พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"อาหารหมดอายุ" เสี่ยงกินหรือตัดใจทิ้ง !?!</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>2 มกราคม 2553 13:16 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD><TD><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>กระเช้าของขวัญสำเร็จรูปที่นิยมมอบเป็นของขวัญให้แก่กันในช่วงเทศกาลปีใหม่</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ขนมนมเนยนานาชนิดที่ซูเปอร์มาร์เก็ตบางแห่งนำมาจำหน่ายลดราคาเมื่อสินค้าใกล้ถึงวันหมดอายุ</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>น้ำผลไม้พร้อมดื่มบรรจุกล่องที่ผ่านการสเตอริไลส์สามารถเก็บไว้ได้นานหลายเดือนหรือเป็นปีโดยไม่ต้องแช่เย็น</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ผลไม้กระป๋อง หากเลยวันหมดอายุแล้วไม่นานนักก็ยังสามารถบริโภคได้โดยไม่มีอันตราย แต่สีสันและรสชาติอาจผิดเพี้ยนไปบ้าง</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>EXP หมายถึง "วันหมดอายุ" และไม่ควรบริโภคหลังจากวันนั้น</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>Best Before หมายถึง "ควรบริโภคก่อน" และสามารถบริโภคได้หลังจากวันนั้นไม่นานนัก แต่สีสัน รูปร่างหน้าตา และรสอาจผิดเพี้ยนไปจากเดิมเล็กน้อย</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>อาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง มักระบุวันที่ "ควรบริโภคก่อน" ฉะนั้นหากเก็บรักษาไว้ในสภาพที่เหมาะสม แม้จะเลยวันที่ระบุไปแล้วไม่นานนักก็ยังสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>เทศกาลปีใหม่หลายคนตื่นเต้นยินดีที่ได้กระเช้าของขวัญมากมาย แต่บางคนถึงกับต้องบ่นอุบ เมื่อพบว่าขนมนมเนยในกระเช้าของขวัญราคาแพงที่เพิ่งได้มาหมาดๆ จวนเจียนจะถึงวันหมดอายุในอีกวันสองวัน แล้วอย่างนี้จะทำอย่างไรดีถ้ามีมากมายจนกินไม่ทันก่อนวันหมดอายุ

    อีกทั้งบ่อยครั้งที่เราซื้อนม ขนมปัง หรืออาหารที่มีวันหมดอายุ แล้วกินไม่ทัน หรือเก็บไว้จนลืม พอนึกขึ้นได้อีกทีก็เลยวันหมดอายุไปแล้ว จะทิ้งก็เสียดาย ครั้นจะกินเข้าไปก็ไม่วายกลัวอาหารเป็นพิษ เรื่องนี้ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ มีคำอธิบายจาก นางดรุณี เอ็ดเวิร์ดส นายกสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารแห่งประเทศไทย หรือ โฟสแตต (FoSTAT)

    นางดรุณีอธิบายว่า โดยทั่วไปการบอกวันหมดอายุของผลิตภัณฑ์อาหารจะมี 2 แบบ คือ ควรบริโภคก่อน (Best Before) และ วันหมดอายุ (Expired Date) ซึ่งคนส่วนใหญ่มักสับสนกันว่าทั้ง 2 คำนี้หมายถึงวันหมดอายุ แต่ที่จริงแตกต่างกันคือถ้าเป็น Expired Date หมายถึง หลังจากวันนั้นแล้วห้ามรับประทานหรือไม่ควรบริโภค แต่ถ้าเป็น Best Before หมายถึง อาหารจะมีลักษณะและรสชาติดีจนถึงวันนั้น และอาจเปลี่ยนแปลงไปหลังจากวันนั้น แต่ไม่มีปัญหาในเชิงความปลอดภัย จึงยังสามารถรับประทานได้โดยไม่มีอันตราย

    "หากเราจะบริโภคหลังจากวันหมดอายุที่เขาระบุไว้ อันที่จริงมันไม่มีอันตราย เพราะในเรื่องของการทำการศึกษา ว่า หมดอายุเมื่อไหร่ หรือว่าบริโภคก่อนเมื่อไหร่ก็แล้วแต่ เขาจะมีค่าความปลอดภัย (Safety factor) ของอาหารแต่ละชนิดหลังวันดังกล่าวอยู่แล้ว แต่ตามกฎหมายให้ยึดถือตามวันที่ระบุบนฉลากว่าเป็นวันหมดอายุของผลิตภัณฑ์นั้นๆ" นางดรุณีแจง และยกตัวอย่างอาหารแต่ละประเภทที่มีการระบุวันหมดอายุว่า หากเลยวันหมดอายุไปแล้ว ควรจะบริโภคดีหรือไม่ ดังต่อไปนี้

    ผลิตภัณฑ์นมและน้ำผลไม้

    - นมพาสเจอร์ไรส์ (pasteurization) มักบรรจุในถุงหรือขวดพลาสติก และมีอายุการเก็บรักษาสั้นเพียงไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ และต้องเก็บรักษาในที่อุณหภูมิต่ำ เพราะผ่านการฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิไม่สูงมาก ทำลายเฉพาะเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นอันตราย แต่ยังมีเชื้อจุลินทรีย์อื่นๆ หลงเหลืออยู่ ซึ่งเมื่อมีมากเกินไป ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ จึงไม่แนะนำให้บริโภคหากเลยวันหมดอายุแล้ว

    - นมสเตอริไลส์ (sterilization) ที่มักบรรจุในกระป๋อง และ นมยูเอชที (Ultra High Temperature) ที่มักบรรจุกล่อง นมประเภทนี้จะผ่านการฆ่าเชื้อด้วยอุณหภูมิสูงมาก จึงสามารถเก็บไว้ได้ที่อุณหภูมิห้องในภาชนะปิดสนิทเป็นเวลาประมาณ 6 เดือน แต่หากเกินกว่านั้นไปแล้วประมาณ 1-2 เดือน ก็ยังสามารถบริโภคได้อยู่ แต่ทางที่ดีนั้นไม่ควรบริโภคเมื่อพบว่าหมดอายุแล้ว

    สำหรับน้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มบรรจุขวด กล่อง และกระป๋องนั้นก็มักผ่านกรรมวิธีการผลิตและมีวิธีการเก็บรักษาคล้ายกับผลิตภัณฑ์นม

    ขนมปังและเบเกอรี่

    - ขนมปังอบกรอบ แครกเกอร์ หรือคุกกี้ มักไม่ค่อยพบปัญหาเรื่องเชื้อจุลินทรีย์เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่อบจนแห้งมาก ไม่ค่อยพบการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ทำให้เก็บรักษาได้นาน ทว่าวันหมดอายุของผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักเป็นสิ่งที่รับประกันคุณภาพ ในเรื่องรูปร่างหน้าตาและความกรอบอร่อย เพราะถ้าเก็บไว้นานเกินไป ก็จะมีโอกาสดูดความชื้นจากบรรยากาศได้และทำให้หายกรอบและไม่อร่อย แม้จะยังไม่เสียก็ตาม

    - ขนมปังปอนด์และขนมปังอบทั่วไป ซึ่งไม่ได้ใช้ความร้อนสูงมากเท่าขนมปังกรอบ มักมีอายุการเก็บรักษาประมาณ 10 วัน และหากเก็บรักษาในที่แห้ง อุณหภูมิต่ำ หรือในตู้เย็น ก็สามารถยืดอายุได้ราว 2-3 วัน และยังสามารถรับประทานได้อยู่ แต่หากมีการเก็บไว้บริโภคซ้ำหลายวัน การเปิดปิดภาชนะบรรจุบ่อยครั้ง และเก็บรักษาไม่ดีพอ ก็อาจทำให้อายุการเก็บรักษาสั้นลงได้ เพราะความชื้นจากอากาศและเชื้อจุลินทรีย์ภายนอก ที่ปนเปื้อนเข้าไปจะทำให้ขนมปังเสียได้ง่าย

    อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ขนมปังโดยทั่วไปมักเสียเนื่องจากเชื้อรา และสามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า หากพบว่ามีเชื้อราหรือมีเส้นใยฟูๆ ขึ้นตามขนมปัง ก็ไม่ควรรับประทานอีกต่อไป

    อาหารกระป๋อง

    อาหารกระป๋องโดยทั่วไป มีอายุการเก็บรักษานานกว่าอาหารในบรรจุภัณฑ์ประเภทอื่น เพราะผ่านกระบวนการผลิตที่มีการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์อย่างดีมาก จึงมักเก็บรักษาได้นานประมาณ 1-2 ปี เช่น ผลไม้กระป๋อง และปลากระป๋อง และหลังจากเลยวันหมดอายุไปแล้วไม่กี่วันก็ยังสามารถรับประทานได้โดยไม่มีอันตรายใดๆ เพียงแต่ลักษณะหรือสีสันอาจแปรเปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อยเท่านั้น

    เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์

    เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ ที่วางจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตมักระบุวันหมดอายุไว้ด้วย และส่วนใหญ่เก็บรักษาอยู่ในที่อุณหภูมิต่ำตลอดเวลา รวมทั้งผ่านกระบวนการผลิตที่ค่อนข้างสะอาด และการแบ่งจำหน่ายก็มักไม่มีการสัมผัสกับเนื้อสัตว์โดยตรง จึงลดโอกาสการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ในระดับหนึ่ง และโอกาสเน่าเสียก็จะน้อยกว่าเนื้อสัตว์ที่จำหน่ายในตลาดสดทั่วไป

    ดังนั้นแม้จะเลยวันหมดอายุที่ระบุไว้แล้ว แต่หากยังมีลักษณะที่ดี มีสีสันสดตามธรรมชาติ และไม่มีเมือก ก็ยังสามารถนำมาปรุงอาหารได้ และหากเก็บรักษาแช่แข็งไว้ในตู้เย็นก็จะช่วยยืดอายุและรักษาคุณภาพไปได้อีกหลายวัน

    อย่างไรก็ตาม นายกสมาคมโฟสแตตแนะนำเพิ่มเติมว่า การบริโภคอาหารทุกชนิด จะต้องดูลักษณะหน้าตาของอาหารก่อนเป็นอันดับแรก ว่าผิดปกติไปจากธรรมชาติที่ควรเป็นหรือไม่ เช่น มีเส้นใยฟูๆ หรือ มีลักษณะเป็นเมือกหรือไม่ ถ้ามีก็ไม่ควรซื้อและไม่ควรรับประทาน หรือหากซื้ออาหารมาแล้วควรเก็บที่อุณหภูมิต่ำ ซึ่งจะช่วยควบคุมเชื้อจุลินทรีย์ได้ หรืออาจทำให้สุกก่อนรับประทาน

    ทั้งนี้ หากอาหารยิ่งใกล้วันหมดอายุ ก็ควรรีบรับประทานให้หมดเสียก่อน และหากพบว่าเลยวันหมดอายุแล้ว ไม่ควรรับประทานจะดีที่สุด.

