พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ขอบคุณครับ ไว้จะโทรขอรหัส ...

    แล้วบรรยากาศงานครบรอบสองปี เมื่อวานเป็นอย่างไรบ้างครับ?
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ล้างตามสูตรเดิม จะเห็นเนื้อในสวยมากๆๆๆๆ

    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ก็ต้องขอขอบคุณกับข้อความข้างบนครับ จริงๆ แล้ว วันครบรอบการก่อตั้งทุนนิธิฯ ครบ 2 ปี เป็นวันที่ 29 เดือนที่แล้ว แต่วันนี้เป็นวันครบรอบที่เริ่มทำบุญครั้งแรกเมื่อ 2 ปีที่แล้ว จึงได้จัดงานขึ้นเป็นพิเศษ และทุนนิธิฯ ก็ได้นำสิ่งที่ดีคือพระพิมพ์ต่างๆ ที่ผมพอจะมีกำลังหามาได้โดยทยอยเก็บสะสมเอาไว้ นำมาแจกให้ฟรีและให้บูชากัน โดยรายได้ส่วนหนึ่งหักต้นทุนค่าพระเพียงเล็กน้อยได้นำเข้าสมทบกับทุนนิธิฯ หมด โดยรายได้ที่ได้รับบริจาคในห้องกิจกรรม พร้อมกับรายได้ที่ให้บูชาพระพิมพ์ต่างๆ ในวันนี้เข้าทุนนิธิฯ ประมาณ 64,000.- ซึ่งเงินทั้งหมดจะได้เก็บไว้เป็นทุนในการส่งไปช่วยเหลือพระสงฆ์ที่อาพาธตาม รพ.ต่างๆ ต่อไป

    ทั้งนี้ ผมต้องขอขอบคุณ คุณสิทธิพงษ์ สงวนศักดิ์ และชาวคณะชมรมรักษ์พระวังหน้าที่ได้นำของวิเศษมาร่วมแจกให้ผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วยครับ พร้อมทั้งคุณเด่นหรือคุณ newcomer ที่นำแยมรสอร่อยมาฝาก คุณปู benjapa ที่มาไกลจากอเมริกาที่นำหนังสือธรรมะมาฝาก น้อง katicat น้องตาดีหรือน้องแขกที่นำซีดีมาฝาก และอีกหลายคนที่นำสิ่งของมาฝากแจกกัน ดีครับดีจริงๆ ที่มาช่วยกัน ถือว่าเป็นความสุขช่วงส่งท้ายปีเก่ากันด้วยทานมัยต่างๆ เห็นคำชมของคุณบรรเจิดที่ไปพร้อมกับลูกชายก็หายเหนื่อยครับ วันนี้ถือว่าสนุกมาก แต่ผมว่าคนน่าจะไปมากกว่านั้นนา เพราะพระพิมพ์ที่ผมแจกให้ใส่ถุงไว้ร้อยองค์เรียบวุธหมด น้ำเตรียมไว้ 50 ถ้วย ไม่เหลือหรอ ผมเองคอแห้งยังไม่มีทานในงานเลย ส่วนรูปถ่ายของงานกิจกรรมในวันนี้ทางคุณกรณ์จะได้ทยอยนำลงมาให้ดูกันคงเป็นช่วงเย็น หรือค่ำๆ นี้ล่ะครับ

    สุดท้ายในวันนี้ต้องแสดงความประทับใจกับท่าน อ.ประถม อาจสาคร ที่ท่านเดินทางมาจากชลบุรี เพื่อมามอบพระพิมพ์ต่างๆ ให้กับทุกท่านด้วยตนเอง ทั้งที่อายุท่านมากแล้ว ท่านยิ้มตลอด แถมบอกสรรพคุณหรืออิทธคุณของพระพิมพ์ที่แจกให้ผู้ที่ได้รับเสร็จสรรพ นับว่าเป็นความเมตตาของท่านผู้รู้ในเรื่องพระพิมพ์ทั้งตานอกและตาในเป็นอย่างดี ลูกหลานจึงอดประทับใจไม่ได้ครับ สำหรับพระพิมพ์ในถุงกำมะหยี่สีแดงถึงแม้จะเป็นพระพิมพ์สกุลสมเด็จที่เป็นองค์น้อยแค่ 1*0.5 ซม.แต่ขอโทษที อิทธิคุณจัดจ้านและเข้มแข็งมาก อ.ประถมฯ ถึงกับออกปากขอกับผมเองเอาไว้ใช้ 10 กว่าองค์ ตรวจกันทั้่งตานอกและตาในกันพลาด ก็เห็นท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ (โต) ท่านนั่งเสกอยู่เต็มองค์ เข้าใจว่าท่านคงมีวัตถุึประสงค์ที่จะแจกแก่ชาวบ้านและเด็กเล็กทั่วไป ท่านเลยใส่พลังแบบไม่ยั้ง พระพิมพ์สกุลสมเด็จพิมพ์นี้ ท่าน อ.ประถมฯ ท่านเรียกตามโบราณว่า "พิมพ์แป้งกระแจะ" แต่ผมบอกว่าขออนุญาตเรียกเป็นพิมพ์ "แป้งกระแจะจันทร์" จะดีกว่า เพราะกระแสจิตประจำตัวท่านนั้่นดูนุ่มนวลด้วยเมตตามหานิยมด้วยนับเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวท่านทีเดียว โดยที่ผมยังเหลืออีกมาก เอาเป็นว่าคนไกล ถ้าอยากจะได้ ให้ส่งจดหมายพร้อมสอดซองเปล่า จ่าหน้าชื่อของตนเองพร้อมกับติดแสตมป์มาให้เรียบร้อย แล้วส่งมาที่อยู่ตามข้างล่างนี้ ผมจะมอบพระให้ โดยใส่ถุงกำมะหยี่สีแดงเหมือนกับที่แจกให้ผู้ที่ร่วมกิจกรรมในวันนี้ พร้อมกับส่งใส่ซองคืนท่านทันที โดยท่านส่งจดหมายมาถึงผมแล้วก็ขอช่วยให้โพสท์ชื่อและที่อยู่พร้อมลำดับที่จองคิวลงมากระทู้ด้วยครับเพื่อที่จะได้ตรวจสอบตัวเลขว่าครบหรือยัง โดยผมจะได้ให้เจ้าหน้าที่ของผมช่วยตรวจสอบอีกครั้งกันพลาดและผิดคิว ผมมีถุงกำมะหยี่สีแดงแค่ 30 ถุง เพราะฉะนั้น ก็จะส่งให้แค่ 30 คนเท่านั้น หมดถุงแล้วก็หมดเลยครับ ใครส่งจดหมายมาแต่ไม่มีซองข้างในหรือมีซองแต่ไม่ติดแสตมป์มาก็ถือว่าผิดกติกาครับ ขอความสวัสดีจงมีแด่ทุกท่านในวันครบรอบการทำบุญของทุนนิธิฯ ในวันนี้ครับ

    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->พันวฤทธิ์<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2780875", true); </SCRIPT>
    27/12/52

    http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ.102545/page-246
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อวานนี้(27 ธันวาคม 2552) ท่านอาจารย์ประถม มีเมตตาเดินทางมาร่วมงาน ท่านบอกกับผมว่า มีคนมาร่วมงานเยอะดีน๊ะหนุ่ม ผมตอบท่านว่า ครับ ผมเองยังมอบพิมพ์พระแม่ธรณี จำนวน 100 องค์ ให้กับท่านอาจารย์ประถม เพื่อที่ท่านไว้แจกผู้ที่ไปหาท่านที่ชลบุรีด้วย

    ผมลองสอบถามกับพี่ท่านนึงว่า พิมพ์พระแม่ธรณีนี้เป็นอย่างไร พี่ท่านนี้บอกว่า แรงมากๆ

    ท่านที่ได้รับพระวังหน้าไปในวันงาน ผมเองพิมพ์ประวัติโดยย่อให้แล้ว ซึ่งท่านจะเชื่อหรือไม่เป็นสิทธิของท่านเอง

    ผม , คุณnongnooo และ พี่สมสิทธิ์ ตอนที่ไปถวายภัตตาหาร ผมได้มอบพระวังหน้าให้กับคุณnongnooo และ พี่สมสิทธิ์ ไปถวายพระภิกษุด้วย หลังจากที่ผมถวายและรับพรแล้ว เกิดความรู้สึกว่า ขนลุกซู่อย่างมาก แต่จะเป็นปิติหรือไม่นั้น ผมไม่ทราบ แต่ในใจผมปล่อยว่าง ไม่ได้คิดอะไร

    ส่วนอีกพิมพ์ ผมจะเรียกว่า พระพุทธประทับบนสัตว์ (เป็นพิมพ์ที่คล้ายพิมพ์หลวงพ่อปาน) ซึ่งชุดนี้ที่ชมรมรักษ์พระวังหน้าแจกนั้น องค์ผู้อธิษฐานจิตเป็นกลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ (เช่นหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน , หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า , หลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร , หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ ฯลฯ) เพียงแค่องค์เดียวก็เหลือเกินแล้ว

