พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD style="FONT-SIZE: 16px; COLOR: #9d7724; FONT-FAMILY: Tahoma" align=middle>คุณสมบัติและประโยชน์</TD></TR><TR><TD class=textmain height=20>[​IMG]</TD><TR><TD style="COLOR: #333333; FONT-FAMILY: Tahoma">คุณสมบัติของทองคำ
    ทองคำ เรียกโดยย่อว่า “ทอง” เป็นธาตุลำดับที่ 79 มีสัญลักษณ์ Au ทองคำเป็นโลหะแข็งสีเหลือง เกิดเป็นธาตุอิสระในธรรมชาติ ไม่ว่องไวต่อปฏิกิริยาและทนทานต่อการขึ้นสนิมได้ดีเลิศ ทองคำมีจุดหลอมเหลวที่ 1064 องศาเซลเซียส จุดเดือดที่ 2701 องศาเซลเซส มีความถ่วงจำเพาะ 19.244 และมีน้ำหนักอะตอม 196.67 ลักษณะที่พบเป็นเกล็ด เม็ดกลม แบน หรือรูปร่างคล้ายกิ่งไม้ รูปผลึกแบบลูกเต๋า(Cube) หรือ ออคตะฮีดรอน (Octahedron) หรือ โดเดกะฮีดรอน (Dodecahedron)

    คุณสมบัติสำคัญของทองคำอีกประการหนึ่งคือ ทองคำเป็นโลหะที่อ่อนและเหนียว ทองคำหนัก 1 ออนซ์ สามารถทำให้เป็นเส้นได้ยาวถึง 50 ไมล์ และสามารถตีแผ่ทองคำให้เป็นแผ่นบางขนาด 0.00005 นิ้วได้ (หรืออาจบุเป็นแผ่นจนมีความหนาน้อยกว่า 0.0001 มิลลิเมตรได้) นอกจากนี้ ทองคำยังเป็นโลหะที่ไม่ละลายในกรดชนิดใดเลย แต่สามารถละลายได้อย่างช้าๆ ในสารละลายผสมระหว่างกรดดินประสิวและกรดเกลือ
    จุดเด่นสำคัญของทองคำอยู่ที่สี กล่าวคือ ทองคำมีสีเหลืองสว่างสดใส และมีความสุกปลั่ง (Brightness) มีประกายมันวาวสะดุดตา นอกจากนี้ยังไม่เป็นสนิมแม้จมดินจมโคลน มีความแข็งเหนียว เนื้อแน่น ไม่สกปรก ไม่หมอง ไม่เป็นคราบไคลง่ายเหมือนวัตถุชนิดอื่นๆ

    คุณสมบัติเหล่านี้ประกอบกับลักษณะภายนอกที่เป็นประกายจึงทำให้เป็นที่หมายปองของมนุษย์มาเป็นเวลานาน โดยนำมาตีมูลค่าสำหรับการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศและใช้เป็นวัตถุดิบที่สำคัญสำหรับวงการเครื่องประดับ
    ทองคำได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในวงการเครื่องประดับ เพราะเป็นโลหะมีค่าชนิดเดียวที่มีคุณสมบัติพื้นฐาน 4 ประการซึ่งทำให้ทองคำโดดเด่นและเป็นที่ต้องกาสเหนือบรรดาโลหะมีค่าทุกชนิดในโลก คือ

    1.ความงดงามมันวาว (Lustre) สีสันที่สวยงามตามธรรมชาติผสานกับความมันวาวก่อให้เกิดความงามอันเป็นอมตะ ทองคำสามารถเปลี่ยนเฉดสีทองโดยการนำทองคำไปผสมกับโลหะมีค่าอื่น ๆ ช่วนเพิ่มความงดงามให้แก่ทองคำได้อีกทางหนึ่ง
    2.ความคงทน (Durable) ทองคำไม่ขึ้นสนิม ไม่หมอง และไม่ผุกร่อน แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรก็ตาม
    3.ความหายาก (Rarity) ทองคำเป็นแร่ที่หายาก กว่าจะได้ทองคำมาหนึ่งออนซ์ ต้องถลุงก้อนแร่ที่มีทองคำอยู่เป็นจำนวนหลายตัน และต้องขุดเหมืองลึกลงไปหลายสิบเมตรจึงทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูง เป็นสาเหตุให้ทองคำมีราคาแพงตามต้นทุนในการผลิต
    4.การนำกลับไปใช้ประโยชน์ (Reuseable) ทองคำเหมาะสมที่สุดต่อการนำมาทำเป็นเครื่องประดับ เพราะมีความเหนียวและอ่อนนิ่ม สามารถนำมาทำขึ้นรูปได้ง่าย อีกทั้งยังสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้โดยการทำให้บริสุทธิ์ (Purified) ด้วยการหลอมได้อีกนับครั้งไม่ถ้วน

    คุณประโยชน์ของทองคำ
    1. วงการอุตสาหกรรมเครื่องประดับอัญมณี ทองคำได้ครอบครองความเป็นหนึ่งในฐานะโลหะที่ใช้ทำเป็นเครื่องประดับ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด จากอดีตถึงปัจจุบันเครื่องประดับอัญมณีทองคำได้มีส่วนทำเป็นฐานเรือนรองรับอัญมณีมาโดยตลอด จากรูปแบบขั้นพื้นฐานของงานทองที่ง่ายที่สุด ไปสู้เทคนิคการทำทองด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง
    2. ความมั่นคงทางเศรษฐกิจการคลัง ทองคำมีประโยชน์ในฐานะเป็นโลหะสื่อกลางแห่งการแลกเปลี่ยนเงินตรา ทองคำถูกสำรองไว้เป็นทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ เพราะทองคำมีมูลค่าในตัวเอง ผิดกับเงินตราสกุลต่างๆ อาจเพิ่มหรือลดได้ ทองคำถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเก็งกำไรของตลาดการค้า นอกจากนี้ยังได้มีการจัดทำเป็นเหรียญกษาปณ์ทองคำ หรือแสตมป์ทองคำ หรือธนบัตรทองคำ ซึ่งถูกผลิตโดยรัฐบาล หรือหน่วยงานเอกชน ในวาระโอกาสพิเศษต่าง ๆ เพื่อก่อให้เกิดกระแสค่านิยมการเก็บสะสมเป็นที่ระลึกอีกด้วย
    3. ทองคำในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ทองคำถูกนำมาให้ในวงการอิเล็คทรอนิกส์และการสื่อสารโทรคมนาคม อาทิเช่น สวิตซ์โทรศัพท์ที่ใช้เป็นแผงตัด เพื่อให้กระแสไฟฟ้าเดินได้สะดวก การใช้ลวดทองคำขนาดจิ๋วเชื่อมต่อวัสดุกึ่งตัวนำและทรายซิสเตอร์ การใช้ลวดทังสเตนและโมลิบดีนัมเคลือบทองคำใช้ในอุตสาหกรรมหลอดสูญญากาศ การเคลือบผิวเสาอากาศด้วยทองคำเพื่อการสื่อสารระยะไกล การใช้ตาข่ายทองคำเพื่อป้องกันการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในระบบการสื่อสารการบินพาณิชย์ การใช้อลูมิเนี่ยมเคลือบทองในเครื่องถ่ายเอกสารเพื่อทำหน้าที่สะท้อนรังสีอินฟราเรดได้อย่างดีเลิศ การใช้โลหะทองคำเจือเงิน และนิกเกิลประกบผิวทองเหลืองสำหรับใช้ในปลั๊ก ปุ่มสวิตซ์ไช้งานหนัก หรือสปริงเลื่อนในลูกปิดเลือกเปลี่ยนช่องทีวี แผงวงจรต่างๆ ก็มีทองคำเป็นตัวนำไฟฟ้าเพื่อให้ทำงานได้ตลอดอายุงานเนื่องจากทองคำอยู่ตัว และไม่เกิดฟิล์มออกไซด์ที่ผิว
    4. ประโยชน์ในการคมนาคมและการสื่อสารโทรคมนาคม ทองคำมีคุณสมบัติการสะท้อนรังสีอินฟราเรดได้ดี ทองคำจึงถูกนำมาใช้กับดาวเทียม ชุดอวกาศ และยานอวกาศ เพื่อป้องกันการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ที่มากเกินไป กระจกด้านหน้าของเครื่องบินคองคอร์ด จะมีแผ่นฟิล์มทองคำติดไว้ป้องกันรังสีจากดวงอาทิตย์ และป้องกันการจับตัวเป็นน้ำแข็งหรือการทำให้เกิดฝ้าหมอกมัวกระจกด้านนอกของเครื่องเป็นที่มีสีน้ำตาลหรือบรอนซ์จาง ๆ และมองจากด้านในจะเป็นสีน้ำเงินจาง ๆ ก็มีชั้นฟิล์มทองคำติดไว้เพื่อป้องกันความกล้าของแสงแดดและความร้อนจากดวงอาทิตย์ ใบจักรกังหันในเครื่องบินไอพ่น ถ้าไม่มีส่วนผสมของทองคำที่จะประสานกับโรเตอร์ ย่อมจะแตกแยกได้ง่าย ชิ้นส่วนประกอบสำคัญของเครื่องคอมพิวเตอร์ก็มีทองคำเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย อาคารสำนักงานใหญ่ ๆ ของธนาคารกลางในแคนนาดา ในนครโตรอนโต้ ก็ติดแผ่นฟิล์มทองคำด้วยทอง 24 K มีน้ำหนักรวมถึง 77.7 กิโลกรัม เพื่อลดความร้อน และปรับอุณหภูมิในอาคารให้พอเหมาะและเพิ่มความสวยของอาคารอีกด้วย
    5. ประโยชน์ในวงการแพทย์และทันตกรรม ความเชื่อเกี่ยวกับการรักษาโรคด้วยทองคำมีมาแต่ครั้งเก่าก่อน คนโบราณเชื่อว่าเมื่อนำทองคำผสมกับยา จะเป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยให้มีชีวิตยืนยาว หมอแผนโบราณยังคงสั่ง “ยามเม็ดทอง” ให้กินโรคหลายอย่างรวมทั้งโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศและการเป็นหมัน ในโลกยุคปัจจุบันการแพทย์สมัยใหม่ก็มีการทดลองให้ทองคำเพื่อการบำบัดรักษาโรคภัย ทองคำถูกนำมาใช้ในการต่อสู้กับโรคมะเร็งในรายหนัก ๆ แพทย์จะฉีดสารละลายของทองคำกัมมันตรังสี แต่ปริมาณทองที่ใช้ในการแพทย์รวมแล้วยังเล็กน้อยและไม่มีความสำคัญอะไร ซ้ำราคายังแพงอีกต่างหาก การใช้ทองคำในการแผ่รังสี การสอดทองใส่ในกล้ามเนื้อเพื่อให้มีกำลังต่อสู้กับความเจ็บป่วย การใช้ทองคำเป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการแยกวิเคราะห์ปอดและตับ ในด้านทันตกรรม ทองคำถูกนำมาใช้โดยวิธีการบ่มแข็งทองคำ ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย และมีจุดหลอมตัวปานกลาง ทองคำจึงเหมาะสมในการถูกนำมาใช้ในการอุดฟัน ครอบฟัน ทำฟันปลอม การจัดฟันและการดัดฟัน

    การกำหนดคุณภาพของทองคำ
    การกำหนดคุณภาพของทองคำของไทย ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันมีวิธีการกำหนดคุณสมบัติ ดังนี้
    1.ในอดีต
    ปรากฎหลักฐานตามประกาศของพระบาทสมเด็จพระพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ระบุถึงการกำหนดคุณภาพทองคำ โดยตั้งพิกัดราคา(ทองคำ) ตามประมาณของเนื้อทองคำบริสุทธิ์ในทองรูปพรรณ เนื้อทองคำดังกล่าวอาจผสมด้วยแร่เงิน หรือทองแดงมากน้อยตามคุณภาพของทองคำ ส่วนการเรียกทองคุณภาพต่าง ๆ นั้น ใช้วิธีการเรียกราคาของทองคำต่อน้ำหนักทองหนึ่งบาทเป็นมาตรฐานในการเรียกชื่อทองคำ โดยเริ่มตั้งแต่ทองเนื้อสีขึ้นไปจนถึงทองเนื้อเก้า ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

    ทองเนื้อสี่ หมายถึง ทองคำหนักหนึ่งบาท ราคา 4 บาท
    ทองเนื้อห้า หมายถึง ทองคำหนักหนึ่งบาท ราคา 5 บาท
    ทองเนื้อหก หมายถึง ทองคำหนักหนึ่งบาท ราคา 6 บาท (ทองดอกบวบ)
    ทองเนื้อเจ็ด หมายถึง ทองคำหนักหนึ่งบาท ราคา 7 บาท
    ทองเนื้อแปด หมายถึง ทองคำหนักหนึ่งบาท ราคา 8 บาท
    ทองเนื้อเก้า หมายถึง ทองคำหนักหนึ่งบาท ราคา 9 บาท