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    Science - Manager Online
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"สวัสดีปีใหม่" ขอให้รวยด้วย 7 วิธี
    Life & Family - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>1 มกราคม 2553 10:02 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เริ่มต้นปีใหม่ วันใหม่ แน่นอนว่าหลายคนอาจใช้เวลานี้เป็นการเริ่มต้นทำอะไรใหม่กันบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม หรือการตั้งเป้าหมายทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

    ทั้งนี้ ความต้องการอย่างหนึ่งที่คนส่วนใหญ่แฏิเสธไม่ได้นั่นก็คือ การมีเงินทองเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปีที่ผ่านมาอาจยังเก็บเงินไม่ได้ตามที่ต้องการ ขณะที่บางคนอาจไม่มีเงินเก็บเลยด้วยซ้ำไป ครั้งนี้ทางทีมงานจึงขอแนะนำเคล็ดลับที่ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากเกินไปมาฝากกัน เพื่อให้วันนี้เป็นวันเริ่ม ต้นที่เดินถูกทาง เพื่ออีกสามร้อยกว่าวันข้างหน้าจะได้มีเงินเก็บเหมือนคนอื่นเขาบ้าง

    อย่างไรก็ดี เมื่อการเงินคือความมั่นคงในชีวิต 7 วิธีดังต่อไปนี้ ก็จะเป็นหนทางสู่ความพอเพียงในอนาคต...

    1. มีน้อยใช้น้อย มีมากก็ใช้น้อย

    วิธีเบสิกที่สุดและได้ผลมากที่สุดเช่นกันเมื่อคุณหาได้เงินได้เท่าไรคุณต้องใช้ให้น้อยกว่าที่หามาได้ ไม่อย่างนั้นอาจจะมีอาการตึงเครียดในทุกช่วงปลายเดือน หรือไม่ก็สร้างหนี้ที่คุณก็รู้อยู่แล้วว่า ไม่สามารถหามาจ่ายทันได้

    2. เก็บเงินให้ได้ 10% ของรายได้

    คุณควรเก็บเงิน 10 % นี้ไว้เป็นกองทุนสำหรับบำนาญ โดยให้หักก่อนที่คุณจะจ่ายบิลทุกใบ ถือว่าเป็นเงินออมขั้นที่น้อยที่สุด หากคุณไม่มีเงินเก็บออมเลย ก็ควรเริ่มต้นให้เร็วที่สุดด้วย และเก็บให้มากขึ้นทุกๆ ปี

    3. อัพเดตการเงิน

    หากคุณซื้อหน่วยลงทุนเล่นหุ้นหรือว่ามีทรัพย์สินอื่นๆเช่น​ทองคำ ที่ดินคุณจะต้องอัพเดตบัญชีหรือดูแลทรัพย์สินเหล่านั้นอยู่เสมอ เพื่อจะได้ดูดอกเบี้ยหรือความเปลี่ยนแปลงของทรัพย์สินนั้นๆ เช่น ที่ดินของเรามีใครเข้ามาบุกรุกบ้างหรือไม่ บัญชีกองทุนสามารถถอนคืนได้เมื่อไร หรือหนี้บ้านที่เรามีอยู่ชำระไปเท่าไรแล้ว

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> 4. เก็บเงินฉุกเฉิน

    เชื่อว่าคนยุคใหม่น้อยคนนักจะเก็บเงินสักก้อนหนึ่งเอาไว้ยามฉุกเฉิน ซึ่งจำนวนเงินควรจะมีประมาณ 3 เท่าของเงินเดือน เผื่อว่าคุณโดนเลิกจ้างกะทันหัน ค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมรถ ซ่อมบ้านยามฉุกเฉิน เงินจำนวนนี้จะสามารถช่วยเหลือและทำให้คุณคลายกังวลได้ ดีกว่าจะเบิก
    เงินเก็บออกมาใช้จ่ายโดยเสียดอกเบี้ยไปเปล่าประโยชน์

    5. อย่าโดนค่าปรับบัตรเครดิต

    บัตรเครดิตนั้นมีประโยชน์มากเมื่อเราต้องการใช้เงินฉุกเฉิน โดยเฉพาะยามเราไม่สามารถหาเงินสดตอนนั้นได้ทัน ก็ควรตระหนักข้อดีของมันมากกว่าจะทำให้มันกลายเป็นข้อเสีย เช่น ลืมจ่ายค่าบัตรตามบิลทำให้เกิดดอกเบี้ยทับถมมากมาย ปีใหม่ควรเริ่มมีวินัยได้แล้ว

    6. ทำประกันคุ้มครอง

    คิดให้รอบคอบว่ายังมีประกันใดอีกบ้างที่คุณยังไม่ได้ทำ เช่น ประกันสุขภาพ ประกันชีวิต ประกันทรัพย์สิน อัคคีภัย ฯลฯ คุณคิดดูให้ดีว่าการทำประกันนั้นเสียเงินไม่มากเท่าที่คิด แต่ว่าคุณจะได้รับความคุ้มครองมากมาย ลองดูความเสี่ยงในชีวิตคุณและเริ่มทำประกันตั้งแต่ต้นปีนี้

    7. คิดแผนอนาคต

    ถ้าคุณเช่าบ้านอยู่ ตอบคำถามในใจสิว่าคุณอยากมีบ้านเป็นของตัวเองมั้ย อยากมีรถ มีร้าน หรือสิ่งใดก็ตามที่คุณอยากทำ ให้เขียนลงสมุดบันทึกลำดับความสำคัญ และดูรายได้ว่าคุณจะจัดสรรไว้ที่ใดบ้าง เขียนเป็นรูปแบบอนาคตและกำหนดว่าคุณจะทำสำเร็จเมื่อไร เพื่อจะได้เป็นกำลังใจในการเก็บเงิน

    เพียงเท่านี้ ความขัดสนก็จะไม่มาเยือน อีกทั้งยังมีความสุขตลอดปีแน่นอนค่ะ

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก lisaguru
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  4. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เขียวอารายคร๊าบ หุ หุ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>จิตแพทย์แนะวิธีอยู่อย่าง "เข้มแข็ง" ในสังคมที่แข่งขัน
    Life & Family - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>4 มกราคม 2553 12:19 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=230 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=230>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> คงปฏิเสธไม่ได้ว่าความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี สามารถทำให้การดำเนินชีวิตของผู้คนในปัจจุบันมีความสะดวกสบายมากขึ้นกว่าในอดีต ไม่ว่าจะเป็นทีวีจอแบน โทรศัพท์มือถือ บีบี ไอโฟน คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค เน็ตบุ๊ค ฯลฯ

    แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงความสะดวกสบายทางกายเท่านั้น ไม่ได้รับประกันว่าคนในสมัยปัจจุบันจะมีความสุขทางใจมากกว่าคนในอดีต ซึ่ง นพ.ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย จิตแพทย์โรงพยาบาลมนารมย์ ระบุว่า มีการศึกษาจำนวนมากบ่งบอกว่าผู้คนในประเทศอุตสาหกรรมที่มีความเจริญทางเทคโนโลยี มีดัชนีความสุขต่ำกว่าผู้คนประเทศที่ไม่ได้มีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีมากนัก เช่น ผู้คนในประเทศภูฏานมีดัชนีความสุขสูงกว่าประเทศสหรัฐอเมริกา หรือญี่ปุ่นหลายเท่า

    โดยในประเทศญี่ปุ่นมีสถิติการฆ่าตัวตายสูงอันดับต้นๆ ของโลก แต่ในขณะที่ประเทศภูฏาน แม้จะไม่เจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่ประชาชนกลับมีความสุข คนในครอบครัว ในชุมชน มีเวลาให้กัน มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน มีรอยยิ้มให้กัน ดังนั้น ถึงแม้ GDP ของประเทศจะต่ำ แต่ GNH (Gross National Happiness) กลับมีสูงมาก

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=225 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=225>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> นพ.ไกรสิทธิ์ ให้ข้อมูลอย่างน่าสนใจว่า สาเหตุที่คนเราไม่มีความสุข เกิดความทุกข์อยู่ตลอดเวลา เป็นเพราะมนุษย์มีการแข่งขันกันตลอดชีวิต ไม่ว่าจะตั้งแต่ก่อนเกิดจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ขนาดการตั้งครรภ์แม่ก็ต้องแย่งคิวฝากท้องกับหมอที่มีชื่อเสียง ต้องรีบจองคิวเนอร์สเซอรี่หรือโรงเรียนอนุบาลชื่อดังตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เด็กสมัยนี้จบจากอนุบาลจะเข้าประถม 1 ก็ต้องเริ่มมีการกวดวิชาสอบเข้ากันแล้ว ไม่ค่อยมีเวลาวิ่งเล่น สนุกสนานเหมือนเด็กยุคก่อนๆ โดยเฉพาะการสอบเข้ามหาวิทยาลัย การแข่งขันยิ่งรุนแรง เรียนกวดวิชาเตรียมสอบล่วงหน้ากันเป็นปีๆ จบออกมาก็ต้องแย่งงานดีๆ กันทำอีก

    “นอกจากนั้นยังต้องแข่งขันเปรียบเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกันว่าใครจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่า เร็วกว่า ใครขับรถแพง บ้านหลังใหญ่หรูกว่า ลูกใครเรียนโรงเรียนดัง มีชื่อเสียง เรียนเก่ง ประสบความสำเร็จมากกว่ากัน การเปรียบเทียบแข่งขันทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่มากเกินความจำเป็นพื้นฐานของชีวิต แต่เป็นการตอบสนองทางด้านจิตใจมากกว่า เพื่อให้ตนเองมั่นใจว่าชีวิตฉันมั่นคงกว่า ปลอดภัยกว่า ประสบความสำเร็จมากกว่า ฉันเก่งกว่าเพื่อนในรุ่นเดียวกัน ฉันใช้ได้ ฉันชนะ ฉันเหนือกว่าคนอื่นๆ”