    ท่านที่ได้ไป ลองทำตามวิธีที่ผมแนะนำนะครับ

    ให้ท่านขอขมาองค์ผู้อธิษฐานจิต ,เทวดาประจำองค์พระ และ ช่างสิบหมู่ ก่อน หลังจากนั้น ให้ท่านนำน้ำอุ่น(เกือบร้อน) นำพระลงไปแช่(ไว้สักประมาณ 15 นาที) แล้วท่านก็นำแปรงสีฟัน(ชนิดขนแปรงอ่อน) มาขัดที่องค์พระ เมื่อขัดแล้ว ท่านก็ล้างด้วยน้ำธรรมดาอีกครั้ง น้ำที่ล้างขอให้นำไปรดน้ำต้นไม้ เพียงเท่านี้ องค์พระก็สอาดแล้วครับ

    ส่วนบรรยากาศ ให้เข้าไปดูในกระทู้ ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ (เป็นลิงค์)

    สำหรับพิมพ์"แป้งกระแจะ" นั้น ทางคณะพระวังหน้าหลายๆท่านก็มีกันแล้ว แต่เป็นพิมพ์ที่ "บุทองคำ" และ "บุเงิน" ส่วนองค์ผู้อธิษฐานจิตจะเป็นหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 5 พระองค์ 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน) และ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2009
  5. chantasakuldecha

    chantasakuldecha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,331
    โมทนาสาธุ สาธุ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อีกเรื่องนะครับ

    [​IMG] p.doc

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • p.doc
      ขนาดไฟล์:
      22.5 KB
      เปิดดู:
      43
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  9. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    อ่ะ ล้างตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วครับ ใสๆกริ๊งๆครับ หุ หุ
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โมทนาสาธุครับ



    .
     
  11. chantasakuldecha

    chantasakuldecha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,331
    โมทนา สาธุ สาธุ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>จีนฟันธงแล้ว “ที่ตั้งสุสานโจโฉ” ยุติปริศนาร่วมสองพันปี
    China - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>28 ธันวาคม 2552 13:19 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD><TD><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>ภาพถ่าย/กราฟิกแสดงสุสาน ภาพวาดของ วุ่ยอู่หวัง หรือ โจโฉ (เฉาเชา) และหลักฐานชิ้นฟันธงระบุตัวเจ้าของสุสาน คือ ป้ายหินแกะสลักชื่อ วุ่ยอู่หวัง (ภาพล่างมุมขวา)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ป้ายหินแกะสลักที่มีค่าที่สุด ในสุสานโจโฉ จารึกอักษรเหล่านี้ เป็นข้อมูลสำคัญในการระบุตัวเจ้าของสุสาน และเป็นหลักฐานอ้างอิงทางประวัติศาสตร์โดยตรงที่สุด</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ป้ายหินแกะสลักอักษร “อาวุธที่ วุ่ยหวัง (โจโฉ) ใช้ประจำ” ( 魏武王常所用格虎大戟)</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>หมอนหินที่วุ่ยอ๋อง (โจโฉ)ใช้เป็นประจำ จารึกอักษร “魏武王常所用慰项石”</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>โบราณวัตถุที่พบในสุสานโจโฉ</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>สภาพภายในสุสานโจโฉ </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>สภาพด้านนอกสุสานโจโฉ</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>กราฟฟิกแสดงประวัติชีวิต เฉาเชา (โจโฉ) และที่ตั้งของสุสานในอันหยาง (Anyang) มณฑลเหอหนัน </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์--กลุ่มนักโบราณคดีจีน พบสุสานของโจโฉ แม่ทัพใหญ่ผู้ฉลาดปราดเปรื่องแห่งยุคสามก๊กระหว่างการขุดค้นทางโบราณดคีในมณฑลเหอหนัน โดยป้ายหินแกะสลักตัวอักษร และหมอนหินที่ขุดค้นพบภายในสุสาน จารึกชื่อ “วุ่ยอู่หวัง” ( คือ โจโฉ) นักโบราณคดีจึงปักธงได้ว่าเจ้าของสุสานคือ โจโฉ

    สืบเนื่องจากการขุดค้นสุสานยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก(ค.ศ.25-220)ที่หมู่บ้านซีกาวเสียว์ ตำบลอันเฟิง อำเภออันหยาง มณฑลเหอหนัน นักโบราณคดีจีนก็ได้ค้นพบทางโบราณคดีครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง ที่ยุติการถกเถียงและข้อสงสัยนับพันปี เกี่ยวกับที่ตั้งหลุมฝังศพแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่โจโฉ แห่งยุคสามก๊ก จากป้ายแกะสลักชื่อ วุ่ยอู่หวัง หรือวุ่ยอู่อ๋อง (魏武王) ซึ่งก็คือ พระนามของพระเจ้าโจโฉ นักโบราณคดีจีนจึงสามารถระบุชัดเจนแล้วว่า หลุมฝังศพของแม่ทัพโจโฉอยู่ ณ หมู่บ้านซีกาวเสียว์ แห่งนี้

    โจโฉ หรือ ในภาษาจีนกลางเรียก เฉาเชา(曹操) (ค.ศ.155-220) เป็นขุนศึก และผู้สำเร็จราชการแผ่นดินคนสุดท้ายของราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ต่อมา โจโฉได้สร้างนครรัฐที่รุ่งเรืองและแข็งแกร่งที่สุดในยุคสมัยสามก๊ก (ค.ศ.208-280) คือ แคว้นวุ่ย หรือวุ่ยก๊ก ตำนานชีวิตโจโฉเป็นที่เลื่องลือและติดตรึงใจผู้คนทั่วโลกมาถึงปัจจุบันจากวรรณกรรมคลาสิก “สามก๊ก” ในความเป็นผู้ปกครองที่โด่ดเด่นด้านความสามารถ และนักการทหารที่ทรงสติปัญญาเฉลียวฉลาด

    นอกจากนี้ โจโฉยังได้รับการยกย่องเป็นกวี อันสะท้อนถึงบุคคลิกพิเศษและแข็งแกร่งของแม่ทัพโจโฉ กระทรวงศึกษาจีนยังได้บรรจุบทกวีของโจโฉไว้ในตำราเรียนระดับชั้นมัธยม

    นักโบราณคดีเผยรายละเอียดการขุดค้นครั้งนี้ ว่าเป็นสุสานขนาดใหญ่ มีโครงสร้างซับซ้อนมาก ประกอบด้วยห้องด้านหน้าและด้านหลัง และห้องอีกสี่ห้องอยู่ในภายใน ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ ราว 740 ตารางเมตร อันเป็นขนาดและโครงสร้างตามประเพณีจีนโบราณในการกษัตริย์ หรือเจ้าครองนครรัฐ จากการเปิดเผยของ นายหลิว ชิงจู ผู้อำนวยคณะกรรมการสถาบันบัณฑิตสถานด้านสังคมศาสตร์ เผยแก่ผู้สื่อข่าวเมื่อวันอาทิตย์(27 ธ.ค.)

    นักโบราณคดียังพบโบราณวัตถุมากกว่า 250 ชิ้น ที่ทำจากทองคำ เงิน ทองสำริด หยก หิน ดินเผา ฯลฯ อีกทั้งหินแกะสลักชื่อ 59 ชิ้น และจารึกหลายชิ้นภายในหลุมฝังศพ โดยมีหินแกะสลักแปดชิ้นที่มีค่ามากที่สุด ซึ่งจารึกเกี่ยวกับอาวุธต่างๆที่วุ่ยอ๋อง หรือโจโฉ ใช้ ตัวอักษรที่จารึกบนหินเหล่านี้ ได้แก่魏武王常所用格虎大戟,“魏武王常所用格虎大刀”เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีหมอนหินที่วุ่ยอ๋องใช้เป็นประจำ จารึก “魏武王常所用慰项石”จารึกอักษรเหล่านี้ เป็นข้อมูลสำคัญในการระบุตัวเจ้าของสุสาน และเป็นหลักฐานอ้างอิงทางประวัติศาสตร์โดยตรงที่สุด

    ภายในสุสานยังมีภาพเขียนบนหินจำนวนมาก ที่ละเอียดประณีต

    ในการขุดค้นสุสานฯ นักโบราณคดียังได้พบซากกระดูกส่วนศีรษะ และแขนขาของมนุษย์ในห้องฝังศพสองห้อง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้ระบุในเบื้องต้นว่าเป็น ซากกระดูกของผู้ชายหนึ่งคน และผู้หญิงอีกสองคน โดยผู้ชายเป็นเจ้าของหลุมฝังศพ อายุราว 60 ปี

    ห่าว เปิ่นซิง หัวหน้าสถาบันโบราณคดีแห่งมณฑลเหอหนัน เผยว่า โจโฉได้จารึกเจตจำนงของเขาว่า ให้สร้างสถานที่ฝังศพของเขาอย่างเรียบง่าย ซึ่งก็สอดคล้องกับสุสานที่นักโบราณขุดค้นคือ กำแพงสุสานไม่มีภาพเขียน และมีสมบัติไม่กี่ชิ้น ตำแหน่งของสุสาน สอดคล้องกับบันทึกประวัติศาสตร์ และบันทึกโบราณในยุคของโจโฉ รัฐบาลมณฑลเหอหนัน และอันหยาง มีแผนที่จะเปิดสุสานให้สาธารชนเข้าชม

    เจ้าหน้าที่เผยว่า ก่อนหน้ามีการปล้นขโมยโบราณวัตถุในสุสานโจโฉหลายครั้ง จนนักโบราณคดีได้รายงานสำนักงานโบราณคดีแห่งชาติเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2551 หน่วยวิจัยโบราณคดีจึงได้เข้าทำการขุดค้นเพื่อการคุ้มครองสมบัติโบราณคดีของชาติ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้ติดตามโบราณวัตถุหลายชิ้นที่ถูกขโมยไป.

