พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>40 ปี โครงการหลวง สนุก ดี ใต้พระบารมีพ่อหลวง
    Travel - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>7 ธันวาคม 2552 15:30 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ในหลวงเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยือนชาวเขา พร้อมด้วย ม.จ. ภีศเดช รัชนี ท่ามกลางดงดอกฝิ่น(ภาพ : โครงการหลวง)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ใต้ร่มพระบารมีแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่แผ่ปกไพศาลเหนือปวงชนชาวไทย มีหลากหลายโครงการที่ริเริ่มก่อเกิดจากพระราชประสงค์ของพระองค์ เพื่อประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทย ตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่ทรงครองราชย์ทรงกระทำทุวิถีทางให้คนไทยอยู่ดีมีสุข "โครงการหลวง" เป็นหนึ่งในสิ่งดี ๆ ที่พ่อหลวงของชาวไทย ได้ริเริ่มไว้ให้แก่ราษฎรของพระองค์

    กำเนิดโครงการหลวง

    โครงการหลวงได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2512 เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเล็งเห็นถึงปัญหาการปลูกฝิ่นของชาวเขา จึงทรงมีพระราชดำริว่า ถ้าจะให้ชาวเขา เลิกปลูกฝิ่นก็ต้องหาพืชอื่นที่ขายได้ราคาดีกว่าและมีความเหมาะสมที่จะปลูกในที่สูง มาให้ชาวเขาปลูกทดแทนเป็นรายได้เสียก่อน จึงจะสามารถเลิกปลูกฝิ่นได้

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>โครงการหลวง(อ่างขาง)พลิกฟื้นแผ่นดิน สร้างรายได้ให้กับชาวเขา</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ในเบื้องต้น ทรงมอบให้ ม.จ. ภีศเดช รัชนี เป็นผู้รับสนองพระราชประสงค์ ต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อ ให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ เป็นโครงการหลวงพัฒนาชาวเขาโครงการหลวงภาคเหนือ โครงการหลวง และท้ายที่สุดได้ จดทะเบียนเป็น มูลนิธิโครงการหลวง ในปี พ.ศ.2535

    โดยได้เลือก บริเวณดอยอ่างขาง เป็นสถานีวิจัยแห่งแรกของโครงการฯ และได้รับ พระราชทานชื่อในเวลาต่อมา ว่าสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง สถานที่ซึ่งที่ถือได้ว่าเป็นโครงการเกษตรหลวงแห่งแรก ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานให้แก่ชาวไทยและชาวไทยภูเขา ให้เป็นโครงการเกษตรเพื่อทดแทนการปลูกฝิ่นในอดีต

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ม.จ.ภีศเดช รัชนี องค์ประธานมูลนิธิโครงการหลวง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เรื่องเล่า...โครงการหลวง

    จุดเริ่มแห่งความภาคภูมิใจกับโครงการหลวง คงจะไม่มีผู้ใดตราตรึงเท่ารุ่นบุกเบิก ที่ฝ่าฟันความเหนื่อยยากมากว่า 40 ปี

    ม.จ.ภีศเดช รัชนี องค์ประธานมูลนิธิโครงการหลวง ตรัสให้ฟังว่า แต่เดิมชาวเขารู้จักแต่ปลูกฝิ่น เพราะรู้เพียงว่าฝิ่นเป็นพืชที่ทำรายได้เพียงอย่างเดียว ครั้งแรกที่มาอ่างขางคือนั่งเฮลิคอปเตอร์ขึ้นมา แต่เฮลิคอปเตอร์กลับก่อน ส่วนท่านชายอยู่ต่ออีกหลายวัน

    "ตั้งแต่แรกเริ่มการทำงานสำหรับคนโครงการหลวงไม่มีคำว่าท้อ สมัยนั้นเราเอา ฮ.สำรวจ ยังไม่มีถนน ขากลับเราก็เดินลงเขา อยู่กับชาวเขาจนสนิท ที่มีวันนี้ได้เพราะในหลวงรับสั่งให้หาพืชเมืองหนาวมาปลูก เพราะพืชเมืองหนาวเอาลงไปขายในเมืองที่เป็นเขตร้อนอย่างบ้านเราคงรายได้ดี เคยมีคนดูถูกว่าอ่างขางไม่มีอะไรเลย มีแต่ต้นไม้ตายๆ เจ็บใจมาก ดอกไม้ ผลไม้ เมืองหนาวอะไรที่ปลูกได้จึงเอามาปลูกหมด ตอนนี้จึงกลายเป็นที่ดูงานของหลายๆประเทศ อย่าง ภูฏาน อัฟกานิสถาน โคลัมเบีย"องค์ประธานมูลนิธิโครงการหลวงตรัสถึงเรื่องราวอีกเป็นส่วนหนึ่งของโครงการหลวง

