พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. chantasakuldecha

    chantasakuldecha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,331
    ร่วมบุญผ้าห่มด้วยคนครับ

    ผมได้โอนเงินตามรูปที่แจ้งนี้ครับ โมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วย
    พี่หน่มครับ รายชื่อที่ร่วมบุญมีเพียงผมกับแฟนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2009
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  5. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    วันนี้ผมได้ฝากเงินร่วมทำบุญจำนวน 570บาท ขอบคุณและโมทนาสาธุครับ
     
  6. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เกินก็ไม่เป็นไรครับ เฮียมู ตาลุงข้างบ้านผมยังบ่นอยู่เลยว่าเริ่มไม่มีของมาโชว์เฮียมูแล้วครับ หุ หุ
     
  7. มูริญโญ่

    มูริญโญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +583

    คุณหนุ่มครับผมโอนเงินให้แล้วนะครับ 500 บาทครับ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับวันครบรอบ 2 ปี ของการก่อตั้งทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อาจารย์ประถม อาจสาคร ซึ่งในวันดังกล่าว ผมจะมาแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะครับ

    วันนั้น หากท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร เดินทางมาในงานที่จัดขึ้นที่โรงพยาบาลสงฆ์ จะมีการทำบุญถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ที่อยู่บนตึกต่างๆ หลังจากนั้นจะมีการแจ้งรายงานการทำบุญต่างๆ ในตอนท้ายชมรมรักษ์พระวังหน้า จะมอบพระพิมพ์ให้กับท่านอาจารย์ประถม เพื่อที่จะแจกกับทุกๆท่านในวันงาน โดยท่านอาจารย์ประถม ท่านจะเป็นผู้ที่แจกพระพิมพ์ให้ครับ

    สำหรับทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อาจารย์ประถม อาจสาคร ก่อนการก่อตั้งนั้น พี่ใหญ่ได้คุยกับคุณปุ๊(นายสติ) และผมว่า จะทำบุญโดยก่อตั้งกลุ่มบุคคลที่จะดำเนินการในเรื่องของการสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ ที่โรงพยาบาลสงฆ์ หลังจากนั้นพี่ใหญ่จึงได้บอกกล่าวกับบุคคลอีกหลายๆคน เข้ามาร่วมกัน

    ผมเองเคยมีปัญหาในการดำเนินการของทุนนิธิ ผมจึงได้ถอนตัวออกมาจากการดำเนินการ แต่ไม่ใช่ว่า จะไม่ยอมร่วมทำบุญ เนื่องจากการทำบุญ ใครทำใครได้ ใครกินใครอิ่ม อีกประการหนึ่งก็คือ การที่ได้มีโอกาสร่วมทำบุญกับท่านอาจารย์ประถม และพี่ใหญ่ ซึ่งผมเองถือ(เอง)ว่า ทั้งสองท่านเป็นครูบาอาจารย์ผม (ถึงแม้ทั้งสองท่านจะไม่ยินยอมก็ตาม ท่านอาจารย์ประถมท่านบอกว่า ผมเหมือนเป็นลูกหลานท่าน ส่วนพี่ใหญ่บอกว่า พี่แนะนำในเรื่องต่างๆได้ แต่จะไม่เป็นครูบาอาจารย์ ผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์ในเรื่องของพระศาสนาพุทธ ต้องเป็นพระธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระเมตตาสั่งสอน) และชมรมรักษ์พระวังหน้าเอง มีท่านอาจารย์ประถม อาจสาครเป็นประธานกิตติมศักดิ์ ผมขอเชิญชวนท่านสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้าและคณะพระวังหน้าทุกๆท่าน ไปร่วมงานกัน โดยผมจะแจ้งวันงานให้ทราบกันอีกครั้งครับ

    "พระวังหน้า อกาลิโก"

    PaLungJit.com - ชมรม รักษ์พระวังหน้า

    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2009
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    63 ปี "พระเจ้าอยู่หัว" ผู้นำที่ไม่เหมือนใครในโลก นำพาประเทศ "อยู่ดีมีสุข"

    โดย ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา



    [​IMG]ในช่วง 63 ปี ระหว่าง พ.ศ.2489-2552 ประเทศไทยมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าตัว จากประมาณ 17 ล้านคน เมื่อ พ.ศ.2489 มาเป็นประมาณ 63 ล้านคน ในพ.ศ.2551

    ทั้งนี้ โครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีแนวโน้มเปลี่ยนจากสังคมชนบทเป็นสังคมเมืองอย่างต่อเนื่อง

    ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจของไทยที่เคยพึ่งพิงการผลิตในภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก มีการปรับโครงสร้างเป็นภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น หลังจากดำเนินการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2504-2509) เป็นต้นมา ซึ่งสินค้าอุตสาหกรรมเป็นสินค้าที่มีทักษะการผลิตสูง และมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น ทั้งด้านการส่งออกและการผลิต

    ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ณ ราคาปีฐาน พ.ศ.2531 (GDP) ของประเทศไทยมีการขยายตัวสูง เมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นจากประมาณ 1.33 แสนล้านบาท เมื่อ พ.ศ.2494 เป็นประมาณ 4.26 ล้านบาท ใน พ.ศ.2550 คิดเป็นการเพิ่มขึ้นเกือบ 32 เท่า (เป็นการขยายตัวที่คำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อแล้ว)

    นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัว ณ ราคาปีฐาน พ.ศ.2531 ของประเทศไทย เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ โดยเพิ่มจาก 6,594 บาทต่อคนต่อปี เมื่อ พ.ศ.2494 เป็น 64,500 บาทต่อคนต่อปี ใน พ.ศ.2550 คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่า

    ขณะเดียวกันก็พบว่าประชากรที่อยู่ใต้เส้นความยากจนมีจำนวนลดลงโดยลำดับ กล่าวคือ ลดลงจากประมาณ 23.78 ล้านคน เมื่อ พ.ศ.2529 เหลือเพียง 5.36 ล้านคน ใน พ.ศ.2550 คิดเป็นสัดส่วนลดลงจากร้อยละ 44.90 เป็นร้อยละ 8.50 ของจำนวนประชากรทั้งหมด หรือลดลงในสัดส่วนมากกว่า 5 เท่า

    ทั้งนี้ หากวัดกันตามมาตรฐานการพัฒนาที่ใช้โดยทั่วไปแล้ว ประเทศไทยถือว่ามีความสำเร็จเป็นอย่างสูง

    อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม จะพบว่ามี ความไม่สมดุล เกิดขึ้นในหลายมิติ

    ที่สำคัญ ได้แก่ 1.ความไม่สมดุลด้านการกระจายรายได้ ซึ่งประเทศไทยนั้นเป็นระยะเวลากว่า 40 ปีแล้ว ที่ความไม่เท่าเทียมกันของรายได้มีแนวโน้มที่กลับจะเพิ่มขึ้น ดังเห็นจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ากลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้สูงหรือกลุ่มคนรวยที่สุด 20% แรก มีสัดส่วนของรายได้ลดลงจากร้อยละ 6.1 เหลือเพียงร้อยละ 4.4 ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยกลุ่มอาชีพที่ยากจนที่สุดเป็นกลุ่มเกษตรกร ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
    <TABLE style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px dotted; BORDER-TOP: #ffffff 1px dotted; BORDER-LEFT: #ffffff 1px dotted; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px dotted" cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=1><TBODY><TR bgColor=#ffe9ff><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    2.ความไม่สมดุลในการใช้และการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตในอัตราสูง ทำให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่คำนึงถึงขีดจำกัดเท่าที่ควร และยังทำให้ทรัพยากรธรรมชาติที่เคยอุดมสมบูรณ์มีแนวโน้มร่อยหรอ และเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว

    การขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการด้านการท่องเที่ยว ก่อให้เกิดปัญหามลพิษในด้านต่างๆ เช่น น้ำเน่าเสีย อากาศเสีย กากของเสีย เสียงรบกวน และสารอันตรายที่มีปริมาณมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและชุมชนมากขึ้นตามลำดับ

