาก ท่านคอยซ่อนตัวแอบดูเต่าหินนั้น ซึ่งบัดนี้มีดวงตาเป็นหินสีเขียว โดยหลวงพ่อปานท่านลองใส่เข้าไปตรงดวงตาเต่าก็เข้ากันได้พอดี อย่างไรก็ตามความพยายามของสามเณร หลวงพ่อท่านก็ทราบโดยตลอด

    ต่อมาเป็นวันข้างแรมเดือนดับ สามเณรก็ยังมาคอยดูอยู่เช่นเคย ทันใดนั้น! เณรน้อยก็ตกตะลึงตัวชาอยู่กับที่ เพราะเต่าหินกำลังเคลื่อนไหวคลานออกจากศาล และลอยไปในอากาศ เรียกว่าเต่าหินเหาะก็ไม่ผิด สามเณรพยายามข่มตาไม่ยอมหลับนอน ทนไว้เพื่อจะได้ดู ตอนเต่าหินกลับมา เวลาล่วงเลยไปจนถึงประมาณตี ๔ เณรน้อยก็ต้องอัศจรรย์ใจอีกครั้ง เพราะเต่าหินนั้นได้เหาะกลับมา และคลานกลับไปอยู่ที่เดิม สามเณรนั้นเดินไปสำรวจเต่าหินดู ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เป็นหินที่เขาสลักมาจากหินทราย ถ้าไม่ใช่ของกายสิทธิ์จะคลานแล้วลอยไปในอากาศได้อย่างไร หลวงพ่อปานท่านคอยดูความมานะ อดทนตลอดจนปัญญาไหวพริบของสามเณรน้อยลูกศิษย์ท่านอยู่เงียบๆ จากการสังเกตเฝ้าดู เณรน้อยพบว่าเต่าหินนี้จะเหาะไป และกลับตอนตี ๔ ทุกๆ วันแรม ๑๕ ค่ำ

    ในที่สุดเณรน้อยก็ตัดสินใจ ท่านครองผ้าอย่างทะมัดทะแมง เตรียมตัวจะไปผจญภัยกับเต่าหิน เมื่อถึงเวลา เต่าหินก็ค่อยๆ คลานลงมาจากศาล สามเณรก็ปราดออกจากที่ซ่อน กระโดดเกาะเต่าหินนั้นไว้ เมื่อเต่าหินค่อยๆ ลอยขึ้นสามเณรก็กอดไว้แน่นด้วยใจระทึกเพราะเกรงจะตกลงไป ในที่สุดก็มาถึงเกาะแห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นสถานที่แห่งใด มองไปรอบๆ ตัวพบกับแสงสว่างเย็นตาน่ารื่นรมย์ เต่าหินค่อยๆ ลอยต่ำลง เมื่อถึงพื้นดินก็ตรงไปยังป่าไผ่ กินหน่อไผ่อย่างไม่รู้จักอิ่ม สามเณรก็ไม่กล้าลงจากหลังเต่า เพราะเกรงถูกทิ้งไว้ ได้แต่รั้งหักหน่อไม้มาได้หน่อหนึ่ง เพื่อเป็นสักขีพยานว่า ไม่ได้ฝันไป ได้มาอยู่บนเกาะนี้จริงๆ

    เต่าหินนั้นกินอยู่พักหนึ่ง ก็เหาะกลับแต่ขณะที่เดินทางนั้น สามเณรไม่สามารถกำหนดจดจำทิศทางได้เลย เมื่อกลับมาที่วัด เต่าหินก็กลับไปประจำที่ ส่วนเณรน้อยก็ถือหน่อไม้เข้ากุฏิไป หลวงพ่อปานท่านพิจารณาแล้ว เห็นว่าเรื่องเต่าหินวิเศษนี้จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป ท่านจึงได้นำดวงตาอันเป็นหินสีเขียวสดใสนั้นออกเสีย เพื่อเต่าศิลาจะได้ไม่สามารถเหาะไปเที่ยวได้อีก (ท่านคงพิจารณาแล้วว่า ถ้าเรื่องถูกแพร่งพรายออกไปคงจะเกิดความวุ่นวาย และสามเณรนั้นคงจะทดลองเกาะเต่าไปเที่ยวอีก และอาจเกิดอันตราย กระผมเข้าใจว่า หลวงพ่อท่านสามารถควบคุมเต่าได้ และสามารถเกาะหลังเต่าไปในที่ต่างๆ ได้ ตามที่ท่านปรารถนา) ปัจจุบันเต่าหินตัวนี้ ยังปรากฏอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดใกล้เคียง (เรื่องเต่าหินเหาะได้นี้ ท่านพระครูโกศล ปาสาธิโก ศิษย์ของหลวงพ่อปาน ซึ่งเป็นผู้ทรงอภิญญาเช่นเดียวกัน เป็นผู้เล่าให้ฟัง)

