พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ผมคิดว่า คนทั่วไปพูดกันว่า"สร้าง"คือ ท่านมอบให้คนอื่นสร้าง แล้วท่านเสก น้อยคนที่จะไปนั่งจับคำพูดทีละคำแล้วมาตีความ ยกตัวอย่างเช่น หลวงพ่อคูณสร้างพระรุ่นนั้นรุ่นนี้ ทั้งที่ท่านก็ไม่ได้สร้าง ศิษย์สร้าง แล้วนำมาให้ท่านเสก แต่คนเขาก็เรียกว่าท่านสร้าง...
     
  2. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ผมว่าผมอยู่นะ เครื่องคุณหนุ่มมีปัญหาแน่ๆ แต่ที่ล่องหนที่เหลืออีกคนนั่น ใช่คนหรือเปล่าจ๊ะ.......อิ..อิ..อิ..
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมคิดว่า ภาษาไทย ต้องใช้ให้ถูกต้องครับ

    การสร้าง กับ การอธิษฐานจิต จะเป็นคนละเรื่องนะครับ

    ผมเคยโดนหัวหน้าผมด่ามาแล้ว เรื่องการอ่านคำสั่งไม่ชัดเจน หัวหน้าผมบอกว่า แค่อ่าน ยังไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง แล้วจะทำอะไรเป็นอีก

    ผมต้องขอโทษคุณเพชรนะครับ ขอคิดแย้ง เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องครับ
    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไม่หรอกคุณเพชร คุณเพชรใช้วิธีการล่องหน

    ผมไม่ได้ใช้วิธีล่องหน ผมจึงไม่สามารถเห็นได้

    คุณเพชรเอง ก็ไม่เห็นคนอื่นที่ล่องหนเช่นกัน

    ดังนั้น ผู้ที่ล่องหน จึงมี 2 ท่าน รวมคุณเพชร แต่ระบบเว็บจะโชว์ว่ามีสมาชิก 3 ท่านซึ่งรวมผมด้วยครับ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 11 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 9 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อย่างตอนนี้ ระบบเว็บจะโชว์ว่า มีสมาชิก 2 นั่นก็คือ ผมและคุณเพชรครับ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับวันงานใหญ่ ผมว่าจะปรึกษากับพี่จิ๋ว ว่า จะนิมนต์พระภิกษุเพิ่มอีก 2 - 3 องค์ จะได้ครบองค์สงฆ์

    เรื่องอาหารอีกเรื่อง ผมจะติดต่อกับพี่แอ๊ว ,คุณแด๋น ,พี่จิ๋ว และท่านอื่นๆด้วยว่า จะดำเนินการกันอยางไรดี

    ผมจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะครับ
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เตือน บางขุนเทียน-สมุทรสาคร ระวังน้ำท่วมสตอร์มเซิร์จ

    ��ӷ��� ʵ���������� ���͹ �ҧ�ع���¹-��ط��Ҥ� �.�.- �.�. ���


    http://hilight.kapook.com/view/42581


    [​IMG]

    น้ำท่วม


    เตือนพ.ย.-ม.ค.ทะเลสูง3.5ม. บางขุนเทียน-สมุทรสาครระวังน้ำท่วมสตอร์มเซิร์จ (มติชนออนไลน์)

    เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ผศ.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แถลงว่า ในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า ตรงกับช่วงฤดูหนาว ต้องระวังน้ำท่วมในพื้นที่ก้นอ่าวไทย ตั้งแต่ อ.เมืองสมุทรสาคร อ.เมือง อ.พระสมุทรเจดีย์ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา และเขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งเกิดจาก 3 ปัจจัย คือ

    1.ลมมรสุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือหอบเอาน้ำทะเลจีนใต้เข้ามาอ่าวไทย

    2.อิทธิพลดวงจันทร์ช่วงข้างขึ้นและข้างแรม 15 ค่ำ ทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น โดยสูงสุดช่วงเวลา 06.00-09.00 น.

    3.น้ำจืดช่วงหน้าฝนที่ขังอยู่บนชั้นดิน ทั้งหมดส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นกว่า 3.5-4 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง (รทก.) ถือว่ามากกว่าปกติเฉลี่ย 1-3 เมตรจาก รทก.

    "จะเกิดน้ำท่วมยาว 3 ชั่วโมงในช่วงเช้า ในช่วงสัปดาห์แรก และสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนพฤศจิกายน 2552 ถึงมกราคม 2553 ที่สำคัญช่วงนี้ต้องระวังพายุ ทั้งดีเปรสชั่น ไต้ฝุ่น ที่อาจก่อให้เกิดสตอร์มเซิร์จ (Storm Surge) หรือคลื่นพายุหมุนได้" ผศ.อานนท์กล่าว

    ผศ.อานนท์กล่าวด้วยว่า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 1 ได้ศึกษาการทรุดตัวของแผ่นดินบริเวณพื้นที่ กทม. พบว่า ชั้นทรายและชั้นตะกอนเกิดการทรุดตัวลง 8-10 มิลลิเมตร (มม.) ต่อปี ซึ่งไม่แตกต่างจากข้อมูลที่ผ่านมา แต่มีความเป็นไปได้ที่แผ่นดินบริเวณ กทม. น่าจะทรุดตัวลง 20-30 มม. จากเดิมทุกปีจะพบเพียง 8-10 มม. เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหม่ จำเป็นต้องศึกษาเชิงลึก เพราะหากแผ่นดินทรุดตัวมากขึ้น ย่อมส่งผลต่อการระบายน้ำ ปัญหาน้ำท่วม

    ที่วัดหนองขบ หมู่ที่ 5 ต.หนองนกแก้ว อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี พล.อ.ต.จักรพงษ์ หอมไกรลาศ ผู้แทนพระองค์ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ทำพิธีมอบถุงพระราชทานแก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ อ.เลาขวัญ อ.ห้วยกระเจา และ อ.หนองปรือ รวม 1,000 ชุด

    ทางด้าน จ.บุรีรัมย์ น้ำจากลำปะเทีย จ.นครราชสีมา และลำน้ำสาขาไหลมารวมกันที่ลำน้ำมาศ ส่งผลให้เอ่อท่วมอุทยานลำน้ำมาศ ต.หนองคู อ.ลำปลายมาศ กว่า 3,000 ไร่ เจ้าหน้าที่ต้องเร่งอพยพขนย้ายสัตว์ภายในสวนสัตว์ อาทิ กวาง นกกระจอกเทศ ไก่ฟ้า นกยูง และอื่นๆ กว่า 20 ชนิด ไปเก็บไว้ที่องค์การบริหารส่วนตำบลหนองคู มีสัตว์บางส่วนตายระหว่างขนย้าย



    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
    [​IMG]
     
  8. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    หนาจังเลยครับ ลงรักปิดทองอีกต่างหาก :cool:
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับองค์นี้ องค์ผู้อธิษฐานจิตมี 3 องค์ครับ
    1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า
    2.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า (หลวงปู่อิเกสาโร หรือหลวงปู่เดินหน ฯลฯ)
    3.สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กระทู้ ภาพนี้หมุนได้ตามใจสั่ง บอร์ดอกาลิโก

    ที่มา �Ҿ�����ع������������ - �����͡�����

    โพสโดย malila

    ภาพนี้หมุนได้ตามใจสั่ง

    <TABLE class=ncode_imageresizer_warning id=ncode_imageresizer_warning_1 width=262><TBODY><TR><TD class=td1 width=20></TD><TD class=td2 unselectable="on"></TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]

    บางคนอาจจะเห็นว่าสาวเจ้าหมุนทวนเข็มนาฬิกา ยังไงๆ ก็ทวน
    แต่บางคนบอกยังไงก็หมุนตามเข็มแน่นอน ​

    ลองดูกันนะ ว่าใครมองว่าสาวน้อยหมุนไปทางไหนกันบ้าง ​

    แล้วจะมาเฉลยทีหลัง อิอิอิ


    มาแอบเฉลย [​IMG]
    ..
    ..
    ..

    คนเห็นตามเข็มแสดงว่า .... ใช้สมองซีกขวามากกว่าซีกซ้าย
    ในทางกลับกัน หากเราเห็นทวนเข็มแสดงว่า .... เราใช้สมองซีกซ้ายมากกว่าซีกขวา….