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ชา เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่โครงการหนาวได้พัฒนาให้ชาวเขาเพาะปลูก</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>และแม้โครงการหลวงจะพิสูจน์ตัวเองมายาวนานกว่า 40 ปี แล้วก็ตาม แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ ม.จ.ภีศเดช ตรัสว่าจะหยุดยั้งไม่ได้คือ เรื่องของการวิจัยพืชพันธุ์ต่างๆ ไม่เช่นนั้นโครงการหลวงจะเป็นเช่นคำจำกัดความที่ว่า "โครงการหลวง ดี สนุก" ไม่ได้เลย

    คงเพราะโครงการหลวงมีแต่เรื่อง ดี สนุก จึงทำให้คนกรุงเทพฯ อย่าง เรียม สิงห์ทร ต้องกลายไปเป็นครูคนแรกของโรงเรียนบ้านขอบด้ง โรงเรียนชาวเขาบนดอยอ่างขาง

    ครูเรียมเล่าถึงความเป็นมาที่ผูกพันกับโครงการหลวงว่า เธอเป็นคนกรุงเทพฯ ครั้งแรกที่มาดอยอ่างขางคือมาที่ยวที่บ้านขอบด้ง ขณะนั้นสอนอยู่ที่โรงเรียนนานาชาติสุขุมวิท ซอย 2 แต่เพราะเห็นความเป็นอยู่บนดอยจึงต้องการมาเป็นครูดอย จึงเขียนจดหมายมาสมัครงานอยากมาสอนที่โรงเรียนบ้านขอบด้ง ไม่นาน มีโทรเลขให้ไปถึงให้มารายงานตัว

    “มาสอนได้สองอาทิตย์เด็กๆไม่มาเข้าเรียน เพราะต้องช่วยพ่อแม่ทำงาน ตอนนั้นรู้สึกทั้งเงียบ ทั้งเหงา รู้สึกว่า ไม่มีอะไรยึดเหนี่ยว ต้องจนมองไปรอบๆ ห้อง พบพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ จึงคิดได้ว่าพระองค์ยังทรงเหนื่อยยากทั้งที่ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แล้วข้าแผ่นดินอย่างเราจะท้อได้อย่างไร วันรุ่งขึ้นจึงขน ขนม ดินสอ กระดาษ สี ไปตามเด็กๆมาเรียนกันในท้องนา เด็กนักเรียนอยู่ที่ไหนครูก็ต้องอยู่ที่นั่น ใช้เวลาหลายเดือนกว่าเด็กจะยอมเข้าห้องเรียน” จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ 20 กว่าปีแล้ว ที่ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยลงจากดอยอ่างขางเลย

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ชา เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่โครงการหนาวได้พัฒนาให้ชาวเขาเพาะปลูก</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>อีกหนึ่งวันที่ครูเรียมภาคภูมิใจคือ เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2535 เป็นวันที่ในหลวงและพระราชินี เสด็จทางฮ. มาโครงการหลวงอ่างขาง มีพระดำรัสถามเมื่อเห็นแปลงดอกคาร์เนชั่น ของเด็กนักเรียน และพระราชทานเงินให้ 3,000 บาท จึงมาทำเรือนดอกไม้ พร้อมกับมีพระราชดำรัสกับครูเรียมว่า "ครู ...ตัวเราอยู่ไกล ฝากดูแลเด็กๆด้วยนะ"ถ้อยพระราชดำรัสนี้ จึงทำให้ครูเรียมไม่เสียใจสักนิดที่หันหลังให้แสงสีเมืองกรุง

    ความสมบูรณ์ของโครงการหลวงคงจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีชาวเขา จะหมอ ฐิติพงศ์พนา แห่งหมู่บ้านขอบด้ง บนดอยอ่างขาง โครงการหลวงแห่งแรกของไทย จะหมอ เป็นหมอผีของชาวมูเซอดำ เขาและพี่ชาย คือ จะหลู และ จะแนะ เคยเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ช่วงที่เสด็จพระราชดำเนินมาอ่างขาง

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>จะหมอ ชาวเขาเผ่ามูเซอดำ แห่งบ้านขอบด้ง ดอยอ่างขาง ผู้เคยเข้าเฝ้ารับเสด็จในหลวง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ปัจจุบัน จะหมอ อายุ 82 ปี แต่ยังจดจำเรื่องราวในอดีตได้ดี จะหมอ เล่าให้ฟังว่า ในหลวงเสด็จมาแปลงเกษตรก่อนแวะพัก จะหมอก็กราบบังคมทูลชวนในหลวงมาแวะพักที่บ้านของเขา กระท่อมชาวดอยหลังเล็กๆ ในหลวงประทับและพูดคุยกับจะหมออยู่ราวครึ่งชั่วโมง

    “จำได้ว่า ได้รินพระสุธารสชาถวาย พร้อมกับต้มไก่และหุงข้าวสวยถวายพระองค์ท่าน ในหลวงตรัสชมว่า ชาอร่อย ทุกวันนี้ยังคงคิดถึงในหลวงทุกวัน อยากให้เสด็จมาหากันอีก พอรู้ข่าวว่าทรงพระประชวร ก็ซื้อหัวหมูมาทำพิธีขอพรให้ในหลวงหายไวๆ”จะหมอ เล่า