    เนื่องจากหลวงพ่อปานฯ เป็นผู้ที่ชอบเรียนรู้อยู่เสมอ ท่านจึงชอบธุดงค์ไปในที่ต่างๆ บางครั้งท่านก็ไปองค์เดียว คราวหนึ่งท่านเดินธุดงค์ไปทางจังหวัดปราจีนบุรี ไปถึงวัดโพธิ์ศรี เมื่อไปถึงวัด ท่านเจ้าอาวาสกำลังขึงกลองเพลอยู่ ท่านเห็นดังนั้นก็ลงมือช่วยเหลือทันที พอเสร็จเรียบร้อย สมภารท่านก็นิมนต์หลวงพ่อปานขึ้นไปคุยกันบนกุฏิ ขณะที่คุยกันอยู่มือของท่านสมภารก็ปั้นลูกดินกลมๆ อยู่ในมือ สักครู่หนึ่งท่านสมภารก็โยนลูกดินนั้นขึ้นไปบนอากาศ กลายเป็นม้าตัวหนึ่ง กับตุ๊กตาอีกตัวหนึ่งไล่จับเหยี่ยวอยู่บนท้องฟ้า

    หลวงพ่อปานเห็นดังนั้นท่านก็หัวเราะชอบใจ แต่ไม่ได้พูดอะไร เมื่อท่านลงจากกุฏิของท่านสมภารแล้ว ท่านได้พูดกับพระในวัดนั้นว่า “โดนลองดีเข้าให้แล้ว” พอพูดจบท่านก็หยิบผ้าสังฆาฏิที่พาดบ่าท่านอยู่ นำมาม้วนแล้วโยนขึ้นไปในอากาศ ปรากฏว่าผ้านั้นได้กลับกลายเป็นกระต่ายหลายตัว วิ่งอยู่ในลานวัด ใครจะจับก็จับไม่ได้ เป็นที่อัศจรรย์แก่ผู้พบเห็น หลังจากนั้นหลวงพ่อปานท่านจะออกเดินธุดงค์ ท่านมักจะมุ่งหน้าไปทาง อำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรีเสมอ เพราะในย่านนั้นเต็มไปด้วยพระอาจารย์ผู้มีวิชาอาคม ท่านปรารถนาจะเรียนในสิ่งที่ท่านยังไม่รู้ให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น

    ท่านพระครูโกศล ปาสาธิโก ท่านเล่าให้ฟังว่า “หลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน ท่านเก่งเรื่องจิต ท่านแสดงฤทธิ์ได้มากมาย ท่านได้เคยเล่าถึงสรรพคุณของเต่าวิเศษที่พาท่านไปในเมืองลับแล ซึ่งเป็นภพซ้อนภพกันอยู่นี่ ได้ไปพบกับสิ่งอัศจรรย์หลายอย่าง พอเป็นคติเตือนใจ ครั้นเมื่อกลับมาจากการท่องเที่ยวครั้งนั้น หลวงพ่อปานได้เคร่งครัดการปฏิบัติกรรมฐานของท่านอย่างหนัก โดยไม่ปล่อยกาลเวลาให้ผ่านพ้นไป ท่านตระหนักดีว่า ชีวิตของท่านนั้นสั้นนัก ควรจะเร่งรีบภาวนา ทำจิตให้มีกำลัง มีสมาธิ และมีปัญญาติดตัวไว้ อุบายธรรมของท่าน ก็คือการพิจารณา สภาวธรรมความจริงแห่งวัฏฏะ เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความทุกข์ความวุ่นวาย เกิดเพราะจิตเข้าไปยึดมั่น จิตปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา การระงับดับเหตุทั้งปวง ย่อมต้องระงับดับที่ใจ เพราะใจเป็นใหญ่ใจเป็นประธาน ท่านมีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติ เพื่อพระนิพพานเป็นที่หมาย เพื่อให้พ้นจากวัฏฏะอันหมุนวนไม่รู้จักจบ”

