พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องของไม้ครู ผมคงบอกอะไรมากไม่ได้ เนื่องจากเป็นดาบสองคม และผมเองยังรู้เรื่องของไม้ครูไม่มากนัก

    จำนวนไม้ครู ผมว่ามีน้อย คิดเหมือนกับคุณเพชรก็คือ ไม่น่าจะเกิน 200 ด้าม และ คนภายนอกแทบไม่รู้เลยว่า ไม้ครูของวังหน้าเป็นอย่างไร ผมเคยไปเห็นในตลาดพระ คนขายบอกผมว่า เป็นไม้ครูของหลวงปู่..... วัด.... ซึ่งผมได้ยินอย่างนั้น ก็เฉยๆ พร้อมทั้งสอบถามว่า ราคาเท่าไหร่ เมื่อตกลงราคากันได้ ผมก็เช่ามา มีอยู่ 2 ด้าม ด้ามแรกผมมอบให้พี่ใหญ่ ซึ่งในวันนั้นผมเห็นสิ่งที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต แต่ขอสงวนสิทธิ์ไม่แจ้งบนบอร์ด ส่วนด้ามที่สอง ผมมอบให้กับเพื่อนรักของผม (ขอสงวนสิทธิ์ไม่แจ้งชื่อเพื่อนรักบนบอร์ด)

    ประโยคฮิตของคณะพระวังหน้าและชมรมรักษ์พระวังหน้า "พระท่านเลือกผู้ที่ท่านจะไปอยู่ด้วย" และ "อยู่ที่วาสนา และ บารมี" ดังนั้นผมจะบอกว่า หากพระท่านเลือกที่จะไปอยู่ด้วยแล้ว ไม่ใช่ว่า ท่านจะอยู่กับเราตลอดชีวิต ท่านก็สามารถเลือกผู้ที่จะไปอยู่ที่เป็นคนใหม่ได้เช่นกัน

    ผมเองก็ได้เจอคนที่คุณเพชรบอกมา(ก็คือ แรกๆได้พระวังหน้าไป บอกว่า พระวังหน้า ดีอย่างนี้ แรงอย่างนั้น สุดยอดอย่างโน้น แต่ตอนหลังก็เปลี่ยนใจจากพระวังหน้า) ผมเจอมาหลายคนแล้ว

    เรื่องของไม้ครู ที่หลายๆท่านบอกผมว่า อยากได้ ผมจึงต้องคัดกรองและพิสูจน์จนผมแน่ใจว่า จริงใจและซื่อสัตย์กับพระวังหน้าอย่างแท้จริง ผมจึงจะมอบให้ไป และอีกประการหนึ่ง พระอาจารย์ผมได้เตือนเรื่องของไม้ครูไว้ว่า จะมอบให้ใคร ต้องดูให้ดี ต้องดูให้ละเอียดก่อน

    หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน

    ส่วนเรื่องที่ผมจัดทัวร์ไปอยู่ในนรก ผมท้ามาบ่อยแล้ว จนเบื่อ เบื่อแล้ว ก็เบื่ออีก ทั้งๆที่ผมให้เงินค่าเดินทาง ก็ยังไม่มีใครกล้ามาสักคนเดียว

    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>แกะรอย!! "เกมอำมหิต" ศึกพรีเมียร์ชิป
    Sport - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>23 พฤศจิกายน 2552 11:33 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>แมนฯยู ยำใหญ่ อิปสวิช</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>เชียเรอร์ เหมา 5 ประตู</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>หลังจาก ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ เปิดบ้านยำใหญ่ วีแกน แอธเลติก 9-1 เจอร์เมน เดโฟ สวมบทฮีโรซัด 5 ประตู ทำให้สื่อชื่อดังของอังกฤษอย่าง "ไทม์ส ออนไลน์" ขุดสถิติ ชนะมากที่สุดในเวที พรีเมียร์ชิป อังกฤษ มาให้ชมกันถึงความอำมหิตบนโลกลูกหนัง

    แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 9 - 0 อิปสวิช ปี 1995
    ในนัดดังกล่าว แอนดี โคล เป็นผู้ซัด 5 ประตูเช่นเดียวกับ เดโฟ 4 ประตูที่เหลือเป็นผลงานของ มาร์ค ฮิวจ์ส (2ประตู), พอล อินซ์ และ รอย คีน ซึ่งในฤดูกาลดังกล่าว อิปสวิช ตกชั้นในท้ายที่สุด

    นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 8 -0 เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ ปี 1999
    เกมนี้ อลัน เชียร์เรอร์ กด 5 ประตูเช่นเดียวกับ เดโฟ และ โคล แต่ "ฮอตชอต" มี 2 ประตูจากลูกจุดโทษ ส่วนประตูที่เหลือมาจาก อารอน ฮิวจ์ส, คีรอน ดายเออร์ และ แกรี สปีด

    น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ 1 - 8 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปี 1999
    "ผีแดง" ได้ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ลุกมาจากม้านั่งสำรองในช่วง 10 นาทีสุดท้ายกดคนเดียว 4 ประตู โดยอีก 4 ประตูที่เหลือเป็นของ 2 หัวหอกนิลกาฬในยุค "ทริปเปิลแชมป์ 1999" แอนดี โคล และ ดไวท์ ยอร์ค คนละ 2 ประตู ส่วน 1 ประตูของ ฟอเรสต์ มาจาก อลัน โรเจอร์ส

    อาร์เซนอล 7 - 0 เอฟเวอร์ตัน ปี 2005
    ปีนั้นขุนพล "ปืนโต" คว้าอันดับ 3 เกมเปิด ไฮบิวรี ถล่ม เอฟเวอร์ตัน 7-0 ได้ประตูจาก เดนนิส เบิร์กแคมป์, โรแบร์ ปิแรส (สองประตู), โรบิน ฟาน เพอร์ซี, ปาทริก วิเอรา, มาธิเยอ ฟลามินี, และ เอดู (จุดโทษ)

    แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 7 - 0 น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ปี 1995
    ถือเป็นยุคทองของ "กุหลาบไฟ" ภายใต้การคุมทีมของ เคนนี เดลกลิช ถล่ม "เจ้าป่า" 7 ลูก โดยประตูจาก อลัน เชียร์เรอร์ ซัดแฮทริก, ลาร์ส โบฮิเนน 2 ประตู, ไมค์ นีลล์ และ แกรม เลอ โซ

    แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 7 -0 บาร์นสลีย์ ปี 1995
    แอนดี โคล ซัดแฮทริกตั้งแต่ช่วงครึ่งแรก ช่วยให้ "ผีแดง" นำห่าง 4 -0 ก่อนที่ ไรอัน กิกส์ จะทำคนเดียว 2 ประตู พอล สโคลส์ และ คาเรล โพบอลสกี จะเรียงหน้ากันถล่ม "เจ้าตูบ" จนสนุกเท้า

    อาร์เซนอล 7 -0 มิดเดิลสโบรช์ 2006
    เกมนี้ เธียร์รี อองรี เป็นพระเอกซัดคนเดียว 3 เม็ด ก่อนที่ ฟิลลิป เซนเดอรอส, โรแบร์ ปิแรส, จิลแบร์โต ซิลวา และ อเล็กซานเดอร์ คเล็บ จะดาหน้ากันมาใส่สกอร์ในเกมถล่ม "เดอะโบโร" ยับเยิน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"กระดูกพรุน" รู้เท่าทัน ป้องกันได้
    Quality of Life - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>23 พฤศจิกายน 2552 17:18 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ปัจจุบันนี้จะได้ยินคำว่า "กระดูกพรุน" มักจะเป็นคำที่ได้ยินกันเสมอๆ ผ่านทางสื่อต่างๆไม่ว่าจะเป็นสื่อโฆษณาตลอดจนผ่านรายการโทรทัศน์หรือวิทยุ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสุขภาพหากเด็กและเยาวชนรวมไปถึงผู้ใหญ่วัยทำงานมักจะ มองว่าเป็นเรื่องไกลตัวด้วยสุขภาพยังแข็งแรงสภาพร่างกายยังสมบูรณ์หลายคนมอง ว่า"กระดูก พรุน" เป็นภาวะที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับตัวเองได้ เพราะ ณ วันนี้ร่างกายยังกระฉับกระเฉงวิ่งเล่นเท่าไรก็ยังไม่เหนื่อยออกกำลังกายด้วยการเล่นกีฬาเป็นประจำเช่นนี้แล้วภาวะกระดูกพรุนก็ไม่น่าจะมาเยือนได้