    จิตแพทย์ ระบุว่า ความจริงชีวิตคนเรามีสิ่งที่จำเป็นพื้นฐาน (Need) ไม่มากกว่าปัจจัยสี่เท่าใดนัก แต่สิ่งที่คนเราต้องการ (Want) ในชีวิตนั้นไม่มีที่สิ้นสุด และเหตุผลก็คือเป็นไปเพื่อตอบสนองความสะดวกสบาย ความสนุกสนานและเสริมความมั่นใจ ในเรื่องของภาพลักษณ์ หน้าตา ศักดิ์ศรี เกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจ ซึ่งคนจำนวนมากยอมทุ่มเทชีวิตเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านี้มาจนกระทั่งลืมไปว่าเป้าหมายของชีวิตคืออะไร ชีวิตขาดสมดุล ครอบครัวล้มเหลว สุขภาพทรุดโทรม หรือแม้แต่สังคมและสภาพแวดล้อมก็เสื่อมถอย เพราะผู้คนมุ่งประโยชน์ส่วนตน

    “คนจำนวนมากที่มีทรัพย์สินเงินทองมากมายแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความสุขเพราะครอบครัวล้มเหลว ความสัมพันธ์ในบ้านมีปัญหา สามี ภรรยา พ่อ แม่ ลูก เข้ากันไม่ได้ ในบ้านมีแต่ความร้อนรุ่ม หาความสงบสุขไม่ได้ บางรายถึงมีเงินทองมากมายก็ยังไม่มีความสุข เพราะเฝ้ามองเปรียบเทียบกับเพื่อนที่รวยกว่า ต้องมีมากกว่าเขาถึงจะรู้สึกมีความสุข รู้สึกมั่นใจ รู้สึกว่าเหนือกว่า หรือบางคนก็ไม่มีความสุขเพราะต้องมาคอยระแวดระวังว่าจะมีคนมาโกง มาปล้น มาขโมย มายักยอกทรัพย์สินไป ต้องคอยคิดหาวิธีป้องกันและตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา”


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=245 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=245>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> นพ.ไกรสิทธิ์ ชี้ให้เห็นว่า คนเราไม่มีความสุข ต้องดิ้นรน แข่งขัน เปรียบเทียบกับคนอื่น ก็เพราะรู้สึกไม่มั่นใจว่าตัวเองมีมากพอ ดีพอ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ลึกอยู่ในระดับจิตใต้สำนึก การปรับเปลี่ยนแก้ไข ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ตราบใดที่ยังมีความรู้สึกเช่นนี้ก็ยังคงมีความรู้สึกว่าตัวเองขาดอยู่ ยังไม่รวย (ทั้งที่มีทรัพย์สินมากมาย) ยังไม่ปลอดภัย คนเหล่านี้มีความรู้สึกไม่มั่นคงจากภายในจิตใจ แต่จะหาวิธีแก้ไขให้เกิดความมั่นคงโดยอาศัยจากปัจจัยภายนอก ตั้งแต่ทรัพย์สิน เงินทอง ความสำเร็จ ชื่อเสียง การยอมรับจากบุคคลอื่น ซึ่งปัจจัยภายนอกนี้เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน อยู่นอกเหนือการควบคุมของแต่ละคน

    ดังนั้นถ้าการจะมีความสุขได้โดยต้องอาศัยสิ่งภายนอกเหล่านี้ ก็ต้องใช้กำลังอย่างมากในการพยายามที่จะควบคุมสิ่งเหล่านี้ให้เป็นไปตามความต้องการของตนเองให้ได้ ซึ่งมีโอกาสผิดหวัง ล้มเหลวสูงมาก เนื่องจากเป็นสิ่งที่ไม่มีความแน่นอน ควบคุมไม่ได้ สำหรับวิธีการสร้างสุขอย่างยั่งยืนเพื่อให้สามารถอยู่ท่ามกลางสังคมที่มีแต่การแข่งขันกันนั้น นพ.ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย ก็ได้ให้แนวทางที่สามารถปฏิบัติเองได้ 5 ข้อ ดังนี้

    1. ปรับความคิด พยายามทำให้ตนเองรู้สึกว่าในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบทุกคน แต่ละคนก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ตัวเราเองก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียเช่นเดียวกัน

    2. ต้องคิดเสมอว่าตัวเราเองมีคุณค่า มีประโยชน์ และต้องพยายามรักษาข้อดี ปรับปรุงข้อเสียของตนเอง พยายามลดจุดอ่อน ข้อบกพร่อง และต้องยอมรับตนเองในแบบที่ตนเองเป็น

    3. อย่าวิ่งหนีปัญหา และกลบจุดอ่อนปมด้อยตัวเอง อย่าคิดที่จะต้องเอาชนะคนอื่น นำหน้าหรืออยู่เหนือผู้อื่น เพราะจะช่วยทำให้ความคิดที่ต้องการไขว่คว้าหาความมั่นคงจากปัจจัยภายนอกก็จะลดลง ความต้องการแก่งแย่งแข่งขันก็จะน้อยลง ทำให้ชีวิตมีความเรียบง่ายขึ้น

    4. พยายามมองโลกแง่บวก รู้จักให้อภัยผู้อื่น ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน ซึ่งข้อนี้เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ต้องอาศัยทั้งความรู้และความเข้าใจ ถึงจะสามารถปรับตัวและอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมแห่งการแข่งขันกันได้

    5. ต้องหมั่นฝึกฝนปฏิบัติทบทวน เพื่อเตือนสติตนเอง ว่าคนเราก็มีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งปัจจัยภายนอก ซึ่งต้องอาศัยความอดทน และความมุ่งมั่นอย่างสูงจึงจะสำเร็จ ถ้าทุกคนหันมาให้ความสนใจกับแนวทางนี้ ตั้งสติและทบทวนปฏิบัติได้ เชื่อว่าโลกใบนี้ก็จะกลับมาน่าอยู่เหมือนเดิมได้
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ออนไลน์ขายบนเว็บ

    Daily News Online > หน้าไอที-วิทยาการ > ออนไลน์ขายบนเว็บ

    ช่องทางรวย...? คนรุ่นใหม่

    อีคอมเมิร์ซ หรือการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งหมายถึงการทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ กลายเป็นโอกาสและช่องทางการขายที่สำคัญ ตามยุคที่ความรู้ การใช้ และการเข้าถึงอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศมีมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

    นิยามของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือการค้าผ่านระบบออนไลน์ คือ การซื้อขายสินค้า การบริหาร การโฆษณา การโอนเงิน ทางอิเล็กทรอนิกส์ วิธีดังว่า ทำให้องค์ประกอบที่เคยสำคัญ อาทิ อาคารที่ทำการ ห้องแสดงสินค้า คลังสินค้า พนักงานขายและพนักงานต้อนรับ ถูกมองข้าม ช่วยให้ต้นทุนประกอบการต่ำ จนการก้าวเข้าสู่เจ้าของกิจการมิใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป

    นี่น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้การค้าออนไลน์ขายดีเป็นที่นิยมแบบก้าวกระโดด

    น่าสนใจว่า ผลประกอบการอีคอมเมิร์ซ ในรอบปี 2552 จะเป็นอย่างไร อนาคตการค้าปีนี้ จะดีขึ้นเพียงไหน ประเด็นเหล่านี้ เราเห็นว่า ผู้ที่มองภาพได้ชัด คือคนที่ดูแลและเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง จึงตั้งคำถามกับผู้เกี่ยวข้อง 4 ท่าน ได้แก่ สหัส ตรีทิพยบุตร นายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็ก ทรอนิกส์ไทย (www.thaiecommerce.org/), ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาดดอทคอม จำกัด, (www. tarad.com/) ดร.ณัฐสพันธ์ เผ่าพันธ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยา ลัยศรีปทุม (www.spu.ac.th/) และ อิฏฐชัย จักรพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทไทยเทรดพอยต์ดอทคอม (www.thai tradepoint.com/)

    สหัส ตรีทิพยบุตร พี่ใหญ่ของวงการ ฉายภาพผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็ก ทรอนิกส์ว่า แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก ทำอยู่แล้ว ทั้งที่พัฒนาธุรกิจเดิมเข้าสู่ระบบค้าออนไลน์ และประเภทที่ทำอีคอมเมิร์ซตั้งแต่เริ่มต้น กลุ่มที่สองเป็นพวกที่ได้รับการกระตุ้น การเผยแพร่ความรู้จากส่วนต่าง ๆ รวมทั้งสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย ส่วนรูปแบบธุรกิจ ก็แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือขายรัฐบาล หรือระบบอีอ๊อคชั่น ระบบบีทูบี หรือธุรกิจต่อธุรกิจและบีทูซี คือการขายกับผู้บริโภค ธนาคารก็พัฒนาระบบอีแบงก์กิ้งมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะช่วงที่ผ่านมามีปัญหาทางเศรษฐกิจจึงต้องหาทางลดต้นทุน

    คำอธิบายของสหัส สอดรับกับข้อมูลของ ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ที่ให้ความเห็นว่ารอบปีที่ผ่านมา การค้าขายระบบนี้เติบโตอย่างมาก ผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น มีผู้ประกอบการเปิดเว็บไซต์ค้าขายออนไลน์เพิ่มมากขึ้นถึง 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยตอนนี้มีร้านค้าที่ตลาดดอทคอมรวม 167,000 ร้านค้า ยอดการค้าขายก็เพิ่ม และจำนวนผู้ประกอบการก็ขยายตัวไปต่างจังหวัดมากขึ้น

    ความเห็นของ อิฏฐชัย จักรพิทักษ์ ซึ่งเป็นอีกคนที่ทำอีคอมเมิร์ซอย่างจริงจัง ขายหัตถกรรมของภาคเหนือผ่าน www. ThaiTradePoint.com ไปต่างประเทศมาแล้วเกือบสิบปี มีรายได้ราว 100% มองว่าปีที่ผ่านไป เหมือนหนังไทยที่ต้นร้ายปลายดี มีครบรส โหด มันส์ ฮา สุข เศร้าคลุกเคล้ากัน เริ่มจากต้นปีสหรัฐอเมริกาเกิดวิกฤติเศรษฐกิจรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี การเติบโตของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างไมโคร ซอฟท์ หรือกูเกิล ขยายตัวที่ติดลบ ส่งผลให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ หดตัว บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างอีเบย์ หรืออเมซอน ต้องลดพนักงานและตัดค่าใช้จ่ายลงเมื่อตอนต้นปี แต่เมื่อเลยช่วงนั้น เศรษฐกิจโลกเริ่มทรงตัว องค์กรธุรกิจขนาดกลางและเล็ก ตั้งตัวได้ เริ่มปรับองค์กรและวิธีการทำมาหากินจึงเริ่มตื่นตัวกับอีคอมเมิร์ซ เพราะลงทุนน้อย ใช้คนน้อย แต่เข้าหาตลาดได้ทั้งโลก จึงพื้นตัวก่อน เห็นได้จาก อีเบย์ หรืออเมซอน ที่เริ่มดีขึ้นตั้งแต่กลางปี เรียกได้ว่าต้นร้ายปลายดี