    ถกบุคลิกโจโฉ
    พระเจ้าโจโฉ (จีนตัวเต็ม: 曹操; จีนตัวย่อ: 曹操; พินอิน: Cáo Cāo; เวด-ไจลส์: Ts'ao² Ts'ao¹) หรือ สมเด็จพระจักรพรรดิวุ่ยอู่หวัง (魏武王) มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 155 - ค.ศ. 220 เป็นขุนศึกและผู้สำเร็จราชการแผ่นดินคนสุดท้าย ในราชวงศ์ฮั่นตะวันออกของประเทศจีน ในภายหลังโจโฉได้ก่อตั้งวุยก๊ก ซึ่งเป็นหนึ่งในสามอาณาจักรของยุคสามก๊ก

    ในวรรณคดีเรื่องสามก๊กบางสำนวน โจโฉได้รับการบรรยายให้เป็นจักรพรรดิที่โหดเหี้ยมและทะเยอทยาน แต่ตามประวัติศาสตร์แล้ว โจโฉเป็นผู้ปกครองที่สามารถ นักการทหารที่ชาญฉลาด และยังเป็นกวีอีกด้วย ในสามก๊ก โจโฉแม้จะเป็นคนโหดเหี้ยม เจ้าเล่ห์ แต่ก็หาใช่ว่าเป็นคนไร้เหตุผล ตรงกันข้ามยังเป็นคนผูกใจคนเก่ง ชอบใช้คนมีความสามารถ รู้จักใช้คน บริหารจัดการเก่ง มีความเป็นผู้นำสูง และออกอุบายวางแผนได้ด้วยตนเอง ซึ่งหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้กล่าวว่า "ยิ่งอ่าน ยิ่งรักน้ำใจโจโฉ" และเป็นที่ของหนังสือที่ชื่อ โจโฉ นายกฯตลอดกาล ที่ว่าด้วยการมองโจโฉในอีกแง่ และให้ฝ่ายจ๊กก๊ก ของเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย เป็นตัวร้ายแทน

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โคราชฮือฮา แม่หมาเลี้ยงลูกแมว

    เรื่องแปลก เรื่องแปลก ๆ แม่หมาเลี้ยงลูกแมว


    [​IMG]



    โคราชฮือฮา! แม่หมาเลี้ยงลูกแมว (ข่าวสด)

    เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดนครราชสีมา รายงานว่า ที่ร้านจำหน่ายตุ๊กตาหินทราย เลขที่ 188 หมู่ 11 บ้านหนองโสน ต.หนองระเวียง อ.โชคชัย พบพฤติกรรมสุดทึ่งของเจ้าสุนัขที่เลี้ยงลูกแมวด้วยนมจากเต้า และมีความผูกพันกันคล้ายกับแม่ลูกร่วมสายเลือด สร้างความแปลกใจและประทับใจให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก โดยสุนัขดังกล่าวเป็นสุนัขพันธุ์ปั๊ก สีขาว อายุ 2 ปี เพศเมีย ชื่อว่า "เจ้าจีจี้" ส่วนเจ้าลูกแมวเป็นแมวพันธุ์พื้นบ้าน สีดำ อายุ 1 ปี ชื่อว่า "แด่น" ซึ่งเจ้าแด่นนั้นจะชอบกินนม เจ้าจีจี้อย่างมาก ถึงแม้ว่าจะมีอายุได้ 1 ปีแล้วก็ตาม โดยจะกินนมเจ้าจีจี้ วันละ 3 มื้อ เช้า – เที่ยง – เย็น ส่วนเจ้าจีจี้เองก็จะนอนอย่างสบายใจปล่อยให้เจ้าแด่นกินนมจนอิ่มหน่ำสำราญ ผิดวิสัยของสัตว์ที่เป็นศัตรูทางสายพันธุ์อย่างที่รู้ ๆ กัน


    [​IMG]


    นางเฟื่องฟ้า โคตรหลักคำ อายุ 23 ปี เจ้าของ จีจี้และเจ้าแด่น เล่าว่า ซื้อจีจี้มาจากตลาดเซฟวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา ตั้งแต่มีอายุ ได้ 2 เดือน ในราคา 3,500 บาท จากนั้นนำมาเลี้ยงไว้ที่บ้าน เจ้าจีจี้เป็นสุนัขที่มีนิสัยร่าเริง และชอบหยอกล้อกับผู้คนที่อยู่รอบข้าง ต่อมาครบ 2 ปี เจ้าจีจี้ก็ได้ตั้งท้อง แต่พอใกล้ครบกำหนดที่จะตกลูก เจ้าจีจี้กับแท้งลูกออกมาเสียก่อน จึงทำให้กลายเป็นสุนัขที่มีอาการซึมเศร้าไม่เหมือนเดิม พอดีกับที่ตนได้นำลูกแมว 3 ตัวมาเลี้ยงไว้ที่ร้านจำหน่ายตุ๊กตาหินทราย ร่วมกับเจ้าจีจี้ จากนั้นก็สังเกตเห็นพฤติกรรมเจ้าแด่นซึ่งแปลกแตกต่างจากลูกแมวตัวอื่น โดยมักจะชอบไปเล่นใกล้ๆกับเจ้าจีจี้ ส่วนเจ้าจีจี้เองก็ไม่รู้สึกรำคาญหรือทำร้ายเจ้าแด่นแต่อย่างใด กลับนอนให้เจ้าแด่นกินนมได้อย่างสบายใจ ตั้งแต่นั้นมาสัตว์ทั้ง 2 ก็ใกล้ชิดสนิทสนมกันจนเหมือนเป็นแม่กับลูก โดยตั้งแต่เช้า เจ้าแด่นจะตื่นขึ้นมากินนมเจ้าจีจี้ ก่อนที่จะกินอาหารที่ตนเองนำไปให้เป็นประจำทุกวัน และอาหารมื้อเที่ยงและเย็นก็ขาดไม่ได้ที่จะต้องดื่มนมเจ้าจีจี้เป็นอาหาร เสริม ซึ่งพฤติกรรมแปลกประหลาดของแม่ลูกต่างสายพันธุ์นี้ เป็นที่ชินตาของชาวบ้านแถบนี้เป็นอย่างดี และตนเองก็รู้สึกประทับใจกับพฤติกรรมของสัตว์ 2 ตัวนี้เป็นอย่างมาก



    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
    [​IMG]
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มนุษย์พิการครึ่งร่างกลายเป็นเถ้าแก่เจ้าของร้าน

    ?荧ễ? ?荧ễ? 栁?؉¬?ԡ҃?Ö觃蒧 ?荧ễ? ?Œ ?繠?钡?蠨钢ͧéҹ


    [​IMG]



    สุดเจ๋ง มนุษย์พิการครึ่งร่างกลายเป็น"เถ้าแก่เจ้าของร้าน"หลังฟื้นชีวิต 2 ปี (มติชนออนไลน์)

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายเป็ง ชุ่ยหลิน ชายจีนผู้เคราะห์ร้ายซึ่งเคยรับอุบัติเหตุถูกรถบรรทุกทับร่าง และต้องผ่าตัดส่วนล่างทิ้ง ขณะนี้ได้พบชีวิตใหม่อันน่าเหลือเชื่อ ภายหลังได้ฟื้นจากอาการพิการเหลือร่างกายเหลือเฉพาะท่อนบน และได้เปิดร้านซูเปอร์มาร์เก็ตสินค้าราคาต่อรองได้ โดยเขาตั้งชื่อร้านว่า "ร้านค้าราคาครึ่งมนุษย์ครึ่งราคา"

    รายงานระบุว่า เป็ง สร้างความตื่นตะลึงให้แก่บรรดาแพทย์ผู้ผ่าตัดเขา หลังจากเขาฟื้นตัวคืนสู่อาการปกติ จากการผ่าตัดเกือบ 2 ปี ที่โรงพยาบาลในเมืองเสิ่นเจิ้น ทางตอนใต้ของจีน และขณะนี้เรียกได้ว่า เขาได้กลายเป็นนักธุรกิจ และยังถูกเปรียบเทียบให้เป็นแบบอย่างแก่ผู้พิการด้วย




    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
    [​IMG]
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไหว้พระขอพร 9 พระอารามหลวง

    ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ ไหว้พระ 9 วัด พระอารามหลวง


    [​IMG]

    ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ

    [​IMG]

    ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ

    [​IMG]

    ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ



    ไหว้พระขอพร 9 พระอารามหลวง (ททท.)

