กรรมของคนกินเนื้อหมา...

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย apichai53, 22 ธันวาคม 2009.

  1. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    [​IMG]
    ภาพ : จากอินเทอร์เน็ต (อย่ากินผมเลย...ไหว้ละครับ)

    เรื่องราวนี้เป็นของสุภาพบุรุษท่านหนึ่งในจังหวัดนครพนมท่านได้เล่าให้ฟังดังนี้.......

    คนสกลนครหรือคนในจังหวัดใกล้เคียงไม่มีใครที่จะไม่รู้จักเนื้อสวรรค์เพราะมันจัดเป็นอาหารพิเศษสุดของคนที่นี้กันเลยทีเดียวและเนื้อที่ใช้ทำก็ไม่ใช่อะไรอื่น เนื้อสุนัขดี ๆ นี้เอง


    การกินเนื้อสุนัขนั้น ริเริ่มโดยชาวญวนอพยพมาจากฝั่งลาวรวมถึงคนจีนด้วย โดยเขาจะกินเฉพาะฤดูหนาวเพียงครั้งเดียว ด้วยเชื่อว่าเนื้อสุนัขสามารถให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายได้ และสุนัขที่นำมากินต้องสีดำล้วน ๆที่ผ่านการเลี้ยงดูมาอย่างดี ไม่ใช้สุนัขตาดำ ๆ ทั่วไปที่คนแถบอีสาน หรือที่ จ .สกลนครกินกัน

    ผมเป็นคนจังหวัดนครพนม ที่นี้ก็มีการกินเนื้อสุนัขบ้างแต่ไม่เอิกเกริกถึงกับเปิดเป็นร้านอาหารใหญ่โตเหมือนกับจังหวัดสกลนครและไม่รู้ว่าการเปิบเนื้อสวรรค์นี้จะขยับขยายเข้าไปถึงจังหวัดที่ผมอยู่หรือเปล่าถ้าเป็นแต่แต่ก่อนก็ไม่คิดอะไรดอก เพราะเห็นว่ามันเป็นอาชีพสุจริตที่ใคร ๆ ก็ทำได้แต่เดี๋ยวนี้ผมได้แต่ภาวนาว่าขออย่าได้คืบคลานเข้ามาเลยเพราะไม่อยากเห็นใครต้องมาชดใช้กรรมอย่างที่ผมเห็นมากับตาตัวเองเลย

    เรื่องของเรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ เดิมทีผมทำอาชีพทำนาและรับจ้างทั่วไปฐานะก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ลูกเมียก็อยู่อย่างเรียบง่าย เสร็จจากหน้านาก็ทอผ้าเป็นรายได้เสริมให้ครอบครัว ครอบครัวเราก็เป็นปกติดีกระทั่ง 3 ปีที่แล้วผมได้รับจดหมายจากพี่ชาย ชวนให้ไปทำธุรกิจที่กำลังจะขยายโครงการออกไปใจจริงส่วนตัวเองก็ไม่เดือดร้อน แต่ก็อยากได้เงินสักก้อนเก็บไว้ส่งให้ลูกเรียน สูงๆ เผื่อจะได้ฝากผีฝากไข้ในอนาคต ส่วนพี่ชายเดิมก็มีอาชีพอย่างผมนี้แหละแต่หลังจากแต่งเมียแล้วก็ย้ายไปสกลนครเผอิญเจอพรรคพวกที่มีธุรกิจทำร้านอาหารเนื้อสวรรค์เลยชวนไปประกอบธุรกิจโดยพี่ชายเป็นคนจัดหาเนื้อสุนัขมาส่งให้ที่ร้าน

    ตั้งแต่ผมตกลงใจมาพี่ชายและผมก็ช่วยกันหาเนื้อสุนัขไปส่งที่ร้านที่พรรคพวกเขาทำอยู่และก็ขยายไปที่ร้านอื่นๆ ในละแวกนั้นด้วยอีกหลายร้าน รายได้ก็งามทีเดียว พี่ชายผมเองทำธุรกิจนี้มาถึง 5 ปีแล้วก่อนที่ผมจะมา เริ่มจากการตระเวนจับสุนัขจรจัดมาชำแหละ นานเข้าก็เริ่มหายากก็ต้องตระเวนขอซื้อตามหมู่บ้านหรือไม่ก็แอบจับตามวัดวาที่มีสุนัขจรจัดอาศัยอยู่เยอะ ๆผมเองถูกมอบหมายหน้าที่ให้เป็นผู้ขับรถตระเวนไปตามที่ต่าง ๆ บางทีแค่ 3 วันบางทีก็เป็นอาทิตย์ ถึงจะได้สุนัขเต็มท้ายกระบะแล้วนำมาขุนไว้ในคอกเพื่อรอเวลาชำแหละไม่ก็ส่งขายเป็น ๆ เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 ธันวาคม 2009
  2. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    ที่บ้านพี่ชาย พื้นที่รอบ ๆที่ว่างยังเป็นโรงฆ่าสัตว์ขนาดย่อม ๆ สำหรับทำหน้าที่ชำแหละแยกชิ้นส่วนไปขายผู้ที่ทำหน้าที่เป็นเพชรฆาตแต่ละวันตลอด 7 - 8 ปีที่ผ่านมาก็ไม่ใช้ใครอื่นพี่ชายและสหายรู้ใจอีก 3 คน วันใดหากผมอยู่บ้านไม่ได้ตระเวนไปหาสุนัขหลังเที่ยงคืนทุกวัน จะได้ยินเสียงสุนัขที่ถูกเชือดร้องโหยหวนเป็นที่เวทนาแทบทุกคืน แรก ๆ ผมถึงกับนอนไม่หลับเพราะทำใจไม่ได้แต่หลังจากนั้นผมก็หาทางแก้โดยดื่มเหล้าให้เมาจะได้หลับไปเลย ไม่ต้องคิดอะไรมากในความรู้สึกลึก ๆ บอกตรง ๆ เลยว่า ไม่ค่อยชอบอาชีพนี้สักเท่าไรแม้ว่ารายได้จะดีมาก แต่ลองใจไม่ชอบยังไงมันก็ชอบไม่ได้ก็กะว่าเก็บเงินได้สักก้อนแล้วจะเลิกกลับไปอยู่กับไร่นาที่บ้านดีกว่าอยู่กับลูกเมีย ได้ยันเสียงหัวเราะ ผิดกับที่นี้มีแต่เสียงโหยหวนและกลิ่นคาวเลือดผมเองก็ไม่รู้ว่าพี่ชายแกทนทำอยู่ได้อย่างไรตั้ง 8 ปี ผมก็เลยลองถามไปว่าไม่นึกสงสารหรือคิดว่ามันเป็นบาปบ้างหรือที่ต้องฆ่าสุนัขวันละหลายสิบตัวเขากลับหัวเราะแล้วเอ็ดตะโรผมว่า คิดอะไรวะไม่เข้าท่าไม่เห็นเหรอว่าไอ้สุนัขพวกนี้มันทำเงินให้วัน ๆ เท่าไหร่ จะมานั่งคิดบาปบุญกันทำไมแล้วไอ้การฆ่าสุนัข ถามหน่อยเถอะ มันจะต่างอะไรกับการฆ่าหมู ฆ่าวัว ฆ่าปลาวะมันก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่เห็นมีใครกลัวบาปสักกะคนเดียว เห็นมีแต่รวยเอา ๆนั่นแหละไม่ว่า

    คิด ๆ ไป คำพูดของพี่ชายผมก็มีส่วนถูกจริงอยู่เหมือนกันเพราะพวกที่เป็นเจ้าของโรงฆ่าสัตว์ส่วนใหญ่ก็รวย ๆ กันทั้งนั้น ไม่เห็นมีใครจนสักคนหรือว่าผมคิดมากไปเอง แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ไอ้เสียงโหยหวนของมันเสียงร้องยามถูกเชือด มันบาดตาบาดใจผมเหลือเกินตอนที่ไปเอามันออกมาจากอ้อมอกของเจ้าของ ซึ่งเขาก็รู้ว่าเราจะเอาไปทำอะไรสุนัขแต่ละตัวเหมือนจะรู้ชะตา ดิ้นหนีทุรนทุราย ทุกรายบางตัวขึ้นมาอยู่บนรถแล้วยังวิ่งพล่านกระโดดชนโครงเหล็กข้างรถ หัวหูแตกเลือดอาบก็มี พอถึงตอนจะลงจากรถสายตามันจ้องมองดูผมยังกะว่าจะอาฆาตจองเวรผมไว้อีก อย่าให้ถึงทีพวกมันบ้างก็แล้วกันยิ่งได้เห็นพวกเพื่อนมันถูกจับมัดขาดิ้นรนหนีมีดอันคมกริบที่กำลังจะบาดลึกลงไปในบริเวณคอ กระทั่งเลือดสด ๆกระฉูดออกจากตัวจนแทบจะหมดนั่นแหละถึงจะหยุดดิ้น แล้วกระตุก สัก 2- 3 ทีก่อนจะตายอย่างน่าเวทนา แทบทุกตัวเวลาตายตานี้จะเหลือกโพลงจ้องมายังคนเชือดแทบถลนเล่นเอาลูกผู้ชายอย่างผมถึงกับเขาอ่อนเลยทีเดียว
    เป็นไง ? ไอ้น้องอยากจะลองเชือดดูบ้างไหมวะ ? ลองสักตัวซีแล้วจะติดใจ ฮ่า... ฮ่า... ฮ่า...
    พี่ชายสัพยอก ที่เห็นอาการเบ้หน้าของผม
    ไม่ดีกว่า ไปล่ะจะไปหาเหล้ากรอกปากสักอึกแก้คลื่นไส้