    ...แต่ความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะอาการเหล่านี้เป็นอาการที่ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเสมอไปกับผู้สูงอายุทุกราย และสามารถป้องกันได้

    สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) อธิบายสาเหตุที่ทำให้ความแข็งแรงของกระดูกในร่างกายเสื่อมลงดังกล่าวว่า เกิดจากกระดูกที่มีลักษณะการทำงานอยู่ตลอดเวลา ในการสร้างเซลล์กระดูกใหม่และสลายเซลล์กระดูกเก่า ซึ่งจะทำให้เนื้อกระดูกส่วนที่หมดอายุถูกกำจัดออกไปเพื่อให้กระดูกที่สร้าง ใหม่ขึ้นมาแทนที่ โดยเฉพาะในช่วงวัยเด็กถึงวัยหนุ่มสาว อัตราการสร้างกระดูกจะเร็วกว่าอัตราการสลายกระดูก ทำให้กระดูกต่างๆ ในร่างกายของในช่วงวัยนี้แข็งแรงทนทาน ไม่ก่ออาการเจ็บป่วยง่ายๆ

    แต่เมื่ออายุย่างก้าวเข้าสู่วัยที่มีเลข 3 นำหน้าขึ้นไป อัตราการสลายกระดูกจะเร็วกว่าอัตราการสร้างกระดูก ซึ่งเป็นผลทำให้ปริมาณมวลกระดูกลดลงและโครงสร้างภายในของกระดูกถูกทำลาย ทำให้รูพรุนที่คล้ายฟองน้ำของกระดูกชั้นในมีขนาดใหญ่ขึ้น ส่งผลให้กระดูกบางลงและอ่อนแอ จนเกิดภาวะ “กระดูกพรุน” ขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ปริมาณเนื้อกระดูกจะลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ตลอดชีวิตผู้หญิงจะสูญเสียเนื้อกระดูกมากกว่าผู้ชายถึง 2 - 3 เท่า

    ข้อมูลน่าสนใจนี้ ถูกตอกย้ำให้ประชากรโลกโดยเฉพาะผู้คนในแถบเอเชีย พึงตระหนักถึงความเสี่ยงที่เจ้าโรคกระดูกพรุนมีสิทธิ์จะเดินมาเคาะประตูชีวิตของใครก็ได้ เนื่องจากความเสี่ยงนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนว่า เมื่อไม่นานมานี้มูลนิธิโรคกระดูกพรุนนานาชาติ (International Osteoporosis Foundation: IOF) เปิดเผยว่าในอนาคตหลายประเทศแถบภูมิภาคเอเชียโรคกระดูกพรุนจะเป็นปัญหาสำคัญที่คาดว่า พ.ศ.2593 ประมาณ 50% ของอาการกระดูกหักทั่วโลกจะเกิดขึ้นในเอเชีย ดังนั้นหากยังไม่ตื่นตัวหาวิธีป้องกัน ก็ยิ่งเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุน มีโอกาสหกล้มและกระดูกสะโพกหักได้ทุกคน ซึ่งจะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันและคุณภาพชีวิตโดยตรงและรุนแรง

    ด้านนพ.ธนา ธุระเจน เลขาธิการมูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทย อธิบายว่า ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะมีโอกาสป่วยเป็นโรคนี้ ได้แก่ ผู้สูงอายุ หญิงวัยหมดประจำเดือน ผู้ป่วยโรคทางเดินอาหารที่มีความผิดปกติในการดูดซึมแคลเซียม คนที่ดื่มสุรา กาแฟ สูบบุหรี่จัด ผู้ป่วยที่ต้องนอนบนเตียงคนป่วยเป็นเวลานาน ผู้ป่วยโรคมะเร็งกระจายไปที่กระดูก ผู้ที่มีประวัติว่าคนในครอบครัวกระดูกหักง่าย นอกจากนี้ การได้รับยาบางชนิดเป็นเวลานาน เช่น ยาเสตรียรอยด์ ยากันชัก ยาไทร็อกซิน ฯลฯ รวมทั้งคนที่เป็นโรครูมาตอยด์ โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษฯลฯ ก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมากเป็นพิเศษอีกด้วย

    “เมื่อกระดูกในร่างกายเริ่มบางลง จนเริ่มเข้าสู่ภาวะกระดูกพรุน ผู้ป่วยจะไม่มีอาการใดๆ ปรากฏเลยถ้ากระดูกไม่หัก ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุน จะดำรงชีวิตได้อย่างปกติ แต่หากวันดีคืนดีเดินสะดุดก้อนหินหกล้ม หรือถูกคนวิ่งมาชน ภัยเงียบที่แอบแฝงในร่ายกายอย่างเจ้าโรคกระดูกพรุนก็จะสำแดงฤทธิ์เดชทำให้กระดูกหักได้ทันที กระดูกบริเวณที่พบว่าหักบ่อย ได้แก่ กระดูกหลัง กระดูกสะโพก กระดูกข้อมือ ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นเมื่อกระดูกสะโพกหักนั้นทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถเดินได้ ต้องนอนบนเตียงเป็นเวลานานทำให้เสี่ยงการเกิดแผลกดทับ ผู้ป่วยไม่สามารถยกของที่มีน้ำหนักได้ตามปกติ รวมทั้งต้องเป็นภาระในการดูแลระยะยาวและอาจเสียชีวิตในที่สุด”

    อ่านถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายคนคงจะเริ่มตระหนักถึงความร้ายแรงของโรคกระดูกพรุนที่มีสิทธิ์จะเกิดขึ้นกับเราๆ ท่านๆ ได้ด้วยกันทุกคนหากไม่ใส่ใจดูแลสุขภาพ และเริ่มมองหาวิธีการป้องกันกันบ้างแล้ว เพราะการที่จะรักษากระดูกที่พรุนแล้วให้กลับเข้าสู่สภาพเดิมนั้นมักจะไม่ค่อยได้ผล ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุด คือ การดูแลตัวเองไม่ให้ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุนนั่นเอง...

    สสส.ได้แนะแนวการเสริมเกราะป้องกันให้แก่ร่างกาย ให้ปลอดภัยจากโรคกระดูกพรุนด้วยการรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ เพราะร่างกายต้องการแร่ธาตุที่สำคัญเพื่อมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หรือเติมเต็มสิ่งที่มีอยู่ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ร่างกายจึงควรได้รับสารอาหารต่างๆ โดยเฉพาะ “แคลเซียม ” ในวัยผู้ใหญ่ที่อายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ควรรับประทานแคลเซียมให้ได้ 1,200 – 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะแคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่มีมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในร่างกาย เพราะร้อยละ 99 ของแคลเซียมจะอยู่ในกระดูก ที่เหลือจะกระจายอยู่ตามของเหลวต่างๆ ในร่างกาย หน้าที่ของแคลเซียมคือ ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง กล้ามเนื้อและประสาททำงานเป็นปกติ กระตุ้นการแข็งตัวของเลือดหลังการบาดเจ็บ และควบคุมการทำงานของเอ็นไซม์และการเต้นของหัวใจ แหล่งอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม คือ นม โดยเฉพาะนมเสริมแคลเซียมซึ่งควรจะดื่มเป็นประจำทุกวัน โยเกิร์ต ถั่วเหลือง ถั่วเขียว งา ปลาตัวเล็กที่รับประทานทั้งกระดูก และผักใบเขียวที่ปลอดสารเคมี เป็นต้น

    และที่ขาดไม่ได้ ก็คือการออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ทำให้กระดูกแข็งแรงไม่แตกหักได้ง่าย

    เพียงเท่านี้ด้วยวิธีง่ายๆ ที่ทำได้ด้วยตนเอง กระดูกของคุณก็จะแข็งแรง และลดความเสี่ยงของการเป็นโรคกระดูกพรุนด้วย