    3.ความไม่สมดุลของการพัฒนาเมืองและชนบท กรุงเทพมหานครและปริมณฑลยังคงมีฐานเศรษฐกิจและอัตราการเจริญเติบโตที่รวดเร็วกว่าภาคอื่นๆ เช่น ใน พ.ศ.2532 มูลค่าของผลผลิตรวมของกรุงเทพมหานคร มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 42 ของผลผลิตรวมของประเทศ ในขณะที่ภาคอื่นๆ มีสัดส่วนลดลงตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน

    4.ปัญหาค่านิยมและศีลธรรมที่เสื่อมลง การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศจากเศรษฐกิจการเกษตรมาสู่เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เป็นเหตุให้สังคมไทยเปลี่ยนแปลงจากสังคมชนบทมาสู่ความเป็นสังคมเมืองอย่างต่อเนื่อง ทำให้วิถีชีวิตและความเป็นอยู่แบบไทยดั้งเดิมต้องปรับเปลี่ยนเป็นการดำเนินชีวิตในรูปแบบสมัยใหม่ ที่เร่งรีบเผชิญภาวะการแข่งขัน และมีความกดดันสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยโดยส่วนรวม

    นอกจากนี้ โลกาภิวัตน์ยังก่อให้เกิดกระแสวัตถุนิยม ซึ่งการไร้ภูมิต้านทานที่ดีพอทำให้สังคมไทยมีค่านิยมบริโภคเกินความจำเป็น ทั้งหมดนี้ทำให้ปัญหาต่างๆ เช่น อาชญากรรม ยาเสพติด ปัญหาหนี้สินและปัญหาคอร์รัปชั่น มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

    "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" ทรงมีบทบาทที่สำคัญ คือ "พระราชทานคำปรึกษา" "ทรงสนับสนุน" และ "ทรงตักเตือน"

    พระราชทานคำแนะนำ ทรงเตือนสติ ผ่านพระราชดำรัส และพระบรมราโชวาทในวาระโอกาสสำคัญแก่ผู้บริหารประเทศและประชาชนชาวไทยทุกคน ถึงการเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมครั้งใหญ่ๆ ตลอดจนแนวทางแก้ปัญหาเพื่อให้รอดพ้นจากวิกฤตเหล่านั้น และแนวทางการพัฒนาเพื่อให้เกิดความอยู่ดีกินดีของประชาชน

    ดังเช่น พระบรมราโชวาทและพระราชดำรัส ที่แสดงให้เห็นถึงแนวพระราชดำริในการเพิ่มความสมดุลในการพัฒนาประเทศและประชาชนอย่างชัดเจน ซึ่งมีว่า- - <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    <CENTER>จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>

    "การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือความพอมีพอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและใช้อุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจขึ้นให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้องด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่างๆ ขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด ดังเห็นได้ ที่อารยประเทศหลายประเทศกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงอยู่ในเวลานี้..."

    หรือ...

    "การช่วยเหลือสนับสนุนประชาชนในการประกอบอาชีพและตั้งตัวให้มีความพอกินพอใช้ก่อนอื่นเป็นพื้นฐานนั้น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะผู้ที่มีอาชีพและฐานะเพียงพอที่จะพึ่งตนเอง ย่อมสามารถสร้างความเจริญก้าวหน้าระดับที่สูงขึ้นต่อไปได้โดยแน่นอน ส่วนการถือหลักที่จะส่งเสริมความเจริญ ให้ค่อยเป็นไปตามลำดับ ด้วยความรอบคอบระมัดระวังและประหยัดนั้น ก็เพื่อป้องกันความผิดพลาด ล้มเหลว และเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จได้แน่นอนบริบูรณ์ เพราะหากไม่กระทำด้วยความระมัดระวัง ย่อมจะหวังผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยได้โดยยาก..."

    และ...ที่พระราชทานอีกว่า...

    "ความจริงเคยพูดเสมอในที่ประชุมอย่างนี้ ว่าการจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน...แบบพอมีพอกินนั้นหมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง..."

    "เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเสมือนรากฐานของชีวิต รากฐานความมั่นคงของแผ่นดิน เปรียบเสมือนเสาเข็มที่ถูกตอกรองรับบ้านเรือน ตัวอาคาร ไว้นั่นเอง สิ่งก่อสร้างจะมั่นคงได้ก็อยู่ที่เสาเข็ม แต่คนส่วนมากมองไม่เห็นเสาเข็มและลืมเสาเข็มเสียด้วยซ้ำไป..."

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเตือนล่วงหน้าถึงความไม่สมดุลของโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ที่จะนำมาซึ่งปัญหาแก่ประชาชนและประเทศชาติ

    พระราชดำรัสที่ได้อัญเชิญมาข้างต้น มิได้เป็นเพียงแนวคิด แต่พระองค์ได้ทรงนำมาปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมผ่านทางโครงการพัฒนานับพันโครงการ โดยการเสด็จพระราชดำเนินไปยังภูมิภาคต่างๆ ทอดพระเนตรสภาพความเป็นจริง เกิดเป็นแนวพระราชดำริเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สมดุลเหล่านั้น

    โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่างๆ ที่ทรงคิดค้นขึ้นเพื่อลดความไม่สมดุลในสังคมไทยมายาวนานและต่อเนื่องกว่า 60 ปีนั้น ในปัจจุบันมีมากถึง 4,404 โครงการ ซึ่งกระจายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ โดยมีลักษณะร่วมที่สำคัญ คือ แก้ปัญหาให้แก่คนส่วนใหญ่ของประเทศ แก้ปัญหาวิกฤตเฉพาะที่ แก้ปัญหาทุกข์ภัยที่เกิดขึ้น

    นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดตั้ง "ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ" จำนวน 6 ศูนย์ทั่วประเทศ อันเป็นตัวแทนของสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติแบบต่างๆ ที่มีอยู่ในแต่ละภูมิภาค เพื่อเป็นศูนย์กลางการศึกษาดูงานของราษฎรที่มีความสนใจศึกษา และนำความรู้ไปปรับใช้ในการประกอบอาชีพของตน เสมือน "พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต" ในลักษณะการให้บริการอย่างรวมศูนย์ครบวงจร ซึ่งเน้นการเผยแพร่องค์ความรู้ให้ประชาชนนำไปปฏิบัติเองได้ เป็นการวางรากฐานให้สังคมไทยพึ่งพาตัวเอง และอยู่อย่างยั่งยืน

    ศูนย์ทั้ง 6 ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา, ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ ต.กะลุวอเหนือ อ.เมือง จ.นราธิวาส, ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนฯ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี, ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ อ.เมือง จ.สกลนคร, ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ และศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายฯ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี

    โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จาก 4,000 กว่าโครงการ คือตัวอย่างอันเป็นรูปธรรมชัดแจ้งที่แสดงให้เห็น ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็น "นักปรัชญา" จากการที่พระราชทานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทรงเป็น "นักวิทยาศาสตร์" จากการที่ทรงค้นคว้า ทดลองแนวทางแก้ปัญหาจนเมื่อเกิดผลสำเร็จได้อย่างแน่ชัด จึงพระราชทานแนวพระราชดำริดังกล่าวต่อไป

    ทรงเป็น "นักเผยแพร่" ทรงสนับสนุนให้เกิดโครงการต่างๆ ทั่วประเทศ และทรงเป็น "ผู้นำ" ที่ทำให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการระหว่างหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง สมดังที่ทรงได้รับการสดุดีพระเกียรติคุณจากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ที่ว่า- -