    โธ่...ทำเป็นใจเสาะเป็นปลาซิวไปได้ ฮ่า ๆๆ
    ผมได้ยินพี่ชายหัวเราะตามหลัง พร้อม ๆ กับเสียงโหยหวนของสุนัขอีกหลายตัวที่ถูกเชือดรายต่อไป ภาพที่เห็น เสียงร้องที่ได้ยิน แม้จะบาดตาบาดใจบาดหูแค่ไหนก็ยากจะเปลี่ยนแปลงไม่ให้มันเกิดขึ้นได้ ก็ได้แต่ภาวนาในใจแอบแผ่เมตตาไปให้กับพวกมันบ้างบางเวลาส่วนตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบาปบุญมันจะมีจริงไหมผลบุญจะส่งมันไปสู่สุคติได้จริงหรือเปล่าหรือแม้ตัวผมเองจะต้องชดใช้กรรมที่ทำลงไปอย่างไรบ้าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2009
  3. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    หลังจากที่คลางแคลงใจอยู่นานผมก็ได้รู้และมั่นใจแล้วครับว่ากรรมมีจริงซึ่งกว่าจะรู้ก็ทำงานอยู่กับเขาถึง 3 ปี กะว่าหน้าฝนจะกลับบ้านแล้ว ไม่เอาแล้วเพราะอยู่ที่นี่ นานเข้ายิ่งขาดความสุข พี่ผมเองเขาคงไม่รู้ตัวนับวันเริ่มมีพฤติกรรมเหมือนคนบ้าขึ้นเรื่อย ๆ ที่บ้าเห็น ๆ ก็บ้าเงินและบ้าฆ่าเอาแต่นั่งนับเงินแล้วก็วางแผนจ้องจะฆ่าต่อไปนัยน์ตาลุกพองเหมือนสัตว์ร้ายที่จ้องจะขย้ำเหยื่อจนลูกเมียแม้แต่ผมเองก็เข้าหน้าไม่ติดจะด้วยเหตุผลนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ลูกเมียของเขาเลยแยกแตกไปคนละทิศละทางเมียติดพนัน แล้วก็ไปมีชู้ ลูกสาว 2 คน 17 กับ 15ปี หนีเรียนจนถูกไล่ออกพี่ชายผมนะเหรอจะไปรู้อะไร วัน ๆ จะมีอะไรนอกจากฆ่าแล้วก็เงิน

    กิจวัตรของพี่ชาย ก็เริ่มประมาณ เที่ยงคืนโดยจะลุกมาตรวจตราดูว่าจะฆ่าตัวไหน จากนั้นประมาณตี 2 เสียงโหยหวนก็เริ่มบรรเลงขึ้นพร้อม ๆกับเสียงเห่ากันระงมของเพื่อนสุนัขด้วยกันที่เห็นเพื่อนตนถูกฆ่าไปต่อหน้าต่อตาตะเบ็งเสียงไม่เป็นอันหลับอันนอน จนปาเข้าตี 4 - 5 เสียงจึงจะเงียบเพราะเป็นเวลาชำแหละ และนำเนื้อออกสู่ตลาด ประมาณ 8 - 9 โมงแล้วเขาก็หลับตื่นอีกทีก็เย็น ๆ จากนั้นก็ดื่มเหล้านั่งวางแผนฆ่ากับเพื่อนรู้ใจอีก 3 คนไปจนกว่าจะได้เวลาเชือด ชีวิตเขาก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่รับรู้และสนใจว่าใครจะเป็นอย่างไรแม้กับผมเองระยะหลังก็แทบจะไม่ค่อยได้คุยกันแล้วจะพูดจะคุยก็แค่ตอนเอาสุนัขมาส่งให้ หรือว่าเขาลืมไปแล้วว่าผมเป็นน้องหรือจะพูดให้ถูก คือเขาลืมหมดแล้วความรู้สึกอื่น ๆ ที่มนุษย์พึงมี เช่น รัก เศร้าเหงา ห่วงหาอาทร ที่สำคัญคือความเมตตาปราณี เหลืออยู่ก็แต่ความกระหายที่มีต่อเลือดการฆ่า และเงินเท่านั้น

    และแล้ววันที่เพชฌฆาตอย่างพี่ชายผมต้องรับกรรมก็มาถึงคือขณะที่แกกำลังเดินเลือกหาสุนัขเหมือนทุกวันจากนั้นก็ไปจับออกมาทีหลังตัวเอามาขังไว้ต่างหากระหว่างจับนั้นเองแกถูกสุนัขตัวหนึ่งกระโจนเข้าขย้ำ แถมโดนตัวอื่นรุมสกรัมกว่าจะห้ามและจับแยกได้ เล่นเอาถูกกัดซะจนเหวอะไปทั้งตัวด้วยความที่โกรธผสมแค้นที่ถูกรุม พี่ชายผมเลยจับสุนัขในกรงนั้นเชือดฆ่าเกลี้ยงเอาเลือดสด ๆ ที่ได้มาดื่มอย่างเอร็ดอร่อย แถมควักหัวใจสด ๆมากินแกล้มเหล้าเป็นที่สะอิดสะเอียน ด้วยความที่เป็นห่วงผมเลยเข้าไปพูดเตือนพี่ว่ามันไม่น่าดู เดี๋ยวลูกค้ามาเห็นเข้า เขาจะรังเกียจได้นะ แล้วยังมีแผลอีกควรไปหาหมอฉีดยากันบาดทะยัก หรือพิษสุนัขบ้า กันไว้ดีกว่านะ
    พี่ชายผมกลับไม่ใยดีในคำเตือน เขาบอกว่าแผลเล็กน้อยแค่นี้ไกลหัวใจคนอย่างเขาดวงแข็ง หมากัดแค่นี้ไม่ตาย แถมยังได้ยาบำรุงกำลังชั้นเลิศอย่างเลือดสดและหัวใจสด ๆ แค่นี้ก็หายห่วง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2009
  4. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    ความหวั่นใจของผมเป็นจริงเมื่อเจ็ดวันให้หลัง พี่ชายเริ่มมีอาการตาขวางน้ำลายฟูมปาก แล้วก็ร้องโหยหวน และน่าประหลาดใจมากเสียงที่ร้องไม่ผิดกันเลยกับเสียงสุนัขที่พี่เขาเชือดต่อมาอาการเริ่มคลุ้มคลั่งรุนแรงขึ้นทุกทีทั้งกัดทั้งข่วนจากนั้นก็เริ่มทำร้ายคนที่เข้าใกล้โดยมีอาการเหมือนสุนัขบ้าที่จะเข้าไปกัดคนยังไงยังงั้น พี่ผมจึงถูกจับขังกรงไว้

    จากนั้นพี่ก็เริ่มคลุ้มคลั่งมากขึ้นแกจะวิ่งเอาหัวชนกรงที่ขังจนหัวหูแตกยับเยิน เลือดไหลอาบเกรอะกรังมือไม้เหมือนกันตะกุยตะกายพื้นไปทั่ว พูดไม่รู้เรื่อง เอาแต่เห่าหอน ข้าวปลาไม่กินโดยเฉพาะน้ำ จะไม่กล้าเข้าใกล้เลย แกเริ่มหมดแรงเพราะร่างกายไม่มีอาหารหล่อเลี้ยงพอวันที่สี่ก็เริ่มนอนซมร้องครวญคราง แต่ก็ยังมีแรงวิ่งเข้าไปขย้ำคนที่เข้าไปใกล้ตามร่างกายมีแต่แผลทั้งที่เลือดยังซิบ ๆ และตกสะเก็ดยิ่งดูยิ่งเหมือนสุนัขขี้เรื้อนที่นอนรอความตาย

    กระทั่งวันที่เจ็ดเวลาประมาณ 5 โมงเย็น ลมหายใจของพี่ชายผมเริ่มจะแผ่วเบาก่อนจะกระตุกเฮือก 2 - 3 ครั้ง ผมเฝ้ามองดูจนแน่ใจว่าไม่รอด หมดลมหายใจแน่แล้วจึงได้เปิดประตูกรงแล้วเข้าไปหา ไปดีเถอะนะพี่ สิ้นเวรสิ้นกรรมเสียทีผมเอามือลูบหน้าให้ตาที่เหลือกโพลงของเขาปิดลงก่อนจะเรียกลูกเมียเข้าไปดูและจัดการเรื่องงานศพซึ่งก็เป็นไปอย่างเร่งรัดที่สุดเพราะสภาพศพแม้จะเพิ่งตายก็เหมือนตายมาหลายวันส่งกลิ่นเหม็นเน่า อีกอย่างลูกเมียเขาก็อยากให้มันจบ จบ ไปสักทีต่างคนต่างจะได้ไปใช้ชีวิตอิสระเสียทีตามทางของแต่ละคนเมียก็หอบข้าวหอบของไปอยู่กับชู้รัก ลูกก็ขอเงินแม่มุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯลูกมือพี่ชายอีก 2 -3 คน หลังจากเห็นเหตุการณ์ถึงกับเตลิดหนีไม่หวนกลับมาทำงานอีกเลย

    ผมเองก็กลับบ้านกลับไปอยู่กับลูกกับเมียเงินเปื้อนเลือดที่ได้มาก็เอาไปบริจาคทำบุญ เผื่อจะล้างบาปให้ตัวเองได้เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่จะถึงคราวชดใช้กรรมของผมเองบ้าง ..................................