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    (ข่าวประชาสัมพันธ์)
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เรื่องความลับของไม้ครูนี้ ผมเองก็ถือว่ารู้น้อยมากเช่นกัน แต่โอกาสที่ได้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยนี้เป็นวาระที่ผม และคุณหนุ่มบังเอิญอยู่ในที่นั้นกับพระอาจารย์รูปหนึ่ง ท่านได้ชี้แนะวิธีการใช้ค่อนข้างละเอียด ซึ่งผมรู้สึกว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา เพราะคนมากมายที่ไปเยี่ยมอาจารย์ปู่ประถม แต่กลับไม่มีผู้ใดสนใจ หรือสอบถาม หรือได้ยินท่านบอกเล่าให้ฟัง เมื่อได้ประมวลความรู้ใหม่กับความรู้เรื่องศาสตร์แห่งพลังที่เรียนรู้มาก็พบว่าสุดแสนจะวิเศษ เดิมทีผมมีขนนกอินทรีย์หัวขาวอยู่ ๒ อัน(ไม่สามารถไปถอนขนจากตัวเป็นๆได้ ต้องรอให้มันสลัดขนออก จึงจะใช้ได้) ซึ่งเป็นความรู้ของชนเผ่าอินเดียนแดงได้ถ่ายทอดมาใช้เพื่อการบำบัดรักษา ประกอบกับศาสตร์แห่งการบำบัดด้วยสี จึงนับว่าลงตัวมาก และเมื่อนำเรื่องราวมาประมวลกับเรื่อง"คทา"ที่สมัยหนึ่งก่อนที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านจะมรณภาพ ได้สร้างคทาไว้ไม่กี่ด้าม แต่ละด้ามท่านได้กำหนดมอบให้พระแต่ละองค์เป็นผู้ถือคทา ในวันสงกรานต์ในปี ๒๕๓๖ ผมจำได้ว่าพระผู้ดูแลคทาแต่ละด้ามได้ใช้คทาออกสงเคราะห์ลูกหลานของหลวงพ่อฤาษีฯ ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นคำสั่งของหลวงพ่อให้ทำอะไรได้บ้าง (พระวัดท่าซุง จะไม่ทำอะไรที่นอกเหนือคำสั่งหลวงพ่อ) และเพียงครั้งเดียวที่ผมเห็นว่าท่านได้นำออกสงเคราะห์ลูกหลานลูกหลานในวันนั้นเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นก็เป็นการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังทุกปี ผมคิดว่าความลับของการใช้คทานี้ก็ยังเป็นความลับอยู่ จะดีหรือไม่ลองคิดเอานะครับว่า เป็นวัตถุมงคลชิ้นสุดท้ายที่ท่านทำไว้ให้กับพระสงฆ์ที่ท่านกำหนดมอบให้เท่านั้น...

    ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ในเจ้ากระทรวงต่างๆก็มีคทาของเจ้ากระทรวง และมีความหมาย และความนัยมากด้วย ความลับนี้ก็มีไม่กี่ท่านที่ทราบกัน สรุปแล้วเป็นของสูงครับ..

    ของดีที่มีคุณค่า หากรู้จัก และเข้าใจวิธีการอาราธนา วิธีใช้ก็จะเป็นคุณประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างมหาศาล การขอหลวงปู่ทำได้ไม่ยากครับ ผมและคุณหนุ่มก็ใช้หลักการของ ๓ ขอ คือ ขอขมาหลวงปู่ก่อน..ตามด้วยขอบารมี..และจึงขอให้หลวงปู่สงเคราะห์ การขอจึงต้องมีศิลปะ การใช้พระพิมพ์ก็ต้องมีศิลปะเช่นกัน รายละเอียดเล็กๆน้อยๆเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะละเลยได้ครับ ลองหมั่นทำดู เผื่อวันหนึ่งที่เป็นวาระของเราท่านก็จะสามารถเกาะกระแสโลกอุดรกันได้ การจะเข้าถึงหลวงปู่ได้ จะต้องมีสะพานบุญเชื่อมกระแสบุญกับหลวงปู่ท่าน นั่นคือต้องทราบว่าธรรมะที่หลวงปู่ท่านสอนคือเรื่องอะไร เราจึงจะปฏิบัติเพื่อการเชื่อมโยงนั้นได้..

    หลวงปู่ท่านรู้ว่าลูกหลานท่านคิดอะไรอยู่ ทำอะไรกันอยู่ เป็นบุญ หรือกรรม ใช้วิธี ๓ ขอนี่แหละครับ และตั้งจิตที่เป็นกุศลขอยืมกระแสบุญบารมี และกระแสเมตตาบารมีของหลวงปู่อุตระมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นพระประธาน ซึ่งก็จะได้ผลครับ..

    นึกขึ้นมาได้ว่าหลวงปู่ท่านเก่งจริงๆ ท่านเชี่ยวชาญด้านเภสัช และการแพทย์ อีกทั้งมีเมตตาสูง จึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับท่าน เมื่อได้ศึกษาทางด้านเภสัชฯจึงยิ่งรู้สึกว่าท่านได้สงเคราะห์มาก คือตรงประเด็นที่จะนำไปใช้ในการบำบัดรักษาทางแพทย์แผนโบราณ ไม้ครู และลูกอมผงยาวาสนาจึงเป็นของพิเศษมาก และวันหนึ่งข้างหน้า พระพิมพ์ผงยาวาสนานี้ก็จะเป็นประโยชน์กับคนไข้อีกมากมายซึ่งได้อธิษฐานจิตกับหลวงปู่เอาไว้เช่นกัน..

    ลองสอบถามเคล็ดลับการเป็นหลานศิษย์ของหลวงปู่โดยสมบูรณ์แบบได้จากคุณหนุ่มเอานะครับ เท่าที่ทราบมา คุณหนุ่มเขาได้เคยแนะนำผมเอาไว้ ได้ผลมากๆ.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2009
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    น้องหมอเคยบอกผมว่า หากเรารับประทานอาหารครบหมู่ และรับประทานปลาตัวเล็กๆ อย่างสม่ำเสมอ เราจะได้แร่ธาตุแคลเซียมที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายครับ
     
  6. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    วันเสาร์นี้มีสอบเภสัชอีกแล้ว สอบบ่อยจริงๆ แต่ก็ดีเป็นการเตรียมความพร้อมไปในตัว ระหว่างดูหนังสือไปก็สลับเปลี่ยนไปพิจารณาเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญาตามแนวทางของคัมภีร์พระไตรปิฎก และคัมภีร์วิสุทธิมรรค ผมเห็นว่ามีความลึกซึ้งกว่าความหมายที่เรารู้กันเพียง ศีล สมาธิ ปัญญา จึงนำมาให้เพื่อนๆได้ลองศึกษาครับ...

    ศีล สมาธิ ปัญญา : แนวคิดและความสัมพันธ์
    จากพระคาถาพยากรณ์ที่เป็นบทตั้งของวิสุทธิมรรคกล่าวถึงการตั้งอยู่ในศีลด้วยบทว่า
    สีเล ปติฏฺฐาย หมายถึง ภิกษุผู้ทำศีลให้บริบูรณ์ชื่อว่า ผู้ตั้งอยู่ในศีล
    นโร สปญฺโญ หมายถึง ผู้มีปัญญา ซึ่งเป็นปัญญาที่มีมาพร้อมกับปฏิสนธิ
    จิตตํ ปัญฺฺญญฺจภาวยํ หมายถึง การยังสมาธิ และวิปัสสนาให้เจริญอยู่ ทรงแสดงถึงสมาธิ ด้วยหัวข้อว่าจิต
    ส่วนวิปัสสนาทรงแสดงโดยชื่อว่า ปัญญา หรือปญฺญญฺจ

