พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ออกกำลังกาย คลายเครียดในออฟฟิศ

    ออฟฟิศซินโดรม ออกกำลังกาย คลายเครียด ในออฟฟิศ


    [​IMG]

    ออกกำลังกายคลายเครียด @office (Momypedia)
    โดย: ริรินทร์

    โอย..งานในบ้านก็หนักอยู่แล้ว ยังไปเจองานนอกบ้านที่หนักหนากว่าเดิมอีกหลายเท่า

    เครียดเกินไปไม่ดีหรอกค่ะ หาวิธีผ่อนคลายความเครียดในที่ทำงานกันดีกว่า จะช่วยให้คุณรู้สึกสบายขึ้น และพร้อมรับมือกับงานหนัก ๆ อีกหลายเท่าพันทวี ที่สำคัญวิธีบริหารนี้ไม่เอิกเกริกให้เจ้านายเขม่นแน่นอน!

    [​IMG]ผ่อนคลายกล้ามเนื้อคอ/หลัง/หัวไหล่

    [​IMG] ท่าที่ 1

    นั่งหลังตรง ก้มศีรษะให้คางจรดหน้าอก แล้วค่อย ๆ หันศีรษะไปทางขวา 2 ครั้ง ทางซ้าย 2 ครั้ง


    [​IMG] ท่าที่ 2

    เอามือ 2 ข้างประสานกันที่ท้ายทอย งอข้อศอกมาด้านหน้า เข้าหากันช้า ๆ จากนั้นกางข้อศอกทั้งสองข้างไปด้านหลังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำสลับกันไปมาประมาณ 6 ครั้ง


    [​IMG] ท่าที่ 3

    หมุนหัวไหล่ข้างซ้ายไปด้านหลังก่อนประมาณ 10 ครั้ง แล้วพักให้กล้ามเนื้อคลายตัว สลับหมุนข้างซ้ายไปด้านหลังบ้าง จากนั้นหมุนมาด้านหน้าบ้าง

    ท่านี้เป็นท่าคลายเครียดกล้ามเนื้อหัวไหล่โดยเฉพาะ ช่วยทำให้การหมุนเวียนของกระแสโลหิตดีขึ้น


    [​IMG] ท่าที่ 4

    ยืนตัวตรงชูแขน 2 ข้างเหนือศีรษะ เหยียดแขนให้ตึงแล้วค่อย ๆ ก้มตัวลงไปข้างหน้า ทิ้งแขนลง (ไม่ต้องพยายามให้นิ้วแตะเท้า) ปล่อยแขนทั้งสองข้างทิ้งลงเหมือนไม่มีน้ำหนัก จากนั้นยกแขนชูสูงขึ้นเหนือศีรษะ เหยียดตรง ทำซ้ำกันประมาณ 10 ครั้ง


    [​IMG]ผ่อนคลายกล้ามเนื้อมือ

    [​IMG] ท่าที่ 1

    ทำเหมือนกับว่าคุณจุ่มปลายนิ้วทั้งห้าลงในน้ำ แล้วดีดมืออกเหมือนดีดน้ำ (เหมือนเวลาพรมน้ำ) เวลาดีดออกแล้วให้เหยียดนิ้วทั้งห้ากางออกไปจนสุด


    [​IMG] ท่าที่ 2

    กำมือให้แน่นแล้วแบมือออก

    กางนิ้วทั้งห้าเหยียดจนสุดแรง ทำซ้ำกัน 5-10 ครั้ง นอกจากท่าบริหารเหล่านี้แล้ว การได้ปล่อยร่างกายทุกส่วนให้ผ่อนคลาย สบาย ๆ ไม่เกร็งกล้ามเนื้อสักชั่วขณะ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้คลายเครียดได้ค่ะ




    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    น่าจะมีความน่าสนใจอยู่พอสมควร จึงมีการโหลดไป ขอให้นำไปศึกษานะครับ เป็นสิ่งจำเป็นตามหัวข้อของกระทู้ครับ


    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  5. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    เจอกันพรุ่งนี้ครับ :)
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ร้อนนี้ระวัง โรคพิษสุนัขบ้า สังเวยเพิ่มอีก 2

    โรคพิษสุนัขบ้า โรคติดต่อ ร้ายแรง จาก สัตว์เลี้ยง คนกรุง เสียชีวิต เพิ่มอีก 2 ราย


    [​IMG]

    สุนัข​

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


    เมื่อวันที่ 17 มีนาคม กระทรวงสาธารณสุข นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากกลุ่มโรคติดต่อจากสัตว์และคน สำนักโรคติดต่อทั่วไป ว่าเมื่อวันที่ 14 -15 มีนาคม ที่ผ่านมา มีรายงานการเสียชีวิตด้วย โรคพิษสุนัขบ้า ในเขตกรุงเทพมหานคร 2 รายติดต่อกัน รายแรกเสียชีวิตที่สถาบันบำราศนราดูร ส่วนอีกรายเสียชีวิตที่โรงพยาบาลตำรวจ จากการเสียชีวิตดังกล่าวทำให้เป็นที่กังวลว่า สถานการณ์ผู้เสียชีวิตด้วย โรคพิษสุนัขบ้า ในปีนี้อาจจะมีแนวโน้มสูงขึ้น เพราะในช่วง 2 เดือนเศษของปีนี้ มีผู้เสียชีวิตแล้ว 9 ราย ทั้งนี้ ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เวลาโดนสุนัขกัดไม่ได้ไปพบแพทย์ และไม่ได้สนใจกับบาดแผล ความจริงแล้วแม้บาดแผลเล็กน้อย หากมีเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าก็อันตรายถึงแก่ชีวิตได้

    นพ.มานิต กล่าวอีกว่า สำหรับสถานการณ์ผู้สัมผัส โรคพิษสุนัขบ้า กลุ่มผู้ถูกกัดมากที่สุด คือ เด็กอายุ 1-5 ปี รองลงมาอายุ 6-10 ปี สัตว์ที่กัดส่วนใหญ่เป็นสุนัข และสุนัขที่กัดส่วนใหญ่เป็นสุนัขมีเจ้าของ ที่น่าเป็นห่วงคือ ขณะนี้ใกล้ปิดเทอม ผู้ปกครองและเด็กมีการเดินทางไปในที่ต่าง ๆ การเตือนผู้ปกครองให้บุตรหลานหลีกเลี่ยงการถูกสุนัขกัดเป็นสิ่งจำเป็น โดยลดพฤติกรรมที่ทำให้สุนัขกัด เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกสุนัขกัด คือ อย่าแหย่ อย่าเหยียบ อย่าแยก อย่าหยิบ อย่ายุ่ง รวมทั้งเมื่อถูกสุนัขกัดแล้วต้องรีบล้างแผล ใส่ยา กักหมา หาหมอ และฉีดวัคซีนจนครบจะช่วยลดอัตรการเสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าได้

    ด้าน สัตวแพทย์หญิงอภิรมย์ พวงหัตถ์ หัวหน้ากลุ่มโรคติดต่อจากสัตว์และคน กรมควบคุมโรค เปิดเผยรายละเอียดผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้ารายที่ 8 และ 9 ว่า ทั้ง 2 รายเสียชีวิตติดต่อกันรายวัน โดยรายที่ 8 เป็นชาย อายุ 32 ปี ถูกแมวจรจัดในตลาดกัดที่นิ้วมือขวา เป็นแผลระหว่างนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ เมื่อเดือนกุมภาพันธุ์ 2553 ขณะเข้าไปห้ามหมาไล่กัดแมว แมวจึงหันมากัดผู้เสียชีวิตรายนี้ หลังจากนั้นแมวถูกหมากัดตาย ผู้เสียชีวิตเริ่มมีอาการป่วย และเข้ารับการรักษา 13 มีนาคม 2553 โดยผู้ป่วยมีอาการกลัวน้ำ กลัวลมชัดเจน จนเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2553

    "ส่วนรายที่ 9 เป็นชาย อายุ 67 ปี เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2553 มีลูกสุนัขติดล้อรถจึงเข้าไปช่วยและถูกลูกสุนัขกัดเข้าที่เล็บของมือข้างซ้าย วันรุ่งขึ้นลูกสุนัขตัวนั้นตาย ภรรยาได้บอกให้ไปฉีดวัคซีน แต่ผู้ตายไม่เชื่อ ไม่ยอมไปหาหมออ้างว่าเป็นแค่ลูกหมาตัวเล็ก ๆ จึงแค่กินยาแก้ปวด โดยผู้เสียชีวิตรายนี้เริ่มมีอาการกลัวลมไม่อยากดื่มน้ำ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2553 เข้ารับการรักษาและเสียชีวิตกลางคืนในวันเดียวกัน ที่น่ากลัวคือ ตอนนี้เหตุเกิดในกทม.ค่อนข้างถี่ และการจัดการกับสุนัขทั้งที่ตลาดนัดสวนจตุจักร ห้างสรรพสินค้าที่ กทม. เคยประกาศไว้ก็ยังไม่ได้มีการดำเนินการอย่างจริงจัง ที่สำคัญช่วงนี้อากาศร้อนจัดมาก โอกาสที่สุนัขจะมีอารมณ์ดุร้าย มีสูงมาก จึงน่าจะมีมาตรการป้องกัน หรือให้ความรู้กับประชาชนอย่างต่อเนื่องถึงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า แม้จะไม่ได้ถูกกัด แค่ถูกน้ำลายที่สัตว์ซึ่งมีเชื้อโรคมาเลียก็อาจทำให้ติดเชื้อได้" สพญ.อภิรมย์ กล่าว
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "แมวบ้า"วัดท่าพระกัดคนตาย ปีนี้คนไทยสังเวยหมาบ้าแล้ว9ราย