    จากคุณ :กรรมลิขิต ( ผู้นำมาเล่า )

    http://board.dserver.org/a/animal/00000095.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2009
  5. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    ผมรับราชการ อยู่ที่จังหวัดนครพนมมาหลายปี และเคยรับราชการที่จังหวัดสกลนครมาก่อน โดยเฉพาะที่จังหวัดสกลนคร (อำเภอท่าแร่)มีเขียงขายหมาตั้งอยู่อย่างเปิดเผย และเป็นที่นิยมของประชาชนบางกลุ่มในท้องที่จังหวัดนั้น และจังหวัดใกล้เคียง ผมเคยขับรถแล้วเจอรถกระบะบรรทุกหมา กระบะตอนหลังจะมีหมาเต็มไปหมด(มีซีกรงเหล็กทำเป็นโครงสีเหลี่ยมกักขังหมาไว้) ปกติหมาเมื่ออยู่รวมกันมากๆ มันจะกัดกัน แต่หมาที่จะถูกนำไปฆ่าและขาย มันจะมีสัญชาติญาณ ที่รู้ได้ มันจะสงบเสงี่ยมไม่กัดกันเลย ผมขับรถตามไปช้าๆ มองมันด้วยความสงสาร และได้เห็นแววตาของมัน ซึ่งมันคงจะวิงวอนและขอความช่วยเหลือ ผมได้แต่เบือนหน้าหนี เพราะไม่รู้จะช่วยมันอย่างไร และรีบเร่งแซงรถบรรทุกหมาไป ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก...พอมาเจอบทความกรรมของพวกที่ฆ่าหมาขายหมา เลยนำมาโพสต่อ ..เพื่อให้ผู้มีอาชีพทางด้านนี้(รวมไปถึงลูกหลานและญาติพี่น้อง)ได้ทราบถึงบาปบุญคุณโทษบ้าง....เพื่อจะได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยชีวิตหมาที่น่าสงสารเหล่านี้ ......

    หมายเหตุ พ่อค้าขายหมาจะนิยมนำถัง ไปแลกกับหมาของชาวบ้าน โดยจะขับรถยนต์บรรทุกถังน้ำเล็กๆเพื่อใช้ในการแลกกับหมาของชาวบ้าน โดยจะขับไปเรื่อยๆตามหมู่บ้าน จนได้หมาเต็มรถ จึงนำกลับฆ่าและชำแหละขายต่อไป.......ถ้าท่านเห็นหมาในรถกระบะจำนวนมาก ด้านหลังกระบะมีซี่กรงเหล็กทำเป็นโครงสีเหลี่ยมกักขังหมาไว้..นั้นแหละรถที่ไปตะเวณเอาถังไปแลกกับหมาเพื่อนำมาฆ่าและชำแหละขาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2009
  6. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    ติงไม่มั่นใจว่ามีอำเภอท่าแร่นะคะ จำได้แต่ว่าเป็นตำบลท่าแร่ อยู่อำเภอเมืองสกลนครค่ะ
     
  7. ดาวจรัสแสง

    ดาวจรัสแสง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    542
    ค่าพลัง:
    +3,015
    กราบขอบพระคุณคุณ
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->apichai53<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2760213", true); </SCRIPT> สำหรับข้อเขียนที่น่าสลดหดหู่ ดิฉันมาจากครอบครัวที่ครั้งหนึ่งก็ประกอบอาชีพค้าเนื้อสุนัข อยู่ที่ตำบลท่าแร่ค่ะ ทั้งหมู่บ้านนับถือศาสนาคริสต์ ในช่วง๑๕ปีแรกของชีวิตดิฉันก็ได้เป็นแม่ค้าชำแหละเนื้อสุนัข แต่โชคดีตรงที่ดิฉันไม่เคยเห็นเขาฆ่าโดยตรง พอจากหมู่บ้านได้มาใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯได้รู้จักธรรมะ ได้นั่งสวดมนต์ ได้มีบุญได้ศึกษาพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และดีใจที่ตัวเองหลุดพ้นจากตรงนั้นมาได้ แต่ไม่เคยลืมหรอกค่ะว่าตัวเองมาจากไหน สลดหดหู่ใจทุกครั้งที่เกี่ยวกับการฆ่าและการกินเนื้อสุนัข ถ้าจำไม่ผิดคุณแม่ของดิฉันเคยออกรายการคนค้นคนด้วยค่ะ (ไม่แน่ใจว่าปีไหน?)

    ด้วยอานิสงค์ผลบุญบารมีที่ข้าพเจ้า แววดาว พรมณี ได้ทำในชาตินี้และชาติไหนๆ ข้าพเจ้าขอแผ่เมตตาอุทิศให้กับสุนัขเหล่านั้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิดอย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย จงไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่านี้เทอญ

    (ขอประทานโทษนะคะสำหรับคำแผ่เมตตา ดิฉันเพิ่งจะเรียนรู้ที่จะเป็นพุทธศาสนิกชนอย่างจริงๆจังๆค่ะ)

    มีข้อสงสัยถามได้นะคะเกี่ยวกับการรับประทานเนื้อสุนัข (หัวเราะ)อยู่ในวงการมานาน

    ขอพรพระคุ้มครอง เจริญในธรรมค่ะ
     
  8. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    ขอบคุณครับคุณติงติง อำเภอเมือง ตำบลท่าแร่ ครับ ที่ถูกต้อง (ห่างจากตัวจังหวัดสกลนครประมาณ 20 กม.)ครับ
     
  9. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    ต้องขออภัย ด้วยนะครับ หากคำพูด หรือข้อความ อ่านแล้วอาจจะเกิดความไม่สบายใจ ผมไม่มีวัตถุประอื่น หวังเพียงอย่างเดียว จะเป็นส่วนหนึ่งในการรณรงค์ ให้การรฆ่าสัตว์(หมา) เพื่อนำไปบริโภคลดลงได้บ้าง... ซึ่งมันเป็นสัตว์เลี้ยงที่ใกล้ชิดเรามากที่สุด เหมือนกับสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว มันสามารถรับรู้อารมย์และความรู้สึกต่างๆ ไม่ด้อยไปกว่าพวกเราเลย ต่างกันแต่เพียงวิบากกรรมที่ทำให้มันมาเป็นหมาเท่านั้น .....ขออนุโมทนาด้วย ที่คุณดาวจรัสแสงได้เข้าสู่ทางธรรม และขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2009
  10. Nakraksa

    Nakraksa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    3,481
    ค่าพลัง:
    +14,350
    อ่านไปก็สลดใจไปค่ะ ส่วนตัวเป็นคนที่รักสุนัขและเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน ว่าจะไม่อ่านแล้วเชียว แต่หากข้อเขียนนี้จะเป็นอุทาหรณ์กับใครบ้างก็ขออนุโมทนาแก่ผู้นำมาเผยแพร่ค่ะ
     
  11. peeraphat

    peeraphat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +196
    อ่านแล้วก็ สลดครับ มันบอกไม่ถูกนะคับ คือมันเป็นสัตว์ ก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะต้องเป็นอาหารเสมอไป ... อีกอย่างตัวมันก็ไม่ใช่เล็กๆ จิตใจมันก็มี เวลามันเศร้า เราก็สัมผัสได้ มีจิตใจ เหมือนๆกัน ... เห้ออออ กรรม
     
  12. จิตนิพพาน

    จิตนิพพาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +414
    คนเป็นสัตว์ที่น่ากลัวที่สุด เดาใจยาก และสามารถกินเพื่อนร่วมโลก ได้เกือบทุกชนิด
    เราจะเป็นอย่างนั้นหรือ......เราต้องเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ มีพระธรรมอยู่ในใจ และมีเมตตาต่อสรรพสัตว์ที่เกิดร่วมโลกกับเรา.................
     
  13. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    บันทึกเรื่องเศร้าของหมาท่าแร่

    ฉันเคยเป็นหมาบ้านที่มีเจ้าของเลี้ยงดูมาก่อน แต่แล้ววันหนึ่ง หมาแลกครุ ใครมีหมามาแลกครุ
    กันเร็วพวกเราเสียงรถเร่ขับเข้ามาในหมู่บ้านพร้อมกับเสียงมนุษย์ตะโกนประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมา
    อย่างไม่รู้จบเอาตัวนี้ให้เขาไปละกัน มันชอบวิ่งไล่กัดเป็ดไก่ของชาวบ้านมนุษย์ที่ฉันเรียกอย่าง
    เต็มปากว่าเจ้าของ ยอมแลกฉันกับถังน้ำพลาสติกราคา 9 บาทเพียงใบเดียวเพียงเพราะฉันทำความ
    เดือดร้อนให้งั้นหรือ?