    สำหรับประเทศไทย อีคอมเมิร์ซ ปีที่ผ่านมาโดยรวมถือว่าดี เพราะเราไม่ได้เป็นศูนย์กลางของปัญหา และมูลค่าตลาดส่วนใหญ่ของเราเป็นการค้าขายกันเองในประเทศ อีกทั้งทุกภาคส่วน ทั้งผู้ประกอบการ ผู้บริโภค และภาครัฐตั้งสติได้ พลิกวิกฤติเป็นโอกาส หันมาเน้นการค้าขายออนไลน์กันมากขึ้นโดยภาครัฐเป็นแกนนำ ทำให้สถานการณ์ตั้งแต่กลางปีดูดีขึ้น

    การพิจารณาความเจริญก้าวหน้า นอกจากยอดขายและอัตราการขยายตัวแล้ว ดร.ณัฐสพันธ์ เผ่าพันธ์ เสนอให้ดูข้อมูลการจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์พบว่ามีผู้จดทะเบียนมากขึ้น ณ ปลายปี 2552 มี 7,083 เว็บไซต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 จากเมื่อต้นปี ขณะเดียวกันผู้ประกอบการที่ไม่ได้จดทะเบียน แต่ใช้วิธีซื้อการขายผ่านตลาดออน ไลน์ (อาทิ pramool.com, weloveshop ping.com หรือ tarad.com เป็นต้น) ก็มีเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นไปตามกระแสของเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้เพราะการทำธุรกรรมออน ไลน์ทำให้เกิดความได้เปรียบทั้งด้านต้นทุนที่ต่ำ และด้านการสร้างความแตกต่างด้านสินค้าและบริการ

    “ไม่มีการยืนยันว่าองค์การที่ดำเนินธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้วจะประสบความสำเร็จทุกราย การมีเว็บไซต์อย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ ต้องมีปัจจัยอื่น ๆ เสริมด้วย แนวโน้มการทำตลาดออนไลน์ บนเว็บไซต์หลาย ๆ แห่งในต่างประเทศ ได้เริ่มกล่าวถึงประเด็นนี้กันแล้ว โดยให้ความเห็นว่าสิ่งสำคัญอันดับแรกที่ต้องทำความเข้าใจคือ การตลาดพื้นฐาน ที่ต้องมีความรู้เกี่ยวกับลูกค้าเช่น ลูกค้าคือใคร เขาต้อง การอะไรจากเรา, ต้องการสินค้าเมื่อใด ซื้อที่ไหน อย่างไร ซึ่งจะสร้างความพึงพอใจ และการรักษาลูกค้าได้ ที่ยังคงเป็นแนวคิดพื้นฐานธรรมดาที่มีความสำคัญอยู่มาก ผู้ประกอบการหลายคนเข้าใจผิดว่าลงทุนในการสร้างเว็บไซต์แล้วก็ถือว่าเสร็จสิ้นในการทำธุรกิจ ออนไลน์ เดี๋ยวลูกค้าก็จะมาหาเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และประเด็นสำคัญคืออย่ามุ่งทำการตลาดออนไลน์อย่างเดียว เรายังคงจำเป็นต้องทำออฟไลน์ควบคู่กันไป เพื่อให้เกิดพลังขับเคลื่อนทางการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล” ดร.ณัฐสพันธ์ นักวิชาการอีคอมเมิร์ซให้คำแนะนำกลยุทธ์การประกอบการ
    แต่สำหรับภาวุธ มองว่า ถึงจะมีหน้าใหม่เพิ่มขึ้น แต่ก็มีบางส่วนหายไป แต่ภาพรวมคือมีผู้ประกอบการหน้าใหม่ ที่เข้ามาสู่โลกอีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้นทุกวัน กระนั้น ก็ยังเห็นว่าควร “จะเพิ่มมากขึ้นกว่านี้”

    ภาวุธมีข้อสังเกตว่า ท่ามกลางสัดส่วนผู้ประกอบการที่เพิ่มขึ้น ได้พบสิ่งใหม่ตามมาคือ การเติบโตของ โซเชียล เน็ตเวิร์ก (เครือข่ายสังคม) ที่การค้าเริ่มขับเคลื่อน ผ่านบริการเหล่านี้มากขึ้น และขอเรียกว่า “โซเชียล คอมเมิร์ซ” คือการค้าผ่าน โซเชียล เน็ตเวิร์ก

    หันไปฟังคนมีประสบการณ์นานเกือบสิบปีอย่าง อิฏฐชัย ได้ความเห็นที่ตรงไปตรงมาว่า เห็นสัญญาณที่อันตราย ว่าขณะที่มีหน้าใหม่ ๆ สินค้าใหม่ ๆ และมูลค่าตลาดโตเป็นเท่าตัวตลอดสิบปี แต่คนที่ประสบความสำเร็จ ค้าขายออนไลน์ได้จริง ๆ กลับมีไม่ถึง 20% คือ ทำแล้วล้มเหลวขายไม่ได้มากถึง 80% ทั้งในตลาดออนไลน์ระดับโลกและตลาดออน ไลน์ในประเทศไทย แสดงให้เห็นว่า ผู้ประกอบการถูกกระตุ้น โดยเน้นจำนวนมากกว่าคุณภาพหรือไม่? เพราะส่วนใหญ่ก็จะถูกกระบวนการตลาดและโฆษณากระตุ้นว่า รวยง่าย รวยง่าย ซึ่งจริง ๆ ไม่มีความสำเร็จใดได้มาง่าย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนโลกออนไลน์

    “ทุกคนควรย้อนกลับมาที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ สร้างความแตกต่างในตัวสินค้า ในตัวธุรกิจ ในตัวเว็บไซต์ให้ได้ตามหลักการตลาดสมัยใหม่ “ไม่ต่างก็ตาย” เพื่อใช้ตรงนี้เป็นจุดขาย เจาะเข้าสู่ตลาดเฉพาะกลุ่ม (นิช มาร์เกต) ที่ยังเป็นบลู โอเชียน ขายแล้วได้กำไรสูง ดีกว่าที่จะเข้าตลาดมวลชน ที่เป็นเรด โอเชียน ที่ตัดราคาฆ่ากันตายจนเลือดแดงนองทะเล ที่ยิ่งค้าขาย ก็มีแต่ตายกับตาย

    สรุปว่า ผู้รู้ทั้งสี่ เห็นสอดคล้องกันว่าการค้าออนไลน์กำลังไปได้ดี คงเพราะอย่างนี้ จึงมีปัญหาใหม่คือมีทุนจากนอกประเทศเข้าแข่งด้วย สภาพอย่างนี้ มีคำถามว่าผู้ประกอบการไทย ควรปรับตัวอย่างไร ดร.ณัฐสพันธ์ บอกต้องวางแผน ปรับกระบวนทัศน์ให้ทันยุค ทันสมัยมากขึ้น กับต้องมองหาโอกาสและเป้าหมายใหม่ ๆ เพื่อดึงมวลชนผู้บริโภคมาเป็นพลังร่วมหรือลูกค้าให้สำเร็จ และเชื่อว่าผู้ประกอบการไทยย่อมเข้าใจตลาดแบบไทย ๆ มากกว่าต่างชาติ แต่สิ่งที่ต้องปรับตัว คือทำตลาดให้เหมาะสมกับยุคเศรษฐกิจพอเพียง และกระแสการรณรงค์สภาวะโลกร้อน หลีกเลี่ยงการทำตลาดที่เกินตัว เน้นเพอร์ซันนัลไลเซชั่น หรือปรับให้เข้ากับลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล ที่สามารถมุ่งความสำเร็จด้วยความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลัก

    ฟังตอนแรกดูง่าย แต่ตอนท้ายสงสัยจะยุ่ง...

    สลับไปฟังผู้ปฏิบัติจริง อย่าง อิฏฐชัย ดูจะไม่ห่วงจุดนี้ เพราะเชื่อว่ากิจการค้าออน ไลน์เราได้มาจากต่างประเทศ เพียงแต่เราเอามาเฉพาะโปรแกรมไม่ได้เอาองค์ความรู้การประกอบธุรกิจที่ดีมาใช้ จึงขาดวิสัยทัศน์ ระบบบริหารและกระบวนการที่ดี จึงไม่ค่อยได้รับความเชื่อถือ จึงเห็นว่าเป็นเรื่องดีที่ผู้บริโภคคนไทยจะใช้อีคอมเมิร์ซที่มีคุณภาพจากผู้ให้บริการคนไทย ที่ผู้ให้บริการตลอดจนบุคลากรคนไทยจะได้เรียนรู้ ได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยี ที่แท้จริงจากต่างประเทศ เพื่อให้เราพึ่งตนเองได้จริง ๆ ในระยะยาว

    ส่วน ภาวุธ แนะให้ผู้ประกอบการไทยปรับตัว ออกไปนอกประเทศมากขึ้น เพราะตลาดอีคอมเมิร์ซ จะประสบความสำเร็จ เมื่อมองที่ตลาดโลก การเชื่อมโยงกับระบบต่าง ๆ ของต่างประเทศเช่น กูเกิล, เฟซบุ๊ก ซึ่งจะเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการไทย ออกไปยังต่างประ เทศได้เร็วขึ้น ควรพัฒนาตัวอยู่ตลอดเวลา จับตาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อนำมาช่วยลดต้นทุน การบริหาร

    ประเด็นเดียวกัน เมื่อไปถามพี่ใหญ่อย่าง สหัส ได้คำอธิบายด้วยมุมกว้าง แต่กระชับว่า ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามสนับสนุนการใช้อีคอมเมิร์ซอยู่แล้ว เช่นกระทรวงพาณิชย์ทำโครงการเรนโบว์โปร เจกต์ สมาคมก็เข้าไปร่วมอบรมการทำการค้าผ่านเว็บ ปีที่แล้วจัดไป 6 รุ่น มีคนทำธุรกิจได้แล้ว 70 บริษัท ทีมงานของสมาคมฯช่วยกันเขียนหนังสือ ไปบรรยาย ตอนนี้เราต้องพัฒนาเอาโซเชียล เน็ตเวิร์กมาใช้ เช่น เฟซบุ๊ก เพื่อเชื่อมการสื่อสาร ทำให้การขายกระจายตัวเร็วขึ้น ตอนนี้ที่ควรทำเพิ่มคือการทำโซเชียล คอมเมอร์เชียล คือรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ จากที่เคยขายสินค้าโอทอปอยู่เจ้าเดียว ก็มารวมเป็นกลุ่มตั้งเป็นอีมาร์เกต เพลส ทำให้มีอำนาจการซื้อมากขึ้น พร้อมกันก็สร้างเครือข่ายต่างประเทศที่เป็นรายใหญ่ เช่น เว็บอาลีบาบา (www.alibaba.com/) ในประเทศจีน รัฐบาลควรสนับสนุนระบบ โลจิสติกส์ (การขนส่งต่อเนื่องหลายวิธี) ให้มีต้นทุนต่ำ กระทรวงพาณิชย์อาจเป็นตัวกลางทำมาร์เกตเพลส ส่วนการพัฒนาบุคลากร ควรสร้างคนรุ่นใหม่ เร่งทำหลักสูตรอีคอมเมิร์ซ ในสถานศึกษา หรือจัดการอบรมบุคคลภายนอกให้มากขึ้น