    "พระองค์ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญา นักเผยแพร่แนวคิดและนักปฏิบัติ ที่เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด ทรงเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของผู้นำที่อาจไม่เหมือนใครในโลก แต่สิ่งที่โลกสามารถเรียนรู้ได้จากพระองค์ คือ ความรักและแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ในการทำทุกอย่าง เพื่อความอยู่ดีมีสุขของพสกนิกรของพระองค์"

    ˹ѧ
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จิราภรณ์ อรัณยะนาค เล่าเรื่องสนุกๆ ของ"สี" งานจิตรกรรมไทยประเพณี

    โดย สกุณา ประยูรศุข

    ˹ѧ

    จิราภรณ์ อรัณยะนาค เล่าเรื่องสนุกๆ ของ"สี" งานจิตรกรรมไทยประเพณี

    โดย สกุณา ประยูรศุข

    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01pra02011252&sectionid=0131&day=2009-12-01

    [​IMG]หากใครได้ชมงานจิตรกรรมประเพณีของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพวาดฝาผนังภายในอุโบสถตามวัดวา โบราณสถาน ภาพพระบฏ แล้ว ต้องสะดุดตาสะดุดใจกับเรื่องราวของ "สี" ที่ปรากฏอยู่ในงานดังกล่าว

    ซึ่งไม่เฉพาะแต่เมืองไทยเท่านั้นที่งานสีมีความสำคัญ ในต่างประเทศไม่ว่ายุโรป เรื่อยมาทางเอเชียอย่างจีน ญี่ปุ่น หรือแม้แต่ทิเบต มีการค้นคว้าศึกษาเรื่องของ "สี" ในงานจิตรกรรมโบราณอย่างเคร่งเครียด

    สีในงานจิตรกรรมของไทยเอง มีเรื่องราวความเป็นมาสนุกสนาน ผ่านการศึกษาวิจัยและค้นคว้าของ "จิราภรณ์ อรัณยะนาค" ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ในการอนุรักษ์ กรมศิลปากร

    อาจารย์จิราภรณ์สนใจเรื่องของสีในงานจิตรกรรมไทยประเพณีมานานแล้ว เมื่อร่ำเรียนด้านวิทยาศาสตร์จึงใช้ความเป็นนักวิทยาศาสตร์ อนุรักษ์เรื่องของสีที่มีมาแต่โบราณ

    "ความสนใจเริ่มต้นจากเมื่อได้อ่านหนังสืออย่าง สาส์นสมเด็จ มีการเอ่ยถึงสีแดงชาด หรือแดงลิ้นจี่ ก็เกิดความอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร"

    จากนั้นเธอได้ลงมือศึกษา ค้นคว้าจากเอกสาร และลงมือทดลองด้วยตัวเอง กระทั่งออกมาเป็นความรู้ทางเทคโนโลยีเกี่ยวกับสีนั้นๆ ไม่ว่าจะ แดงชาด แดงลิ้นจี่ แดงครั่ง หรือ สีเขียว ก็ตาม

    "เริ่มต้นศึกษาจากสีแดงก่อน เพราะเป็นสีที่ช่างเขียนไทยนิยมใช้มากที่สุด จะเห็นได้ว่าภาพเขียนส่วนใหญ่มักมีสีแดงเป็นองค์ประกอบหลัก ในสมัยรัตนโกสินทร์สีแดงที่ใช้เป็นสีแดงสด เรียกกันทั่วไป ว่า สีแดงชาด เป็นสีแดงที่สวยสดที่สุด สดใสกว่าสีดินแดงที่ใช้กันมาแต่เดิม และเมื่อศึกษาประวัติความเป็นมาของสีแดงชนิดนี้ พบว่าเป็นสารสีที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน เพราะเมืองไทยไม่มีแหล่งผลิต"

    อาจารย์บอกว่าสีแดงชาดได้จากแร่ "ซินนาบาร์" เกิดขึ้นตามธรรมชาติในพื้นที่บางแห่ง

    "คำว่าซินนาบาร์มาจากภาษาเปอร์เซีย "Zinjifrah" แปลว่า เลือดมังกร แร่ชนิดนี้มีสารประกอบที่มีสีแดงเข้ม-น้ำตาล พบเป็นก้อนใหญ่ๆ ร่วมกับหินปูน หรือในรอยแตกในพื้นที่ที่มีภูเขาไฟและน้ำพุร้อน มักพบร่วมกับแร่รีอัลการ์ ไพไรต์ แคลไซต์ ลักษณะคล้ายหินสีแดง เมื่อแตกจะเห็นรอยแตกสีแดงสดใส บางครั้งเกิดเป็นเม็ดๆ หรือเป็นก้อน หรือตกผลึกเป็นรูปปริซึม รูปสี่เหลี่ยมแบนๆ แร่ชนิดนี้จึงเป็นแร่ที่สะดุดตาคนโบราณมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์"

    อาจารย์เล่าว่า คนจีนเรียกสีแดงชาด ว่า "หลิงชา" หรือ "หยินจู" ในภาษาจีนจะเรียกแร่ซินนาบาร์ที่ได้จากธรรมชาติ ว่า ตานชา (Tan sha) หรือจูชา (Zhu sha) ซึ่งตรงกับชื่อสีแดงที่ช่างเขียนไทยรู้จักในนาม "ชาดจูชา"
    <TABLE style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px dotted; BORDER-TOP: #ffffff 1px dotted; BORDER-LEFT: #ffffff 1px dotted; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px dotted" cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=1><TBODY><TR bgColor=#ffe9ff><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    ปัจจุบันร้านขายยาจีนบางแห่งในไทยจำหน่ายสีแดงชาดที่มีชื่อว่า "ชาดเล่งจู" ซึ่งเมื่อสอบถามผู้เชี่ยวชาญภาษาจีน ได้ความว่า คำว่า "เล่งจู" แปลว่า ซินนาบาร์ นี่เอง

    ส่วนคำอื่นๆ ที่คนไทยใช้เรียกชื่อสีแดงชาด เช่น "ชาดจอแส" คงมาจากคำใดคำหนึ่งที่คนจีนใช้เรียกซินนาบาร์ เนื่องจากภาษาจีนในแต่ละมณฑลออกเสียงแตกต่างกัน หรือคนไทยออกเสียงตามสำเนียงจีนไม่ถูกต้อง

    ส่วน "ชาดอ้ายมุ่ย" หมายถึง ซินนาบาร์ หรือเวอร์มิเลี่ยน ที่ส่งมาจากเมืองเอมอย หรือเอ้หมึง (โบราณเรียกว่า อ้ายมุ่ย ขณะที่ชาวแต้จิ๋วออกเสียงว่า แห่มึ้ง ปัจจุบันมีชื่อใหม่ว่า เซี่ยเหมิน) เป็นเมืองท่าสำคัญในมณฑลฝูเจี้ยน ตั้งอยู่ริมทะเลจีนใต้ ซึ่งส่งสินค้ามาขายทางอินโดจีน นอกจากนี้ คนจีนยังเรียกสีแดงชนิดนี้อีกหลายชื่อ เช่น Jih ching (แปลว่า essence of the Sun) Chen chu (แปลว่า red pearl) hsien sha (แปลว่า sand of the Immortals) hung sha (แปลว่า mercury sand) Chhih ti (แปลว่า red Emperor)

    อย่างไรก็ตาม อาจารย์จิราภรณ์บอกว่า การเรียกชื่อสีแดงชาดในหลายประเทศยังมีความสับสน แม้แต่ในเอกสารโบราณของจีนและอังกฤษ เอกสารบางฉบับที่บันทึกในสมัยซ่ง เรียกซินนาบาร์ว่า "จูชา" ในขณะที่ "หยินจู" หมายถึง เวอร์มิเลี่ยน แต่บางคนเรียกซินนาบาร์ว่า ตานชา และเรียกเวอร์มิเลี่ยนว่า จูชา ส่วนคำว่า หยินจู ใช้เรียกเวอร์มิเลี่ยนที่มีสีแดงก่ำ เป็นต้น