    คนแลกหมาใช้บ่วงคล้องคอฉันและเหวี่ยงฉันเข้าไปในรถดั่งประหนึ่งว่าฉันเป็นเพียงสิ่งของชิ้นหนึ่ง
    ในขณะที่เจ้าของของฉันก็ไม่ได้แม้แต่สนใจฉันหรือห่วงความรู้สึกของฉันแม้แต่นิดเลยมนุษย์บางคน
    ยอมให้คนแลกหมาเข้าไปอุ้มเพื่อนฉันจากในบ้านเองก็มีบ้างก็ส่งเพื่อนฉันถึงมือคนแลกหมาหรือมาก
    ไปกว่านั้นก็คือส่งเพื่อนฉันถึงรถคนแลกหมาเลย ฉันมองหน้าเพื่อนๆที่โดนกักขังอยู่ในรถเร่ นี่กำลังเกิด
    อะไรขึ้นกับพวกเราหรือเนี่ย ใครก็ได้ช่วยตอบฉันทีเถอะ?” เดิมทีนั้นอาชีพคนแลกหมาเรียกว่า อาชีพ
    คนแล่นหมาเพราะความหมายของแล่นคือวิ่งคนแล่นหมาก็คือมนุษย์ที่ประกอบอาชีพโดยการเอารถไป
    วิ่งเพื่อแลกหมาแต่ในปัจจุบันนี้มักจะเรียกกันว่าผู้ค้าหมา

    ในอดีตนั้นรถเร่แลกหมาเป็นรถสามล้อเครื่องแต่เมื่อวันเวลาผ่านไปจากรถเร่ก็เปลี่ยนเป็นรถกระบะและรถหกล้อที่ดัดแปลงโดยต่อเติมกรงเหล็กเพิ่มเติมส่วนสิ่งของแลกหมาจากเดิมทีเป็นโอ่งและไหก็เปลี่ยนเป็นถังน้ำพลาสติกหรือที่เรียกกันว่า ครุการตระเวนแลกหมาแรกเริ่มนั้นทำกันภายในจังหวัดสกลนครและจังหวัดใกล้เคียงในภาคอีสานเท่านั้นจนเมื่อต้นปีพ.ศ. 2541 การแลกหมาได้ขยายตัวไปตามชนบททั่วประเทศไทยตั้งแต่ภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย จนถึงภาคใต้ จังหวัดสุราษฎร์ธานีโดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่บ้านท่าแร่ จังหวัดสกลนคร ทำเป็นลักษณะกึ่งอุตสาหกรรมแรกเริ่มนั้นรถเร่ของจังหวัดสกลนครและจังหวัดใกล้เคียงมีเพียงประมาณ 50 คันเท่านั้น แต่หลังจากธุรกิจการค้าเนื้อหมาในประเทศเวียดนามได้ขยายตัวขึ้นตัวเลขของจำนวนรถเร่จึงสูงขึ้นเกือบ 350 คัน ซึ่งบรรทุกหมาได้คันละ 70-100 ตัวทำให้ราคาของหมาจากเดิมตัวละ 50 บาท สูงขึ้นเป็นตัวละ 150 บาทแต่ตัวเลขในปัจจุบัน หากเมื่อใดที่หมาโดนส่งข้ามถึงฝั่งลาวราคาของหมาก็จะเพิ่มขึ้นเป็นตัวละ 500 บาท
    กี่ชีวิตแล้วที่ต้องสังเวย

    ในอดีตเพื่อนฉันที่เมืองไทยถูกฆ่าตายเดือนละประมาณ 30,000 ตัว การตระเวนรับหมาในแต่ละ
    ครั้งของผู้ค้าหมาจะใช้เวลา 3 วันเพื่อนฉันจะโดนกักขังอย่างแออัดในกรงเล็กๆ โดยให้อดน้ำอด
    อาหารอย่างทรมานเมื่อมาถึงโรงฆ่าที่บ้านท่าแร่ เพื่อนฉันบางตัวก็ตายแล้วส่วนเพื่อนฉันที่เหลือ
    อยู่ในสภาพที่ป่วยปางตายก็ถูกมนุษย์นำไปกักขังรวมกันอยู่ในคอกไม้ที่ปิดทึบไม่ให้เห็นเดือนเห็น
    ตะวันอีกเป็นเวลาประมาณ 4-5 วันโดยให้อดน้ำอดอาหารอีกเหมือนเคยเพราะมนุษย์ใจร้ายรู้ว่าวิธี
    นี้จะทำให้การฆ่าเป็นไปอย่างง่ายดาย

    บรรยากาศช่างเงียบและวังเวงเหลือเกินไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดลอดของเพื่อนฉันออกมาจากในกรงเลย
    เพื่อนฉันอ่อนเพลียเพราะร่างกายสูญเสียน้ำ มีอาการตื่นตกใจกลัว เซื่องซึม หดหู่หวาดระแวง เมื่อ
    มนุษย์ใจร้ายเดินเข้ามาใกล้ๆเพื่อนฉันได้แต่หมอบตัวลงด้วยความสั่นกลัว มนุษย์ใจร้าย 2 คนดึงเพื่อน
    ฉันออกจากคอกไม้และใช้ไม้ท่อนใหญ่ฟาดที่หัวเพื่อนฉันอย่างแรงเพื่อนฉันบางตัวที่ป่วยหนักก็จะตาย
    ทันทีในขณะที่เพื่อนฉันบางตัวก็กรีดเสียงร้องที่โหยหวนและล้มลงแต่เพื่อนฉันก็ยังกระดิกหางร้องขอ
    ชีวิตจากมนุษย์ใจร้ายแต่มนุษย์ใจร้ายกลับใช้ไม้ฟาดหัวอีกครั้งหนึ่งและก็เชือดคอ จนเพื่อนฉันขาดใจ
    ตายเพื่อนฉันบางตัวโดนเชือกรัดคอและนำไปจุ่มในหม้อน้ำเดือดสุกๆและท้ายสุดมนุษย์ใจร้ายก็จะทำ
    การแยกเนื้อ หนัง และกระดูกออกจากกัน
    *************************************************************************
    หมา 802 ตัว

    ฉันไม่รู้ว่ามีเพื่อนฉันกี่ตัวที่โดนฆ่าตายไปแล้วบ้างฉันอยากขอบคุณแทนเพื่อนฉัน 802 ตัวที่ชุด
    เฉพาะกิจของกรมปศุสัตว์ได้ช่วยชีวิตเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 ขณะที่ขบวนการค้าหมา
    ข้ามชาติกำลังลำเลียงเพื่อนฉันลงเรือที่ฟาร์มหมาที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม้น้ำโขงบริเวณท่าต้นยาง ชายฝั่งโขง
    ตำบลบ้านแพง อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนมเพื่อข้ามฝั่งโขงไปยังลาวและจะส่งต่อไปที่โรงชำ
    แหละใหญ่ในเวียดนาม

    เพื่อนฉันทั้งหมดโดนกักขังอย่างแออัดอยู่ในกรงเหล็ก 72 กรง ตอนที่ชุดเฉพาะกิจฯไปช่วยเหลือนั้น
    เพื่อนฉัน 300 กว่าตัวได้ถูกส่งลงเรือข้ามฝั่งโขงไปแล้ว หลังจากนั้น ชุดเฉพาะกิจฯได้พาเพื่อนฉัน
    502 ตัว ไปพักอยู่ที่ด่านกักกันสัตว์ระหว่างประเทศ จังหวัดนครพนม ส่วนอีก 300 ตัวไปพักอยู่ที่ด่าน
    กักกันสัตว์ระหว่างประเทศ จังหวัดมุกดาหารการโดนกักขังอย่างแออัดและอดน้ำอดอาหารเป็นเวลา
    หลายวันทำให้เพื่อนฉันอยู่ในสภาพที่อิดโรย ขาของเพื่อนฉันอ่อนเปลี้ยมากไม่มีแม้แต่แรงพยุงขาทั้ง
    4 ให้ยืนขึ้นได้เพื่อนฉันบางตัวเมื่อได้กินน้ำก็สำลักตาย จมูกของเพื่อนฉันบางตัวก็เป็นหนองเพราะโดน
    ทุบสันจมูกมา ปัจจุบันนี้ เพื่อนฉันที่ด่านฯจังหวัดนครพนมเหลืออยู่ประมาณ 347 ตัว ส่วนที่ด่านฯจังหวัดมุกดาหาร เหลืออยู่ประมาณ 100 กว่าตัวเพราะระยะแรกนั้นเพื่อนฉันบางตัวได้ล้มป่วยลงด้วยโรคไข้หัดและโรคลำไส้อักเสบ

    เราจะเก็บหมาเหล่านี้ไว้ที่นี่เพื่อกักตรวจโรคและดูแลฟื้นฟูสุขภาพโดยเริ่มจากการการให้วิตามินและ
    ยาปฏิชีวนะเพื่อลดความเครียดและป้องกันโรคแทรกซ้อนแก่หมาทั้งหมดในช่วง 3 วันแรกส่วนตัวไหน
    อ่อนเพลียมากให้ฉีดยาบำรุงและให้น้ำเกลือ ตัวไหนเป็นแม่หมาท้องแก่ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดที่สุด นอกจากนั้น ให้รักษาบาดแผล อาการท้องร่วงปอดบวม ขาหัก รวมถึงทำทะเบียนประวัติ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าฉีดยารักษาโรคผิวหนัง กำจัดพยาธิภายในและภายนอกด้วยและรีบทำเรื่องเปิดรับบริจาคอาหารให้หมาๆ พวกนี้อย่างเร่งด่วนที่สุดเพื่อนฉันไม่ลืมเล่าความดีของชุดเฉพาะกิจฯให้ฉันฟัง
    ********************************************************************************
    สิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจพูดภาษามนุษย์ได้ แต่มาใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบเดียวกับมนุษย์กาลเวลาทำให้
    พวกเขาเริ่มเข้าใจภาษามนุษย์ จริงอยู่ที่พวกเขาพูดภาษามนุษย์ไม่ได้แต่ดวงตาพวกเขาบอก
    ความรู้สึกในใจได้
    หมาคือสิ่งมีชีวิตสิ่งเดียวในโลกนี้ที่รักมนุษย์มากกว่ารักชีวิตของตนเองพวกเขาเป็น
    เพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์เป็นสัตว์เลี้ยง ไม่ใช่สัตว์เศรษฐกิจแต่เพราะเหตุผลอันใดในช่วงหลายปี
    ที่ผ่านมากลับมีคนไทยกลุ่มหนึ่งประกอบอาชีพการฆ่าชำแหละหมาเพื่อการค้าเนื้อและหนังโดยไม่
    ได้คำนึงถึงเลยว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ใช่วิสัยของคนไทยและผืนแผ่นดินไทยนี้คือเมืองพุทธ
    อย่าลืมว่า เขาก็ชีวิต เราก็ชีวิต
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ******************************************
    http://webboard.sanook.com/forum/?topic=2524664<O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2009
  14. Natthakorn

    Natthakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +7,078
    ผมเป็นคนสกลนคร แต่ก็ไม่ได้กินหมานะครับ

    และไม่เคยกิน

    อยากจะบอก
    ว่า
    จะเหมาว่าทั้งจังหวัดว่ากินทั้งหมดไม่ได้หรอกครับ

    ที่กินเป็นส่วนน้อย

    แต่ว่ามีที่ที่เขาทำส่งออก

    แล้วสื่อก้โฆษณาประชาสัมพันธ์

    อันที่จริงไม่ใช่แค่สกล
    หลายจังหวัดก็กิน อย่างบางจังหวัดทางภาคเหนือ

    แล้วคนสกลนครส่วนใหญ่จะรำคาญมาก ถึงมากที่สุด

    เมื่อถามว่าเรามาจากจังหวัดอะไร

    เราบอกว่าจากสกลนคร

    ก้ถามว่ากินหมาไหม

    หลายๆคนก็รู้สึกรำคาญ

    บางคนเขาถือว่าเสียมารยาทมาก

    ส่วนผมโดนจนชินแล้วหละครับ

    น่าจะถามว่าเออ สกลมีครุฐาอาจารย์เยอะ มีวัดไหนน่าสนใจไปบ้าง อันนี้รับรองตอบได้สบายเลย

    ชาวสกล"ถิ่นมั่นในพุทธธรรม"อยู่แล้วครับ
     
  15. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    ผมทำงานที่นครพนม และก็เคยทำงานที่สกลนคร2-3 ปี และปัจจุบันก็ยังไปๆมาๆอยู่ตลอด ..ขอยืนยันว่าคนสกลนครส่วนใหญ่ไม่ได้กินเนื้อหมานะครับ...เป็นบางกลุ่มเท่านั้นที่นิยมกินเนื้อหมา และเป็นคนส่วนน้อยครับ .........(แต่คนส่วนน้อยนี้แหละทำให้หมาตายไปเยอาะเลย)......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2009
  16. fay10

    fay10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    732
    ค่าพลัง:
    +2,760
    มนุษย์ใจร้าย
     
  17. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    พระพุทธเจ้าทรงห้ามพุทธบริษัทรับประทานเนื้อสัตว์ หรือไม่??

    คำถามนี้ต้องแยกตอบเป็น ๒ พวก คือ
    ๑. พุทธบริษัทที่เป็นคฤหัสถ์
    ๒. พุทธบริษัทที่เป็นบรรพชิต
    สำหรับพุทธบริษัทที่เป็นคฤหัสถ์นั้นพระพุทธเจ้าไม่ห้ามการรับประทานอาหารทุกชนิด เพราะชาวบ้านมีขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมต่างกัน ความเชื่อถือในเรื่องการรับประทานอาหารก็เป็นไปตามตระกูลและวรรณะของตน พระพุทธเจ้าจึงไม่ห้ามชาวบ้านในเรื่องการเลือกอาหาร

    แต่สำหรับบรรพชิต คือ ภิกษุ ภิกษุณี และ สามเณรนั้น พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติข้อห้ามไว้ ๒ กรณี คือ
    กรณีที่ ๑ ห้ามรับประทานเนื้อ ๑๐ ชนิด คือ เนื้อมนุษย์ เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อราชสีห์ เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือดาว เนื้อเสือเหลือง เนื้อหมี เนื้อสุนัข เนื้องู
    การที่พระพุทธเจ้าบัญญัติห้ามภิกษุฉันเนื้อเสือ ๓ ชนิด แทนที่จะพูดรวมๆ “เนื้อเสือ” เพราะในภาษาบาลี เสือแต่ละชนิด ใช้คำเรียกต่างกัน คือ เสือโคร่ง ใช้คำว่า พยคฺฆมํสํ , เสือดาว ใช้คำว่า ตรจฺฉมํสํ , เสือเหลือง ใช้คำว่า ทีปิมํสํ เนื้อ ๑๐ ชนิดนี้ ถ้าภิกษุฉัน ต้องอาบัติทุกกฎ (ที่มา : ฉบับหลวง เล่ม ๕ ข้อ ๕๗ หน้า ๖๙-๗๒)
    กรณีที่ ๒ พระพุทธเจ้าห้ามภิกษุฉันเนื้อที่เขาฆ่า เพื่อทำอาหารถวายพระโดยเฉพาะ เรียกในพระวินัยว่า “อุททิสุสมังสะ” แปลว่า เนื้อสัตว์ที่เขาฆ่าเจาะจงเพื่อถวายภิกษุ ท่านห้ามมิให้ภิกษุฉัน หากภิกษุฉัน ทั้งได้เห็น ได้ยิน หรือสงสัยว่าเขาฆ่าเพื่อถวายตน ต้องอาบัติทุกกฎ

    พุทธบัญญัติข้อนี้ มีในพระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่ม ๕ ข้อ ๘๐ หน้า ๑๐๐-๑๐๑ ดังนี้
    “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรู้อยู่ ไม่พึงฉันเนื้อที่เขาทำจำเพาะ รูปใดฉัน ต้องอาบัติ ทุกกฎ”
    “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต ปลาเนื้อที่บริสุทธิ์โดยส่วนสาม
    คือ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รังเกียจ”

    การรับประทานอาหารมังสวิรัติ คือ งดเว้นจากการรับประทานเนื้อสัตว์ เป็นคำสอนในพระพุทธศาสนา ใช่หรือไม่
    คำตอบที่ถูกต้อง คือ ไม่ใช่ พระพุทธเจ้ามิได้ทรงสนับสนุน มิได้ทรงสรรเสริญ มิได้ทรงติเตียน การบริโภคอาหารมังสวิรัติแต่อย่างใด และการบริโภคอาหารมังสวิรัตินั้น ก็มิได้ช่วยให้บรรลุธรรมพิเศษแต่อย่างใด
    บางคนยึดถือว่า การบริโภคอาหารมังสวิรัติเป็นสิ่งสำคัญ เป็นข้อปฏิบัติอันประเสริฐ จึงสรรเสริญผู้บริโภค ติเตียนผู้ไม่บริโภค
    เคยมีภิกษุสำนักหนึ่ง ติเตียนผู้ที่กินเนื้อสัตว์ว่าเป็นยักษ์มาร ปากที่กินเนื้อสัตว์ เป็นปากของคนใจดำอำมหิต กระเพาะของคนที่กินเนื้อสัตว์เป็นป่าช้า ที่ฝังของเนื้อและปลาทั้งหลาย คำกล่าวอย่างนี้ ความเห็นอย่างนี้เป็นกิเลสชนิดหนึ่ง คือ มานะ ถือตัว , อติมานะ ดูหมิ่นท่าน , สาเถยยะ โอ้อวด

    การรับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นบุญหรือไม่
    การที่จะวินิจฉัยว่าการกระทำอะไร เป็นบุญหรือไม่เป็นบุญนั้น ต้องอาศัยกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ว่าด้วย บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อย่าง คือ
    ๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน
    ๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
    ๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
    ๔. อปจายนมัย บุญสำเร็จด้วยประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่
    ๕. เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยเหลือขวนขวายในกิจการงานต่างๆ
    ๖. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
    ๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ
    ๘. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม
    ๙. ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม
    ๑๐.ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความคิดเห็นของตนให้ตรง
    เมื่อเทียบเคียงกับบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ วิธี แล้ว ไม่พบว่าการรับประทานอาหารมังสวิรัติ คือ รับประทานแต่พืชผักเป็นวิธีทำบุญข้อใดเลย จึงไม่นับว่าเป็นวิธีทำบุญในพระพุทธศาสนา
    ลองคิดดูว่าถ้าการกินพืช เช่น ผัก หญ้า ได้บุญ แล้วสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร เช่น วัว ควาย แพะ แกะ ก็ต้องได้บุญมากกว่ามนุษย์ เพราะสัตว์พวกนี้กินพืชตลอดชีวิตไม่กินเนื้อสัตว์เลย

    การกินเนื้อสัตว์ บาป หรือ ไม่ ?
    การที่จะวินิจฉัยว่าบาปหรือไม่บาปนั้น ต้องพิจารณาว่า การกินเนื้อสัตว์ที่ตายแล้ว เป็นการผิดศีลข้อปาณาติบาต หรือไม่ ศีลข้อปาณาติบาต คือ งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ นั้นจะผิดศีลก็ต่อเมื่อประกอบด้วย องค์ ๕ คือ
    ๑. ปาโณ สัตว์มีชีวิต
    ๒. ปาณสญฺญิตา รู้ว่าสัตว์มีชีวิต
    ๓. วธกจิตฺตํ จิตคิดจะฆ่า
    ๔. อุปกฺกโม พยายามที่จะฆ่า
    ๕. เตน มรณํ สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น
    เมื่อครบองค์ประกอบทั้ง ๕ ข้อ จึงถือว่าเป็นการฆ่าสัตว์ ผิดศีลข้อที่ ๑ เป็นบาป แต่ถ้าไม่ได้ลงมือฆ่าเอง และไม่ได้ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ก็ไม่เป็นบาป ตัวอย่าง เราไปจ่ายตลาด ซื้อกุ้งแห้ง ปลาดุกย่าง ปลาทู เนื้อหมู ฯลฯ เราได้มีส่วนร่วมในการฆ่าสัตว์เหล่านั้นหรือไม่ สัตว์เหล่านั้นย่อมตายก่อนที่เราจะไปซื้อมาเป็นอาหาร ถึงเราจะซื้อหรือไม่ซื้อ สัตว์เหล่านั้นก็ตายอยู่แล้ว เราไม่ได้มีส่วนทำให้ตาย
    มีพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า
    “นตฺถิ ปาปํ อกุพฺพโต”
    “บาป ไม่มีแก่ผู้ไม่ทำ”