    ทองเนื้อเก้าเป็นทองคำบริสุทธิ์ เรียกว่า “ทองธรรมชาติ” หรือบางที่เรียกว่า “ทองชมพูนุช” เป็นทองที่มีสีเหลืองเข้มออกแดง นอกจากนี้ยังมีชื่อเรียกแตกต่างกันอีกหลายชื่อ เช่น “ทองเนื้อแท้” “ทองคำเลียง” ซึ่งหมายถึงทองบริสุทธิ์ปราศจากธาตุอื่นเจือปน ซึ่งตรงกับคำในภาษาล้านนาว่า “คำขา” นอกจากนี้ยังมีชื่อเรียกทองคุณภาพต่าง ๆ อีกหลายชื่อ เช่น “ทองปะทาสี” ซึ่งเป็นทองคำเปลวเนื้อบริสุทธิ์ชนิดหนา “ทองดอกบวบ” เป็นทองที่มีเนื้อทองสีเหลืองอ่อนคล้ายดอกบวบ


    2.ในปัจจุบัน
    การกำหนดคุณภาพของทองคำยังคงใช้ความบริสุทธิ์ของทองคำในการบ่งบอกคุณภาพของทองคำ โดยการคิดเนื้อทองเป็น “กะรัต” ทองคำบริสุทธิ์ หมายถึง ทองคำที่มีเนื้อทอง 99.99 เปอร์เซ็นต์หรือมากกว่านั้น หรือเรียกกันว่าทองร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือเรียกกันในระบบสากลว่า ทอง 24 กะรัต ทองซึ่งมีเกณฑ์การบ่งบอกคุณภาพของเนื้อทองโดยบ่งบอกความบริสุทธิ์เป็นกะรัตมีชื่อเรียกว่า “ทองเค” ทองคำบริสุทธิ์ไม่มีโลหะหรือสารอื่นเจือปนอยู่เป็นทอง 24 กะรัต หากมีความบริสุทธิ์ของทองคำลดต่ำลงมา ก็แสดงว่ามีโลหะอื่นเจือปนมากขึ้นตามส่วน เช่น ทอง 14 กะรัต หมายถึง ทองที่มีเนื้อทองบริสุทธิ์ 14 ส่วน และมีโลหะอื่นเจือปน 10 ส่วน เป็นต้น ทองประเภทนี้บางทีเรียกว่า “ทองนอก” ซึ่งส่วนมากนิยมนำมาทำเป็นเครื่องประดับเพชรพลอยต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมอัญมณี

    กะรัต สัญลักษณ์ เปอร์เซ็นต์ เฉดสีที่ได้ นิยมในประเทศ
    24 24K 100% ทอง สวิสต์เซอร์แลนด์
    22 22K 91.7% เหลืองทอง อินเดีย
    21 21K 84.5% เหลืองทอง กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง
    18 18K 75% เหลืองขาว อิตาลี,ฝรั่งเศส,ญี่ปุ่น
    14 14K 58.3% เหลืองขาว สหรัฐอเมริกา,อเมริกาเหนือ,อังกฤษ
    10 10K 41.6% เหลือง สหรัฐอเมริกา ,อเมริกาเหนือ
    9 9K 37.5% เหลืองปนเขียว อังกฤษ
    8 8K 33.3% เหลืองซีด เยอรมนี

    สำหรับประเทศไทยนั้นใช้มาตรฐานความบริสุทธิ์ของทองคำที่ 96.5 เปอร์เซ็นต์ หากจะเทียบเป็นกะรัตแล้ว จะได้ประมาณ 23.16 K ซึ่งจะได้สีทองที่เหลืองเข้มกำลังดี และมีความแข็งของเนื้อทองพอเหมาะสำหรับการนำมาทำเครื่องประดับ เนื่องจากทองคำบริสุทธิ์ 99.99 เปอร์เซ็นต์ มีความอ่อนตัวมาก จึงไม่สามารถนำมาใช้งานได้ จำเป็นต้องผสมโลหะอื่น ๆ ลงไปเพื่อปรับสมบัติทางกายภาพของทองคำให้แข็งขึ้น คงทนต่อการสึกหรอ โลหะที่นิยมนำมาผสมกับทองคำได้แก่ เงิน ทองแดง นิกเกล และสังกะสี ซึ่งอัตราส่วนจะสัมพันธ์ตามความต้องการของผู้ใช้งาน กล่าวคือ ผู้ผลิตทองรูปพรรณแต่ละรายจะมีสูตรของตนเอง ในการผสมโลหะอื่นเข้ากับทอง บางรายอาจผสมทองแดงเป็นสัดส่วนที่มากหน่อยเพราะต้องการให้สีของทองออกมามีสีอมแดง หรือบางรายอาจชอบให้ทองของตนสีออกเหลืองขาวก็ผสมเงินในอัตราส่วนที่พอเหมาะ ซึ่งทั้งหมดนั้นจะได้ความบริสุทธิ์ของทอง 96.5 เปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกัน


    หน่วยวัดน้ำหนักทอง
    กรัม [Grammes]
    จะใช้กันเป็นส่วนใหญ่ จะถือได้ว่าเป็นสากล หรือนานาชาติก็ได้

    ทรอยออนซ์ [Troy Ounces]
    และเป็นหน่วยน้ำหนักที่ใช้ในการกำหนดราคาซื้อขายกันในตลาดโลก
    ส่วนใหญ่จะใช้กันในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย

    ตำลึง,เทล [Taels]
    ส่วนใหญ่ใช้กันในประเทศที่ใช้ภาษาจีน เช่นฮ่องกง ไต้หวัน จีน

    โทลา [Tolas]
    จะใช้กันในอินเดีย ปากีสถาน สิงคโปร์ และประเทศในตะวันออกกลาง

    ชิ [Chi]
    ใช้ในประเทศเวียตนาม




    ดอน [Don]
    ใช้ในประเทศเกาหลีใต้



    [mesghal]
    ใช้ในประเทศอิหร่าน

    บาท [Baht]
    ใช้ในประเทศไทย

    การแปลงหน่วยวัดทองคำแท่ง
    1 กิโลกรัม เท่ากับ 32.1508 ทรอยเอานซ์
    1 ทรอยเอานซ์ เท่ากับ 31.104 กรัม
    1 ตำลึง เท่ากับ 37.429 กรัม
    1 โทลา เท่ากับ 11.6638 กรัม
    1 ชิ เท่ากับ 3.75 กรัม
    1 ดอน เท่ากับ 3.75 กรัม
    1 mesghal เท่ากับ 4.6083 กรัม
    1 บาท (ทองคำแท่ง) เท่ากับ 15.244 กรัม
    1 บาท (ทองรูปพรรณ) เท่ากับ 15.16 กรัม
    1 บาท เท่ากับ 4 สลึง
    1 สลึง เท่ากับ 10 หุ๋น
    1 หุ๋น เท่ากับ 0.38 กรัม


    การกำหนดน้ำหนักของทองในประเทศไทย มีหน่วยเป็น “บาท” โดยทองคำแท่ง 1 บาท หนัก 15.244 กรัม ส่วนทองรูปพรรณ 1บาท หนัก 15.16 กรัม

    </TD></TR></TBODY></TABLE>




    [​IMG]
    .


    Gold Traders Association : ʁҤ?钷ͧ?Ӧlt;/a>
    .
     
  2. chantasakuldecha

    chantasakuldecha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,331
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ภาษีที่ดินจ่อเข้า ครม.เดือนหน้า “กรณ์” ยันตอบข้อสงสัยได้
    Stock Markets - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>21 กุมภาพันธ์ 2553 22:12 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> ถกนายกฯ แล้ว ขุนคลังพร้อมนำภาษีที่ดินเข้า ครม.อีก 2 สัปดาห์ ยันตอบปัญหาสังคมได้ทุกคำถาม ย้ำหลักการจัดเก็บไม่อุ้มนายทุนแน่นอน


    นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาได้นำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ… เข้าหารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อสรุปรายละเอียดทั้งหมดและสามารถหาข้อสรุปได้ทุกประเด็นที่จะตอบคำถามต่อสังคมในข้อที่สงสัยได้ ส่วนมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ไม่เกิน 1 ล้านบาท จะได้รับการยกเว้นในการเสียภาษี นั้นยังเป็นเพียงตัวอย่างที่ยกมาหารือ ส่วนตัวเลขที่ชัดเจนจะต้องหารือกับสำนักงานกฤษฎีกาอีกครั้งหนึ่ง โดยได้ขอเวลาที่จะนำมาปรับปรุงในรายละเอียดอีก 2 สัปดาห์จึงจะเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)

    นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการพิเศษ “นายกฯ อภิสิทธิ์พบคนคุยข่าววิทยุ” ทางคลื่นวิทยุ 92.5 เอฟเอ็ม สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ เมื่อวันที่ 20 ก.พ. เพื่อบันทึกเทปเพื่อนำไปออกอากาศในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” ในวันที่ 21 ก.พ. นายกฯ กล่าวถึงนโยบายภาษีที่ดินและทรัพย์สินว่า เพื่อความยุติธรรมในสังคมเพื่อลดช่องว่างคนรวยกับคนจนได้มาก เพื่อกระตุ้นให้ใช้ทรัพยากรให้มากขึ้น รัฐบาลทำไม่ได้มุ่งหวังรายได้ ดังนั้นใครมีทีดินเยอะ ถ้าไม่อยากเสียภาษีสูงก็ต้องใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า พร้อมยืนยันว่าจะเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีได้ไม่เกิน 2 สัปดาห์ข้างหน้า

    นายลวรณ แสงสนิท โฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ในร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ยังมีประเด็นที่เป็นปัญหาในรายละเอียดคือ การคิดอัตราภาษีที่ดินที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ที่มีเพดานการจัดเก็บที่ 0.5% จะทำให้บางส่วนที่เคยถูกจัดเก็บในอัตราสูงจาก พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและ พ.ร.บ.บำรุงท้องที่เพราะมีเพดานสูงสุดที่ 12.5% ต้องเสียภาษีลดลง และบางส่วนที่ไม่เคยเสีย แต่เมื่อนำ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาใช้จะต้องเสีย จึงถูกโจมตีว่า รัฐบาลออกภาษีดังกล่าวมาเพื่อเอื้อคนรวย โดยไม่ได้ช่วยเหลือคนจน

    นอกจากนี้ยังมีประเด็นเกี่ยวกับ มูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะได้รับการยกเว้น เพราะหากนำมูลค่าไม่เกิน 1 ล้านบาท มาใช้เป็นการทั่วไป ซึ่งในบางพื้นที่ที่ห่างไกล จะทำให้องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หรือ องค์กรปกครองท้องถิ่น (อปท.) นั้น ไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้เลย เพราะจะเข้าข่ายได้รับการยกเว้นหมด ทำให้ อปท.หรือ อบต.ก็ยังไม่มีรายได้ที่มากพอและยังเป็นภาระต่องบประมาณกลาง ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้ท้องถิ่นมีการจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น

    “ในประเด็นต่างๆ เหล่านี้ คณะทำงานได้ทำงานมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถนำกฎหมายออกมาใช้ได้ โดยในส่วนมูลค่าที่ได้รับการยกเว้น ก็อาจจะจัดเป็นกลุ่มเมืองตามอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ เช่น เมืองใหญ่ กลุ่ม กรุงเทพฯ พัทยา เชียงใหม่ ก็อาจจะเป็นไม่เกิน 1 ล้านบาท เพราะมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสูงอยู่แล้ว แต่ถ้าหากเป็นพื้นที่ห่างไกลก็อาจจะลดต่ำลง” นายลวรณกล่าว</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ยังไม่รู้ว่า การปฎิบัติจะเท่าเทียมกันหรือไม่ ระหว่างผู้มีอำนาจ และ ประชาชน ????????