    Matichon Online: ˹ѧ

    "แมวบ้า"วัดท่าพระกัดคนตาย ปีนี้คนไทยสังเวยหมาบ้าแล้ว9ราย

    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1268912823&grpid=&catid=04

    <STYLE> P { margin: 0px; } </STYLE>นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยเมื่อวันที่ 17 มีนาคม ว่าได้รับรายงานจากกลุ่มโรคติดต่อจากสัตว์และคน สำนักโรคติดต่อทั่วไป ว่า เมื่อวันที่ 14-15 มีนาคมที่ผ่านมา มีรายงานการเสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้าในเขตกรุงเทพมหานคร 2 รายติดต่อกัน โดยรายแรกเสียชีวิตที่สถาบันบำราศนราดูร ส่วนอีกรายเสียชีวิตที่โรงพยาบาลตำรวจ เพิ่มจากรายที่ 7 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่เพิ่งเสียชีวิตไป โดยปี 2551 ที่ตลอดทั้งปีมีผู้เสียชีวิตเพียง 9 ราย เพิ่มเป็น 23 ราย ในปี 2552 และอีก 9 ราย ในช่วง 2 เดือนเศษของปี 2553 โดยน่าสังเกตว่าพื้นที่เกิดเหตุอยู่ในพื้นที่ซ้ำ คือ กทม.ที่ปีนี้มีผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าแล้วถึง 5 ราย สาเหตุส่วนใหญ่มาจากสุนัขที่มีเจ้าของแทบทั้งสิ้น ทั้งนี้ ปี 2552 ผู้เสียชีวิต 7 ราย เสียชีวิตจากสุนัขของตนเองที่ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ามาก่อน อีก 5 รายเกิดจากสุนัขไม่ทราบเจ้าของ กลุ่มผู้ถูกกัดมากที่สุด คือ เด็กอายุ 1-5 ปี รองลงมาอายุ 6-10 ปี

    สพญ.อภิรมย์ พวงหัตถ์ หัวหน้ากลุ่มโรคติดต่อจากสัตว์และคน กรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากการค้นข้อมูลผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้ารายที่ 8 และ 9 พบว่าน่าสนใจตรงที่ ทั้ง 2 รายเสียชีวิตติดต่อกันรายวัน ที่สำคัญมีการรับเชื้อเพียงแค่เดือนเดียวก็แสดงอาการและเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว โดยรายที่ 8 เป็นชาย อายุ 32 ปี อาศัยอยู่ย่านถนนจรัญสนิทวงศ์ ซอยวัดท่าพระ แขวงวัดท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ ถูกแมวจรจัดในตลาดกัดที่นิ้วมือขวาเป็นแผลระหว่างนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ขณะเข้าไปห้ามหมาซึ่งไล่กัดแมว แมวจึงหันมากัดผู้เสียชีวิตรายนี้ หลังจากนั้นแมวถูกหมากัดตาย ผู้ป่วยเริ่มมีอาการป่วยเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2553 เข้ารับการรักษา 13 มีนาคม ที่โรงพยาบาลบางไผ่ จากนั้นถูกส่งตัวมารักษาที่โรงพยาบาลบำราศนราดูรและเสียชีวิตเมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา ขณะนี้ญาติผู้เสียชีวิตแจ้งว่าสุนัขตัวที่กัดแมวยังมีชีวิตอยู่ในตลาดดังกล่าว

    สพญ.อภิรมย์กล่าวว่า ส่วนรายที่ 9 เป็นชาย อายุ 67 ปี อยู่แถวซอยอาจณรงค์ แขวงและเขตคลองเตย เมื่อ 15 กุมภาพันธ์ มีลูกสุนัขติดล้อรถจึงเข้าไปช่วยและถูกลูกสุนัขกัดเข้าที่เล็บของมือข้างซ้ายวันรุ่งขึ้นลูกสุนัขตัวนั้นตาย ภรรยาได้บอกให้ไปฉีดวัคซีน แต่ผู้ตายไม่เชื่อ และไม่ยอมไปหาหมอโดยอ้างว่า เป็นแค่ลูกหมาตัวเล็กๆ จึงแค่กินยาแก้ปวดพาราเซตามอล ผู้เสียชีวิตรายนี้เริ่มมีอาการกลัวลมไม่อยากดื่มน้ำ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจและเสียชีวิตกลางคืนในวันเดียวกัน เก็บน้ำลายตรวจศูนย์โรคโรงพยาบาลจุฬา พบเชื้อพิษสุนัขบ้า ตอนนี้เหตุเกิดใน กทม.ค่อนข้างถี่

     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948


    รายละเอียดเรื่องของ
    โรคพิษสุนัขบ้า สามารถอ่านต่อได้ในกระทู้ โรคพิษสุนัขบ้า(เป็นลิงค์) หรือ คลิ๊กที่นี่

    ที่ PaLungJit.com > พลังจิต > จิตวิทยา & สุขภาพ
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรียนท่านสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้าและคณะพระวังหน้าทุกๆท่าน

    ผมเองได้จองล็อกเก็ตเพิ่มเติมไว้ จำนวน 2 องค์

    ทั้งสององค์ ผมจะให้ร่วมทำบุญ 5,000 บาท/ล็อกเก็ต 1 องค์ (เป็นการทำบุญในนามของชมรมรักษ์พระวังหน้า , ในนามของท่านที่ร่วมทำบุญ และในนามของผม) โดยมีรายละเอียดดังนี้

    1.เงินจำนวน 1,500 บาท (ที่เป็นเงินที่ผมจองล็อกเก็ตไว้) ผมจะนำไปทำบุญกับกองทุนหาพระถวายวัด

    2.เงินจำนวน 1,000 บาท ผมจะนำไปทำบุญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง

    3.เงินจำนวน 1,000 บาท ผมจะนำไปทำบุญในทุกๆอย่างที่ สวนทิพย์โลกอุดร

    4.เงินจำนวน 1,000 บาท ผมจะนำไปทำบุญกับทุนนิธิสงฆ์เคราะห์สงฆ์อาพาธ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร

    5.เงินจำนวน 500 บาท ผมจะบริจาคเข้าชมรมรักษ์พระวังหน้า


    โมทนาสาธุครับ
    http://palungjit.org/threads/เ�...ml#post3050501

    เรื่องของล็อกเก็ต

    นำรูปมาให้ชม สำหรับด้านหลังล็อกเก็ต

    ผงคลุกรัก ที่ใช้ทาด้านหลังล็อกเก็ต จะมีผงตามนี้

    1.ผงพระวังหน้า
    2.ผง(พระ)หลวงปู่ทวด
    3.ผงพระฤาษี (ผงชัยวรมัน)
    4.แป้งกระแจะ (ที่นำเข้าพิธีพุทธาภิเษก วันเสาร์ 5 เดือน เมษายน 2550)

    [​IMG]


    องค์ที่อยู่ซ้ายมือ(เวลาที่ท่านมองรูป) จะเป็นองค์ที่พิเศษ จะมีอยู่ทั้งหมด 10 องค์

    องค์ที่อยู่ขวามือ(เวลาที่ท่านมองรูป) จะเป็นองค์ธรรมดา จะมีอยู่ทั้งหมด 46 องค์


    http://palungjit.org/forums/พ�...ml#post3068970

    PaLungJit.com - ชมรม รักษ์พระวังหน้า

    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับล็อกเก็ต องค์ธรรมดา ที่ผมได้จองไว้ต่างหาก จำนวน 2 องค์ เมื่อสักพักนี้ ผมคุยกับพี่อ้อย พี่อ้อยแจ้งผมมาว่า ขอร่วมทำบุญบูชาล็อกเก็ต 1 องค์ ร่วมทำบุญ 5,000 บาท

    โมทนาบุญทุกประการครับ

    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ส่วนอีก 1 องค์ที่เหลือ หากพ้นจากวันเสาร์ที่ 20 มีนาคม 2553 ไปแล้ว ผมจะให้ร่วมทำบุญบูชา ด้วยตัวเลขไม่น้อยกว่าเลข 5 หลักครับ


    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เตือนภัย ยังพบแก๊งมิจฉาชีพ โทรหลอกโอนเงิน

    http://hilight.kapook.com/view/47195


    [​IMG]