    สำหรับคนที่ใช้สมองซีกซ้ายมากกว่า

    ….คุณมีแนวโน้มที่จะ….

    - ตัดสินใจโดยใช้เหตุผล
    - สนใจรายละเอียด
    - อยู่บนพื้นฐานของความจริงมากกว่าการคาดการณ์
    - มีความสามารถในการเลือกใช้ศัพท์และมีความสามารถทางภาษาศาสตร์
    - สนใจในอดีตมากกว่าอนาคต
    - มีความสามารถทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
    - มีความสามารถในการทำความเข้าใจเรื่องที่มีความซับซ้อนได ้เร็ว
    - รอบรู้
    - ยอมรับผู้คนหรือเรื่องราวใหม่ๆได้ง่าย
    - มีระเบียบวินัย
    - จดจำชื่อต่างๆได้ดี
    - อยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง
    - วางกลยุทธ์ต่างๆได้ดี
    - เน้นผลในทางปฎิบัติ
    - ปลอดภัยไว้ก่อน


    สำหรับคนใช้สมองซีกขวามากกว่า

    ….คุณมีแนวโน้มที่จะ….

    - ให้ความสำคัญกับอารมณ์และความรู้สึก
    - ตัดสินใจ! จากภาพรวมมากกว่ารายละเอียด
    - มีจินตนาการสูง
    - มีความสามารถในทางตรรกศาสตร์
    - สนใจอนาคตมากกว่าอดีต
    - สนใจในทางปรัชญาและศาสนา
    - เข้าใจประเด็นที่คนอื่นต้องการสื่อสารได้ดี
    - ลึกซึ้งต่อเรื่องต่างๆ
    - เป็นที่นิยมชมชอบ
    - โยงประเด็นและความเกี่ยวเนื่องของเรื่องราวต่างๆได้ดี
    - ชอบฝันเฟื่อง
    - ประเมินผลกระทบสำหรับทางเลือกต่างๆได้อย่างรวดเร็ว
    - คึกคะนอง…หรือในบางกรณีมุทะลุ
    - เสี่ยงเป็นเสี่ยงกัน


    เอามาให้เล่นกันหนุก ๆ อย่าคิดมากนะจ๊า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2009
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สาธารณสุข เตือนปชช.ระวัง โรคฉี่หนู ผู้ป่วยพุ่ง 130 ราย

    โรคฉี่หนู สาธารณสุข เตือนระวัง โรคฉี่หนู พบป่วยแล้ว 130 ราย


    [​IMG]


    สธ.เตือนปชช.ระวังโรคฉี่หนู ผู้ป่วยพุ่ง 130 ราย (ไทยรัฐ)

    สาธารณสุข จ.อุดรธานี ประกาศเตือน ปชช.เฝ้าระวังโรคฉี่หนู แนะวิธีป้องกันไม่ลงแช่น้ำนานๆ พร้อมสวมรองเท้าบู๊ท รับประทานอาหารปรุงสุก สะอาด เผยตัวเลขผู้ป่วยฉี่หนูพุ่งกว่า 130 ราย

    นายสัญชัย ปิยะพงษ์กุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี เปิดเผยว่าได้รับรายงานทางระบาดวิทยา ตั้งแต่ต้นปี 2552 ถึงปัจจุบัน พบผู้ป่วยด้วยโรคฉี่หนูแล้ว จำนวน 138 ราย ไม่มีรายงานการเสียชีวิต อำเภอที่พบผู้ป่วยมากที่สุด 3 ลำดับแรก คือ โนนสะอาด, สร้างคอม และไชยวาน ตามลำดับ จึงขอเตือนให้เกษตรกรเฝ้าระวังโรคฉี่หนูโดยสวมรองเท้าบู๊ทเมื่อลงน้ำย่ำโคลน หลีกเลี่ยงการแช่น้ำเป็นเวลานาน กรณีมีบาดแผลที่เท้าห้ามลงน้ำโดยเด็ดขาด



    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
    [​IMG]
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อย่าชะล่าใจ.... ′ไตวาย′ ซ่อมไม่ได้
    ˹ѧ��;������ЪҪҵԸ�áԨ�͹�Ź� | ���͹�س��ǧ˹�� �ء�� �ء����


    <STYLE> P { margin: 0px; } </STYLE>[FONT=′Tahoma′]จรัญ ยั่งยืน...เรื่อง [/FONT]
    [FONT=′Tahoma′]<O:p[/FONT]