    "ชาวจีนใช้สีแดงจากแร่ซินนาบาร์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ มีหลักฐานทางโบราณคดีบ่งบอกว่าชาวจีนโบราณสมัยราชวงศ์ซาง ใช้ซินนาบาร์โปรยในหลุมฝังศพ สันนิษฐานว่าเพื่อช่วยรักษาสภาพศพหรือเพื่อให้ดูเหมือนมีชีวิต และใช้เขียนบนกระดูกเสี่ยงทาย"

    เพราะจากการศึกษาพบว่ามีการใช้ผงสีแดงที่ทำจากซินนาบาร์เติมลงในร่องบนกระดูกที่ขุดเป็นตัวอักษร ต่อมาสมัยราชวงศ์โจวตะวันออก (700-265 ปีก่อนคริสตกาล) การเขียนบันทึกข้อความนิยมทำบนผ้าไหมแทนกระดูกและเปลือกหอย จึงใช้น้ำหมึกสีแดงทำจากซินนาบาร์ นอกจากนี้ ยังใช้ทำน้ำหมึกสำหรับตราประทับ โดยผสมซินนาบาร์ที่บดละเอียดกับน้ำมันละหุ่ง หรือน้ำมันงา และอาจมีส่วนประกอบอื่นๆ อีก

    นอกจากนี้ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นพบหลักฐานว่าใช้ซินนาบาร์ทำหมึกสีแดงสำหรับประทับตรา งานจิตรกรรมบนผ้าไหมและกระดาษ ทำเครื่องเขินที่มีสีแดง และทำสีทาอาคาร ฯลฯ

    มาร์โค โปโล นักเดินทางชาวเวนิชที่เข้าไปอยู่ในจีนเป็นเวลา 17 ปี บันทึกไว้ว่า "...กุบไลข่าน ใช้หมึกสีแดงทำด้วยเวอร์มิเลี่ยนสำหรับประทับตราบนธนบัตร..."

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    <CENTER>จิราภรณ์ อรัณยะนาค</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>


    แหล่งอารยธรรมอื่นๆ ก็ใช้สีแดงชาด ปรากฏหลักฐานว่าชาวอียิปต์นิยมใช้เวอร์มิเลี่ยนในการเขียนภาพในช่วงปลายราชวงศ์ทอเลมี ซึ่งแต่เดิมเคยนิยมใช้สีชมพู แสดงถึงอิทธิพลจากการค้าขายกับชาติอื่นๆ ทางตะวันออก

    ชาวยุโรปนิยมสังเคราะห์เวอร์มิเลี่ยนด้วยวิธีเปียก โดยนำปรอทและกำมะถันมาบดเข้าด้วยกัน แล้วทำให้ร้อนในสารละลายแอมโมเนียมซัลไฟด์ หรือโปตัสเซียมซัลไฟด์ จะได้สารสีแดงสดใส แต่สีแดงชนิดนี้เปลี่ยนเป็นสีคล้ำได้เร็ว

    ส่วนชาวอินเดียก็ใช้สีแดงชาดมานานหลายพันปี แหล่งโบราณคดีชื่อดัง คือ โมเฮนโจ-ดาโร และ ฮารับปัน พบสีแดงชาดด้วยเช่นกัน เอกสารสำคัญของอินเดียซึ่งบันทึกไว้เมื่อ 1,500-600 ปีก่อนคริสตกาล กล่าวว่า มีการนำปรอทซัลไฟด์มาจากจีน นอกจากจะใช้ในการเขียนภาพแล้ว สตรีชาวอินเดียยังใช้สีแดงชาดแต้มเป็นจุดสีแดงเล็กๆ บนหน้าผาก แต่ปัจจุบันคงใช้สารสีแดงชนิดอื่นแทน

    ช่างเชียนชาวญี่ปุ่นนิยมใช้สีแดงชาดมานานแล้วเช่นเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์พบสีชนิดนี้บนจิตรกรรมฝาผนังของญี่ปุ่นที่กำหนดอายุระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 3-4 เอกสารโบราณบันทึก ว่า ซินนาบาร์และเวอร์มิเลี่ยนที่ใช้ในญี่ปุ่นสั่งซื้อจากจีนและถ่ายทอดเทคโนโลยีจากจีน

    "แร่ซินนาบาร์ที่นิยมนำมาใช้ในงานจิตรกรรม จะต้องผ่านกระบวนการผลิตอย่างระมัดระวัง ผ่านการบดอย่างละเอียดและตกตะกอนหลายๆ ครั้ง เพื่อให้ได้สารสีที่มีเนื้อละเอียดอนุภาคสม่ำเสมอ และเพราะว่าสีชนิดนี้โปร่งแสง ช่างเขียนสมัยก่อนจึงนิยมใช้ผสมกับสีขาว เพื่อระบายส่วนที่เป็นผิวหนังคน"

    อาจารย์จิราภรณ์เล่าต่อว่า แต่ระยะหลังๆ ช่างเขียนไม่นิยมใช้สีแดงชาดในงานจิตรกรรมแล้ว เพราะมีข้อเสียเด่นชัด คือเปลี่ยนสีเป็นสีดำคล้ำหากได้รับแสงแดดโดยตรง

    เนื่องจากซินนาบาร์และเวอร์มิเลี่ยนเปลี่ยนโครงสร้างผลึกไปเป็นเมตา-ซินนาบาร์ (meta-cinabar) ซึ่งมีสีดำ เมื่อใช้สีแดงชาดบนผนังหรือบนแผ่นหินในถ้ำ อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ จากน้ำที่แทรกซึมเข้ามาในผนัง ทำให้เกิดผลึกเกลือ บริเวณที่ได้รับแสงแดดโดยตรงจะเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำขึ้น ชาวยุโรปจึงพยายามแก้ปัญหาด้วยการใช้สีแดงชาดในจิตรกรรมสีน้ำมันแล้วเคลือบทับด้วยวาร์นิช เพื่อป้องกันมิให้สีแดงชาดเปลี่ยนสีเร็วเกินไป

    นอกจากนี้ ยังเป็นที่ทราบกันมาแต่โบราณว่า "สีแดงชาด" ไม่ควรใช้ในจิตรกรรมปูนเปียก และไม่ควรใช้ร่วมกับสีเหลืองหรดาล และสีที่มีตะกั่วเป็นองค์ประกอบ เพราะจะทำให้สีเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เช่น เมื่อผสมกับสีแดงเสน สีจะคล้ำขึ้นหรือจางลง

    ยังมีสีแดงอีกชนิดหนึ่ง เรียก "สีแดงเสน" เป็นสารสีที่นำเข้าจากจีนเช่นเดียวกัน แต่สีแดงเสนเป็นสารประกอบตะกั่วออกไซด์ ชาวยุโรปเรียกว่า

    "มิเนียม" (Minium) ซึ่งมาจากชื่อแม่น้ำ Minius ในประเทศสเปน

    "สีแดงเสน ที่พบในธรรมชาติมีลักษณะเป็นผงหรือเป็นคราบแข็งๆ พบไม่มากนัก แหล่งที่พบสีแดงเสนธรรมชาติที่มีคุณภาพดีอยู่ที่รัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย"

    อาจารย์บอกอีกว่า ชาวจีนสังเคราะห์สีแดงเสนเมื่อประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาล และมีใช้มาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น จัดว่าเป็นสารสีชนิดแรกๆ ที่มนุษย์ผลิตขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่ง โดยรัฐบาลมีโรงงานผลิตสีแดงเสน ส่งออกไปขายต่างประเทศ เอกสารโบราณในอินเดียเรียกสีแดงเสนว่า "cinapishta"

    สีแดงเสน เป็นสีที่นิยมใช้มากในแหล่งอารยธรรมโบราณหลายแห่งในยุคกลาง เช่น เปอร์เซีย ไบแซนไทน์ ช่างชาวปาเลสไตน์ใช้สีแดงเสนทาไม้ ชาวโรมันและชาวอียิปต์ก็นิยมใช้สีแดงเสนในการเขียนภาพเช่นกัน