    ธทป.ระบุยังพบแก๊งมิจฉาชีพโทรหลอกให้ประชาชนโอนเงิน (สำนักข่าวไทย)

    ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานว่า ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา คือ ระหว่างที่ 17- 18 มีนาคม 2553 ศูนย์ประสานงานแก้ไขปัญหาปล่อยสินเชื่อ และฝ่ายงานใน ธปท. ได้รับรายงานว่าได้รับโทรศัพท์จากประชาชนเฉลี่ยวันละ 50 ราย แจ้งว่า มีแก๊งมิจฉาชีพโทรศัพท์มาหลอกลวงว่า เป็นหนี้บัตรเครดิต ซึ่งพบว่ายังเป็นรูปแบบการหลอกลวงในลักษณะเดิม เช่น หลอกว่าเป็นหนี้บัตรเครดิตธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งเพื่อให้ประชาชนตกใจ และหลอกถามข้อมูลส่วนตัว พร้อมทั้งให้ไปทำรายการที่ตู้เอทีเอ็ม และให้โอนเงินในบัญชีให้แก๊งมิจฉาชีพ

    ดังนั้น ธปท. จึงอยากเตือนประชาชนให้ระมัดระวังหากได้รับโทรศัพท์ในลักษณะดังกล่าว อย่าหลงให้ข้อมูลส่วนตัว หรือไปทำรายการที่ตู้เอทีเอ็มตามที่มิจฉาชีพชักชวน เพราะอาจจะตกเป็นเหยื่อหลอกลวงให้โอนเงินได้ และหากมีข้อสงสัยใด ๆ โปรดติดต่อ คอล เซ็นเตอร์ ธนาคารที่ท่านมีบัญชีอยู่ และควรสอบถามข้อมูลรายละเอียด เช่น ชื่อ เบอร์โทรศัพท์ของผู้ขอข้อมูลเพื่อประกอบการให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสืบสวนและจับกุมต่อไป




    ขอขอบคุรข้อมูลและภาพประกอบจาก
    [​IMG]
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับงานพิธีพุทธาภิเษก "ล็อกเก็ต รุ่น คณะเผยแผ่พระพุทธศาสนา" ผ่านพ้นไปด้วยดี(มาก)

    ตั้งแต่เมื่อวานนี้ ผม , น้องpsombat และน้องพรสว่าง_2008 รวมทั้งน้องMEA ได้ไปเตรียมเรื่องของงานพิธีพุทธาภิเษก โดยก่อนไปชลบุรี ผม , น้องpsombat และน้องพรสว่าง_2008 ได้ไปถวายพระบูชา "หลวงปู่พระอุปคุตเถระเจ้า" หน้าตัก 9" ที่ สนส.บ่อเงินบ่อทอง หลวงพ่อแผนท่านได้เป็นตัวแทนคณะสงฆ์สนส.บ่อเงินบ่อทอง รับพระบูชา "หลวงปู่พระอุปคุตเถระเจ้า" หน้าตัก 9"

    หลังจากนั้นตอนบ่าย ผม , น้องpsombat และน้องพรสว่าง_2008 ก็ได้เดินทางไปจัดเตรียมงาน(บางส่วน)

    วันนี้ตอนเช้า ผม , น้องpsombat ได้เดินทางไปที่งาน ไปช่วยการจัดการในงาน เป็นสิ่งที่พิเศษมากๆ สำหรับทุกๆท่านที่ไปร่วมงาน (ผมคาดว่า ผู้ไปร่วมงานประมาณ 50 กว่าท่าน)

    สำหรับการอัญเชิญหลวงปู่พระอุปคุตเถระเจ้า , หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า , หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า , หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า , หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า , หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า , หลวงปู่แจ้งฌาณ , สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และหลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ทั้ง 9 พระองค์ ได้มีพระเมตตามาในงานพิธีครับ

    ไว้พรุ่งนี้ ผมค่อยมาเล่าต่อครับ

    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วังนาคินทร์คำชะโนด

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
    <!-- start content -->วังนาคินทร์คำชะโนด หรือ เมืองชะโนด หรือที่นิยมเรียกกันว่า ป่าคำชะโนด ตั้งอยู่อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี เป็นเมืองที่ปรากฏในตำนานพื้นบ้าน เป็นสถานที่ ๆ เชื่อว่า เป็นที่สิงสถิตย์ของพญานาคและสิ่งลี้ลับต่าง ๆ บ่อยครั้งที่ชาวบ้านในละแวกนั้นจะพบเห็นชาวเมืองชะโนดไปเที่ยวงานบุญพระเวท รวมถึงหญิงสาวที่มายืมเครื่องมือทอผ้าอยู่เป็นประจำ และเมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง รวมถึงที่อำเภอบ้านดุง แต่น้ำก็ไม่ท่วมบริเวณคำชะโนด เมื่อระดับน้ำลดลง คำชะโนดก็ยังคงอยู่เช่นเดิม
    [แก้] ตำนาน

    ตามตำนานได้กล่าวไว้ว่า มีพญานาคอยู่สองตนได้ปกครองเมืองหนองกระแส โดยครึ่งหนึ่งเป็นของ สุทโธนาค (เจ้าพระยาศรีสุทโธ) ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นของ สุวรรณนาค ทั้งสองปกครองเมืองอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แต่มีข้อตกลงกันอยู่ว่า ถ้าเมื่อฝ่ายใดออกไปล่าสัตว์หาอาหาร อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องไม่ไป เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดการกระทบกระทั่งกัน และเมื่อฝ่ายที่ออกไปล่าสัตว์หาอาหารมาได้นั้น ให้นำมาแบ่งกันอย่างละครึ่ง
    เมื่อถึงคราวสุวรรณนาคได้ออกไปล่าสัตว์หาอาหารได้เนื้อช้างมา จึงนำเนื้อช้างที่ได้แบ่งให้สุทโธนาค พร้อมทั้งนำขนของช้างไปยืนยันว่าเป็นเนื้อช้างจริง อีกครั้งที่สุวรรณนาคออกไปล่าสัตว์หาอาหารอีก ครั้งนี้ได้เม่นมาเป็นอาหาร จึงได้นำเนื้อเม่น และขนของเม่นไปมอบให้แก่สุทโธนาคเหมือนเช่นเคย แต่สุทโธนาคกลับแสดงความไม่พอใจ เพราะเมื่อดูจากขนของเม่นที่มีขนาดใหญ่กว่าขนของช้าง ปริมาณเนื้อที่ได้ก็ควรมีมากกว่าเนื้อของช้าง แต่ปริมาณเนื้อนั้นกลับมีน้อยกว่ามากนัก จึงคิดว่าสุวรรณนาคไม่มีความซื่อสัตย์ ฝ่ายสุวรรณนาคพยายามอธิบายอย่างไรก็ไม่เป็นผล จึงเกิดสงครามระหว่างสุทโธนาค และสุวรรณนาค
    พระอินทร์ได้ทราบเรื่อง จึงหาวิธีการที่จะทำให้พญานาคทั้งสองนั้นหยุดทำสงครามกัน โดยให้พญานาคทั้งสองสร้างแม่น้ำขึ้นคนละสาย ถ้าใครสร้างได้ถึงทะเลก่อนจะให้ปลาบึกขึ้นอยู่ในแม่น้ำนั้น เมื่อได้ยินเช่นนั้น สุทโธนาคก็ได้สร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศตะวันออกของหนองกระแส และด้วยความที่สุทโธนาคมีนิสัยใจร้อน เมื่อพบเจอภูเขากั้นทางแม่น้ำก็จะทำการหลบหลีก โค้งไปโค้งมา จึงเกิดเป็น แม่น้ำโขง (โค้ง) ส่วนทางฝ่ายสุวรรณนาคนั้น ได้ทำการสร้างแม่น้ำขึ้นทางทิศใต้ของหนองกระแส สุวรรณนาคมีความละเอียด และใจเย็น แม่น้ำที่สร้างขึ้นจึงมีความตรงกว่าแม่น้ำทุกสาย ได้แก่ แม่น้ำน่าน
    สุทโธนาคเป็นผู้ที่สร้างแม่น้ำได้เสร็จก่อน จึงมีปลาบึกขึ้นอยู่ในแม่น้ำโขงเพียงแห่งเดียว และเมื่อเป็นเช่นนั้น สุทโธนาคก็ได้ขอทางขึ้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองมนุษย์ไว้อีก 3 แห่ง หนึ่งในนั้นก็คือ คำชะโนด ซึ่งมีต้นชะโนดขึ้นเป็นสัญลักษณ์ ให้สุทโธนาค พร้อมบริวารสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ (พญาศรีสุทโธ) และตั้งบ้านเมืองปกครองอยู่ที่คำชะโนดได้เมื่อข้างขึ้น 15 วัน อีก 15 วันข้างแรม ให้กลายเป็นนาค อาศัยอยู่เมืองบาดาล (พญานาคราชศรีสุทโธ)
    [แก้] เรื่องราวในสังคม