    [FONT=′Tahoma′]เรื่องของไตจัดเป็นอวัยวะในร่างกายที่ชะล่าใจละเลย การเอาใจใส่ดูแลไม่ได้เลย เพราะเมื่อมันเสื่อมแล้วยากที่จะแก้ไขกลับคืนมาได้[/FONT]
    [FONT=′Tahoma′]<O:p</O:p[/FONT]
    [FONT=′Tahoma′][/FONT]
    [FONT=′Tahoma′]คนที่เป็นโรคเบาหวานเสี่ยงเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาก็เป็นความดันโลหิตสูง โรคเกาต์ และโรคนิ่วในไต ควรจะเช็กไตอย่างน้อยปีละครั้ง ตรวจเช็กปัสสาวะปีละ 1-2 ครั้ง หากตรวจพบว่ามีไข่ขาวร่วงลงมาในปัสสาวะ นั่นจะบ่งบอกว่าจะมี การแทรกซ้อนในไตแล้ว [/FONT]
    [FONT=′Tahoma′]<O:p</O:p[/FONT]
    [FONT=′Tahoma′][/FONT]
    [FONT=′Tahoma′]หากขืนรอให้เกิดอาการบวม อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร จัดว่าอาการหนักหนาสากรรจ์แล้ว[/FONT][FONT=′Tahoma′]<O:p></O:p>[/FONT]
    [FONT=′Tahoma′]ปกติไตมีกำลังสำรองค่อนข้างเยอะ หากมีการผิดปกติในเลือดแสดงว่าไตอาจจะสูญเสียไปถึง 75% และถ้ามีอาการที่ชัดเจนไตจะสูญเสียไป 90% [/FONT]
    [FONT=′Tahoma′]<O:p</O:p[/FONT]
    [FONT=′Tahoma′][/FONT]
    [FONT=′Tahoma′]หากเป็นไตวายระยะแรกจะสามารถรักษาแบบประคับประคองได้ ไม่จำเป็นต้องฟอกเลือด แต่เมื่อค่าของเสียที่ต้องขับออกจากไตคลั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ หรือว่าความสมดุลของ เกลือแร่ กรดต่าง ๆ เสียไป ก็ต้องฟอกเลือดล้างไต [/FONT][FONT=′Tahoma′]<O:p></O:p>[/FONT]
    [FONT=′Tahoma′]แต่ก็เป็นการรักษาเพื่อประคับประคองอาการ ถ้าไม่รักษาจะทำให้เสียชีวิตได้ แต่ถ้าจะรักษาให้เด็ดขาดก็ไม่มีทางอื่นนอกจากต้องผ่าตัดเปลี่ยนไตเท่านั้น [/FONT]
    [FONT=′Tahoma′]<O:p</O:p[/FONT]
    [FONT=′Tahoma′][/FONT]
    [FONT=′Tahoma′]นั่นคือสิ่งที่นายแพทย์พรชัย ตั้งลัคนวณิชย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์และการพยาบาล โรงพยาบาลหัวเฉียว หัวหน้าศูนย์ไตเทียมบอกให้คนไทยควรระวัง ในวันที่′ประชาชาติธุรกิจ′ เข้าไปดูการปฏิบัติงานของศูนย์ไตเทียมของที่นี่[/FONT]
    [FONT=′Tahoma′]<O:p</O:p[/FONT]
    [FONT=′Tahoma′][/FONT]
    [FONT=′Tahoma′]เรื่องของการล้างไต ไม่ใช่จะล้างครั้งสองครั้งจบ จะต้องล้างต่อเนื่องยาวนาน และต้องล้างอาทิตย์ละอย่างน้อย 1-3 ครั้ง [/FONT]
    [FONT=′Tahoma′]<O:p</O:p[/FONT]
    [FONT=′Tahoma′][/FONT]
    [FONT=′Tahoma′]เพราะว่าผู้ป่วยโรคไตมีน้ำในร่างกายเกิน จะมีภาวะของเสียคลั่งมีพิษต่อกล้ามเนื้อ ต่อหัวใจ ต่อสมอง [/FONT]<O:p</O:p
    [FONT=′Tahoma′]การฟอกล้างไตจะทำโดยเข้าเครื่องล้างไตเทียม จะมีการ ต่อเส้นเลือดเทียมเพื่อหมุนเวียนเปลี่ยนเลือด เพื่อดึงเลือด ผู้ป่วยเข้าเครื่องด้วยการดึงเลือดจากเครื่องย้อนกลับมาในตัว ผู้ป่วย และจะกรองของเสียออกไป แต่ถ้ามีการแทรกซ้อน เกิดความดันตก หรือเหนื่อยหอบ จะต้องมีพยาบาลที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญดูแลอย่างใกล้ชิด[/FONT]<O:p</O:p
    [FONT=′Tahoma′]โดยกระบวนการฟอกล้างไตใช้เวลานานถึง 4 ชั่วโมง เลยเชียว[/FONT]
    [FONT=′Tahoma′]<O:p</O:p[/FONT]
    [FONT=′Tahoma′][/FONT]
    [FONT=′Tahoma′]เมื่อโรงพยาบาลหัวเฉียวเห็นว่าผู้ป่วยโรคไตเป็นกลุ่มที่ทั้งตัวโรครุนแรง และค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นภาระของครอบครัวและของญาติค่อนข้างมาก จึงทำโครงการที่ช่วยต่อ ยอดของโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งให้ความช่วยเหลือ 1,000 บาทแรก ส่วนเกินนั้นผู้ป่วยต้องรับผิดชอบเอง โดยปกติค่าใช้จ่ายในการฟอกเลือดล้างไตนั้นค่าเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ 1,800-2,500 บาทต่อครั้ง โรงพยาบาลหัวเฉียวได้เข้าไปรับภาระส่วนเกินตรงนี้[/FONT]<O:p</O:p
    [FONT=′Tahoma′]แต่ว่าโครงการนี้ก็ยังจำกัดด้วยตัวเครื่องไตเทียม เดิมมีอยู่ 33 เครื่อง และได้ขยายศูนย์โดยวางแผนไว้ว่าจะเปิดเป็นทั้งหมด 56 เครื่อง ขณะนี้มีผู้บริจาคแล้ว 18 เครื่อง ยังขาดอยู่อีก 5 เครื่อง[/FONT]
    [FONT=′Tahoma′]<O:p</O:p[/FONT]
    [FONT=′Tahoma′][/FONT]
    [FONT=′Tahoma′]กอบชัย ซอโสตถิกุล ประธานกรรมการบริหารโรงพยาบาลหัวเฉียวบอกว่า มาตรฐานของที่นี่ถือว่าสูงมาก พยาบาลจะได้รับการอบรมเพื่อห้องคนไข้ไตเทียมโดยเฉพาะ ส่วนใหญ่เขาใช้พยาบาลคนหนึ่งต่อคนไข้ 4 คน แต่ที่นี่ใช้ 2 คนครึ่งเท่านั้น[/FONT]
    [FONT=′Tahoma′]<O:p</O:p[/FONT]
    [FONT=′Tahoma′][/FONT]
    [FONT=′Tahoma′]สำหรับน้ำยาอบตัวกรองเลือด ในเมืองไทยยังอนุญาตให้ใช้ฟอร์มาลิน ซึ่งราคาถูกมาก ลิตรละ 5 บาท แต่ที่หัวเฉียวใช้พาราเซติกเอซิด ราคาลิตรละ 350 บาท ซึ่งประเทศที่เจริญแล้วเขาใช้กัน[/FONT]<O:p</O:p
    [FONT=′Tahoma′]ส่วนตัวกรองเลือดจะใช้ได้ 14 ครั้ง ถ้าเสื่อมแล้วจะทิ้งเลย [/FONT]
    [FONT=′Tahoma′]<O:p</O:p[/FONT]
    [FONT=′Tahoma′][/FONT]
    [FONT=′Tahoma′]การฟอกล้างไตนั้นเป็นเพียงการชะลอชีวิต แล้วตอนนี้มีปริมาณไตที่จะมาทดแทนมากน้อยแค่ไหน [/FONT]<O:p</O:p
    [FONT=′Tahoma′]นายแพทย์พรชัยบอกว่า ตัวเลขยังห่างไกลมาก การหาไตมาเปลี่ยนให้ผู้ป่วยไม่สมดุลกันเลย ผู้ป่วยจะต้องเข้าลิสต์ พอมีผู้บริจาคก็ต้องดูว่า กรุ๊ปเลือด หรือว่าเนื้อเยื่อเข้ากับผู้ป่วยได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าจะได้ตามคิวไปเลย [/FONT]<O:p</O:p
    [FONT=′Tahoma′]โดยในปัจจุบันจะได้รับไตจากผู้ที่เสียชีวิตแล้ว คนบริจาคยังมีไม่มาก และไตที่ใช้ได้ต้องเป็นไตที่ดีอยู่ ถ้าสมองเสียแล้วหรือไม่ได้ดูแลให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงไตให้ดี ไตนั้นก็ใช้ไม่ได้[/FONT]
    [FONT=′Tahoma′]<O:p</O:p[/FONT]
    [FONT=′Tahoma′][/FONT]
    [FONT=′Tahoma′]ในเมื่อรู้แล้วว่าสถานการณ์เป็นแบบนี้ คนที่อยู่ภาวะเสี่ยงจึงมิควรปล่อยตัวเรื่องการกินอยู่เลยเถิด เพราะเมื่อโรคไตเข้ามาบงการชีวิตแล้วโอกาสที่จะหายไม่มีเลย มีแต่จะเสื่อมลงไปเรื่อย ๆ [/FONT]
    <O:p</O:p
    [FONT=′Tahoma′]แม้แต่คนไข้ที่ฟอกล้างไตก็ยังมีภาวะแทรกซ้อนเป็นระยะ ๆ ยิ่งเป็นเรื้อรังนาน ๆ จะทำให้หัวใจปั๊มเลือดไม่ดี เกิดความดันตก แล้วช็อก และหัวใจวายตามมา [/FONT]
    <O:p</O:p
    [FONT=′Tahoma′]ฉะนั้น อย่าละเลยดูแลไตของคุณเป็นอันขาด[/FONT]<O:p</O:p
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขออาราธนาพระบารมีองค์หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (คณะโสณะ-อุตระ) ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และครูบาวงษ์ ขอให้น้องรัก เดินทางด้วยความปลอดภัยในทุกๆสถานที่ด้วยครับ

    ว่าแต่ว่า อย่าลืมถ่ายรูปมาให้ชมด้วยนะครับ อยากเห็นรูปทั้งที่ดูไบ , จีน และพม่า อิอิ
     
  14. lektantan

    lektantan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,624
    ค่าพลัง:
    +22,640
    .............
    สาูธุ
     
