พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

นักวิจัยไต้หวันยัน"ชาเขียว"มีฤทธิ์ป้องกัน มะเร็งปอด-เผย"ยีน"ต่อสู้โรค

˹ѧ

นักวิจัยไต้หวันยัน"ชาเขียว"มีฤทธิ์ป้องกัน มะเร็งปอด-เผย"ยีน"ต่อสู้โรค

http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNeU5nPT0=&day=TWpBeE1DMHdNUzB4T0E9PQ==


<TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>
</TD></TR></TBODY></TABLE>
แพทย์มหาวิทยาลัยบนเกาะไต้หวัน เก็บข้อมูลกลุ่มตัวอย่าง 500 กว่าคน พบหลักฐานชัดเจนมากขึ้นว่า "ชาเขียว" มีฤทธิ์ป้องกันโรคมะเร็งปอด ทั้งในกลุ่มคนสูบและไม่สูบบุหรี่

นายแพทย์ไอ-ชิน ลิน จากมหาวิทยา ลัยการแพทย์ชาน แยกผู้ร่วมทดลองออกเป็น 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มสูบบุหรี่และไม่สูบ จากนั้นให้ดื่มชาเขียวอย่างน้อยวันละ 1 ถ้วย ผลลัพธ์เบื้องต้นพบว่า ความเสี่ยงป่วยเป็นมะเร็งปอดในหมู่ผู้ทดลองลดลงแบบมีนัยสำคัญ และประสิทธิภาพในการป้องกันก็ดีขึ้นในคนที่มียีนบางชนิดในร่างกาย

"ในกลุ่มผู้สูบและไม่สูบบุหรี่นั้น คนไม่ดื่มชาเขียวมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดสูงกว่าคนที่ดื่มชาเขียวอย่างน้อยวันละถ้วย 5 เท่า และกลุ่มผู้สูบบุหรี่และไม่ดื่มชาเขียว จะมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดสูงกว่าคนสูบบุหรี่แต่ดื่ม ชาเขียวสูงกว่า 12 เท่า" นายแพทย์ลิน กล่าว

คณะของลินยังวิเคราะห์หน่วยพันธุกรรม หรือ ดีเอ็นเอของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า มียีนบางตัวที่ดูเหมือนมีบทบาทช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็ง โดยคนที่สูบและไม่สูบบุหรี่ที่ดื่มชาเขียวและมียีนชื่อ "ไอจีเอฟ-1" จะมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดน้อยกว่าคนไม่มียีนชนิดนี้

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยมะเร็งในอังกฤษ ให้สัมภาษณ์บีบีซีว่า ไม่ควรนำผลวิจัยของลินมาใช้เป็นข้ออ้างเพื่อสูบบุหรี่ต่อไป เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้ปอดเต็มไปด้วยสารเคมีประมาณ 80 ชนิดที่ก่อมะเร็ง การดื่มชาเขียวจึงเข้ามาแก้ไขความเสี่ยงจุดนี้ไม่ได้ วิธีห่างไกลจากโรคมะเร็งปอดดีที่สุดที่คือต้องเลิกสูบบุหรี่

ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมทั่วทวีปเอเชีย และอัตราป่วยเป็นมะเร็งของประชากรในภูมิภาคนี้ต่ำกว่าพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของโลก จึงตั้งสมมติฐานว่ามีความสัมพันธ์บางประการระหว่างชาเขียวกับโรคมะเร็ง ที่ผ่านมา มีการศึกษาพบว่าสารสกัดชาเขียว "โพลิฟินอลส์" มีคุณสมบัติหยุดยั้งเซลล์มะเร็งของสัตว์ทดลองไม่ให้เติบโต แต่ผลศึกษากับมนุษย์ยังได้ผลลัพธ์ไม่ชัดเจน

 

ในเดือนนี้ ชมรมรักษ์พระวังหน้า ไม่มีการประชุม

แต่ผมเอง จะไปกราบท่านอาจารย์ประถม หากท่านใดสนใจที่จะไป โทร.สอบถามผมว่า ผมจะไปในวันไหนครับ


ขอบคุณครับ

.