    เรื่องราวของวังนาคินทร์คำชะโนด หรือ ป่าคำชะโนด กลายเป็นข่าวคราวโด่งดังขึ้นมาในช่วงเดือนเมษายน พ.ศ. 2543 เมื่อปรากฏว่ามีกลุ่มบุคคลที่อ้างว่าสามารถบันทึกวีดีโอภาพของเปรตและรุกขเทวดาได้ที่ป่าแห่งนี้ ก่อนที่ความจะแตกว่าเป็นเรื่องหลอกลวง<SUP class=reference id=cite_ref-0>[1]</SUP>
    แต่จากนั้น เรื่องราวความลี้ลับในป่าคำชะโนดก็กลายเป็นที่รับรู้และสนใจของคนในสังคมทั่วไป จนหนึ่งในเรื่องเล่าเกี่ยวกับอาถรรพ์ของสถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นภาพยนตร์ในปี พ.ศ. 2550 เรื่อง ผีจ้างหนัง นำแสดงโดย อชิตะ ปราโมช ณ อยุธยา และภัครมัย โปรตระนันท์<SUP class=reference id=cite_ref-1>[2]</SUP>
    [แก้] อ้างอิง

    1. <LI id=cite_note-0>^ อาถรรพ์ป่าคำชะโนด : ป่าผืนสุดท้าย ต้นไม้ 2,000 ปี
    2. ^ ผีจ้างหนัง ... อาถรรพณ์ป่าคำชะโนด
    <TABLE style="BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-LEFT-WIDTH: 0px; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 100%; BORDER-RIGHT-WIDTH: 0px" cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 2px; FONT-SIZE: 10pt; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-TOP: 0px" noWrap align=left width=130 bgColor=#330033>[​IMG]</TD><TH style="FONT-SIZE: 10pt; COLOR: #fefefe" vAlign=center align={{{align}}} bgColor=#330033>สิ่งลี้ลับ</TH><TD style="PADDING-RIGHT: 57px" vAlign=top noWrap align=right width=80 bgColor=#330033 height=22><BIG> </BIG></TD></TR></TBODY></TABLE>[ซ่อน]
    <TABLE style="MARGIN-BOTTOM: 10px; VERTICAL-ALIGN: top" width="100%"><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0.3em; PADDING-LEFT: 0.3em; PADDING-BOTTOM: 0.3em; VERTICAL-ALIGN: top; WIDTH: 70px; PADDING-TOP: 0.3em">[​IMG]</TD><TD style="BORDER-RIGHT: #aaa 1px solid; PADDING-RIGHT: 0.3em; PADDING-LEFT: 0.3em; PADDING-BOTTOM: 0.3em; VERTICAL-ALIGN: top; WIDTH: 50%; PADDING-TOP: 0.3em">วัตถุ:
    <DL><DD>ข้อเขียนวอยนิคโมอาย </DD></DL></TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0.3em; PADDING-LEFT: 0.3em; PADDING-BOTTOM: 0.3em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.3em">[​IMG]</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0.3em; PADDING-LEFT: 0.3em; PADDING-BOTTOM: 0.3em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.3em">ปรากฏการณ์:
    <DL><DD>บลุปผีราชาหนูโพลเตอร์ไกส์ทแผลศักดิ์สิทธิ์ </DD></DL></TD></TR><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0.3em; PADDING-LEFT: 0.3em; PADDING-BOTTOM: 0.3em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.3em">[​IMG]</TD><TD style="BORDER-RIGHT: #aaa 1px solid; PADDING-RIGHT: 0.3em; PADDING-LEFT: 0.3em; PADDING-BOTTOM: 0.3em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.3em">สิ่งมีชีวิต :
    <DL><DD>เยติบิ๊กฟุตเนสซีชูปาคาบราคองกามาโตโมเคเล เอ็มเบ็มบีต้นไม้กินคนพญานาคสึจิโนะโกะกัปปะเงือกคราเคนกล็อบสเตอร์หนอนมรณะมองโกเลียแมงสี่หูห้าตาปีศาจเจอร์ซีย์ </DD></DL></TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0.3em; PADDING-LEFT: 0.3em; PADDING-BOTTOM: 0.3em; VERTICAL-ALIGN: top; WIDTH: 70px; PADDING-TOP: 0.3em">[​IMG]</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0.3em; PADDING-LEFT: 0.3em; PADDING-BOTTOM: 0.3em; VERTICAL-ALIGN: top; WIDTH: 50%; PADDING-TOP: 0.3em">สถานที่ :
    <DL><DD>เส้นนัซกาแอตแลนติสสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาวังนาคินทร์คำชะโนด </DD></DL></TD></TR><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0.3em; PADDING-LEFT: 0.3em; PADDING-BOTTOM: 0.3em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.3em">[​IMG]</TD><TD style="BORDER-RIGHT: #aaa 1px solid; PADDING-RIGHT: 0.3em; PADDING-LEFT: 0.3em; PADDING-BOTTOM: 0.3em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.3em">ไสยศาสตร์ :
    <DL><DD>กุญแจย่อยของโซโลมอนแวมไพร์มนุษย์หมาป่าสกินวอร์คเกอร์แม่มดไพ่ทาโรต์ </DD></DL></TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0.3em; PADDING-LEFT: 0.3em; PADDING-BOTTOM: 0.3em; VERTICAL-ALIGN: top; WIDTH: 70px; PADDING-TOP: 0.3em">[​IMG]</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0.3em; PADDING-LEFT: 0.3em; PADDING-BOTTOM: 0.3em; VERTICAL-ALIGN: top; WIDTH: 50%; PADDING-TOP: 0.3em">มนุษย์ต่างดาว :
    <DL><DD>วงข้าวโพดล้มจานบินปีศาจโดเวอร์ชายในชุดดำมอธแมนร็อดแอเรีย 51 </DD></DL></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <!-- NewPP limit reportPreprocessor node count: 161/1000000Post-expand include size: 8706/2048000 bytesTemplate argument size: 379/2048000 bytesExpensive parser function count: 1/500--><!-- Saved in parser cache with key thwiki:pcache:idhash:13372-0!1!0!!th!2 and timestamp 20100320080655 -->ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%8A%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B8%94".
    หมวดหมู่: นิทานพื้นบ้านไทย | จังหวัดอุดรธานี | เรื่องแปลก
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประวัติเจ้าพ่อพระยาศรีสุทโธ<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    <O:p>����ѵ����Ҿ�;��������ط��</O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p>บทนำ<O:p> </O:p>
    เรื่องเจ้าพ่อศรีสุทโธกับตำนานอีสานเรื่องผาแดง-นางไอ่ จะมีความสัมพันธ์เป็นเรื่องเดียวกันหรือไม่ คณะผู้รวบรวมกำลังศึกษาค้นคว้าจากหนังสือตำนานของอีสานหลายเล่มอยู่ พร้อมทั้งศึกษาจากการเล่าของคนเฒ่าคนแก่ที่เล่าสืบต่อกันมาแบบปากต่อปาก ซึ่งไม่มีการบันทึกเป็นหลักฐาน แต่ผู้รวบรวมมีความเห็นว่าถ้าหากเป็นเรื่องเดียวกัน เจ้าพ่อศรีสุทโธน่าจะเป็นมนุษย์ คงจะเป็นเจ้าเมืองหรือผู้ปกครองบ้านเมืองในสมัยโบราณและคงจะเป็นคนที่เก่งมาก เมื่อชาวข่ากุลาจากประเทศอินเดียมาเสาะแสวงหาเกลือสินเธาว์ในภาคอีสานของไทยในสมัยโบราณ เพราะเกลือเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นแก่ชีวิตมาก อาจจะมาพบชนเผ่าดังกล่าวเข้าแล้วนำลัทธิเทวนาคีเข้ามาเผยแพร่ จึงทำให้คนเก่ง กล้าหาญอย่างเจ้าพ่อศรีสุทโธ ตามลัทธิเทวนาคีกลายเป็นพระราชาพญานาคขึ้นมาก็ได้<O:p> </O:p>
    ผู้รวบรวมมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่าดินแดนอีสานทั้งหมดจากหลักฐานที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติบ้านเชียง มีอายุประมาณ 5,000-7,000 ปี จะต้องมีความเจริญรุ่งเรืองมาก มนุษย์ปกครองบ้านเมืองอยู่ในขณะนั้น อาจจะเป็นเจ้าพ่อศรีสุทโธก็อาจจะเป็นได้<O:p> </O:p>
    <O:p></O:p>
    สำหรับประวัติย่อของผาแดง-นางไอ่ มีผู้รวบรวมไว้ดังนี้<O:p></O:p>
    เมืองสุวรรณ โคมคำ หรือเมืองเอกชะทีตา ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองหนองแส เมืองเอกชะทีตานี้มีพระยาขอมเป็นผู้ปกครองมีนางจันทร์เป็นมเหสี ต่อมาได้ธิดาสาวสวยคนหนึ่งชื่อ ไอ่คำ พระยาขอมมีน้องชาย 2 คน ให้ไปครองเมืองเชียงเหียนและเมืองสีแก้ว มีหลาน 3 คน ให้ไปครองเมืองฟ้าแดด เมืองหงส์และเมืองทอง นางไอ่คำเมื่ออายุได้ 15 ปี มีความงดงามดังไปทั่วทุกทิศจนกระทั่งไปเข้าหูของท้าวผาแดงแห่งเมือผาโพง ท้าวผาแดงจึงขึ้นขี่ม้าแอบมาหานางไอ่ และได้สมัครรักใคร่กันแล้วสัญญากันว่าจะทำพิธีสู่ขอและแต่งงานกันตามประเพณีในไม่ช้านี้<O:p> </O:p>
    ยังมีเมืองอีกแห่งหนึ่งชื่อศรีสัตตนาคนหุต มีสุทโธนาคครองเมือง มีโอรสชื่อภังคี สุทโธนาคนี้อพยพมาจากหนองแส เพราะผิดใจกับสุวรรณนาคผู้เป็นสหายเนื่องจากการแบ่งเนื้อเม่น คือสุทโธนาคไม่พอใจเพราะได้น้อยคิดว่าสุวรรณนาคเล่นไม่ซื่อจึงเกิดการทะเลาะกันเป็นสงครามอันยิ่งใหญ่ เดือดร้อนถึงพระอินทร์ต้องส่งเทพบุตรลงมาห้ามศึกสงครามและเทพบุตรได้แบ่งเขตให้ทั้งสองอยู่คือ สุวรรณนาคปกครองฝั่งใต้ สุทโธนาคปกครองฝั่งเหนือและตะวันออก โดยแบ่งลงไปจดฝั่งทะเล นาคทั้งสองจึงขุดคลองจากหนองแสลงสู่ทะเลโดยสุวรรณนาคขุดแม่น้ำน่านหรือโพระมิง ตั้งเมืองนันทบุรี ส่วนสุทโธนาคขุดแม่น้ำโขง และตั้งเมืองศรีสัตตนาคนหุต<O:p> </O:p>
    ครั้นถึงกลางเดือนหกพระยาขอมจะทำบุญบั้งไฟจึงมีใบบอกบุญไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ที่เป็นบริวารให้ทำบั้งไฟไปร่วมจุดในงาน ท้าวผาแดงไม่ได้รับใบบอกบุญแต่ได้ทราบข่าวจึงจัดบั้งไฟหมื่นไปร่วมบุญด้วยกัน ได้พบนางไอ่คำเป็นครั้งที่ 2 และได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีในการจุดบั้งไฟพระยาขอมให้มีการพนันกันว่าถ้าบั้งไฟของใครชนะจะให้ทรัพย์สมบัติและสนมกำนัลสำหรับท้าวผาแดงนั้นจะยกนางไอ่คำให้ ในเวลาจุดปรากฏว่าบั้งไฟของเมืองอื่น ๆ ขึ้นหมด ส่วนของพระยาขอมไม่ขึ้น และของท้าวผาแดงแตกกลางบั้งแต่พระยาขอมก็เฉยเสียไม่ทำตามสัญญา เจ้าเมืองต่าง ๆ จึงพากันกลับหมดส่วนท้าวผาแดงก็กลับเมืองกับความทุกข์เพราะความรักและบั้งไฟไม่ขึ้น<O:p> </O:p>
    งานบุญบั้งไฟนั้นท้าวภังคี ลูกชายสุทโธนาค ไม่ได้นำบั้งไฟมาร่วมด้วยแต่ได้แปลงกายมาร่วมงานด้วย และได้หลงรักนางไอ่คำด้วยเช่นเดียวกัน แต่ไม่มีโอกาสเข้าใกล้นางได้ จึงพกเอาความรักกลับบ้านไป ครั้นถึงเมืองศรีสัตตนาคนหุตแล้วก็ไม่เป็นอันกินอันนอนจึงลาพ่อเพื่อจะมาหานางไอ่คำอีก พ่อได้ห้ามไว้แต่ก็ไม่สามารถจะห้ามปรามได้เมื่อมาถึงเมืองเอกชะทีตาแล้วท้าวภังคีแปลงกายเป็นกระรอกด่อน(กระรอกเผือก) ส่วนบริวารก็แปลง