    ต้องรอดูเรื่องของภาษีมรดก อีกเรื่อง(ที่มีคนเคยรับปากจะทำ) ว่าจะไปถึงไหนแล้ว
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>การลงทุนทั่วโลก ปํญหาและความเชื่อมั่น
    Mutual Fund - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>21 กุมภาพันธ์ 2553 21:47 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>“ไทยมีจุดแข็งในเรื่องเศรษฐกิจมหภาคที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพ การศึกษาขั้นพื้นฐานและสาธารณสุข ตลาดแรงงานที่มีความยืดหยุ่น ขนาดของตลาดสินค้า/บริการในประเทศ และโดยรวม ประเทศไทยค่อนข้างที่จะมีความง่ายในการจัดตั้งและทำธุรกิจ โดยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอาเซียนอื่นๆ ไทยจะเป็นรองเพียงประเทศสิงคโปร์”

    ปัญหาการเมือง และปัจจัยลบอื่นๆ ภายในประเทศ ทำให้จากตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้ลงทุนอันดับหนึ่งของไทย ให้ความสนใจลงทุนในไทยลดลง โดยโครงการที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนของญี่ปุ่น ลดลงติดต่อเป็นปีที่ 2 โดยมีมูลค่า 77,380 ล้านบาทในปี 2552 ลดลงร้อยละ 24.9 จาก 104,994 ล้านบาทในปี 2551 (ลดลงร้อยละ 30.9 จากปี 2550 ) และยังนับเป็นมูลค่าต่ำสุดในรอบ 6 ปี ซึ่งสัญญาณดังกล่าวเป็นทิศทางที่ไม่ดีนักต่อแนวโน้มการแข่งขันดึงดูดการลงทุนจากญี่ปุ่นในระยะข้างหน้า โดยหากดูจากรายงานของธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) พบว่า หนึ่งในเรื่องที่นักลงทุนญี่ปุ่นเป็นกังวลในลำดับต้นๆ ก็คือ ความรู้สึกไม่มั่นคงในความปลอดภัยและสภาพสังคมที่ขาดเสถียรภาพซึ่งเป็นผลมาจากภาวะความวุ่นวายทางการเมืองในระยะหลัง

    การลงทุนของญี่ปุ่นที่ลดลงนี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลของภาวะวิกฤติเศรษฐกิจถดถอยของโลกซึ่งทำให้ธุรกิจประสบปัญหาทางการเงิน ประกอบกับยังมีกำลังการผลิตส่วนเกินอยู่ในระดับสูง จึงทำให้มีการตัดลดแผนการลงทุนลง อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค พบว่าในขณะที่การลงทุนของญี่ปุ่นในประเทศไทยได้ลดลงไปค่อนข้างมาก แต่ในหลายประเทศในเอเชีย มูลค่าการลงทุนกลับเพิ่มขึ้นหรือไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก

    ภาพรวมการขอรับส่งเสริมการลงทุนสูงเป็นประวัติการณ์.. สะท้อนความสนใจลงทุนยังมีอยู่
    ทั้งนี้ ในอีกด้านหนึ่ง จะเห็นได้ว่าความสนใจของนักลงทุนที่มีต่อประเทศไทยยังมีอยู่มากโดยมูลค่าของโครงการที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในปี 2552 กลับเพิ่มขึ้นมีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ถึง 723,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 69.5 โดยโครงการลงทุนจากต่างประเทศมีมูลค่า 350,755 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.9 จากมูลค่า 297,461 ล้านบาทในปีก่อน

    สาเหตุสำคัญของการพุ่งขึ้นของยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนอาจกล่าวได้ว่าเกิดจากการที่นักลงทุนเร่งยื่นคำขอก่อนที่มาตรการพิเศษเพื่อเร่งรัดการลงทุนตามนโยบายปีแห่งการลงทุน 2551-2552 ของบีโอไอ จะสิ้นสุดลงในเดือนธันวาคม นอกจากนี้ยังเป็นผลมาจากการปรับตัวของบริษัทข้ามชาติในช่วงเศรษฐกิจโลกตกต่ำ ทั้งการปรับตัวในด้านของการตลาด และการผลิตโดยการโยกย้ายฐานการผลิตเพื่อลดต้นทุน ซึ่งการเพิ่มขึ้นเงินลงทุนจากต่างประเทศอาจยังสะท้อนภาพสถานะของไทยที่ยังคงเป็นแหล่งการลงทุนที่มีความน่าสนใจในแง่ของการเป็นฐานการส่งออกไปยังประเทศที่ 3 ในภูมิภาค
    อันดับการแข่งขันของไทยยังไม่เลวร้าย.. แต่ศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนลด

    จากการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันโดยสถาบันชั้นนำของโลกสะท้อนว่า อันดับการแข่งขันของไทยโดยเปรียบเทียบยังไม่ถึงกับแย่ลงมากนัก โดยแม้ว่าการจัดอันดับของ World Economic Forum ปี 2009-2010 ไทยมีอันดับความสามารถการแข่งขันลดลง 2 อันดับ แต่ในการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันโดย Institute for Management Development หรือ IMD จะเห็นว่าไทยมีอันดับความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น ส่วนการสำรวจของธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) ถึงประเทศที่บริษัทญี่ปุ่นมองว่าน่าลงทุน ไทยก็มีอันดับดีขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งแม้การจัดอันดับของแต่ละสถาบันมีความแตกต่างกัน แต่ประเด็นที่สอดคล้องกันจากรายงานของสถาบันต่างๆ คือ ความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองเป็นจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของไทยโดยภาพรวมแล้ว ไทยมีจุดแข็งในเรื่องเศรษฐกิจมหภาคที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพ การศึกษาขั้นพื้นฐานและสาธารณสุข ตลาดแรงงานที่มีความยืดหยุ่น ขนาดของตลาดสินค้า/บริการในประเทศ และโดยรวม ประเทศไทยค่อนข้างที่จะมีความง่ายในการจัดตั้งและทำธุรกิจ โดยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอาเซียนอื่นๆ ไทยจะเป็นรองเพียงประเทศสิงคโปร์

    ประเด็นท้าทายในการดึงดูดการลงทุนในอนาคต


    ในระยะต่อไป ไทยยังต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายเพื่อรักษาศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนให้คงอยู่ โดยประเด็นหลักที่ต้องคำนึงถึงอาจจำแนกออกได้เป็น 2 ประเด็นใหญ่ คือ

    ปัญหาเฉพาะหน้า ที่ต้องเร่งแก้ไข

    ปัญหาการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วน หลังจากที่ได้มีการจัดตั้งองค์กรอิสระชั่วคราวเพื่อแก้ปัญหา ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังควรต้องมีการชี้แจงทำความเข้าใจและอัพเดทความคืบหน้าของกระบวนการต่างๆ กับสมาคมหอการค้าต่างประเทศและกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติ

    การรับมือกับการเปิดเสรีการค้าและการลงทุนในภูมิภาคและการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่จะมาถึงในปี 2558 ความคล้ายคลึงกันทางสภาพภูมิศาสตร์และลักษณะของอุตสาหกรรมในประเทศ ทำให้ประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการแข่งขันกันเพื่อดึงดูดการลงทุนจากประเทศนอกกลุ่ม ที่เห็นได้ชัด เช่น ไทย-มาเลเซียในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ระหว่างไทย-มาเลเซีย-อินโดนีเซียในภาคพลังงานและอุตสาหกรรมการเกษตร

    แต่ในอีกด้าน การเปิดเสรีการค้าและการลงทุนในภูมิภาคก็อาจเป็นโอกาสให้ธุรกิจที่อยู่ในไทยสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และสามารถใช้ประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรหรือการมีหน่วยผลิตในต่างประเทศได้ ดังนั้น บีโอไอ ภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงควรชูจุดเด่นนี้และดึงดูดให้บริษัทต่างชาติเลือกไทยเป็นประเทศที่จะเข้ามาตั้งฐานการผลิตหลัก หรือสำนักงานหลักของภูมิภาค

    การปรับปรุงศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนในระยะยาว

    การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม ขนส่ง โลจิสติกส์ และระบบสาธารณูปโภค หรือที่เรียกรวมๆ ว่า Hard Infrastructure เพื่อลดต้นทุนการผลิตและต้นทุนทางด้านโลจิสติกส์ให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้กับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ ประเทศไทยควรที่จะใช้ประโยชน์จากสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับพื้นที่ทางเศรษฐกิจของประเทศใกล้เคียง เช่น จีน เวียดนาม ลาว ฯลฯ เพื่อเพิ่มจุดแข็งในการเป็นศูนย์กลางในการผลิตและกระจายสินค้าของภูมิภาค โดยการขยายระบบรางและสร้างท่าเรือน้ำลึกแห่งใหม่ขึ้น เป็นต้น

    การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา (R&D) และการพัฒนาคน หรือ Soft Infrastructure เช่น การเพิ่มอัตราเข้าถึงของผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต การสนับสนุนการใช้ระบบไอทีในภาคธุรกิจผ่านการให้แรงจูงใจต่างๆ ขณะที่ด้านการพัฒนากำลังคน ภาครัฐต้องเร่งปรับปรุงเรื่องคุณภาพของการศึกษา ส่งเสริมการพัฒนาบุคคลากรในสายวิชาชีพช่าง วิศวกร และนักวิทยาศาสตร์ และสนับสนุนความเชื่อมโยงระหว่างภาครัฐและสถาบันการศึกษากับภาคธุรกิจทั้งในแง่ของการวิจัยและพัฒนา และการร่วมมือในการพัฒนาบุคลากร
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD id=MSOZoneCell_WebPartWPQ2 vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0 TOPLEVEL><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE class=linkboxContainer cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE class=app_table_content borderColor=#d7d7d7 cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" bgColor=#efefef border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=RightZoneTitleHeaderBG>[​IMG]</TD><TD class=RightZoneTitleHeaderBG style="PADDING-RIGHT: 5px; TEXT-ALIGN: right">18 กุมภาพันธ์ 2553 </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 width="95%" border=0><TBODY><TR align=middle><TD> </TD><TD>Bill</TD><TD>Telex</TD><TD>Selling</TD></TR><TR><TD class=RightZoneDotrow align=left colSpan=4></TD><TR><TD class=RightZone noWrap>USD</TD><TD class=RightZoneRight>32.9427</TD><TD class=RightZoneRight>33.0395</TD><TD class=RightZoneRight>33.3241</TD></TR><TR><TD class=RightZoneDotrow align=left colSpan=4></TD><TR><TD class=RightZone noWrap>EUR</TD><TD class=RightZoneRight>44.6097</TD><TD class=RightZoneRight>44.7444</TD><TD class=RightZoneRight>45.3727</TD></TR><TR><TD class=RightZoneDotrow align=left colSpan=4></TD><TR><TD class=RightZone noWrap>JPY(100)</TD><TD class=RightZoneRight>36.0361</TD><TD class=RightZoneRight>36.1376</TD><TD class=RightZoneRight>36.8013</TD></TR><TR><TD class=App align=right colSpan=4>มีต่อ >></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR><TR><TD id=MSOZoneCell_WebPartWPQ6 vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0 TOPLEVEL><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE class=linkboxContainer cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE class=RightZoneTitleHeaderBG height="100%" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG] </TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center"><TABLE height="100%" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%"><TBODY><TR><TD class=pageContent style="TEXT-ALIGN: left">อัตราดอกเบี้ยธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตร
    ระยะ 1 วัน 1.25%</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR><TR><TD id=MSOZoneCell_WebPartWPQ1 vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0 TOPLEVEL><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE class=linkboxContainer cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE class=app_table_content borderColor=#d7d7d7 cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" bgColor=#efefef border=0><TBODY><TR><TD class=RightZoneTitleHeaderBG>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD class=RightZoneInflation style="FONT-WEIGHT: bold; FONT-SIZE: 13px; COLOR: #458be0" colSpan=2>อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน 0.5-3.0%</TD></TR><TR><TD class=RightZoneInflation colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=RightZoneDotrow colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=RightZoneInflation style="FONT-WEIGHT: bold; FONT-SIZE: 12px; COLOR: #7d6c2b" colSpan=2>อัตราเงินเฟ้อล่าสุด : มกราคม 2553</TD></TR><TR><TD class=RightZoneInflation noWrap width="35%">- อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน </TD><TD style="TEXT-INDENT: 5px; TEXT-ALIGN: left" width="65%">0.6%</TD></TR><TR><TD class=RightZoneInflation noWrap>- อัตราเงินเฟ้อทั่วไป </TD><TD style="TEXT-INDENT: 5px; TEXT-ALIGN: left">4.1%</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>


    ธนาคารแห่งประเทศไทย

    ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย
    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ระวังถูกหลอก
    ระวังถูกหลอก

    ปัจจุบันสถาบันการเงินมีการให้บริการทางการเงินหลายรูปแบบ ให้ผู้ใช้บริการได้เลือกใช้ตามความต้องการ อย่างไรก็ดี มีผู้ทุจริต อาศัยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ใช้บริการทางการเงิน โดยใช้กลโกงต่าง ๆ ในการหลอกลวงเพื่อให้ได้เงินหรือทำผลิตภัณฑ์ทางการเงินปลอม โดยที่ผู้ใช้บริการที่เป็นเจ้าของไม่รู้ตัว ดังนั้น ผู้ใช้บริการทางการเงิน ควรเพิ่มความระมัดระวัง ดังนี้