    ก่อนที่หลวงพ่อปานจะมรณภาพนั้น ประชาชนที่มีความเคารพบูชาหลวงพ่อ ได้พร้อมใจกันหล่อรูปท่านขึ้นมาองค์หนึ่ง ขนาดเท่าองค์จริง เพื่อไว้เป็นที่เคารพบูชา เพราะหลวงพ่อไม่ค่อยได้อยู่วัด ท่านมักจะเดินธุดงค์ไปในที่ต่างๆ เป็นประจำ จะได้กราบรูปหล่อแทนตัวท่าน แต่เมื่อหล่อรูปแล้วท่านก็ไม่ค่อยจะเข้าวัด ท่านมักจะปลีกตัวไปจำวัดที่พระปฐมเป็นประจำ การที่ท่านไม่อยากเข้าวัดของท่านนั้น อาจเป็นเพราะท่านรู้ล่วงหน้าว่าถึงคราวจะหมดอายุขัยแล้ว ท่านจึงต้องการความสงบในการพิจารณาธรรม แต่ท่านก็ไม่กล้าพูดกับใครๆ เมื่อญาติโยมอ้อนวอนมากๆ เข้า ท่านก็บ่ายเบี่ยงไปว่า “เข้าไปไม่ได้ อ้ายดำมันอยู่ ขืนเข้าไปอ้ายดำมันจะเอาตาย” คำว่า “อ้ายดำ” หมายถึงรูปหล่อของท่านนั่นเอง ปัจจุบันนี้รูปหล่อของท่านก็ยังประดิษฐานอยู่ที่วัดมงคลโคธาวาส (วัดคลองด่าน หรือวัดบางเหี้ย) คืออยู่ที่กุฏิของหลวงพ่อซึ่งได้จัดสร้างขึ้นใหม่ และปรากฏความศักดิ์สิทธิ์มากมาย น้ำมนต์ที่หน้ารูปหล่อของท่านก็มีคนนำไปดื่ม และทองคำเปลวที่รูปหล่อก็มีคนนำไปปิดที่หน้าผาก เพื่อรักษาโรคได้ผลมาแล้วมากมาย


    ด้านสาธารณประโยชน์ หลวงพ่อเป็นผู้นำในการสร้างถนนจากคลองด่านไปบางเพรียง ถนนจากวัดมงคลโคธาวาสไปวัดสว่างอารมณ์ ถนนจากวัดมงคลโคธาวาสจรดคลองนางหงษ์ ถนนแต่ละสายปัจจุบันได้พัฒนาเป็นถนนถาวรและใช้สัญจร ไปมาจนถึงทุกวันนี้

    ด้านความศักดิ์สิทธิ์อภินิหารของหลวงพ่อนั้น เป็นที่เลื่องลือกันทั่วไป เป็นพระอาจารย์ ที่มีญาณแก่กล้าชื่อเสียงโด่งดังในสมัยรัชกาลที่ 5 เครื่องรางของขลัง ของท่านเป็นที่เลื่อมใสศรัทธามากและสืบ เสาะหากันจนทุกวันนี้ ท่านคร่ำเคร่งทางวิปัสสนามากและ ธุดงค์อยู่เสมอ ด้วยคุณความดีและคุณธรรมอันสูงส่งของหลวงพ่อที่ได้ประกอบขึ้นไว้ แต่ครั้งท่านยังมีชีวิตอยู่ ราษฎรในตำบลใกล้เคียง กระทั่งต่างอำเภอและต่างจังหวัดพากันเคารพนับถือและรำลึก ถึงหลวงพ่ออย่างไม่ เสื่อมคลาย

    ด้านสมณศักดิ์ หลวงพ่อปาน ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น "พระครูพิพัฒน์นิโรธกิจ"

    ท่านมรณภาพเมื่อ วันที่ 29 สิงหาคม 2453 เวลา 4 ทุ่ม 45 นาที

    เมื่อท่านถึงมรณภาพไปแล้วจึงร่วมกันประกอบพิธีนมัสการรูปหล่อของท่าน รูปหล่อดั้งเดิมของท่าน ปัจจุบัน อยู่ที่มณฑปวัดมงคลโคธาวาส อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ


    ข้อมูลจากเวป พระรัตนตรัย กระดานสนทนาธรรม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0039.jpg
      scan0039.jpg
      ขนาดไฟล์:
      28.9 KB
      เปิดดู:
      221
    • scan0040.jpg
      scan0040.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.5 KB
      เปิดดู:
      127
  14. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 499 สมเด็จพระโมลคัลลา สารีบุตร หลวงพ่อเชย วัดท่าควาย

    องค์นี้พิเศษที่หลังมีจาร และระบุ พศ การสร้างไว้เลยว่า 2477

    ให้บูชา 630 บาท
    ............................................................................

