พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรียนคุณหนุ่ม
    1 วันเสาร์ที่ 24 เมษายน 2553 เวลา 10.00 น พี่ชนิดาจะอัญเชิญพระบรมฯ ของชมรมรักษ์พระวังหน้าไปถวายหลวงปู่โสบิน โสปาโกโพธิ ที่วัดศิริพงศ์ธรรมนิมิต ซอยวัชรพล ถนนรามอินทรา หลวงปู่ท่านจะนำพระบรมฯไปบรรจุไว้ที่ พระเจดีย์พุทธคยาจำลอง วัดพุทธเมตตาสว่างรังษี (วัดวังปลาโด) หมู่ที่ 7 ต วังใหม่ อ บรบือ จ มหาสารคาม
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การบริจาคอวัยวะ
    Thekop Room - การบริจาคอวัยวะ

    Dec 7, '08 12:53 PM
    for everyone

    การบริจาคอวัยวะ
    ---------------------

    การบริจาคอวัยวะเป็นเรื่องที่คนไทยยังไม่คุ้นเคยเท่าไรนัก และมีคำถามมากมายที่ทำให้ผู้คิดจะบริจาคยังมีความลังเลอยู่ ศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย จึงต้องประสบกับปัญหาต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะความเชื่อที่ยังอาจมีหลงเหลืออยู่บ้าง เช่น ถ้าบริจาคอวัยวะให้เขาไปแล้ว เกิดมาชาติหน้าจะมีอวัยวะไม่ครบ

    ดังนั้น เพื่อให้เกิดความกระจ่างต่อสาธารณชนทั่วไป น.พ. วิศิษฏ์ ฐิตวัฒน์ ผู้อำนายการศูนย์รับบริจาคอวัยวะ ฯ จึงได้เข้านมัสการเรียนถามพระคุณเจ้าพระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตโต) เจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน ต.บางกระทึก อ.สามพราน จ.นครปฐม ซึ่งได้รับคำตอบที่เป็นประโยชน์และไขข้อข้องใจได้เป็นอย่างดี

    น.พ.วิศิษฏ์ มีข้อห้ามในศาสนาพุทธหรือไม่เกี่ยวกับเรื่อง "การบริจาคอวัยวะ"

    พระธรรมปิฎก ตามปกติแล้วไม่มีข้อห้าม มีแต่จะสนับสนุน เพราะการบริจาคอวัยวะเป็นการเสียสละเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นต้องการให้ผู้ อื่นพ้นจากความทุกข์ และมีการบริจาคจึงเป็นหลักธรรมที่สำคัญของศาสนา ไม่ว่าจะเป็น "ทศพิธราชธรรม"ก็ดี การบำเพ็ญ "บารมี" ของพระพุทธเจ้าเมื่อยังเป็นพระโพธิสัตว์ก็ดี ก็มีการบริจาคเป็นคุณธรรมข้อแรก เรียกว่า "ทาน" และ "ทานบารมี" คือการให้เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น

    โดยเฉพาะในการบำเพ็ญของพระโพธิสัตว์นั้น การบริจาคอวัยวะเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น เป็นความคิดที่จำเป็นเลยที่เดียวที่ต้องทำ เพราะการก้าวไปสู่โพธิญาณ ต้องมีความเข้มแข็งของจิตใจ ในการเสียสละเพื่อความดี ทั้งนี้ทานที่เป็นบารมี จะแบ่งเป็น ๓ ขั้น เช่นเดียวกับบารมีอื่นๆ คือ

    ทานบารมีระดับสามัญ คือการบริจาคทรัพย์สินเงินทองถึงจะมากมายแค่ไหนก็จะอยู่ในระดับนี้

    ทานระดับรอง หรือจวนสูงสุด เรียกชื่อเฉพาะว่า "ทานอุปบารมี" ได้แก่ ความเสียสละทำความดี ถึงขั้นสามารถบริจาคอวัยวะเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นได้ เพื่อรักษาธรรม

    แน่นอนว่า การบริจาคอวัยวะนั้นเป็นบุญธรรมสำคัญและเป็นบุญมาก ตามหลักพระพุทธศาสนานอกจากเป็นบารมีขั้นทานอุปบารมีแล้ว ยังโยงไปหาหลักสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า "มหาบริจาค" คือการบริจาคใหญ่ ซึ่งพระโพธิสัตว์จะต้องปฏิบัติอีก ๕ ประการ คือ บริจาคทรัพย์ บริจาคราชสมบัติ บริจาคอวัยวะ และนัยน์ตา บริจาคตัวเองหรือบริจาคชีวิต และบริจาคบุตรและภรรยา

    น.พ.วิศิษฏ์ ถ้าถามว่าการบริจาคอวัยวะนั้นได้บุญหรือเปล่าและใครเป็นคนได้ อย่างเช่น คนหนึ่งแสดงความจำนงบริจาคอวัยวะได้ แต่เสียชีวิตในภาวะที่ไม่สามารถบริจาคได้ กับอีกคนหนึ่งไม่ได้แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะไว้ แต่เสียชีวิตด้วยภาวะสมองตาย แล้วญาติได้ตัดสินใจบริจาค อันนี้ไม่ทราบว่าใครจะเป็นคนได้บุญ หรือได้บุญมากน้อยอย่างไร

    พระธรรมปิฎก ในแง่นี้ต้องแยกออกเป็น ๒ ประเด็น ประเด็นที่หนึ่งก็คือว่า "เป็นบุญหรือไม่?" ซึ่งตอบได้เลยว่าเป็นบุญอยู่แล้ว ดังที่พระโพธิสัตว์ท่านบริจาค และเป็นบุญชั้นสูงถึงขั้นเรียกว่าบารมีเลยทีเดียว แต่สำหรับคนทั่วไปจะมีความตั้งใจที่จะบรรลุโพธิญาณหรือไม่เป็นอีกเรื่อง หนึ่ง ถ้าเราไม่มีความตั้งใจไม่ได้ตั้งปณิธานอย่างนี้ ก็ไม่เรียกว่าเป็นบารมี แต่เป็นบุญซึ่งจัดว่าเป็นบุญอันยิ่งใหญ่เลยทีเดียว เพราะเป็นบุญที่ทำได้ยาก ต้องมีความเสียสละจริงๆ เป็นอันว่าได้บุญแน่นอน เพราะเกิดจากเจตนาที่เสียสละให้ด้วยความกรุณาปราถนาดีต่อผู้อื่นอันใหญ่หลวง

    ในส่วนที่ว่า "ใครจะเป็นผู้ได้บุญ?" นั้น ตอบง่ายๆ ว่าใครเป็นผู้บริจาคคนนั้นก็ได้ เพราะมันอยู่ที่เจตนาของผู้นั้น ในกรณีที่เป็นคนตายไปแล้วและญาติบริจาค ก็เลยกลายเป็นว่าคนที่ตายไปแล้วไม่ได้รับ เพราะว่าไม่ได้ตั้งเจตนา ในแง่นี้ต้องพูดอีกขั้นหนึ่ง คือญาติที่บริจาคนั้นต้องอุทิศกุศลไปให้เขาอีกทีหนึ่ง ในทางธรรมถือว่า ถ้าบริจาคในขณะที่ตัวยังเป็นอยู่ ก็จะเป็นบุญขั้นสูง

    น.พ.วิศิษฏ์ คนที่ได้รับอวัยวะไปแล้ว ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เจ้าของอวัยวะจะได้รับผลบุญนั้นหรือไม่ เพราะทางศูนย์รับบริจาคอวัยวะฯ ไม่ได้บอกชื่อของคนที่บริจาค ผู้ที่รับอวัยวะไปจะอธิฐานอย่างไรดี

    พระธรรมปิฎก แม้จะไม่ระบุชื่อผู้ที่เราอุทิศส่วนกุศลให้ เพียงแต่ตั้งใจว่าอุทิศให้แก่เจ้าของอวัยวะที่บริจาคให้เรา ก็ถือว่าเราก็ได้อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับท่านเจ้าของที่บริจาคอวัยวะให้ เราแล้ว

    น.พ.วิศษฏ์ ปัญหาที่เราเจอในการทำการประชาสัมพันธ์ให้คนทั่วไป แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะคือ บางคนยังเชื่อว่าถ้าให้อวัยวะเขาไปแล้วในชาตินี้ เกิดมาชาติหน้าจะมีอวัยวะไม่ครบ