    ลโกงการปลอมแปลง E-mail และ Website สถาบันการเงินปลอม
    กลโกงสินเชื่อส่วนบุคคล
    การล่อลวงข้อมูลลูกค้าจากกลุ่มมิจฉาชีพ
    การแอบอ้างชื่อธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อล่อลวงให้หลงเชื่อและทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ
    ระวังกับดักเงินกู้นอกระบบ
    เชิญชมวิดิทัศน์ ระวังการกู้เงินนอกระบบ
    โทรศัพท์หลอกลวงแอบอ้างชื่อ ธปท.
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กลโกงบัตรเครดิต

    ปัจจุบันพบกลโกงบัตรเครดิตในประเทศไทยหลายวิธี ได้แก่
    1. การใช้อุปกรณ์อ่านข้อมูลจากแถบแม่เหล็ก (เครื่อง Skimmer) คัดลอกข้อมูลส่วนตัวที่บันทึกในแถบแม่เหล็กบนบัตรเครดิต แล้วนำข้อมูลที่ได้ไปทำบัตรปลอม
    และนำบัตรปลอมนั้นไปซื้อสินค้าหรือบริการ ทั้งนี้ ปัจจุบันสถาบันการเงินอยู่ระหว่างการเปลี่ยนรูปแบบของบัตรเครดิตจากการเก็บข้อมูลในแถบแม่เหล็ก
    มาเป็นการใช้ชิปแทน ซึ่งจะช่วยลดปัญหานี้ได้
    2. การขโมยบัตรเครดิตหรือนำบัตรเครดิตที่สูญหายไปใช้โดยเจ้าของบัตรไม่รู้ตัวดังนั้น หากพบว่าบัตรเครดิตสูญหายหรือถูกขโมย ให้รีบติดต่อสถาบันการเงิน
    ผู้ออกบัตรเครดิตทันทีเพื่อขออายัดบัตร เพราะหากผู้อื่นนำไปใช้ ผู้ถือบัตรจะต้องรับผิดชอบต่อหนี้สินที่เกิดขึ้น
    3. การปลอมแปลงเอกสารสำคัญเพื่อสมัครบัตรเครดิต ไม่ว่าจะเป็นลายเซ็น สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน สลิปเงินเดือน เพื่อหลอกลวงให้สถาบันการเงิน
    ผู้ออกบัตรเครดิตหลงเชื่อ และนำบัตรเครดิตนั้นไปใช้จ่ายในนามของท่าน ทำให้ผู้ที่ถูกแอบอ้างเดือดร้อนเพราะถูกเรียกเก็บหนี้ที่ตนไม่ได้ก่อ
    ข้อแนะนำในการป้องกันกลโกงบัตรเครดิต

    1. ควรเก็บรักษาบัตรเครดิต บัตรประจำตัวประชาชน ใบขับขี่ และเอกสารสำคัญอื่น ๆ ไว้ในที่ที่ปลอดภัย และไม่มอบเอกสารดังกล่าวให้กับผู้ไม่น่าไว้ใจ
    2. ควรจดหมายเลขที่บัญชีบัตรเครดิตและหมายเลขโทรศัพท์ของแผนกบริการไว้ในที่ปลอดภัย (ไม่ควรเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์)
    3. เพื่อป้องกันกลโกงแบบ Skimming หากท่านจ่ายค่าสินค้าหรือบริการด้วยบัตรเครดิต ท่านควรอยู่ ณ จุดที่พนักงานทำรายการอยู่ หรืออยู่บริเวณใกล้ ๆ
    ในระยะที่สังเกตได้
    4. หลีกเลี่ยงการใช้บัตรเครดิตในร้านค้าที่มีความเสี่ยงหรือมีข่าวเรื่องการทุจริต
    5. ท่านควรตรวจสอบความถูกต้องของรายการใช้จ่ายในสลิปบัตรเครดิต เช่น จำนวนเงิน วันที่ทำรายการ เลขที่บัญชี ทุกครั้งที่มีการใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิต
    และควรเก็บสำเนาสลิปบัตรเครดิตเอาไว้เพื่อใช้ตรวจกับใบแจ้งยอดบัญชีว่าถูกต้องและตรงกัน หากพบรายการผิดพลาด ต้องรีบแจ้งผู้ออกบัตรเครดิตทันที
    6. ระมัดระวังการใช้บัตรเครดิตเบิกเงินผ่านตู้เอทีเอ็มที่มีลักษณะน่าสงสัยว่าอาจมีการลักลอบติดตั้งอุปกรณ์ Skimmer รวมทั้ง ในขณะที่กดรหัสเอทีเอ็ม
    ต้องระวังไม่ให้ผู้อื่นเห็นด้วย
    7. ควรเลือกซื้อสินค้าหรือบริการทางอินเตอร์เน็ตจากเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้

    กลโกงบัตรเครดิต
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ลโกงการปลอมแปลง E-mail และ Website สถาบันการเงินปลอม

    Phishing คือ การหลอกลวงทางอินเตอร์เน็ตในรูปแบบของการปลอมแปลง e-mail หรือสร้าง Website ปลอม เพื่อหลอกให้ลูกค้าเปิดเผยข้อมูลทางด้านการเงิน
    หรือข้อมูลส่วนตัวต่างๆ เช่น ข้อมูลหมายเลขบัตรเครดิต Username และ Password เป็นต้น ซึ่งสร้างความเสียหายทางการเงินต่อลูกค้าและสถาบันการเงิน
    รวมทั้งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าในการใช้บริการการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
    วิธีการที่พบในปัจจุบัน คือ การหลอกให้ลูกค้าหลงเชื่อว่ามี e-mail มาจากสถาบันการเงินและใช้หัวข้อและข้อความที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น ขอให้ลูกค้าแจ้งยืนยัน
    ข้อมูลทางการเงินเพื่อให้เป็นไปตามมาตรการการรักษาความปลอดภัยของบัญชีลูกค้า หรือ การแจ้งลูกค้าว่าถึงรอบระยะเวลาที่จะต้องตรวจสอบข้อมูลของลูกค้า หรือ
    การแจ้งว่าบัญชีของลูกค้าได้ถูกอายัดไว้ชั่วคราว จึงขอให้ลูกค้ายืนยันข้อมูล เพื่อให้การทำธุรกรรมทางการเงินของลูกค้าสามารถดำเนินการได้ต่อไป เป็นต้น
    พร้อมใส่สัญลักษณ์หรือเครื่องหมายของสถาบันการเงินและ Hyperlink ที่ e-mail โดยมีชื่อโดเมนและ Subdirectory เหมือนกับ URL ของสถาบันการเงินนั้น ๆ
    ซึ่งแท้จริงแล้วเป็น Website ปลอม ที่เรียกว่า Spoofed Website หรือแนบแบบฟอร์มการสอบถามข้อมูล เพื่อให้ลูกค้ากรอกข้อมูลส่วนบุคคล เช่น หมายเลขบัตรเครดิต
    เลขที่บัญชีเงินฝาก ชื่อบัญชีผู้ใช้บริการ (Username) และรหัสผ่าน (Password) เป็นต้น หลังจากที่ลูกค้าได้กรอกข้อมูลลงใน Website ปลอม หรือ
    แบบฟอร์มการสอบถามนั้น ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกนำไปใช้ประโยชน์ในทางมิชอบ เช่น การโอนเงินหรือการชำระเงินให้บุคคลที่สามผ่านการให้บริการ Internet Banking
    หรือ Telephone Banking หรือ Mobile Banking หรือ การซื้อสินค้าและบริการทางอินเทอร์เน็ตโดยใช้บัตรเครดิต เป็นต้น
    ข้อแนะนำในการป้องกันการปลอมแปลง E-mail และ Website สถาบันการเงินปลอม

    1. อย่าตอบรับ e-mail ที่ขอให้ท่านส่งข้อมูลส่วนตัวให้ รวมทั้ง ไม่ส่งข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลสำคัญทางการเงิน เช่น หมายเลขบัตรเครดิต
    ชื่อบัญชีผู้ใช้บริการ (Username) และรหัสผ่าน (Password) หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หรือข้อมูลส่วนบุคคลอื่น ๆ ไปกับ e-mail หรือ
    การติดต่อทางโทรศัพท์ที่แอบอ้างมาจากสถาบันการเงิน
    2. ไม่ควรใช้ Hyperlink ที่แนบมากับ e-mail หากต้องการเข้าใช้บริการ ให้เข้าผ่าน Website ของสถาบันการเงินนั้น ๆ โดยตรง



    กลโกงสินเชื่อส่วนบุคคล

    ในปัจจุบันแม้ว่าผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลทั้งที่เป็นสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก
    แต่ยังมีการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย (สินเชื่อนอกระบบ) ที่เอาเปรียบผู้กู้เงิน ซึ่งจะนำไปสู่ภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้น
    ธุรกิจบริการเงินด่วนนอกระบบสามารถพบเห็นได้ทั่วไป เช่นประกาศตามเสาไฟฟ้าหรือโฆษณาผ่านหนังสือพิมพ์ Website ตู้โทรศัพท์สาธารณะ โดยมี
    ข้อความเชิญชวนให้มาใช้บริการ เช่น ระบุว่า “ให้วงเงินสูง อนุมัติและรับเงินสดทันทีภายใน 30 นาที” โดยสินเชื่อนอกระบบเหล่านี้จะมีอัตราดอกเบี้ย
    ค่าบริการและค่าธรรมเนียมที่แพงกว่าปกติ
    ตัวอย่าง
    1. เมื่อลูกค้าติดต่อเข้าไปตามหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ระบุไว้ในโฆษณาผู้ให้บริการเงินกู้นอกระบบจะแนะนำวิธีการและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการขอรับสินเชื่อ
    ซึ่งลูกค้าที่มีประวัติการชำระหนี้ไม่ดีหรือลูกค้าที่ใช้บัตรเครดิตเต็มวงเงินแล้วก็สามารถใช้บริการนี้ได้
    2. เมื่อลูกค้ายอมรับข้อตกลงในการให้สินเชื่อ ผู้ให้บริการเงินกู้นอกระบบจะดำเนินการ ดังนี้
    - กรณีลูกค้ามีบัตรเครดิตหรือบัตรของ Non-Bank ที่ให้บริการผ่อนสินค้าหรือสินเชื่อเงินสดก็จะให้ไปซื้อสินค้าจากร้านค้า เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก
    กล้องถ่ายรูปดิจิตอล และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
    - กรณีลูกค้าไม่มีบัตรดังกล่าวก็จะพาไปทำบัตรสมาชิกของ Non-Bank ที่ให้บริการผ่อนสินค้า หลังจากนั้นก็จะพาไปซื้อสินค้าจากร้านค้า
    3. เมื่อได้สินค้าแล้ว ผู้ให้บริการเงินกู้นอกระบบจะรับสินค้าไว้และจ่ายเงินสดให้ลูกค้าแทนโดยจะหักค่านายหน้าในการให้บริการไว้ประมาณ 30% เช่น
    ซื้อคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 100,000 บาท หักค่านายหน้า 30% เป็นเงิน 30,000 บาท ลูกค้าได้รับเงินสด 70,000 บาท แต่เป็นหนี้เงินกู้ 100,000 บาท
    4. หลังจากนั้น ลูกค้าสมาชิกบัตรจะต้องเป็นผู้ผ่อนชำระค่าสินค้าซึ่งรวมเงินต้น (100,000 บาท) พร้อมดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ
    กับสถาบันผู้ออกบัตรทำให้ผู้กู้มีภาระหนี้เพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้ให้บริการเงินกู้นอกระบบไม่ต้องร่วมรับผิดชอบใด ๆ และยังนำสินค้าดังกล่าวไปจำหน่ายต่อด้วย
    ข้อแนะนำในการป้องกันกลโกงสินเชื่อส่วนบุคคล