    อาตาปี หมายถึง ผู้มีความเพียร เป็นเหตุเผากิเลสให้เร่าร้อน
    นิปโก หมายถึง ปัญญาอีกชนิดหนึ่ง ทรงแสดงถึงปาริหาริกปัญญา
    ภิกฺฺขุ หมายถึง ผู้ใดเห็นภัยในสงสาร เหตุนั้น ผู้นั้น ชื่อว่า ภิกษุ
    ในบทท้าย คือ โส อิมํ วิชฏฺฺเย ชฏํ เป็นการสรุปสภาวธรรมข้างต้นว่า
    “ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 6 ประการ คือ ด้วยศีล ด้วยสมาธิ (หรือจิต) ด้วยปัญญา 3 ลักษณะ (ไตรเหตุปฏิสนธิ, วิปัสสนาปัญญา และปาริหาริกปัญญา) และด้วยความเพียรเผากิเลสนี้ เมื่อยืนอยู่บนแผ่นดินคือศีลแล้ว ยกศัสตรา คือ วิปัสสนาปัญญา ที่ลับด้วยศิลาคือสมาธิ อยู่ในมือคือปาริหาริกปัญญา ที่มีกำลังวิริยะ พึงถาง ตัด ทำลาย ซึ่งชัฏ คือ ตัณหา อันตกอยู่ในสันดานของตนทั้งหมดได้ เปรียบเหมือนบุรุษยืนบนแผ่นดิน ยกศัสตราที่ลับดีแล้ว ถางกอไผ่ใหญ่ฉะนั้น”
    “ก็ในขณะแห่งมรรค ภิกษุนี้ชื่อว่า กำลังถางชัฏนั้นอยู่ ในขณะแห่งผลชื่อว่าถางชัฏเสร็จแล้ว ย่อมเป็นอัครทักขิไณยของ (มนุษย์) โลก กับทั้งเทวโลก ทั้งหลาย”

    การเจริญไตรสิกขาในที่นี้ ทรงหมายเอา ศีล สมาธิ และวิปัสสนาปัญญา ที่กำลังเกิดพร้อมในอารมณ์อันเดียวกันเท่านั้น มิใช่เจริญไปคนละขณะ เพราะ ศีล - สมาธิ - ปัญญา ที่เกิดในอารมณ์ต่างกัน จะไม่สามารถเป็นบาทฐานแก่กันได้เลย ศีลมีลักษณะเหมือนกับพื้นที่ สมาธิเหมือนกับผู้คอยประคองให้มีความมั่นคง ส่วนปัญญามีหน้าที่พิสูจน์ดูความจริง
    ถ้าจะมีแต่เฉพาะศีล โดยที่ไม่ต้องมีสมาธิและปัญญาร่วมด้วยก็อาจมีได้ เช่น พระภิกษุที่บวชกันอยู่ทุกวันนี้ ถ้าท่านไม่ได้ทำสมาธิหรือวิปัสสนาแต่อย่างใด ก็จะมีเฉพาะศีลเท่านั้น ไม่มีสติกับปัญญาเกิดร่วมด้วย บางครั้งมีศีลและสมาธิ แต่ไม่มีปัญญาในขณะนั้นก็อาจมีได้เช่นกัน เช่น ภิกษุที่กำลังทำสมาธิเพ่งกสินต่าง ๆ เป็นต้น ขณะนั้นมีศีล มีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ แต่ไม่มีปัญญาร่วม เพราะไม่ได้มีการพิจารณาความเปลี่ยนแปลงของรูปนาม เป็นเพียงการข่มจิตให้นิ่งด้วยอารมณ์ภายนอกอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น

    แต่ถ้าผู้ใดกำลังเจริญวิปัสสนาปัญญาอย่างถูกต้องแล้ว จะต้องมีศีลและสมาธิอยู่ในที่นั้นด้วยเสมอ การทำลายกิเลสในส่วนลึกให้หมดไป จำเป็นต้องมีพร้อมทั้ง ศีล-สมาธิ-ปัญญา โดยศีลมีหน้าที่ทำลายกิเลสอย่างหยาบที่แสดงออกทางกาย วาจา เป็นต้น สมาธิมีหน้าที่ทำลายกิเลสอย่างกลาง ได้แก่ ความคิดฟุ้งซ่านต่าง ๆ ส่วนปัญญามีหน้าที่ทำลายกิเลสอย่างละเอียด คือ อนุสัยต่าง ๆ แม้ในอนุสัย 2 อย่าง (อารัมมณานุสัย และสันตานานุสัย) นั้น วิปัสสนาปัญญาจะละได้ก็เพียงอารัมมณานุสัยเท่านั้น อำนาจวิปัสสนาปัญญาสามารถละความรัก ความชัง ที่เกิดจากการเห็นได้ยิน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่ดีและไม่ดีได้ ส่วนสันตานานุสัยนั้น เป็นอนุสัยที่ลึกและมั่นคงกว่า ต้องอาศัยมรรคจิตที่เป็นอรหัตตมรรคเท่านั้น จึงจะละสันตานานุสัยได้เด็ดขาด
    (พระมหาแสวง โชติปาโล 2536 : 79)
    ศีล สมาธิ และปัญญา แม้จะเกิดในขณะจิตเดียวหรือรับอารมณ์เดียวกัน แต่มีหน้าที่ต่างกัน เป็นคนละส่วนกัน ทั้งนี้ก็เพื่ออุดหนุนกัน เจริญเป็นทางแห่งวิสุทธิเพื่อการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนา อานุภาพแห่งความบริสุทธิ์ของศีล สมาธิ ปัญญา จะมีขีดจำกัดเฉพาะตัว ในวิสุทธิมรรคกล่าวถึงองค์คุณของศีล สมาธิ ปัญญา และขีดจำกัดในการอุดหนุนกันแยกเป็น 9 ประการ ได้แก่
    1. สิกขา 3
    2. ศาสนามีความงาม 3
    3. อุปนิสัยแห่งคุณวิเศษ มีความเป็นผู้ได้วิชชา 3 เป็นต้น
    4. การเว้นที่สุดโต่ง 2 อย่าง และการเสพข้อปฏิบัติสายกลาง
    5. อุบายที่เป็นเครื่องพ้นจากคติมีอบาย
    6. การละกิเลสด้วยอาการ 3
    7. ธรรมอันเป็นปฏิบัติต่อกิเลส มีวิติกกมะ
    8. การชำระสังกิเลส 3
    9. เหตุแห่งความเป็นพระอริยบุคคล มีพระโสดาบัน