    พระธรรมปิฎก อันนี้ไม่จริงเลย โดยมีแง่พิจารณา ๒ อย่างคือ

    ๑. ในแง่หลักฐานทางคัมภีร์แสดงว่า พระพุทธเจ้าเมื่อเป็นพระโพธิสัตว์ทรงบริจาคนัยน์ตา ก็เป็นเหตุให้พระองค์ทางได้สมันตจักษุ คือมีพระเนตรหรือดวงตาที่เป็นพิเศษสุดของพระพุทธเจ้า ซึ่งเราแปลว่าเป็นดวงตาที่มองเห็นโดยรอบ ไม่ได้หมายถึงดวงตาที่เป็นวัตถุอย่างเดียว แต่หมายถึงดวงตาทางปัญญาด้วย ในแง่พระคัมภีร์ก็สนับสนุนชัดเจนว่าในชาติหน้ามีแต่ผลดี

    ๒. ในแง่เหตุผลที่เข้าใจกันว่าบริจาคอวัยวะไปแล้ว เกิดมาอวัยวะจะบกพร่อง เหตุผลที่ถูกต้องมันไม่ใช่อย่างนั้น เราต้องมองว่าชีวิตที่เกิดมานี้ จิตใจเป็นส่วนสำคัญในการปรุงแต่งสร้างสรรค์ ถ้าเรามีเมตตาคิดดีปรารถนาดีต่อผู้อื่น ยิ้มแย้มแจ่มใส ต่อไปตาเราจะถูกปรุงแต่งให้แจ่มใสเบิกบาน

    ในทางกลับกัน ถ้าเราคิดร้ายต่อผู้อื่น มักโกรธ อยากจะทำร้ายรังแกเขาอยู่เรื่อย หน้าตาก็จะบึ้งตึงเครียด หรือถึงกับดูโหดเหี้ยมนี้เป็นผลมาจากสภาพจิตที่เคยชินในชีวิตประจำวัน แม้แต่ในชาติปัจจุบันนี้เอง

    ทีนี้ชีวิตที่จะเกิดต่อไปก็จะต้องอาศัยจิต ที่มีความสามารถในการปรุงแต่ง ขอให้คิดง่ายๆ ว่า คนที่จะบริจาคอวัยวะให้คนอื่น ก็คือ ปราถนาดีต่อเขา อยากให้เขาเป็นสุข อยากให้เขาพ้นทุกข์ หายเจ็บป่วย จิตอย่างนี้ในตอนคิดก็เป็นจิตที่ดี คือจิตใจที่ยินดีเบิกบาน คิดถึงความสุขความดีงามความเจริญ จิตก็จะสะสมความโน้มเอียงและพัฒนาความสามารถในด้านนี้ ถ้าคิดบ่อยๆ จิตก็จะยิ่งมีความสามารถและมีความโน้มเอียงไปในทางที่จะปรุงแต่งให้ดี และคุณสมบัตินี้ก็จะฝังอยู่เป็นสมรรถภาพของจิต

    เพราะฉะนั้นในการบริจาคเราจึงต้องทำจิตใจให้ผ่องใส ให้ประกอบด้วยคุณธรรม มีเมตตาปราถนาดี และอันนี้แหละที่จะทำให้เราได้บุญมาก

    น.พ.วิศษฏ์ แพทย์ควรปฏิบัติตัวอย่างไรกับผู้บริจาคอวัยวะ

    พระธรรมปิฎก เขาบริจาค เขาเป็นผู้เสียสละเป็นผู้มีคุณธรรม เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมองว่าเราต้องยกย่องให้เกียรติ และถือว่าเขาเป็นผู้บำเพ็ญประโยชน์ให้สังคม ช่วยให้เพื่อนมนุษย์อยู่ดีหายโรค หายภัย และเป็นอยู่ดีขึ้น นั่นก็ควรแสดงออกอย่างใดอย่างหนึ่ง ในการยอมรับหรือเห็นคุณค่า ซาบซึ้งในประโยชน์ที่เขาได้ทำไปแล้ว การปฏิบัติต่อกันก็ธรรมดา แต่หากว่าเรามีจิตดีแล้วการปฏิบัติการแสดงออกก็จะดีจริงๆ

    --------------------------------------------
    คัดลอกจาก: ธรรมเพื่อชีวิต
    เล่มที่ ๒๕ ฉบับวันเข้าพรรษา ๒๕๔๓
    มูลนิธิพุทธศาสนาศึกษา
    วัดบุรณศิริมาตยาราม
    ++++++++++++++++++++++
    การบริจาคเห็นแยกไว้ 2 แบบครับ คือ
    1.บริจาคดวงตา
    2.บริจาคอวัยวะ
    แต่ถ้าประสงค์จะบริจาคทั้งสองแบบก็ได้
    สำหรับบริจาคอวัยวะ โทรไปที่ ศูนย์บริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย โทร.1666
    เขาจะส่งเอกสารมาให้กรอกแล้วส่งกลับ จากนั้นจะส่งบัตรกลับมาให้เราเก็บไว้ หรือสะดวกไปติดต่อเองได้ตามที่อยู่ข้างล่างครับ

    อาคารเทิดพระเกียรติสมเด็จพระญาณสังวร ( เจริญ สุวฑฒโน) ชั้น 5
    ถ.อังรีดูนังต์ ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

    สำหรับบริจาคดวงตาที่เดียวกันครับ แต่ชั้น 7
    หรือโทร 02-256-4039,02-256-4040 ต่อศูนย์ดวงตา ( ตลอด 24 ชม.)

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    บริจาคไปหมดหละ ตอนนี้เหลือแต่บริจาคร่างกายไปเป็นอาจารย์ใหญ่ หุหุ

    ตายทั้งที ขอให้มีประโขชน์นิดนึ่งก็ยังดี

    ส่วนการบริจาคเลือด ทำทุกๆ ๓ เดือน อยู่แล้ว
     
  3. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 18 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 14 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, Mrs.Kim, nongnooo+, พรสว่าง_2008+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ผมเองคิดอะไรไม่ออก บอกไม่ถูก หาอะไรไม่เจอ ผมจะหันหน้าไปหา 2 ท่าน ท่านแรกคือลูกพี่ผม(พี่จิ๋ว) ท่านที่สองคือ กูรูผม อยากทราบว่าเป็นใคร ลองกดที่กูรูผม ดูสิครับ เหอๆๆๆ

    ขอบคุณครับ

    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันนี้ ผมได้ร่วมทำบุญกับพี่ใหญ่ ในเรื่อง ...(อยากทราบต้องโทร.ถาม)... จำนวน 1,000 บาท

    และพี่ใหญ่ได้ร่วมทำบุญกับกองทุนหาพระถวายวัด จำนวน 1,000 บาท

    มาร่วมโมทนาบุญกับพี่ใหญ่และผมกันครับ

    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ไซแมนเทค เตือนแฟนบอล ระวังภัยกลลวงจากอินเทอร์เน็ต
    CyberBiz - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>22 เมษายน 2553 11:27 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=150 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=150>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ไซแมนเทค คอร์ปอเรชัน ประกาศจะติดตามกิจกรรมภัยคุกคามบนอินเทอร์เน็ตที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอลโลกที่กำลังจะเริ่มขึ้นในวันที่ 11 มิถุนายน 2553 นี้ โดยมีการจัดทำเว็บไซต์Symantec 2010 World Cup Net Threat ซึ่งไซแมนเทคจะจัดเตรียมข้อมูล บทความแสดงความคิดเห็น วิธีการป้องกันภัย และลิงค์ที่เป็นประโยชน์สำหรับแฟนบอลในการท่องอินเทอร์เน็ตเพื่อติดตามข่าวสาร ตั๋วเข้าชม และตารางการแข่งขันต่างๆ

    พอล วูด นักวิเคราะห์อาวุโสของไซแมนเทค กล่าวว่า การแข่งบอลโลกครั้งนี้สร้างความสนใจแก่แฟนบอลกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลก และบรรดาอาชญากรไซเบอร์ทั้งหลายกำลังนำกระแสนี้มาใช้เป็นธีมหลักในการคุกคาม จากที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าการแข่งขันกีฬาครั้งใหญ่ไม่ว่าจะเป็นกีฬาอะไรก็ตามมักส่งผลให้การคุกคามบนอินเตอร์เน็ตทุกรูปแบบเพิ่มขึ้น โดยในช่วงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคที่กรุงปักกิ่งในปี 2551 ก็ทำให้การโจมตีของฟิชชิ่งเพิ่มขึ้นถึง 66 เปอร์เซ็นต์ และจากการที่มีการเชื่อมโยงสายเคเบิลใต้น้ำที่ใช้ในการสื่อสารทั้งสองสายไปยังชายฝั่งแอฟริกาใต้ในเดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมา ก็จะยิ่งทำให้ระดับภัยคุกคามรุนแรงยิ่งขึ้น โดยจากประวัติที่ผ่านๆ มาจะเห็นได้ว่าการคุกคามต่างๆ มักเพิ่มขึ้นหลังจากที่มีการเพิ่มแบนด์วิธใหม่ในประเทศนั้นๆ”