    ชาวเขาอีกหนึ่งคนที่ได้โครงการหลวงโอบอุ้ม คือ นาโม หัวหน้าหมู่บ้านนอแล นาโมเล่าย้อนไปว่า ตัวเขาได้หอบลูกหลานย้ายจากฝั่งพม่าเข้ามายังฝั่งไทย แรกๆก็อยู่กันแถบๆตะเข็บชายแดนยังไร้ที่ทำกิน วันหนึ่งรู้ข่าวว่าในหลวงเสด็จพระราชดำเนินมาอ่างขาง จึงเดินทางเป็นเวลาหลายชั่วโมง เพื่อมาขอเข้าเฝ้าฯและเมื่อได้เข้าเฝ้าฯเขาจึงได้กราบบังคมทูลขอในหลวงว่า จะขอเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองไทยได้มั้ย

    “ในหลวงก็ถามว่ามาจากไหน เป็นเผ่าไหน ก็กราบบังคมทูลไปว่าเป็นปะหล่อง อพยพมาจากพม่า จากนั้นก็มีพระราชดำรัสถามว่าแล้วจะเลือกอยู่ที่ไหน จึงกราบบังคมทูลไปว่าเลือกอ่างขาง ตอนนี้ก็ปักหลักกันที่หมู่บ้านนอแล ปลูกสตอเบอรี่ขาย อยู่กันอย่างสงบก็ด้วยพระบารมี”หัวหน้าหมู่บ้านนอแลกล่าว

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>โครงการหลวงดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>สู่งาน 40 โครงการหลวง จ.เชียงใหม่

    นั้นเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จจากการก่อตั้งโครงการหลวง ปัจจุบันความสำเร็จของมูลนิธิโครงการหลวง เป็นที่ยอมรับของหน่วยงานและองค์กรต่างๆภายในประเทศและต่างประเทศ ก่อให้เกิดความร่วมมือทางวิชาการในการพัฒนาที่สูงในระดับภูมิภาคการพัฒนาตามต้นแบบของโครงการหลวงได้ขยายต่อไปยังประเทศต่างๆ เช่น ภูฏาน อัฟกานิสถาน โคลัมเบีย และประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย

    โครงการหลวง ดำเนินงานใน 4 จังหวัดภาคเหนือ คือ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน พะเยา และแม่ฮ่องสอน มีสถานีวิจัยหลัก 4 สถานี และสถานีส่งเสริมปลูกพืชทดแทนฝิ่น เรียกว่า ศูนย์พัฒนาโครงการ จำนวน 21 ศูนย์ และหมู่บ้านพัฒนาอีก 6 หมู่บ้าน รวมหมู่บ้านในเขตปฏิบัติการทั้งสิ้น 267 หมู่บ้าน

    ผลผลิตจากโครงการหลวงในปัจจุบัน ประกอบด้วย ผักปลอดภัยสารพิษ สมุนไพร ถั่วและธัญพืช ผลไม้ เห็ด ดอกไม้เมืองหนาว ผลิตผลปศุสัตว์ ผลิตผลประมง ผลิตผลป่าไม้ ดอกไม้แห้ง ผลิตภัณฑ์จากแฝก ไม้กระถาง และผลิตภัณฑ์แปรรูปในชื่อการค้า โครงการหลวงและ ดอยคำ

    ชาวโครงการหลวงจึงพร้อมใจกันจัดงาน 40 ปีโครงการหลวงขึ้น ซึ่งงานในครั้งนี้ ศ.ดร.พงษ์ศักดิ์ อังกสิทธิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประธานการจัดงาน 40 ปีโครงการหลวง กล่าวว่า โครงการหลวงมีการพัฒนาเรื่อยมาจนปัจจุบันมีทั้งหมดทั้งสิ้น 38 แห่ง

    เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ที่สนับสนุนโครงการหลวงงาน ครั้งนี้จึงเป็นการรวบรวมผลงานของโครงการหลวงกว่า 40 ปี ที่ผ่านมา บนเส้นทางอันเชี่ยวกรำ โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17- 20 ธ.ค. 2552 ตั้งแต่เวลา 09.00-20.00น. ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถ.นิมมานเหมินทร์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ที่จะถึงนี้

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ฝักวนิลาพืชราคาดี ที่โครงการหลวงขุนวาง จ.เชียงใหม่</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ภายในงานจะจะไฮไลท์สำคัญมากมายอาทิ นิทรรศการ 40 ปี โครงการหลวงต่อการพัฒนาที่สูง การจัดนิทรรศการและการแสดงวิถีชีวิตชุมชน ในภาคการเกษตร และนอกภาคการเกษตร การจำหน่ายผลิตผล "ดี อร่อย" และผลิตภัณฑ์ตรา "โครงการหลวง" แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ให้รู้จัก การจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มจากผลผลิตของโครงการหลวง.