    "การเริ่มต้นที่ดี คือส่วนหนึ่งของความสำเร็จ" จากคติดังกล่าว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงได้จัดทำกิจกรรม "ไหว้พระขอพร 9 พระอารามหลวง" ขึ้น เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่สนใจได้เดินทางท่องเที่ยวสักการะสถานที่อันเป็นมงคล เพื่อการเริ่มต้นอย่างมีความสุขสงบทางใจ ตามคติความเชื่อของไทย อีกทั้งยังเป็นการเรียนรู้ถึงคุณค่าของโบราณสถานที่สำคัญของเกาะ รัตนโกสินทร์และบริเวณโดยรอบอีกด้วย

    สำหรับ 9 พระอารามหลวง ได้แก่...



    [​IMG]

    ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ


    [​IMG] 1. วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร

    คติ : เดินทางปลอดภัยดี มีมิตรไมตรีที่ดี
    เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียนแดงคู่ ดอกไม้พวงมาลัย

    ประวัติ/ความเป็นมา

    วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ได้อุทิศที่ดิน ซึ่งบริเวณดังกล่าวเดิมเรียกว่า "หมู่บ้านกุฎีจีน" วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2368 ในสมัยรัชกาลที่ 3 และได้ถวายเป็นพระอารามหลวง ได้รับพระราชทานนามว่า "วัดกัลยาณมิตร" พร้อมกับทรงสร้างพระวิหารหลวงเพื่อเป็นที่ประดิษฐาน "พระพุทธไตรรัตนนายก" (หลวงพ่อโต) ซึ่งเป็นชื่อที่ได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่ 4 หรือเรียกตามแบบจีนว่า (ชำปอฮุดกง หรือ ชำปอกง)

    วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร เป็นวัดเดียวในประเทศไทยที่มีองค์พระประธานเป็นพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ โดยประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถ ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพุทธประวัติ นอกจากนี้ ยังมีหอพระธรรมมณเฑียรเถลิงพระเกียรติ เป็นที่เก็บพระไตรปิฎกและพระคัมภีร์ต่าง ๆ ซึ่งรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2408

    การเดินทาง

    วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร ตั้งอยู่แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี มีโดยรถประจำทาง สาย 40, 57, 149 รถปรับอากาศ สาย ปอ. 177 หรือจะไปทางเรือก็ต้องข้ามเรือข้ามฟากที่ท่าเรือปากคลองตลาดมาท่าเรือวัดกัลยาฯ



    [​IMG]

    ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ


    [​IMG] 2. วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร

    คติ : มีชัยชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง
    เครื่องสักการะสำหรับพระประธานในโบสถ์ : ธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 1 ดอก
    เครื่องสักการะสำหรับรูปเคารพสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท : ธูป 5 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 1 ดอก

    ประวัติ/ความเป็นมา

    วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท สร้างสมัยก่อนกรุงรัตรโกสินทร์ สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสถาปนาวัดขึ้นมาใหม่ และรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้เป็นวัดพระสงฆ์ฝ่ายราชสามัญ เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ทหารรามัญในกองทัพของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุ รสิงหนาท ต่อมาเมื่อมีชัยชนะต่อกองทหารข้าศึกถึง 3 ครั้ง จึงพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดชนะสงคราม"

    วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร มีพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย เป็นพระประธาน มีพระนามว่า "พระพุทธนรสีห์ตรีโลกเชฏฐ์ มเหทธิศักดิ์ปูชนียะชยันตะโคดมบรมศาสดา อนาวรญาณ" ประดิษฐาน ณ พระอุโบสถ

    การเดินทาง

    วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่บนถนนจักรพงษ์ แขวงบางลำพู เขตพระนคร สามารถเดินทางโดยรถประจำทาง สาย 33, 64, 65 หรือรถปรับอากาศ สาย ปอ. 3, 32, 33, 64, 65



    [​IMG]

    ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ


    [​IMG] 3. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร

    คติ : ร่มเย็นเป็นสุข
    เครื่องสักการะ : ธูป 9 ดอก เทียนคู่ ทองคำเปลว 11 แผ่น

    ประวัติ/ความเป็นมา

    วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือที่รู้จักกันในนาม "วัดโพธิ์" เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก เดิมชื่อ "วัดโพธาราม" พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงบูรณะและโปรดเกล้าฯ ให้สร้างประเจดีย์เพื่อบรรจุพระพุทธรูปพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งอัญเชิญมาจากกรุงศรีอยุธยา ต่อมาใน พ.ศ. 2377 รัชกาลที่ 3 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะพระเจดีย์ แล้วพระราชทานนามว่า "พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชญดาญาณ" และทรงสร้าง "พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกนิธาน" เพื่ออุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ 2 และทรงมีพระราชประสงค์ให้วัดโพธิ์เป็น "มหาวิทยาลัยสำหรับประชาชน" จึงโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมสรรพวิชาความรู้มาจารึกบนแผ่นศิลาติดไว้บริเวณพระอุโบสถ เพื่อให้ประชาชนมาศึกษาหาความรู้

    ที่วัดโพธิ์มี "พระพุทธเทวปฏิมากร" ประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถ ใต้ฐานชุกชี บรรจุพระบรมอัฐิของรัชกาลที่ 1 มีพระวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไสยาสน์ที่สวยงามที่สุด และองค์ใหญ่เป็นอันดับ 4 ในประเทศไทย เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนพื้นพระบาทประดับมุก เป็นภาพมงคล 108 ประการ นอกจากนั้น วัดโพธิ์ยังมีเจดีย์ทั้งสิ้น 99 องค์ ถือว่าเป็นวัดที่มีเจดีย์มากที่สุดในประเทศไทย และมีพระมหาเจดีย์ 4 รัชกาล คือ รัชการที่ 1- 4 แห่งกรุงรัตรโกสินทร์

    ในปัจจุบันวัดโพธิ์เปิดอบรมเผยแพร่วิชาการแพทย์แผนโบราณ โดยผู้ผ่านการอบรมจะได้รับใบประกอบโรคศิลป์จากกระทรวงสาธารณสุข

    การเดินทาง

    วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ด้านหลังพระบรมมหาราชวัง ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร สามารถโดยรถประจำทาง สาย 12, 44, 82, 91 รถปรับอากาศ สาย ปอ. 12, 32, 44, 91, 51



    [​IMG]

    ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ


    [​IMG] 4. วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

    คติ : เพื่อจิตใจสะอาด ดุจรัตนตรัย
    เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกไม้

    ประวัติ/ความเป็นมา

    วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว เป็นพระอารามที่อยู่ในบริเวณพระบรมมหาราชวัง รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2326 เพื่อความสะดวกเวลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญพระราชกุศลตามราชประเพณี และเพื่อเป็นที่บรรจุพระอัฐิอายุของพระเจ้าแผ่นดินเจ้านายในราชสกุล ภายในวัดพระแก้วมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย อาทิ พระอุโบสถอันเป็นที่ประดิษฐาน "พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร" (พระแก้วมรกต) ที่พระระเบียงมีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ที่วิจิตรสวยงามและยาวที่สุดในโลก มีปราสาทพระเทพบิดร ซึ่งเป็นปราสาทยอดปรางค์ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปรัชกาลที่ 1- 8

    มีพระศรีรัตนเจดีย์ประดับกระเบื้องสีทองทั้งองค์เป็นที่ประดิษฐานพระบรม สารีริกธาตุมีหอพระราชพงศานุสรณ์เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประจำรัชกาลของ พระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีหอระฆังที่มีระฆังซึ่งตีมีเสียงดังกังวานดี มีพระบรมราชานุสาวรีย์ประจำรัชกาลของพระมหากษัตริย์กรุงรัตนโกสินทร์และยัง มีรูปยักษ์ 6 คู่ เป็นรูปยักษ์ตัวสำคัญจากเรื่องรามเกียรติ์ เป็นปูนปั้นทาสี ประดับกระเบื้องเคลือบสีต่าง ๆ สูงประมาณ 6 เมตร ตั้งประจำที่ช่องประตูพระระเบียง