    ไซแมนเทคได้ทำการติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจจับในระบบเครือข่ายเพิ่มขึ้นทั้งในประเทศแอฟริกาใต้ และในแถบภูมิภาคแอฟริกาใต้เพื่อตรวจสอบทราฟฟิกทิ่เกิดขึ้น พร้อมป้อนข้อมูลให้กับลูกค้าที่กำลังมองหาวิธีการป้องกันเครือข่ายของตนให้รอดพ้นจากภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นมาใหม่“ ยกตัวอย่างเช่น เครือข่ายพันธมิตรของเรา 2 แห่งที่อยู่ในแอฟริกาใต้ได้ส่งไฟล์ที่มุ่งประสงค์ร้ายและเป็นรูปแบบเฉพาะซึ่งไซแมนเทคไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน มาให้กับเรา” พอล วู๊ด กล่าว

    ภัยคุกคามที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มักจะไม่ใช่เรื่องใหม่ในโลกของอาชญากรไซเบอร์ ไม่ว่าจะเป็นอีเมลประเภทหลอกให้โอนเงินล่วงหน้า หรือการโจมตีของอีเมลขยะ และฟิชชิ่งที่ส่งหาผู้ใช้โดยแฝงมาในรูปแบบของการยื่นข้อเสนอตามเทศกาลต่างๆ “กฎแห่งความเป็นจริงก็คือ สิ่งใดที่ดูดีเกินความเป็นจริง สิ่งนั้นอาจเป็นเรื่องหลอกลวง” กอร์ดอน เลิฟ ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคแอฟริกา ไซแมนเทค กล่าว “และไม่ว่าจะเป็นการคุกคามรูปแบบใดก็ตามที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน อาชญากรไซเบอร์ล้วนมองหาช่องทางเพื่อหวังขโมยข้อมูลส่วนตัว ทั้งที่เป็นข้อมูลยืนยันตัวบุคคล เลขบัญชีธนาคาร พาสเวิร์ดและเลขบัตรเครดิต เพื่อขโมยเงินจากผู้ใช้ทั้งนั้น ไซแมนเทคมุ่งหวังให้เว็บไซต์ 2010 Net Threat ที่จัดทำขึ้นเป็นสื่อเพื่อบอกต่อไปยังผู้คนทั่วไปให้ระมัดระวังและป้องกันตัวเองจากภัยคุกคามต่างๆ ที่เกิดขึ้น”

    ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตควรตื่นตัวจากการหลอกลวงใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในหลากหลายรูปแบบ “บรรดาผู้โจมตียังก้าวหน้าไปอีกขั้นด้วยการทำให้เว็บไซต์ปลอม หรือ เว็บไซต์ที่ถูก “วางยา” จากโค้ดอันตราย ปรากฎอยู่ในผลการค้นหาอันดับต้นๆ” เลิฟ กล่าว “ผู้ใช้มีแนวโน้มที่จะเชื่อว่าเว็บไซต์ที่ปรากฎขึ้นเป็นอันดับแรก ๆ ของการค้นหาจะเป็นเว็บไซต์จริงและอาจคลิกเข้าไปดูโดยไม่มีการตรวจสอบแหล่งที่มาให้แน่ชัดเสียก่อน”

    เมื่อถึงช่วงเวลาที่การแข่งขันฟุตบอลโลกเริ่มขึ้น ตั๋วเข้าชมจำนวน 3.1 ล้านใบ ก็อาจถูกขายหมดแล้ว และจะมีผู้คนจำนวนกว่า 400 ล้านคนทั่วโลกที่จะคอยเฝ้าดูการแข่งขันทางโทรทัศน์ โดยจะมีแฟนบอลจำนวนไม่น้อยที่เข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อหาตั๋วเข้าชมการแข่งขัน รวมถึงที่พัก เที่ยวบินและหาวิธีการที่จะเกาะติดการแข่งขันกีฬาที่เป็นที่นิยมที่สุดในปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนนับหลายร้อยล้านคนทีเดียว

    “เว็บไซต์นี้จะมีข้อมูลที่จำเป็นที่ช่วยให้ผู้คนทั่วไปสามารถป้องกันตัวเองในเวลาใช้อินเทอร์เน็ต แต่ถึงอย่างไรก็ตามผู้โจมตีจะยังคงหาหนทางใหม่ๆ เพื่อหลอกลวงผู้ใช้ให้เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ฉะนั้นวิธีการป้องกันที่ดีคือ ควรทราบข้อมูลและการแจ้งเตือนต่างๆจากแหล่งที่เชื่อถือได้อย่างต่อเนื่องและอัพเดทซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสอยู่สม่ำเสมอ” เลิฟ กล่าว

    Company Related Link :
    Symantec
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>รู้ได้อย่างไรเมื่อ “ภูเขาไฟ” จะระเบิด?
    Science - Manager Online

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>23 เมษายน 2553 09:37 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>นักท่องเที่ยวแห่ชมการประทุลาวาของภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็ง “ฟิมม์วอร์ดูฮอลส์” (Fimmvorduhals) ในไอซ์แลนด์เมื่อเดือน มี.ค. (เอเอฟพี)</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ชายในภาพบันทึกเถ้าจากการระเบิดของภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็ง “เอยาฟยาลาเยอคูล” - เอเอฟพี </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็ง “เอยาฟยาลาเยอคูล” ประทุพ่นเถ้าภูเขาไฟสู่บรรยากาศ (เอเอฟพี) </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>นักวิทยาศาสตร์เก็บตัวอย่างเถ้าภูเขาไฟไปวิเคราะห์ (เอเอฟพี)</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ฟ้าผ่าระหว่างการประทุของเถ้าภูเขาไฟ “เอยาฟยาลาเยอคูล” (เอพี) </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ภาพจากดาวเทียม MODIS เผยให้เห็นเถ้าภูเขาไฟสีน้ำตาลพวยพุ่งสู่บรรยากาศ (เอเอฟพี/นาซา)</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ภาพเรดาร์เผยให้เห็นปล่องภูเขาไฟ “เอยาฟยาลาเยอคูล” 3 ปล่อง (เอเอฟพี) </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>เจ้าของปศุสัตว์ในไอซ์แลนด์นำสัตว์เข้าสู่ที่ปลอดภัยจากเถ้าภูเขาไฟ (เอเอฟพี)</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>แม้การประทุของภูเขาไฟในไอซ์แลนด์จะไม่คร่าชีวิตผู้คนโดยตรง แต่ได้สร้างความเดือดร้อนไปทั่วโลก โดยเฉพาะการสัญจรทางอากาศในยุโรปต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากเถ้าถ่านที่พวยพุ่งออกมาอาจสร้างความเสียหายต่อเครื่องบินได้ หากแต่ภัยพิบัติทางธรรมชาตินี้ยังส่งสัญญาณเตือนให้คนเราเตรียมรับมือได้ทัน

    เราไม่อาจคาดการณ์แผ่นดินไหวได้ล่วงหน้า แต่สำหรับภูเขาไฟแล้ว ความคุกรุ่นที่ก่อตัวอยู่ภายในได้ส่งสัญญาณให้เรารู้ล่วงหน้า ว่าจะเกิดการระเบิดขึ้นหรือไม่ บางครั้งความเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นล่วงหน้านานเป็นปี ซึ่งเพียงพอที่จะอพยพผู้คนให้หลบออกมาอยู่ในสถานที่อันปลอดภัย โดยวิธีกว้างๆ ในการเฝ้าระวังการระทุของภูเขาไฟ คือการตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยารอบๆ ภูเขาไฟ

    แรงสั่นสะเทือนสัญญาณเตือนภูเขาไฟระเบิด

    การสั่นสะเทือนรอบภูเขาไฟนั้น มักเกิดขึ้นเมื่อภูเขาไฟตื่นจากความสงบและเตรียมที่จะปะทุ ภูเขาไฟบางลูกมีการสั่นสะเทือนเล็กน้อยเป็นปกติ แต่การสั่นสะเทือนที่เพิ่มขึ้นนั้นอาจเป็นสัญญาณของการระเบิดที่รุนแรง อีกทั้งประเภทของแผ่นดินไหว จุดกำเนิดกับจุดสุดท้ายของแผ่นดินไหวยังเป็นสัญญาณบ่งบอกการประทุของภูเขาไฟเช่นกัน