    พระพุทธเจ้าเสวยเนื้อสัตว์หรือไม่
    ปัญหาเรื่องพระพุทธเจ้าเสวยเนื้อสัตว์หรือไม่ นี้ พูดกันถามกันอยู่เสมอ คำตอบที่ถูกต้อง คือ พระพุทธเจ้าเสวยเนื้อสัตว์ หลักฐานที่จะนำมาอ้างมีในพระไตรปิฎกหลายแห่งที่ยกมาเป็นตัวอย่างเพียง ๒ แห่ง คือ
    ๑. เรื่องสีหะเสนาบดี ในพระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่ม ๕ ข้อ ๘๐ หน้า ๙๙
    ๒. อรรถกถาอามคันธสูตร พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฎราชวิทยาลัย
    เล่ม ๔๗ หน้า ๘๗ และ หน้า ๙๒

    เรื่องที่ ๑ สีหะเสนาบดี แห่งแคว้นวัชชี เดิมเป็นสาวกของนครนถ์ (นักบวชเปลือย) ต่อมาได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน จึงเปลี่ยนศาสนามาเป็นอุบาสก และอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์หมู่ใหญ่ไปรับภัตตาหารที่นิเวศน์ของสีหะเสนาบดี ในวันรุ่งขึ้นพระพุทธเจ้าทรงรับอาราธนาแล้ว สีหะเสนาบดีจึงได้สั่งให้มหาดเล็ก ไปซื้อเนื้อสดที่เขาขายในตลาด มาทำภัตตาหารถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงเสวยภัตตาหารนั้น

    เรื่องที่ ๒ อามคันธสูตร ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้มีพราหมณ์คนหนึ่งอามะคันธะบวชเป็นฤาษีอยู่ในป่าหิมพานต์ มีบริวาร ๕๐๐ ดาบสเหล่านั้น ออกจากป่าหิมพานต์ไปจำพรรษาอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เป็นเวลาปีละ ๔ เดือน เป็นประจำชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธามาก ให้การต้อนรับเลี้ยงดูเป็นอย่างดี
    สมัยต่อมา เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ได้เสด็จไปยังหมู่บ้านแห่งนั้น พร้อมด้วยภิกษุทั้งหลาย เมื่อชาวบ้านได้เห็นพระพุทธเจ้าก็เกิดความศรัทธาเลื่อมใสถวายมหาทาน พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่คนเหล่านั้น คนเหล่านั้นบางพวกเป็นพระโสดาบัน บางพวกเป็นพระสกทาคามี พระอนาคามี บางพวกได้บรรพชาอุปสมบทบรรลุเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าเสด็จกลับไปยังกรุงสาวัตถี
    ต่อมาดาบสเหล่านั้น ได้เข้าไปสู่หมู่บ้านนั้นอีก แต่คราวนี้ชาวบ้านไม่ได้ให้การต้อนรับอย่างโกลาหล เหมือนคราวก่อนๆ ดาบสเหล่านั้นเห็นผิดจากเดิม จึงถามคนเหล่านั้นว่าเพราะอะไรพวกท่านจึงไม่เป็นเช่นคราวก่อน ชาวบ้านได้เรียนให้ดาบสทราบว่า บัดนี้พระผู้มีพระภาคอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก พระองค์ทรงแสดงพระธรรมเพื่อประโยชน์แก่คนเป็นอันมาก คนทั้งหลายได้บรรลุธรรม เป็นพระอริยบุคคล ชั้นต่างๆ มีพระโสดาบัน เป็นต้น พวกดาบสเมื่อได้ยินคำว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก ก็เกิดความปลาบปลื้มปิติยินดีอย่างยิ่ง แต่ยังไม่ค่อยเชื่อว่า จะเป็นพระพุทธเจ้าจริง จึงสอบถามชาวบ้าน ถึงพระจริยาวัตรของพระพุทธเจ้า โดยถามว่าพระพุทธเจ้าเสวยอย่างไร ทรงเสวยปลาหรือเนื้อหรือไม่ คนเหล่านั้นกล่าวว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเสวยปลาและเนื้อ” เมื่ออามะคันธดาบส ได้ฟังดังนั้นก็ไม่ชอบใจ เพราะไม่ตรงกับความคิดของตน เพราะมีความเชื่อมั่นว่าพระพุทธเจ้าต้องไม่เสวยปลาและเนื้อ อามะคันธะดาบสพร้อมด้วยดาบสที่เป็นบริวารจึงเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระวิหารเชตวัน ที่พระนครสาวัตถี และได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่าพระองค์เสวยปลาและเนื้อหรือไม่ พระพุทธเจ้าก็ตอบว่า พระองค์เสวยปลาและเนื้อที่ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน และไม่ได้รังเกียจ (คือไม่สงสัย ว่าเขาฆ่าเพื่อตน) จัดเป็นสิ่งหาโทษมิได้
    อามะคันธะดาบส ได้โต้แย้งกับพระพุทธเจ้าว่าการเสวยปลาและเนื้อไม่เหมาะสมแก่ชาติสกุลของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ไม่ควรที่จะเสวยปลาและเนื้อ
    พระพุทธเจ้าทรงชี้แจงให้อามะคันธะดาบสเข้าใจว่า การไม่กินปลา กินเนื้อ ย่อมไม่ทำสัตว์ให้บริสุทธิ์ได้
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแสดงความที่บุคคลไม่สามารถจะทำตนให้บริสุทธิ์ด้วยการไม่บริโภคปลาเนื้อเป็นต้น อย่างนี้แล้ว ทรงแสดงพระธรรมที่สามารถจะทำสัตว์ให้บริสุทธิ์ได้ ด้วยหลักธรรม คือ อินทรีย์สังวร การสำรวมอินทรีย์ ความเป็นผู้มีศีลอันบริสุทธิ์ ทำให้บางเบา ซึ่งกิเลสทั้งหลายมีราคะและโทสะ เป็นต้น ดำรงอยู่ในธรรม คือ อริยสัจ ๔ อันจะพึงบรรลุได้ด้วย อริยมรรค
    อามะคันธะดาบส ครั้นสดับพระธรรมเทศนานั้นแล้ว ก็มีใจอ่อนน้อม ถวายบังคมที่พระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลขอบวชพร้อมกับดาบสผู้เป็นบริวารของตน พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า “ท่านทั้งหลาย จงเป็นภิกษุมาเถิด” ดาบสเหล่านั้นได้เป็นภิกษุด้วยพระวาจานั้น ต่อมาอีก ๒-๓ วัน ทุกท่านก็ได้บรรลุพระอรหันต์

    การรับประทานอาหารมังสวิรัติไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นคำสอนของใคร ?
    คำสอนให้งดเว้นจากการกินเนื้อสัตว์ เป็นคำสอนของ พระเทวทัต
    พระเทวทัตเป็นราชบุตรของพระเจ้าสุปปพุทธะ เป็นเชฏฐภาดา (พี่ชาย) ของพระนางยโสธราพิมพา ผู้เป็นพระชายาของสิทธัตถกุมาร เจ้าชายเทวทัต ออกบวชพร้อมกับเจ้าชายในราชวงศ์ศากยะ ๕ คน มีพระอานนท์ เป็นต้น และมีพนักงานภูษามาลา (ช่างตัดผม) ชื่อ อุบาลี รวมเป็น ๗ คน ออกบวชพร้อมกัน หลังจากออกบวชแล้วเจ้าชายในราชวงศ์ศากยะทั้ง ๕ พระองค์ และพระอุบาลี ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล ส่วนพระเทวทัตไม่ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล ได้สำเร็จโลกียฌาน มีอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ
    ต่อมาพระเทวทัต อยากจะมีอำนาจปกครองสงฆ์ จึงกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “พระพุทธเจ้าข้า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงขวนขวายน้อย ประกอบทิฏฐิธรรมสุขวิหารอยู่เถิด ขอจงมอบภิกษุสงฆ์แก่ข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าจักปกครองภิกษุสงฆ์”
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสห้ามว่า “อย่าเลย ! เทวทัต เธออย่าพอใจที่จะปกครองภิกษุสงฆ์เลย”
    แม้พระพุทธเจ้าทรงห้ามแล้ว พระเทวทัตก็ไม่ฟัง ยังกราบทูลขอปกครองสงฆ์ถึง ๓ ครั้ง แต่พระพุทธเจ้าไม่อนุญาตให้พระเทวทัต เป็นผู้ปกครองสงฆ์
    พระเทวทัตโกรธ น้อยใจ จึงคิดจะเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง พระเทวทัตเข้าไปหาเจ้าชายอชาตศัตรู ผู้เป็นโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร ยุยงให้เจ้าชายอชาตศัตรูเป็นกบฏ ชิงราชบัลลังก์ โดยกล่าวว่า “ดูก่อนกุมาร ถ้ากระนั้น ท่านจงปลงพระชนม์พระชนกเสีย แล้วเป็นพระเจ้าแผ่นดิน อาตมาจักปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วเป็นพระพุทธเจ้า”