    การเดินทาง

    วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตั้งอยู่บริเวณสนามหลวง ถนนหน้าพระลาน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร สามารถโดยรถประจำทาง สาย 1, 3, 25, 32, 33, 59, 60, 70, 82, 91, 201, 203 รถปรับอากาศ สาย ปอ. 2, 3, 6, 25, 32, 59, 60, 70, 82, 91, 201, 203, 512



    [​IMG]

    ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ


    [​IMG] 5. วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร

    คติ : ชื่อเสียงโด่งดัง คนนิยมชมชอบ
    เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียนคู่ ทองคำเปลว

    ประวัติ/ความเป็นมา

    วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม วัดระฆัง เป็นพระอารามหลวงชั้นโท เดิมชื่อว่า “วัดบางว้าใหญ่” เป็นวัดโบราณมีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา พระอุโบสถเป็นสถาปัตยกรรมในสมัยรัชกาลที่ 1 มีลายหน้าบันเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑ ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถนี้ เป็นที่ประดิษฐานของพระประธานซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงเรียกว่า "พระประธานยิ้มรับฟ้า" นอกจากนี้ ยังมีหอไตรเป็นรูปเรือนสามหลังแฝด ภายในมีภาพจิตรกรรมที่สำคัญหลายแห่งทั้งบานประตู และฝาผนังรวมทั้งตู้พระไตรปิฏกสมัยกรุงศรีอยุธยา

    วัดระฆังเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สมเด็จพระราชาคณะในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นพระเถระผู้ทรงเกียรติคุณ วิทยาคุณโด่งดังมากแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน การไปสักการะสมเด็จพุฒาจารย์ เพื่อขอพรโดยการสวดคาถาชินบัญชรเมื่อสวดจบแล้ว ปักธูปที่กระถางและปิดทองที่รูปปั้น แล้วอย่าลืมพรมน้ำมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล

    การเดินทาง

    วัดระฆังโฆสิตารามมรมหาวิหาร ตั้งอยู่บนถนนอรุณอัมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย สามารถโดยรถประจำทาง สาย 19, 57 ส่วนทางเรือ โดยเรือด่วนเจ้าพระยาแล้วลงที่ท่ารถไฟ หรือท่าวังหลัง หรือข้ามฝากที่ท่าช้างแล้วขึ้นที่ท่าเรือวัดระฆัง



    [​IMG]

    ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ


    [​IMG] 6. วัดสุทัศเทพวรารามวรมหาวิหาร

    คติ : วิสัยทัศน์กว้างไกล มีเสน่ห์แก่คนทั่วไป
    เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม

    ประวัติ/ความเป็นมา

    วัดสุทัศเทพวรารามวรมหาวิหาร เป็นพระอามามหลวงชั้นเอก และเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 8 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เดิมชื่อ "วัดมหาสุทธาวาส" วันนี้เริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2350 เสร็จสมบูรณ์ พ.ศ. 2390 ในสมัยรัชกาลที่ 3 และได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดสุทัศเทพวราราม"

    ที่พระวิหารมี "พระศรีศากยมุนี" เป็นพระประธานซึ่งอัญเชิญมาจากสุโขทัยเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยหล่อด้วย สำริดถอดแบบมาจากพระวิหารพระมงคลบพิตร กรุงศรีอยุธยา บานประตูใหญ่ของพระวิหารสลักไม้สวยงามรอบพระวิหารมีถะ หรือเจดีย์ศิลาแบบจีนตั้งอยู่บนฐานทักษิณ เป็นถะ 6 ชั้น จำนวน 28 องค์ มีพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธตรีโลกเชฏฐ์ เป็นพระประธานปางมารวิชัย ใหญ่กว่าพระที่หล่อในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ องค์อื่น ๆ มีภาพจิตรกรรมฝาผนังอันเป็นฝีมือช่างชั้นครูในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่งดงามมาก พระอุโบสถนี้นับว่ายาวที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีศาลาการเปรียญที่มีพระพุทธเสรฏฐมุนี เป็นพระประธานที่หล่อด้วยกลักฝิ่นเมื่อ พ.ศ. 2382 ในสมัยรัชกาลที่ 3 เช่นกัน

    การเดินทาง

    วัดสุทัศเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่บริเวณเสาชิงช้า ตรงข้ามศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร สามารถโดยรถประจำทาง สาย 10, 12, 42 รถปรับอากาส สาย ปอ. 10, 12, 42



    [​IMG]

    ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ


    [​IMG] 7. วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร

    คติ : ชีวิตรุ่งโรจน์ทุกคืนวัน
    เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียนคู่

    ประวัติ/ความเป็นมา

    วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก สร้างสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อวัดมะกอก เมื่อ พ.ศ. 2310 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (พระเจ้ากรุงธนบุรี) เสด็จทางชลมารคจากกรุงศรีอยุธยามารุ่งเช้าที่หน้าวัดมะกอก จึงโปรดเกล้าฯให้ปฏิสังขรณ์ แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "วัดแจ้ง" ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 ได้ทรงปฏิสังขรณ์และพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดอรุณราชวราราม"

    ในสมัยกรุงธนบุรีวัดอรุณราชวรารามเคยเป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วมรกต ก่อนที่จะอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดพระแก้ว นอกจากนั้นยังมียักษ์ปูนปั้นขนาดใหญ่ 2 ตน ตั้งอยู่หน้าประตูซุ้มยอดพระมงกุฏ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในนาม "ยักษ์วัดแจ้ง"

    ภายในวัดอรุณราชวรารามนี้มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย อาทิ มีพระปรางค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกสูง 33 วาเศษ ประดับด้วยชิ้นกระเบื้องเคลือบสีต่าง ๆ ยอดพระปรางค์เป็นนภศูล ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีปรางค์ทิศทั้ง 4 ประดิษฐานพระพุทธรูปปางประสูติ เทศน์พระธัมมจักร ตรัสรู้ นิพพาน การเดินเวียนทักษิณาวัดรอบพระปรางค์ 3 รอบ โดยเดินเวียนขวา (ตามเข็มนาฬิกา) เพื่อความเป็นสิริมงคล มีพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐาน "พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก" ซึ่งรัชกาลที่ 2 ทรงปั้นหุ่นและพระพักตร์ด้วยฝีพระหัตถ์พระองค์เอง และยังมีพระวิหารที่มีพระบรมสารีริกธาติที่เกศพระพุทธชมภูนุชฯ มีพระอรุณหรือพระแจ้ง ที่รัชกาลที่ 4 ทรงอัญเชิญมาจากเวียงจันทน์

    การเดินทาง

    วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ข้างกองทัพเรือ ถนนอรุณอัมรินทร์ เขตบางกอกใหญ่ สามารถโดยรถประจำทาง สาย 19, 57 หรือนั่งเรือโดยสารข้ามฟากจากท่าเตียน มาขึ้นที่วัดอรุณ



    [​IMG]

    ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ


    [​IMG] 8. วัดบวรนิเวศวิหาร

    คติ : พบแต่สิ่งดีงามในชีวิต
    เครื่องสักการะ : ธูป 9 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 3 ดอก

    ประวัติ/ความเป็นมา

    วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชชวรวิหาร สมเด็จพระบวรราชเจ้ากรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลที่ 3 ทรงสร้างขึ้นใหม่ระหว่าง พ.ศ. 2367 - 2375 เดิมมีชื่อเรียกว่า วัดใหม่ ได้รับพระราชทานชื่อใหม่ เมื่อรัชกาลที่ 3 ทรงอาราธนาสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ามงกุฎเสด็จมาประทับเมื่อปี พ .ศ. 2375 นอกจากนี้ ยังเป็นวัดที่รัชกาลที่ 6 รัชกาลที่ 7 และรัชกาลปัจจุบันทรงผนวช เป็นวัดของคณะ สงฆ์ฝ่ายคามวาสีของธรรมยุติกนิกาย

    สิ่งสำคัญภายในวัดบวรนิเวศวิหาร ได้แก่ พระอุโบสถ เป็นอาคารแบบตรีมุข หน้าบันประดับกระเบื้องเคลือบ ตรงกลางมีตรามหามงกุฎ พระประธานในพระอุโบสถและพระพุทธชินสีห์ วิหารพระศาสดา พระเจดีย์ใหญ่ และพระตำหนักปั้นหยา สถานที่ประทับของพระมหากษัตริย์และเจ้าฟ้าที่ทรงผนวช

    การเดินทาง

    วัดบวรนิเวศวิหาร ตั้งอยู่ริมถนนบวรนิเวศและถนนพระสุเมรุ แขวงนิเวศ เขตพระนคร สามารถโดยรถประจำทาง สาย 10, 12, 56, 68