    อยากรู้ว่า โครงการหลวง ดีสนุก อย่างไร กว่า 40 ปี ที่ยืนหยัดมาต้องผ่านอะไรมาบ้าง งานครบรอบ 40 ปีครั้งนี้ เป็นคำตอบหนึ่งที่ไม่ควรพลาด.
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>หลายหมู่บ้านไทยเจอทะเลกัดเซาะใกล้จมหาย ผลจากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงทั่วโลก
    Around the World - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>7 ธันวาคม 2552 16:51 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>วัดขุนสมุทรซึ่งถูกปล่อยไว้ท่ามกลางน้ำทะเลที่กัดเซาะชายฝั่งลึกเข้าไปในแผ่นดินเรื่อยๆ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เอเอฟพี - ขณะที่ปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนส่งผลกระทบในหลายๆ ด้าน หมู่บ้านขุนสมุทรจีน จังหวัดสมุทรปราการเป็นอีกแห่ง ที่ประสบปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะพื้นที่ จนใกล้จะจมหายไปในทะเล เช่นเดียวกับอีกหลายพื้นที่ในเอเชีย และในโลก

    ผู้คนกว่า 60 ครอบครัวต้องย้ายหนีออกจากหมู่บ้านชาวประมงขุนสมุทรจีน เนื่องจากทะเล ที่ชาวบ้านพึ่งพาในการดำรงชีวิตนั้น ล่วงล้ำกินพื้นที่ของพวกเขามากกว่า 20 เมตรต่อปี

    ยายหนู วิสุขสิน วัย 71 เล่าว่า “ฉันอยู่บนที่ดินของคนอื่น ฉันไม่สามารถออกไปจากหมู่บ้านได้เพราะฉันจนมาก” ขณะที่เธอชี้ไปในทะเลจุดที่เคยเป็นบ้านของเธอเมื่อหลายสิบปีก่อน

    ยายหนูเป็น 1 ใน 25 ล้านคนที่ได้รับผลกระทบ ในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งกำลังจมหายไป เพราะการสร้างเขื่อน และการทำลายป่าชายเลน ขณะที่สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น โดยตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ทะเลได้กลืนพื้นที่หมู่บ้านขุนสมุทรจีนไปมากกว่า 1 กิโลเมตร ขณะที่ยายหนูต้องย้ายบ้านหนีน้ำถึง 8 ครั้ง

    ส่วนวัดขุนสมุทร ซึ่งอยู่บิรเวณใกล้เคียง ถูกทิ้งไว้ให้อยู่ท่ามกลางน้ำทะเล และมีเพียงทางเดินคอนกรีตเป็นทางเข้าทางเดียวเท่านั้น ส่วนแนวเสาไฟฟ้าที่โผล่ขึ้นมาจากน้ำก็ยาวเรียงไปสุดตา

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ชาวบ้านสร้างแนวกำแพงไม้ไผ่เพื่อป้องกันการกัดเซาะแผ่นดินของน้ำทะเล</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ทั้งนี้ การสร้างเขื่อนตามลุ่มแม่น้ำ ซึ่งหล่อเลี้ยงทั้งประเทศ ได้ป้องกันไม่ให้เกิดการทับถมกันของตะกอนปากแม่น้ำ เป็นการทำลายความสมดุลกับการกัดเซาะของทะเล รวมถึงการถางป่าชายเลน เพื่อทำฟาร์มกุ้ง และนาเกลือ ยิ่งเป็นการสร้างความเสียหายมากขึ้นไปอีก

    ขณะที่หมู่บ้านโคกขาม ซึ่งอยู่อีกชายฝั่งทะเล มีวิธีรับมือกับปัญหาการกัดเซาะของน้ำทะเลด้วยการใช้วัสดุท้องถิ่นราคาถูก อย่างไม้ไผ่ เพื่อสร้างแนวกำแพงดักตะกอนจากน้ำทะเล และสกัดกั้นไม่ให้โคลนถูกชะล้างไป

    อย่างไรก็ตาม การใช้ไม้ไผ่จะไร้ประโยชน์หากระดับน้ำทะเลสูงขึ้นกว่านี้ โดยผลการศึกษา ที่ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์เมื่อไม่นานมานี้ระบุไว้ว่า พื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำดังกล่าวจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงระดับสูงสุด

    “หากเราไม่ใช้ความพยายามในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง พื้นที่กว่าครึ่งของกรุงเทพฯ จะหายไป” ปนัดดา เทิดศิริ ผู้จัดตั้งมูลนิธิชุมชนไทยของภาคเอกชนกล่าว

    ขณะเดียวกันกับที่ผู้นำโลกกำลังเตรียมการประชุมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งสำคัญ บรรดานักรณรงค์ปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชี้ว่า นักการเมืองทั้งหลายก็จำเป็นต้องจัดการปัญหานี้ด้วย เนื่องจากเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบชุมชนทั่วโลก