    พลังอาคมกล้า
    หลวงพ่อเชย วัดท่าควาย จ. สิงห์บุรี
    โดย......ก้อง กำจรจิต
    ********************************
    [​IMG]
    แสงแดดยามเช้าทอแสงอ่อน ๆ ขณะที่หลวงพ่อเชย แห่งวัดท่าควาย กำลังพายเรือออกบิณฑบาตร เพื่อโปรดสัตว์ พลันท่านก็เอ่ยกับศิษย์ของท่านที่นั่งคัดท้ายเรือว่า
    “เฉยไว้นะอ้ายหนู อย่าตกใจ เดี๋ยวเรือล่ม หากมีอะไรเกิดขึ้น ให้เฉยไว้”
    “วี๊ด พลั่ก”
    เสียงอะไรอย่างหนึ่งแหวกอากาศดังถนัดหู แล้วของหนัก ๆ ก็ตกลงในเรือของหลวงพ่อเชยดังสนั่น พอควันจาง สิ่งที่ปรากฏอยู่ก็คือ ก้อนเนื้อวัวขนาดใหญ่ ประมาณสามกิโล กองอยู่บนเรือ เสียงหลวงพ่อเชยพึมพำว่า
    “อ้ายพวกนอกศาสนา อ้ายพวกเวร ไม่รู้บาปบุญคุณโทษ”
    หลวงพ่อเชยเอาฝาบาตรตักน้ำขึ้นมาบริกรรมจนได้ที่ แล้วจึงเอาไปรดราดลงไปบนก้อนเนื้อนั้น พลันก็ปรากฏควันขาวลอยขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ก้อนเนื้อนั้นพลันเปลี่ยนสภาพเป็นเนื้อเน่า มีหนอนไชอย่างน่าเกลียด แล้วก็กลายเป็นกระดูกผีไปในที่สุด
    “กลับวัดกันเถอะ เอากระดูกนี่ไปบังสุกุล”
    เด็กวัดคนนั้นคือ ปู่พลอย ต.บ้านไร่ จ.สิงห์บุรี ซึ่งได้พายท้ายเรือให้หลวงพ่อเชย และได้พบกับความประหลาดนั้น ปัจจุบันปู่พลอยหาชีวิตไม่แล้ว
    คืนนั้นเอง หลวงพ่อเชยได้สั่งให้พระเณร และบรรดาญาติโยมที่มาที่วัดว่า “คืนนี้ให้อยู่กันอย่างเงียบ ๆ ในบ้าน ในกุฏิ อะไรแกรกกรากโป๊กเป๊ก อย่าได้ทักทาย คืนนี้หลวงพ่อจะต้องรับมือหมอไสยศาสตร์ นอกศาสนา ที่จะล้างชีวิตของหลวงพ่อ ในฐานะที่ได้ขัดขวาง และถอดถอนคุณไสย์ให้กับผู้เดือดร้อน ทำให้อาชีพของฆาตกรไสยดำต้องกระทบกระเทือน”
    ตกดึก ปู่พลอยยังคงอยู่รับใช้ และนอนกับหลวงพ่อเชย ได้พบกับความประหลาดเป็นครั้งที่สอง เมื่อเสียงลมพายุพัดกระหน่ำกุฏิของหลวงพ่อเชยจนแทบจะพัง ในเสียงพายุนั้น มีเสียงกระพือพั่บ ๆ ของสัตว์ประเภทนกที่ตัวใหญ่มาก วนเวียนอยู่นอกกุฏิของหลวงพ่อเชย ซึ่งนั่งบริกรรมคาถาอยู่ตลอดเวลา ครู่ใหญ่ พายุสงบ หลวงพ่อเชยจึงให้เปิดประตูกุฏิออกไป ที่นอกชานนั้นเอง มีหนังควายตากแห้งผืนใหญ่วางอยู่
    หลวงพ่อเชยหยิบบาตรน้ำมนต์ออกไปข้างนอก พรมน้ำมนต์ลงไปบนแผ่นหนัง ควันกระจายขึ้นจากแผ่นหนัง แล้วค่อย ๆ ม้วนและหดตัวลงตามจังหวะการพรมน้ำมนต์ของหลวงพ่อเชย ในที่สุดก็หดลงเหลือแค่ปลายนิ้วก้อย หลวงพ่อเชยจึงเอาไม้เท้าเขี่ย แล้วกล่าวว่า
    “สำมาอย่างไร สำไปอย่างนั้น”
    จากนั้นเป็นต้นมา หลวงพ่อเชยจึงได้สร้างพระปิดตาขึ้นแจกจ่ายกับลูกศิษย์ลูกหา และผู้เคารพนับถือ เพื่อป้องกันคุณไสย์ และได้รับการยอมรับนับถือว่า พระปิดตาของหลวงพ่อเชยมีส่วนผสมของอิทธิวัตถุ อันสามารถต้านคุณไสย์ได้อย่างวิเศษ แม้ภูติผีปีศาจร้ายก็ไม่กล้ากล้ำกราย