    [​IMG]

    ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ


    [​IMG] 9. วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร

    คติ : เสริมสร้างความคิดอันเป็นสิริมงคล
    เครื่องสักการะ : ธูป 9 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 3 ดอก

    ประวัติ/ความเป็นมา

    วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท เป็นวัดสำคัญคู่มากับการสร้างกรุงเทพมหานคร เป็นวัดโบราณสร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อวัดสระแรัชกาลที่ 1 ทรงปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่โปรดให้ขุดคลองรอบพระอารามและพรราชทานนามว่า วัดสระเกศ จนถึงสมัยรัชกาลที่ 3 โปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์ทั่วทั้งพระอารามและสร้างสิ่งต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น พระบรมบรรพต หรือ ภูเขาทอง

    สิ่งสำคัญภายในวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ได้แก่ พระบรมบรรพต หรือ ภูเขาทอง ซึ่งสร้างเป็นพระปรางค์ในสมัยรัชกาลที่ 3 แต่เกิดทรุดทังลง รัชกาลที่ 4 โปรดให้ซ่อมแซม โดยแปลงเป็นภูเขาและก่อพระเจดีย์ไว้บนยอด ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สร้างแล้วเสร็จในสมับรัชกาลที่ 5 นอกจากนี้ ภายในพระอุโบสถที่ภายในมีภาพเขียนจิตรกรรมฝีมือช่าง สมัยรัชกาลที่ 3 และหอไตร ศิลปะสมัยอยุธยาบานหน้าต่างเป็นลายรดน้ำ

    การเดินทาง

    วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่บริเวณปากคลองมหานาค แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย





    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
    [​IMG]
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    8 เทคนิคชาร์จสมองให้พร้อมฟิตเสมอ

    การดูแลสุขภาพ 8 เคล็ดลับ บริหารสมอง


    [​IMG]


    8 เทคนิคชาร์จสมองให้พร้อมฟิตเสมอ (Woman’s Story)

    สมองเป็นสิ่งสำคัญในกระบวนการคิด และทำสิ่งต่าง ๆ ของร่างกายคนเรา นอกจากการบำรุงโดยอาหารที่มีประโยชน์แล้ว ก็ควรมีการฝึกฝน และพัฒนาสมองอยู่เสมอด้วย และนี่ก็เป็นเทคนิคที่น่าสนใจ ซึ่งเราขอแนะนำให้ลองนำไปฟิตสมองกันดูค่ะ

    [​IMG] 1. ฝึกใช้มือข้างที่ไม่ถนัด โดยอาจจะเริ่มจากการทำกิจวัตรประจำของตัวเอง เช่น การแปรงฟัน จากมือขวาก็เปลี่ยนมาใช้มือซ้ายดู จากนั้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกิจกรรมที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น กินข้าว เป็นต้น วิธีนี้จะช่วยให้เซลล์สมองได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น

    [​IMG] 2. ฝึกโฟกัสสายตา ให้นั่งจ้องไปข้างหน้าแบบธรรมดาทั่วไปกวาดสายตามองไปรอบ ๆ มุ่งความสนใจไปในสิ่งที่เห็น หรือจะจดบันทึกก็ได้ เป็นการฝึกเรื่องของความจำ และช่วยให้การโฟกัสสายตาดีขึ้น

    [​IMG] 3. เล่นขว้างลูกบอล โดยขว้างและรับลูกบอลใบใหญ่จาก 1 เป็น 2 ลูก จะช่วยสมองในเรื่องควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย ในส่วนของการมองเห็น และระบบประสาทได้ดีขึ้น

    [​IMG] 4. หัดเรียนรู้สิ่งใหม่ เช่นเครื่องเล่น การฟัง การแปลความโน้ตดนตรี การเคลื่อนไหวอย่างมีสติ จะช่วยในเรื่องของการทำงานของสมองในหลายด้านให้สัมพันธ์กัน

    [​IMG] 5. เที่ยวพิพิธภัณฑ์วิธีนี้จะฝึกความจำของสมองในระดับต่าง ๆ ทั้งความคิด การมอง การจดจำ ซึ่งจะช่วยพัฒนาระบบประสาท และป้องกันการเสื่อมของเซลล์สมอง

    [​IMG] 6. จดจำเนื้อเพลง การฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ จดจำเนื้อเพลง แล้วร้องตาม จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเข้าใจ ความคิด และจดจำได้ดีขึ้น

    [​IMG] 7. ฝึกทำกิจกรรมเงียบ ๆ คนเดียว และเป็นเกมส์ที่มีประโยชน์ เช่น เกมส์ปริศนาอักษรไขว้ ถักนิตติ้ง เป็นต้น การฝึกในลักษณะนี้จะเป็นการช่วยพัฒนากระบวนการเรียนรู้ให้กับสมอง

    [​IMG] 8. ลองลดเสียงโทรทัศน์ลง เพราะการฟังอย่างตั้งใจ จะช่วยฝึกสมองในเรื่องของการจับใจความ ในสิ่งที่ได้ยินอย่างรวดเร็วได้ดีขึ้น







    ขอขอบคุณข้อมูลจาก Woman’s Story
    [​IMG]
    1-15 ตุลาคม 2552 lssue: 232
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>3 ห่วง 2 เงื่อนไข เทคนิคซื้อของขวัญสอนใจลูก ถูกเงินพ่อแม่
    Life & Family - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>28 ธันวาคม 2552 17:15 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=188 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=188>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ในช่วงที่ห้างสรรพสินค้ากำลังทำโปรโมชั่นลดราคาทั้งแผนกปกติ และแผนกของเล่นเด็ก อาจทำให้พ่อแม่ ตลอดจนพี่ป้าน้าอาหลายคนรีบหาโอกาสไปเดินเลือกซื้อของขวัญสำหรับเจ้าหนูคนพิเศษที่บ้านอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระหยิ่มยิ้มย่องกลับบ้านไปมอบของขวัญให้กัน ซึ่งนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒก็ได้ออกโรงเตือนว่า ไม่ควรเลือกซื้ออย่างฉาบฉวย แต่ควรดูความจำเป็น หรือหาของขวัญที่ส่งเสริมสติปัญญาเป็นหลัก

    ดร. สุจินดา ขจรรุ่งศิลป์ อาจารย์สาขาปฐมวัย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ทุกคนตื่นเต้นและดีใจ มีความสุขสนุกสนาน เป็นเทศกาลที่ทุกคนอยากมอบความรักความปรารถนาดีต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่มอบให้เด็กหรือเด็กมอบให้ผู้ใหญ่ ในเมื่อเป็นเทศกาลแห่งการให้ ขอแนะนำว่าไม่ควรจะให้ของขวัญด้วยความฉาบฉวย หรือสักแค่ว่าให้ โดยเฉพาะการที่พ่อแม่ที่จะซื้อของขวัญให้ลูก ส่วนใหญ่จะดูว่าลูกชอบอะไรแล้วเลือกให้สิ่งนั้นให้ แท้ที่จริงแล้วไม่เพียงพอ

    "พ่อแม่ควรจะพิจารณาว่าสิ่งที่ลูกๆ หรือเด็กๆ ชอบนั้นมันจำเป็น หรือเหมาะสมกับเด็ก ๆ หรือไม่ ถ้าพ่อแม่จะให้ของขวัญปีใหม่แก่ลูก ๆ หรือผู้ใหญ่ให้ของขวัญแก่เด็กๆ ควรดูว่าทำอย่างไรเราจะให้ของขวัญที่แฝงไว้ซึ่งการให้สติปัญญา สิ่งเหล่านี้ต้องเริ่มสอนและให้เด็กคุ้นชินกับการให้ในลักษณะนี้ เพื่อที่เขาจะได้ยอมรับและมีความสุขกับของขวัญที่พ่อแม่หรือผู้ใหญ่มอบให้"

    "สิ่งที่พ่อแม่ควรตระหนักให้มากก็คือ ทำอย่างไรการให้ของพ่อแม่หรือการให้ของผู้ใหญ่ไม่ทำให้ลูกหลานหรือเด็กๆ ติดกับวัตถุและการเปรียบเทียบ เด็กบางคนเมื่อเพื่อนมีของชิ้นนั้นชิ้นนี้ตัวเองก็ต้องมี เด็กเกิดการเปรียบเทียบตลอดเวลา การสอนไม่ให้เด็กเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นนั้น พ่อแม่ต้องสอนให้เด็กๆ รู้จักคิดหลักเหตุผลได้ตั้งแต่เด็กๆ บางครอบครัวสอนลูกให้เห็นว่าอาหารการกินสำคัญกว่าของบางอย่าง เสื้อผ้าบางชิ้นสำคัญหรือไม่ การซื้อเสื้อผ้าไปตามแฟชั่นนั้นมันเหมาะสมหรือไม่ การสอนสิ่งเหล่านี้ต้องสอนตั้งแต่เด็กๆ เริ่มตั้งแต่อนุบาลก็สอนได้แล้ว เขาจะค่อย ๆ ซึมซับ เมื่อเด็กโตขึ้นเขาจะรู้คุณค่าของเงินและใช้เงินเป็น รู้ว่าอะไรควรซื้ออะไรไม่ควรซื้อ สิ่งสำคัญพ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างให้เด็กๆ ด้วย"