  15. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    หุ..หุ...อันนี้คุณหนุ่มแย้งผิดแล้วครับ เพราะผมเห็นด้วยกับคุณเช่นกัน เพียงผมยกว่า"ผมคิดว่าคนอื่นทั่วไปเขาพูดยังไง" และเขาหมายถึงว่าอะไร น้อยคนนักที่จะพิจารณาอย่างละเอียดของความหมายอย่างถี่ถ้วนที่ผู้คนมาตีความแล้วไม่เกิดการโต้แย้ง ดังนั้นคำว่า สร้างเองคืออะไร หากจะเอาให้ชัดเจนไปเลย ไม่มีผู้คนโต้แย้งคำกล่าวนี้ได้แม้ซักผู้เดียว คือพระพิมพ์รุ่นนั้นๆ ผู้สร้างจะต้องรวบรวม หามวลสารเอง ตำโขลกมวลสารเอง กดเอง ตากเอง แกะจากปล๊อกเอง เอาเข้าพิธีเสกเอง และดำเนินการเสกเอง แบบนี้จึงเรียกว่าสร้างเอง และเสกเอง หากขาดซึ่งความชัดเจนตรงนี้จะถือว่าสร้าง และเสกเองไม่ได้(คำว่าและคือ จริงกับจริงต้องเป็นจริงทั้งคู่ ส่วนคำว่าหรือ(V) คือ ไม่ว่าจะจริงกับเท็จ(TVF) หรือเท็จกับจริง(FVT) หรือจริงกับจริง(TVT) ก็ยังถือว่า เขาพูดจริง(T) จะกล่าวเท็จ(F)ได้กรณีเดียวคือ เขากล่าวเท็จ หรือเท็จ(FVF)เท่านั้น) หากจะถือเอาความจริงอย่างที่สุดมาวิพากษ์กันแล้ว ต้องกล่าวว่า แม้มีผู้คนช่วยตำโขลกมวลสารให้ก็ตามที เพราะอะไร เพราะกล่าวได้ไม่เต็มปากว่า สร้างเอง เพราะมีผู้ตำมวลสารมากกว่านั้น ไม่ได้ตำเอง หากจับพลัดจัลผลู บังเอิญสามารถตรวจสอบ และรู้ด้วยว่า องค์ในรุ่นเดียวกันที่สร้างออกมานั้น กลับเป็นว่ามีผู้ช่วยตำ ไม่มีกระแสของที่ผู้สร้างตำอยู่เลย จะบอกว่าพระองค์นี้ แม้ในรุ่นเดียวกันก็ตามที เป็นพระองค์ที่ผู้สร้างสร้างเองไม่ได้ เพราะอณูของมวลสารของพระองค์นี้แม้ในรุ่นเดียวกันที่สร้างออกมาผู้สร้างไม่ได้ตำเองเลย พระเป็นหมื่นผู้สร้างองค์ใด ท่านใด จะยกพระไปตากลม ตากแดดเองหรือ...

    ด้วยเหตุนี้จึงฝืนความรู้สึกของคนทั่วไปอย่างมากที่ว่า สร้าง และเสกเอง โดยจะไปเพ่งพิจารณาว่าจะต้องเป็นไปตามหลักการที่ผมยกอธิบายข้างต้น และผมรับทราบ และเห็นด้วยกับคุณหนุ่ม ในความหมายนี้ นั่นหมายถึงว่า พระรุ่นนั้น ควรจะมีจำนวนที่น้อยมากชนิดนับองค์กันได้ ดังนั้นหากไม่มั่นใจว่าท่านสร้าง และเสกเอง จึงควรที่จะพูดว่าเสกเองจะเหมาะสม และกันความผิดพลาดทุกอย่างได้ ไม่เป็นมุสา อันเป็นการผิดศีลข้อ ๔ ซึ่งเป็นข้อที่ผิดพลาดกันได้ง่ายมากที่สุด ทำไมพระพุทธองค์ถึงได้มีหลักธรรมคำสอนในเรื่องของอกุศลกรรมบถ ๑๐ กาย 3 มโน ๓ และเน้นวจีถึง ๔ ข้อด้วยกัน เพราะผัสสะ หรืออายตนะในร่างกายของคนเรามีเป็นคู่ ส่วนปากนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว แต่สร้างความเสียหายได้มากกว่าอวัยวะที่มีเป็นคู่เสียอีก..

    ตัวอย่างที่ชัดเจนเห็นจะเป็นพระพิมพ์จิตรลดาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ท่านสร้างเองจริง หลักฐานการบันทึกก็ชัดเจน เพราะแม้สีจากเรือใบของพระองค์ท่าน พระองค์ท่านก็ขูดเอง พระองค์ท่านกดพิมพ์เอง ท่านตากพระของท่านเอง เป็นความปราณีตทุกขั้นตอน จำนวนการสร้างเพียงไม่เกิน ๓,๐๐๐ องค์ ผมอ้างอิงจากหลักฐาน

    ดังนั้นผู้คนในวงการพระเครื่องทุกวันนี้ จึงผิดศีลข้อมุสา อย่างมากที่สุด เพราะมักกล่าวว่า สมเด็จโตท่านสร้าง หากพิจารณาตามทัศนะนี้แล้ว จะกล่าวว่าท่านสร้างได้อย่างไร พระสมเด็จรุ่นต่างๆมากกว่า ๘๔,๐๐๐ องค์ หากสมเด็จท่านตำโขลกมวลสารเอง คลุกมวลสารเอง กดเอง ตากเอง แกะจากปล๊อกเอง เอาเข้าพิธีเสกเอง และดำเนินการเสกเองทั้งหมดแบบนี้จึงจะเรียกว่าสร้างเอง และเสกเอง หากเข้ากรณีอื่นที่ไม่ตรงตามนี้แม้เพียงกระบวนการเดียว ต้องเรียกว่าสมเด็จท่านเพียงเสกให้เท่านั้นเอง

    หลักการของผมคือ ต้องเอาให้ชัด อย่าคลุมเคลือ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1011052.JPG
      P1011052.JPG
      ขนาดไฟล์:
      260 KB
      เปิดดู:
      45
    • P1011054.JPG
      P1011054.JPG
      ขนาดไฟล์:
      252.8 KB
      เปิดดู:
      39
    • P1011056.JPG
      P1011056.JPG
      ขนาดไฟล์:
      456.2 KB
      เปิดดู:
      54
    • P1011057.JPG
      P1011057.JPG
      ขนาดไฟล์:
      451.8 KB
      เปิดดู:
      36
    • P1011058.JPG
      P1011058.JPG
      ขนาดไฟล์:
      399 KB
      เปิดดู:
      32
    • P1011062.JPG
      P1011062.JPG
      ขนาดไฟล์:
      342 KB
      เปิดดู:
      34
    • P1011066.JPG
      P1011066.JPG
      ขนาดไฟล์:
      412.6 KB
      เปิดดู:
      38
  16. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    หากเราพบพระอยู่คณะหนึ่งกำลังเดินมา เราพูดว่า พระกำลังมา แต่เนื้อแท้จริงๆ จะมีพระแท้ๆกี่องค์ที่กำลังเดินมา คนนุ่งห่มเหลืองแฝงตัวมามีกี่คน แต่ตาที่เราท่านเห็นกันนั้นคือพระ แต่เนื้อแท้ของความเป็นพระคืออะไร เรานำเอาอะไรมาเป็นเครื่องวัดความเป็นพระ หรือคนที่เป็นพระกัน แบบนี้เราเรียกกันผิดใช่หรือไม่.. ตกลงพระบูชา พระเครื่ององค์นี้ สมเด็จท่านสร้าง หรือท่านเสกกันแน่??? หรือท่านสร้าง และเสก???? ไปบูชาพระที่วัดไหน สำนักไหน ใช้คำถามนี้จี้ถามเอากับผู้ให้ข่าวสาร ท่านจะชัดเจน ไม่ถูกหลอก -->สบายใจ หรือต่างนานาทัศนะ อาจจะสบายใจก็ได้หากไม่เกิดคำถามเหล่านี้ เพราะไม่คิดมาก..555555
     
  17. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ขอต่ออีกนิดครับ เพื่อให้เห็นภาพ...