    เรื่องนี้เป็นความเชื่อของชางสิงห์บุรีมานาน ผู้เขียนครั้งหนึ่งได้มีโอกาสพูดคุยกับ คุณเชียร ธีรสาส์น ผู้ล่วงลับแล้ว ถึงเรื่องพระปิดตาหลวงพ่อเชย ซึ่งคุณเชียรได้เมตตาถอดพระปิดตาหลวงพ่อเชยในตลับทองให้ผมดูที่ร้านกาแฟออนล็อคหยุ่น เฉลิมกรุง ท่านได้เล่าเรื่องพระปิดตานี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า
    เมื่อผมได้ไปศึกษากรุพระลือโขง หรือเรียกว่า จามเทวีซุ้มเรือนแก้ว ที่ จ.ลำพูน ได้มีโอกาสได้หม้อบรรจุกระดูกที่พบอยู่ พร้อมกับองค์พระมาทำการศึกษา ได้ล้างเศษหม้อใส่กระดูกชิ้นนั้นในโรงแรมที่ผมพัก
    เมื่อล้างแล้วก็รู้สึกขนลุกไปทั่วตัว คล้ายกับกระทบกับความเย็นอย่างรุนแรง แม้จะปลอบใจตัวเองว่า แอร์ของโรงแรมนั้นเปิดมากไป แต่ก็ไม่อาจข่มไว้ได้ เมื่อความหนาวกลายเป็นความร้อน และส่อเค้าว่า ผมกำลังจับไข้ ผมจึงเอาเศษหม้อใส่กระดูกนั้น ยัดลงไปในถังขยะของโรงแรม
    หลังจากกลับมาถึงบ้านแล้ว ผมก็รู้สึกไม่สบายใจ เหมือนมีอะไรมาคอยบอกว่า ผมได้ไปลบหลู่วิญญาณของเขาอย่างรุนแรง เขาจะต้องเอาเรื่องแบบกัดไม่ปล่อย
    ตั้งแต่ผมกลับมาถึงบ้าน ผมถูกอาถรรพณ์เล่นงานติด ๆ กัน ตั้งแต่การงานไปจนถึงรถยนต์ที่นั่ง ทำให้ผมเริ่มรู้ถึงแรงอาถรรพณ์เป็นลำดับมา แม้จะรู้ได้ แต่ผมก็ไม่อาจแก้ไขได้ เพราะผมไม่ใช่ผู้เรืองวิทยาคม จะได้สู้กับอาถรรพณ์ได้
    ต่อมามีผู้ที่ผมรักเหมือนลูกบุญธรรม มาบอกกับผมถึงเรื่องอาถรรพณ์ และการแก้ว่า
    คุณแม่ (หมายถึงภรรยาผมซึ่งล่วงลับไปแล้ว) ได้มาบอกกับผมว่า ให้หาพระปิดตาหลวงพ่อเชยไว้ให้คุณพ่อติดตัว เพราะเคราะห์ร้าย วิญญาณร้ายรบกวน
    ผมฟังแล้วก็รู้สึกเฉย ๆ เพราะผมคิดว่า พระรอด พระซุ้มกอ และพระเครื่องสกุลกำแพงเพชรนั้น มีอานุภาพสูงกว่าพระปิดตาหลวงพ่อเชย ซึ่งผมไม่รู้จักมาก่อน
    ต่อมาไม่นาน ลูกบุญธรรมของผมก็มาเตือนอีกว่า คุณแม่ไปเข้าฝัน ให้หาพระปิดตาหลวงพ่อเชยให้ผมติดตัว ผมจึงเริ่มรู้สึกว่า ภรรยาผู้ล่วงลับไปแล้วของผม คงเป็นห่วงผม จึงได้เข้าสนามไปหาผู้ที่รู้จักและชำนาญด้านพระปิดตาหลวงพ่อเชย ได้มาองค์หนึ่ง จึงเอามาทำตลับทองแขวนเดี่ยว ปรากฏว่า อาการขนพองสยองเกล้า และการคุกคามทางลับ ของสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องได้รับความเดือดร้อน หายไปอย่างปลิดทิ้ง
    หลวงพ่อเชย วัดท่าควาย เป็นพระสมถะรักสันโดษมักน้อยไม่สนใจในยศถาบรรดาศักดิ์ ชอบเก็บตัวเองในกุฏิเพื่อบำเพ็ญปฏิบัติตลอดเวลา ฉันอาหารวันละมื้อแบบเอกา ท่านมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อช้าง วัดตึก หลวงพ่อคง วัดบางกะพี้ โดยเฉพาะกับหลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ สมุทรสาคร ขนาดว่าหลวงพ่อรุ่งยังมาขอพระท่านไปแจกลูกศิษย์ลูกหา จนเป็นปัญหาที่สับสนกันภายหลังว่า เป็นพระใครกันแน่ แต่ต่อมามีผู้รู้เปิดเผย เรื่องนี้จึงยุติ และเล่นหาเป็นหลวงพ่อเชยเพียงสำนักเดียว