    ตารางต่อไปนี้เป็นการเปรียบเทียบความแตกต่างของศีล สมาธิ ปัญญา ตามลักษณะ 9 ประการข้างต้น ทั้งนี้ยังมีคุณที่เป็นหมวด 3 อื่น ๆ อีกมาก เช่น วิเวก 3 กุศลมูล 3 เป็นต้น ที่สามารถแจกตามศีล สมาธิ ปัญญา เช่นกัน แต่จะไม่กล่าวถึงในที่นี้
    ตารางที่ 7 การจำแนกองค์คุณ 9 ประการ โดยระดับแห่งศีล สมาธิ ปัญญา
    <CENTER><TABLE id=AutoNumber1 style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#008000 height=717 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="70%" border=1><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width="25%" bgColor=#f4e2f5 height=48> องค์คุณ</TD><TD vAlign=top align=middle width="24%" bgColor=#f4e2f5 height=48>
    ศีล
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="26%" bgColor=#f4e2f5 height=48>
    สมาธิ
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="26%" bgColor=#f4e2f5 height=48>
    ปัญญา
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width="25%" height=46>
    1. สิกขา 3
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="24%" bgColor=#e9e9e9 height=46>
    อธิศีลสิกขา
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="26%" bgColor=#e4faec height=46>
    อธิจิตสิกขา
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="26%" bgColor=#faece2 height=46>
    อธิปัญญาสิกขา
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width="25%" height=98>
    2. ศาสนามีความงาม 3
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="24%" bgColor=#e9e9e9 height=98>
    ความงาม
    ในเบื้องต้น
    (การไม่ทำบาปทั้งสิ้น)
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="26%" bgColor=#e4faec height=98>
    ความงาม
    ในท่ามกลาง
    (ยังกุศลให้ถึงพร้อม)
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="26%" bgColor=#faece2 height=98>
    ความงาม
    ในที่สุด
    (การทำจิตให้ผ่องแผ้ว)
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width="25%" height=59>
    3. อุปนิสัยแห่ง
    คุณวิเศษ
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="24%" bgColor=#e9e9e9 height=59>
    เป็นผู้ได้
    วิชชา 3
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="26%" bgColor=#e4faec height=59>
    เป็นผู้ได้
    อภิญญา 6
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="26%" bgColor=#faece2 height=59>
    เป็นผู้แตกฉาน
    ในปฏิสัมภิทา 4
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width="25%" height=79>
    4. การเว้นความสุดโต่ง
    2 อย่าง
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="24%" bgColor=#e9e9e9 height=79>
    เว้นจาก
    กามสุขัลลิกานุโยค
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="26%" bgColor=#e4faec height=79>
    เว้นจาก
    อัตตกิลมถานุโยค
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="26%" bgColor=#faece2 height=79>
    มีการเสพข้อปฏิบัติสายกลาง คือ
    มัชฌิมาปฏิปทา
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width="25%" height=59>
    5. อุบายเป็นเครื่องพ้น
    จากคติ
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="24%" bgColor=#e9e9e9 height=59>
    อุบายก้าวพ้น
    จากอบาย
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="26%" bgColor=#e4faec height=59>
    อุบายก้าวพ้น
    จากกามธาตุ
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="26%" bgColor=#faece2 height=59>
    อุบายก้าวพ้น
    จากภพทั้งปวง
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width="25%" height=98>
    6. การละกิเลส
    ด้วยอาการ 3
    (ชนิดของการละ)
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="24%" bgColor=#e9e9e9 height=98>
    ละโดย
    ตทังคปหาน
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="26%" bgColor=#e4faec height=98>
    ละโดย
    วิกขัมตนปหาน
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="26%" bgColor=#faece2 height=98>
    ละโดย
    สมุจเฉทปหาน
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width="25%" height=98>
    7. ธรรมอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกิเลส
    (ชนิดของกิเลส)
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="24%" bgColor=#e9e9e9 height=98>
    ละกิเลสชนิดวิติกกมะ
    (ที่จะออกทางกาย วาจา)
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="26%" bgColor=#e4faec height=98>
    ละกิเลสชนิด
    ปริยุฏฐาน
    (นิวรณ์ที่กลุ้มรุมจิต)
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="26%" bgColor=#faece2 height=98>
    ละกิเลสชนิด
    อนุสัย
    (ที่อยู่ในสันดาน)
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width="25%" height=59>
    8. การชำระสังกิเลส 3
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="24%" bgColor=#e9e9e9 height=59>
    ชำระสังกิเลส
    ที่เป็นทุจริต
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="26%" bgColor=#e4faec height=59>
    ชำระสังกิเลส
    ที่เป็นตัณหา
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="26%" bgColor=#faece2 height=59>
    ชำระสังกิเลส
    ที่เป็นทิฏฐิ
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width="25%" height=64>
    9. เหตุแห่งความเป็นพระอริยบุคคล
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="24%" bgColor=#e9e9e9 height=64>
    พระโสดาบันบุคคล
    พระสกทาคามีบุคคล
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="26%" bgColor=#e4faec height=64>
    พระอนาคามีบุคคล
    </TD><TD vAlign=top align=middle width="26%" bgColor=#faece2 height=64>
    พระอรหันต์บุคคล
    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>​
    ศีล สมาธิ ปัญญา : แนวคิดและความสัมพันธ์ :: ปัญญานิเทศ :: เปรียบเทียบคัมภีร์พระไตรปิฎกกับคัมภีร์วิสุทธิมรรค
     
  7. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    สสส.ได้แนะแนวการเสริมเกราะป้องกันให้แก่ร่างกาย ให้ปลอดภัยจากโรคกระดูกพรุนด้วยการรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ เพราะร่างกายต้องการแร่ธาตุที่สำคัญเพื่อมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หรือเติมเต็มสิ่งที่มีอยู่ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ร่างกายจึงควรได้รับสารอาหารต่างๆ โดยเฉพาะ “แคลเซียม ” ในวัยผู้ใหญ่ที่อายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ควรรับประทานแคลเซียมให้ได้ 1,200 – 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะแคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่มีมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในร่างกาย เพราะร้อยละ 99 ของแคลเซียมจะอยู่ในกระดูก ที่เหลือจะกระจายอยู่ตามของเหลวต่างๆ ในร่างกาย หน้าที่ของแคลเซียมคือ ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง กล้ามเนื้อและประสาททำงานเป็นปกติ กระตุ้นการแข็งตัวของเลือดหลังการบาดเจ็บ และควบคุมการทำงานของเอ็นไซม์และการเต้นของหัวใจ แหล่งอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม คือ นม โดยเฉพาะนมเสริมแคลเซียมซึ่งควรจะดื่มเป็นประจำทุกวัน โยเกิร์ต ถั่วเหลือง ถั่วเขียว งา ปลาตัวเล็กที่รับประทานทั้งกระดูก และผักใบเขียวที่ปลอดสารเคมี เป็นต้น

    และที่ขาดไม่ได้ ก็คือการออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ทำให้กระดูกแข็งแรงไม่แตกหักได้ง่าย


    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    น้องหมอเคยบอกผมว่า หากเรารับประทานอาหารครบหมู่ และรับประทานปลาตัวเล็กๆ อย่างสม่ำเสมอ เราจะได้แร่ธาตุแคลเซียมที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    สสส.พูดถึงแคลเซียมเพียงในด้านของอาหารประจำวันเท่านั้น หากแต่บุคคลจำนวนหนึ่งหันไปพึ่งแคลเซียมในรูปของอาหารเสริม คนส่วนใหญ่ก็จะเลือกแคลเซียมโดยดูว่า มีแคลเซียมอยู่มากขนาดไหน เปรียบเทียบกับราคา แต่แท้ที่จริงแล้ว ปริมาณแคลเซียมที่มากนั้นร่างกายก็ไม่สามารถจะดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมด ทั้งนี้เนื่องจากกระบวนการดูดซึมนี้จะต้องมีอัตราส่วนของแคลเซียม:แมกนีเซียม เท่ากับ 2:1 จึงจะเป็นอัตราส่วนที่ดูดซึมแคลเซียมได้ดี ไม่เช่นนั้น หากแคลเซียมมากเกินกว่าอัตราส่วนนี้ก็เท่ากับว่า เราซื้อแคลเซียมมาในราคาที่แพงเกินจริง เพราะได้ถ่ายแคลเซียมทิ้งไปกับปัสสาวะลงไปในโถปัสสาวะอยู่ดี หรือแมกนีเซียมมากกว่าแคลเซียมก็จะเกิดผลในทางตรงกันข้ามอีกเช่นกัน คือถ่ายแมกนีเซียมทิ้งไปกับปัสสาวะ...


    ดังนั้นหลักการพิจารณาแคลเซียมที่ดี จึงต้องดูองค์ประกอบในเรื่องของขนาดรับประทานให้เหมาะกับร่างกายของเราในแต่ละวัน เช่นปกติรับประทานนมอยู่แล้ว หากวันนี้เพิ่มแคลเซียมในรูปของอาหารเสริม จึงควรลดปริมาณการรับประทานแคลเซียมชนิดอาหารเสริมลง ทั้งนี้ขึ้นกับความเหมาะสมของแคลเซียมโดยรวมที่ควรได้ในแต่ละวัน
     
  8. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    พิจารณาสมุฎฐานของโรคนี้ ยาปัจจุบันไม่สามารถรักษาได้ มีแต่ยาแผนโบราณขนานนี้จึงจะรักษาได้ ยาแผนปัจจุบันเป็นการรักษาอาการแบบเฉียบพลัน แต่ยาแผนโบราณมีตัวยากระทุ้งพิษไข้(คนทั่วไปมักจะเข้าใจว่า ยิ่งใช้ ยิ่งแสดงผลออกมามาก เช่นผื่นขึ้นมากสงสัยจะแพ้ แต่แท้ที่จริงไม่ใช่เลย เป็นการแก้ที่ต้นเหตุ) เมื่อกระทุ้งพิษไข้ให้ออกมาแล้ว ก็มีตัวยารักษา และตามด้วยตัวยาบำรุง..