    ในยุโรปไม่นิยมใช้สีแดงเสนกับจิตรกรรมฝาผนัง แต่ช่างชาวญี่ปุ่นชอบใช้สีแดงเสนในการทาผนังอาคารและใช้ระบายสีบนพระสูตรในพระพุทธศาสนาในสมัยเทมโป (Tempyo)

    "สีแดงเสนมีน้ำหนักและทึบแสงดีมาก แต่มีข้อเสียคือ ไม่คงทนต่อสภาวะแวดล้อม หากมีแสงสว่างและความชื้นจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลคล้ายสีช็อกโกแลต หากได้รับก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ (ก๊าซไข่เน่า) จะกลายเป็นตะกั่วซัลไฟด์ซึ่งมีสีดำ และข้อเสียอีกประการหนึ่ง คือเป็นอันตรายต่อสุขภาพและสร้างปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม เพราะเป็นสารประกอบของตะกั่ว"

    ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้สีแดงชาดและสีแดงเสนไม่เป็นที่นิยมใช้ในงานจิตรกรรมในปัจจุบัน

    ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่รุดหน้าอย่างรวดเร็วในศตวรรษที่ผ่านมา ทำให้เกิดสารสีสังเคราะห์จำนวนมากมายที่มีคุณสมบัติเหนือกว่า หาซื้อง่ายกว่า ราคาถูกกว่า และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

    "แต่เมื่อเราทำงานอนุรักษ์ ถ้าเราไม่เข้าใจตรงนี้เราจะทำงานอนุรักษ์ไม่ได้" อาจารย์จิราภรณ์กล่าวย้ำ

    เฉพาะ "สีแดง" สีเดียว ยังมีเรื่องราวมากมายขนาดนี้ ฉะนั้น "สี" อื่นๆ ในงานจิตรกรรมไทยจึงมีเรื่องราวน่าศึกษาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

    ˹ѧʗ;ԁ?쁵Ԫ?҇ѹ : ˹ѧʗ;ԁ?줘??? ྗ荤س???ͧ?Ð෈
     
  11. jirautes

    jirautes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +575
    สวัสดีครับครอบครัวผมขอร่วมทำบุญถวายผ้าห้มจำนวน 1,500บาทครับ
    (ผมขอเลขบัญชีใอนเงินด้วยครับ)
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมจะpm ไปให้นะครับ

    ผมขอรายชื่อของทั้งครอบครัวด้วยครับ จะได้ทำรายชื่อไปพร้อมกับจำนวนเงินที่ผมต้องไปให้พี่ใหญ่ครับ

    .
     
  13. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 11 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 9 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>psombat, แหน่ง </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เป็นใด๋คนบ้านเดียวกันทางพุ้น ทางพี่กะหนาวคักๆๆแล่วเด๊อ :)
    ...หาพระบูชาครบชุดหรือยัง? :)
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พิภพมัจจุราช
    โดย หลวงตาแพรเยื่อไม้

    จัดพิมพ์โดย ธรรมสภา

    [​IMG]

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงบุรพจริยา (ความเป็นมาแต่อดีต) ของพระองค์ ขออัญเชิญมาถอดใจความ ตามประสาของข้าพเจ้าดังนี้ :-

    ในกาลอันล่วงมาแล้วนานไกล พระราชาองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า มฆเทว ครองนครมิถิลา วิเทหรัฐ มีพระราชจริยาเป็นที่นิยมเลื่อมใสของปวงชน จนสามารถกลายมาเป็นประเพณีของราชวงศ์ เพราะอนุชนผู้เกิดภายหลังยึดถือเอาเป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิต ทรงรับสั่งกับเจ้าพนักงานกัลบกผู้มีหน้าที่เจริญพระเกศา (ตัดผม) ไว้ว่า เมื่อพบว่าเส้นผมบนพระเศียรเปลี่ยนสี (หงอก) เส้นแรกเมื่อใด จงทูลให้พระองค์ทรงทราบ

    ครั้นกาลต่อมา เมื่อช่างกัลบกถอนผมเส้นแรกที่หงอกถวายให้ ทรงทอดพระเนตรผมเปลี่ยนสี ภายใต้เส้นผมคือสมอง ก็พลอยเปลี่ยน ทรงสลดสังเวช ดวงพระทัยกระทบกับอนิจจังลักษณะอย่างรุนแรง เห็นความไม่เที่ยงไม่แน่นอนของชีวิต เห็นความไม่น่าไว้วางใจของความสมบูรณ์พูนสุข ทรงรางวัลแก่กัลบกและประชุมโอรสธิดา รับสั่งเป็นบาทคาถา ซึ่งต่อมาภายหลังมีชื่อว่า คาถาหัวหงอกออกบวช

    อุตฺตมงฺครุหา มยฺหํ อิเม ชาตา วโยหรา
    ปาตุภูตา เทวภูตา ปพฺพชฺชาสมโย มมํ

    “ผมหงอกงอกขึ้นบนหัวของพ่อแล้ว มันนำความหนุ่มของพ่อไป แต่ก็เป็นสิ่งที่นำความสว่างมามอบให้ (เทวทูต) จึงเป็นสมัยที่พ่อจะออกบวช.....”

    ถ้าเป็นสมัยนี้ ปัญหาเรื่องหัวหงอก ก็คงจะแก้กันด้วยวิธีหาซื้อยามาย้อม เพราะอะไร ก็เพราะภายใต้เส้นผม (สมอง) ที่เปลี่ยนสียังไม่ยอมเปลี่ยนวิธีคิดนั่นเอง ส่วนพระเจ้ามฆเทว ทรงเปลี่ยนทุกอย่างในชีวิต ถอดถอนพระองค์จากความเป็นผู้ทรนงว่าทรงมีอำนาจ ความเป็นกษัตริย์ ถูกสลัดเปลี่ยนมือ เลิกถือเลิกกุม เพราะผมหงอกเส้นนั้นมันทำให้สะดุ้งวิตกดุจเห็นความตาย มาตีตราเตือนตัวอยู่บนหน้าผาก

    ความรู้สึกสำนึกตัว ก่อให้เกิดความเสงี่ยมเจียมใจ ความเสงี่ยมทำให้ลดความอหังการ และเป็นหนทางให้ควบคุมความประพฤติ มิให้ก่อกรรมทำกิจในทางที่จะเกิดความเดือดร้อนแก่เพื่อนร่วมแผ่นดิน ความดีอันใดที่จะเกิดจากกายซึ่งกำลังเสื่อมอยู่ทุกขณะ จะถูกปรารภกระทำ เพราะค่าที่สำนึกเกรงว่าจะสายเกินกาล หัวหงอกแบบพระเจ้ามฆเทว ก่อให้เกิดคุณานุคุณแก่แผ่นดินอย่างมหามหัศจรรย์นักแล

    พระจริยาวัตรของมฆเทวราช เป็นที่ประทับใจของอนุราชกษัตริย์ (ผู้สืบวงศ์ดำรงยศต่อมา) กษัตริย์แห่งวงศ์มฆเทวราชเมื่อพบว่า เส้นพระเกศาเส้นแรกบนเศียรหงอกเป็นต้องสละราชสมบัติปลงพยศลดมานะออกบวชทุกพระองค์ จนได้ชื่อว่า “วงศ์บรรพชิต”

    สำหรับมฆเทวราชบรมกษัตริย์องค์แรก เมื่อสิ้นชีพก็ทรงอุบัติเป็นพรหม เมื่อทอดพระเนตรดูโลกโดยเฉพาะผู้สืบสายวงศ์กษัตริย์พบว่าทุกพระองค์ยังมั่นคงในการดำรงราชประเพณีสืบต่อกันมาก็ทรงชื่นชม