    [​IMG]
    พระปิดตาหลวงพ่อเชย วัดท่าควาย จัดสร้างประมาณ พ.ศ. ๒๔๖๐ เศษ ๆ เป็นพระยุคเก่า นิยม อยู่ในชั้นแนวหน้า ประสบการณ์ต่าง ๆ มากมาย สร้างด้วยผงพุทธคุณคลุกรัก และวัสดุอาถรรพณ์มากมาย มีสีดำสนิท และดำอมน้ำตาล ขัดสมาธิเพชร ยกพระกรสองข้างขึ้นปิดพระพักตร์ ปลายพระหัตถ์เสมอไรพระเกศ พระอุทรพลุ้ยเล็กน้อย แบ่งออกเป็นสองพิมพ์ คือ พิมพ์ประกบสองหน้า และพิมพ์หน้าเดียวหลังยันต์ (บางองค์ไม่มียันต์ก็มีพบเหมือนกัน)
    วัดท่าควาย ปัจจุบันเปลี่ยนนามเป็น วัดเสถียรวัฒนะดิษฐ์ เป็นวัดเก่าแก่ย้อนขึ้นไปถึงปลายสมัยอยุธยาก่อนเสียกรุง แต่เดิมมา เป็นที่ที่พ่อค้าวานิชที่ค้าขายทางเกวียน มาจอดพักอยู่ที่ด้านหลังวัด เพราะน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ จึงเรียกติดปากว่า “วัดท่าควาย”
    หลวงพ่อพระอุปัชฌาย์เชย เป็นเจ้าอาวาสรูปที่สามของวัดท่าควาย (เท่าที่สืบค้นมาได้) เป็นพระผู้เชี่ยวชาญด้านธุดงควัตร และเคยธุดงค์ไปถึงมัณฑเล พม่า และ นครวัต นครธม กัมพูชา เป็นพระเถระที่คงแก่เรียน ได้วิชาอาคมระหว่างเดินธุดงค์เป็นอันมาก โดยเฉพาะการปราบภูติผีปีศาจ และการถอดถอนคุณไสย์ต่าง ๆ ทำให้ท่านมีพวกหมอไสยเวทดำ คอยจ้องทำร้ายท่านอยู่เป็นประจำ แต่ทำอะไรท่านไม่ได้
    ท่านมรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙ สิริรวมอายุได้ ๕๗ ปี พรรษาที่ ๓๗ หลวงปู่สุข วัดปากคลองมะขามเฒ่านั้น ยกย่องหลวงพ่อเชยว่า เป็นพระที่มีพลังจิตสูง เคยได้แลกเปลี่ยนวิชากับท่านไปหลายอย่าง และยังได้แนะนำให้เสด็จใน กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ไปนมัสการและเล่าเรียนวิชาอาคมเพิ่มเติมจากหลวงพ่อเชยหลายแขนงอีกด้วย
    มีเรื่องเล่ากันสืบมาว่า ในการตัดต้นไม้ของชาวบ้านเพื่อให้พ้นทางที่จะปลูกบ้าน เมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเลื่อย หรือขวาน ไม่อาจทำให้ต้นไม้ต้นนั้นเกิดรอยแผลขึ้นได้ ฟันลงไปขวานก็เด้ง จึงมีการบนบานศาลกล่าวต่อรุกขเทวดา ผีสางนางไม้ แต่ก็ยังโค่นต้นไม้ไม่ได้อยู่ดี ร้อนถึงต้องปีนขึ้นไปดูบนคาคบไม้ว่ามีอะไรอยู่บ้าง ปรากฏว่าพบพระปิดตาหลวงพ่อเชย วัดท่าควาย ค้างอยู่ที่คบไม้ จนกระทั่งกร่อน จึงนำลงมา ปรากฏว่าคราวนี้ไม่ต้องออกแรงมาก ต้นไม้ก็ล้มลงอย่างน่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง
    คนแถบวัดท่าควายสั่งกันไว้ว่า เมื่อเกิดมีผีเข้าเจ้าสิงผู้ใดก็ตาม ให้เอาพระปิดตาหลวงพ่อเชยลงแช่ในขันน้ำ ทำน้ำมนต์ จะรดไล่ภูติผีปีศาจไปได้เป็นอย่างดี และได้ผลชะงัด แม้แต่คุณไสย์ก็จะไม่กล้ำกรายผู้มีพระหลวงพ่อเชยอยู่ติดตัว ด้วยอำนาจพระเวทอันเข้มขลังของหลวงพ่อเชยนั่นเองเป็นหลักใหญ่
    ท่านล่ะ ไม่คิดจะหาพระปิดตาหลวงพ่อเชยมาแขวนติดตัวสักองค์หรือ ? ราคาเช่าหาในปัจจุบันยังไม่แพงจนเกินไป อยู่หลักพันกลาง ๆ เท่านั้น อนาคตข้างหน้า จะหากันไม่ได้ ราคาทะลุหมื่นเมื่อไร จะมาเสียใจภายหลังไม่ได้นะ จะบอกให้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0037.jpg
      scan0037.jpg
      ขนาดไฟล์:
      95.6 KB
      เปิดดู:
      253
    • scan0038.jpg
      scan0038.jpg
      ขนาดไฟล์:
      100.7 KB
      เปิดดู:
      226
  15. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 500 กึ่งขายกึ่งแจกครับ