    คุณวิเศษของยา ปโตฬาธิคุณ
    เขียนโดย หมอมา เมื่อ 22 มีนาคม 2008 - 02:40pm<O:p</O:p
    · ผิวดำแห้ง <O:p
    · โลหิตร้อน <O:p
    เมื่อสามปีที่แล้ว ผู้เขียนได้มีโอกาสคุยกับหมอพื้นท่านหนึ่งบ้านที่ระยอง ท่านได้เล่าให้ฟังว่าเคยรักษาผู้หญิงคนหนึ่ง มาด้วยอาการตัวดำแห้ง คุณหมอได้ใช้ยาปโตฬาธิคุณตำรับเดียว อาการตัวดำติดผิวหนัง (มิใช่ผิวดำ) ก็ค่อยๆจาง มีน้ำมีนวลดังเดิม หลังจากนั้นผู้เขียนได้มีโอกาสใช้ยาตำรับนี้กับคนไข้ 3 ราย ได้ผลดีเช่นกัน
    <O:p
    ก่อนที่จะพูดถึงสรรพคุณยาตำรับนี้ ขออธิบายลักษณะอาการผิวดำแห้งว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
    <O:p
    ปรากฏการณ์ที่เห็นผิวดำแห้งนั้นเป็นภาวะของโลหิตดำร้อนติดผิวหนัง หรือสันนิบาตโลหิตเนื่องจากพิษไข้เรื้อรัง ไข้กำเดา หรือการรับประทานยาปฏิชีวนะบางชนิด ปอดไม่สามารถทำการฟอกโลหิตดำได้จะด้วยเหตุใดก็ตาม เม็ดโลหิตดำซึ่งแทรกซึมตามเนื้อหนังจึงปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้น ลักษณะผิวดำนี้เป็นปลายทางของโรคเกี่ยวกับปอด และ ตับ
    <O:p
    ยาตำรับนี้มีสรรพคุณลดความร้อนของโลหิต ขณะเดียวกันก็ช่วยขับเลือดลมให้เดินได้ จึงสามารถเห็นผลของยาได้เพียงใช้ยาชุดเดียวนั้นเพื่อแก้ปัญหาเลือดดำติดผิวหนัง รายละเอียดอื่นดูได้จาก พระคัมภีร์ธาตุวิภังค์ ว่าด้วยเรื่อง โลหิตพิการหรือแตก <O:p

    ตัวยา 31 ชนิด ประกอบด้วย กลุ่มยารักษาไข้รสขม กลุ่มยาขับลมรสร้อนและสุขุม กลุ่มยาถ่าย และกลุ่มยาปรับธาตุ
    <O:p
    บอระเพ็ด ข่าตาแดง กระชาย เมล็ดผักกาด จันทน์ทั้งสอง มะแว้งต้น จันทนา หัวแห้วหมู ไพล รากขัดมอน สะค้าน รากช้าพลู จุกโรหินี สนเทศ กรุงเขมา เปลือกมูกหลวง รากตองแตก แฝกหอม กฤษณา กระลำพัก ชะลูด ขอนดอก สมอทั้งสาม อบเชย ดอกพิกุล ดอกบุนนาค สารภี เกสรบัวหลวง
    ยาทั้งหมดนี้น้ำหนักอย่างละเท่ากัน ต้มสามเอาหนึ่ง แทรกดีเกลือตามธาตุ <O:p
    http://thaiherbclinic.com/node/119<O:p
     
  9. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    อ่าเมื่อครู่ก็ได้คุยกับท่านเลขาเหมือนกันครับ อันไม้ครูนี่ในความเห็นผมคือของพิเศษที่มีทั้งคุณและโทษขึ้นกับผู้ใช้ด้วย นานมาแล้วผมไม่เคยเล่าให้ใครฟัง มีท่านหนึ่งติดต่อผ่านผมจะขอให้ผม ขอคุณหนุ่มบูชาไม้ครู ผมก็แจ้งว่าเท่าที่ทราบคุณหนุ่มไม่ให้หลอกครับ เค้าก้โกรธถามผมว่าแล้วคุณหนุ่มจะหวงไปทำไม ผมก็ตอบไปว่ามันเป็นดาบ2คมนะครับ ท่านที่ได้ไปใช้เป็นหรือเปล่า เรื่องหนึ่ง ใช้ในทางที่เหมาะสมอีกเรื่องครับ ผมจึงแจ้งว่าใครได้รับไม้ครูนี่ต้องพิจารณาดีๆครับ ผลของการใช้ย่อมส่งผ่านมายังผู้มอบให้ด้วยไม่ใช่เพียงผู้ใช้เองเท่านั้นครับ ส่วนตัวผมเองที่ได้รับจากการร่วมทำบุญพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ด้ามแรกทันทีที่ได้ผมก็บรรจุพระเจดีย์ ครับ หุ หุ
     
  10. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เห็นท่านิวมาโพสแล้วถอนออกอ่านไม่ทันแต่เดาว่าน่าจะเกี่ยวกับราคาทองที่ นิวไฮนะครับ อ่า...มันมีสัญญานซื้อมากเกินไปเป็นวันที่5แล้วครับ คงมีการปรับลงแรงๆในวันสองวันนี้ครับ หุ หุ
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อสักพักนี้ ผมโพสเรื่องที่เกี่ยวข้องไปหลายเรื่อง

    แต่ส่งไม่ผ่าน เครื่องผมมีปัญหา ก็เลยขอไม่โพสแล้วนะครับ

    ท่านใดอยากทราบ โทร.คุยกับผมเอง และบอกผมด้วยว่า เป็นเรื่องที่ผมอ้างอิงมานี้ครับ

    ขอบคุณครับ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ลูกหาย!!! ภัยร้าย ที่พ่อแม่อาจคาดไม่ถึง
    http://www.manager.co.th/Family/View...=9520000141605
    [​IMG]โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
    23 พฤศจิกายน 2552 08:26 น.[​IMG]

    <TABLE class=ncode_imageresizer_warning id=ncode_imageresizer_warning_1 width=237><TBODY><TR><TD class=td1 width=20></TD><TD class=td2 unselectable="on"></TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG] [​IMG][​IMG]

    "อย่าออกไปนะลูก เดี๋ยวถูกจับไปเรียกค่าไถ่นะ"
    "อย่าเที่ยววิ่งเล่นซนไปนะลูก จับมือพ่อไว้ เดี๋ยวหลงแล้วจะหาไม่เจอ..."

    แน่นอนว่าหลายคนคงได้ยินประโยคเหล่านี้ตอนเด็กๆจากพ่อแม่ หรือไม่ก็มักพูดกับลูกอยู่บ่อยครั้งเมื่อลูกวิ่งซนในสถานที่ต่างๆ ซึ่งเหตุกาณ์การกลักพาตัวเด็กนั้น อาจเป็นเรื่องที่พ่อแม่หลายคนต่างพากันระวัง และไม่มีใครคาดคิดว่าโอกาสเสี่ยงแม้น้อยนิดก็อาจเกิดขึ้นกับครอบครัวตัวเองก็เป็นได้ ทั้งนี้ แม้ที่ผ่านมาเหตุกาณ์เลวร้ายแบบนี้จะไม่ได้เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์รายวันเหมือนข่าวอื่น แต่ระดับความรุนแรงและอันตรายของมันก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย

    อย่างไรก็ดี อัญณิกา กฤษสมัย จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) อธิบายว่า กรณีเด็กถูกล่อลวงหรือลักพาตัวไปขาย นับเป็นภัยร้ายซึ่งเริ่มคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวเราทุกที จากการใช้วิธีการในรูปแบบเดิมๆ คนร้ายเริ่มหาวิธีการกลยุทธ์ ล่อหลอกในรูปแบบใหม่ ที่พ่อแม่ ผู้ปกครองอาจคาดไม่ถึง ซึ่งเรื่องนี้ พ.ต.อ.(หญิง) พัชรา สินลอยมา หัวหน้าคณะวิจัยโครงการจัดหาความรู้ด้านการสืบสวนติดตามคนหายในประเทศไทย เผยว่า จากการเปรียบเทียบสถิติการรับแจ้งเหตุคนหายตั้งแต่ปี 2546-2552 พบว่ามีจำนวน 1,527 คน แยกเป็นชาย 523 คน หญิง 1,004 คน โดยในจำนวนดังกล่าวมีการแจ้งว่าพบตัวแล้ว 954 คน ยังคงอยู่ในระหว่างการค้นหาอีก 573 คน

