พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. littlelucky

    littlelucky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +1,938
    ที่มา: ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๙๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงผนวช:
    ....



    เช้าวันที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๙๙ เป็นวันที่ ๑๔ แห่งการทรงพระผนวช ได้เสด็จพระราชดำเนินออกบิณฑบาตโดยไม่มีหมายกำหนดการ โดยเสด็จพระราชดำเนินไปตามถนนสายบางลำพู แล้วเสด็จพระราชดำเนินประทับรถวิทยุ อ.ส. (ก.ท. ส่วนพระองค์) ที่ภายในบริเวณโรงเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร ออกไปทางสะพานเฉลิมวันชาติ ผ่านหน้าวังสวนกุหลาบ ถนนราชวิถี ถนนพระรามที่ ๖ อ้อมไปทางสะพานควาย กลับมาทางถนนพหลโยธินและถนนพญาไท ทรงแวะรับบิณฑบาตที่บริเวณใกล้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและสี่แยกราชเทวี ถนนเพชรบุรี ผู้ที่ออกมาตักบาตรเป็นปกติ ทั้งคนไทยและคนจีนที่ได้มีโอกาสถวายอาหารบิณฑบาตแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงรู้สึกตื่นเต้นที่มีบุญอย่างยิ่งโดยมิได้คาดฝัน และเมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับถึงวัดบวรนิเวศวิหาร มีคนมาถวายอาหารหน้าวัดอีก ๕-๗ ราย ซึ่งจะต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ต่อไปว่า พระมหากษัตริย์ที่ทรงพระผนวชได้เสด็จพระราชดำเนินออกทรงรับบิณฑบาตจากประชาชน

    [​IMG]




    [FONT=&quot]“เมื่อเสด็จฯ ไปทั้งในและนอกวัด [/FONT]
    [FONT=&quot]ในสมัยทรงพระผนวช[/FONT]
    [FONT=&quot]ในหลวงไม่ทรงสวมฉลองพระบาท [/FONT]
    [FONT=&quot]และเสด็จฯ ไปด้วยพระบาทเปล่าทุกแห่ง[/FONT]
    [FONT=&quot]ทรงปฏิบัติกิจวัตรต่าง ๆ อย่างสมบูรณ์และ[/FONT]
    [FONT=&quot]ทรงรักษาเวลา เมื่อตีระฆังลงโบสถ์ในวัน[/FONT]
    [FONT=&quot]ปกติทุกเช้าเย็นก็จะเสด็จ ฯ ลงโบสถ์ทันที[/FONT]
    [FONT=&quot]ทำให้พระภิกษุสามเณรทั้งวัด[/FONT]
    [FONT=&quot]พากันรักษาเวลาอย่างเคร่งครัด…[/FONT][FONT=&quot]”[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เคล็ดที่ (ไม่) ลับ เพื่อการทำ "Succession Planning"
    ˹ѧʗ;ԁ?컃ЪҪҵԸ؃?Ԩ͍?䅹젼 ൗ͹?سŨǧ˹钠?ء?Ӡ?ء?蒇

    คอลัมน์ Hr Corner ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส ประเทศไทย

    โดย กุลเวช เจนวัฒนวิทย์ หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษาทางธุรกิจ



    Succession Planning หรือการวางแผนสืบทอดตำแหน่ง กำลังเป็นโจทย์ใหญ่ท้าทาย CEO ในองค์กรต่าง ๆ อยู่ในขณะนี้ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมจะขอปันเกร็ดเล็ก เกร็ดน้อยที่จะทำให้องค์กรของท่านประสบความสำเร็จในการทำ Succession Planning ได้

    Succession Planning เน้น "กระบวนการ" หาใช่แต่ "บุคคล"

    - การทำ Succession Planning ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การชี้ตัวผู้สืบทอด หากแต่เป็นการสร้าง "ระบบการลำเลียงความเป็นผู้นำ" ของบุคลากร (Leadership Pipeline) เพื่อให้องค์กรบรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจในปัจจุบันและอนาคต

    - "สภาวะผู้นำ" ดังกล่าวจำเป็นที่จะต้องมีความสอดคล้องกับทิศทางของธุรกิจในอนาคตด้วย

    ยกตัวอย่างเช่นในองค์กรที่ต้องการขยายกิจการไปต่างประเทศ องค์กรต้องมีการพัฒนา "สมรรถนะ" ที่แตกต่างออกไปจากสมรรถนะเดิม