    ปากน้ำรุ่น 5

    บูชาองค์ละ 79 บาท ไม่เกินคนละองค์

    รูปเดี๋ยวตามมาครับ

    มี 4 องค์ครับ (เหลือ 1)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0055.jpg
      scan0055.jpg
      ขนาดไฟล์:
      83.3 KB
      เปิดดู:
      155
    • scan0056.jpg
      scan0056.jpg
      ขนาดไฟล์:
      105.8 KB
      เปิดดู:
      214
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2010
  16. RainyWindy

    RainyWindy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,888
    ขอจองรายการที่ 500 ครับ
     
  17. w.สุรพล

    w.สุรพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,216
    ค่าพลัง:
    +4,544
     
  18. w.สุรพล

    w.สุรพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,216
    ค่าพลัง:
    +4,544
    รายการที่ 499 สมเด็จพระโมลคัลลา สารีบุตร หลวงพ่อเชย วัดท่าควาย

    องค์นี้พิเศษที่หลังมีจาร และระบุ พศ การสร้างไว้เลยว่า 2477

    ให้บูชา 630 บาท


    จองครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  19. ปัญจ

    ปัญจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2009
    โพสต์:
    27,431
    ค่าพลัง:
    +88,339
    จองด้วย ๑ องค์ครับ
     
  20. ปัญจ

    ปัญจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2009
    โพสต์:
    27,431
    ค่าพลัง:
    +88,339
    รายการเดิมที่ส่งมา ได้รับตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...