    ทั้งนี้ การสั่นสะเทือนของภูเขาไฟนั้นมี 3 รูปแบบหลักๆ คือ 1. แผ่นดินไหวคาบสั้น (short-period earthquake) ซึ่งคล้ายกับแผ่นดินไหวทั่วไปที่เกิดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก โดยการสั่นสะเทือนนี้เกิดจากการแตกหักของหินเปราะเนื่องจากการเคลื่อนตัวสู่ด้านบนของหินหนืดแมกมา (magma) และยังเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการขยายตัวของแมกมาใกล้ๆ พื้นผิวโลก

    2. แผ่นดินไหวคาบยาว (long-period earthquake) เชื่อว่าเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงแรงดันก๊าซที่เพิ่มขึ้นในปล่องภูเขาไฟ ซึ่งการสั่นนี้เทียบเท่ากับการสั่นไหวของเสียงในปล่องที่เต็มไปด้วยแมกมา และ 3.แผ่นดินไหวแบบสอดประสาน (harmonic tremor) ซึ่งมักเกิดจากแมกมาดันหินจำนวนมากที่อยู่ใต้พ้นผิวโลก และบางครั้งการสั่นสะเทือนนั้นรุนแรงพอที่คนและสัตว์จะได้ยินเสียงฮัมหรือเสียงหึ่งๆ

    แม้รูปแบบของการสั่นสะเทือนจะซับซ้อน และบางครั้งอธิบายได้ยาก แต่การสั่นสะเทือนที่มากขึ้นนั้นเป็นสัญญาณที่ดีในการบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่ภูเขาไฟจะระเบิดมากขึ้น โดยเฉพาะหากเกิดการสั่นสะเทือนแบบแผ่นไหวคาบยาว อย่างเด่นชัดและมีแผ่นดินไหวแบบสอดประสานร่วมด้วย

    วัดการปลดปล่อย “ซัลเฟอร์ไดออกไซด์”

    การปลดปล่อยของก๊าซบางชนิด ยังเป็นสัญญาณเตือนก่อนภูเขาไฟระเบิด เนื่องจากเมื่อแมกมาเข้าใกล้พื้นผิวโลกมากขึ้นจะมีก๊าซออกมา ซึ่งก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (sulphur dioxide) เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของก๊าซภูเขาไฟ และเป็นสัญญาณการเพิ่มขึ้นของแมกมาใกล้ๆ พื้นผิว

    ตัวอย่างเช่น ภูเขาไฟพินาตูโบ (Mount Pinatubo) ในฟิลิปปินส์ ได้เริ่มปลดปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์เพิ่มขึ้นเมื่อวันที่ 13 พ.ค.1991 จากนั้นอีกเพียง 2 สัปดาห์ปริมาณก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาได้เพิ่มขึ้นเป็น 5,000 ตัน หรือ 10 เท่าของปริมาณที่ปลดปล่อยออกมาในช่วงแรก และในวันที่ 12 มิ.ย.ปีเดียวกันภูเขาไฟจริงระเบิดออกมา

    อย่างไรก็ดี ยังมีหลักฐานหลายครั้งที่แสดงให้เห็นว่า ปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ลดลงนั้นป็นสัญญาณก่อนที่ภูเขาไฟจะระเบิด เช่น กรณีการระเบิดของภูเขาไฟกาเลรัส (Galeras) ในโคลัมเบีย เมื่อปี 1993 โดยนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าปริมาณก๊าซที่ลดลงนั้นมีสาเหตุจากแมกมาที่แข็งตัวกักเส้นทางออกของก๊าซไว้ และทำให้ความดันปล่องภูเขาไฟเพิ่มขึ้นจนนำไปสู่การระเบิดที่รุนแรง

    นอกจากการตรวจวัดแผ่นดินไหวและการเฝ้าสังเกตก๊าซที่ถูกพ่นออกมาแล้ว ยังมีการตรวจวัดอื่นๆ ที่นำไปสู่การพยากรณ์การระเบิดของภูเขาไฟ เช่น การศึกษาการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของภูเขาไฟ ทั้งการพองตัวขึ้นหรือการยุบตัวลง การศึกษาทางอุทกวิทยา โดยตรวจวัดการไหลของลาฮาร์ (lahar) ซึ่งเป็นของเหลวและโคลนที่ไหลมาตามความลาดชันของภูเขาไฟ เป็นต้น.


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระสมเด็จฯวัดระฆัง พิมพ์ทรงเจดีย์

    คอลัมน์ พันธุ์แท้พระเครื่อง

    โดย ราม วัชรประดิษฐ์

    ที่มา ข่าวสดออนไลน์

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    แนวทางการศึกษา พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์ทรงเจดีย์ อาจใช้วิธีการเปรียบเทียบกับพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์ใหญ่ โดยมีหลักการพิจารณาดังนี้

    - เส้นขอบแม่พิมพ์ด้านซ้ายขององค์พระ ของพระสมเด็จ พิมพ์ทรงเจดีย์ จะลากยาวลงมาจรดกับขอบซุ้มเรือนแก้วตรงมุมล่างพอดี ต่างจากพระสมเด็จ พิมพ์ใหญ่ ซึ่งจะมาจรดกับขอบซุ้มเรือนแก้วตรงกลางของแขนองค์พระ

    -พระเกศของพระสมเด็จ พิมพ์ทรงเจดีย์ จะมีรอยขยักเหมือนมีพวงมาลัยครอบไว้กลางพระเกศ ซึ่งต่างจากพระสมเด็จ พิมพ์ใหญ่

    -บริเวณหัวไหล่ทั้งซ้ายและขวาขององค์พระ ระหว่างหัวไหล่ถึงใต้รักแร้ทั้งสองข้างของพระสมเด็จ พิมพ์ทรงเจดีย์ จะเท่าๆ กัน ต่างกับพระสมเด็จ พิมพ์ใหญ่ เนื้อที่ระหว่างหัวไหล่กับรักแร้ด้านขวาขององค์พระจะกว้างกว่าด้านซ้ายขององค์พระ

    -เส้นซุ้มครอบแก้วของพระสมเด็จ พิมพ์ทรงเจดีย์ จะเล็กกว่าเส้นซุ้มครอบแก้วของพระสมเด็จพิมพ์ใหญ่

    - หัวฐานชั้นที่ 2 ด้านขวามือขององค์พระสมเด็จ พิมพ์ทรงเจดีย์ จะมีลักษณะเรียวแหลม ซึ่งคนโบราณเรียกว่า "หัวเรือเอี้ยม จุ๊น"

    - พระสมเด็จ พิมพ์ทรงเจดีย์ ในองค์ที่ติดชัดจะมีเส้นผ้าอังสะพาดจากหัวไหล่ลงมาใต้รักแร้อย่างเห็นได้ชัด ส่วนพระสมเด็จ พิมพ์ใหญ่ จะไม่ปรากฏเส้นผ้าอังสะ

    - แขนข้างขวาด้านในขององค์พระสมเด็จ พิมพ์ทรงเจดีย์ จะมีเนื้อพอกอยู่เป็นส่วนเกิน ซึ่งเป็นตำหนิของแม่พิมพ์ที่เป็นส่วนลึกสุด ถึงแม้องค์ใดจะผ่านการใช้จนสึกหรือกดพิมพ์ไม่ลึกเพียงพอ แต่เนื้อพอกส่วนเกินของซอกแขนนี้ก็คงจะยังปรากฏให้เห็นชัด เจนอยู่

    - ข้อศอกซ้ายด้านนอกของพระสมเด็จ พิมพ์ทรงเจดีย์ จะไม่มีเส้นชายจีวรแล่นจากข้อศอกมายังเข่าเหมือนพระสมเด็จ พิมพ์ใหญ่

    - มุมหัวฐานด้านขวาขององค์พระสมเด็จ พิมพ์ทรงเจดีย์ชั้นล่างสุด จะมีเส้นรอยแตกของแม่พิมพ์วิ่งแล่นจรดมุมซุ้ม

    - สัดส่วนของพระสมเด็จ พิมพ์ทรงเจดีย์ จะเล็กกว่าพระสมเด็จ พิมพ์ใหญ่

    ท้ายสุดคือพิมพ์ด้านหลัง พิมพ์ด้านหลังของพระสมเด็จ พิมพ์ทรงเจดีย์ จะไม่เหมือนพิมพ์ด้านหลังของพระสมเด็จ พิมพ์ใหญ่ ตามภาษาวงการพระเรียกว่า "พิมพ์หลังทื่อ" หรือหลังเรียบ และขอบด้านหลังจะมี "รอยปูไต่" อันเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญที่สุดของพระ สมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม ซึ่งท่านเจ้าประ คุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้สร้างขึ้นครับผม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2010
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องของการสร้าง จะเป็นช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า
    สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านไม่ได้สร้าง

    เนื้อหาทรงพิมพ์ จะเป็นการแกะพิมพ์ ของช่างสิบหมู่ ซึ่งพิมพ์พระสมเด็จ(เป็นพิมพ์โบราณ มีมาประมาณ 700 ปีแล้ว) จะมีอยู่หลายๆพิมพ์ เนื่องจากมีการสร้างขึ้นหลายๆครั้ง

    .
     