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> 3 ห่วง 2 เงื่อนไข..ใช้ให้ถูก

    การสอนเด็กๆ และเยาวชนในยุคเศรษฐกิจรัดตัวเช่นนี้ หากพ่อแม่หรือผู้ปกครองเด็กทุกคนสอนให้เขาเข้าใจคำว่า 3 ห่วง 2 เงื่อนไขเด็กก็จะรู้จักคำว่าเศรษฐกิจพอเพียง และใช้ชีวิตอย่างพอเพียง

    "3 ห่วงก็คือ ต้องสอนให้เด็กๆ มีภูมิคุ้มกัน รู้จักพอเพียง และรู้เหตุและผล ส่วน 2 เงื่อนไขก็คือต้องมีความรอบรู้และมีคุณธรรม สิ่งเหล่านี้ต้องเริ่มสอนกันตั้งแต่เด็กๆ และควรจะให้คนไทยทั้งชาติมีแนวคิดเหล่านี้อยู่ในตัวตน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก"

    "การสอนลูกหลานไม่ควรรอให้เด็กถูกสอนโดยครูแต่การสอนเด็ก ๆ ให้ความรู้แก่พวกเขานั้นต้องเริ่มที่บ้าน ถ้าพ่อแม่รู้จักสอนลูกให้เข้าใจคำ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข กันตั้งแต่เด็กๆ ถึงตอนนี้พ่อแม่จะสบายใจมากในการหาของขวัญปีใหม่ให้ลูกๆ ถึงตอนนี้พ่อแม่ไม่ต้องดิ้นรนหาเงินเยอะ แต่รู้จักหาของขวัญที่มีความหมาย ต้องดูว่าผู้รับเขาต้องการหรือจำเป็นสำหรับเขาหรือไม่ ของขวัญบางชิ้นไม่ว่าจะให้เด็กหรือผู้ใหญ่ก็ต้องดูในเรื่องความหมาย นั่นก็คือมันเกินความจำเป็นของผู้รับ ผู้รับบางคนไม่ได้อยากได้ ไม่ได้ต้องการกลับกลายเป็นขยะที่เขาต้องรีบกำจัดมันออกไป นั่นก็คือเอาไปมอบให้คนอื่นต่อไป การให้ของขวัญโดยการเน้นความหมายนั้นดูได้ในหลายมิติ อาจจะเป็นความซาบซึ้งกินใจ การหาซื้อขวัญขวัญเพื่อให้ผู้รับรู้สึกนึกถึงผู้ให้ตลอดเวลาจึงต้องพิธีพิถัน”

    ดร.สุจินดา กล่าวอีกว่า เทศกาลแห่งการให้อยากชักชวนให้ผู้ที่จะมอบของขวัญให้กับคนที่เรารัก เคารพ นับถือ ไม่ว่าจะมอบให้ลูก เพื่อนหรือใคร ๆ ก็ตาม ขอให้มอบหนังสือเป็นของขวัญแก่กัน และต้องปรานีตในการเลือกหนังสือ สังเกตว่าคนที่เราจะมอบหนังสือให้นั้นเป็นคนลักษณะไหน แล้วค่อยเลือกซื้อหนังสือ ผู้อ่านจะเกิดสติปัญญาและเป็นการส่งเสริมการอ่านด้วย นอกจากนี้ของขวัญที่ส่งเสริมกลุ่มคนให้มีรายได้ในการผลิตก็ควรจะสนับสนุนเลือกสินค้าเหล่านั้นมาเป็นของขวัญ เป็นสินค้าของคนไทย อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงปัญหามลพิษด้วยว่า การซื้อข้าวของมาเป็นของขวัญแก่คนอื่นนั้นเป็นการเพิ่มภาระให้โลกอีกหรือไม่
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ส่งตรงจากห้วงจักรวาล! สุดยอดภาพดาราศาสตร์2552

    ห้วงอวกาศและจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล ยังมีมิติลี้ลับมหัศจรรย์อีกมากมายรอให้ "มนุษย์" สำรวจ หนึ่งในศาสตร์แห่งการไขปริศนาจักรวาลก็คือ การใช้เทคโนโลยี "กล้องโทรทรรศน์" ทั้งบนพื้นโลกและส่งไปโคจรในอวกาศค้นหาคำตอบ ซึ่งตลอดปีที่ผ่านมามีภาพดาราศาสตร์สุดสวยงามตระการตาและโดดเด่น ดังนี้!

    [​IMG]

    1. ก่อร่างสร้างดาว

    ภาพจากกลุ่มเนบิวลา หรือ กลุ่มก๊าซและฝุ่นผงในอวกาศ มีชื่อว่า "30 โดเรดัส เนบิลวา" ภายในกำลังเกิดการก่อตัวของดาว "อาร์136" (กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล)



    2. เนบิวลา"ไอริส"

    พื้นที่ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของกลุ่มเนบิวลา "ไอริส" มองดูเหมือนภาพผ้าไหมนุ่มละมุน ประดับประดาด้วยประกายแสงสว่างจากอัญมณี (กล้องฮับเบิล)

    [​IMG]


    3. สีสันหมู่ดาว

    สีสันความเคลื่อนไหวในหมู่ดาว "แคสซิโอเปีย" โดยกลุ่มก๊าซในภาพนี้เรียกว่า กลุ่ม "ไอซี 1795" ห่างจากโลก 6,000 ปีแสง (กล้องฮับเบิล)



    4. แมงกะพรุนเรืองแสง

    กาแลกซี หรือ ดาราจักร "คาร์ทวีล" ดูคล้ายแมงกะพรุนเรืองแสงลอยอยู่ในจักรวาล ภาพๆ นี้ได้จากการนำภาพจากกล้องฮับเบิล กกล้องโทรทรรศน์สปิตเซอร์ กล้องจันทราเอ็กซ์เรย์ มาประกอบเข้าด้วยกัน



    5. ผีเสื้ออวกาศ

    กล้องฮับเบิลบันทึกภาพวัตถุในอวกาศ มีลักษณะเหมือนกับผีเสื้อกำลังกระพือปีกโผบิน (กล้องฮับเบิล)



    6. "ปู"ทรงพลัง

    เนบิวลา รหัส "เอ็ม 1" หรือ "แคร็บ เนบิวลา" ซึ่งแปลว่า "เนบิวลารูปปู" ภายในมีพลังงานอัดแน่นสูงพอๆ กับพลังงานจากดวงอาทิตย์ 100,000 ดวงรวมกัน (กล้องจันทรา)



    7. แรงระเบิด

    ภาพการระเบิดพุ่งพล่านภายในกลุ่มก๊าซ "คารินาเนบิวลา" (กล้องฮับเบิล)



    8. ดาวร้อนแรง

    แสงเปล่งประกายออกมาจากกลุ่มเนบิวลา "เอ็นจีซี 6164" ภายในมีดาวกลุ่ม "โอ" (O-type Star) ตั้งอยู่ โดยมีมวลและความร้อนสูงมากกว่าดาวอาทิตย์ประมาณ 40 เท่า และคาดว่าดาวดวงนี้มีอายุไม่ต่ำกว่า 3-4 ล้านปี



    9. "ดาราจักร"ประสานงา

    กล้องฮับเบิลและกล้องสปิตเซอร์จับภาพจังหวะกาแล็กซี่ หรือ ดาราจักร 2 แห่งเคลื่อนเข้าชนกัน นักดาราศาสตร์เรียกพื้นที่ในจักรวาลตรงจุดนี้ว่า "เอ็นจีซี 6240"



    10. กาแล็กซี่คู่หู

    ความงามของกาแล็กซี่ หรือ ดาราจักร 2 แห่งที่อยู่เคียงคู่กัน นั่นคือ "เอ็นจีซี 5194" ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า และ "เอ็นจีซี 5195" ดูเผินๆ อาจเหมือนอยู่ใกล้ๆ กัน แต่ความจริงแล้วศูนย์กลางดาราจักรทั้ง 2 แห่งนี้ห่างกันราวๆ 31 ล้านปีแสง

    http://www.khaosod.co.th/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2009
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปลาปักเป้า

    คอลัมน์ คอลัมน์ที่13



    พ่อค้าชาวสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซื้อปลาปักเป้ามาทำอาหารให้ครอบครัวรับประทานจนกลายเป็นเหตุสลดใจ