    </O:p>

    แปลงเป็นสัตว์ กระรอกด่อนภังคีแขวนกระดิ่งทองไว้ที่คอด้วย ได้ปีนป่ายกระโดดไปตามต้นไม้ใกล้ประสาทของนางไอ่คำสายตาก็สอดส่ายหานางไอ่คำ นางไอ่คำเห็นกระรอกด่อนก็อยากได้จึงให้นายพรานมาจับกระรอกด่อนนายพรานได้ยิงกระรอกด่อนด้วยธนู กระรอกด่อนก่อนตายได้อธิษฐานว่า “ขอให้เนื้อของข้าจงเอร็ดอร่อยและมีพอกินแก่คนทั้งเมือง” เมื่อกระรอกด่อนตายแล้วชาวเมืองก็แบ่งเนื้อกันกิน ยกเว้นแม่หม้าย เพราะเขาถือว่าไม่ได้ช่วยราชกา ฝ่ายบริวารของภังคีก็เห็นเจ้านายของตนเสียทีเขาก็รีบกลับไปบอกท้าวสุทโธนาค ท้าวสุทโธนาคโกรธมากจึงเกณฑ์พบนับหมื่นเพื่อถล่มเมืองพระยาขอมใครกินเนื้อภังคีต้องเอาให้ตายให้หมด กองทัพพญานาคจึงมุ่งสู่เมืองพระยาขอมทันที<O:p> </O:p>
    วันนั้นเองท้าวผาแดงซึ่งรักนางไอ่คำจนทนอยู่ไม่ได้จึงรีบขึ้นม้าบักสามจากเมืองผาโพงสู่เอกชะที่ตา เมื่อมาถึงนางไอ่คำก็ต้อนรับด้วยความดีใจ พร้อมทั้งจัดอาหารมาเลี้ยง เมื่อท้าวผาแดงรู้ว่าเป็นเนื้อกระรอกก็ไม่กินแล้วบอกนางไอ่คำว่ากระรอกตัวนี้มิใช่กระรอกธรรมดามันเป็นท้าวภังคีแปลงตนมา ใครกินเนื้อกระรอกแล้วบ้านเมืองจะถล่มถึงตาย พอตกกลางคืนกองทัพพญานาคก็มาถึงเมือง แผ่นปฐพีจึงถล่มโครงครามไปทั่ว ท้าวผาแดงจึงให้นางไอ่คำเตรียมข้าวของบางสิ่งที่พอจะเอาไปด้วย เช่น แหวน ฆ้อง และกลองประจำเมืองแล้งรีบขึ้นซ้อนท้ายตนเองแล้วก็รีบควบม้าบักสามออกจากเมืองทันที พญานาครู้ว่านางไอ่คำหนีไปจึงติดตามไปติด ๆ แผ่นดินถล่มไปไม่หยุด นางไอ่คำต้องโยนฆ้องและกลองทิ้ง สุดท้ายก็โยนแหวนทิ้ง เพราะว่าพญานาคตามมาเอาสิ่งเหล่านี้ และเพราะลำบากในการถือ แต่พญานาคก็ยังตามมาอยู่อีกม้าบักสามก็ค่อย ๆ หมดแรงลง พญานาคตามมาทันแล้วเอาหางตัวเองตวัดเกี่ยวเอาตัวนางไอ่คำลงมาจากหลังม้า ส่วนท้าวผาแดงควบม้าหนีต่อไป พญานาคก็ตามไปอีกเพราะท้าวผาแดงมีแหวนของนางไอ่คำติดตัวไปด้วยท้าวผาแดงจึงทิ้งแหวนตนเสียจึงปลอดภัย พญานาคได้อุ้มนางไอ่คำลงสู่บาดาลต่อไป บ้านใครที่ได้กินเนื้อกระรอกก็ได้ถล่มทลายเป็นทะเลไปหมด เหลือแต่บ้านแม่หม้ายที่ไม่ได้กิน จึงกลายเป็นดอนแม่หม้ายมาจนทุกวันนี้<O:p> </O:p>
    ท้าวผาแดงกลับถึงเมืองผาโพงแล้ว เสียใจที่สูญเสียคนรักไปต่อหน้าต่อตา จึงอธิฐานต่อเทพยาดาว่าจะขอตายเพื่อไปต่อสู้กับพวกนาค กองทัพผีกับกองทัพนาคได้ต่อสู้กันอยู่น่านน้ำในบึงในหนองขุ่นข้น ดินบนบกกลายเป็นฝุ่นตลบไปหมด ร้อนถึงพระอินทร์ต้องลงมาระงับศึกพวกผีกลับเมืองผีให้นาคครอบครองบาดาลตามเดิม ส่วนนางไอ่คำให้อยู่ที่เมืองบาดาลไปก่อน ขอให้พระศรีอารย์ลงมาตัดสินว่า ใครจะเป็นสามีที่แท้จริง่ของนาง ดังนั้นนางไอ่คำจึงรออยู่ที่เมืองบาดาลจนกว่าจะถึงวันนั้น<O:p> </O:p>
    <O:p></O:p>