  11. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ไม่รู้แฮะ !? ... ที่แน่ๆคือคงต้องสำคัญ

    ขอร่วมโมทนาสาธุแต่เช้าเลยครับ :)
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทำไมต้องมีการพัฒนาวัด?

    คอลัมน์ หน้าต่างศาสนา

    ปราณสุวีร์ อาวอร่ามรัศมิ์ กองพุทธสารนิเทศ สำนักงานพระพุทธศาสนแห่งชาติ

    ที่มา ข่าวสด

    มีผู้รู้ ตอบไว้ว่า...เพราะวัดเป็นสถาบันที่มีความสำคัญ กล่าวคือวัดเป็นที่พำนักอาศัยศึกษาเล่าเรียนและปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เพื่อเป็นศาสนทายาทสืบต่ออายุพระศาสนาของพระภิกษุสามเณรเมื่อศึกษาและพิจารณาในทางสังคมจากอดีตที่ผ่านมา

    จะพบว่าวัดในพระพุทธศาสนาได้มี บทบาทสำคัญต่อวิถีชีวิตของคนไทยหรือสังคมชาวไทยเป็นอย่างมาก จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาวัด บทบาทที่สำคัญนั้น เช่น

    1.วัดเป็นสถานที่ที่ชาวบ้านส่งกุลบุตรมาอยู่รับใช้พระสงฆ์และรับการฝึกอบรมทางศีลธรรม และเล่าเรียนวิชาการต่างๆ ตามที่มีการสอน 2.วัดเป็นสถานที่ที่พ่อแม่ตลอดจนคนแก่เฒ่าและสตรี มารับความรู้ด้วยการสดับพระธรรมเทศนา 3.วัดเป็นสถานพยาบาล ที่รักษาผู้เจ็บป่วย ตามภูมิรู้ของคนในสมัยก่อน โดยวัดเป็นแหล่งตำรายาและตำราแพทย์ และพระสงฆ์ทำหน้าที่เป็นหมอรักษาพยาบาลคนเจ็บป่วยทั่วไป 4.วัดเป็นสถานสงเคราะห์ ที่บุตรหลานชาวบ้านที่ยากจนได้มาอาศัยเลี้ยงชีวิตและศึกษาเล่าเรียนตลอดจนถึงผู้ใหญ่ที่ยากจนได้มาอาศัยเลี้ยงชีพ 5.วัดเป็นสถานที่พักอาศัยของคนเดินทาง

    6.วัดเป็นสถานที่ที่ชาวบ้านได้มาพบปะสังสรรค์และพักผ่อนหย่อนใจโดยที่ทางวัดได้จัดสถานที่ต่างๆ ในบริเวณให้เป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาด ร่มรื่น 7.วัดเป็นสถานที่รื่นเริง ที่จัดงานเทศกาล และมหรสพต่างๆ สำหรับชาวบ้าน เช่น งานก่อเจดีย์ทรายในวันสงกรานต์ งานเทศน์มหาชาติ ฯลฯ 8.วัดเป็นบ่อเกิดและศูนย์กลางของศิลปกรรมแขนงต่างๆ เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม สถา ปัตยกรรม และวรรณกรรม 9.วัดเป็นที่ไกล่เกี่ยวข้อพิพาท เป็นที่ปรึกษาแก้ปัญหาชีวิตและครอบครัวและความทุกข์ต่างๆ ของชาวบ้าน 10.วัดเป็นสถานที่สำหรับชาวบ้านรอบวัดได้มาทำบุญและบำเพ็ญกุศลตลอดจนประกอบพิธีต่างๆ ทางศาสนา

    11.วัดเป็นคลังพัสดุสำหรับเก็บของต่างๆ ซึ่งชาวบ้านจะได้ใช้ร่วมกัน เมื่อมีงานที่วัด หรือขอยืมไปใช้ เมื่อคราวมีงาน 12.วัดเป็นศูนย์กลางการบริหารหรือการปกครอง ที่กำนันหรือผู้ใหญ่บ้านจะเรียกลูกบ้านมาประชุมกัน เพื่อบอกแจ้งกิจกรรมต่างๆ

    เมื่อความก้าวหน้าทันสมัยทางเทคโนโลยีมีมากขึ้น ความสำคัญของวัดก็ดูจะเริ่มลดน้อยลง บทบาทเด่นๆ หลายอย่างได้เปลี่ยนแปลง เช่น การศึกษาตกไปเป็นหน้าที่และบทบาทของทางโรงเรียน การรักษาพยาบาลผู้เจ็บป่วยหน้าที่และบทบาทเป็นของสถานีอนามัยและโรงพยาบาล การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและตัดสินความเป็นหน้าที่และบทบาทของศาลสถิตยุติธรรม เป็นต้น

    ปัจจุบัน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ดำเนินโครงการ "วัดเป็นศูนย์กลางชุมชน" เรียกได้ว่าเป็นการฟื้นฟูบทบาทของวัดอย่างเช่นอดีตให้กลับคืนมาอีกครั้ง

    ˹ѧ��;��������ʴ�͹�Ź� : �ú�ء�� ʴ�ء����ͧ==

    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระพุทธนราสภะทศพล วัดสัมพันธวงศาราม กทม.

    คอลัมน์ เดินสายไหว้พระพุทธ



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>"วัดสัมพันธวงศาราม" เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิ หาร ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา ท้องที่เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ

    เดิมเป็นวัดราษฎร์ มีนามว่าวัดเกาะ หลักฐานในการสร้างวัดแต่เดิมไม่ปรากฏท่านผู้ใดเป็นผู้สร้าง ทราบแต่ว่าเป็นวัดโบราณเก่าแก่ มีมาตั้งแต่สมัยพระนคร ศรีอยุธยา

    พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อได้สร้างกรุงเทพมหา นครเป็นราชธานี สถาปนาราชจักรีวงศ์แล้ว มีพระราชประสงค์จะทำนุบำรุงพระ พุทธศาสนาให้มั่นคงสถาพร จึงมีพระ บรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์บูรณปฏิสังขรณ์วัดต่างๆ ขึ้นใหม่หลายวัด

    รัตนโกสินทร์ศก 15 ตรงกับปีมะโรง อัฏศก จ.ศ.1158 พ.ศ.2339 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี (สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ) พระ นามเดิมจุ้ย ต้นราชสกุล มนตรีกุล ผู้เป็นพระโอรสองค์ที่ 5 ในสมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ (แก้ว) ไปบูรณปฏิสังขรณ์วัดเกาะใหม่หมดทั้งอาราม

    ทรงสร้างพระอุโบสถ พระวิหาร พระวิหารคด หอระฆัง ด้วยก่ออิฐถือปูน กุฏิสร้างด้วยไม้มุงกระเบื้อง ทรงบูรณปฏิสังขรณ์อยู่กี่ปีไม่มีหลักฐานปรากฏ

    เมื่อบูรณปฏิสังขรณ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดเกาะที่บูรณปฏิสังขรณ์แล้วนั้นขึ้นเป็นพระอารามหลวง พระราชทานนามใหม่ว่า "วัดเกาะแก้วลังการาม"

    ในรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดเกาะแก้วลังการามอีก เสร็จแล้วทรงพระราชดำริว่า "วัดเกาะแก้วลังการาม" เป็นวัดที่สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี ผู้ทรงเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ ในสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระบรมราชชนนีของพระองค์ ได้เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

    เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติแห่งเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเปลี่ยนนามวัดใหม่ว่า "วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร"

    มีเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับองค์พระพุทธรูปประธาน คือ "พระพุทธนราสภะทศพล" องค์พระประธานประจำพระอุโบสถชั้น 3 วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ

    แต่เดิมไม่ปรากฏพระนาม ต่อมาท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์รูปที่ 9 ได้ถวายพระนามว่า "พระพุทธนราสภะทศพล"