 

วันนี้เป็นที่น่าแปลก ไปสำรวจพระที่เก็บไว้ ก็ไปพบหลวงพ่อทันใจ วัดศรี(มหา)ราชา ปี ๒๕๑๓ เข้า เมื่อมาอ่านทบทวนประวัติการสร้างพระก็พบว่าตรงกับวาระสำคัญ ๒ วาระในเดือนนี้ คือ

วาระที่ ๑ เป็นเดือนระลึกการมรณภาพของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร ในวันที่ ๘ เดือนมกราคม ของทุกปี

วาระที่ ๒ วันนี้(๑๘ มกราคม) ตรงกับวันมรณภาพ(๑๘ มกราคม ๒๕๓๗)ของหลวงพ่อผิว(พระครูปริยัติวราทร) เจ้าอาวาสองค์ที่ ๕ วัดศรีมหาราชา นับเป็นเวลา ๑๖ ปีแล้ว

ขออนุโมทนากับน้องกวงที่ post เผยแพร่ประวัติของวัด และหลวงพ่อผิวให้สาธุชนได้ศึกษาด้วยครั


ิประวัติวัดศรีมหาราชา อำเภอศรีราชา จังหวัด ชลบุรี
วัดศรีมหาราชา เดิมเรียกว่า “วัดศรีราชา” เฉยๆตามชื่อตำบล จะสร้างขึ้นตั้งแต่ปีใด ไม่ทราบแน่ แต่ปรากฏชื่อในทำเนียบวัดตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๗๔ ชาวบ้านศรีราชาคงเป็นผู้ร่วมกันสร้างขึ้นก่อนและได้ช่วยกันบำรุงรักษาสืบต่อกันมาจวบจนปัจจุบัน<O</O
ในระยะแรกๆวัดศรีมหาราชามีเนื้อที่ประมาณ ๗ไร่ เศษ การปกครองวัดในสมัยนั้น พระธรรมยุตฯและพระมหานิกายอยู่ร่วมกันในอารามเดียวกัน แต่แบ่งคณะ ทำสังฆกรรมแยกกันตามหลักฐานการผูกพัทธสีมาของวัดนี้ ปรากฏว่า พระเทพกวี(นิ่ม)วัดเครือวัลย์วรวิหาร จังหวัดธนบุรี(ในสมัยนั้น) ซึ่งเป็นคณะธรรมยุตฯเป็นผู้ผูก บางครั้งคณะธรรมยุตฯปกครอง บางครั้งคณะมหานิกายก็ปกครองนานเข้าจึงมีแต่คณะมหานิกาย จนกระทั่งสมเด็จกระพันวัสสาอัยิกาเจ้า(ครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาพระบรมราชเทวี ในรัชกาลที่ ๕) ได้เสด็จแปรพระราชฐานมาประทับ ณพระตำหนักน้ำชายทะเลศรีราชา ซึ่งท่านจอมพล มหาอำมาตย์เอกเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต) เป็นผู้สร้างถวาย (บริเวณที่ตั้งโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ในปัจจุบันนี้ )เสด็จมาประทับเป็นครั้งคราว ในระหว่างที่ประทับอยู่ที่ศรีราชา ก็ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเนืองนิจ โดยมีพระราชประสงค์ ให้มีพระธรรมยุติก นิกายแต่ในเวลานั้นศรีราชายังไม่มีพระธรรมยุติกนิกายจึงโปรดเกล้าฯให้ท่านเจ้าพระยาสุรศักดิ์ฯ นิมนต์พระธรรมยุตฯ มาประจำที่ศรีราชาท่านเจ้าพระยาสุรศักดิ์ จึงแจ้งขอไปยังเจ้าคณะมณฑลปราจีนบุรี ซึ่งเวลานั้นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรมหาเถร)) เป็นเจ้าคณะฯ (ครั้งดำรงสมณศักดิ์เป็นพระราชมุนี) ท่านจึงบัญชาให้ พระชลโทปมคุณมุนี (พุฒ “ปุณณกเถร”) วัดเขาบางทราย ซึ่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดชลบุรี (ธ)จัดหาพระไปอยู่ที่ศรีราชา ทางเจ้าคณะจังหวัดฯจึงจัดให้ พระเขมทัสสีชลธีสมานคุณ (เอี่ยม “เมฆียเถร” บุรประทีปครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระครูพุทธกิจบริหาร)และพระครูพิบูลธรรมกิจ (พระอาจารย์เผือก “ฉันนเถร” วัดช่องลม บางละมุง) และพระอื่น ๆ รวม ๑๑ รูป ไปประจำที่ศรีราชาช่วงแรกมาจำพรรษา ที่วัดศรีมหาราชา ๑ พรรษาจนเสนาสนที่เกาะลอยเสร็จจึงได้ย้ายมาอยู่ที่เสนาสนเกาะลอย (ต่อมาที่พักสงฆ์เกาะลอยได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เป็นวัดเกาะลอยศรีมหาราชาประกาศใน พระราชกิจจานุเบกษา ปีใด จำไม่ได้) โปรดเกล้าพระราชทานพระกฐินเป็นประจำทุกปี และพระราชทานภัตตาหาร แด่พระสงฆ์เป็นเนืองนิจจนมิได้เสด็จฯมาประทับศรีราชา ที่เกาะลอยฯ จึงร้างไป จนมาถึงสมัยหลวงพ่อผิวจึงได้มีพระไปประจำอยู่ที่เกาะลอยอีก จนถึงปัจจุบัน<O</O
ต่อมาปี พ.ศ.๒๔๖๙ วัดพระศรีมหาราชา เปลี่ยนการปกครองเป็นวัดคณะธรรมยุตฯโดยความเห็นชอบร่วมกันของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ และท่านเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีฯพร้อมกันนั้นพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยากำแพง
เพชรอัครโยธินก็ได้ประทานถวาย “หลวงพ่อทันใจ”มาเป็นพระประธานในพระอุโบสถ ในปี พ.ศ.๒๔๗๓ภายหลังจึงได้ลงรักปิดทองในสมัยหลวงพ่อผิวและท่านพระอาจารย์ธีรชัยก็ปิดทองอีกครั้งในปี พ.ศ. ๒๕๔๐และในปี พ.ศ.๒๔๗๓ ม.จ.หญิงไขศรี ปราโมช ได้ทรงซื้อที่ดินซึ่งติดกับที่ของวัดถวายวัดอีก ๖ ไร่เศษต่อมาคุณหญิงสงวน สุรศักดิ์ ได้บริจาคที่ดินซึ่งติดกับวัดถวายอีก ๑ ไร่เศษรวมที่ดินที่ตั้งวัดที่ตรวจสอบเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๘ มี ๑๓ ไร่ เกือบๆ ๑๔ ไร่ที่ขาดหายไปคงเป็นถนนบ้าง<O</O
ลำดับเจ้าอาวาสก่อนหน้านี้ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าท่านใดเป็นเจ้าอาวาสฯบ้างที่มีการบันทึกไว้จึงมีตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๔๖๙ -ปัจจุบัน
๑. พระมหาเปรม “เปมกโร” พ.ศ.๒๔๖๙
๒. พระครูธรรมธร (เที่ยง “ญาณอุชุโก”)
พ.ศ.๒๔๗๐ ถึง ๒๔๘๒
๓. พระภิกษุสมบุญ พ.ศ.๒๔๘๒ (เป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสฯ)
๔. พระภิกษุบุญช่วย “สุสังคโห” พ.ศ.๒๔๘๓-๒๔๘๔ (เป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสฯ) หลังจากนั้นก็ว่างเจ้าอาวาสฯลงมีคณะสงฆ์ช่วยกันดูแลรักษาจนถึงปี พ.ศ.๒๔๘๖
๕. พระครูปริยัติวราทร (พระมหาผิว “ปนันโท” รัตนจินดา)
๖. พระครูปริยัติวราทร ( ธีรชัย “ญาณธโร” กฤตลักษณ์)
พ.ศ. ๒๕๓๗ จนถึงปัจจุบัน
(บันทึกเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์พ.ศ.๒๕๔๕)<O</O



พระครูปริยัติวราทรพระเมตตาเมืองชลบุรี
พระครูปริยัติวราทร หรือหลวงพ่อผิว วัดศรีมหาราชาเขตเทศบาลเมืองศรีราชา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เป็นพระผู้มากด้วยความเมตตา สันโดษปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ แม้มรณภาพไปนานแล้วแต่ท่านยังเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวเมืองศรีราชาตลอดมา

อัตโนประวัติมีนามเดิมว่า ผิว รัตนจินดา เกิดเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2456 ที่ต.เสม็ด อ.เมืองจ.ชลบุรี เป็นบุตรของนายพลัดและนางผ่อน รัตนจินดา

เมื่อวัยเด็กเรียนหนังสือที่โรงเรียนพุทธยาคม วัดเขาบางทราย จ.ชลบุรี จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ต่อมาเมื่ออายุ 13 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดเขาบางทรายโดยมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร) วัดเทพศิรินทร์เป็นพระอุปัชฌาย์

ขณะเป็นสามเณร ได้ศึกษาพระธรรมวินัยอย่างจริงจัง จนอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2477 โดยมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระเขมทัสสีวัดเขาบางทราย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระปลัดฮวดหลี วัดเขาบางทรายเป็นพระอนุสาวนาจารย์


เมื่ออุปสมบทแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเขาบางทรายได้ศึกษาพระปริยัติธรรม สามารถสอบนักธรรมตรี-โท-เอก ตามลำดับ จากนั้นท่านได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดเทพศิรินทร์ ต่อมาสอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยคจึงได้ย้ายกลับมาอยู่วัดเขาบางทราย มาสอนธรรมและบาลี

ในระหว่างนั้นท่านได้ศึกษาวิทยาคมจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์, เจ้าคุณพระวิสุทธิสมาจารย์ (ศรี)วัดอ่างศิลา, เจ้าคุณวรพรตปัญญาจารย์ (เฮี้ยง) วัดอรัญญิกาวาส ชลบุรีและพระครูวรเวทมุนี (หลวงพ่ออี๋) วัดสัตหีบรวมทั้งเกจิอาจารย์ชื่อดังในสมัยนั้นอีกหลายองค์

พ.ศ.2486 ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศรีมหาราชา เขตเทศบาลเมืองศรีราชา อ.ศรีราชา ได้ว่างลงสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ได้ส่งหลวงพ่อผิวเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีมหาราชา

หลวงพ่อผิว ได้ทำการพัฒนาวัดบูรณะซ่อมแซมด้วยกำลังกายและกำลังใจสร้างศรัทธาให้แก่ชาวศรีราชาได้ประจักษ์

หลวงพ่อเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนมักน้อยสันโดษเป็นผู้ไม่อยากได้ลาภสักการะ เกียรติยศชื่อเสียงตลอดระยะเวลาที่ท่านปกครองวัดศรีมหาราชาท่านได้นำปัจจัยที่ได้รับการบริจาคมาเป็นค่าก่อสร้างถาวรวัตถุภายในวัดมากมาย

ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2486 มหาผิวได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีมหาราชา พ.ศ.2496 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ.2506 ได้รับตำแหน่งพระครูชั้นตรีตำแหน่งพระครูปริยัติวราทร พ.ศ.2507 รับตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอชลบุรี ฝ่ายธรรมยุตพ.ศ.2508 รับตำแหน่งพระครูชั้นโท สมณศักดิ์ที่พระครูปริยัติวราทร พ.ศ.2523 รับตำแหน่งพระครูชั้นเอกในสมณศักดิ์ที่พระครูปริยัติวราทร พ.ศ.2529 รับตำแหน่งพระครูชั้นพิเศษสมณศักดิ์ที่พระครูปริยัติวราทร

พระครูปริยัติวราทร (หลวงพ่อผิว)มีความเมตตากรุณาต่อลูกศิษย์และคนทั่วๆ ไปที่เข้าไปขอพรและขอความเมตตาอนุเคราะห์จากท่าน