    โรงงานผลิตเสื้อแห่งหนึ่ง เขาขายเสื้อ แล้วโฆษณาว่า โรงงานเขาผลิตเสื้อเอง แต่เมื่อวิเคราะห์แยกส่วนกิจกรรมที่ทำ เพื่อประโยชน์หาต้นทุนของงาน(Activity Based Costingหรือ ABC) ผมนำเอาประโยชน์จากกิจกรรมนี้มาเล่าให้ฟังว่า หากตรวจพบว่า มีกระบวนการอยู่กระบวนการหนึ่งของการผลิตเสื้อ เขาไม่ได้ผลิตกระดุมเอง แต่ไปจ้างคนอื่นเขาผลิตกระดุมประทับตรายี่ห้อนี้ไว้บนกระดุมให้ เมื่อเป็นเสื้อสำเร็จรูป โรงงานผลิตเสื้อสำเร็จรูปตัวนี้ไม่สามารถจะบอกได้ว่าเขาผลิตเสื้อเองได้ เพราะในสายการผลิตของเขาไม่ได้มีกระบวนการผลิตกระดุมเองเลยแม้แต่น้อย ก็เป็นธรรมดาของโลกธุรกิจวันนี้ที่แผนกการผลิตบางแผนก สายการผลิตบางสาย ไม่ได้ทำเอง เมื่อคำนวณแล้ว หากจ้างทำคุ้มกว่าการผลิตเอง เขาก็ยุบสายการผลิต หันไปใช้วิธีการจัดจ้างทดแทน ก็ไม่ได้ผิดอะไร เพียงกล่าวไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่..แม้ว่าจะกล่าวถูก หรือกล่าวผิด การผลิตเสื้อ การโฆษณาก็ยังคงดำเนินต่อไป.. เขาผลิต เขาโฆษณา และเราซื้อใส่ ไม่มีผู้คนไปสนใจว่า เขาจะผลิตกระดุมเอง หรือจ้างผลิตกระดุม ทั้งนี้เพราะสาระสำคัญของเสื้อตัวนี้ไม่ได้อยู่ที่กระดุมเม็ดนี้เลย กลับเป็นแบบ สี size แม้แบบ สี ถูกใจ แต่ไม่มีsize ใส่ คุณก็คงไม่ได้เสื้อตัวนี้มาใส่ ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะคุณไม่มีตังค์ แต่อาจจะเป็นเพราะไม่มี size ที่เหมาะกับคุณต่างหาก

    จบการวิเคราะห์คำว่า สร้าง และเสกเองแล้วนะครับ ต่อไปนี้ผมคงไม่ไปก้าวล่วงคำกล่าวนี้อีก ต่างนานาทัศนะ คนเราเรียนรู้ และเข้าใจเรื่องราวความเป็นจริงต่างๆได้ละเอียด ได้รอบคอบ ได้ลึกซึ้งต่างกัน เรื่องเดียวกัน แต่เข้าใจต่างกันมากมาย หรือเหมาเอาว่าเข้าใจเหมือนกัน...
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โมทนาสาธุครับ
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระพุทธจริยวัตร 60 ปาง ปางถวายสัตตุก้อนสัตตุผง

    คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ

    โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

    ˹ѧ

    คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ

    โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

    http://www.matichon.co.th/matichon/v...day=2009-10-18

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>"สัตตุก้อน สัตตุผง" ที่พานิชสองพี่น้องถวายคืออะไร สงสัยนานมาก ไม่ได้ถามผู้รู้ และไม่ได้เปิดตำรา จนถูกลูกศิษย์ถามนั่นแหละ จึงได้ไปเปิดพระไตรปิฎกดูได้ความดังนี้ครับ

    สิ่งที่สองพี่น้องถวายพระพุทธเจ้าคือ มนฺถญฺจ มธุปิณฺฑิกญฺจ (มันถะ และ มธุบิณฑิกะ) มันถะ คือ ข้าวตากที่ตำละเอียด น่าจะเป็น "สัตตุผง" มธุบิณฑิกะ คือ ข้าวตากที่ผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นก้อนๆ นี่น่าจะเป็น "สัตตุก้อน" เพราะฉะนั้นข้อความตรงนี้ต้องแปลตามลำดับว่า "สัตตุผง และ สัตตุก้อน"

    ในสัปดาห์ 7 (ที่ 3 ตามลำดับในพระไตรปิฎก) พระพุทธเจ้าประทับใต้ต้นราชายตนะ (ต้นเกด) เข้าใจว่าพวกราชา หรือ มหาราชา คงมาพักที่นี่บ่อย จึงเรียกว่า "ราชายตนะ" (ที่พักของพวกราชา) ขณะนั้นพ่อค้าสองพี่น้องมาจาก อุกกลชนบท เพื่อค้าขาย เห็นพระพุทธองค์ก็เกิดความเลื่อมใส ได้น้อมนำเอาข้าวสัตตุผง และสัตตุก้อนไปถวาย

    ขณะนั้นพระพุทธองค์ยังไม่มีบาตร ท้าวโลกบาลทั้ง 4 จึงน้อมนำบาตรองค์ละใบ พระพุทธองค์ทรงดำริว่า บาตรใบเดียวย่อมเพียงพอแก่เรา จึงทรงอธิษฐานให้บาตรทั้ง 4 ใบ ประสานเข้ากันเป็นใบเดียว ทรงรับข้าวสัตตุผงและสัตตุก้อนจากพานิชทั้งสอง เสวยเสร็จก็ทรงประทานอนุโมทนา

    ทั้งสองได้กล่าววาจาถึงพระรัตนะทั้งสอง (คือ พระพุทธ พระธรรม) เป็นที่พึ่งที่ระลึกตลอดชีวิต ทั้งสองจึงได้ชื่อว่าเป็น "เทวฺวาจิกอุบาสก" (อุบาสกผู้ถึงรัตนะสอง) เป็นคู่แรกในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา

    พานิชสองพี่น้องได้กราบทูลลาพระพุทธองค์กลับไปยังบ้านเมืองของตน

    ในพระไตรปิฎกเขียนไว้เท่านี้ แต่ในอรรถกถาเขียนเพิ่มว่า ทั้งสองคนกราบทูลว่า เมื่อพวกตนกลับยังมาตุภูมิแล้ว คิดถึงพระพุทธองค์ขึ้นมาจะทำประการใด พระพุทธองค์ทรงลูบพระเศียร พระเกศาแปดเส้นก็หลุดติดพระหัตถ์มา พระองค์ทรงประทานให้สองพี่น้องนำไปบูชา ว่าอย่างนั้น

    ถึงตรงนี้ปราชญ์พม่าก็สวมรอยทันที บอกด้วยว่า พานิชสองพี่น้องนั้นเป็นชาวพม่า คือ เป็นชาวหงสาวดี เดินทางจากหงสาวดีไปค้าขายยังชมพูทวีป พบพระพุทธองค์ ถวายภัตตาหารแก่พระองค์ และได้รับประทานพระเกศธาตุแปดองค์กลับยังบ้านเมืองของตน เมื่อไปถึงก็ได้ก่อพระเจดีย์บรรจุพระเกศธาตุนั้นไว้บูชา ตราบมาจนทุกวันนี้และพระเจดีย์นั้นก็คือ พระธาตุชะเวดากอง นั้นเอง ว่าอย่างนั้น อะไรจะปานนั้น

    พูดถึงตรงนี้ นึกขึ้นมาได้ว่า ครั้งหนึ่งที่มหาวิทยาลัยศิลปากร มีสัมมนาเรื่อง "ลัทธิความเชื่อของพม่า" เขาเชิญผมไปพูดเรื่อง พระพุทธศาสนาในพม่า จำได้ว่าได้ยกเอาเรื่องพ่อค้าสองพี่น้อง ที่ชาวพม่าอ้างว่าเป็นชาวหงสาวดีมาพูดด้วย

    ท่านผู้ฟังท่านหนึ่งพยายามจะเอาคำตอบจากผมว่า ผมเชื่ออย่างนั้นหรือไม่ ถ้าไม่เชื่ออย่างไร ผมไม่สามารถตอบได้ พูดเลี่ยงไปว่า พิจารณาตามคำศัพท์ของอาหารที่สองพี่น้องถวาย น่าจะเป็นคนจีนนะ

    "เหตุผล" ท่านผู้นั้นถาม

    "ก็ท่านใช้คำว่า มนฺถํ มันใกล้เคียง หมั่นโถ น่ะ" ผมว่า เรียกเสียงฮาทั่วห้องประชุม

    "แต่พิจารณาตามชื่อ น่าจะเป็นคนไทย" ผมพูดเล่นต่อ

    คราวนี้ไม่รอให้ถาม ผมกล่าวต่อเลยว่า "ท่านลองฟังดูสิ คนพี่ชื่อ ตปูสสะ คนน้องชื่อ ภัลลิกะ มันก็ตาบุตร กับ ตาพัน เราดีๆ นี่เอง"