    1. ควรใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลกับสถาบันการเงินหรือบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลแทนการกู้เงินนอกระบบ เนื่องจากการกู้เงิน
    นอกระบบดอกเบี้ย ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมจะแพงกว่าปกติ
    2. ในการเลือกใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลกับผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวควรพิจารณาเรื่อง อัตราดอกเบี้ย และ ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ (เช่น ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน
    ค่าธรรมเนียมการจัดการเงินกู้ ค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี) เป็นต้น
    3. ระมัดระวังโฆษณาที่ระบุว่า “ดอกเบี้ยต่อเดือนน้อยนิด หรือดอกเบี้ย 0%” โดยต้องดูว่าอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นอัตราต่อเดือนหรือไม่ ถ้าใช่ให้คูณ 12
    จึงจะได้อัตราดอกเบี้ยต่อปีที่ต้องจ่ายจริง
    นอกจากนี้ หากดอกเบี้ยที่ท่านต้องจ่าย มีลักษณะเป็นจำนวนคงที่ตลอดอายุสัญญาเงินกู้ (Flat Rate) ท่านต้องลองคำนวณว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงแบบลดต้นลดดอก
    (Effective Rate) เป็นเท่าไรโดยคูณด้วย 1.8 นอกจากดอกเบี้ยแล้ว ท่านต้องพิจารณาว่ายังมีค่าธรรมเนียม หรือค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่
    หากใช้บริการดังกล่าว เช่น ค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงถามหนี้ ค่าธรรมเนียมการชำระเงินที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสหรือธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น
    4. อย่าใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลเพียงเพื่อต้องการของแถมจากผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าว เพราะท่านอาจประสบปัญหาหนี้สินได้ ควรระลึกอยู่เสมอว่า
    ใช้สินเชื่อส่วนบุคคลเมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องกู้ยืมเงินไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง

    ธนาคารแห่งประเทศไทย

    ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย
    .<!-- google_ad_section_end -->
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การล่อลวงข้อมูลลูกค้าจากกลุ่มมิจฉาชีพ


    ช่วงเวลาที่ผ่านมา มีกลุ่มมิจฉาชีพพยายามเจาะข้อมูลของลูกค้าธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้หาประโยชน์ในทางที่มิชอบ โดยใช้วิธีการอ้างว่าลูกค้าประชาชนมีหนี้อยู่กับธนาคารพาณิชย์ ซึ่งกลุ่มมิจฉาชีพจะมีวิธีการดังต่อไปนี้
    1. โทรศัพท์ไปหาลูกค้าประชาชนแจ้งว่า ท่านค้างชำระหนี้จำนวนหนึ่งและจะมีเจ้าหน้าที่ของฝ่ายกฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โทรมาสอบถามข้อมูลเพื่อจะแก้ไขข้อมูลเกี่ยวกับหนี้ที่ค้างชำระนั้นให้ถูกต้อง
    2. ต่อมาผู้ที่อยู่ในกลุ่มมิจฉาชีพอีกคนหนึ่งจะโทรศัพท์มาเป็นครั้งที่สองโดยแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ ธปท. มาขอข้อมูล เช่น วันเดือนปีเกิด หมายเลขบัตรประชาชน หมายเลขบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือบัตร ATM หรือหลอกลวงให้ไปที่ตู้ ATM และทำรายการตามที่บอก โดยอ้างว่าเพื่อแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง ซึ่งจะกลายเป็นการโอนเงินไปให้กลุ่มมิจฉาชีพ
    นอกจากนี้อาจมีพฤติกรรมอื่น ๆ ในลักษณะทำนองเดียวกัน วิธีการปกติในการที่จะล่อลวงเอาเงินของลูกค้าประชาชนที่มีบัตรเครดิต บัตรเดบิต บัตร ATM หรือบัตรที่ใช้ในการถอนเงินต่าง ๆ พวกมิจฉาชีพจำเป็นต้องรู้ข้อมูลของลูกค้าเสียก่อน โดยเฉพาะรหัสต่าง ๆ เช่น Security Code (หมายเลข 3 ตัวสุดท้ายที่อยู่ด้านหลังบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต) และใช้ข้อมูลรหัสดังกล่าวไปทำบัตรปลอมเพื่อลักลอบถอนเงินของลูกค้า
    ข้อแนะนำในการป้องกันการล่อลวงข้อมูล
    1. โปรดทราบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่มีเจ้าหน้าที่ของ ธปท. มีส่วนเกี่ยวข้องในการโทรศัพท์ขอข้อมูลท่านอย่างแน่นอน อย่าได้หลงเชื่อคำกล่าวอ้างของพวกมิจฉาชีพ
    2. อย่าได้เปิดเผยข้อมูลในบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือบัตร ATM ของท่านให้แก่คนที่ท่านไม่รู้จักไม่ว่าจะมีข้อกล่าวอ้างประการใด
    3. หากท่านได้รับโทรศัพท์เพื่อขอข้อมูลใด ๆ ขอให้ท่านตรวจสอบไปยังธนาคารพาณิชย์หรือผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตโดยตรง เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงต่าง ๆ โดยไม่ใช้เบอร์โทรศัพท์ที่ผู้ขอข้อมูลแจ้งมา
    4. หากมีเหตุที่ท่านไม่แน่ใจว่ามีกลุ่มมิจฉาชีพได้ล่วงรู้ข้อมูลของท่านไปแล้วหรือไม่ ขอได้โปรดติดต่อกลับไปยังธนาคารเจ้าของบัตรหรือผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตโดยตรงเพื่อดำเนินการต่าง ๆ ในการป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นและอาจทำการยกเลิกบัตรและเปลี่ยนบัตรใหม่

    การแอบอ้างชื่อธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อล่อลวงให้หลงเชื่อและทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR vAlign=top><TD>ปัจจุบันมีมิจฉาชีพบางกลุ่มได้แอบอ้างชื่อธนาคารแห่งประเทศไทย หรืออ้างเป็นพนักงานแห่งประเทศไทย ในการติดต่อกับประชาชนทั่วไปทั้งทางโทรศัพท์ หรือ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) เพื่อลวงให้เหยื่อหลงเชื่อและทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ เช่น ลวงว่ามีเงินโอนจากต่างประเทศ (ซึ่งมาจากการขายสินค้าหรือได้รับมรดก) เข้ามาอยู่ที่บัญชีของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว หากผู้รับต้องการเงินดังกล่าว ต้องมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ นอกจากนี้อาจมีพฤติกรรมอื่น ๆ ในลักษณะทำนองเดียวกัน
    ข้อแนะนำในการป้องกันการล่อลวง
    1. ไม่ควรให้ข้อมูลส่วนตัวของท่านกับบุคคลภายนอกที่ติดต่อเข้ามา โดยที่ท่านไม่รู้จักหรือไม่เคยติดต่อกันมาก่อน เพราะท่านอาจถูกล่อลวงให้เสียทรัพย์ เมื่อท่านได้รับการติดต่อ ควรตั้งสติและไตร่ตรองความเป็นไปได้ของข้อความดังกล่าว พร้อมตรวจสอบข้อเท็จจริงกับสถาบันต่าง ๆ ที่ถูกระบุชื่อ
    2. อย่าหลงเชื่อหรือทำธุรกรรมใด ๆ กับบุคคลที่แอบอ้างเป็นธนาคารแห่งประเทศไทย หรือพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย เนื่องจากอาจเป็นการหลอกลวงโดยประสงค์ต่อทรัพย์สินของท่าน ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ ทำหน้าที่เป็นธนาคารกลาง ดูแลเสถียรภาพด้านนโยบายการเงิน กำกับดูแลสถาบันการเงิน และจัดตั้งระบบการชำระเงินตามที่กฎหมายกำหนด มิได้มีหน้าที่ทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ เช่น โอน-รับโอนเงินจากประชาชนโดยตรง (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 4) พุทธศักราช 2551)
    ทั้งนี้ หากได้รับความเสียหายจากเรื่องดังกล่าวโปรดแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือ กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี (บก.ปศท.) โทร. 0-2234-1068


    </TD></TR><TR vAlign=top><TD><!-- Center WebPart Zone --></TD></TR><TR vAlign=top><TD><!-- Center-Bottom HTML Content -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ธนาคารแห่งประเทศไทย

    ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย
    .<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ระวังกับดักเงินกู้นอกระบบ
    เชิญชมวิดิทัศน์ ระวังการกู้เงินนอกระบบ
    โทรศัพท์หลอกลวงแอบอ้างชื่อ ธปท.<!-- google_ad_section_end -->



    beware.pdf

    ระวังถูกหลอก แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนว่า ได้รับโทรศัพท์จากมิจฉาชีพแอบอ้าง เป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ เจ้าหน้าที่แบงค์ชาติ โดยแจ้งว่า เหยื่อติดหนี้บัตรเครดิต หรือบางครั้งแจ้งสถานที่ซื้อสินค้าผ่านบัตรเครติด ทำให้เหยื่อตกใจ หลังจากนั้นจะเสนอตัวเข้าไปให้ความช่วยเหลือโดยขอข้อมูลส่วนตัวหรือ ข้อมูลการเงินและให้ทำธุรกรรมผ่านเครื่อง ATM โดยให้โอนเงินเข้าบัญชี หรือบางรายให้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อกลับ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ซึ่งเบอร์โทรศัพท์ดังกล่าวเป็นเบอร์หน่วยงานภายใน ธปท. จริง แต่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าว เช่น 0-2283-5355
    ดังนั้น ธปท. จึงขอเตือนว่า อย่าหลงเชื่อกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าว เพราะ ธปท. ไม่มีธุรกรรมทางการเงินโดยตรงกับประชาชนทั่วไป และไม่มีระเบียบปฏิบัติให้เจ้าหน้าที่โทรศัพท์ติดตามทวงถามหนี้สินของประชาชน ทั้งนี้ ขอให้ผู้ที่พบเห็นพฤติกรรมดังกล่าว โทรศัพท์สอบถามมายัง ธปท.ได้ที่ ศูนย์ประสานงานแก้ไขปัญหาการปล่อยสินเชื่อ Hotline 0-2283-5900 ระหว่างเวลา 8.30 – 16.30 น.




    ธนาคารแห่งประเทศไทย

    ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย


    .
    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • beware.pdf
      ขนาดไฟล์:
      876.2 KB
      เปิดดู:
      333
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย


    <TABLE class=ms-listviewtable id={7CEC61A6-C61A-4C2B-9897-1D09D3DDD2CE}-{407A4EB0-D8DB-4C8C-BD84-DDE643403D27} dir=None cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" summary="คำถามเกี่ยวกับระบบ ICAS" border=0 o:WebQuerySourceHref="http://www.bot.or.th/Thai/PaymentSystems/PSServices/ChequeClearingSys/ICAS/_vti_bin/owssvr.dll?CS=65001&XMLDATA=1&RowLimit=0&List={7CEC61A6-C61A-4C2B-9897-1D09D3DDD2CE}&View={407A4EB0-D8DB-4C8C-BD84-DDE643403D27}"><TBODY id=titl1-1_ groupString="%3b%23%e0%b8%81%2e%20%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a3%e0%b9%88%e0%b8%a7%e0%b8%a1%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b8%81%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b8%b4%e0%b8%81%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%83%e0%b8%8a%e0%b9%89%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%97%e0%b8%b1%e0%b8%9a%20%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%b9%e0%b8%99%20%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%b5%3b%23"><TR><TD class=ms-gb noWrap colSpan=100>กลุ่ม : ก. การขอความร่วมมือยกเลิกการใช้ตราประทับ ตรานูน ตราสี ‎(6)</TD></TR></TBODY><TBODY id=tbod1-1__ isLoaded="true"><TR><TD><TR class=ms-alternating><TD>[​IMG]</TD></TR><TR class=ms-alternating><TD class=ms-vb2><TD class="ms-vh-group " width=10>[​IMG]</TD></TR><TR class=ms-alternating><TD class=ms-vb-tall>1. เพราะเหตุใด จึงต้องขอความร่วมมือให้ยกเลิกการใช้ตราประทับ / ตรานูน / ตราสี เป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขการสั่งจ่ายเช็ค