    สิ่งที่น่าตกใจคือ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการถูกล่อลวงทางเพศ ซึ่งมีทั้งเพศชายและเพศหญิงโดยจะอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 8-17 ปี ส่วนผู้สูญหายที่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 8-11 ปี นั้นมีจำนวนเด็กผู้ชายสูงกว่าเด็กผู้หญิง เนื่องจากผู้ปกครอง เชื่อว่าเด็กผู้ชายไม่ค่อยมีอันตรายเท่าเด็กผู้หญิง ขณะที่กลุ่มมิจฉาชีพซึ่งก่อเหตุหลอกลวงและลักพาตัว ไม่จำกัดเพศของเด็กในวัยดังกล่าว แต่กลุ่มเด็กผู้หญิงก็ยังคงเป็นที่ต้องการของกลุ่มมิจฉาชีพ ทั้งตลาดค้าบริการทางเพศ ตลาดค้าแรงงาน รวมไปถึงการค้ามนุษย์ข้ามชาติ ซึ่งเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข เจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงา เล่าว่า แนวโน้มของผู้สูญหายซึ่งอยู่ในช่วงอายุ 11-17 ปีนั้น มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมชอบเล่นเกม อินเทอร์เน็ต การแชตออนไลน์หาคู่ และเด็กที่มาจากครอบครัวที่มีปัญหาการ ขาดความดูแลเอาใจใส่ ผลคือเด็กมีพฤติกรรมเก็บตัว มีโลกที่แคบ ขาดปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

    ยิ่งไปกว่านั้น อีกปัญหาที่กำลังมาแรงคือ เด็กเต็มใจหนีออกจากบ้านเอง โดย เจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงา เล่าว่า จากการติดตามทำให้พบว่าเด็กมีแนวโน้มสมัครใจหนีออกจากบ้านมากขึ้น โดยใช้ช่องทางการชักจูงทางอินเตอร์เน็ตที่เด็กเข้าไปแชตออนไลน์หากัน คือบางเว็บไซต์มีการตั้งกระทู้ "จะหนีออกจากบ้านกันไหม" มีการแชร์ประสบการณ์การหนีออกจากบ้าน และมีเด็กเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมากก่อนขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ก็ต้องป้องกันด้วยตัวเอง มีวิธีล้อมคอกก่อนวัวหาย เอ้ย! ลูกหาย มาแนะนำ โดย สรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก เล่าว่า การที่เด็กถูกลักพาตัว มักจะเกิดจากปัจจัยหลักประการเดียว คือจากการปล่อยปละละเลยทอดทิ้งไม่ดูแลเอาใจใส่ตามที่ควรจะเป็น และไม่ได้จัดพื้นที่ที่ปลอดภัยให้เด็ก ปัจจัยเหล่านี้ทำให้การลักพาตัวเด็กกระทำได้สะดวกง่ายดาย ส่วน กฎ 5 ข้อ ป้องกันเด็กพลัดหลงมีดังนี้


    [​IMG] [​IMG]

    1. ควรจัดพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับลูกแต่ละวัย ถ้าเด็กออกนอกโซนที่กำหนดไว้ ต้องตามกลับมา

    2.ถ้าไม่จำเป็น อย่าพาเด็กไปในที่ชุมชนหนาแน่น เช่น ศูนย์การค้า โรงภาพยนตร์ หรืออาจเตรียมตัวด้วยการเขียนชื่อที่อยู่หมายเลขโทรศัพท์ไว้กับตัวเด็ก

    3. ต้องทำความเข้าใจกับเด็กว่า ถ้าหลงทางอย่าเคลื่อนที่ไปที่ไหน

    4.ถ้าเด็กอายุไม่เกิน 6 ขวบ ต้องจูงมือไว้เพื่อไม่ให้หลุดหลงกัน

    5. อย่าปล่อยเด็กอยู่ตามลำพังเป็นอันขาด

    ข้อแนะนำต่างๆ เบื้องต้นเป็นสิ่งพ่อแม่ ผู้ปกครองสามารถกระทำได้ง่ายๆ เพียงเอาใจใส่เพิ่มขึ้นอีกนิดเท่านั้น แต่เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งนิ่งนอนใจ ขอเตือนให้ระวังภัย คนใกล้ตัวลักพาเด็ก ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นภัยร้ายที่ใครก็คาดไม่ถึง ซึ่งเรื่องนี้ สรรพสิทธิ์ บอกว่า สาเหตุเกิดมาจาก ประการแรก ผู้ที่มีความผิดปกติทางจิตใจ บางคนไม่สามารถมีลูกได้ ประการที่สอง พวกที่ต้องการใช้เด็กต่อรองกับผู้ปกครอง บางรายถึงขั้นลักพาเด็กไปฆาตกรรมเลยก็มี ประการที่สาม พวกที่ต้องการแสวงหาประโยชน์จากเด็ก อาจจะนำเด็กไปขายต่อ หรือใช้เด็กให้เด็กช่วยทำงานหรือไปกระทำเรื่องผิด หรือกระทำการล่วงเกินทางเพศต่อเด็กอย่างต่อเนื่องยาวนาน

    อย่างไรก็ตาม หากระวังและป้องกันอย่างดีแล้วแต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็ยังเกิดขึ้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผ.อ.ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก ก็มีคำแนะนำมาบอกอีกด้วยว่า ควรทำอย่างไรเมื่อเด็กถูกลักพาตัว นั้นคือจุดแรกที่สำคัญและต้องทำทันทีคือ ต้องรีบตรวจสอบให้เกิดความกระจ่างว่าจริงๆแล้วเด็กหายตัวไปหรือไม่ ถ้าตรวจสอบพบแล้วว่าเด็กหายไป ต้องไปติดตามข้อเท็จจริงว่าใครเป็นผู้พบตัวเด็กเป็นคนสุดท้ายและรวบรวมรายละเอียดเกี่ยวกับจุดที่พบเด็กครั้งสุดท้าย รายละเอียดเกี่ยวกับเด็กและบุคคลที่คาดว่าน่าจะพาตัวเด็กไปมากที่สุด ยื่นให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ข้อสำคัญคือภาพถ่าย เสื้อผ้า ลักษณะของใช้ รวมทั้งลักษณะเฉพาะของเด็ก ไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตา แต่อาจจะมีจุดบางจุด เช่นเป็นเด็กที่สวมเครื่องแต่งตัวแบบไหน สวมรองเท้าแบบไหน ทรงผมเป็นอย่างไร ถ้ามีภาพถ่ายด้วยจะดีมาก

    [​IMG] [​IMG][​IMG]

    หากมีภาพเด็กแล้ว ก็ต้องเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนทันที โดยเฉพาะโทรทัศน์ ซึ่งบางช่องยินดีให้ความช่วยเหลือโดยไม่คิดเงิน สถานีวิทยุจะมีส่วนช่วยเหลือได้มากโดยเฉพาะคลื่นจราจร เช่น ส.ว.พ. (91 MHz) คลื่นร่วมด้วยช่วยกัน 96 MHz จ.ส.ร้อย (100 MHz) หรือชมรมวิทยุอาสาสมัครต่างๆ ของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมกตัญญู โดยเฉพาะชมรมวิทยุแท็กซี่ จะมีโอกาสรับส่งผู้โดยสารที่เป็นคนร้าย ต้องเผยแพร่โดยเร็วที่สุด หรืออาจขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานเฉพาะซึ่งมีอยู่หลายหน่วยงาน เช่นกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ มูลนิธิกระจกเงา มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก เป็นต้น

    ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าทุกครั้งของการตามตัวเด็กกลับมาสู่อ้อมอกของพ่อแม่ได้นั้น มาจากการให้เบาะแสจากประชาชนในชุมชนที่เด็กอาศัยอยู่ หรืออยู่ในสถานที่วิ่งเล่น ก่อนจะหายตัวไป หากเรามาร่วมกันสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชนให้เข้มแข็ง ผู้ใหญ่ในชุมชนเมื่อเห็นเด็กกำลังก้าวเดินไปในทางที่ผิด หรือมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมสามารถว่ากล่าวตักเตือนได้ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือร่วมเฝ้าระวังภัยจากการลักพาตัวเด็กหรือล่อลวงเด็กไปเพื่อกระทำการทารุณกรรม หากทำสำเร็จในอนาคตอาจจะไม่ต้องมีครอบครัวใดต้องเสียน้ำตาอีกก็เป็นได้