หลวงพ่อผิวได้สร้างพระเครื่องไว้เป็นที่ระลึกแก่ผู้ร่วมบริจาคสร้างถาวรวัตถุในวัด คือเหรียญหลวงพ่อทันใจ วัดศรีมหาราชา รุ่นพิเศษ พ.ศ.2513 เป็นพระประธานในพระอุโบสถและเป็นเหรียญที่พระภิกษุเจ้าคุณนรรัตราชมานิต แห่งวัดเทพศิรินทร์ได้ร่วมอธิษฐานจิตให้ด้วย ซึ่งสร้างไว้จำนวนไม่มากนักผู้ที่มีไว้ครอบครองต่างหวงแหนยิ่งนักมีชื่อในทำเนียบของนักสะสมพระเครื่องอีกรุ่นนึง

ครั้นล่วงถึงวัย 80 ปีหลวงพ่อเริ่มมีอาการอาพาธเป็นระยะ ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.2534 ต้องเข้าออกรับการรักษาจากทางโรงพยาบาลเป็นประจำ

วันที่ 26 มีนาคม 2535 ท่านมีอาการทรุดหนักต้องกลับไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวีฯ

จวบกระทั่ง วันที่ 18 มกราคม 2537 ท่านได้ถึงแก่มรณภาพอย่างสงบ

การมรณภาพของท่านได้สร้างความเศร้าสลดแก่คณะลูกศิษย์ลูกหาและผู้ที่เคารพนับถือในตัวหลวงพ่อผิวเป็นอย่างยิ่ง

หากเจาะข้อมูลให้ลึกๆลงไปหากท่านใดศึกษาประวัติของหลวงพ่อท่าน ก็จะทราบว่าท่านไม่ธรรมดา เพราะมีอุปัชฌาย์คือ พระสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรมหาเถร) เป็นองค์เดียวกันกับท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต และก็เป็นศิษย์น้องของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตนั่นเอง หากท่านผู้ใดที่ได้รู้จักเคารพนับถืออาจารย์ปู่ประถม อาจสาคร ก็จะทราบว่าท่านมักเอ่ยถึงพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบในจ.ชลบุรีอยู่หลายองค์


เมื่อทราบที่มาที่ไปแล้ว จึงไม่แปลกใจว่า ทำไมท่านเจ้าคุณนรรัตนรามานิตถึงได้มีเมตตาสงเคราะห์การจัดสร้างพระชุดนี้ที่วัดศรีมหาราชา จ.ชลบุรี..

พระพิมพ์ที่วัดศรีมหาราชาจัดสร้างในพิธี ๒๕๑๓ นี้ไม่เพียงพระผงหลวงพ่อทันใจเท่านั้น ยังมีพระสมเด็จทันใจเนื้อเงิน และกระไหล่ทองอีกด้วย

 

ผมมียานวดแก้เคล็ดนะครับ บอกผมได้เลย

 

ใส่แล้ว ต้องให้หมอนวดคอยทุบ..อิ..อิ...

 

ท่านใดแขวนแบบคุณหนุ่มนี้ ต้องเสริมลำคอให้แข็งแรงรับน้ำหนักกดทับได้ราว 2 ก.ก. หรือต้องเรียกใช้บริการจัดกระดูกคอจากผมนะ หรือจะสั่งลูกประคบสมุนไพรก็ได้ครับ...

 

สงสัยที่ร่ำเรียนมานี่ ท่านจะส่งไปเรียนมาให้บริการรักษากับคณะรักษ์พระวังหน้าโดยตรงหรือเปล่าน๊อ.......

 

เซ็งเลย พึ่งรู้ว่ามีองค์เล็กด้วยนะครับเนี่ย ...

สำหรับศิลปะการใช้พระเครื่องในเบญจภาคียังพอมองออกครับ คล้าย TV tunning หลายความถี่ อีกอย่างเราไม่ติดใจแสวงหามาอาราธนา แต่พระวังหน้ามีหลายรูปแบบ ทรงพิมพ์ องค์เสก มากกกกกก ผู้มีความรู้ยังไม่มากในเรื่องนี้ ก็ไม่รู้จะจัดชุดยังไงดี ขอลูกพี่ช่วยหลังไมค์ไว้ พอเป็นวิทยาทานสักเล็กน้อยนะครับ โมทนาสาธุครับ

 

พี่มาถูกทางแล้วครับ ผมขอให้พี่รักษาผมหน่อยครับ

 

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องที่แก๊งบัวใต้น้ำที่ยังไม่รู้อีก