    แม้กษัตริย์ต่อมาเมื่อสิ้นชีพสวรรคตแล้ว ก็อุบัติในสุคติภพพรหมโลก ประชาชนซึ่งตั้งตนตามพระโอวาทของกษัตริย์ ก็ประสบสวรรคสมบัติเมื่อสิ้นชีวิตลง ทำให้เทพยดาทวีจำนวน เมื่อเข้าสู่เทพสภาต่างสนทนาซักถามกันว่า ท่านได้สวรรค์สมบัติเพราะอาศัยใคร ทุกท่านตอบตรงกันว่าอาศัยมฆเทว จึงต่างยอมรับว่ามีอาจารย์เดียวกัน ต่างเทิดทูนยกย่องมฆเทวด้วยอำนาจกตัญญู เพราะต่างก็รู้กันอยู่ทั่วไปว่า พระองค์ทรงชี้ทางสวรรค์ให้แก่ตนๆ

    ต่อมา มฆเทวพรหม ทรงจินตนาปริวิตกว่า อนาคตข้างหน้าวงศ์บรรพชิตของพระองค์ จักสืบต่อไปได้สักเพียงไหน ? ทราบด้วยญาณวิสัยว่า ประเพณีจักขาดตอนเมื่อสืบไปถึงกษัตริย์องค์ที่ ๘๓๙๙๘ (หย่อน ๘๔๐๐๐ สององค์) เพราะอัธยาศัยคนจะจืดจางจากความดี เหยียบย่ำประเพณีดูหมิ่นผู้ทรงศีลธรรม ไม่ยอมรับนับถือภูมิปัญญาของนักบวช หันไปนิยมแบบแผนขนบธรรมเนียมของคนนอกลัทธิศาสนา เด็กจักไม่เคารพผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่จักเลิกทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี หัวหงอกจะเลิกออกบวช แต่จะขวนขวายหาอุบายอำพราง

    พรหมไม่อาจวางอุเบกขาตามพรหมวิสัยได้ หวั่นไหวสังเวชเพราะกรุณาทรงสละพรหมสุข ลงปฏิสนธิในครรภ์มเหสีกษัตริย์มิถิลา เพื่อหวังสืบวงศ์กษัตริย์แม้เพียงชั่วรัชสมัยก็ยังดี ได้รับขนานพระนามว่า เนมิกุมาร ก็ทรงรับช่วงเสวยราชสมบัติเป็นกษัตริย์องค์ที่ ๘๓๙๙๙ ทรงดำเนินกุสโลบายขจัดกวาดล้างความคิดเห็นนิยมผิดๆ ของวิตถารชน และส่งเสริมฟื้นฟูวัฒนธรรมประเพณีอีกวาระหนึ่ง ช่วยให้คนมีใจสะอาด มีหิริโอตตัปปะอายชั่วกลัวบาป พระเจ้าพระสงฆ์ซึ่งมีทีท่าว่าจะหมดความหมายค่อยมีราคาขึ้นบ้าง เศรษฐีคหบดีมีใจกว้างด้วยเมตตาการุณย์

    อีกวาระหนึ่ง ซึ่งปวงเทพเสพสังสันทนาการรำลึกถึงคุณผู้ยกระดับฐานะแห่งตนๆ ใคร่จะได้เห็นองค์มฆเทวซึ่งอวตารลงบริหาร กลียุคแห่งโลกสันนิวาสในนามว่าเนมิราช พากันวิงวอนท้าวสักกะให้ช่วยนำพาเนมิราชขึ้นมาสู่สวรรค์ เพื่อจะได้โอกาสถวายคารวะด้วยกตัญญู องค์อินทรเทพก็ทรงอนุโลมด้วยโมทนจิต รับสั่งให้มาตลีเทพสารถีนำเวชยันตราราชรถลงไปรับพระเจ้าเนมิราช ณ กรุงมิถิลา

    ก่อนจากพิภพมนุษย์สู่เทวโลกทิพยสถาน เนมิราชทรงประสาธน์โอวาทแก่ประชาชน มิให้ประมาท ตลอดเวลาที่ทรงจากไปนี้ ขอให้ทุกคนวางตนเหมือนทารกกำพร้า เสงี่ยมสังวรอย่าระเริงเหลิงสุข ประสบทุกข์แล้วจะเป็นเหมือนเด็กน้อยที่ไม่มีคนปลอบประโลม หมู่ชนที่ขาดผู้นำที่ตั้งอยู่ในศีลธรรมก็ฉันเดียวกัน แต่หากได้ผู้นำที่อสัตย์แล้วไซร้ จะวิบัติรวดเร็วยิ่งกว่าทารกกำพร้าอนาถาเสียอีก

    เมื่อมาตลีเทพสารถีชักเทวรถทยานเข้าสู่กรรมวิถีถึงทางสองแพร่ง ไม่แน่ใจว่าเนมิราชจักสมัครพระทัยเสด็จทางใด จึงหันมาทูลถามว่า “ทางหนึ่งไปสู่สถานที่ของคนบาป ส่วนอีกทางหนึ่งไปสู่ถิ่นสำนักของคนใจบุญ ข้าพเจ้าจะนำพระองค์เสด็จทางใดสุดแต่จะโปรด พระเจ้าค่ะ !”

    เนมิราชทรงจินตนาว่า เทวโลกเราต้องไปอยู่แล้ว ควรจะถือโอกาสดูแดนนรกเป็นผลพลอยได้ จึงตรัสตอบมาตลีว่า “เราจะดูนรกอันเป็นที่อยู่แห่งเหล่าชนผู้มีกรรมเป็นบาปสถาน ที่อยู่แห่งเหล่าสัตว์มีกรรมหยาบร้ายกาจ แลคติแห่งเหล่าชนผู้มีศีลอันโทษประทุษร้ายแล้ว คือผู้ทำบาปด้วยอำนาจอกุศลกรรมบถ ๑๐ ก่อน”

    แม่น้ำ “นรก” เวตรณี

    เทพสารถี แสดงแม่น้ำเวตรณี ซึ่งเป็นด่านแรกของเมืองนรก แม่น้ำนรกนี้ข้ามยากเต็มไปด้วยมหาภัยคอยซัดสาดทุกข์โทษอันแสบเผ็ด แก่ผู้ตกไปสู่ห้วงกระแสของมัน ตามสำนวนโวหารของคัมภีร์ ที่ปราชญ์ทางภาษาท่านแปลไว้อ่านแล้วยากที่จะเข้าใจ สำนึกว่าทั้งผู้เขียนและผู้อ่านต่างก็เป็นคนธรรมดา ด้วยกันมิใช่ปราชญ์ จึงขอปรับปรุงภาษาเพื่อให้เกิดภาพพจน์ง่ายๆ ดังนี้

    แม่น้ำ “นรก” เวตรณี นอกจากจะมีสายน้ำอันเผ็ดร้อนเป็นพิษเป็นภัยแล้ว ยังเต็มอยู่ด้วยเถาไม้น้ำปกแผ่ไปทั่วแผ่นผิวนที เครือเถาไม้มีหนามงอกออก เห็นแล้วน่าเสียวสยอง ขนาดหนามโตเท่าหอกใบพาย ประกายคมเป็นเปลวเพลิง สัตว์นรกตกไปสู่ห้วงนทีนี้จำนวนมาก กระแสน้ำพัดพาร่างไปกระทบหนามไม้เลื้อยถูกคมหนามกรีดขาดจากกัน เป็นท่อนเป็นตอน และยังมีเปลวไฟแลบรนซ้ำอีก

    บางแห่งจะมีหลาวเหล็กโตเท่าลำตาล โผล่จากท้องน้ำลุกโพลง คอยเสียบแทง รับร่างสัตว์นรกที่พากันป่ายปีนเครือเถาเพื่อให้พ้นจากการเผาต้มของน้ำร้อน และตกหล่นลงยังคมหอกดุจปลาที่ถูกเสียบด้วยไม้แหลมแล้วย่างไฟ ต่ำจากดงหลาวเหล็กลงไปมีใบบัวเหล็ก ขอบใบแหลมคมดุจมีดโกน สัตว์ดิ้นรนหล่นจากการถูกทรมานของหลาวหอก แล้วยังต้องตกลงสัมผัสกับคมขอบใบบัว ปรากฏเห็น ดังเฉือนเชือดอวัยวะออกเป็นชิ้นๆ หยาดเลือดพร่างพรูจากร่างส่งกลิ่นคาวคลุ้ง มีแต่ควันและเปลวเพลิงคลุ้มตลบอยู่ชั่วนิจนิรันดร์