    “มันเป็นความหายนะที่น่ากลัว ทุกๆ วันมันมีผลกระทบที่มองไม่เห็นต่อคนจำนวนมาก” ธารา บัวคำศรี ผู้จัดการโครงการขององค์กรกรีนพีซ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าว โดยเสริมว่า “มันไม่ได้เพียงการกัดเซาะ แต่ยังเกี่ยวเนื่องกับสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงด้วย”

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>หากระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเรื่อยๆ แนวกำแพงเหล่านี้ก็จะไม่สามารถต้านทานได้อีก</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> สำหรับในประเทศมาเลเซีย เจ้าหน้าที่ระบุว่า แนวชายฝั่งทะเลเกือบร้อยละ 30 กำลังประสบปัญหาถูกน้ำทะเลกัดเซาะ ท่ามกลางจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น การกลายเป็นชุมชนเมือง การผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และการพัฒนาการท่องเที่ยว

    ขณะที่อินเดีย ซึ่งมีข้อมูลจากธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย หรือเอดีบี ระบุว่า แนวชายฝั่งแผ่นดินราว 1,500 กิโลเมตร หรือร้อยละ 26 ก็เผชิญปัญหาเดียวกันนี้อย่างร้ายแรง โดยในรัฐกัวได้มีการสร้างแนวกำแพงยืดหยุ่นได้ตามหาดทรายสีขาว 2 แห่งสำคัญ แต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ก็ยังมีข้อมูลว่าชายฝั่งมากกว่าร้อยละ 10 จมหายไปในทะเล

    ส่วนในบังกลาเทศ ซึ่งมีพื้นที่ต่ำ จะกลายเป็น 1 ในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างร้ายแรงที่สุด โดยการประชุมระหว่างประเทศเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงของยูเอ็น หรือไอพีซีซี ชี้ว่า ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นจะกลืนแผ่นดินร้อยละ 17 ของบังกลาเทศ ภายในปี 2050 และจะทำให้ประชากรไม่ต่ำกว่า 20 ล้านคน จากทั้งหมด 144 ล้านคนไร้ที่อยู่

    ในเวียดนาม ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น 1 เมตรภายในปี 2100 จะกระทบต่อประชากรร้อยละ 10 หรือมากกว่า 9 ล้านคน และพื้นที่ปลูกข้าวเกือบร้อยละ 38 ตามตัวเลขในเอกสารการประชุมยูเอ็นในสัปดาห์ที่ผ่านมา

    ด้านรัฐบาลออสเตรเลียประกาศเตือนในเดือนพฤศจิกายนว่า ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นอาจท่วมบ้านเรือนราว 250,00 หลังคาภายในปี 2100 รวมถึงท่าอากศยาน โรงพยาบาล โรงไฟฟ้าก็อยู่ในภาวะเสี่ยงด้วย

    ธาราจากกรีนพีซยังระบุว่า การทำงานร่วมกับชุมชนชาวบ้าน เพื่อหาแผนรับมือในท้องถิ่น เช่น การใช้ไม้ไผ่ในไทย นั้นจำเป็นต่อการขัดขวางการกัดเซาะของน้ำทะเล พร้อมเสริมว่า การประชุมของยูเอ็นที่โคเปนเฮเกนควรนำเรื่องนี้ขึ้นพิจารณาเช่นกัน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หนุ่มเมืองกรุง ดวงซวย กระสุนปืนตกใส่ขาทะลุ




    หนุ่มเมืองกรุง ดวงซวย กระสุนปืนตกใส่ขาทะลุ


    http://hilight.kapook.com/view/44257

    หนุ่มเมืองกรุงดวงซวย กระสุนปืนตกใส่ขาทะลุ (ไทยรัฐ)

    หนุ่มเมืองกรุงวัย 33 ปี เคราะห์ร้าย นั่งอยู่ในบ้านเฉย ๆ ถูกกระสุนปืนไม่ทราบขนาดตกใส่ ขาทะลุเป็นแผล ต้องนำส่งโรงพยาบาลเพื่อช่วยเหลือปลอดภัย....

    เมื่อเวลา 03.15 น. วันที่ 6 ธ.ค.52 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางเขน รับแจ้งเหตุชายถูกกระสุนปืนไม่ทราบขนาดที่ตกจากหลังคามาโดนขาได้รับบาดเจ็บ จึงรุดไปตรวจสอบ เหตุเกิดภายในบ้านพักซึ่งปลูกเป็นเพิงสังกะสี ไม่มีเลขที่ ติดกับโรงพยาบาลสัตว์เกษตร ภายในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์บางเขน

    ซึ่งชายที่ได้รับบาดเจ็บพักอยู่กับครอบครัวมีภรรยาและลูก ทราบชื่อ นายเดชา แฝงน้ำรักษ์ อายุ 33 ปี ถูกกระสุนปืนไม่ทราบชนิดตกลงมาถูกขาซ้ายทะลุ เจ้าหน้าที่นำส่งโรงพยาบาลเพื่อช่วยเหลือแล้ว

    จากการสอบสวนเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถสรุปว่าเป็นกระสุนชนิดใด ต้องรอผลการตรวจสอบอีกครั้ง พร้อมตรวจสอบหาวิถีกระสุนต่อไป


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]

    -----------------------------------------------------

    ผมโดนมา 2 ครั้ง

    ครั้งแรก ผมตื่นมา ด้านขวาของหน้าผม มีลูกกระสุนปืน

    ครั้งที่สอง ตกใส่หน้ารถผม

    ไม่เข้าใจว่า จะยิง(เล่น)กันทำไม

    หากเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง ของคนยิง จะรู้สึกอย่างไร
     
  4. chantasakuldecha

    chantasakuldecha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,331
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 102 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 100 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>chantasakuldecha, sithiphong+ </TD></TR></TBODY></TABLE>
    สวัสดีครับมากันเป็นร้อยเลยครับ :cool:
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ"ในหลวง"กับ"ภูมิสารสนเทศ"

    โดย ทศพนธ์ นรทัศน์
    ˹ѧ��;������Ԫ�����ѹ : ˹ѧ��;�����س�Ҿ ����ͤس�Ҿ�ͧ������


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงพระปรีชาสามารถในสรรพศาสตร์ ดังที่บรรดาผู้สื่อข่าวชาวต่างชาติได้ทูลเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญาว่า "The Renaissance man" ด้านวิทยาการเทคโนโลยีสารสนเทศ ทรงเป็นพระผู้จุดประกายและนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาสนับสนุนพระราชกรณียกิจเพื่อยังประโยชน์สุขแก่พสกนิกร

    วิทยาการไอทีที่ทรงสนพระทัยคือ ภูมิสารสนเทศ ทรงใช้สารสนเทศทางภูมิศาสตร์และแผนที่ประกอบพระราชกรณียกิจด้านการเกษตร การสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ที่ดินลุ่มน้ำ การป่าไม้ การชลประทาน การอุตุนิยมวิทยา การสาธารณสุข การศึกษา การคมนาคม การพัฒนาอาชีพและคุณภาพชีวิตของพสกนิกรในถิ่นทุรกันดาร

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยในวิทยาการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติด้วยภาพถ่ายทางอากาศและภาพถ่ายจากดาวเทียม วางแผนและแก้ไขปัญหาการใช้ที่ดินในแหล่งต้นน้ำลำธารบนภูเขาสูง บนพื้นที่สูงโดยเฉพาะการวางแผนการใช้ที่ดินลุ่มน้ำภาคเหนือของประเทศไทย เช่น ภาพถ่ายจากดาวเทียม LANDSAT-5 และ NOAA-14 ของสหรัฐ ดาวเทียม SPOT-2 ของฝรั่งเศส ดาวเทียม ERS-2 ขององค์การอวกาศแห่งยุโรป ดาวเทียม RADARSAT-1 ขององค์การอวกาศแคนาดา และดาวเทียม IRS-1C ของอินเดีย <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    7 มกราคม 2523 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสนพระราชหฤทัยและทรงเข้าร่วมการสัมมนาการประยุกต์เทคโนโลยีการถ่ายทำภาพถ่ายทางอากาศและดาวเทียมในการวางแผนการใช้ที่ดินลุ่มน้ำภาคเหนือของประเทศไทย จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และสำนักงานโครงการพัฒนาสหประชาชาติ ที่เชียงใหม่

    คราวที่ภาคใต้ของไทยประสบปัญหาอุทกภัยอย่างรุนแรงในเดือนพฤศจิกายน 2531 พระองค์ทรงแก้ไขความเดือดร้อนของพสกนิกร โดยทรงวินิจฉัยภาพถ่ายจากดาวเทียมสำรวจทรัพยากร LANDSAT-TM บันทึกภาพเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2531 บริเวณที่เกิดอุทกภัยใน จ.สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช พระราชทานคำแนะนำในการวางแผนช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยด้วยพระองค์เอง

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงสืบค้นข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เพื่อทรงพระราชวินิจฉัยลักษณะอากาศที่จะมีผลกระทบต่อประเทศไทย ดังพระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะบุคคลที่เข้าเฝ้าฯ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย 4 ธันวาคม 2538 ความตอนหนึ่งว่า "...บอกว่า "แอนเจลล่า" นี่เป็นซุปเปอร์ไต้ฝุ่น น่ากลัวคร่าชีวิตในฟิลิปปินส์ ดูเหมือนเป็นพันกว่า ผ่านมาแล้วมาในทะเลจีนใต้...ได้รับพยากรณ์อากาศนั้นก็บ่ายแก่ๆ มาดู เอ๊ะ! เราจะทำอย่างไร ดูมาถึงประมาณตีหนึ่งแล้วรู้สึกว่าต้องใช้ "ไอที" ใช้ "Information Technology" รู้สึกว่า "แอนเจลล่า" จะแพ้แรง ต้องบอก ต้องเผยให้ทราบว่าแพ้แรง "นางมณีเมขลา"...เลยบอกไปตอนตีหนึ่ง ให้บอกกรมอุตุนิยมฯ ว่า พรุ่งนี้จะกลายเป็นดีเปรสชั่น อีกสองวันจะเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำที่จะอยู่แถวๆ ไหหลำหรือเข้าไปเมืองจีน ก็ตอบข้อพิจารณาอย่างนี้ วันรุ่งขึ้นก็ดู ไอที (IT) ต่อไป เอ๊ะ! ดีนะ ที่เราพูดนั้นนะ นับว่าถูกต้องพอสมควร..."