    ประวัติของเมืองคำชะโนดและเจ้าพ่อศรีสุทโธ<O:p> </O:p>

    เมืองชะโนดมีเรื่องเล่ากันมาว่า แต่ก่อนเจ้าพ่อศรีสุทโธเป็นพญานาค ครองเมืองหนองกระแสอีกครั้งหนึ่งเป็นพญานาคเช่นเดียวกันมีชื่อว่าสุวรรณนาค และมีบริวาร 5,000 เช่นเดียวกัน ทั้งสองอยู่ด้วยกันด้วยความรักความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมีอาหารการกินก็แบ่งกันกิน มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นเพื่อนตายกันมาตลอด แต่มีข้อตกลงกันอยู่ข้อหนึ่งว่า ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดออกไปหากินล่าเนิ้อหาอาหารอีกฝ่ายหนึ่งไม่ต้องออกไปล่าเนื้อหาอาหาร เพราะเกรงว่าบริวารไพล่พลจะกระทบกระทั่งกัน และอาจจะเกิดรบรากันขึ้น แต่ให้ฝ่ายที่ออกไปล่าเนื้อหาอาหารที่หามาได้แบ่งกันคนละครึ่ง การกระทำโดยวิธีนี้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขตลอดมา อยู่มาวันหนึ่งสุวรรณนาคได้พาบริวารไพล่พลออกไปล่าเนื้อหาอาหารได้เม่นมาสุวรรณนาคได้แบ่งให้สุทโธนาคครึ่งหนึ่ง พร้อมทั้งนำขนของเม่นไปไห้ดู ปรากฎว่าเม่นตัวเล็กนิดเดียว แต่ขนของเม่น่ใหญ่ เม่นตัวเล็กนิดเดียวการแบ่งให้สุทโธนาคจึงต้องแบ่งให้น้อย สุทโธนาคได้พิจารณาดูขนเม่นเห็นว่าขนาดช้างขนเล็กนิดเดียวยังใหญ่ขนาดนี้ แต่นี้ขนใหญ่ขนาดนี้ตังจะใหญ่โตใหญ่ขนาดไหน ถึงอย่างไรตัวเม่นจะต้องใหญ่กว่าช้างอย่างแน่นอน คิดได้อย่างนี้จึงให้เสนาอำมาตย์นำเนื้อเม่นที่ได้รับส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งไปคืนให้สุวรรณนาคพร้อมกับฝากบอกไปว่า “ไม่ขอรับ

    อาหารส่วนแบ่งที่ไม่เป็นธรรมจากเพื่อนที่ไม่ซื่อ” ฝ่ายสุวรรณนาคเมื่อได้ทราบดังนั้น จึงได้รีบเดินทางไปพบ สุทโธนาคเพื่อชี้แจงให้ทราบว่าเม่นถึงแม้ขนมันจะใหญ่โตตัวเล็กนิดเดียว ขอให้เพื่อนรับเนื้อเม่นไว้เป็นอาหารเสียเถิด สุวรรณนาคพูดเท่าไรสุทโธนาคก็ไม่เชื่อ จึงเกิดการปะทะคารมกันขึ้นแล้วเหตุการณ์ก็รุนแรงขึ้นทุกขณะ ต่างฝ่ายต่างไม่ฟังเสียงกันและกัน และผลสุดท้ายทั้งสองฝ่ายจึงประกาศสงครามกัน<O:p> </O:p>
    ความเดือดร้อนทั้งหลายได้ทราบไปถึงพระอินทราธิราช ซึ่งเป็นใหญ่ของเทวดาหรือประมุขของเทวดาน้อยใหญ่ทั้งหลาย และเทวดาน้อยใหญ่ทั้งหลายไปเข้าเฝ้าพระอินทร์เพื่อร้องทุกข์และเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้ฟังเมื่อพระอินทร์ได้ทราบเรื่องตลอดแล้วจะต้องหาวิธีการให้พญานาคทั้งสองหยุดรบกันเพื่อความสงบสุขของไตรภพ จึงได้เสด็จจากดาวดึงส์ลงมายังเมืองมนุษย์โลกที่เมืองหนองกระแส แล้วพระอินทร์ตรัสเป็นเทวโองการว่า “ให้ท่านทั้งสองหยุดรบกัน การทำสงครามครั้งนี้ถือว่าทุกฝ่ายเสมอกันและหนองกกระแสให้ถือว่าเป็นเขตปลอดสงครามให้พญานาคทั้งสองหยุดรบกัน เพื่อให้เกิดสันติสุขที่เมืองหนองกระแสโดยด่วนแล้วให้พากันสรางแม่น้ำคนละสายออกจากหนองกระแส ใครสร้างถึงทะเลก่อนจะให้ปลาบึกขึ้นอยู่ในแม่น้ำแห่งนั้น และให้ถือว่าการทำสงครามครั้งนี้มีความเสมอกัน เพื่อป้องกันกรทะเลาะวิวาทของพญานาคทั้งสองให้เอาภูเขาพญาไฟเป็นเขตกั้นคนละฝ่าย ใครข้ามไปราวีก่อนกันขอให้ไฟจากภูเขาพญาไฟไหม้ฝ่ายนั้น<O:p> </O:p>
    เมื่อพระอินทร์ตรัสเป็นเทวราชโองการดังกล่าวแล้ว สุทโธนาคจึงพาบริวารไพรพลอพยพจากหนองกระแสสร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศตะวันออกของหนองกระแส เมื่อถึงตรงไหนเป็นภูเขาก็คดโค้งไปตามภูเขาหรืออาจจะลอกภูเขาบ้างตามความยากง่ายในการสร้าง เพราะสุทโธนาคเป็นคนใจร้อน แม่น้ำนี้เรียกชื่อว่า “แม่น้ำโขง” คำว่า “โขง” จึงมาจากคำว่า “โค้ง” ซึ่งหมายถึงไม่ตรง<O:p> </O:p>
    ส่วนสุวรรณนาค เมื่อได้รับเทวราชโองการดังกล่าว จึงพาบริวารไพร่พลอพยพจากหนองกระแส สร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศใต้ของหนองกระแสสุวรรณนาคเป็นคนตรงพิถีพิถันและเป็นผู้มีใจเย็น การสร้างแม่น้ำจึงต้องทำให้ตรงและคิดว่าตรง ๆ จะทำให้ถึงจุดหมายปลายทางก่อนจะได้เป็นผู้ชนะแม่น้ำนี้เรียกชื่อว่า “แม่น้ำน่าน” แม่น้ำน่านจึงเป็นแม่น้ำที่มีความตรงกว่าแม่น้ำทุกสายในประเทศไทย<O:p> </O:p>
    การสร้างแม่น้ำแข่งกันในครั้นนั้น ปรากฎว่าการสร้างแม่น้ำโขงเสร็จก่อน โดยสุทโธนาคเป็นผู้สร้างตามสัญญาของพระอินทร์ สุทโธนาคเป็นผู้ชนะตามสัญญาแล้ว จึงได้แผลงอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์เหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ณ ดาวดึงส์ทูลถามพระอินทร์ว่า “ตัวข้าเป็นชาติเชื้อพญานาคถ้าจะอยู่บนโลกมนุษย์นานเกินไปก็ไม่ได้ จึงขอทางขึ้นลงระหว่างบาดาลแลโลกมนุษย์ เอมไว้ 3 แห่ง และทูลถามว่าจะให้ครอบครองอยู่ตรงไหนแน่นอน พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่จึงอนุญาตให้มีรูพญานาคเอาไว้ 3 แห่ง คือ<O:p> </O:p>
    1. ที่ธาติหลวงนครเวียงจันทน์<O:p> </O:p>
    2. ที่หนองคันแท<O:p> </O:p>
    3. ที่พรหมประกายโลก (ที่คำชะโนด)<O:p> </O:p>
    ส่วนที่ 1-2 เป็นทางลงสู่เมืองบาดาลของพญานาคเท่านั้นส่วนที่สถานที่ 3 ที่พรหมประกายโลกคือที่พรหมเทวดาลงมากินดินจนหมดฤทธิ์กลายเป็นมนุษย์ให้สุทโธนาคไปตั้งบ้านเมืองครอบครองเฝ้าอยู่ให้มีต้นชะโนดขึ้นเป็นสัญลักษณ์ ลักษณะต้นชะโนด ให้เอาต้นมะพร้าว ต้นหมาก และต้นตาลมาผสมกันอย่างละเท่า ๆ กัน ในเวลา 1 เดือน ตามจันทรคติ