    อย่าซีเรียสนะครับ เล่าให้ฟังเฉยๆ จนบัดนี้เราก็ไม่ทราบว่าสองพี่น้องเป็นใครกันแน่ รู้แต่ว่าเป็นชาวอุกกลชนบท ซึ่งอรรถกถาบอกเพียงเลาๆ ว่า อยู่ทางเหนือของอินเดีย แถวๆ ตักกสิลาเก่า กลับบ้านเมืองของตนแล้วเป็นอยู่อย่างไรก็หายจ้อย ไม่มีที่ไหนกล่าวถึง

    ถึงอย่างไร สองพี่น้องก็มีชื่อจารึกในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาให้กล่าวขวัญถึงตลอดไปว่า ผู้ถึงพระรัตนะสอง (คือ พระพุทธ และพระธรรม) คู่แรก คือ ตปุสสะ กับ ภัลลิกะ แห่งอุกกลชนบท ผู้ถึงพระรัตนตรัยคู่แรกคือ บิดาและมารดาของพระยสะ

    มารดาของพระยสะ ว่ากันว่าคือนางสุชาดา ธิดาแห่งนายบ้านอุรุเวลาเสนานิคม ผู้ถวายข้าวมธุปายาสแก่พระพุทธองค์ก่อนตรัสรู้นั้นแหละครับ ตำราบอกไว้อย่างนั้น

    มีข้อสงสัยนิดเดียว นางสุชาดาอยู่ตำบลพุทธคยา มารดาพระยสะอยู่เมืองพาราณสี ห่างกันหลายร้อยกิโล ไม่น่าจะเป็นคนเดียวกัน

    แต่ก็มีผู้เฉลยว่า เมื่อก่อนน่ะใช่ สุชาดาอยู่ตำบลพุทธคยา เมื่อแต่งงานแล้วได้ตามไปอยู่กับตระกูลสามีที่เมืองพาราณสี เคยบนเทพที่ต้นไทรไว้ก่อนแต่งงานแล้วก็ลืม พอได้บุตรจนบุตรโตแล้วนึกขึ้นมาได้ จึงกลับไปแก้บนที่บ้านเกิด ว่าอย่างนั้น

    เมื่อไม่มีคำอธิบายเป็นอย่างอื่น ก็ต้องรับฟังตามนี้ไปก่อนครับ

    http://www.matichon.co.th/matichon/v...day=2009-10-18
    <!-- google_ad_section_end --><!-- / message --><!-- sig -->
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "ว.วชิรเมธี" เริงร่าย"สุขนาฏกรรม"บนทางสายใน

    คอลัมน์ ร้อยเหลี่ยมพันมุม

    โดย วีณา โดมพณานคร

    ˹ѧ��;������Ԫ�����ѹ : ˹ѧ��;�����س�Ҿ ����ͤس�Ҿ�ͧ������

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>"เราเดินทางมาถึงทะเลแล้ว เมื่อได้ดำผุดดำว่ายอยู่ในทะเล อาตมารู้แล้วว่าสดชื่นเพียงใด ก่อนหน้านี้เราเอาแต่มองทะเลแล้วรู้สึกเอาเองว่า แหม! ลมทะเลเย็นดีนะ แต่หลังจากที่ลงไปดำผุดดำว่ายอยู่กับมันมาหลายปี เราก็ได้ตระหนักรู้ว่า การลงไปว่ายมันมีความสุขมากกว่าไปยืนรับลมอยู่ที่ชายหาดตั้งเยอะ"

    ว.วชิรเมธี พระผู้ให้ปัญญาแก่สังคมในมิติที่กว้างไกลและลุ่มลึก เอ่ยขึ้นมาระหว่างที่ได้สนทนากับท่านเมื่อไม่นานมานี้

    ทะเลที่ไหนหรือที่มีเสน่ห์ชวนหลงใหลได้ปานนั้น

    "ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ อาตมาตอบตัวเองได้แล้วว่าจะเลือกอะไรให้กับชีวิต โดยเฉพาะในช่วงต้นปี 2552 ที่มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมกับท่านติช นัท ฮันห์ ที่ประเทศฝรั่งเศส ทำให้ได้คำตอบว่าเส้นทางของอาตมาหลังจากนี้ไป ควรเป็นเส้นทางสายความสงบร่มเย็น ควรเป็นเส้นทางแห่งการเรียนรู้ มากกว่าเส้นทางของพระนักวิชาการ

    อาตมาได้คำตอบให้ตัวเองว่า การเป็นผู้ตื่นรู้สำคัญกว่าการเป็นผู้รู้ เพราะการตื่นรู้ทำให้ทำให้เรามีความสุขทุกเวลานาที แต่ถ้าเราเป็นพระที่มีบุคลิกแบบพระนักวิชาการ มันทำให้เราเต็มไปด้วยปัญหา เต็มไปด้วยคำถามที่ดังก้องอยู่ในหัว ต้องแสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลาไม่จบไม่สิ้น

    ในเวลานี้อาตมาได้คำตอบแก่ตัวเองว่า ทางของการเป็นผู้ตื่นรู้อยู่ในปัจจุบัน เป็นเส้นทางที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด เส้นทางการเป็นพระนักวิชาการควรจะลดความสำคัญลงไป ต่อไปนี้ฉันจะเดินทางสายใน ไม่เดินทางสายนอกอีกต่อไปแล้ว"

    สิ่งที่ค้นพบก็คือว่า

    "ก่อนหน้านั้นอาตมานำความรู้เข้ามาสู่ชีวิต แต่หลังจากผ่านการวิปัสสนากรรมฐานมาตามลำดับ จึงได้เรียนรู้ว่าการนำธรรมเข้ามาสู่ชีวิตมันต่างกัน เอาความรู้เข้ามาสู่ชีวิตทำให้ตัวเราพอง ยิ่งกินพื้นที่ แต่ถ้าเอาความตื่นรู้เข้ามามันทำให้ตัวเราเล็กลง แต่ความสุขกลับขยายใหญ่โตครอบจักรวาล"

    ที่สำคัญก็คือ

    "วันหนึ่งเมื่อเราหันมาเจริญสติ กระตุ้นตัวรู้ พัฒนาการตื่นรู้ จึงพบว่าการตื่นรู้นี้มันไม่ได้มาทำลายความรู้ที่เรามีอยู่แล้ว ตรงกันข้ามมันกลับสามารถขยายศักยภาพความรู้ของเราให้มีความลุ่มลึกมากยิ่งขึ้น"

    การตัดสินใจเลือกเดินทางสายในมีความสัมพันธ์กับความเป็นไปของชีวิตที่มีเกียรติยศ ชื่อเสียงเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน เพราะท่านบอกว่า

    "ตัวอาตมาเองก็ไม่ต้องมองหาความสุขจากที่อื่นอีกต่อไป ไม่ต้องแสวงหาความสุขจากการยอมรับ แต่มีความสุขเพราะว่าอยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ในเวลานี้อยู่แล้ว จากนี้ต่อไปคุณจะมองเห็นหรือไม่เห็นฉัน ฉันก็ไม่สนใจแล้ว

    เราควรจะอยู่กับตัวเราให้ได้ โดยที่ไม่ต้องให้ใครมารับรอง เราสามารถอยู่รอดได้ด้วยตนเอง ในทุกสภาวะแวดล้อม และเราก็เห็นแล้วว่ามันไม่ได้ทำให้ชีวิตของเราพร่องลงไปหรือพองขึ้นมา หันมาดูจิตใจของตัวเองก็รู้สึกว่า มันสบายที่สุดเลยนะ

    เราจะโล้ชิงช้าของเกียรติคุณชื่อเสียงก็ได้ หรือจะลงจากชิงช้าแล้วเดินเข้าป่าเข้าดงไปก็ได้ ความสุขในหัวใจของเราไม่ได้ลดลงนะ เราไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย"

    ที่บอกว่าเดินเข้าป่าเข้าดงนั้น ขอขยายความให้ชัดเจนว่า ท่านหมายถึงการไปปลีกวิเวกที่อาศรมอิสรชน จ.เชียงราย และล่าสุดคือ วัดป่าวิมุตตยาลัย จ.ปทุมธานี ที่เพิ่งจะลงหลักปักฐาน

    "อาตมามีความสุขทุกวันและพอใจกับการเป็นพระที่เป็นอยู่มาก ไม่ต้องมองหาอำนาจ ไม่ต้องมองว่าใครกำลังชื่นชมหรือตำหนิเรา มีความสุขที่ขึ้นอยู่กับใจเราล้วนๆ เลย พอมาถึงตรงนี้ได้แล้วรู้สึกคุ้มที่เกิดมา"