    บนฐานแท่นชุกชีที่พระพุทธรูปประ ทับนั่งลดหลั่นกันลงมาเป็น 3 องค์ มีพระอัครสาวกยืนซ้ายขวา 2 องค์ พระอัครสาวกนั่งซ้ายขวา 4 องค์ รวมบนฐานชุกชีมีพระทั้งหมด 9 องค์

    พระพุทธนราสภะทศพลเป็นพระ พุทธรูปปูนปั้นปิดทอง ศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลายผสมศิลปะสุโขทัย ปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง 1.52 เมตร ใต้ฐานองค์พระโปร่ง มีพระมงกุฎ เครื่องราชูปโภคเบญจราชกกุธภัณฑ์จำลองเป็นส่วนเล็ก ทำด้วยทองคำ สำหรับพระมงกุฎภายในและบริเวณรอบบรรจุพระอังคารของสมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี ยอดพระมงกุฎบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 2 องค์ โดยมีผอบเป็นแก้วครอบอีกชั้นหนึ่ง

    เดิมที่วัดสัมพันธวงศ์ก็ไม่ทราบว่ามีสิ่งต่างๆ และพระอังคารบรรจุอยู่ภายใน ต่อมาในวันที่ 10 กันยายน 2502 หม่อมหลวงต่วนศรี วรวรรณ (หม่อมมารดาของพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงษ์ประพันธ์) ผู้เป็นกุลทายาทในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี ผู้สถาปนาวัดนี้ ได้มาบำเพ็ญกุศลฉลองชนมายุครบ 7 รอบ ที่พระอุโบสถวัดสัมพันธวงศ์

    ก่อนที่พระสงฆ์จะเจริญพระพุทธมนต์ หม่อมหลวงต่วนศรี วรวรรณ ได้แจ้งแก่ทางวัดว่าประสงค์จะบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทานกิจ สดับปกรณ์พระ อังคารสมเด็จเจ้าฟ้าฯ ผู้ทรงเป็นต้นราชสกุลของท่าน โดยให้พนักงานโยงผ้าภูษาไปที่พระพุทธรูปองค์ล่างสุด

    โดยท่านกล่าวยืนยันว่าพระพุทธรูปองค์นี้ภายในบรรจุพระอังคารของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี ต้นราช สกุล "มนตรีกุล" สำหรับพระอัฐินั้นประ ดิษฐานอยู่ที่หอพระนาก ในพระบรมมหาราชวัง

    สำหรับแผ่นเงิน แผ่นนาก และแผ่นทองคำ ที่พบรวมอยู่กับพระมงกุฎ ได้จารึกอักษรขอม กล่าวถึงพระสูตร พระอภิธรรมต่างๆ ซึ่งบรรดาของมีค่าเหล่านั้นวัดสัมพันธวงศ์ได้เก็บรักษาได้เป็นอย่างดี เพื่อที่จะนำเข้าบรรจุไว้ในพระพุทธรูปองค์เดิมที่พบ โดยจะได้บำเพ็ญกุศลถวายเป็นกรณีพิเศษ

    ˹ѧ��;��������ʴ�͹�Ź� : �ú�ء�� ʴ�ء����ͧ==

    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    2 องค์ราคาเกือบล้าน

    Daily News Online > โลกสีสวย > ศิลปวัฒนธรรม > พบกันวันอาทิตย์ > 2 องค์ราคาเกือบล้าน

    [​IMG]

    “ชาติไทย” ถ้าแตกสามัคคีเมื่อไรจะก็เสียแผ่นดิน เกิดการแตกแยกขึ้น

    สมัยอยุธยาไทยแตกเสียกรุงถึง 2 ครั้ง 2 ครา

    เสียกรุงให้แก่พม่าครั้งแรกนั้น “องค์ดำ” พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกอบกู้เอกราชให้แก่ไทยพ้นจากพม่า

    เสียกรุงครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2310 นั้น กรุง ศรีอยุธยาต้องล่มสลาย

    พม่าไม่มีความปรานี จุดไฟเผากรุงวอดวายหมด ทั้งยังลอกทองคำที่หุ้มองค์พระขนาดใหญ่ไปเสียด้วย

    การเสียกรุงทั้ง 2 ครั้งนั้นเพราะประเทศชาติแตกสามัคคีกันทั้งสิ้น

    โดยเฉพาะพระมหากษัตริย์องค์สุดท้าย “พระ สุริยามรินทร์” นั้น ซึ่งบางคนเรียกว่า “ขุนหลวงขี้เรื้อน” นั้นมัวเมาในกาม กิเลส ไม่สนพระทัยสู้รบกับพม่าจนพ่ายแพ้ และหลบหนีออกนอกกรุง จนบัดนี้ ไม่ทราบว่าไปสิ้นพระชนม์หรือไปอยู่ที่ไหนกันแน่

    ในสมัยอยุธยานั้นมีการแย่งชิงราชสมบัติ เปลี่ยนราชวงศ์หลายครั้งหลายหน

    พี่น้องรบราฆ่าฟันกันเอง และตายทั้งคู่คือ เจ้าอ้าย และเจ้ายี่

    เจ้าสามพระยาจึงเป็นตาอยู่ขึ้นครองราชย์ เพราะวาสนาแท้ ๆ

    เจ้าสามพระยาเมื่อขึ้นครองราชย์แล้วก็ระลึก ถึงเจ้าพี่ทั้ง 2 พระองค์ สร้างเจดีย์ขนาดใหญ่ ที่วัดราชบูรณะ ฝังเครื่องเพชรเครื่องทองชั้นเยี่ยมไว้เป็นจำนวนมาก

    ได้มีโจรใจบาปไปขุดเจดีย์ดังกล่าวเอาสมบัติอันมีคุณค่าไปไม่น้อย

    จนกรมศิลปากรต้องทำการบูรณะขุดกรุวัดราชบูรณะที่อยุธยา

    ได้พระเครื่อง พระพิมพ์ เป็นจำนวนมาก

    แล้วยังมีเครื่องเงิน เครื่องทอง พระเงิน พระทองคำที่สวยงามอีกไม่น้อยทีเดียว

    ทรัพย์สมบัติมากมายนั้นต้องสร้างพิพิธภัณฑ์ เจ้าสามพระยาขึ้นเป็นพิเศษเพื่อนำสมบัตินั้นมาตั้งแสดงให้ประชาชนชม

    วันนี้ได้นำพระพุทธรูปทองคำสมัยอยุธยา ซึ่งอาจจะมาจากกรุวัดราชบูรณะก็อาจเป็นได้

    องค์ซ้ายมือเป็นพระพุทธรูปทองคำปางสมาธิ สมัยอยุธยาตอนปลาย พ.ศ. 2243-2393 องค์พระเนื้อทองคำ หน้าผากประดับพลอย ฐานบุทองคำสลักลวดลายสวยงามและประดับพลอยกว้าง 8 ซม. สูง 9 ซม. มีผู้ประมูลไปในราคา 220,000 บาท

    องค์ขวาเป็น “พระมาลัย” ยืน ยุคเดียวกันสูง 16 ซม. ประดับทรงเครื่องทองคำลงยาสีแดงเขียว ประดับพลอยที่หน้าผากและอุ้งมือทั้ง 2 ข้าง มีผู้ประมูลไปในราคา 480,000 บาท

    พบกันอาทิตย์หน้า.