    ว่ากันถึงการส่งเสริมภาครัฐ ที่ผ่านมาทำไปแล้วหลายอย่าง สำหรับคนในวงการพอใจขนาดไหน อยากให้เพิ่มอะไร เราขอให้นักวิชาการ ดร.ณัฐสพันธ์ ให้ความเห็น ได้ความว่า สิ่งที่ภาครัฐต้องส่งเสริมเพิ่ม คือ 1.ลงทุนสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีความรู้ความสามารถ 2. ส่งเสริมสร้างนวัตกรรมในระบบเศรษฐกิจ และ 3. ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสารสน เทศและการส่งเสริมอุตสาหกรรมสารสนเทศ และที่ควรเร่งดำเนินการเพื่อส่งเสริมให้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทยพัฒนาเร็วขึ้นคือ การสร้างเครื่องหมายความไว้วางใจของเว็บไซต์ หรือทรัสต์มาร์ก เนื่องจาก เหตุผลหลักที่สำคัญที่ผู้บริโภคไม่ซื้อสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ตเพราะไม่เห็นสินค้าจริง และกลัวถูกหลอกลวง มีถึงร้อยละ 62 ประชากรที่สำรวจทั้งหมดของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ประเด็นต่อมาคือ การสร้างความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว เกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า และความปลอดภัยด้านระบบการชำระเงินพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

    หันไปทาง อิฏฐชัย บอกว่าชื่นชมภาครัฐโดยเฉพาะกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ที่มีวิสัยทัศน์ เห็นว่าสำคัญของการใช้อีคอมเมิร์ซ โดยได้เร่งรัดให้จัดฝึกอบรมอีคอมเมิร์ซออนไลน์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างองค์ความรู้ให้เราพึ่งตนเองได้อย่างแท้จริงในระยะยาว แต่ก็ยังอยากเห็น นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้ความสำคัญกับวิสัยทัศน์ด้านอีคอมเมิร์ซให้มากกว่านี้ ลงมาช่วยลุยอย่างจริง ๆ จัง ๆ
    ในขณะที่ ภาวุธ ก็เห็นว่ามีแนวโน้มที่ดี ที่ภาครัฐให้ความสนใจกับอีคอมเมิร์ซมากขึ้น แต่ยังติงว่าการทำงานยังขาดการมอง “ภาพรวม” ของอีคอมเมิร์ซของประเทศ เห็นได้จากความซ้ำซ้อนการทำงานของหลาย ๆ หน่วยงาน ดังนั้นควรมีหน่วยงานกลางเข้ามารับผิดชอบงานด้านนี้อย่างชัดเจน เช่น “สำนักงานพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์”

    เท่ากับว่าเสียงส่วนใหญ่ไปทางเดียวกัน คือเห็นว่าการภาครัฐยังเป็นผู้ช่วยพระเอกที่ดี และจะดียิ่งขึ้นถ้าคล่องบทกว่านี้

    อย่างไรก็ดี การอภิปรายที่เกี่ยวกับการ ประกอบการทั้งที จะไม่พยากรณ์อนาคตตลอดปีคงไม่ได้ พี่ใหญ่อย่าง สหัส มองว่าน่าจะดี เพราะที่ผ่านมาเป็นช่วงเศรษฐกิจมีปัญหา ได้พัฒนาระบบภายใน การเตรียมบุคลากร การใช้ไอทีให้มีประสิทธิภาพเพื่อรับการขยายตัว ดังนั้น เมื่อแนวโน้มเศรษฐกิจดี ก็คงจะได้ใช้ไอทีเป็นเครื่องมือมาทำให้ดียิ่งขึ้น

    ส่วน ภาวุธ มองว่า น่าจะสนุก และมีความหลากหลายของผู้ให้บริการหน้าใหม่มากขึ้น การพัฒนาของผู้ให้บริการเดิมก็จะดีขึ้น อาจเห็นการเข้ามาของต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยให้ความเห็นด้วยว่า สินค้าหลักยังอยู่ที่กลุ่มสนองเป้าหมาย บีทูซี คือการขายสู่ผู้บริโภค ได้แก่ สินค้าแฟชั่น รองลงมาเป็นกลุ่มไอที และโทรศัพท์มือถือ โดยมีนาฬิกา อัญมณี ของเล่น ของแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ จะเป็นหมวดที่มาแรงอย่างน่าสนใจ

    สำหรับ อิฏฐชัย เชื่อว่าจะดุเดือดเลือดพล่าน เพราะวิกฤติยังคงอยู่ แต่มีผู้ประกอบการมากขึ้น สินค้ามากขึ้น และส่วนใหญ่เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ จะมีสงครามราคา จึงขอให้ปฏิวัติวิธีคิด คิดถึงคุณภาพก่อนปริมาณ คิดถึงความแตกต่างก่อนคิดตัดราคาขาย ด้วยการปฏิวัติการออกแบบและคิดค้นเทคโนโลยีการผลิตสินค้าแปลก ๆ ใหม่ ๆ พร้อม ๆ ไปกับการแสวงหาตลาดใหม่ ๆ คิดค้นกลยุทธ์การตลาดแปลก ๆ ใหม่ ๆ มากกว่าการคิดแต่จะสร้างร้านค้าออนไลน์แล้วตัดราคาขาย ซึ่งในที่สุด จะไม่มีใครชนะ มีแต่ตายกับตาย เพราะบนเวทีโลก เราไม่สามารถขายของได้ถูกกว่าจีนและอินเดียซึ่งกำลังบุกยึดตลาดออนไลน์ที่ขายสินค้าราคาถูกไปทั่วโลกได้อย่างแน่นอน สำหรับทิศทางสินค้าปีนี้ เจ้าของเว็บไซต์ www.ThaiTrade Point.com/ ยังให้น้ำหนักที่ของที่ระลึก เครื่องประดับ ของแต่งบ้าน ประเภทงานหัตถกรรมที่มีตลาดเฉพาะของตนเองในต่างประเทศ ขายได้ราคา มีความแปลก แตกต่างจากจีนและอินเดีย โดยปีนี้จะเน้นตลาดคุณภาพมากขึ้นไปอีก เฟ้นหาสินค้าแปลกที่โดดเด่นจริง ๆ นำเสนอขาย และเจาะตลาดใหม่ เช่นตะวันออกกลาง หรือยุโรปตะวันออก รวมถึงประเทศที่ไม่ค่อยมีผลกระทบทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

    ปิดท้ายรายงานสรุปและคาดการณ์อีคอมเมิร์ซ ของคนในวงการ ดร.ณัฐสพันธ์ ฟันธงว่า รูปแบบธุรกิจออนไลน์และการตลาดออนไลน์จะมีบทบาทสำคัญมากกว่าการทำธุรกิจแบบดั้งเดิม เพราะผู้บริโภคในตลาดปัจจุบันหรือเจนเนอเรชัน ซี หรือเน็ต เจนเนอเรชัน (Net Generation) มีจำนวนมากขึ้น เป็นสังคมยุคสื่อ (Social Media) เห็นได้จากกระแสร้อนแรงของ ทวิตเตอร์, เฟซบุ๊ก, มายสเปซ หรือบล็อกต่าง ๆ โดยเฉพาะ กระแสของ 3G ที่จะทำให้ผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ต้องทำกลยุทธ์เว็บให้ดี ใครที่ดึงกลุ่มคนทั่วไปมาเป็นแนวร่วมหรือมาเป็นกลุ่มลูกค้าได้มากกว่า ธุรกิจนั้นก็ได้เปรียบ

    “รูปแบบการแข่งขันที่น่าสนใจคือ การสอดแทรกธุรกิจเข้าไปในโลกของเกม เพราะทุกวันนี้เกมแทรกซึมเข้าไปทุกเพศ ทุกวัย เป็นทางเลือกใหม่ของนักการตลาดที่จะใช้สื่อสารกับคนนับล้านได้ง่าย และสะดวกกว่าเดิม การแข่งขันด้านการตลาดผ่าน โซเชียล เน็ตเวิร์ก เว็บ ที่กำลังนิยม เช่น ทวิตเตอร์, เฟซบุ๊ก, มายสเปซ ซึ่งสร้างและรักษาลูกค้าได้เป็นอย่างดี การแข่งขันด้านการตลาดบนมือถือ จึงเป็นปีทองสำหรับการนำเทคโนโลยีบนมือถือที่มีการพัฒนาเร็วมาก เช่น ไอโฟน แบล็กเบอรี มาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจ”

    ทิศทางของการค้ามากองอยู่บนหน้าจอและในมือของผู้ซื้อนับล้านเช่นนี้ ผู้ประกอบการทั้งหลายพร้อมขนาดไหนล่ะ?.
     