    </TD></TR><TR class=ms-alternating><TD class=ms-vb-tall>ตอบ ธปท. ขอเรียนว่า นโยบายการพัฒนาระบบ ICAS คือ มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการเรียกเก็บเงินตามเช็ค เพื่อให้การหมุนเวียนเงินในการทำธุรกิจ การค้า การลงทุนมีความรวดเร็วมากขึ้น เนื่องจาก
    1. ผู้ใช้เช็คจะทราบผลการเรียกเก็บและถอนใช้เงินได้เร็วขึ้น
    2. ผู้ใช้เช็คมีเวลาในการฝากเช็คมากขึ้น
    3. มีการลดจำนวนวันเรียกเก็บของเช็คข้ามจังหวัด จาก 3 – 5 วันทำการ เหลือ 1 วันทำการ
    อย่างไรก็ตาม จากการที่ระบบ ICAS เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการเรียกเก็บ โดยใช้ภาพเช็คแทนตัวเช็คจริง ทำให้มีความจำเป็นที่ภาพเช็คนั้นต้องมีความชัดเจน สามารถตรวจสอบลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย ชื่อผู้รับเงิน จำนวนเงิน และวันที่สั่งจ่าย จากภาพเช็คได้ หากมีการประทับตราที่รบกวนข้อมูลสำคัญดังกล่าว จะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้เช็คได้ เช่น ผู้สั่งจ่ายอาจต้องทำหนังสือยืนยันการสั่งจ่ายเงินตามเช็คให้กับธนาคารทุกครั้งที่มีปัญหา หรือธนาคารอาจจำเป็นต้องคืนเช็คหากไม่สามารถติดต่อผู้สั่งจ่ายได้ อีกทั้งระบบ ICAS เป็นระบบที่ใช้เทคโนโลยีการเรียกเก็บเงินตามเช็คด้วยภาพเฉดสีเทา (Grayscale) และขาวดำ (Black & White) จึงทำให้ธนาคารไม่สามารถตรวจสอบเงื่อนไขการสั่งจ่ายที่ใช้ตราประทับนูนและตราประทับสีได้
    ดังนั้น ธปท. จึงจำเป็นต้องขอความร่วมมือให้ยกเลิกการใช้ตราประทับ / ตรานูน / ตราสี เป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขการสั่งจ่ายเช็ค ซึ่งการขอความร่วมมือดังกล่าวเป็นสิ่งที่ประเทศต่าง ๆ ที่ใช้ระบบการเรียกเก็บเช็คด้วยภาพก็ได้ดำเนินการในลักษณะเดียวกันนี้

    ตัวอย่างภาพเช็คที่มีตราประทับ ซึ่งรบกวนลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายและข้อมูลสำคัญของเช็ค

    (ภาพ Grayscale ของระบบ ICAS)


    [​IMG]

    (ภาพ Black & White ของระบบ ICAS)

    [​IMG]




    ตัวอย่างภาพเช็คที่ใช้ตราประทับสี ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบเงื่อนไขสีในระบบ ICAS ได้


    (เช็คต้นฉบับ)


    [​IMG]



    (ภาพ Grayscale ของระบบ ICAS)



    [​IMG]



    (ภาพ Black & White ของระบบ ICAS)


    [​IMG]







    </TD></TR><TR class=ms-alternating><TD>[​IMG]</TD></TR><TR class=""><TD>[​IMG]</TD></TR><TR class=""><TD class=ms-vb2><TD class="ms-vh-group " width=10>[​IMG]</TD></TR><TR class=""><TD class=ms-vb-tall>2. การขอความร่วมมือของ ธปท. ให้ยกเลิกการใช้ตราประทับฯ จะมีผลครอบคลุมถึงธุรกรรมการเงินอื่น และการทำนิติกรรมสัญญาหรือเอกสารอื่นของบุคคล/นิติบุคคล หรือไม่



    </TD></TR><TR class=""><TD class=ms-vb-tall>ตอบ ไม่ ธปท. ขอความร่วมมือให้ยกเลิกการใช้ตราประทับฯ เฉพาะในส่วนของเงื่อนไขการสั่งจ่ายเงินตามเช็ค ซึ่งถือเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการถอนเงินจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเท่านั้น มิได้ครอบคลุมถึงการทำธุรกรรมการเงินอื่นและนิติกรรมสัญญาของบุคคล/นิติบุคคลแต่อย่างใด


    </TD></TR><TR class=""><TD>[​IMG]</TD></TR><TR class=ms-alternating><TD>[​IMG]</TD></TR><TR class=ms-alternating><TD class=ms-vb2><TD class="ms-vh-group " width=10>[​IMG]</TD></TR><TR class=ms-alternating><TD class=ms-vb-tall>3. บุคคล/นิติบุคคลที่ยกเลิกการใช้ตราประทับฯ จำเป็นต้องยกเลิกการใช้ตราประทับฯ ในส่วนของเงื่อนไขการถอนเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ และบัญชีเงินฝากประจำด้วย หรือไม่



    </TD></TR><TR class=ms-alternating><TD class=ms-vb-tall>ตอบ ไม่จำเป็น แต่หากบุคคล/นิติบุคคลนั้นต้องการที่จะยกเลิกการใช้ตราประทับฯ ในส่วนของบัญชีเงินฝากธนาคารประเภทอื่นด้วย เพื่อป้องกันความสับสนและเพื่อให้เงื่อนไขการถอนเงินของทุกบัญชีที่ถือครองอยู่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ก็สามารถทำได้


    </TD></TR><TR class=ms-alternating><TD>[​IMG]</TD></TR><TR class=""><TD>[​IMG]</TD></TR><TR class=""><TD class=ms-vb2><TD class="ms-vh-group " width=10>[​IMG]</TD></TR><TR class=""><TD class=ms-vb-tall>4. เอกสารที่ต้องยื่นให้ธนาคาร เพื่อใช้ประกอบการขอยกเลิกการใช้ตราประทับฯ มีอะไรบ้าง และต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลาใด


    </TD></TR><TR class=""><TD class=ms-vb-tall>ตอบ เอกสารที่ต้องใช้ รวมทั้งกำหนดเวลาที่ขอให้ดำเนินการยกเลิกการใช้ตราประทับฯ ให้เสร็จสิ้นนั้น แต่ละธนาคารอาจพิจารณาแจ้งลูกค้าแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับพิธีปฏิบัติและดุลยพินิจของแต่ละธนาคาร ทั้งนี้ หากท่านมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าหรือสาขาของธนาคารที่ท่านเปิดบัญชี


    </TD></TR><TR class=""><TD>[​IMG]</TD></TR><TR class=ms-alternating><TD>[​IMG]</TD></TR><TR class=ms-alternating><TD class=ms-vb2><TD class="ms-vh-group " width=10>[​IMG]</TD></TR><TR class=ms-alternating><TD class=ms-vb-tall>5. หลังจากบุคคล/นิติบุคคลให้ความร่วมมือยกเลิกการใช้ตราประทับฯ แล้ว แต่ปรากฏว่ามีเช็คที่ได้สั่งจ่ายไปก่อนหน้านี้ซึ่งมีตราประทับฯ ถูกส่งเข้ามาเรียกเก็บ ธนาคารผู้จ่ายจะดำเนินการอย่างไร


    </TD></TR><TR class=ms-alternating><TD class=ms-vb-tall>ตอบ พิธีปฏิบัติของธนาคารในกรณีดังกล่าวอาจมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแต่ละธนาคาร อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปภายหลังจากที่บุคคล/นิติบุคลได้แจ้งยกเลิกการใช้ตราประทับฯ ต่อธนาคาร และธนาคารได้ดำเนินการยกเลิกการใช้ตราประทับฯ ในระบบงานของธนาคารเรียบร้อยแล้ว หากมีเช็คของบัญชีดังกล่าวซึ่งมีตราประทับฯ ถูกส่งเข้ามาเรียกเก็บ ธนาคารจะตรวจสอบเฉพาะลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเท่านั้น โดยไม่พิจารณาตราประทับที่ได้แจ้งยกเลิกแล้วเป็นเงื่อนไขการสั่งจ่ายอีก



    </TD></TR><TR class=ms-alternating><TD>[​IMG]</TD></TR><TR class=""><TD>[​IMG]</TD></TR><TR class=""><TD class=ms-vb2><TD class="ms-vh-group " width=10>[​IMG]</TD></TR><TR class=""><TD class=ms-vb-tall>6. หากบุคคล/นิติบุคคลไม่สามารถยกเลิกการใช้ตราประทับฯ จะมีผลอย่างไร


    </TD></TR><TR class=""><TD class=ms-vb-tall>ตอบ ในระบบ ICAS การเรียกเก็บเงินตามเช็คที่มีตราประทับเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขการสั่งจ่ายเช็ค อาจมีความล่าช้าในการตรวจสอบเพื่ออนุมัติตัดจ่ายเงินตามเช็ค เนื่องจากตราประทับอาจจะรบกวนลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายและข้อมูลสำคัญบนตัวเช็ค และธนาคารอาจจำเป็นต้องติดต่อผู้สั่งจ่ายเพื่อให้ลงนามในหนังสือยืนยันการจ่ายเงินตามเช็คฉบับดังกล่าวให้แก่ธนาคาร
    นอกจากนี้ ในกรณีเช็คที่มีตราประทับรบกวนลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายหรือข้อมูลสำคัญบนเช็คอย่างมากจนทำให้ธนาคารไม่สามารถพิจารณาอนุมัติจ่ายได้ หรือธนาคารไม่สามารถติดต่อผู้สั่งจ่ายเพื่อให้ลงนามในหนังสือยืนยันการจ่ายเงินตามเช็คได้ อาจมีผลให้ธนาคารจำเป็นต้องปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คฉบับดังกล่าว


    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    คำถามเกี่ยวกับระบบ ICAS


    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย

    <TABLE class=ms-listviewtable id={7CEC61A6-C61A-4C2B-9897-1D09D3DDD2CE}-{407A4EB0-D8DB-4C8C-BD84-DDE643403D27} dir=None cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" summary="คำถามเกี่ยวกับระบบ ICAS" border=0 o:WebQuerySourceHref="http://www.bot.or.th/Thai/PaymentSystems/PSServices/ChequeClearingSys/ICAS/_vti_bin/owssvr.dll?CS=65001&XMLDATA=1&RowLimit=0&List={7CEC61A6-C61A-4C2B-9897-1D09D3DDD2CE}&View={407A4EB0-D8DB-4C8C-BD84-DDE643403D27}"><TBODY id=titl1-2_ groupString="%3b%23%e0%b8%82%2e%20%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%82%e0%b8%a2%e0%b8%8a%e0%b8%99%e0%b9%8c%20%2f%20%e0%b8%9c%e0%b8%a5%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%97%e0%b8%9a%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%9a%e0%b8%9a%20ICAS%3b%23"><TR><TD class=ms-gb noWrap colSpan=100>กลุ่ม : ข. ประโยชน์ / ผลกระทบของระบบ ICAS ‎(2)</TD></TR></TBODY><TBODY id=tbod1-2__ isLoaded="true"><TR><TD><TR class=ms-alternating><TD>[​IMG]</TD></TR><TR class=ms-alternating><TD class=ms-vb2><TD class="ms-vh-group " width=10>[​IMG]</TD></TR><TR class=ms-alternating><TD class=ms-vb-tall>1. ประโยชน์ของระบบ ICAS มีอะไรบ้าง


    </TD></TR><TR class=ms-alternating><TD class=ms-vb-tall>ตอบ การใช้งานระบบ ICAS มีประโยชน์ต่อแต่ละภาคส่วนของประเทศไทย ดังนี้
    1. ภาคธุรกิจและประชาชนผู้ฝากเช็ค
    1.1 สามารถเรียกเก็บและถอนใช้เงินตามเช็คทั่วประเทศได้ภายใน 1 วันทำการ ซึ่งรวมไปถึงการเรียกเก็บเงินตามเช็คข้ามจังหวัดด้วย ซึ่งปัจจุบันต้องใช้เวลาในเรียกเก็บประมาณ 3-5 วันทำการ
    1.2 ขยายเวลาการรับฝากเช็คเพิ่มขึ้นประมาณ 1½ ชั่วโมง จากปัจจุบันที่ธนาคารปิดรับฝากที่ประมาณ 13.00-14.00 น. จะขยายเวลาเป็น 14.30 –15.30 น. หรือใกล้เวลาปิดทำการของธนาคาร
    1.3 ร่นกำหนดเวลาของธนาคารที่ให้ลูกค้าสามารถถอนใช้เงินตามเช็คที่ฝากได้เร็วขึ้นจากปัจจุบันที่ประมาณเวลา 13.00 -14.00 น. จะเร็วขึ้นเป็นประมาณ 12.00 น.
    2. ภาคธนาคาร
    2.1 ลดต้นทุนในการขนส่งตัวเช็ค
    2.2 ลดความเสี่ยงที่เช็คอาจสูญหายในระหว่างกระบวนการเรียกเก็บ
    2.3 ช่วยลดภาระในการจัดเก็บข้อมูลและตัวเช็คของธนาคาร โดย ธปท. จะเป็นศูนย์กลางในการจัดเก็บข้อมูลและภาพเช็คที่ ธ.สมาชิกสามารถเรียกใช้งานได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง
    2.4 ช่วยให้เกิดนวัตกรรมด้านบริการทางการเงินใหม่ ๆ เช่น บริการแนบภาพเช็คที่สั่งจ่ายควบคู่กับรายงานแสดงการเดินบัญชีประจำเดือน (Bank Statement) หรือบริการตู้รับฝากเช็คอัตโนมัติซึ่งสามารถออกใบรับฝากที่มีรูปเช็คนำฝากปรากฎอยู่ด้วย เป็นต้น
    3. ระบบเศรษฐกิจโดยรวม
    ช่วยเพิ่มการหมุนเวียนของกระแสเงินในภาคธุรกิจและระบบเศรษฐกิจของประเทศให้มีความรวดเร็วมากขึ้น