    สมเจตน์ วัฒนาธร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • p.jpg
      p.jpg
      ขนาดไฟล์:
      22 KB
      เปิดดู:
      664
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กองทุนเปิดแอสเซทพลัสออยล์
    Asset Plus Oil Fund( ASP-OIL )

    [​IMG]

    กองทุนเปิดแอสเซทพลัสออยล์ (ASP-OIL) เป็นกองทุนต่างประเทศประเภท Feeder Fund ที่ลงทุนในกองทุน Powershares DB Oil Fund (กองทุนหลัก) ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ (WTI Light Sweet Crude Oil) เพื่อหาผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Deutsche Bank Liquid Commodity Index – Optimal Yield Oil Excess Return โดยทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน (Fully Hedged) ในภาวการณ์ลงทุนปกติ กองทุนจึงไม่ได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างค่าเงินบาทและดอลลาร์สหรัฐ เปิดเสนอขาย IPO ระหว่างวันที่ 17-25 มิถุนายน 2552

    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    ขนาดกองทุน1,000 ล้านบาท อายุโครงการไม่กำหนด ประเภทกองทุนรวมต่างประเทศ ประเภท Feeder Fund
    ข้อมูลเพิ่มเติมกองทุนหลัก[​IMG] PowerShare DB Oil Fund - http://dbfunds.db.com/dbo/index.aspx
    [​IMG] ข้อมูลราคาน้ำมัน - http://www.nymex.com/index.aspx


    บลจ แอสเซท พลัส จำกัด - Asset Plus Fund Management
    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    KTAMร่วมแจมกองทุนน้ำมัน มั่นใจให้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อ[​IMG]
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
    20 เมษายน 2553 12:00 น.[​IMG]

    [​IMG][​IMG]

    สมชัย บุญนำศิริ[​IMG] บลจ.กรุงไทยส่งกองทุนเปิดเคแทม ออยล์ ฟันด์ ลงทุนในสัญญาฟิวเจอร์น้ำมันดิบของ WTI ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี Deutsche Bank Liquid CommodityIndex-Optimum Yield Crude Oil Excess Return พร้อมมั่นใจน้ำมันเป็นสินทรัพย์ที่ไม่เสียมูลค่าที่แท้จริงไปตามเงินเฟ้อ เปิดขายไอพีโอเเล้วตั้งแต่วันนี้ถึง 27 เมษายน 53

    นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้เสาะหาช่องทางการลงทุนใหม่ให้กับผู้ลงทุนตลอดเวลา เพื่อเพิ่มทางเลือกในการลงทุน ให้มีความหลากหลายมากขึ้น นอกเหนือจากการเปิดจำหน่ายกองทุนพันธบัตรทั้งในต่างประเทศ ทั้งนี้บริษัทจะเปิดจำหน่าย กองทุนเปิดเคแทม ออยล์ ฟันด์ ( KT-OIL) มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ในระหว่างวันที่ 19-27 เมษายน 2553นี้

    โดยกองทุนเน้นลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิในหน่วยลงทุนของกองทุน PowerShares DB Oil Fund ซึ่งบริหารและจัดการโดย DB Commodity services LLC ซึ่งกองทุนมีนโยบายลงทุนในสัญญาฟิวเจอร์ของน้ำมันดิบ ( light sweet crude oil –WTI ) จุดประสงค์เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับดัชนี Deutsche Bank Liquid Commodity Index –Optimum Yield Crude Oil Excess Return

    สำหรับจุดเด่นของกองทุน KT- OIL คือมีสภาพคล่องสูง สามารถซื้อ-ขาย ได้ทุกวันทำการ มูลค่าขึ้นต่ำในการลงทุน 2,000 บาท ขึ้นไป ซึ่งกองทุนดังกล่าวถือเป็นทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนอีกหนึ่งทางในการบริหารพอร์ตการลงทุน เนื่องจากการปรับตัวของราคาน้ำมันมีความสัมพันธ์น้อยมากกับการปรับตัวของตราสารหนี้และหุ้น นอกจากนี้น้ำมันเป็นเครื่องมือหนึ่งที่สามารถป้องกันการสูญเสียความสามารถในการซื้อ( Inflation Hedged ) เนื่องจากน้ำมันเป็นสินทรัพย์ที่ไม่เสียมูลค่าที่แท้จริงไปตามภาวะเงินเฟ้อ

    นายสมชัย กล่าวอีกว่า กองทุน KT-OIL เปิดโอกาสให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในน้ำมันดิบ จากเดิมที่ในอดีตการลงทุนในน้ำมันดิบในรูปแบบต่างๆจะจำกัดอยู่เฉพาะบริษัทผู้ค้าน้ำมันและสถาบันการเงินรายใหญ่ๆเท่านั้น แต่พัฒนาการของกองทุนอีทีเอฟ ทำให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุนในน้ำมันดิบได้ผ่านการลงทุนในกองทุนอีทีเอฟ ซึ่งมีต้นทุนต่ำ และสะดวก โดยน้ำมันนั้นถือได้ว่าเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญของโลก ซึ่งหากพิจารณาแนวโน้มในระยะสั้น จะพบว่าเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่จะขยายตัวในอัตรา 4.4% ในปี 2553 และ 4.5% ในปี 2554 ซึ่งน่าจะส่งผลให้ความต้องการน้ำมันกลับฟื้นตัวขึ้น ส่วนในระยะยาวนั้น ตราบเท่าที่เรายังคงต้องอาศัยพลังงานและเชื้อเพลิงอยู่ โลกก็ยังคงมีความต้องการน้ำมันอยู่เสมอไม่ว่าภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร

    ขณะที่ฝ่ายวิจัยของบลจ. กรุงไทย ได้มีการประเมินราคาน้ำมันดิบ WTI Light Sweet Crude Oil ในไตรมาสที่2ของปี 2553 เฉลี่ยอยู่ที่ 79.67 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเพิ่มขึ้น 1.1% จากราคาเฉลี่ยไตรมาสที่แล้ว โดยแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ WTI ในครึ่งปีหลังคาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเนื่องจาก Driving Season ในช่วงกลางปีและปริมาณความต้องการใช้น้ำมันที่ให้ความร้อน ( Heating Oil) ที่จะเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมของโลกยังเป็นบวก ต่อการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันอีกด้วย

    ทั้งนี้ในระยะยาว ราคาน้ำมันน่าจะเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นของทั้งโลกรวมทั้ง Supply ที่มีค่อนข้างจำกัดและต้นทุนการผลิตและสำรวจที่เพิ่มขึ้น เพราะแหล่งสำรวจใหม่ๆ อยู่ในชั้นหินที่ลึกและยากต่อการขุดเจาะ ขณะที่การเติบโตของพลังงานทางเลือกอื่นๆยังไม่สามารถทดแทนได้

    คลังข้อมูลข่าวธุรกิจ[​IMG]บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)

    Mutual Fund - Manager Online
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี



    <!-- start content -->[​IMG]

    อทุยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน



    อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (อังกฤษ: Yellowstone National Park) เป็นอุทยานแห่งแรกของโลกและของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ในเขตติดต่อสามรัฐได้แก่ ไวโอมิง มอนแทนา และ ไอดาโฮ แต่พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในรัฐไวโอมิง เป็นอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ มีพื้นที่กว่า มีเนื้อที่มากกว่า 2 ล้านเอเคอร์ คือประมาณ 43,750 ตารางไมล์ หรือ 8,992 ตารางกิโลเมตร ภายในอุทยานประกอบไปด้วย ที่ราบสูงและภูเขาสูงมีหน้าผาชัน และมีทะเลสาบเยลโลวสโตน์ เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีบ่อน้ำร้อน น้ำพุร้อนมากกว่า 10,000 แห่ง และ 250 แห่งเป็นบ่อน้ำพุร้อน <SUP class=reference id=cite_ref-0>[1]</SUP> และน้ำพุร้อนที่สำคัญคือ น้ำพุร้อนโอลด์ เฟธฟุล มีน้ำพุงออกมาทุกๆ 33 และ 93 นาทีโดยไม่เปลี่ยนแปลงเลยในรอบ 100 ปี
    สัตว์ป่าที่น่าสนใจในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน ได้แก่ หมีกริซซี่ หมีดำ ควายป่าไบซัน กวางมูส กวางเอลค์ แพะภูเขา บิ๊กฮอร์น แมวปา

    อ้างอิง

    1. ^ http://www.wonder7th.com/wonder_natural/001yellow_stone.htm
    แหล่งข้อมูลอื่น

    [​IMG]

    คอมมอนส์ มีภาพและสื่ออื่นๆ เกี่ยวกับ:
    อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน

    <TABLE style="CLEAR: both; BORDER-RIGHT: #90a0b0 1px solid; BORDER-TOP: #90a0b0 1px solid; FONT-SIZE: 90%; BACKGROUND: #fcfcfc; MARGIN: 10px 0px 0px; BORDER-LEFT: #90a0b0 1px solid; WIDTH: 100%; BORDER-BOTTOM: #90a0b0 1px solid" cellSpacing=0 cellPadding=3><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=40>[​IMG]</TD><TD style="COLOR: #696969" align=left>อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน เป็นบทความเกี่ยวกับ อาคาร หรือ สถานที่สำคัญ ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหาหรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น
    <SMALL>ข้อมูลเกี่ยวกับ อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน ในภาษาอื่น อาจสามารถหาอ่านได้จากเมนู ภาษาอื่น ด้านซ้ายมือ</SMALL>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!-- NewPP limit reportPreprocessor node count: 112/1000000Post-expand include size: 5557/2048000 bytesTemplate argument size: 506/2048000 bytesExpensive parser function count: 0/500--><!-- Saved in parser cache with key thwiki:pcache:idhash:73479-0!1!0!!th!2 and timestamp 20100421074825 -->ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B8%99".
    หมวดหมู่: อุทยานแห่งชาติในสหรัฐอเมริกา | บทความเกี่ยวกับ สถานที่ ที่ยังไม่สมบูรณ์
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>มามะ มาบริหาร "ข้อเข่า" กันเถอะ
    Life & Family - Manager Online