    *******************************************

    ที่มา www.bandung.udonthani.police.go.th
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2010
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>สิทธิตามกฎหมายของ "หญิงตั้งครรภ์"
    Life & Family - Manager Online
    /ทนายข้างบ้าน
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>20 มีนาคม 2553 19:04 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=240 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=240>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ด้วยปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีหญิงที่ตั้งครรภ์จำนวนหนึ่งยังไม่ทราบถึงสิทธิที่ตนควรได้รับตามกฎหมาย จึงขอใช้โอกาสนี้รวบรวมข้อกฎหมายที่น่าสนใจเกี่ยวกับสิทธิของหญิงที่ตั้งครรภ์มาให้ทุกท่านได้ศึกษาเพิ่มเติม โดยขอเริ่มต้นจากกฎหมายสูงสุดของประเทศ กล่าวคือ สิทธิตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ

    รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้ให้การรับรอง คุ้มครอง และบังคับให้ตามสิทธิของหญิงเท่าเทียมกับชาย การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อหญิงเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำไม่ได้ ดังนั้น หญิงมีครรภ์ย่อมมีสิทธิตามกฎหมายทุกประการ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎหรือข้อบังคับ ซึ่งขัดหรือแย้งหลักการดังกล่าวย่อมไม่อาจนำมาใช้บังคับได้นั่นเอง

    นอกจากนี้ หญิงมีครรภ์ยังมีสิทธิได้รับการสงเคราะห์และสวัสดิการที่ถูกต้องเหมาะสม เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและพึ่งพาตนเองได้ โดยในระหว่างตั้งครรภ์ก็มีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานอย่างทั่วถึง และมีประสิทธิภาพ จากแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความรู้ความสามารถ และได้มาตรฐานวิชาชีพด้วย

    สิทธิประการถัดมาเป็น "สิทธิในการทำแท้งโดยชอบตามกฎหมายอาญา" ในสมัยที่ประเทศไทยยังใช้กฎหมายตราสามดวง การทำแท้งไม่อาจมีได้ กระทั่งต่อมา การทำแท้งได้รับการยอมรับในบางประเทศ และในบางประเด็น เช่น ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งได้วางหลักเกณฑ์ไว้ว่าการทำแท้งอาจมีขึ้นได้ตามคำร้องขอของหญิงมีครรภ์ซึ่งเห็นว่าตนอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอันเนื่องมาจากการตั้งครรภ์ (une situation de détresse) โดยการทำแท้งดังกล่าวจะต้องกระทำโดยแพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐหรือโรงพยาบาลเอกชนที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงสาธารณสุข และการทำแท้งต้องมีขึ้นภายในระยะเวลา12สัปดาห์แรกของอายุครรภ์ โดยก่อนทำแท้งหญิงนั้นต้องผ่านการรับคำปรึกษาจากแพทย์และนักสังคมสงเคราะห์ ในกรณีหญิงมีครรภ์เป็นผู้เยาว์จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อน

    ส่วนในประเทศไทย กรณีที่การทำแท้งนั้นต้องกระทำโดยนายแพทย์ และมีเหตุจำเป็นต้องกระทำเนื่องจากสุขภาพของหญิงนั้น หรือกรณีเป็นหญิงที่ตั้งครรภ์เนื่องจากถูกข่มขืนกระทำชำเรา

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ข้อต่อมานั้นดูจะเป็นข้อที่ว่าที่คุณแม่ได้รับประโยชน์กันสูงสุด นั่นก็คือ "สิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน" กล่าวคือนายจ้างจะเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงเพราะเหตุมีครรภ์ไม่ได้และจะให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์ทำงานอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ไม่ได้

    - งานเกี่ยวกับเครื่องจักรหรือเครื่องยนต์ที่มีความสั่นสะเทือน
    - งานขับเคลื่อนหรือติดไปกับยานพาหนะ
    - งานยก แบก หาม หาบ ทูน ลาก หรือเข็นของหนักเกินสิบห้ากิโลกรัม
    - งานที่ทำในเรือ
    - งานอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง


    นอกจากนี้ นายจ้างจะให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์ทำงานในระหว่างเวลา 22.00 น. - 06.00 น. ทำงานล่วงเวลา หรือทำงานในวันหยุดก็ไม่ได้เช่นกัน

    ในกรณีที่ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์ทำงานในตำแหน่งผู้บริหาร งานวิชาการ งานธุรการ หรืองานเกี่ยวกับการเงินหรือบัญชี นายจ้างอาจให้ลูกจ้างนั้นทำงานล่วงเวลาในวันทำงานได้เท่าที่ไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพของลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์โดยได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อนเป็นคราว ๆ ไป

    นอกจากนี้ ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์มีสิทธิลาเพื่อคลอดบุตรครรภ์หนึ่งได้ไม่เกินเก้าสิบวันโดยมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันทำงานตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ไม่เกินสี่สิบห้าวัน และในกรณีที่ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์มีใบรับรองของแพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่งมาแสดงว่าไม่อาจทำงานในหน้าที่เดิมต่อไปได้ ลูกจ้างนั้นมีสิทธิขอให้นายจ้างเปลี่ยนงานในหน้าที่เดิมเป็นการชั่วคราวก่อนหรือหลังคลอดได้ โดยนายจ้างต้องพิจารณาเปลี่ยนงานที่เหมาะสมให้แก่ลูกจ้างนั้น

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=240 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=240>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> สิทธิประการสุดท้ายเป็น "สิทธิตามกฎหมายประกันสังคม ในกรณีที่หญิงมีครรภ์เป็นผู้ประกันตนย่อมมีสิทธิได้รับ ประโยชน์ทดแทนจากกองทุนในกรณีคลอดบุตรและประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตรสำหรับตนเองหรือภริยา หรือสำหรับหญิงซึ่งอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยากับผู้ประกันตนโดยเปิดเผยตามระเบียบที่เลขาธิการกำหนดถ้าผู้ประกันตนไม่มีภริยา ภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ซึ่งประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตรผู้ประกันตนแต่ละคนมีสิทธิได้รับสำหรับการคลอดบุตรไม่เกินสองครั้ง

    ทั้งนี้ประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตร ได้แก่
    - ค่าตรวจและรับฝากครรภ์
    - ค่าบำบัดทางการแพทย์
    - ค่ายาและค่าเวชภัณฑ์
    - ค่าทำคลอด
    - ค่ากินอยู่และรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล
    - ค่าบริบาลและค่ารักษาพยาบาลทารกแรกเกิด
    - ค่ารถพยาบาลหรือค่าพาหนะรับส่งผู้ป่วย
    - ค่าบริการอื่นที่จำเป็น

    ส่วนการรับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย บุตรนั้นต้องมีอายุไม่เกิน 6 ปีบริบูรณ์เว้นแต่ผู้ประกันตนเป็นผู้ทุพพลภาพหรือถึงแก่ความตาย ในขณะที่บุตรมีอายุไม่เกิน 6 ปีบริบูรณ์ จะมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนต่อจนอายุ 6 ปีบริบูรณ์ โดยมีสิทธิได้รับจำนวนคราวละไม่เกิน 2 คน (บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวไม่รวมถึงบุตรบุญธรรมหรือบุตรซึ่งได้ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่น)

    ทั้งนี้ผู้ประกันตนต้องยื่นหลักฐานเพื่อใช้ประกอบการขอรับประโยชน์ทดแทนตามแบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนสปส. 2-01 พร้อมแนบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของคู่สมรส, สำเนาทะเบียนสมรส / ทะเบียนหย่าของผู้ประกันตน (กรณีจดทะเบียนหย่า), สำเนาสูติบัตรและสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารประเภทออมทรัพย์หน้าแรก ซึ่งมีชื่อและเลขที่บัญชี (กรณีขอรับเงินทางธนาคาร)

    นอกจากนี้ ผู้ประกันตนซึ่งต้องหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรยังมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรไม่เกินสองครั้ง เป็นการเหมาจ่ายในอัตราครั้งละร้อยละห้าสิบของค่าจ้างเป็นเวลาเก้าสิบวัน

    ทั้งนี้ผู้ประกันตนต้องยื่นหลักฐานเพื่อใช้ประกอบการขอรับประโยชน์ทดแทนตามแบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนยื่นสปส. 2-01 โดยสามารถยื่นด้วยตนเองหรือให้ผู้อื่นมายื่นแทนที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัด / สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่พร้อมหลักฐานหรืออาจยื่นขอรับทางไปรษณีย์ โดยมีหลักฐานครบถ้วน ซึ่งผู้ประกันตนสามารถขอรับประโยชน์ทดแทนได้เป็นเงินสด / เช็ค (ผู้มีสิทธิมาขอรับด้วยตนเองหรือมอบอำนาจให้บุคคลอื่นมารับแทน) หรือขอรับทางธนาณัติหรือโอนเข้าบัญชีธนาคาร ตามบัญชีของผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนนั่นเองครับ

    ทนายข้างบ้าน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระพุทธปฏิมากร วัดตรีทศเทพ กทม.

    คอลัมน์ เดินสายไหว้พระพุทธ

    ˹ѧ

    พระพุทธปฏิมากร วัดตรีทศเทพ กทม.