    </TD></TR><TR class=ms-alternating><TD>[​IMG]</TD></TR><TR class=""><TD>[​IMG]</TD></TR><TR class=""><TD class=ms-vb2><TD class="ms-vh-group " width=10>[​IMG]</TD></TR><TR class=""><TD class=ms-vb-tall>2. การใช้งานระบบ ICAS จะมีผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้เช็คหรือไม่


    </TD></TR><TR class=""><TD class=ms-vb-tall>ตอบ ในส่วนของประชาชนผู้ฝากเช็ค จะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ เลย เนื่องจากในระบบ ICAS ผู้ฝากเช็คยังคงนำตัวเช็คเข้าฝากที่ธนาคารและรับเช็คคืนเป็นตัวเช็คจริงเหมือนเช่นในระบบปัจจุบัน
    แต่สำหรับบริษัทห้างร้านผู้สั่งจ่ายเช็ค ธปท. มีความจำเป็นต้องขอความร่วมมือให้เปลี่ยนวิธีปฏิบัติในการสั่งจ่ายเช็คบ้าง โดยเฉพาะในส่วนของการขอความร่วมมือให้ยกเลิกการใช้ตราประทับ / ตรานูน / ตราสี เป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขการสั่งจ่ายเช็ค เนื่องจากระบบ ICAS ใช้เทคโนโลยีการเรียกเก็บเงินตามเช็คด้วยภาพ grayscale และ B&W ซึ่งเป็นภาพที่มีเฉดสีขาวดำ ดังนั้น หากมีการใช้ตราประทับ / ตรานูน / ตราสี อาจมีผลรบกวนลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายและข้อมูลสำคัญต่าง ๆ บนภาพเช็คจนไม่สามารถตรวจสอบได้ อีกทั้งธนาคารผู้จ่ายไม่สามารถตรวจสอบความนูนต่ำของพื้นผิวและความถูกต้องของเฉดสีตามเงื่อนไขของตราประทับจากภาพที่กล่าวได้



    </TD></TR><TR class=""><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD colSpan=50></TD></TR></TD></TR></TBODY><TBODY id=foot1-2__></TBODY><SCRIPT>ExpCollGroup('1-2_','img_1-2_');</SCRIPT><TBODY id=titl1-3_ groupString="%3b%23%e0%b8%84%2e%20%e0%b8%84%e0%b8%b3%e0%b8%96%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%97%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%a7%e0%b9%84%e0%b8%9b%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%9a%e0%b8%9a%20ICAS%3b%23"><TR><TD class=ms-gb noWrap colSpan=100>[​IMG][​IMG] กลุ่ม : ค. คำถามทั่วไปเกี่ยวกับระบบ ICAS ‎(6)</TD></TR></TBODY><TBODY id=tbod1-3__ isLoaded="true"><TR><TD><TR class=ms-alternating><TD>[​IMG]</TD></TR><TR class=ms-alternating><TD class=ms-vb2><TD class="ms-vh-group " width=10>[​IMG]</TD></TR><TR class=ms-alternating><TD class=ms-vb-tall>1. ระบบการเคลียริงเช็คด้วยภาพเช็คหรือที่เรียกว่า ระบบ ICAS คืออะไร


    </TD></TR><TR class=ms-alternating><TD class=ms-vb-tall>ตอบ ระบบ ICAS ย่อมาจากชื่อเต็มว่า ระบบ Imaged Cheque Clearing and Archive System หรือ “ระบบการหักบัญชีเช็คด้วยภาพเช็คและระบบการจัดเก็บภาพเช็ค” คือ ระบบงานที่ทำหน้าที่ในการเรียกเก็บเงินตามเช็คระหว่างธนาคารโดยใช้ภาพเช็คแทนการใช้ตัวเช็คจริง รวมทั้งยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการจัดเก็บข้อมูลและภาพเช็คในรูปแบบของอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งช่วยให้การค้นหาข้อมูลและภาพเช็คทำได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว



    </TD></TR><TR class=ms-alternating><TD>[​IMG]</TD></TR><TR class=""><TD>[​IMG]</TD></TR><TR class=""><TD class=ms-vb2><TD class="ms-vh-group " width=10>[​IMG]</TD></TR><TR class=""><TD class=ms-vb-tall>2. ในต่างประเทศมีการใช้ระบบการเรียกเก็บเงินตามเช็คด้วยภาพหรือไม่


    </TD></TR><TR class=""><TD class=ms-vb-tall>ตอบ ปัจจุบันระบบการเรียกเก็บเงินตามเช็คด้วยภาพมีใช้ในหลายประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา รวมทั้งในหลายประเทศของภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ สิงคโปร์ ฮ่องกง อินเดีย และมาเลเซีย เป็นต้น




    </TD></TR><TR class=""><TD>[​IMG]</TD></TR><TR class=ms-alternating><TD>[​IMG]</TD></TR><TR class=ms-alternating><TD class=ms-vb2><TD class="ms-vh-group " width=10>[​IMG]</TD></TR><TR class=ms-alternating><TD class=ms-vb-tall>3. ทำไมต้องเปลี่ยนไปใช้ระบบการเรียกเก็บเงินตามเช็คด้วยภาพ


    </TD></TR><TR class=ms-alternating><TD class=ms-vb-tall>ตอบ วัตถุประสงค์ของการนำระบบการหักบัญชีเช็คด้วยภาพมาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียกเก็บเงินตามเช็ค โดยลดระยะเวลาการเรียกเก็บให้เหลือ 1 วันทำการทั่วทั้งประเทศ รวมทั้งลดต้นทุนการขนส่งตัวเช็ค นอกจากนี้ เพื่อให้ประเทศไทยมีระบบที่มีมาตรฐานเทียบเท่าระดับสากลและเสริมศักยภาพการแข่งขันของประเทศด้วย




    </TD></TR><TR class=ms-alternating><TD>[​IMG]</TD></TR><TR class=""><TD>[​IMG]</TD></TR><TR class=""><TD class=ms-vb2><TD class="ms-vh-group " width=10>[​IMG]</TD></TR><TR class=""><TD class=ms-vb-tall>4. วิธีการเรียกเก็บเงินตามเช็คด้วยภาพของระบบ ICAS แตกต่างจากวิธีการในปัจจุบันอย่างไร


    </TD></TR><TR class=""><TD class=ms-vb-tall>ตอบ วิธีการเรียกเก็บเงินตามเช็คของระบบ ICAS แตกต่างจากวิธีการในปัจจุบัน 2 ประการ คือ
    1. ระบบ ICAS ไม่มีการขนส่งตัวเช็ค กล่าวคือ ตัวเช็คที่ลูกค้านำฝากจะถูกเก็บไว้ที่ธนาคารผู้ส่งเรียกเก็บ โดยไม่ต้องส่งไปให้ศูนย์หักบัญชี/สำนักหักบัญชี เพื่อส่งต่อไปให้ธนาคารผู้จ่ายเหมือนเช่นในวิธีการปัจจุบัน
    2. ธนาคารผู้จ่ายจะตรวจสอบและอนุมัติตัดจ่ายเงินตามเช็คจากภาพเช็ค กล่าวคือ เมื่อธนาคารผู้จ่ายได้รับข้อมูลและภาพเช็คที่ส่งเรียกเก็บผ่านระบบ ICAS แล้ว ธนาคารผู้จ่ายจะใช้ภาพเช็คดังกล่าวในการตรวจสอบลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายและข้อมูลสำคัญอื่น เพื่ออนุมัติตัดจ่ายเช็คแทนการใช้ตัวเช็คจริงตามวิธีปฏิบัติปัจจุบัน



    </TD></TR><TR class=""><TD>[​IMG]</TD></TR><TR class=ms-alternating><TD>[​IMG]</TD></TR><TR class=ms-alternating><TD class=ms-vb2><TD class="ms-vh-group " width=10>[​IMG]</TD></TR><TR class=ms-alternating><TD class=ms-vb-tall>5. เป้าหมายหลักของการใช้ระบบ ICAS คืออะไร


    </TD></TR><TR class=ms-alternating><TD class=ms-vb-tall>ตอบ เป้าหมายหลัก คือ ต้องการให้การเรียกเก็บเงินตามเช็คทั่วประเทศ สามารถทราบผลและถอนใช้เงินได้ภายในเวลา 1 วันทำการ กล่าวคือ ถ้านำเช็คฝากวันนี้ พรุ่งนี้สามารถเบิกถอนเงินไปใช้ได้ ซึ่งรวมไปถึงการเรียกเก็บเช็คข้ามจังหวัดด้วย ซึ่งปัจจุบันต้องใช้เวลาในเรียกเก็บประมาณ 3-5 วันทำการ




    </TD></TR><TR class=ms-alternating><TD>[​IMG]</TD></TR><TR class=""><TD>[​IMG]</TD></TR><TR class=""><TD class=ms-vb2><TD class="ms-vh-group " width=10>[​IMG]</TD></TR><TR class=""><TD class=ms-vb-tall>6. ธปท. มีกำหนดแผนงานในการใช้งานระบบ ICAS อย่างไร


    </TD></TR><TR class=""><TD class=ms-vb-tall>ตอบ ธปท. มีกำหนดที่จะเริ่มใช้งานระบบ ICAS ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล (ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีปริมาณเช็คสูงถึงร้อยละ 70 ของปริมาณเช็คทั้งประเทศ) เป็นลำดับแรกในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 หลังจากนั้นจะทยอยขยายผลการใช้งานไปในส่วนภูมิภาคจนครบทุกจังหวัดทั่วประเทศภายในปี 2555 ซึ่งจะทำให้ระบบการหักบัญชีเช็คทั่วประเทศเป็นระบบเดียวและการเรียกเก็บเงินตามเช็คทั่วประเทศสามารถทราบผลได้เพียง 1 วันทำการ



    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    คำถามเกี่ยวกับระบบ ICAS


    .
     
  14. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ก็คนมันมีแรงดูดแรงอ่ะปล่าวครับ หุ หุ
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  16. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    มีผู้ค้าบางท่านให้ความเห็นกับผมว่า ทองคำกับ น้ำมันล้วนดูเหมือนเป็นสินค้าโภคภัณฑ์เหมือนกัน แต่ในความเห็นเค้าบอกผมว่าดูดีๆต่างกันมากครับ ทราบมั้ยครับว่าคืออะไร ไม่ใช่อันหนึ่งเป็นของแข็งอันเป็นของเหลว นะครับ หุ หุ
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นำมาฝากกัน ตอนเที่ยงๆจาก ร้านป้านิรมล


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ข้าวคลุกกะปิ</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ขนมจีนแกงเขียวหวานไก่</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ขนมจีนน้ำยากะทิ</TD></TR></TBODY></TABLE>

    Travel - Manager Online
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สงสัยว่า จะปวดหัวกันแต่เช้าแน่ เหอๆๆๆ


    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    Gold Futures… ทางเลือกที่น่าสนใจในการลงทุน
    http://www.tsi-thailand.org/index.p...k=view&id=897&Itemid=204&limit=1&limitstart=0


    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#000000 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width="15%">
    [​IMG]
    </TD><TD vAlign=top width="90%">

    โดยคุณอติ อติกุล
    ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารอนุพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
    และวิทยากรอาสาของศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    1. การลงทุนใน Gold Futures เป็นทางเลือกใหม่ในการลงทุนได้อย่างไร ความน่าสนใจ
    และความเสี่ยงทางการลงทุน

    Gold Futures มีสินค้าอ้างอิงเป็นทองคำแท่งความบริสุทธิ์ 96.5% ซึ่งเป็นที่นิยมในการซื้อขายในประเทศไทย ผู้ลงทุน
    ที่ลงทุนใน Gold Futures 1 สัญญาเปรียบเสมือนได้ลงทุนในราคาของทองคำแท่งความบริสุทธิ์ 96.5% น้ำหนักจำนวน
    50 บาทของทอง (762.2 กรัม) โดยทั่วไปแล้ว การลงทุนในสินทรัพย์หลายๆ ประเภท เช่น หุ้น หุ้นกู้พันธบัตร ทองคำ จะเป็น
    การกระจายความเสี่ยงที่ค่อนข้างดี ประกอบกับการที่มีการค้นคว้าวิจัยในเรื่องของการลงทุนพบว่า... การมีทองคำเป็นส่วนหนึ่ง
    ของพอร์ตการลงทุนสามารถทำให้ความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตลดลงได้ และทำให้อัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยง
    มีค่าสูงขึ้น