    เนมิราชพักตร์ซีดด้วยความกลัว รับสั่งถามถึงสาเหตุที่สัตว์นรกต้องมาถูกธรรมชาติ เหนือแม่น้ำเวตรณีลงโทษเช่นนี้นั้นเพราะกระทำอะไรมา สารถีทูลว่า สัตว์เหล่านั้นครั้งที่เป็นมนุษย์ประพฤติ แต่บาปหยาบคาย เบียดเบียนข่มเหงผู้ที่ต่ำต้อยกว่า จ้องหาโอกาสแต่จะเอาเปรียบผู้อื่น ใจของเขาปราศจากเมตตาการุณย์ ไม่เคยเห็นใจใคร

    จากนั้นเวชยันตรถก็พาเข้าสู่แดนสัตว์ร้าย เนมิราชทอดพระเนตรเห็น ตรัสถามอีก ฝูงหมา มีทั้งด่าง แดง ฝูงนกร้าย มีทั้งแร้งแลกามากมาย มีรูปลักษณะน่ากลัวนัก สีหน้าอาการแสดงความดุร้ายคุกคามอยู่ตลอดเวลา สัตว์เหล่านี้กำลังพากันเคี้ยวและจิกทึ้งสัตว์นรกอยู่ นั่น (สัตว์นรก) เขาทำบาปอันใด ?

    ทูลว่า พวกนี้เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ มิเคยเอื้อเอ็นดูใคร ด่าว่าแม้กระทั่งสมณะ เบียดเบียนผู้ทรงศีลทรงธรรม คุกคามผู้มีปกติไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อใครๆ คือพระเจ้า พระสงฆ์ ถูกเปรียบเปรยด้วยคารมและกระทบกระแทก ด้วยกรรมอันทารุณ เขาพากันเสวยผลบาป ถูกแร้งกาและหมู่หมานรกเคี้ยวกิน น่าอนาถกรรมของสัตว์

    อีกแห่งหนึ่ง ที่เวชยันตรถผ่านไปถึงพื้นที่ สัตว์เหยียบยืนและย่างเดิน เป็นแผ่นเหล็กลุกรุ่งด้วยเปลวร้อน มีนายนิรยบาลควบคุมบังคับต้อนให้ฝูงสัตว์ผ่านไป จะหลีกเลี่ยงก็ไม่ได้ เพราะถูกนายนิรยบาลเอาท่อนเหล็กเคาะแข้งและหวดโบยอย่างไม่ปรานี สัตว์เหล่านี้เมื่อเป็นมนุษย์ชอบทรมานสัตว์ ทั้งเล็กและใหญ่ ด้วยเห็นเป็นความสนุกหาความสุข บนความทุกข์ของผู้อื่น จึงต้องเดินบนแผ่นเหล็กแดง ทุรกันดารเหลือ ใครก็ช่วยเขาไม่ได้ เขาทำของเขาเอง

    สัตว์นรกร่ำไห้ มีกรัชกายไหม้เกรียมด้วยพิษเพลิง เสียงครวญครางราวกะพายุสะบัดพัดป่า สัตว์พวกนี้ขี้โกงเป็นหนี้แล้วหาทางหลีกเลี่ยง โกงเพื่อนได้ก็ชอบใจชมตัวเองว่าฉลาด ฉ้อราษฎร์บังหลวงเป็นหนี้ประชาชน บ้างก็เรี่ยรายทรัพย์เพื่อบุญกุศล แต่ยักยอกเสพสุขส่วนตน อนาถนัก

    หม้อเหล็กใหญ่ ลุกโพลงด้วยไฟแสนร้อน สัตว์นรกบางจำพวกถูกจับโยนใส่ ถูกต้ม ถูกเคี่ยว ชั่วกาลนาน เพราะบาปเบียดเบียนประทุษร้ายสมณพราหมณ์ผู้มีศีล จึงตกโลหกุมภี นายนิรยบาลผูกคอสัตว์นรกด้วยโซ่เหล็กแดง กดคอให้หน้าก้ม รั้งดึงเส้นโซ่ทรมานแล้วสับคอด้วยมีดใหญ่โยนใส่กะทะทองแดง พวกนี้เป็นพรานนิยมการฆ่าว่าเป็นกีฬา จนแทบจะทำให้สัตว์ป่าสูญพันธุ์ แม้วิหคปักษาจะบินหลบภัยมาอาศัยร่มไม้ในอาราม ก็หาพ้นจากพวกพรานใจบาปเหล่านี้ไม่ สมแล้ว

    แม่น้ำแห่งนี้น่ารื่นรมย์นัก มีท่าสะอาดขึ้นลงสะดวกมองเห็นสายน้ำฉ่ำชื่นปริ่มฝั่ง ผู้สัญจรจากถิ่นไกลเห็นแล้วน่าโผลงดื่มอาบระงับร้อน สัตว์นรกพวกนี้ถูกต้อนให้เดินฝ่าแดนเพลิงมาไกลแสนไกล พอถึงฝั่งน้ำก็ตะลีตะลานโผลงดับร้อน แต่ก็กลายเป็นล้มตัวลงคลุกฝุ่นทรายอันระอุ ที่ตั้งใจดื่มน้ำที่กอบด้วยฝ่ามือก็กลายเป็นแกลบกลืนไม่ลง ผิดหวัง พวกนี้มีอาชีพไม่บริสุทธิ์หากินทางหลอกลวง เอาฝุ่นทรายและแกลบปนลงในข้าวเปลือก ด้วยตั้งใจจะเอากำไรมากๆ เขาถูกคิดบัญชีในนรก ฯลฯ

    สัตว์บางพวกถูกนายนิรยบาลตัดเฉือนร่างออกเป็นชิ้นๆ บางจำพวกดื่มกินมูตร (เยี่ยว) คูถ (ขี้) เคี้ยวกินบุพโพ (น้ำเหลือง) โลหิต (เลือด) บางพวกถูกจับแผ่ลงยังพื้น แล้วเอาขออันคมสับดึงลากทรมาน บางพวกถูกเบ็ดเกี่ยวลิ้นดึงเข้าๆ ออกๆ มีน้ำลายไหลเยิ้ม ฯลฯ

    เปล่าเลย นายนิรยบาลมิได้ทำเล่นตามอำเภอใจ แต่ได้รับการยินยอมจากความเลวของเขาเอง

    [​IMG]

    เทพประชุม

    ในคัมภีร์ได้ประมวลภาพแลเหตุการณ์ในนรกมากล่าวไว้ว่าด้วยนิรยาบาย ยังมีรายละเอียดพิสดารมาก ว่าแดนอบายนิรยภพ เป็นแดน เป็นภพ สำหรับรองรับสนองผลอันแสบเผ็ดแก่สัตว์ผู้ประมาท ประกอบกรรม บาปทุจริต ในสมัยเป็นมนุษย์ซึ่งไม่เลือกว่าเขาจะเป็นคนชั้นไหน ยากดีมีจน สูงศักดิ์ หรือน้อยวาสนา ผู้ยิ่งใหญ่ที่ทรงอำนาจหรือไพร่ หากทำความชั่วแล้วเสมอกันในนรก