    หากนับถอยหลังไปในอดีตจะเห็นภาพของความชัดเจนในแนวทางที่หนุนเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้

    "อาตมาเป็นนักเรียนสายตรงของหลักสูตรการบริหารจัดการกิเลสมาทั้งชีวิต คือเรียนปริยัติ แล้วมาปฏิบัติ ได้คลุกคลีกับคำสอนที่เป็นบาลี ซึ่งเป็นภาษาต้นขั้ว เป็นเหตุให้รู้วิธีขัดเกลากิเลสมาตั้งแต่ต้น เหมือนกับว่าอาตมาถูกขัดสีฉวีวรรณโดยตะไบที่ชื่อธรรมะ

    เป็นเส้นทางสายขัดเกลา อาตมาจึงบอกเสมอว่าอาตมาเป็นชาวสวน คือเราทำสวนมาโดยตลอด ไม่ใช่ทำตาม

    ฉะนั้น อาตมาไม่ค่อยมีปัญหาการทะเลาะเบาะแว้งกับกิเลสเท่าไหร่ เมื่อก่อนมีบ้างบางครั้งที่ต้องคอยประนีประนอมกัน หลังๆ มานี่ไม่ค่อยประนีประนอมแล้ว แต่จะใช้วิธีผ่าตัดกิเลสเลย"

    จะจัดการกิเลสให้อยู่หมัดก็ต้องพูดถึงเรื่องอัตตา

    "เรื่องอัตตา อาตมาคิดว่ามันถูกปะทะมาเรื่อยๆ นะ เมื่อเรามีความรู้ทางโลก จบปริญญาตรี ปริญญาโท หรือจบเปรียญ 9 ประโยค เราก็คิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์พันธุ์วิเศษขึ้นมา สปอตไลท์ที่ไหนๆ ก็ส่องมา แล้วมีบางวันที่ไฟนั้นไม่ส่องมาทางเรา อัตตามันก็ถูกสั่นสะเทือน เขย่าหลายครั้งเข้ามันก็เกิดผลกระทบ

    เมื่อเรามาเจอวิปัสสนากรรมฐาน ก็ตอบตัวเองได้ว่าไม่เห็นจะต้องทุกข์เลย เพราะว่าอัตตามันเป็นแค่ภาพมายา มันไม่มีมาตั้งแต่ต้น แต่เราไปคิดว่ามันมี ถ้ารู้ทันว่ามันไม่มีตั้งแต่ต้น มันก็ไม่มี ใครจะเขย่าอะไรก็ไม่ได้ เพราะตัวตนมันไม่มี หลังๆ มานี้ไม่ค่อยเดือดร้อนกับอะไรเลยนะ เรื่องคนชมคนด่าอาตมาให้ราคาเท่ากัน ไม่เคยถือเอามาเป็นนิยายอะไรในชีวิต เพราะถือว่าชีวิตตัวเองนั้นไม่ยาว ทำในสิ่งที่ตัวเองพิจารณาแล้วว่าดีที่สุด แล้วทำไป อย่าไปให้ราคาเขาสูงนัก"

    ลองให้ท่านช่วยนับขั้นบันไดที่นำไปสู่การลดอัตตาให้ฟัง ได้ความว่า

    "วิธีการตั้งรับอาตมาฝึกมาเรื่อยๆ อย่าไปถอย อย่าไปกลัวโลกธรรม เราอยู่ในโลกอย่าหลบลี้หนีหน้าโลกธรรม เพียงแต่ตั้งรับมันให้ดี เราก็จะได้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ในเชิงบวกทั้งหมดทั้งสิ้น

    อาตมาเดินจงกรมทุกคืนมา 12 ปี การฝึกเจริญสติถ้าฝึกไปเป็นปกติมันก็กลายเป็นชีวิตประจำวัน จนมาถึงวันหนึ่งที่สามารถจัดการบริหารกับอารมณ์ที่เคยทำให้ขุ่นมัวได้ในทุกรูปแบบ วันนั้นจะรู้เองว่าคุณพัฒนาแล้ว"

    "วิธีลดอัตตาแรกเริ่มเลยอาตมาใช้วิธีเปลี่ยนฐานคิด สมมุติว่าวันนี้เราถูกชมมากเลย แต่วันถัดมาเราถูกด่า ถ้าเราหมกมุ่นอยู่กับสิ่งเหล่านี้นะ ทั้งคำชมคำด่าจะยังตามเล่นงานเราอยู่ ฉะนั้น ถ้าการที่ตัวเราไม่ถอดถอนตัวเองออกมาจากการหมกมุ่นในความคิด เท่ากับว่าเราไปต่อชะตาให้คำชมคำด่า

    ทีนี้พอเราย้ายจิตมาอยู่กับตัวเรา เช่น หันมาเจริญสติ หันมาเดินจงกรม ความที่จิตของเรามันทำงานทีละขณะ พอเปลี่ยนอารมณ์ให้มันเท่านั้นมันก็ลืมแล้ว นี่เป็นวิธีย้ายอัตตาของอาตมา มันง่ายมาก ถ้าถามว่าทำไมมันหายก็เพราะว่าจิตมันย้ายมาอยู่ที่เท้า"

    บนเส้นทางสายนี้มีความสุขรอให้เก็บเกี่ยวมากมาย เปรียบเสมือนนาฏกรรมอันงดงาม

    "จุดเปลี่ยนของชีวิต คือเวลาที่เราดำเนินชีวิตไปเราจะค้นพบจุดเปลี่ยนของชีวิตมาโดยลำดับ จุดเปลี่ยนหรือประสบการณ์ดีๆ ทุกครั้งที่มันเกิดขึ้นและทำให้เราเติบโต อาตมาถือว่าเป็นนาฏกรรม คือเป็นการร่ายรำอันงดงามของชีวิต มันทำให้ชีวิตของเราถูกขัดเกลามากขึ้น

    พูดง่ายๆ ว่า ปรากฏการณ์ บุคคล เหตุการณ์ สถานที่ ที่เกิดขึ้นแล้วทำให้เราเจริญเติบโตงอกงามในด้านในนั่นคือนาฏกรรม"

    นาฏกรรมที่ก่อให้เกิดความสุขนี้เรียงรายกันเข้ามาในชีวิตไม่ขาดสาย

    "ครั้งหนึ่งอาตมาไปงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ มีญาติโยมมารอขอลายเซ็นอาตมายาวไปจนถึงประตูทางเข้า แต่พอกลับไปบ้านที่เชียงราย เดินเข้าบ้านเงียบมาก ที่บ้านมีหมาหลายตัว แต่ไม่มีตัวไหนส่งเสียงหรือแสดงท่าทางว่าเห็นอาตมาเลย

    ทำให้แวบขึ้นมาว่า นี่แหละความไร้สาระของชื่อเสียง เราเพิ่งมาจากการห้อมล้อมของหมู่คน แต่หมาที่บ้านไม่เหลียวแลเลย อาตมาเติบโตขึ้นในวันนั้น รู้สึกเลยว่าหมาพวกนี้มีบุญคุณ นี่คือนาฏกรรมในชีวิต อัตตามันละลายไปในวันนั้น ความเข้มข้นมันลดต่ำลงไป พออัตตาถูกกระทบมันโพละเลย"

    "หรือคืนหนึ่งเดินลงจากกุฏิไปเหยียบหางแมวที่นอนอยู่ มันร้องขึ้นมาเสียงดัง รู้สึกจี๊ดเลย คือความโกรธมันแล่นขึ้นมาทั้งเนื้อทั้งตัว แต่พอสักพักคิดขึ้นได้ว่า กุฏิไม่ใช่ของเรา ทั้งเราทั้งแมวต่างเป็นผู้อาศัย ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ตอนนั้นนึกอยากจะขอบคุณแมวเลย นี่เป็นอีกหนึ่งนาฏกรรม