    คอลัมน์ เดินสายไหว้พระพุทธ

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1DMHdNeTB5TVE9PQ==

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>"วัดตรีทศเทพ" สร้างเมื่อประมาณ พ.ศ.2403 ในสมัยรัชกาลที่ 4 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร (พระองค์เจ้าสุประดิษฐ์) พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้นตระกูล "สุประดิษฐ์ ณ อยุธยา" ทรงสร้างวัดใหม่ขึ้นใกล้วังเหนือติดคลองบางลำพูด้านเหนือ แต่เมื่อก่อสร้างได้เล็กน้อย ยังไม่สำเร็จพระองค์ก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน

    ต่อมา ในปี พ.ศ.2405 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมเห

    ศวรศิววิลาส (พระองค์เจ้านพวงศ์ ต้นราชตระกูล นพวงศ์ ณ อยุธยา) ทรงสร้างต่อแต่ยังไม่แล้วเสร็จ ทั้งสองพระองค์เป็นเจ้าพี่เจ้าน้อง ในพระมารดาเดียวกัน คือ ในเจ้าจอมมารดาน้อย ซึ่งเป็นเจ้าจอมองค์แรกในรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นเจ้าจอมก่อนทรงผนวชและก่อนเสวยราชสมบัติ มีจุด ประสงค์เกี่ยวกัน คือ สร้างวัดนี้เพื่ออุทิศแก่เจ้าจอมมารดาน้อย

    เมื่อสร้างไม่แล้วเสร็จ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดฯให้พระยาราชสงคราม เป็นแม่กอง ก่อสร้างจนแล้วเสร็จ ได้พระราชทานนามวัดว่า วัดตรีทศเทพ มีความหมายว่า "วัดที่เทพทั้ง 3 องค์สร้างแล้วจึงสำเร็จ คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร และกรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส"

    ในการนี้ได้ทรงสร้างพระพุทธปฏิมากรประธานถวายในพระอุโบสถแล้วโปรดฯให้สร้างพระพุทธปฏิมากรยืนปางอุ้มบาตร 2 องค์ เพื่ออุทิศฉลองพระองค์ กรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร และกรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส ประดิษฐานไว้สองข้างพระพุทธปฏิมากร

    วัดตรีทศเทพ ได้ประกอบพิธีผูกพัทธสีมาเมื่อวันที่ 7 เดือนมกราคม 2492

    วัดนี้ได้มีการปฏิสังขรณ์โดยลำดับมา และสิ่งก่อสร้างที่ก่อขึ้นใหม่มีกุฏิ 6 หลัง ศาลาบำเพ็ญกุศล 10 หลัง และได้จัดผังวัดใหม่แยกเป็นเขตพุทธวาส สังฆาวาส ฌาปนสถาน ปรับปรุงบริเวณวัดเทเป็นคอนกรีตและตัดถนนคอนกรีต

    ศาลาบำเพ็ญกุศลมี 3 หลัง คือ ศาลาโสภานิเวศน์ ศาลาสุประดิษฐ์นพวงศ์ สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ.2522 และศาลาการเปรียญ สร้างเมื่อ พ.ศ.2525 ศาลาทั้ง 3 หลัง คอลัมน์เป็นอาคารคอนกรีต

    ทรงไทย

    ด้วยสภาพภายในวัดตรีทศเทพ แม้จะไม่ได้มีพื้นที่กว้างขวางเท่าใดนัก แต่บริเวณรอบวัดโดยรวม มีความสะอาดสะอ้าน แลดูเจริญหูเจริญตา มีการจัดแต่งต้นไม้ขนาดกลางและเล็กอย่างเป็นระเบียบ สร้างความร่มรื่นยิ่งนัก

    สำหรับพระพุทธปฏิมากรประธานในพระอุโบสถวัดตรีทศเทพ เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ วัสดุหล่อด้วยโลหะผสม ขนาดหน้าตักกว้าง 2 ศอก 12 นิ้ว สูงจากฐานถึงพระรัศมี 2 ศอก 20 นิ้ว

    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างเพื่อประดิษฐานเป็นพระพุทธรูปประธานในพระอุโบสถวัดตรีทศเทพ เขตพระนคร กรุงเทพฯ

    วัดตรีทศเทพ ถือเป็นอีกหนึ่งจุดสนใจของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้เป็นอย่างดี แม้จะไม่ได้เป็นวัดใหญ่โต แต่ก็ถือว่ามีความน่าสนใจอยู่บ้าง

    ปัจจุบัน วัดตรีทศเทพ จะเปิดให้ผู้คนเข้ามาได้ตลอดทุกวัน ผู้เข้าเที่ยวชมสามารถจอดรถภายในวัดได้ อย่าง ไรก็ดี ขอแนะนำว่าอย่านำรถยนต์ส่วนตัวเข้ามาจะดีกว่า เนื่องจากภายในวัดมีพื้นที่ไม่กว้างขวางเท่าใดนักและมีที่จอดรถอย่างจำกัดด้วย

    ท่ามกลางสังคมเมืองกรุงอันวุ่นวาย วัดเทพธิดาราม ยังคงเป็นสถาปัตยกรรมอันงดงามสำหรับนักท่องเที่ยว อันสะท้อนภาพวิถีชีวิตชาวเมืองสยามโดยแท้

    นอกจากความงดงามภายในบริเวณวัด ยังมีพระอุโบสถ วิหาร ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าทั้งสิ้น
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับล็อกเก็ต ผมยังไม่ได้รับมาจากพี่จิ๋ว เนื่องจากต้องรอพี่จิ๋วปิดทองหลังล็อกเก็ตให้เรียบร้อยก่อนครับ

    ส่วนหลวงพ่อแผน (สนส.บ่อเงินบ่อทอง) ท่านได้ฝากพระพิมพ์ต่างๆ ที่สนส.บ่อเงินบ่อทอง เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษก

    แอบกระซิบกันครับว่า พลังอิทธิคุณดีมากๆนะครับ หากท่านใดที่ไปทำบุญที่ สนส.บ่อเงินบ่อทอง ให้รับพระพิมพ์ที่เข้าพิธีพุทธาภิเษก(เสาร์ห้าที่ 20 มีนาคม 2553) ด้วยนะครับ

    เดี๋ยวมาคุยกันต่อครับ
    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กรมศิลปากรประกาศ19จว.อีสาน ใครครอบครองโบราณวัตถุไม่แจ้งถูกยึด ป้องกันโจรกรรม
    Matichon Online: ˹ѧ��;������Ԫ��͹�Ź� : ˹ѧ��;�����س�Ҿ ����ͤس�Ҿ�ͧ������
    <STYLE> P { margin: 0px; } </STYLE>

    นายเกรียงไกร สัมปัชชลิต อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า จากที่มีเหตุโจรกรรมและมีการเคลื่อนย้ายโบราณวัตถุในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นจำนวนมาก กรมศิลปากรจึงได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อเร็วๆ นี้ กำหนดเขตท้องที่สำรวจโบราณวัตถุและศิลปวัตถุที่มีอายุตั้งแต่สมัยอยุธยาขึ้นไปในพื้นที่ 19 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น มหาสารคาม เลย หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ สกลนคร นครพนม อุบลราชธานี มุกดาหาร ยโสธร ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์

    ให้ผู้ที่ครอบครองโบราณวัตถุและศิลปวัตถุตั้งแต่สมัยอยุธยา ต้องแจ้งลงทะเบียนต่อสำนักศิลปากรที่ 9 ขอนแก่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง สำนักศิลปากรที่ 10 ร้อยเอ็ด พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ร้อยเอ็ด สำนักศิลปากรที่ 11 อุบลราชธานี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี สำนักศิลปากรที่ 12 นครราชสีมา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสุรินทร์ว่า มีโบราณวัตถุใดที่อยู่ในความครอบครองบ้าง ภายใน 120 วัน เพื่อที่กรมศิลปากรได้ทราบว่า มีโบราณวัตถุและศิลปวัตถุอยู่ที่ใดบ้าง รวมทั้งเพื่อเป็นการป้องกันการเคลื่อนย้ายโบราณวัตถุและศิลปวัตถุออกไปต่างประเทศด้วย

    "อยากให้ผู้ที่ครอบครองโบราณวัตถุและศิลปวัตถุออกมาแจ้งลงทะเบียนว่า มีสิ่งใดอยู่ในครอบครองบ้าง โดยเมื่อแจ้งลงทะเบียนแล้วโบราณวัตถุและศิลปวัตถุนั้นก็ยังเป็นของผู้ครอบครอง ไม่ได้เป็นของกรมศิลปากรแต่อย่างใด แต่ถ้าไม่แจ้ง แล้วกรมศิลปากรไปตรวจพบจะถูกยึดเป็นของแผ่นดิน หากพิสูจน์แล้วว่าเป็นโบราณวัตถุและศิลปวัตถุตั้งแต่สมัยอยุธยาขึ้นไป" อธิบดีกรมศิลปากรกล่าว

     

แชร์หน้านี้

Loading...