    ดร.ศรีศักดิ์ จามรมาน เคยกล่าวว่า เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2538 ขณะที่ไต้ฝุ่นแอนเจลล่า (Angela) ทำความเสียหายให้กับประเทศฟิลิปปินส์และคาดว่าจะเข้าสู่ประเทศไทยในเวลาต่อมาทางกรมอุตุนิยม วิทยาได้แจ้งเตือนชาวไทยให้เตรียมระวังอันตรายที่จะเกิดขึ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงติดตามความเคลื่อนไหวของไต้ฝุ่นนี้และได้พระราชทานความเห็นว่าไม่ควรตระ หนก เนื่องจากไต้ฝุ่นได้อ่อนกำลังลงเมื่อเคลื่อนเข้าสู่ประเทศเวียดนามและได้แปรสภาพเป็นความกดอากาศขนาดย่อมเท่านั้น ข่าวอันน่ายินดีสำหรับชาวไทยนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากพระอัจฉริยภาพและความก้าวล้ำในการทรงใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และทางกรมอุตุนิยมวิทยา

    รายงานในเว็บไซต์กองทัพเรืออเมริกัน (www.npmoc.navy.mil/ jtwc/atcr/1995atcr/pdf/wnp/29w.pdf) ทราบว่าแอนเจลล่าเป็นไต้ฝุ่นที่รุนแรงที่สุดสำหรับฟิลิปปินส์ตั้งแต่ พ.ศ.2513-2538 มีผู้เสียชีวิตกว่า 600 คน และสูญหายกว่า 100 คน ความเสียหายกว่า 70 ล้านเหรียญสหรัฐ ราว 2,500 ล้านบาท ส่วนไทยไม่ได้รับผลความเสียหายจาก แอนเจลล่าเลย

    สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงพระมหากรุณาธิคุณและพระปรีชาสามารถทางด้านภูมิสารสนเทศและวิทยาการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ก่อเกิดประโยชน์สุขแก่มวลพสกนิกรชาวไทยโดยแท้
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 106 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 103 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, chantasakuldecha+, phuttanee </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ตกลงเช้ามืดพรุ่งนี้ ฝันอะไรกันดีครับ อิอิ

    วันนี้ ผบทบ.ผม ก็โดนอีกแล้วครับ แต่แค่หมุนลูกบิดห้องพระเท่านั้นเอง หุหุหุ
     
  7. chantasakuldecha

    chantasakuldecha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,331
    อิอิอิ ขอยืมคำขอพี่หนุ่มนะ พระท่านเลือกคน ของแท้ ต้องพิสูจน์ได้ ท่านมาเราโมทนา ท่านจากไปเราคิดถึง
    โมทนาบุญ สาธุ สาธุ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 115 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 112 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, chantasakuldecha+, phuttanee </TD></TR></TBODY></TABLE>

    วันนี้ ผบทบ.ผม ลงมาอาบน้ำห้องน้ำชั้นล่างครับ

    ไม่กล้าอาบข้างบน เหอๆๆๆๆ
    แอบนินทา ซ๊ากกะหน่อย
     
  9. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 119 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 116 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>psombat, sithiphong+, chantasakuldecha </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีก่อนสวดมนต์ครับ คุยอะไรกันอยู่หรอ...:) ?
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กระซิบกันหลังไมค์ครับ

    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  12. chantasakuldecha

    chantasakuldecha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,331
    สวัสดีครับทุกๆท่าน ต้อนรับวันแรกของการทำงานครับ พักผ่อนกันเต็มที่นะเดี๋ยวอีก2วันก็หยุดอีกแล้วแล้ว แต่เมื่อคืนผมหลับสนิทครับ แต่ก่อนนอนล่ะซิพี่หนุ่ม......
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    เมื่อคืนนี้ หลับสนิทมากครับ สบายๆ
     
  14. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 33 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 30 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>psombat, sithiphong+, chantasakuldecha </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดียามเช้า ... หยุด 3 วัน ปั่นจักรยานไปเที่ยวได้หลายสิบกิโลอยู่ครับ
    สำหรับผมองค์กรฝรั่งนิไม่หยุดวันที่ 10 กับ 31 ธ.ค.แต่ไปหยุดวันที่ 25 ธ.ค.ครับ
     