    ที่มา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประหยัดเงินให้ครอบครัวได้ ถ้าลูกห่างไกล "วัตถุนิยม"
    http://www.manager.co.th/Family/View...=9520000141267
    [​IMG]โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
    23 พฤศจิกายน 2552 19:00 น.[​IMG]

    [​IMG] [​IMG]

    หากที่ผ่านมา คุณเคยเลี้ยงลูกด้วยการปล่อยให้พวกเขาดูทีวี ปล่อยพวกเขาเข้าถึงเทคโนโลยี พาพวกเขาไปทานข้าวนอกบ้านบ่อย ๆ พาไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า หรือดิสเคาน์สโตร์ แล้วสุดท้าย พ่อแม่ก็หนีไม่พ้น ต้องพ่ายแพ้ต่อเสียงเรียกร้องขอของเล่น อาหาร เกม จากเด็ก ๆ ตามที่พวกเขาเคยได้ยินได้เห็นจากสื่อต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน

    คงต้องบอกว่า นั่นเป็นการเลี้ยงดูที่ทำให้โลกของเด็ก ๆ มีความคุ้นเคยกับสิ่งที่เรียกว่า "บริโภคนิยม" ได้มากและเร็วยิ่งขึ้น และยิ่งทำให้สื่อต่าง ๆ ของนักการตลาดเจาะเข้าหาตัวเด็กได้โดยตรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่เป็นผลดีกับใคร นอกจากลัทธิ "ทุนนิยม" นั่นเอง

    ในยุคที่เศรษฐกิจตกสะเก็ด หนี้ครอบครัวพุ่งทะยาน รายรับไม่พอต่อรายจ่าย การไม่สอนลูก ๆ ให้เข้าใจในเรื่องของวัตถุนิยมเป็นส่ิงอันตรายสำหรับครอบครัวไม่ใช่น้อย ซึ่งเว็บไซต์ parenting.org ให้คำแนะนำแก่พ่อแม่ในการช่วยปรับพฤติกรรมของลูก ๆ ให้รอดพ้นจากการตกเป็นเหยื่อของลัทธิทุนนิยมเอาไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้

    1. ลดเวลาการรับชมทีวี โดยระยะเวลาที่เหมาะสมในการรับชมทีวีของเด็กวัย 1 - 3 ขวบคือ 1 ชั่วโมงต่อวัน

    2. ดูทีวีพร้อมกับลูก แม้จะเป็นรายการสำหรับเด็ก ๆ ก็ตาม เพราะในบางกรณีรายการทีวีอาจไม่มีพิษภัย แต่โฆษณาที่มากับรายการดังกล่าวอาจส่งผลโดยตรงต่อจิตใจเด็ก ๆ ได้ การที่พ่อแม่นั่งดูอยู่กับลูก จึงเป็นการช่วยกลั่นกรองสิ่งต่าง ๆ และให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับวัยของลูกนั่นเอง อีกทั้งยังช่วยให้พ่อแม่เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมของลูกได้ดียิ่งขึ้น

    3. ฝึกลูกให้คุ้นเคยกับการปฏิเสธ เพราะไม่จำเป็นที่เด็กจะต้องได้ "สิ่งของ" ที่พวกเขาต้องการในทันทีที่เรียกร้อง แต่เขาจะได้มันก็ต่อเมื่อถึงโอกาสที่เหมาะสมเท่านั้น

    4. ให้รางวัลเด็กด้วย "เวลาและความสนใจ" ไม่่ใช่สิ่งของ เมื่อเด็ก ๆ ทำความดี การกอด หอมแก้ม หรือการให้เวลาทำกิจกรรมร่วมกันกับลูก ๆ เป็นรางวัลที่ดีสำหรับเด็ก และสามารถสร้างเสริมพัฒนาการที่ดีให้เด็กได้ด้วย ซึ่งในจุดนี้ยังเป็นการลดความสำคัญของ "สิ่งของ" ในเด็กได้เป็นอย่างดี

    5. ชวนลูกเล่น การชวนลูกทำกิจกรรมต่าง ๆ ช่วยสร้างเสริมพฤติกรรมที่สร้างสรรค์ที่ทีวีมอบให้ไม่ได้

    6. ฝึกให้ลูกเสียสละด้วยการพาลูกไปทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม อาจเป็นการลงแรงร่วมกันของคนในชุมชนทำบางสิ่งบางอย่างก็ได้ เพราะจะทำให้เด็กเข้าใจถึงคุณค่าของความเป็นมนุษย์ในแบบที่ระบบทุนนิยมมอบให้ไม่ได้ค่ะ
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  14. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ผมว่าเครื่อง บ่มีปัญหาครับ สงสัยท่านไม่ต้องการให้เผยแพร่มากครับ หุ หุ
     
  15. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    เซิร์ฟเวอร์ไม่เสถียร ครับ หุ หุ
     
  16. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกันครับ
     
  17. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    วันศุกร์นี้น่าจะเป็นจุดลงต่ำ และจากนั้นจะเป็นขาขึ้นอีกครั้ง...
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 4 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีตอนเช้าครับ

    วันนี้อีกสักพัก ผมต้องไปข้างนอก(อีกแล้วครับท่าน)

    บ่ายๆค่อยคุยกันใหม่ครับ

    [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2009
  19. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 11 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 8 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>แหน่ง, psombat, sithiphong+ </TD></TR></TBODY></TABLE>
    สวัสดีตอนเช้าครับท่านเลขาฯ และท่านสมบัติ
    วันนี้งานยุ่งไหมครับ

    ส่วนผมกำลังเข้าประชุมครับ กว่าจะเสร็จน่าจะบ่ายๆครับ
     
  20. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ไม้ครูวังหน้า

    โมทนาสาธุครับท่านรองฯทั้งสอง กับท่านเลขาฯ ในองค์ความรู้เรื่องของไม้ครู

    ท่านเลขาฯก็เคยบอกผมเหมือนกันว่า ถ้าให้เลือกระหว่างบาตรหลวงปู่ปวเรศ(ซึ่งทราบดีว่ามีน้อยกว่า)กับไม้ครูของวังหน้า(ซึ่งมีมากกว่า) ท่านเลือกเก็บไม้ครู เพราะอาราธนาสร้างคุณประโยชน์ได้มากกว่าและก็ซาบซึ้งในน้ำจิตของคุณ nongnooo ในการทำบุญด้วยไม้ครูไม้แรกในชีวิต เพื่อบรรจุพระเจดีย์ฯเป็นอย่างดี

    นับแต่นั้นมาผมเอง(หรือแม้กระทั่งชาวคณะของพวกเราหลายๆท่าน) ก็ปรารถนาในใจอยู่ลึกๆว่า อยากได้ไม้ครูสัก 1 ไม้ เพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างบุญ-บารมีกับคุณประโยชน์แก่คนอื่นๆสืบต่อไป แต่ทว่า ณ ตอนนี้ก็ยังไม่คิดจะขอจากท่านเลขาฯเลย เพราะคิดว่าอันตัวเรายังไม่ถึงพร้อมด้วยบุญ-บารมี กับเพราะตระหนักถึงคำว่าดาบสองคมนั่นเอง ของอะไรที่สร้างคุณประโยชน์ได้อย่างมหาศาลก็ต้องแฝงไปด้วยโทษอย่างมหาศาลเช่นกัน ทุกอย่างเป็นเงื่อนไขในตัวผู้จะใช้ล้วนๆ ต้องคิดเสมอว่า ถึงเวลาหรือยัง? เพื่ออะไร? ดีพอมั้ย? ถ้าดีแล้ว จะดีได้เสมอต้นเสมอปลายหรือยิ่งกว่านั้นหรือไม่? ครับผม
     

แชร์หน้านี้

Loading...