    อีกครั้งหนึ่งก่อนเดินทางไปประเทศภูฏาน มีคนกล่าวโจมตี อาตมาก็คิดว่าไม่เห็นเป็นไรเลย สบายๆ พอเดินทางไปถึงที่นั่น นอนคืนนั้นฝันว่า ลุกขึ้นมาแถลงข่าวอัดผู้ให้สัมภาษณ์ว่าเราคนนั้น

    ตื่นขึ้นมารู้สึกเลยว่า อัตตาเราทั้งนั้น และรู้เลยว่ายังปฏิบัติได้ไม่ดีพอ คิดว่าตัวเองไม่โกรธ และจิตทำงานไปตามปกติ แต่ในภวังคจิต อัตตากำลังลุกขึ้นมาประกาศศักดา ซึ่งแสดงว่าเรายังไปไม่ถึงไหนเลย"

    การพลิกมุมได้คือเป้าหมายที่ท้าทาย

    "ทุกประสบการณ์เราใช้ไปในการมองด้านในได้ ทุกครั้งที่เกิดการปะทะกันระหว่างธรรมะกับกิเลส มันจะแตกตัวเป็นการเรียนรู้ใหม่ เป็นปัญญา แล้วเราจะรู้เองว่า เราเติบโตหรือไม่เติบโตจากการปะทะของกิเลสแต่ละครั้ง จะรู้ว่ารุดหน้าหรือถอยหลัง แล้วเราจะมีทักษะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

    อาตมามองอุปสรรคพวกนี้อย่างมีความหวัง เรื่องพวกนี้ทำให้เราหันมามองตัวเอง รู้สึกขอบคุณทุกครั้งที่มีเรื่องมาทำให้ตื่นจากความโลภ ความโกรธ ความหลง เหมือนเข็มที่มาทิ่มให้เกิดสติ"

    บนเส้นทางสายในนี้ ท่านขอชี้ป้ายให้สังเกตกันว่า

    "การเจริญสติที่แท้จริงคือการดำเนินชีวิตที่ต้องเป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่ใช่จะต้องอยู่ในคอร์สวิปัสสนาอย่างเดียว อย่าไปตีความการปฏิบัติให้แคบลง ให้เหลืออยู่แต่การเจริญสติในวัด

    การเรียนธรรมกับครูอาจารย์เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติธรรม ส่วนการดำเนินชีวิตเป็นทั้งหมดของการปฏิบัติธรรม"

    ดำเนินชีวิตสไตล์ไหนที่สะท้อนถึงเรื่องนี้

    "ผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติธรรมก็คือ เรามีวิถีชีวิตใหม่ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีวิธีอยู่ วิธีกิน วิธีบริโภคแบบใหม่ มีวิธีปฏิสัมพันธ์ใหม่ มีวิธีดำเนินชีวิตใหม่

    คำว่าใหม่ หมายถึงคุณภาพ ไม่ได้หมายถึงการจัดการภายนอก เช่น ก่อนหน้าที่จะไปปฏิบัติธรรมเรามองแบบแยกส่วน แต่พอปฏิบัติธรรมแล้วมองแบบเชื่อมโยง จะมีวิธีคิดแบบองค์รวมเกิดขึ้นข้างใน

    การปฏิบัติธรรมจะเปลี่ยนวิธีที่คิด วิธีที่พูด วิธีดำเนินชีวิต วิธีที่บริโภค วิธีที่ปฏิบัติ สิ่งเหล่านั้นเปลี่ยนไปทั้งหมด จะไม่คิดเหมือนเดิมอีก วิธีพูดของเราจะไม่ทำร้ายใครอีก วิธีบริโภคจะไม่ขาดสติอีก การเลือกสิ่งต่างๆ จะไม่ทำแบบลวกๆ ทุกอย่างจะกลายเป็นความประณีตไปหมด จะคิด-พูด-ดำเนินชีวิต-บริโภคอย่างประณีต จะปฏิบัติธรรมอย่างประณีต

    คำว่าประณีตหมายความว่า จะมีสติทุกๆ ครั้งในทุกๆ อิริยาบถ หรือพฤติกรรม ทุกอย่างกลายเป็นสิ่งที่ทำอย่างประณีต เพราะว่าอะไร

    เพราะว่ามันอยู่ภายใต้ครรลองของความตื่นรู้ แล้วจะทำไปด้วยความเป็นธรรมชาติที่สุดเลย คือคนภายนอกจะสัมผัสได้อย่างเป็นธรรมชาติ คือพูดเหมือนเดิมแต่วิธีการพูดเปลี่ยนไป ยังแต่งตัวเหมือนเดิม แต่การให้ค่าในการแต่งตัวเปลี่ยนไป พูดง่ายๆ ว่า วิธีปฏิสัมพันธ์กับทุกสิ่งทุกอย่างในโลกคุณภาพจะเปลี่ยนไป ภายนอกอาจแสดงให้เห็นเป็นธรรมดาทั้งหมด อาจจะแต่งหน้าไปทำงานเหมือนเดิม แต่ให้ค่าน้อยลงแล้ว หรือยังใช้รถยุโรปเหมือนเดิม แต่ให้ค่าน้อยลงแล้ว มันเป็นเรื่องข้างใน"

    แล้วที่เกรงๆ กัน หรือเห็นๆ กันบ่อยๆ ว่าจะดูคล้ายคนไร้ชีวิตชีวา เชื่องช้าไปเสียมากกว่าก็ไม่ใช่

    "คนที่ปฏิบัติตามธรรมะจะมีความคล่องตัวในชีวิต เพราะว่าจิตไม่ติดอยู่กับกิเลส จะได้รับความสุขที่เรียกว่า นิรามิสสุข แปลว่าความสุขที่ไม่มีเหยื่อล่อ สุขที่เกิดจากอิสรภาพ หรือสุขจากการไม่ถูกวางเงื่อนไข ในขณะที่คนส่วนใหญ่จะมีความสุขก็ต้องมีเงื่อนไข มีเหยื่อล่อ คนที่มีนิรามิสสุขอยู่ในโลกแล้วก็เหยียบโลกเล่น สบายๆ มันมีชีวิตชีวาที่สุดเลยนะ

    ใครที่ตามรู้อยู่ในปัจจุบันได้จะเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตชีวา ความรู้สึกจะเหมือนกับตอนอาบน้ำมาใหม่ๆ แล้วมันเบิกบาน ไม่มีความแห้งแล้ง คนแห้งแล้งจะเหงา จะโหยหาอะไรสักอย่าง แต่คนที่อยู่กับปัจจุบันไม่ต้องโหยหาอะไรสักอย่าง

    เวลาดมดอกไม้ก็จะหอมมากกว่าปกติ เวลาฟังเสียงนกร้อง ก็จะเพราะกว่าปกติ เวลาอ่านหนังสือก็จะสามารถเสพสุนทรียรสได้มากกว่าปกติ เพราะมันไม่ได้เคลือบแฝงด้วยอคติใดๆ ทั้งสิ้น"

    ใครยังไม่เคยเปลี่ยนเส้นทางจากสายนอกเป็นสายในดูบ้าง น่าจะฟังคำเหล่านี้ "อยากจะบอกว่ามนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะพัฒนาตนให้ดีกว่าที่เป็นอยู่หลายร้อยหลายพันเท่า แล้วทำไมจึงไม่พัฒนาไป แล้วคุณจะเห็นว่า ตัวเองมีพัฒนาการที่ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น หลายคนไม่กล้าลุกขึ้นมาพัฒนาตัวเอง เพราะเสียดายกิเลส อย่าเสียดายกิเลส"

    หมายถึงการอาลัยอาวรณ์ต่อความสุขเฉพาะหน้าบางอย่างที่เหมือนยาขมฉาบน้ำตาล

    "เวลาเดินขึ้นบ้านอย่าเสียดายบันได ลองเหยียบมันขึ้นไปแล้วจะรู้ว่า ความสุขที่ได้จากการยืนรับลมอยู่บนระเบียงบ้านนั้นมากกว่าสุขที่ได้จากการยืนอยู่ข้างล่าง ลองดูแล้วจะรู้ว่ามันคุ้มกับที่เดินขึ้นมา"

    ว.วชิรเมธี ชักชวนให้เดินขึ้นไปรับลมเย็นด้วยกันที่บนระเบียง
     

แชร์หน้านี้

Loading...