    จากนั้นเนมิราชก็ถูกนำไปสู่เทวโลก พลางชมสมบัติเมืองสวรรค์ ท่านพรรณนาไว้ มีทั้งเทพบุตรเทพธิดา ทำให้จิตใจซึ่งสลดหดหู่มาตลอดเวลาที่ผ่านเรื่องเมืองนรก ค่อยแช่มชื่นขึ้น สรรพสิ่งบำเรอสุขที่ปรากฏอยู่ในมนุษย์ประการใดๆ ถูกประมวลพรรณนาไว้อย่างไม่บกพร่อง ซ้ำยังวิจิตรประณีตกว่าสมบัติมนุษย์ เทพบุตรเทพธิดาแต่ละตนล้วนแต่มีอดีตอันดีงามมาด้วยวิธีต่างๆ กันไป ทิพยสมบัติก็หยาบและประณีตผิดแผกกันไปตามเหตุ เช่น เทวธิดา ชื่อวารุณี มีวิมานปราสาท ๕ ยอด ล้วนแล้วไปด้วยแก้วอลงกรณ์งามบวรเกินเปรียบ ในอดีตนางมีความเลื่อมใสในพระสงฆ์ ผู้ทรงศีลาจารวัตร มีคุณสมบัติของอุบาสิกาสมบูรณ์ เทพบุตร ชื่อโสณทินนะฯ มีวิมานทองถึง ๗ องค์ อดีตกาลเขาผู้นี้สร้างวิหารถวายอุทิศต่อบรรพชิต และมีปกติบริจาคทานเนืองๆ รักษาอุโบสถศีลทุกวันอุโบสถ หากจะประยุกต์ตามกาลสมัย ก็ได้แก่ทำประโยชน์แก่สังคม

    สวรรค์แดนแห่งความสุข ทวยเทพต่างตื่นเต้นต้อนรับเนมิราชกษัตริย์ แห่งมิถิลานคร แม้ท้าวสักกะจอมสวรรค์ก็ตรัสเชื้อเชิญ มอบดาวดึงส์ให้เป็นสิทธิ์ ขอพระองค์เสด็จอยู่ในหมู่เทพเจ้าผู้สำเร็จด้วยทิพยกามทั้งมวล เสวยทิพยกามารมณ์ในหมู่เทพยดาชาวดาวดึงส์ เนมิราช ทรงตอบรับไมตรีของจอมเทพด้วยบาทคาถาที่น่าฟัง ขอยกมาแสดงไว้ด้วย ฯลฯ

    “สิ่งอันใดได้มาเพราะผู้อื่นให้ สิ่งนั้นสมบูรณ์เหมือนยืมยานพาหนะเขาใช้ หรือทรัพย์ที่ได้ด้วยการหยิบยืมผู้อื่น หม่อมฉันไม่ปรารถนาสมบัติที่ผู้อื่นให้ สมบัติของหม่อมฉันควรจะเกิดจากบุญซึ่งหม่อมฉันได้ลงมือกระทำเอง จึงควรอิ่มใจในสิทธิแห่งทรัพย์นั้น หม่อมฉันจักกลับไปบำเพ็ญกุศลให้มาก ร่วมกับเพื่อนมนุษย์ ด้วยการบริจาคทาน ประพฤติสม่ำเสมอด้วยไตรทวาร อันฝึกแล้วด้วยศีล และฝึกอินทรีย์ ซึ่งจะเป็นบ่อเกิดแห่งความสุข และไม่ตามเดือดร้อนหวั่นไหวภายหลัง”

    การเสด็จสู่นรก – สวรรค์ ของเนมิราช เป็นผลดีแก่มวลมนุษย์ในยุคนั้นสมัยนั้นยิ่งนัก เพราะพระองค์ได้นำออกเป็นเนื้อหาแห่งพระโอวาท ประกาศเตือนสอนสั่งประชาชนให้ตั้งตนอยู่ในศีลธรรม ความดีแม้จะทำยากลำบากเพียงใด ก็ควรมีความอดทน ไม่ละทิ้ง ประกอบไปจนกว่าจะสำเร็จ ส่วนความเลวแม้จะสนุกสนานบานชื่นอย่างไรขณะทำ ก็พึงสังวรอย่าผ่อนตาม เพราะปลายทางของมันเสมือนยาพิษที่มีรสหวาน ฉะนั้นเมื่อสรุปพระโอวาทเนมิราช ก็มีความดังนี้

    สัตว์ทั้งปวงตั้งอยู่ในอธรรมก็ตกนรกเบื้องต่ำ สัตว์ทั้งปวงย่อมหมดจดพิเศษเพราะประพฤติธรรมสูงสุด ความดีกับความชั่ว หามีผลเสมอเหมือนกันไม่ ความชั่ว (อธรรม) นำไปนรก ส่วนความดี (ธรรม) ส่งไปสวรรค์

    มวลมนุษย์ยุคนั้น พากันมอบทิฐิ (ความเห็น) ศรัทธา (ความเชื่อ) ไว้ในพระโอวาทของเนมิราช บรมกษัตริย์แห่งวงศ์บรรพชิต จรรยามนุษย์ อันเป็นบาปทุจริตใดๆ ไม่มีปรากฏเป็นมลทินแก่โลกสันนิวาส นับว่าโลก ถูกนำดำเนินโดยการประคองของพระ เกิดสันติสุข สันติภาพ อันเป็นยอดปรารถนาของสังคม เนมิราช ทรงนำโลกด้วยธรรมอยู่ชั่วระยะหนึ่ง จากนั้นเมื่อเส้นพระเกศาบนเศียรหงอก ก็ทรงปลงภาระหลีกจากฆราวาสวิสัยเข้าสู่ไพรพฤกษ์ ประพฤติพรหมจรรย์ มีความวิเวกเป็นสหายที่สนิท กษัตริย์องค์ที่ ๘๔๐๐๐ มิได้ดำเนินตามรอยบาทของราชบรรพบุรุษจึงสิ้นสุดวงศ์สมณะแต่เพียงนั้น

    โลกก็เริ่มวุ่นวายด้วยความฉลาดแกมโกงของมวลมนุษย์ ของเก่า ธรรมเก่า แบบแผนธรรมเนียมเดิม ถูกกล่าวหาว่าคร่ำครึ มนุษย์ที่สำคัญตัวเองว่าฉลาดก็พากันรื้อถอนโค่นล้าง ทำลายให้เสื่อมและสูญ แม้กระทั่งความเชื่อที่เคยมอบไว้กับนรก – สวรรค์มาชั่วกาลนานก็พลอยพินาศ จึงมีหิริโอตตัปปะ ความชั่วกลัวบาปกันเฉพาะในที่แจ้งเท่านั้น อนิจจา !


    (ถอดความจากมหานิบาตชาดก ส.อ.ส.)



    .......................... เอวัง ..........................


    โพสโดยคุณamai
    ลานธรรมจักร
    :: Œ??Ã?ѡà:: :: ͨҹ - ?Ԁ????؃Ҫ (˅ǧ?ҡ?à—荤?)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ่ะ หาที่ไหนกันเหรอ

    หาให้ผมด้วยสิครับ :'(
     
  17. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768

    ผมกับพี่เบิ้ม ร่วมทำบุญ 4,000 บาท ( คนละ 2,000 บาทครับ)

    ต้องขอโทษครับที่ช้า

    เพิ่งได้เข้ามาครับ ช่วงนี้งานยุ่งมากๆๆๆครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  18. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    อะนะ...หาที่ลูกพี่น่านแหละคร๊าบ รู้นะว่าช่วงนี้เหนื่อยเพราะงานเข้าทุกทางเลย อิอิ :cool:
     
  19. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    มาช้าแต่แรงแบบนี้ ต้องขออนุโมทนาด้วยซะแล้วครับ หุหุ :boo:
    .... อ่อ นิดนึง TOP4 อ่ะ ทราบมาว่างานเข้าตลอดเลย จะลองเปลี่ยนเป็นกลักไม้ขีด(หรือกริ่งปวเรศ)บ้างก็ได้นะครับ เป็นห่วงนะ ลองถามท่านพี่มูฯของเฮาดูครับ แม่นบ่ แฮงบ่?...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2009
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

แชร์หน้านี้

Loading...