    พระเทวทัตวางแผนปลงพระชนม์ พระพุทธเจ้า ๓ ครั้ง ดังนี้
    ครั้งที่ ๑ พระเทวทัตขอให้เจ้าชายอชาตศัตรู ส่งทหารแม่นธนูไป พบพระพุทธเจ้าแล้วไม่กล้ายิง พระพุทธเจ้าจึงแสดงธรรม ทหารแม่นธนูได้ฟังธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมประกาศตนเป็นอุบาสกแล้วกลับไป
    ครั้งที่ ๒ เมื่อแผนการแรกไม่สำเร็จ พระเทวทัตจึงลงมือเอง โดยขึ้นไปบนเขาคิชฌกูฏ กลิ้งศิลาก้อนใหญ่ลงมาขณะที่พระพุทธเจ้าเสด็จจงกรมอยู่ที่เชิงเขา ด้วยจงใจว่าเราเองจักเป็นผู้ปลงพระชนม์พระสมณโคดม แต่ศิลานั้นกลิ้งไปกระทบศิลาก้อนอื่น แตกเป็นสะเก็ด กระเด็นไปกระทบพระบาท (หัวแม่เท้า) ทำให้ห้อพระโลหิต บรรดาภิกษุช่วยกันทำแคร่หามพระองค์ไปยังบ้านหมอชีวก หมอชีวก ทำการรักษาด้วยการพอกยาจนพระโลหิตที่ห้อนั้นหายสนิท
    ครั้งที่ ๓ พระเทวทัตไม่ละความพยายามเข้าไปหาควาญช้างหลวง แอบอ้างรับสั่งของพระเจ้าอชาตศัตรู พระราชาพระองค์ใหม่ ให้ปล่อยช้าง นาฬาคิรี ออกไปทำร้ายพระพุทธองค์ขณะเสด็จบิณฑบาต เมื่อช้างแลเห็นพระพุทธองค์ก็ปรี่เข้าไปจะทำร้าย พระอานนท์ออกไปยืนขวางหน้าด้วยความจงรักภักดี ตั้งใจสละชีวิต เพื่อปกป้องพระพุทธองค์ ด้วยอำนาจเมตตาจิต ที่พระศาสดาทรงแผ่เจาะจงยังช้างนาฬาคิรี ทำให้ช้างนั้นเมื่อได้สัมผัสกับกระแสเมตตาจิตของพระพุทธองค์ก็ลดงวงลง เข้าไปหมอบอยู่ต่อหน้าพระพักตร์แล้วกลับไปสู่โรงช้างตามเดิม

    ทำสังฆเภท
    พระเทวทัต เมื่อพยายามทำร้ายพระพุทธองค์ถึง ๓ ครั้งไม่เป็นผลสำเร็จ จึงใช้อุบายที่จะทำให้สงฆ์แตกแยกกัน พระเทวทัตจะได้แบ่งแยกพระสงฆ์ส่วนหนึ่งไปจากพระพุทธเจ้า
    พระเทวทัต กับบริวารของตน เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วทูลขอให้พระพุทธเจ้าบัญญัติสิกขาบท ๕ ประการ โดยอ้างว่าเพื่อความเป็นผู้มักน้อย สันโดษ ความขัดเกลา ความจำกัดกิเลส การไม่สั่งสม เพื่ออาการที่น่าเลื่อมใส เรื่องที่พระเทวทัตทูลขอให้พระพุทธเจ้าบัญญัติสิกขาบทขึ้นใหม่ ๕ ข้อนั้น เรียกว่า วัตถุ ๕ ประการ คือ
    ๑. ภิกษุทั้งหลาย พึงถือการอยู่ป่าเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดอาศัยบ้านอยู่รูปนั้น
    พึงต้องโทษ
    ๒. ภิกษุทั้งหลาย พึงถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดยินดีกิจนิมนต์รูปนั้น
    พึงต้องโทษ
    ๓. ภิกษุทั้งหลาย พึงถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดยินดีคหบดีจีวร รูปนั้น
    พึงต้องโทษ
    ๔. ภิกษุทั้งหลาย พึงถืออยู่โคนไม้เป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดเข้าอาศัยที่มุงที่บัง
    รูปนั้นพึงต้องโทษ
    ๕. ภิกษุทั้งหลาย ไม่พึงฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต รูปใดฉันปลาและเนื้อ รูปนั้น
    พึงต้องโทษ

    พระศาสดารับสั่งว่า ภิกษุพึงถือเป็นวัตรได้ตามความสมัครใจ ภิกษุรูปใดปรารถนาจะอยู่ป่าเป็นวัตร รูปใดปรารถนาจะอยู่บ้าน ก็จงอยู่บ้านรูปใดปรารถนาจะถือบิณฑบาตเป็นวัตร ก็จงถือบิณฑบาตเป็นวัตร รูปใดปรารถนาจะรับกิจนิมนต์ก็จงยินดีกิจนิมนต์ รูปใดปรารถนาจะถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ก็จงถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร รูปใดจะรับผ้าคหบดีจีวร ก็จงรับ เราอนุญาตการอยู่โคนไม้เป็นเสนาสนะ ๘ เดือน นอกฤดูฝน ในฤดูฝนต้องอยู่ในที่มุงที่บัง เราอนุญาตปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์โดยส่วนสาม คือ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รังเกียจ คือไม่สงสัยว่าเขาฆ่าสัตว์นั้นเพื่อถวายพระ
    พระเทวทัต ประกาศให้ประชาชนทราบว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาตข้อวัตรที่ตนทูลขอทำให้ประชาชนที่ไร้ปัญญา เข้าใจว่า พระเทวทัตเป็นผู้มีความประพฤติขัดเกลา ส่วนพระพุทธเจ้าเป็นผู้มีความประพฤติมักมาก
    พระเทวทัต ประกาศโฆษณาให้พระภิกษุเห็นด้วยกับ วัตถุ ๕ ประการ โดยอ้างว่าเป็นการปรารถนาความเพียร เพื่อความมักน้อย พระเทวทัตอ้างว่าคำสอนของตนประเสริฐกว่า เคร่งครัดกว่า น่าเลื่อมใสกว่า
    พระภิกษุวัชชีบุตร (ชาวเมืองเวสาลี) ประมาณ ๕๐๐ รูป เป็นพระบวชใหม่ และรู้พระธรรมวินัยน้อย พากันหลงเชื่อ ยอมตนเข้าเป็นสาวกของพระเทวทัต พระเทวทัตพาภิกษุเหล่านี้ไปอยู่ที่ตำบลคยาสีสะ เป็นการแยกคณะสงฆ์
    พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลว่าพระพุทธเจ้าข้า พระเทวทัต ทำลายสงฆ์แล้ว พาภิกษุประมาณ ๕๐๐ หลีกไปทางคยาสีสะ
    พระเทวทัตเข้าใจว่า พระอัครสาวกทั้งสองตามมา เพราะชอบใจธรรมะของตน จึงนิมนต์ให้นั่ง หลังจากพระเทวทัตแสดงธรรมกถาเป็นเวลานานแล้ว จึงมอบให้พระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะ แสดงธรรมต่อ โดยกล่าวว่า “ท่านจงแสดงธรรมต่อจากเราเถิด เราเหนื่อยแล้ว จักนอนพัก” จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนแล้วหลับไป
    พระสารีบุตร และ พระโมคคัลลานะ แสดงธรรมเจือด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ กลับใจภิกษุเหล่านั้นให้เข้าใจความจริง แล้วพาภิกษุ ๕๐๐ รูปนั้นกลับไปอยู่กับพระพุทธเจ้าตามเดิม
    พระเทวทัตตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าพระภิกษุส่วนใหญ่ตามพระอัครสาวกกลับไปแล้ว คงเหลือพระภิกษุที่ยังอยู่เพียงเล็กน้อย พระเทวทัตเสียใจมาก ล้มป่วยถึง ๙ เดือน ในกาลสุดท้ายสำนึกผิด ต้องการจะไปเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อทูลขอขมา จึงให้สาวกที่เหลือ นำตนไปเฝ้า เมื่อสาวกนำพระเทวทัตมาใกล้ถึงพระเชตวัน ก็วางคานหามลงริมฝั่งสระโบกขรณี พระเทวทัตลุกขึ้นนั่ง ก้าวลงจากคานหาม พอเท้าทั้งสองถึงพื้นดิน แผ่นดินสูบพระเทวทัตจมลงในพื้นดิน ไปเกิดในอเวจีมหานรก ถูกไฟนรกเผา เพราะอนันตริยกรรมที่ตนได้กระทำทั้ง ๒ อย่าง คือ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต และทำสังฆเภท ทำให้สงฆ์แตกกัน

    คำสอนของพระเทวทัตให้งดเว้นจากการรับประทานปลาและเนื้อ หรือที่เราเรียกกันว่ารับประทานอาหารมังสวิรัติก็ยังมีผู้ปฏิบัติตามจนทุกวันนี้ ...


    credit mthai

    ที่มา :
     
  18. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    เนื้อของสัตว์ที่พระพุทธเจ้าห้ามกิน