  15. chantasakuldecha

    chantasakuldecha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,331
    สวัสดียามเช้าครับคุณสมบัติ อย่างนี้แสดงว่า 31ธค.คงมีฉลองเคาร์ดาวน์แน่ๆเลย
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับวันครบรอบ 2 ปี(ในเดือนนี้) ของทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อาจารย์ประถม อาจสาคร

    เท่าที่คิดไว้ในส่วนของชมรมรักษ์พระวังหน้า

    จะมีการมอบพระพิมพ์ต่างๆให้กับท่านที่ไปร่วมงาน โดยชมรมรักษ์พระวังหน้า เป็นผู้ที่มอบพระพิมพ์ให้

    หากท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร มาร่วมงาน จะเป็นผู้ที่แจกพระสมเด็จ(เจ้าคุณกรมท่า) ให้ผู้มาร่วมงานท่านละ 1 องค์

    ให้พี่ใหญ่ มอบพิมพ์พระแม่ธรณี ให้ผู้มาร่วมงานท่านละ 1 องค์

    ทางชมรมรักษ์พระวังหน้าเอง คงให้ท่านประธาน หรือ รองประธาน(ผมจะปรึกษากับท่านประธานและรองประธานอีกครั้งว่า ว่างในวันนั้นหรือไม่ อย่างไร) เป็นผู้ที่มอบให้ จะเป็นพิมพ์อะไรนั้น ในวันงานจะทราบเอง ขออุบไว้ก่อนครับ

    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อย่าลืมนะครับท่านสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้าทุกๆท่าน

    สำหรับการประชุมในเดือนนี้(ที่ผมแจ้งทุกๆท่านผ่านทาง Email)

    ส่วนวาระการขอความเห็นเร่งด่วน จะสรุปอีกครั้งในวันที่ 10 ธันวาคมนี้ แล้วจะมาแจ้งให้ทราบกันอีกครั้ง

    ขอบคุณครับ
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อีกไม่กี่วันแล้ว กระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้..... จะครบรอบการก่อตั้งกระทู้ครบ 4 ปี เป็นสิ่งที่น่าดีใจเป็นอย่างมาก ที่มีผู้ที่สนใจเข้ามาร่วมทำบุญและร่วมอ่านในกระทู้เป็นจำนวนมาก จนกระทู้นี้ผ่านหลักล้าน(คลิก) มา

    วันที่ผมเริ่มตั้งกระทู้นี้ 23-12-2005, 06:59 AM

    ผมและหลายๆท่าน ได้ร่วมกันผ่านร้อน ผ่านหนาวกันมามากพอสมควร ได้รู้ ได้เห็น ได้ศึกษาในหลายๆเรื่อง ผมว่าหาประสบการณ์แบบนี้ได้ค่อนข้างยากพอสมควร และได้ก่อกำเนิดคณะพระวังหน้า ในกลุ่มผู้ที่สนใจในเรื่องของพระวังหน้า

    จนมาถึงวันที่ชมรมรักษ์พระวังหน้า ได้ก่อกำเนิดขึ้นมา นับว่าเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจเป็นอย่างมากเช่นกัน

    ผมเชื่อว่า ชาวคณะพระวังหน้า และ ชาวชมรมรักษ์พระวังหน้า ยังคงร่วมกันเดินทางนี้ต่อไปอีก เพื่อวัตถุประสงค์ของชมรมรักษ์พระวังหน้า ซึ่งมีอยู่ข้อนึงที่ว่า จะเผยแพร่เรื่องราวของพระวังหน้า ออกไปให้กับผู้คนทั้งหลายที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยทราบ ไม่เคยเห็น ว่าพระวังหน้าเป็นอย่างไร ให้ได้ทราบกัน ถึงแม้ว่า บางคนไม่เห็นด้วย ไม่สนใจ แต่ยังมีอีกหลายๆท่าน ที่ได้ให้ความสนใจ อยากศึกษาในเรื่องของพระวังหน้า

    เรื่องพระวังหน้า ผมว่าไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย เพียงแต่เราต้องมีความพยายาม ความอดทน ที่จะศึกษาเรื่องของพระวังหน้า เราศึกษาไม่ได้ศึกษาแต่เรื่องของ "รูป (เนื้อหาทรงพิมพ์)" แต่เพียงอย่างเดียว เรายังศึกษาลงลึกไปถึง "นาม (พลังอิทธิคุณขององค์ผู้อธิษฐานจิต) " ตลอดจนเรื่องของประวัติในการสร้างและเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระวังหน้าอีก

    [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]

    โมทนาสาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.JPG
      1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      139.6 KB
      เปิดดู:
      65
    • 2.JPG
      2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      332.8 KB
      เปิดดู:
      51
    • 3.JPG
      3.JPG
      ขนาดไฟล์:
      341.4 KB
      เปิดดู:
      75
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ธันวาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...