    ความมุ่งมั่นของเจ้าหน้าที่ในการพัฒนา "สมรรถนะ" ของตัวเอง

    - อุปสรรคใหญ่ที่เป็นตัวกีดกั้นการพัฒนา "สมรรถนะ" คือการไม่ยอมรับว่าตนเองมี "ส่วนขาด" ปัญหาดังกล่าวมักจะเกิดกับเจ้าหน้าที่ที่ประสบความสำเร็จในการนำพาองค์กรมาอยู่ในแนวหน้าได้ในปัจจุบัน ฉะนั้นจึงก่อให้เกิด "จุดบอด" โดยไม่ยอมรับว่า "ความเก่ง" ของตนอาจไม่สอดคล้องกับสมรรถนะที่จะสามารถนำพาองค์กรให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จในอนาคตได้

    *ในหลาย ๆ องค์กร จึงสรรหาวิธีการที่ทำให้บุคลากรของตน โดยเฉพาะบุคลากรในระดับบริหารได้ตระหนักและยอมรับถึง "ส่วนขาด" ของตน โดยจัดทำโครงการ Executive Development Centre ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นการจำลองสถานการณ์ของการบริหารงานในอนาคต เช่น การสร้างความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ภาครัฐในต่างประเทศ หรือการคิดแผนธุรกิจที่ต้องอาศัยการมองภาพกว้างและเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจมากกว่าการมองเพียงแค่ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับแผนกของตน โครงการ Executive Development Centre เป็นเพียงจุดเริ่มในการพัฒนา "ระบบลำเลียงความเป็นผู้นำ" แต่เป็นจุดเริ่มที่สำคัญ ละเอียดอ่อน และต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจ อีกทั้งยังต้องทำอย่างมีหลักการ และต้องมีกระบวนการในการวางแผน รวมทั้งต้องได้รับการยอมรับจากคนในองค์กร ฉะนั้นการจัดทำโครงการ ดังกล่าวให้ประสบความสำเร็จได้นั้น จำเป็นต้องมีปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

    1) มีการกำหนด "สมรรถนะ" ของกลุ่มผู้นำ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจในอนาคต ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว จากนั้นจึงนำ "สมรรถนะ" ดังกล่าวมาจำลองเป็นกิจกรรมหรือสถานการณ์ เพื่อวัด "ความเก่ง" ของบุคลากรแต่ละท่าน รวมถึงส่วนขาด (gap) ของตนที่ยังคงต้องได้รับการพัฒนาต่อไป กิจกรรมบางกิจกรรมอาจเป็นการร่วม รับประทานอาหารระหว่างคู่ค้ากับผู้ร่วมโครงการ เพื่อสังเกตความสามารถในการเปิดประเด็นในการสนทนา การสร้างความสัมพันธ์ และการมองหาโอกาสทางธุรกิจในอนาคต

    2) กระบวนการในการประเมินสมรรถนะของผู้ร่วมโครงการ จะต้องสามารถอ้างอิงได้จากการสังเกตพฤติกรรม (Evident Base) ผ่านกิจกรรมหรือ สถานการณ์จำลองที่อธิบายได้อย่างโปร่งใสและเป็นกลาง กระบวนการการประเมินสมรรถนะที่อ้างอิงได้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะทำให้ผู้เข้าร่วมโครงการเปิดใจยอมรับ "ส่วนขาด" ของตน โดยไม่เคลือบแคลงว่าถูกประเมินผลโดยมีอคติจากผู้ประเมิน

    3) ก่อนเริ่มโครงการมีการทำความเข้าใจกับกลุ่มบุคคลที่จะเข้าโครงการ เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของโครงการอย่างชัดเจน หากไม่มีการสื่อสารถึงความจำเป็นของโครงการกับผู้เข้าร่วมโครงการตั้งแต่แรก อาจก่อให้เกิดความระแวง การต่อต้าน และความย่อท้อ พนักงานหลายท่านจะสงสัยว่าโครงการเป็นการแข่งขันเพื่อเฟ้นหา CEO คนใหม่ ซึ่งความเข้าใจดังกล่าวอาจก่อให้เกิดการแตกแยก จึงต้องมีการทำความเข้าใจว่าโครงการนี้ไม่ใช่การแข่งขันชิงตำแหน่ง หากแต่เป็นการมององค์กรไปในอนาคตระยะไกล ที่อาจจะมีตำแหน่งระดับสูง ใหม่ ๆ ซึ่งยังไม่มีในปัจจุบันอันเรียกว่า "CEO Level Positions" ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้ตำแหน่ง CEO เช่น "Regional Director of Sales & Marketing" เป็นต้น

    อีกสิ่งที่ต้องมีการทำความเข้าใจคือ Executive

    Development Centre เป็นแค่ "จุดเริ่ม" ของการพัฒนาสภาวะผู้นำ ส่วนขั้นตอนการพัฒนาจริง ๆ อาจต้องใช้เวลานานตั้งแต่ 1-3 ปี จึงควรต้องริเริ่มโครงการตั้งแต่เนิ่น ๆ