เช่น เทวดาประจำองค์พระพิมพ์ หรือ เทวดาประจำองค์พระพุทธรูปลอยองค์หรือพระบูชา ยังแตกต่างกันอีกใช่หรือเปล่าครับคุณnongnooo ที่เคยนำรูปพระบูชาให้ชมในวันงานครบรอบ 2 ปี ทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อิอิ

จะเป็นอย่างไร ชาวชมรมรักษ์พระวังหน้า และ คณะพระวังหน้า ส่วนใหญ่น่าจะทราบกันดีครับ

 

คุณสมบัติเซ็ง แต่ผมมึนๆงงๆนะครับ แต๋ก็ต้องใช้เวลา(Take time)ขนาดจะหาเวลามาถ่ายผมเก็บเป็นบันทึกแล้วมา สอบถามผู้รู้ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากอะไรก่อน-หลังนะคร้าบ

 

อ่า...โยนไปมีโยนกลับมานาท่านนา ครับ หุ หุ

 

ไม่ได้หนักมากถึงขนาดนั้นครับคุณเพชร

ผมพอรู้กำลังครับ ห้อยเยอะไม่ไหวครับ

จริงๆแล้วทั้งท่านอาจารย์ประถม และ พี่ใหญ่ บอก(มาหลายครั้งมาก)แล้วว่า ให้ห้อยเพียงองค์เดียว ก็พอแล้วครับ

แต่เนื่องจากใจของผมเอง ยังรักองค์นี้ เสียดายองค์นั้น อยู่ ก็เลยยังตัดไม่ขาดที่จะห้อยองค์เดียว ส่วนผบทบ.ผม ห้อยองค์เดียว (แอบมาบอกกันว่า ห้อยพระสิวลีเนื้อทองแปดบุทองคำ องค์เดียว) ครับ

 

ขอจดก่อนนะครับ จะให้แม่บ้านผมเค้าใส่ดีไหม หรือ ผมห้อยเองดีกว่าจะได้คู่กับ สมเด็จกลักไม้ขีดและพระกริ่งครับ พอไหวไหมครับ

 

ได้ครับ

พอจะมีความรู้อยู่นิดๆหน่อยๆ ถ้าไม่ทราบ จะไปถามท่านผู้รู้มาให้ครับ


.

 

ผมก็ทราบในบางเรื่องจากคุณnongnooo แหละครับ อิอิ
Action = Reaction
.

 

พูดถึงท่านผู้บัญชาการ เมื่อคืนมีเรื่องเล่าครับ เค้าถอดสร้อยไว้ที่อีกบ้านแล้วลืมห้อยมานึกขึ้นได้ตอน23.00นเมื่อคืน เค้าก็บ่นว่าตายแล้วพรุ่งนี้ต้องไปพบ ผู้นำสูงสุดขององค์กร ไม่ห้อยพระขาดความมั่นใจแย่ ผมก้แจ้งว่างั้นเอาที่ผมห้อยประจำไปรึกัน เค้าก็บอกว่าแล้วมี....รึเปล่า แล้วมี.......รึเปล่า แล้วมี.......รึเปล่า โอ๊ยผมบอกว่าใครจะไปหาให้ทันกลับไปเอามาให้เลยรึกันครับ 55555555ต้องตามท่านสั่งครับ 1ในที่ท่านสั่งคือพิมพ์อกครุฑอาบน้ำว่านครับ พอกลับมาเที่ยงคืนกว่านำมาห้อยเค้าก็บอกอย่างนี้สิถึงมั่นใจได้ หุ หุ

 

อีกหน่อยก็เก่งครับ

.

 

หากได้พิมพ์พิเศษ(เป็นที่รักของสามโลก)ที่เป็นพิมพ์ใหญ่ แล้ว รับรองได้ว่า ยอดเยี่ยมกว่า พิมพ์อกครุฑอาบน้ำว่าน หรือ พิมพ์อกครุฑ แน่นอน

หากห้อยทั้งสองพิมพ์ ยิ่งพิเศษขึ้นไปอีก อิอิ

 

เห็นคุณน้องนู๋ชอบเอาลายนิ้วมือคนโบราณมาให้ชม แบบนี้พอจะโบราณรึเปล่าครับ