  7. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    รับทราบและโมทนาสาธุครับ

    เมื่อวานหลังจากกลับจากร้อยเอ็ดผมได้เดินทางจาก กท.มาที่นี่ การเดินทางเรียบร้อยดีครับ พี่หนุ่มได้มอบพระเสโทธาตุกับพระสิวลีธาตุให้ผมเพิ่มเติม ผมได้แบ่งและส่งต่อไปให้พระอาจารย์เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านหว่านไฟ จ.ร้อยเอ็ด เพื่อบรรจุไว้บนเศียรพระสิวลีที่กำลังจะนำมาตั้งไว้ขอบารมีที่วัดดังกล่าว โมทนาสาธุครับผม

    วันนี้ทั้งวัน ผมจึงได้จัดหิ้งพระใหม่เพื่อเป็นการต้อนรับปีใหม่ 2553 ไปด้วยเลยครับ :)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2010
  8. โชคชัยชนะ

    โชคชัยชนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +148
    วิธีแกะป้ายสติกเกอร์

    ที่มา Fwd Mail

    เคยมีปัญหากับขวดหรือแก้วใบใหม่ที่ซื้อมาแล้วมีป้ายติดราคา ที่สติกเกอร์ป้ายราคาติดแน่นแกะเท่าไหร่ก็แกะไม่ออกใบนั้นหรือปล่าวคะ..
    **************************
    ..ถ้าอยากจะแกะเจ้าป้ายสติกเกอร์ที่ติดแน่นอันนั้นออกอย่างง่าย ดายละก็..เรามีวิธีทำให้แกะออกมาแบบง่าย ๆนิดเดียวค่ะ..แล้วไม่ทำให้หัวเสีย เปลืองเวลาอีกด้วย..
    เขาทดสอบกันมาอย่างดีแล้วว่า "ครีมทามือ (จะเป็นยี่ห้ออะไรก็ได้) นำครีมทามือ มาทาที่ป้ายติดราคาหรือสติกเกอร์ที่เราอยากจะแกะออก..ทาให้ทั่ว ๆแล้วถ้าใช้มือทาถูกดหรือขูด ให้แรง ๆหน่อยก็จะดีมากค่ะ
    ..แล้วดูสิค่ะ..แค่นี้ก็สามารถจะดึงและลอกป้ายสติกเกอร์ออกมาได้อย่างง่ายดาย ..แต่ถ้ายังคงมีเหลือติดอยู่อีกบางส่วน..ก็ให้เอาเล็บมือสะกิดออกเบา ๆก็จะหลุดออก จนหมดค่ะ

    แล้วก็ขั้นสุดท้ายค่ะ..เมื่อลอกสติดเกอร์ออกหมดแล้ว...ก็ให้เอากระดาษทิชชู่ เช็ดครีมที่ทาไว้ให้สะอาด..ค่ะ...เป็นเสร็จพิธี..เห็นไหมคะ..สะอาดหมดจด และไม่มีเศษกาวจากสติกเกอร์ติดให้เหนียวมือตรงไหนเลย..

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    ---------------

    วิธีที่ 2 โดยใช้ครีมที่ใช้ทามือเหมือนกัน
    วิธีการทำสติกเกอร์ให้ลอกออกแบบง่าย ๆติดก็ง่าย(วิธีที่ 2) แล้วยังแถมใช้งานได้ หลายครั้งหลายหนอีกด้วยเหมือนกันค่ะ 1....ผู้ที่ชอบเก็บสะสมสติกเกอร์ทุกท่านนั้นคงจะต้องชอบวิธีนี้อย่างแน่นอนเลย...เพราะว่า พวกสติกเกอร์ที่เราหามาอย่างยากเย็นทุกอันนั้น บางอันก็ให้ความทรงจำที่ดี ๆเป็นที่ระลึก ของเรานะคะดังนั้นจึงอยากเก็บเอาไว้ใช้ให้นาน ๆแต่มันก็มาเสียอยู่ตรงที่ว่า เมื่อแปะติด ไปที่สมุดแล้วก็จบไปเลยครั้งนั้นคือลอกออกมาใช้ไม่ได้อีกแล้วตลอดกาล...บางทีก็อยากจะ นำมาแลกเปลี่ยนกับเพื่อนนั้นก็หมดหวังจริง ๆนะคะน่าเสียดายและก็น่าโมโหอีกต่างหากด้วย
    เคล็ดลับอันที่จะนำมาเสนอแนะนี้คงจะช่วยแก้ปัญหาอันนั้นได้นะคะ !! แล้ววิธีนี้ยังสามารถที่จะช่วยพวกคุณแม่ ๆทั้งหลายที่มีพวกคุณลูก ๆ ที่พวกเธอหละก็ชอบที่จะ นำสติกเกอร์ที่แกะลอกอย่างยากเย็นพวกนี้นั้นไปแปะไว้ตามตู้เสื้อผ้าหรือตามตู้เย็นนะคะ

    เคล็ดลับของ ๆที่จะนำมาใช้ในวิธีก็คือครีมที่ใช้ทามือค่ะ
    หนทางแก้ใขปัญหานั้นมันอยู่ตรงตอนต้นก่อนที่จะนำมาใช้แค่นั้นเองแหละค่ะ คือว่าก่อนที่จะนำสติกเกอร์อันนั้นมาแปะลงไปที่สมุด ,ตู้เสื้อผ้าหรือตามตู้เย็นนั้นให้ นำครีมที่ใช้ทามือมาทาไปตรงที่ด้านหลังของสติกเกอร์เสียก่อนเท่านั้นเอง ก็จะหมด ปัญหาทันที !! แล้วทีนี้เราก็มาทำการพิสูจน์กันดูดีกว่านะคะ
    ขั้นแรกเราได้นำสติกเกอร์ที่ทาครีมด้านหลังกับสติกเกอร์ที่ไม่ได้ทำอะไรมาแปะ ไปที่สมุดผลออกมาว่าสติกเกอร์ที่เราทาครีมลงไปที่ด้านหลังนั้นลอกออกมาได้อย่าง ง่ายดายไม่มีปัญหาว่าฉีกขาดตรงไหนเลยด้วย
    แล้วยังแถมอีกด้วยว่าเมื่อนำสติกเกอร์ที่ลอกออกมาจากสมุดเมื่อสักครู่นี้ไปติด อีกที่หนึ่งก็ติดลงไปได้อย่างง่ายดายเหมือนของไหม่ ๆเลยคือกาวด้านหลังก็ยัง คงอยู่ในสภาพใหม่เหมือนเดิมและไม่เสื่อมสภาพลงไปสักนิดเดียว
    ....ทางเราได้ทำการพิสูจน์ว่าสติกเกอร์ที่นำมาทาครีมลงไปด้านหลังนั้นจะใช้การได้นาน เท่าไหร่?ด้วยการแปะและลอกออกจากสมุดถึง 100ครั้ง ผลปรากฏว่าก็ยังใช้ได้อยู่อย่างเดิม ไม่มีปัญหากาวด้านหลังจะเสื่อมสภาพแต่อย่างใด...
    ....การที่ทาครีมที่ใช้ทามือลงไปนั้นแล้วทำให้แปะลงไปและลอกออกมาได้แบบง่าย ๆนั้นเป็นผลมาจาก ที่ว่า ตัวสารน้ำมันที่อยู่ในครีมทามือนั้นจะซึมเข้าไปผสมผสานกับกาวที่ติดอยู่ที่ด้านหลังของ สติกเกอร์อย่างสมดุลและคล้องจองกันอย่างน่าทึ่งที่สุดนั่นเอง

    น้ำมันในครีมที่ใช้ทามือจะเข้าไปผสมผสานกับกาวของสติกเกอร์และกลายเป็นแป้งที่มีคุณสม บัติแกะและลอกและใช้ได้นานหลายครั้งอย่างที่เห็นนั้นแหละค่ะ
    ข้อควรระวัง... สติกเกอร์ที่นำมาทาครีมที่ใช้ทามือลงไปนี้มีผลที่แน่นอนหลังจากที่สำรวจมาอย่าง ถี่ถ้วนแล้วว่าสามารถใช้งานได้นานถึง 20 ครั้งเป็นอย่างน้อยโดยไม่ต้องวิตกกังวล ใด ๆทั้งสิ้น....ข้อที่ควรระวังก็มีอยู่เหมือนกันค่ะคือว่า...เคล็ดลับวิธีนี้เมื่อใช้แปะลงไป โดยไม่แกะลอกออกมาเลยภายในเวลา 4วัน น้ำมันที่ใช้ทามือนั้นบางครั้งก็อาจจะ ระเหยหายไปได้เหมือนกันเพราะในน้ำมันทามือในแต่ละยี่ห้อนั้นมีน้ำมันน้อยน้ำมัน มากอันนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าของสูตรเขา...ถ้าเกิดน้ำมันของครีมทามือระเหยออกไปบางครั้งก็ อาจจะมีผลให้แกะลอกออกมายากขึ้นเฉย ๆก็มีเป็นบางกรณีเหมือนกันค่ะ...ดังนั้นจึง อยากที่จะให้คอยระวังนิดหน่อยอย่างเช่นสติกเกอร์ที่เรานำมาทำเคล็ดลับอันนี้แล้วนำ ไปใช้กับสติกเกอร์ที่ติด กับวีดีโอของโทรทัศน์นั้นก็เหมือนกันถ้ามีปัญหาก็ให้นำกลับมา ทาครีมที่ใช้ทามือลงไปอีกครั้ง...ก็สามารถที่จะช่วยได้ค่ะ....

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    ------------------------------

    วิธีทำส้มที่มีรสเปรี้ยวให้หวาน
    ถ้าเกิดไปซื้อส้มมาแล้วเกิดเป็นส้มเปรี้ยวเข้าหล่ะ !! **วิธีที่จะบอกนี้สามารถทำให้ส้มเปรี้ยวนั้นมีรส หวานขึ้นมาได้ค่ะ..
    ************************
    ...ส้มเป็นผลไม้ที่มีวิตามิน c มากใช่ไหม?..ส้มเปรี้ยว บางคนก็อาจชอบ แต่ถ้าเกิดไม่ชอบขึ้นมาหละก็..เชิญ ทำส้มเปรี้ยวให้หวานขึ้นมาเองด้วยวิธีนี้ดูสิคะ..

    ...วิธีทำก็มีอยู่ว่า....ให้เอาไปแช่ในอ่างอาบน้ำที่มีอุณภูม 40 องศา..แช่ไว้ประมาณ 10 นาทีเป็นใช้ได้ แล้วอะไรจะอย่างนั้น..ส้มเปรี้ยวก็จะหวานขึ้นมาอย่างน่า อัศจรรย์จริง ๆ นิดหนึ่งค่ะ..คือส้มที่แช่อยู่ในน้ำร้อนนั้น เวลานำขึ้นมาจะยังอุ่นอยู่ ให้วางไว้ให้เย็นก่อนนะคะหรือ จะเอาไปใส่ไว้ในตู้เย็นให้เย็นก่อนค่ะ
    ทำไม, เมื่อแช่ในน้ำร้อน 40 องศาแค่ 10 นาที รสจึงเปลี่ยนเป็น หวานขึ้นมาได้??? การทดสอบ..ให้นำส้มลูกเปรี้ยวลูกนั้น มาผ่าแบ่งออกเป็น สองซีก..เอาซีกแรกวางไว้ต่างหาก..แล้วเอาซีกที่สองไปแช่ในน้ำร้อน 40 องศา ซีกที่แช่ในน้ำร้อนรสจะเปลี่ยนเป็นหวานอย่างประหลาด ..จริง ๆแล้ว..ส้มไม่ได้เปลี่ยนรสไปหรอกค่ะ..เพียงแต่ความเปรี้ยว โดนทำลายออกไปเท่านั้น...