    เมื่อพ่อเสียชีวิต ขณะที่ภรรยาและลูกสาววัย 5 ขวบอาการโคม่าสาหัส

    ทำให้พิษสงของปลาปักเป้ากลายเป็นข่าวใหญ่ เป็นข่าวสร้างความน่าสะพรึงกลัวอีกครั้ง

    หลังจากเคยมีข่าวผู้นำมารับประทานแบบไม่ถูกวิธีเสียชีวิตมาแล้วหลายครั้ง

    ปลาปักเป้ามีชื่อเรียกอีกอย่างว่าปลาเนื้อไก่ ถือว่าเป็นอาหารอันตราย

    กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดให้เป็นอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่ายตามประกาศกระทรวงสาธารณ สุข (ฉบับที่ 264) พ.ศ.2545

    ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 2 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท

    ปลาชนิดนี้พบได้ทั้งในน้ำจืดและน้ำทะเล มีประมาณ 100 ชนิด

    แต่ที่ทำให้เกิดพิษมีประมาณ 50 ชนิด และพบในประเทศไทยประมาณ 20 ชนิด

    พิษของปลาปักเป้าไม่ได้อยู่ที่เนื้อ แต่มีพิษมากที่ไข่ ตับ กระเพาะ ลำไส้ ผิวหนัง

    และพิษของปลาจะเพิ่มมากขึ้นในฤดูปลาวางไข่

    หากกินเนื้อในส่วนที่มีพิษของปลาปักเป้า จะเกิดอาการชาที่ลิ้น ปลายนิ้วมือ คลื่นไส้อาเจียนในขั้นแรก

    จนกระทั่งถึงขั้นรุนแรง อาจเป็นอัมพาต และถึงแก่ชีวิตได้

    ข้อมูลของศูนย์พิษวิทยา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข รายงานไว้ว่า

    สารที่แยกได้จากปลาปักเป้ามี 2 ชนิด ซึ่งเมื่อผ่านกรรม วิธีต่างๆแล้ว อาการพิษจะเกิดขึ้นหลังรับประทานปลาปักเป้าประมาณ 30 นาที จนถึงหลายชั่วโมง แล้วแต่ปริมาณที่รับประทาน

    โดยสารพิษในปลาปักเป้าเป็นสารพิษที่ทนต่อความร้อนสูง

    ความร้อนในการปรุงอาหาร การหุงต้ม การแปรรูป จึงไม่สามารถทำลายสารพิษดังกล่าวได้

    อาการจากการบริโภคพิษปลาปักเป้าที่เกิดขึ้นแบ่งเป็น 4 ขั้นคือ

    ขั้นแรก ชาที่ริมฝีปาก ลิ้น ปลายนิ้วมือ คลื่นไส้ วิงเวียน อาเจียน กระสับกระส่าย

    ขั้นที่สอง ชามากขึ้น อาเจียนมาก อ่อนเพลีย แขนขาไม่มีแรง ยืนและเดินไม่ได้

    ขั้นที่สาม เคลื่อนไหวแขนขาไม่ได้ พูดลำบากจนถึงพูดไม่ได้ เนื่องจากสายกล่องเสียงเป็นอัมพาต ผู้ป่วยยังรู้สึกตัว

    ขั้นที่สี่ กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตทั่วไป หายใจลำบาก เขียวคล้ำ หมดสติ รูม่านตาโตเต็มที่ไม่มีปฏิกิริยาต่อแสง

    ขั้นสุดท้ายนี้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องผู้ป่วยจะเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว

    ที่สำคัญก็คืออาการตั้งแต่ขั้นแรกถึงขั้นสุดท้าย อาจเกิดขึ้นในเวลาเพียง 10-15 นาทีเท่านั้น

    สิ่งที่ควรระวังอีกอย่างคือเนื้อปลาปักเป้า มีลักษณะคล้ายกับเนื้อไก่

    ดังนั้นเพื่อการบริโภคอย่างปลอดภัย มีวิธีการสังเกตง่ายๆ ก็คือ

    ถ้าหากเป็นเนื้อปลาแล่ที่เป็นปลาปักเป้า ลักษณะเนื้อจะนูน และมีลายเส้นที่แตกต่างจากปลาชนิดอื่น

    ลักษณะดังกล่าวไม่ควรเสี่ยงซื้อมาบริโภค

    กรณีเป็นผลิตภัณฑ์เนื้อปลา เช่น ลูกชิ้น ปลาเส้น ให้พิจารณาว่าอยู่ในภาชนะบรรจุที่มีฉลากระบุแหล่งผลิตที่ชัดเจน

    ที่สำคัญอย่าซื้อปลาปักเป้ามาแล่เอง

    เพราะหากไม่มีความชำนาญ ไม่รู้ขั้นตอนการแล่อย่างถูกวิธี อาจสัมผัสพิษจากส่วนต่างๆ ของปลา

    ที่ปนเปื้อนเนื้อปลาหรือปนเปื้อนในเนื้ออาหารที่ปรุงได้

    จากอร่อยก็กลายเป็นอันตรายถึงชีวิต


    ˹ѧ
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปลื้มปีติ 60 ปี ราชาภิเษกสมรส

    [​IMG]


    ในวโรกาส 60 ปี วันราชาภิเษกสมรส 28 เมษายน 2553 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชจัดทำไดอารี่และปฏิทินปี 2553 รวบรวมพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระราชจริยาวัตรอันงดงามให้พสกนิกรชาวไทยร่วมปลื้มปีติ

    นับแต่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ.2493 ตราบจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลายาวนานถึง 60 ปี ทั้งสองพระองค์ทรงเป็นร่มโพธิ์ทองแผ่ความร่มเย็นเป็นสุขแก่พสกนิกรตลอดมา ได้เสด็จพระราช ดำเนินเคียงคู่กันไปทั่วภูมิภาคและในท้องถิ่นทุรกันดาร เพื่อขจัดทุกข์ผดุงสุขให้แก่อาณาประชาราษฎร์ โดยมิได้ทรงย่อท้อต่อความลำบากตรากตรำพระวรกาย อีกทั้งยังทรงประกอบพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการ

    [​IMG]

    ในปี พ.ศ.2491 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงศึกษาอยู่ที่เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พระองค์ทรงขับรถยนต์พระที่นั่งจากเมืองโลซานน์มาที่กรุงปารีสเพื่อทอดพระเนตรโรงงานทำรถยนต์และการแสดงดนตรีของคณะดนตรีที่มีชื่อเสียงต่างๆ ในครั้งนั้นหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีสและครอบครัวจึงมีโอกาสเฝ้าฯรับเสด็จ

    ณ ที่แห่งนี้เองคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้พระองค์ทรงพบหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ซึ่งมีความสนใจและเข้าใจในศิลปะการดนตรีอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นในการเฝ้าฯรับเสด็จ ทุกครั้ง ครอบครัวกิติยากรจะได้รับพระราชทานทรงดนตรีร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ จึงก่อให้เกิดความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับครอบครัวกิติยากร โดยเฉพาะกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์

    จนเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2491 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงมีกระแสรับสั่งให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เข้าเฝ้าฯเยี่ยมพระอาการ และถวายการพยาบาลอย่างใกล้ชิดเป็นประจำ ยิ่งทำให้สัมพันธภาพของทั้งสองพระองค์กระชับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ซึ่งต่อมาสมเด็จพระราชชนนีจึงทรงขอให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เข้าศึกษาในโรงเรียนประจำที่มีชื่อเสียงในเมืองโลซานน์เพื่อเรียนวิชาพิเศษแก่กุลสตรี

    และเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2492 สมเด็จพระราชชนนีทรงขอหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ให้เป็นพระคู่หมั้นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงหมั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ด้วยพระธำมรงค์ที่พระราชบิดาทรงหมั้นพระราชชนนี และทรงจัดพิธีเป็นการภายในอย่างเงียบๆ

    [​IMG]

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ทรงเข้าพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสโดยรับน้ำเทพมนต์จากสมเด็จพระศรีสวรินทรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2493 ณ วังสระปทุม

    หลังจากเสร็จพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ และในวันที่ 5 ธันวาคม 2499 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระนามาภิไธยว่า "สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ"

    ณ มหามงคลวโรกาสวันคล้ายวันราชาภิเษกสมรสครบ 60 ปี เหล่าพสกนิกรชาวไทยต่างซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ และพระราชจริยวัตรอันเปี่ยมด้วยพระเมตตาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ประทับอยู่ในดวงใจชาวไทยทุกคน





    เนื้อหาในไดอารี่"60 ปี วันราชาภิเษกสมรส" มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช พ.ศ.2553

    อ้างอิงข้อมูลจาก หนังสือที่ระลึก มหามงคลราชาภิเษกสมรส ครบ 55 ปี

    หนังสือจอมพลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ องค์วีรสตรีคู่พระบารมี พระจอมทัพ

    หนังสือนางแก้วคู่พระบารมี

    ˹ѧ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...