    การลงทุนใน Gold Futures ใช้เงินลงทุนน้อยกว่าการลงทุนในทองคำแท่งโดยตรง หากสมมติว่าราคาทองคำแท่ง
    อยู่ที่ 15,000 บาท การลงทุนในทองคำแท่งน้ำหนัก 50 บาท จึงแทนมูลค่าทองคำ 750,000 บาท (15,000 x 50)
    ดังนั้น หากลงทุนใน Gold Futures 1 สัญญาก็เปรียบประหนึ่งได้ซื้อหรือขายทองคำน้ำหนัก 50 บาท ซึ่งมีมูลค่า 750,000 บาท อย่างไรก็ดี การลงทุนใน Gold Futures 1 สัญญาใช้เงินลงทุนเพียงแค่หลักประกันขั้นต้นที่ 66,500 บาทต่อ 1 สัญญาเท่านั้น โดยที่ตัวเลขหลักประกันขั้นต้นเป็นค่าคงที่ต่อ 1 สัญญาไม่ได้ผันแปรตามราคาของทองคำ
    ผู้ลงทุนสามารถทำกำไรใน Gold Futures ได้ทั้งราคาทองขาขึ้นและราคาทองขาลง ผู้ลงทุนกรณีที่คาดว่าราคาทอง
    จะขึ้น ผู้ลงทุนจะซื้อ Gold Futures เช่น ซื้อ Gold Futures ที่ 15,000 บาท หากผู้ลงทุนคาดการณ์ถูก Gold Futures วิ่งขึ้น
    ไปที่ 16,000 บาท ผู้ลงทุนจะได้กำไร 50,000 บาท [(16,000 - 15,000) x 50] แต่หากราคาทองวิ่งลงและ Gold Futures
    ลงไปที่ 14,000 บาท ผู้ลงทุนจะขาดทุน 50,000 บาท [(14,000 - 15,000) x 50]
    ในทางตรงข้าม กรณีที่ผู้ลงทุนคาดว่าราคาทองจะลง ผู้ลงทุนจะขาย Short Gold Futures เช่น ขาย Short Gold Futures
    ที่ 15,000 บาท หากผู้ลงทุนคาดการณ์ถูก Gold Futures วิ่งลงไปที่ 14,000 บาท ผู้ลงทุนจะได้กำไร 50,000 บาท
    [(15,000 - 14,000) x 50] แต่ถ้าราคาทองวิ่งขึ้นและ Gold Futures วิ่งขึ้นไปที่ 16,000 บาท ผู้ลงทุนจะขาดทุน 50,000 บาท [(15,000 - 16,000) x 50]

    Gold Futures ยังสามารถใช้ในการบริหารความเสี่ยง Port ทองคำแท่ง สำหรับ Gold Futures แล้วก็เปรียบเสมือน
    การลงทุนในทองคำที่ใช้เงินน้อยกว่า แต่เสมือนมีการลงทุนทองคำในพอร์ตได้แถมไม่ต้องขนเงินจำนวนมากไปเพื่อซื้อทองที่ร้าน โดยทำการซื้อ (Long) Gold Futures แทนการซื้อทองคำโดยตรง นอกจากนั้นยังสามารถที่จะใช้ Gold Futures ในการบริหารพอร์ตการลงทุนที่ถือทองคำแท่งอยู่แล้ว เช่น มองว่าราคาทองคำจะลดลงแต่ไม่อยากขายทองคำแท่งออกไป ผู้ลงทุนก็สามารถทำการขาย (Short) Gold Futures ได้ซึ่งเปรียบประหนึ่งเสมือนได้ขายทองคำออกไป ซึ่งการใช้ Gold Futures นั่นง่าย สะดวกปลอดภัยกว่าการถือทองคำแท่งไปขายที่ร้าน และไม่ต้องขนเงินไปซื้อกลับมาอีก
    การลงทุนใน Gold Futures มีความเสี่ยงแตกต่างกันกับการลงทุนในทองคำแท่งจริง การลงทุนใน Gold Futures สามารถ
    มีผลกำไรมากหรือขาดทุนมากกว่าการลงทุนในทองคำแท่งหลายเท่าตัว เนื่องจากการลงทุนใน Gold Futures ใช้เงินลงทุน
    วางเป็นหลักประกันไม่ถึง 10% ของมูลค่าทองคำ ทว่าหากลงทุนในทองคำแท่งต้องใช้เงินเต็มจำนวน ยกตัวอย่าง
    เช่น หากราคาทองคำเปลี่ยนแปลงไป 5% ผู้ลงทุนในทองคำแท่งอาจได้กำไรหรือขาดทุน 5% ของเงินลงทุน แต่ถ้าเป็น
    Gold Futures จะมีอัตราการขยายผลตอบแทนทวีคูณประมาณ 10 เท่า เมื่อราคาทองคำเปลี่ยนแปลงไป 5% ผู้ลงทุนใน
    Gold Futures อาจมีผลกำไรหรือขาดทุนสูงได้ถึง 50% ของมูลค่าเงินที่ใช้วางเป็นหลักประกัน นอกจากนี้ การลงทุนใน Gold Futures หากขาดทุนมากจนถึงระดับหนึ่งจะมีโอกาสถูกเรียกให้เติมหลักประกันเพิ่มได้
    Gold Futures ประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรม (Commission ต่ำ) และไม่มีค่าเก็บรักษาเมื่อเทียบกับการลงทุน
    ในทองคำแท่งจริง นอกจากนี้ หากลงทุนในทองคำแท่งจริงมีความยากลำบากในการขนย้ายทองคำแท่งระหว่างร้านทอง
    และที่เก็บรักษา นอกจากนี้ Gold Futures เปิดดำเนินการซื้อขายตามเวลาทำการปกติของตลาดอนุพันธ์ และมีราคาโปร่งใส
    ราคา Gold Futures บนกระดาน TFEX ขึ้นกับ Demand และ Supply ของผู้ลงทุนใน Gold Futures อีกทั้ง Gold Futures
    มีราคาเคลื่อนไหวต่อเนื่องและ Tick Size เล็กเพียงแค่ 10 บาท ต่อน้ำหนักทองคำ 1 บาท ซึ่งราคามีความละเอียดกว่าการซื้อขายทองคำแท่งจริง

    ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย Gold Futures

    [​IMG]
    2. วิธีการลงทุน
    ผู้ลงทุนต้องเปิดบัญชีอนุพันธ์กับ Broker ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจตัวแทนสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งจะแยกจาก
    บัญชีหุ้น โดยการลงทุนในอนุพันธ์นั้น ลูกค้าบุคคลจะต้องมีการวางหลักประกันเป็นเงินสดก่อนส่งคำสั่งซื้อขาย

    [​IMG]
    ทุกสิ้นวันทำการ สถานะการลงทุนใน Gold Futures ในพอร์ตลูกค้าจะถูก Marked-to-market เพื่อคำนวณผลกำไรขาดทุน
    ในแต่ละวัน หากลูกค้าลงทุนใน Gold Futures แล้วมีผลกำไร เงินในบัญชีของลูกค้าจะเพิ่มขึ้นทันที ในด้านตรงข้ามหากลงทุน
    ใน Gold Futures แล้วขาดทุน เงินในบัญชีก็จะลดลงในทันทีเช่นกัน หากหลัง Marked-to-market สิ้นวันแล้ว ลูกค้าขาดทุนจำนวนมาก จนกระทั่งเงินในบัญชีของลูกค้าลดลงต่ำกว่าระดับหลักประกันรักษาสภาพ (Maintenance Margin) ลูกค้าจะถูกเรียกให้เติมเงินหลักประกันเพิ่มเข้ามาให้กลับไปสู่ระดับหลักประกันขั้นต้นใหม่ (Initial Margin) ซึ่งต้องเติมเงินหลักประกันเข้ามาเพิ่มก่อนเวลา 15:55 น. ของวันรุ่งขึ้น
    หากระหว่างวัน Gold Futures มีความผันผวนสูง และสถานะ Gold Futures ที่ถือครองอยู่เกิดผลขาดทุนมากจนกระทั่งระดับเงินหลักประกันของลูกค้าเกิดลดลงไปต่ำกว่าระดับบังคับปิดสถานะ (FC) ภายในระหว่างวัน (Intra-day) Broker จะแจ้งให้ลูกค้าฝากเงินเข้าไปในบัญชีภายใน 1 ชั่วโมง เพื่อให้ระดับเงินประกันสูงกว่าระดับเงินประกันรักษาสภาพ หากลูกค้าไม่สามารถฝากเงินเข้ามา Broker มีสิทธิจะดำเนินการบังคับปิดสถานะเพื่อหยุดผลขาดทุนให้กับลูกค้าได้

    3. สิ่งที่ผู้ลงทุนต้องเตรียมตัวก่อนการลงทุน และกลุ่มเป้าหมายที่สามารถลงทุนใน Gold Futures
    ผู้ลงทุนควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินค้าระดับโลก จึงควรศึกษา
    การเคลื่อนไหวของราคาทองคำโลก รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทและเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีผลต่อราคาทองคำแท่งในประเทศไทย และ Gold Futures ที่ซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ นอกจากนั้น ยังควรศึกษาปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบ
    ต่อราคาทองคำโลก เช่น Demand และ Supply ในตลาดโลก อีกทั้งยังควรศึกษาลักษณะของ Gold Futures ที่ซื้อขาย
    กันในตลาดอนุพันธ์ รวมถึงความเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย ทั้งในเรื่องของเงินวางประกัน การถูกเรียกหลักประกันเพิ่ม
    และการถูกบังคับปิดสถานะ
    หากผู้ลงทุนต้องการลงทุนในราคาของทองคำแท่งระยะสั้นเพื่อทำกำไรเป็นรอบๆ หรือต้องการบริหารความเสี่ยงของพอร์ต
    การลงทุนในทองคำเป็นระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน การลงทุนใน Gold Futures จะมีความคล่องตัวมากกว่าการซื้อๆ ขายๆ ทองคำแท่งจริง โดยที่ Gold Futures นั้นเป็นตราสารอนุพันธ์ที่มีอายุจำกัด และในแต่ละช่วงเวลาจะมี Gold Futures ให้เลือกลงทุน
    อยู่ 3 สัญญา ซึ่งแต่ละสัญญาจะหมดอายุในเดือนเลขคู่ที่ใกล้สุดนับจากปัจจุบัน เช่น สมมติ ผู้ลงทุนยืนอยู่ที่เดือนเมษายน
    Gold Futures ก็จะมี 3 สัญญาให้เลือกลงทุน คือ Gold Futures ที่สิ้นอายุเดือน เมษายน, มิถุนายน และสิงหาคม ตามลำดับ ส่วนการลงทุนในทองคำแท่งโดยตรงนั้นเหมาะกับการถือลงทุนระยะยาว
    หากผู้ลงทุนมีพอร์ตลงทุนในทองคำแท่ง เช่น เป็นร้านค้าทองหรือผู้ที่ผลิตเครื่องประดับที่ต้องใช้ทองคำเป็นวัตถุดิบ สามารถ
    ใช้ Gold Futures ในการบริหารความเสี่ยงได้ เช่น ซื้อ Gold Futures เพื่อซื้อทองคำล่วงหน้า หรือ ขาย Gold Futures เพื่อขายทองคำล่วงหน้า การกระทำดังกล่าวช่วยล๊อคต้นทุนการซื้อหรือขายทองคำได้ หากผู้ลงทุนใช้ Gold Futures เพื่อเก็งกำไรในราคาทองขาขึ้นหรือขาลง ผู้ลงทุนต้องหมั่นดูสถานะของพอร์ตการลงทุนอย่างสม่ำเสมอหรืออย่างน้อยทุกสิ้นวัน เพราะราคา
    Gold Futures มีความผันผวน

    4. ผลตอบรับของผู้ลงทุนมีแนวโน้มเป็นอย่างไร และมองความพร้อมของผู้ลงทุนไทยปัจจุบันอย่างไร
    ผลตอบรับของผู้ลงทุนใน Gold Futures ค่อนข้างดี เพราะลูกค้าของ Broker ส่วนหนึ่งเคยลงทุนในตราสารอนุพันธ์อยู่แล้ว ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยของ Gold Futures ทั้งตลาดในช่วงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ - 3 เมษายน 2552 อยู่ที่ประมาณ 524 สัญญา
    ต่อวัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
    เปรียบเทียบการลงทุนในทองคำแท่ง, Gold Futures และ Single Stock Futures

    [​IMG]


    [​IMG]
    จากบทความข้างต้นนี้คงทำให้ผู้ลงทุนมีความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการลงทุนใน Gold Futures มากยิ่งขึ้น
    โดยผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมสัมมนาหลักสูตร “การลงทุนใน Gold Futures” หรือสามารถอ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.tsi-thailand.org ครับ


     

แชร์หน้านี้

Loading...