    เพราะเมื่อนำส้มทั้งสองซีกที่ทดลองนั้นมาวัดระดับความหวานเปรี้ยว แล้วจะมีระดับเท่ากันหมด..แต่ที่หวานขึ้นมานั้นเพราะเมื่อนำไปแช่ในน้ำร้อน นั้นความร้อนจะใช้อุณภูมนั้นทำลายความเปรี้ยวที่มีผสมปนกับความหวาน นั้นจนหมดความเปรี้ยวค่ะ...ส้มจึงหวานขึ้น ข้อระวังน้ำร้อน40องศา นั้นไม่ใช่น้ำเดือดนะคะ บางคนอาจจะเข้าใจผิด..เดี๋ยวเอาส้มไปต้มในน้ำเดือด ..ส้มจะกลายเป็นส้มต้มไปค่ะ..เขาบอกว่าน้ำในอ่างอาบน้ำความร้อน 40 องศา ดีที่สุด..ถ้าไม่มีอ่างน้ำก็ต้มน้ำให้เดือด..แล้ววางพักไว้สักครู่หนึ่งกะว่าสักประมาณ 40องศาค่ะ..ถ้าไม่มีองศาวัดก็ลองใช้มือแตะ ๆดูมือจุ่มลงไปได้ก็กำลังดีค่ะ

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    วิธีเป่าผมที่เปียกน้ำให้แห้งเร็วกว่าปกติ

    วิธีเช็ดเส้นผมที่สระมาใหม่ ๆ ให้แห้งไว ๆ:-
    ใช้เวลาน้อยที่สุด...เป่าผมที่เปียกน้ำให้แห้งไวๆ ด้วยผ้าขนหนูที่แห้งนั้นสามารถอมน้ำได้เป็นอย่างดี และตามที่เคล็ดลับ วิธีนี้ของเราได้บอกให้ใช้ผ้าขนหนูแห้งอีกผืนวางลงไปบนเส้นผมที่เปียกน้ำ อีกครั้ง แล้วค่อยให้ใช้ไดร์เป่าผม เป่าลงไปนั้น...ด้วยผ้าขนหนูจะช่วยซับน้ำ ขึ้นมาไว้ที่ตัวผ้า และไอความร้อนจากไดร์เป่าผมที่อังไปบนตัวผ้านั้นจะช่วยเร่งให้ น้ำที่ซับขึ้นมาอยู่บนผ้านั้นระเหยออกไปได้เร็วกว่าปกติอีกด้วย จึงมีสามารถที่จะ ทำให้ผมที่เปียกน้ำนั้นแห้งเร็วกว่าปกตินั่นเองค่ะ...ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเส้นผมจึงไม่ เสียนั้น ก็เป็นด้วยเพราะว่า..... ไอความร้อนจากไดร์เป่าผม นั้นไม่ผ่านไปถึงตัวเส้นผมแต่โดยตรงจึงไม่สามารถ ทำให้เส้นผมเสียแห้งกรอบได้เลยสักนิดว่าอย่างนั้น
    ... ...มีข้อควรระวังนิดหน่อยก็ตรงที่ว่าเวลาเป่าไดร์ไปบนผ้าขนหนูแล้วจำเป็น ที่จะต้องใช้มือคอยขยี้ไปบนผ้าขนหนูให้ทั่วด้วยนั้น ถ้าไดร์มีความร้อนมากเกินไป อาจเกิดอันตรายได้ ก็ให้ปรับระดับความร้อนให้ต่ำหน่อยก็ดีค่ะ....

    [​IMG] [​IMG]

    -------------------------------------------

    ระงับการจามเมื่อเวลาที่ไม่อยากจะให้จามได้ด้วยนิ้วมือของเราเองก็ได้
    ระงับการจามเมื่อเวลาที่ไม่อยากจะให้จามได้ด้วยนิ้วมือของเราเองก็ได้
    การที่คนเราเกิดอาการจามขึ้นมานั้นก็เป็นด้วยว่า ได้มีพวกเศษขี้ฝุ่นหรือขี้ผงเล็ก ๆซึ่งเป็นเสมือนสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกาย ของเราไม่ต้องการได้เกิดหลงเข้าไปอยู่ข้างในรูจมูกของเรามากเกินไป หรือจะเรียกอีกอย่างให้ง่าย ขึ้นก็ว่าเกิดมีขนาดมากเกินโคต้าอะไรทำนองนั้น...
    และทีนี้เมื่อเป็นเช่นนั้น มันสมองของเราตอนนั้นก็จะออกคำสั่งไปที่เส้นประสาท ที่จมูกให้ทำอาการที่เรียกว่าจาม...นั้นออกมา เพื่อหมายที่จะไล่หรือล้างเศษขี้ฝุ่นหรือ ขี้ผงเล็ก ๆ เหล่านั้นให้กับเรานั่นเอง....
    และเส้นประสาทตรงจมูกของเรานี้ก็จะมีความยาวมาจนถึงตรง ขอบปากของเรานั่นเลยทีเดียว ตรงนี้ที่เราบอกให้ใช้นิ้วสองนิ้ว ยกขึ้นไปสัมผัสตรงจุดที่อยู่ติดปรือใต้จมูกอย่างกระทันหันนั้น...จึงเป็นผลที่จะทำ ให้มันสมองซึ่งกำลังจะออกคำสั่งหรือบงการอยู่ว่าจงจามออกมา และด้วย แรงกระทบอย่างกระทันหันนี้นี่เอง...มันสมองจึงเกิดการลังเลและสั่งให้ยกเลิก การจามครั้งนั้นเสียในทันที ว่ามาอย่างนี้นี่เองแหละ...

    แต่จะว่าไปการจามออกมานั้นเป็นสิ่งที่ดีเพราะจะได้ช่วยไล่พวก เศษขี้ฝุ่นและขี้ผงเล็ก ๆ ที่หลงเข้ามาอยู่ในรูจมูกให้กับเรานะคะ ไม่ได้มีผลเสียแต่อย่างใด...พวกเด็ก ๆสมควรที่จะปล่อยให้จาม กันได้อย่างอิสระเสรีนั่นแหละดี อย่าไปฝืนดีกว่า...ว่าไหมเอ่ย?? เคล็ดอันนี้คิดว่าคงจะเหมาะกับผู้ที่กำลังจะทำธุระ หรือพบปะผู้คนที่สำคัญๆ หรือเวลาที่ไม่อยากให้มีอาการจามเกิดขึ้นแล้วละก็ วิธีนี้คงจะสามารถช่วยท่าน ได้อะไรทำนองนั้นนะคะ....

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      24.2 KB
      เปิดดู:
      1,394
    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.3 KB
      เปิดดู:
      1,412
    • 3.jpg
      3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      20.5 KB
      เปิดดู:
      1,387
    • 4.jpg
      4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      22 KB
      เปิดดู:
      1,368
    • 5.jpg
      5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      22.9 KB
      เปิดดู:
      1,371
    • 6.jpg
      6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      19.9 KB
      เปิดดู:
      1,363
    • 7.jpg
      7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      23.9 KB
      เปิดดู:
      1,365
    • 8.jpg
      8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      17.1 KB
      เปิดดู:
      1,362
    • 9.jpg
      9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.2 KB
      เปิดดู:
      1,371
    • 10.jpg
      10.jpg
      ขนาดไฟล์:
      20.2 KB
      เปิดดู:
      1,371
    • 11.jpg
      11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      25.3 KB
      เปิดดู:
      1,351
    • 12.jpg
      12.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.2 KB
      เปิดดู:
      1,354
    • 13.jpg
      13.jpg
      ขนาดไฟล์:
      17.2 KB
      เปิดดู:
      1,353
    • 14.jpg
      14.jpg
      ขนาดไฟล์:
      17.8 KB
      เปิดดู:
      1,349
    • 15.jpg
      15.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.3 KB
      เปิดดู:
      1,354
    • 16.jpg
      16.jpg
      ขนาดไฟล์:
      15.6 KB
      เปิดดู:
      1,358
    • 17.jpg
      17.jpg
      ขนาดไฟล์:
      15.7 KB
      เปิดดู:
      1,350
    • 18.jpg
      18.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.1 KB
      เปิดดู:
      1,328
    • 19.jpg
      19.jpg
      ขนาดไฟล์:
      17.4 KB
      เปิดดู:
      1,349
    • 20.jpg
      20.jpg
      ขนาดไฟล์:
      13.6 KB
      เปิดดู:
      1,372
    • 21.jpg
      21.jpg
      ขนาดไฟล์:
      24.1 KB
      เปิดดู:
      1,328
    • 22.jpg
      22.jpg
      ขนาดไฟล์:
      24.3 KB
      เปิดดู:
      1,333
    • 23.jpg
      23.jpg
      ขนาดไฟล์:
      15.9 KB
      เปิดดู:
      1,312
    • 24.jpg
      24.jpg
      ขนาดไฟล์:
      22.2 KB
      เปิดดู:
      1,321
    • 25.jpg
      25.jpg
      ขนาดไฟล์:
      20.3 KB
      เปิดดู:
      1,332
    • 26.jpg
      26.jpg
      ขนาดไฟล์:
      24.9 KB
      เปิดดู:
      1,345
    • 27.jpg
      27.jpg
      ขนาดไฟล์:
      15.6 KB
      เปิดดู:
      1,315
    • 28.jpg
      28.jpg
      ขนาดไฟล์:
      136 KB
      เปิดดู:
      67
    • 29.jpg
      29.jpg
      ขนาดไฟล์:
      124.2 KB
      เปิดดู:
      86
    • 30.jpg
      30.jpg
      ขนาดไฟล์:
      278.8 KB
      เปิดดู:
      83
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2010
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  10. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 10 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 8 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>แหน่ง, psombat </TD></TR></TBODY></TABLE>สวัสดีปีใหม่ครับท่านสมบัติ

    สบายดีไหมครับ
     
  11. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 14 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 11 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>psombat, sithiphong+, แหน่ง </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สะบายดีปีใหม่ครับท่านทั้งสอง ... วันนี้เป็นวันแรกของการทำงานปีใหม่ 2553 นี้ครับ ขอให้ทุกท่านบรรลุในสิ่งที่ตั้งเป้าหมายไว้นะครับ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรียนท่านสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า และ คณะพระวังหน้า ทุกท่าน

    ตามที่ผมเคยแจ้งเรื่องการจัดสร้างล็อกเก็ต คณะพิทักษ์พระพุทธศาสนา ( ซึ่งรูปในล็อกเก็ต จะเป็นรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม สมณโคดม , หลวงปู่พระอุปคุตเถระเจ้า , หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า , หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า , หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า , หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า ,หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า , หลวงปู่แจ้งฌาณ , หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ และ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี)