    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD height="100%" vAlign=top width="85%">พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อมนุษย์
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาคนที่มีศรัทธาเลื่อมใสมีอยู่ เขาสละเนื้อของเขาถวายก็ได้
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อมนุษย์ รูปใดฉัน ต้องอาบัติถุลลัจจัย อนึ่ง ภิกษุยังมิได้
    พิจารณา ไม่พึงฉันเนื้อ รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อช้าง
    [๖๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ช้างหลวงล้มลงหลายเชือก สมัยอัตคัตอาหาร ประชาชน
    พากันบริโภคเนื้อช้าง และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้อช้าง
    ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ฉัน
    เนื้อช้างเล่า เพราะช้างเป็นราชพาหนะ ถ้าพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบคงไม่ทรงเลื่อมใสต่อพระสมณะ
    เหล่านั้นเป็นแน่ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติ
    ห้ามแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อช้าง รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อม้า
    สมัยต่อมา ม้าหลวงตายมาก สมัยอัตคัดอาหาร ประชาชนพากันบริโภคเนื้อม้า และ
    ถวายแก่ภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้อม้า ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
    ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ฉันเนื้อม้าเล่า เพราะม้าเป็นราชพาหนะ ถ้าพระเจ้าอยู่หัว
    ทรงทราบ คงไม่เลื่อมใสต่อพระสมณะเหล่านั้นเป็นแน่ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี
    พระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้ามแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉัน
    เนื้อม้า รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อสุนัข
    สมัยต่อมา ถึงคราวอัตคัดอาหาร ประชาชนพากันบริโภคเนื้อสุนัข และถวายแก่พวก
    ภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้อสุนัข ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
    ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ฉันเนื้อสุนัขเล่า เพราะสุนัขเป็นสัตว์น่าเกลียด น่าชัง
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้ามแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อสุนัข รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้องู
    สมัยต่อมา ถึงคราวอัตคัดอาหาร ประชาชนพากันบริโภคเนื้องู และถวายแก่พวกภิกษุ
    ผู้เที่ยวบิณฑบาต ภิกษุทั้งหลายฉันเนื้องู ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน
    พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ฉันเนื้องูเล่า เพราะงูเป็นสัตว์น่าเกลียดน่าชัง แม้พระยานาค
    ชื่อสุปัสสะก็เข้าไปในพุทธสำนักถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ส่วนข้างหนึ่ง
    ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า บรรดาที่ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใสมีอยู่
    มันคงเบียดเบียนพวกภิกษุจำนวนน้อยบ้าง ของประทานพระวโรกาส พระพุทธเจ้าข้า ขอพระ-
    *คุณเจ้าทั้งหลายโปรดกรุณาอย่าฉันเนื้องู ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้พระยานาคสุปัสสะ
    เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา ครั้นพระยานาคสุปัสสะอันพระผู้มีพระภาค
    ทรงให้เห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาคทำ
    ประทักษิณกลับไป
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุ
    แรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้องู รูปใดฉัน
    ต้องอาบัติทุกกฏ.

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อราชสีห์
    สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าราชสีห์แล้วบริโภคเนื้อราชสีห์ และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยว
    บิณฑบาต พวกภิกษุฉันเนื้อราชสีห์แล้วอยู่ในป่า ฝูงราชสีห์ฆ่าพวกภิกษุเสีย เพราะได้กลิ่นเนื้อ
    ราชสีห์ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้ามภิกษุ
    ทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อราชสีห์ รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อเสือโคร่ง
    สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าเสือโคร่งแล้วบริโภคเนื้อเสือโคร่งและถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต พวกภิกษุฉันเสือโคร่งแล้วอยู่ในป่า เหล่าเสือโคร่งฆ่าพวกภิกษุเสียเพราะได้กลิ่นเนื้อเสือโคร่ง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้าม
    ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อเสือโคร่ง รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อเสือเหลือง
    สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าเสือเหลือง แล้วบริโภคเนื้อเสือเหลืองและถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต พวกภิกษุฉันเนื้อเสือเหลืองแล้วอยู่ในป่า เหล่าเสือเหลืองฆ่าพวกภิกษุเสีย
    เพราะได้กลิ่นเนื้อเสือเหลือง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค
    ทรงบัญญัติห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อเสือเหลือง รูปใดฉัน
    ต้องอาบัติทุกกฏ.

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อหมี
    สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าหมีแล้วบริโภคเนื้อหมี และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต
    พวกภิกษุฉันหมีแล้วอยู่ในป่าเหล่าหมีฆ่าพวกภิกษุเสียเพราะได้กลิ่นเนื้อหมี ภิกษุทั้งหลายกราบทูล
    เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อหมี รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อเสือดาว
    สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าเสือดาวแล้วบริโภคเนื้อเสือดาว และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยว
    บิณฑบาต พวกภิกษุฉันเนื้อเสือดาวแล้วอยู่ในป่า เหล่าเสือดาวฆ่าพวกภิกษุเสีย เพราะได้กลิ่น
    เนื้อเสือดาว ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค ทรงบัญญัติ
    ห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อเสือดาว รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

    ที่มา : http://www.nokkhao.com/smf/index.php?topic=23.0
    </TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%"><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2></TD></TR><TR><TD id=modified_29 class=smalltext vAlign=bottom></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2009
  19. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=650 align=center height=50><TBODY><TR><TD align=middle>นานาปัญหา <TR><TD align=right>โดย คณะสหายธรรม


    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=650 align=center height=50><TBODY><TR><TD>


    <CENTER>๒๒. พระพุทธเจ้าห้ามสาวกกินเนื้อสัตว์หรือไม่</CENTER>
    ถาม พระพุทธเจ้าของเราห้ามภิกษุ พุทธสาวก พุทธบริษัท ฉันหรือกินเนื้อสัตว์หรือไม่ หรือว่าห้ามกินเนื้อบางชนิดเท่านั้น

    ตอบ พระพุทธเจ้ามิได้ทรงห้ามภิกษุฉันเนื้อสัตว์เลย แม้พระองค์เองก็เสวยเนื้อสัตว์ที่มีผู้ปรุงถวาย แต่จะไม่เสวยและฉันเนื้อที่ไม่บริสุทธิ์โดยส่วน ๓ คือที่ได้เห็น ได้ยิน และที่รังเกียจกับเนื้อต้องห้าม ๑๐ อย่าง มีเนื้อมนุษย์เป็นต้น ตามที่ได้กล่าวแล้วในปัญหาข้อต้นๆ เพราะถ้าทรงห้ามแล้ว พระองค์ก็คงจะไม่ทรงอนุญาตให้ภิกษุฉันปลาและเนื้อตาม<WBR>ที่<WBR>พระ<WBR>เทวทัตทูลขอวัตถุ ๕ ประการแล้ว

    นั่นคือ พระเทวทัตขอมิให้ภิกษุฉันปลาและเนื้อจนตลอดชีวิต แต่พระพุทธองค์มิได้ทรงอนุญาตตามที่ท่านพระเทวทัตขอ เพราะฉะนั้นจึงเป็นอันว่าภิกษุฉันปลาและเนื้อได้ หรือท่านใดไม่ฉันก็ได้ ใครพอใจอย่างใดก็ทำอย่างนั้น แม้พุทธบริษัท หรือใครก็ตาม พระองค์ก็มิได้ทรงห้ามการกินปลากินเนื้อ ทรงสอนแต่มิให้ฆ่าสัตว์เองหรือสั่งให้ผู้อื่นฆ่าเท่านั้น แต่มิได้ทรงห้ามไปถึงการกินปลากินเนื้อที่มิได้ฆ่าเอง หรือสั่งเขาฆ่าเพื่อตน เพราะการฆ่าหรือการสั่งให้เขาฆ่า ไม่ว่าจะเพื่อกินเองหรือเพื่อเอาไปทำบุญถวายพระ ก็เป็นบาปกรรมล่วงศีลข้อปาณาติบาตทั้งสิ้น

    ใน อามคันธสูตร อรรถกถาก็ได้เล่าถึงดาบสพวกหนึ่งที่ถือว่า ปลาและเนื้อ<WBR>เป็น<WBR>กลิ่น<WBR>ดิบ ไม่ควรบริโภค แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ปลาและเนื้อไม่ใช่กลิ่นดิบ แต่<WBR>กิเลส<WBR>ทั้ง<WBR>ปวง<WBR>ที่เป็นบาปเป็นอกุศลต่างหาก ชื่อว่าเป็นกลิ่นดิบ


    สรุปว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงห้ามการฉันปลาและเนื้อ ทั้งพระองค์และภิกษุก็ฉันปลาและเนื้อที่เป็นกัปปิยะ คือไม่ผิดวินัยบัญญัติ เป็นของสมควรบริโภค อันได้แก่ปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์โดยส่วนสาม อันได้กล่าวมาแล้ว กับไม่ฉันเนื้อที่ต้องห้าม ๑๐ ชนิด เว้นจากนี้แล้วก็ฉันได้ ไม่มีข้อขัดข้องประการใด <CENTER>________________________________________</B></CENTER>
    ที่มา อ้างอิง และแนะนำ :-
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
    ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
    อามคันธสูตรhttp://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=25&A=7747&Z=7809

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗
    จุลวรรค ภาค ๒
    เรื่องวัตถุ ๕ ประการ
    พระเทวทัตทูลขอวัตถุ ๕ ประการ
    พระเทวทัตโฆษณาวัตถุ ๕ ประการhttp://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=7&A=3770&Z=3863

    พระไตรปิฏก เล่มที่ ๕ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕

    มหาวรรค ภาค ๒

    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อมนุษย์ เป็นต้นhttp://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=5&A=1372&Z=1508

    เรื่องสีหะเสนาบดีhttp://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=5&A=1924&Z=2100

    ที่มา : �ҹһѭ�ҷ�� ��.���оط�����������ǡ�Թ������ѵ���������


    </PRE></TD></TR></TBODY></TABLE></P>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2009
  20. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ยืนยันครับว่า คนสกลนคร ไม่ค่อยทานหมาจริงๆครับ

    มีเพื่อนเป็นคนสกลนครหลายคนเหมือนกันครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...