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>25 เมษายน 2553 10:08 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=240 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=240>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>แน่นอนแล้วว่า พอเริ่มอายุมากขึ้น ก็มีแต่ตัวเลขที่มันเพิ่มขึ้นตาม แต่ว่าสภาพร่างกายของคนเราไม่แข็งแรงตามอายุ ตรงกันข้ามกลับถดถอยลงเรื่อยๆ ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก ยิ่งถ้าเป็นเรื่องของ "กระดูกข้อเข่า" บ้านไหนที่มีผู้สูงอายุอยู่ในบ้านคงเข้าใจ และเจอะเจอกับปัญหาสุขภาพนี้มาแล้ว แต่ก็มีหลายบ้านที่ปัญหานี้ยังไม่ไปเยี่ยมเยือน วันนี้ทีมงาน Life & Family มีข้อมูลดีๆ จากศูนย์กระดูกและข้อ โรงพยาบาลนครธน เอาไว้สำหรับการต้อนรับ "อาการปวดข้อเข่า" แขกที่ไม่ได้รับเชิญของบ้านมาฝากกันค่ะ

    หลักการออกกำลังข้อเข่า

    1. ควรเริ่มจากท่าง่ายๆ ไปหาท่าที่ยากขึ้นตามลำดับ โดยทำท่าที่ 1 ก่อน เมื่อทำติดต่อกันหลายวันไม่มีปัญหาจึงเปลี่ยนท่าที่ 2, 3, 4....อย่าหักโหมหรือใจร้อนเพราะอาจทำให้ปวดเข่ามากขึ้น

    2. ควรทำภายหลังจากอาการปวดทุเลาลงบ้างซึ่งอาจทุเลาจากการหยุดใช้เข่าชั่วคราวหรือใช้ระงับการอักเสบ

    3. ขณะออกกำลังกายบางท่า ถ้าท่านมีอาการปวดเข่ามากขึ้นให้ลงจำนวนครั้งลง หรือหยุดพักออกกำลังกายท่านั้นๆ จนกว่าอาการปวดจะทุเลาลง จึงค่อยทำท่านั้นใหม่

    4. ควรทำสม่ำเสมอทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2-3 เวลา เช่น ตอนตื่นนอน ก่อนนอนและตอนกลางวันหรือเย็น เมื่อกล้ามเนื้อดีขึ้นแล้วจึงเพิ่มความถี่ขึ้นเป็นวันละ 4-5 เวลาก่อนที่จะหัดท่าตอนไป

    5. ในโรคข้อเสื่อมการออกกำลังเข่าควรทำสลับข้างกันเสมอ เพื่อฝึกเข่าข้างดีให้แข็งแรงเป็นการป้องกันไม่ให้เสื่อมลง เนื่องจากถูกใช้งานมากเกินไป

    6. ในผู้ที่ไม่เคยปวดเข่า การฝึกออกกำลังกล้ามเนื้อข้อเข่าไว้ก่อน จะช่วยให้ข้อเข่าแข็งแรงและไม่ปวดเข่าง่าย ท่านสามารถทำได้ทุกท่าตามต้องการ

    ท่าออกกำลังกายกล้ามเนื้อเข่า

    ท่าที่ 1 นอน – เหยียดเข่า

    นอนหงาย ใช้หมอนใบเล็กๆ หนุนใต้เข่าทั้งสองเหยียดเข่าข้างหนึ่งให้ตรงสุด เกร็งไว้ประมาณ 5 ถึง 10 วินาที เอาลงพัก เหยียดเข่าอีกข้างหนึ่งเช่นเดียวกัน ทำสลับกับข้างละ 10 ครั้ง


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ท่าที่ 1</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ท่าที่ 2 นอน - ยกขา – เหยียดเข่า

    นอนหงาย ยกข้างอีกข้างหนึ่งทำมุมประมาณ 45 องศากับพื้น ยกอีกข้างหนึ่งขึ้นตรงๆ โดยให้ส้นเท้าสูงจากพื้นประมาณ 1 ฟุต เกร็งส้นเท้าไว้ประมาณ 5-10 วินาที พัก ทำสลับกับข้างละ 10 ครั้ง


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ท่าที่ 2</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ท่าที่ 3 นอน – กดเข่า

    นอนหงาย ขาข้างที่เจ็บเหยียดตรง เกร็งกล้ามเนื้อหน้าขาเหนือข้อเข่า พยายามให้หลังเข่าติดพื้นเอามือจับกล้ามเนื้อเหนือเข่าจะพบว่า เกร็งแข็งและสะบ้าอยู่กับที่ ค้างไว้ 5-10 วินาที พัก ทำซ้ำ อีกครั้ง จากนั้นเปลี่ยนเป็นกดส้นเท้าดันพื้นแทนเข่า เพื่อเป็นการออกกำลังกล้ามเนื้อด้านหลังข้อเข่า


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ท่าที่ 3</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ท่าที่ 4 นั่ง – เหยียดเข่า

    นั่งบนเก้าอี้หรือโต๊ะ เอียงตัวไปข้างหลังเล็กน้อย มือยันพื้นหรือเอียงตัวพิงพนัก (ถ้ามี) เหยียดข้อเข่าให้ขายื่นออกตรงๆ แล้วเกร็งเข่าอยู่ในท่านี้ประมาณ 5-10 วินาที ค่อยๆ วางขาลงพัก แล้วเหยียดขาอีกข้างหนึ่งแบบเดียวกัน ทำสลับกันข้างละ 10 ครั้ง ถ้าสามารถทำได้ดีแล้วอาจเพิ่มน้ำหนักคล้องที่ข้อท้าได้ โดยเริ่มที่น้ำหนัก 0.3 กิโลกรัม ก่อนแล้วจึงค่อยๆ เพิ่มเป็น 0.5, 0.7,1, 1.5 ก.ก. ตามลำดับ


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=200>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ท่าที่ 4</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ท่าที่ 5 งอเข่า

    นอนคว่ำโดยที่ให้ขาสองข้าง เหยียดตรงพยายามพับเข่าข้างที่เคยปวดหรืองอไม่ได้เต็มที่นั้นให้งอมากที่สุด เกร็งไว้ 3-5 วินาทีแล้วเหยียดลงทำซ้ำ 10 ครั้ง


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ท่าที่ 5</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ท่าที่ 6 ขึ้นบันได

    ให้ทำท่านี้เมื่อท่านสามารถทำท่าอื่นๆ ได้ดีแล้วโดยหาแผ่นไม้หนาๆ หรือม้าเตี้ยๆ ที่แข็งแรงวางบนพื้นยกขาข้างที่ปวดเข่าก้าวขึ้นไป ยืนตรงบนแผ่นไม้หรือม้านั้นสักพักแล้วก้าวกลับลงมา โดยใช้ขาหน้าเดิมทำซ้ำ 10 ครั้ง ถ้าปวดเข่าทั้งสองข้างควรทำสลับกันข้างละ 10 ครั้ง เมื่อท่านสามารถทำได้ดีแล้วให้ฝึก โดยเพิ่มความสูงของแผ่นไม้หรือม้ามากขึ้นทีละ 1-2 นิ้วจนกว่าจะได้ความสูงเท่ากับบันไดบ้านของท่านเอง


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=100>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ท่าที่ 7 ย่อตัวลงนั่ง

    ยืนหันหลังให้ขาชิดขอบเก้าอี้หรือขอบเตียง ค่อยๆ ย่อเข่าทั้งสองลงนั่งระวังให้หลังตรงไม่โน้มตัวไปข้างหน้า แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืนโดยใช้เข่าทั้งสองเช่นกัน ทำ 5 ครั้ง ท่านควรจะรู้สึกเมื่อยเล็กน้อยที่กล้ามเนื้อรอบเข่า เมื่อท่านทำถูกต้องและทำได้ดีแล้วให้ลองเปลี่ยนเก้าอี้หรือเตียงให้เตี้ยลงเรื่อยๆ


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=100>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    วันนี้เป็นวันคล้ายวันพระราชสวรรคตของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ชาวเเม่สอดเสื้อหลากสีมารวมตัวกันที่ศาลสมเด็จ เพื่อรําลึกถึงพระองค์
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 86 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 85 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ไปนอนดีกว่า

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...