    ผมได้ติดต่อกับพี่สิทธิพร ให้ช่วยดำเนินการสอบถามเรื่องของราคาอีกครั้ง หากได้ข้อสรุปเรื่องของราคามาแล้ว ผมจะแจ้งให้ทุกๆท่านทราบอีกครั้ง

    หากท่านสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้าและคณะพระวังหน้าทุกๆท่าน มีความประสงค์ที่จะจอง ผมได้เปิดบัญชีใหม่ไว้เพื่อการนี้ ซึ่งผมได้ทราบราคาของล็อกเก็ตมาแล้ว ผมจะแจ้งให้ทุกๆท่านได้ทราบ และ ผมจะมีกำหนดระยะเวลาในการสั่งจองและโอนเงินเข้าบัญชี

    หากการสั่งจองแล้วยังไม่ได้โอนเงินเข้าบัญชีตามกำหนดระยะเวลาที่ผมได้แจ้ง ผมขออนุญาตยกเลิกการจองครับ

    ขอบคุณครับ
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->sithiphong

    http://palungjit.org/threads/พระวัง...โลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้.22445/page-1791

    PaLungJit.com - ชมรม รักษ์พระวังหน้า

    http://palungjit.org/threads/พระวัง...โลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้.22445/page-1791

    PaLungJit.com - ชมรม รักษ์พระวังหน้า


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2010
  13. chantasakuldecha

    chantasakuldecha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,331
    สวัสดีปีใหม่ทุกๆท่าน เริ่มต้นและขอให้สนุกกับการทำงานในปี 2553 แล้วผมจะรอจองล็อกเก็ตครับ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เท่าที่เคยคุยกันไว้ น่าจะอยู่ประมาณ 800 - 1,000 บาท แต่ในครั้งนี้ ผมจะขอเก็บเพิ่ม เรื่องของค่าใช้จ่ายต่างๆ อีกประมาณ องค์ละ 2-300 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องต่างๆ และจะมีบัญชีแจ้งให้ทราบด้วยครับ

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2010
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ซานชุ่นจือเสอ : ลิ้นสามนิ้ว
    China - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>6 มกราคม 2553 07:49 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> 三 (sān) อ่านว่า ซาน แปลว่า สาม
    寸 (cùn) อ่านว่า ชุ่น แปลว่า นิ้ว(หน่วยวัด)
    之 (zhī) อ่านว่า จือ ในที่นี้เป็นคำช่วย ใช้วางหน้าคำนาม

    เพื่อบอกคุณสมบัติ
    舌 (shé) อ่านว่า เสอ แปลว่า ลิ้น


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left><CENTER>ที่มา www.userxy.com</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ในสมัย 257 ปีก่อนคริสตกาล ทหารฉินได้บุกมาล้อมเมืองหานตันซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐเจ้า ทำให้อ๋องรัฐเจ้าต้องลอบส่งผิงหยวนจวินไปขอกำลังทหารจากรัฐฉู่มาช่วย พร้อมทั้งขอให้ลงนามสัญญาร่วมกันต่อต้านรัฐฉิน ในครั้งนั้นผิงหยวนจวินตัดสินใจที่จะนำผู้ติดตามไปด้วย 20 คนที่มีความสามารถทั้งบู๊และบุ๋น แต่คัดคนมาได้เพียง 19 คน ขาดไป 1 คน สุดท้ายมีข้ารับใช้ นามว่า เหมาซุ่ย เสนอตัวเองติดตามไปเป็นคนที่ 20 เมื่อหาคนไม่ได้ ผิงหยวนจวินจึงจำใจตอบตกลง

    ที่เกินความคาดหมายคือ เหมาซุ่ยผู้นี้เป็นผู้ที่มีวาทะศิลป์เป็นเลิศ ระหว่างการเดินทางไปถึงรัฐฉู่ เขาได้ถกเถียงข้อราชการบ้านเมืองกับผู้ร่วมทางทั้งหมด จนทำให้คนเหล่านั้นเปลี่ยนความคิดจากที่เคยนึกดูถูก มายกย่องนับถือในฝีปากของเขาทั้งสิ้น

    ในวันที่ผิงหยวนจวินเข้าเฝ้าหารือกับอ๋องรัฐฉู่ ทั้งสองหารือกันครึ่งวันยังคงไม่ได้ข้อสรุป ผู้ติดตามทั้ง 19 คนต่างร้อนใจ เหมาซุ่ยจึงตัดสินใจถือวิสาสะเดินเข้าไปสอบถามสถานการณ์ แต่กลับถูกอ๋องรัฐฉู่ที่ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตารับสั่งให้เขาออกจากห้องไปเสีย แต่เหมาซุ่ยกลับหยิบดาบมาถือไว้ แล้วเดินไปยังเบื้องหน้าของอ๋องรัฐฉู่พลางกล่าวว่า "ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ เพราะท่านอ๋องคิดว่ารัฐฉู่ของท่านเป็นรัฐใหญ่ และในเวลานี้ก็มีกำลังทหารคุ้มครองท่านมากมาย แต่ข้าน้อยเชื่อว่าเมื่อข้าน้อยยืนอยู่ต่อหน้าท่านอ๋องในตอนนี้ ด้วยระยะห่างไม่ถึง 10 ก้าว ต่อให้มีทหารฉู่มากกว่านี้ก็ไม่สามารถรักษาชีวิตพระองค์ไว้ได้ ถือว่าชีวิตของพระองค์อยู่ในกำมือของข้าน้อยก็ไม่ผิดนัก" เมื่ออ๋องรัฐฉู่ได้ฟังก็ได้แต่นิ่งงัน

    เหมาซุ่ยจึงกล่าวต่อไปว่า "ในประวัติศาสตร์ รัฐฉินก็เคยรุกรานรัฐฉู่บ่อยครั้ง ทั้งยังยึดเอาดินแดนของรัฐฉู่ไป แม้ว่าในครานี้รัฐเจ้าจะมาขอความช่วยเหลือเพื่อผนึกกำลังกันป้องกันเมืองหลวงของรัฐเจ้า แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสที่รัฐฉู่จะแก้แค้นรัฐฉินด้วย หากพระองค์ไม่ตกลงร่วมมือเนื่องเพราะความขลาด นั่นมิใช่น่าละอายหรอกหรือ" สุดท้ายอ๋องรัฐฉู่จึงตกลงทำสัญญาผนึกกำลังกับรัฐเจ้าเพื่อต้านรัฐฉิน

    เมื่อกลับถึงรัฐเจ้า ผิงหยวนจวินจึงกล่าวยกย่องเหมาซุ่ยว่า "การไปเจรจากับรัฐฉู่ครานี้ ลิ้นขนาดเพียงสามนิ้วของท่านเหมาซุ่ย กลับทรงอาณุภาพมากกว่ากองทหารนับล้านเสียอีก"

    สำนวน "ลิ้นสามนิ้ว" ใช่เพื่อยกย่องความสามารถในเชิงวาทะศิลป์ หรือผู้ที่มีผีปากเป็นเลิศ


    ตัวอย่างประโยค
    他凭着三寸之舌,使许多人听信了他的谎言。
    เขาอาศัย ทำให้ผู้คนพากันหลงเชื่อคำลวงของเขา

    ที่มา
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รายละเอียด ผมส่งให้ทาง Email แล้วนะครับ

    หากท่านใดที่ยังไม่ได้รับ Email ผม ขอความกรุณาโทร.กลับมาหาผมด้วย

    หากหลังจากวันอังคารที่ 12 มกราคม 2553 หากมีการจองและยังไม่ได้โอนเงิน ผมขออนุญาตยกเลิกการจอง

    รายละเอียด ผมแจ้งให้ทราบทาง Email แล้วครับ

    ขอบคุณครับ
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เสริมสร้างสมองของเด็กๆด้วยธาตุเหล็กในผัก 5 ชนิด
    Travel - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>5 มกราคม 2553 16:50 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=200>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> หลังจากผ่านช่วงเทศกาลปีใหม่มาแล้ว คราวนี้ก็ถึงทีของเด็กๆ ได้เฮกันบ้าง เพราะวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมนั้นถือเป็น "วันเด็ก" ที่เด็กๆทุกคนจะได้ทำกิจกรรมสนุกๆมากมาย "108 เคล็ดกิน" ก็เลยนำเอาอาหารที่จะช่วยให้เด็กๆ แข็งแรงสมวัย มีพลังในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆได้เต็มที่มาฝากกัน นั่นก็คือสารอาหารสำคัญอย่าง "ธาตุเหล็ก" นั่นเอง

    ธาตุเหล็กนั้นเป็นส่วนสำคัญของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง หากร่างกายขาดธาตุเหล็กก็จะเกิดภาวะโลหิตจาง และทำให้ความสามารถของเลือดในการนำออกซิเจนไปเลี้ยงยังเนื้อเยื่อต่างๆลดประสิทธิภาพลง และสำหรับเด็กๆแล้ว ธาตุเหล็กถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาร่างกายและสมอง เพราะการขาดธาตุเหล็กจะส่งผลต่อพัฒนาการของสมอง ทำให้มีสมาธิในการเรียนต่ำ ความจำไม่ดี แถมยังมีอาการเหนื่อยง่าย เฉื่อยชา ง่วงเหงาหาวนอน เรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง และไม่มีกำลังในการทำกิจกรรมต่างๆ

    และสำหรับคุณแม่ที่อยากจะให้ลูกๆได้รับธาตุเหล็กเต็มที่ "108 เคล็ดกิน" ก็มีผักพื้นบ้านที่มีธาตุเหล็กสูงสุด 5 อันดับมาฝากกัน ได้แก่ ผักกูด ให้ธาตุเหล็ก 36.3 มิลลิกรัม/100 กรัม ถั่วฟักยาว ให้ธาตุเหล็ก 26 มิลลิกรัม/100 กรัม ผักแว่น ให้ธาตุเหล็ก 25.2 มิลลิกรัม/100 กรัม เห็ดฟาง ให้ธาตุเหล็ก 22.2 มิลลิกรัม/100 กรัม และพริกหวาน ให้ธาตุเหล็ก 17.2 มิลลิกรัม/100 กรัม คุณแม่ลองนำผักเหล่านี้มาทำอาหารจานอร่อยให้คุณลูกกิน ก็จะได้รับธาตุเหล็กกันถ้วนหน้า อ้อ...และหากอยากให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี ก็ต้องกินอาหารที่มีวิตามินซีควบคู่กันไปด้วย
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ผมขอจอง 3 องค์ครับ วันนี้โอนตังส์ให้ตามเลขบัญชีใน mail ... ขอฤกษ์ดีวันเสาร์ห้านะพี่ :)
     

แชร์หน้านี้

Loading...