    แรงผลักดันในการทำ "Succession Planning" ให้มีความต่อเนื่อง

    - ผู้นำองค์กร ถือเป็นหัวจักรสำคัญในการผลักดัน "Succession Planning" ให้เกิดขึ้น จากจุดนี้คงไม่มีใครเถียง แต่ในหลาย ๆ ครั้ง ภาระดังกล่าวกลับถูกผลักไปให้ CEO โดยคณะกรรมการบริษัทจะเป็น ผู้ให้หลักการ แต่ยังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องมากเท่าที่ควรที่จะช่วยให้ CEO เข้าถึงรากของปัญหาในการพัฒนาเจ้าหน้าที่ระดับสูงได้ ฉะนั้น CEO จึงตกอยู่ในภาวะ "กลืนไม่เข้า คายไม่ออก" เพราะการพัฒนากลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรง เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ในบางครั้งอาจเกิดการกระทบกระทั่งกันได้ อันเนื่องมาจากมุมมองที่แตกต่างกัน และที่สำคัญที่สุดคือเมื่อมีการพูดถึง "ส่วนขาด" หรือ "ข้อด้อย" ของตน

    - สำหรับบางองค์กร จะเปิดโอกาสให้ "ผู้ใหญ่" ในองค์กร เช่น กรรมการบริษัทบางคน เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการ Executive Development Centre ซึ่งทำให้คณะกรรมการได้เข้าใจถึงศักยภาพที่แท้จริงของเจ้าหน้าที่ระดับสูง อีกทั้งยังก่อให้เกิดสายสัมพันธ์ระหว่างคณะกรรมการกับ เจ้าหน้าที่ระดับสูงอีกด้วย เพราะก่อนหน้านั้น นอกจากการประชุมคณะกรรมการและงานสังสรรค์ บริษัทพวกเขาแทบจะไม่มีโอกาสพบกันเลย สายสัมพันธ์ดังกล่าวนี้จะเป็น ตัวผลักดันให้วาระ "Succession Planning" เป็น "วาระแห่งชาติ" และได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรมจากคณะ กรรมการในทุก ๆ ครั้งที่มีการประชุมคณะกรรมการอีกด้วย

    เคล็ดลับดังกล่าวที่ผมสรุปมา เปรียบเสมือนตัวช่วยให้องค์กรสามารถสร้าง "ระบบการลำเลียงความเป็นผู้นำ" (Leadership Pipeline) เพื่อให้องค์กรสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจได้ นี่แหละครับ จะทำให้องค์กรมีความต่อเนื่องในการบริหารงาน และสามารถประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนในยุคโลกาภิวัตน์ รวมทั้งยังช่วยให้องค์กรบรรลุความสำเร็จในการทำ "Succession Planning" ให้มีประสิทธิภาพอีกเช่นกัน

    ขอเอาใจช่วยท่าน CEO ทั้งหลายนะครับ

    http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02hmc03151052&sectionid=0220&day=2009-10-15
     
  3. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  4. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 9 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 5 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>nongnooo, dragonlord, narin96 </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้าวหวาดดีน้อง พี่ว่าควร รีบไปเลยนะครับ จะได้ไม่ถ่วงตลาด555 หุ หุ
     
  5. littlelucky

    littlelucky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +1,938
    <table id="post2510450" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="thead" style="border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255); border-width: 1px 0px 1px 1px; font-weight: normal;">[​IMG] วันนี้, 07:32 PM </td> <td class="thead" style="border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color; border-width: 1px 1px 1px 0px; font-weight: normal;" align="right"> #17711 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255); border-width: 0px 1px;" width="175"> <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->littlelucky<!-- google_ad_section_end --> <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_2510450", true); </script>
    ทีม ตรวจทานพระไตรปิฏก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Oct 2005
    ข้อความ: 218
    Groans: 22
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 10,172
    ได้รับอนุโมทนา 2,089 ครั้ง ใน 223 โพส
    พลังการให้คะแนน: 194 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_2510450" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <!-- google_ad_section_start -->คิดว่าคงจะเป็นภาพหาดูได้ค่อนยากมากมาก นะจ๊ะบอกให้ .. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวช



    รูป ภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวช หามาเพิ่มให้แล้ว.......จ้า

    อนุโมทนาครับ<!-- google_ad_section_end -->
    </td></tr></tbody></table>
     
  6. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ขอพระองค์ทรงพระเจริญครับ
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เคล็ดที่ (ไม่) ลับ เพื่อการทำ "Succession Planning"
    ˹ѧʗ;ԁ?컃ЪҪҵԸ؃?Ԩ͍?䅹젼 ൗ͹?سŨǧ˹钠?ء?Ӡ?ء?蒇

    คอลัมน์ Hr Corner ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส ประเทศไทย

    โดย กุลเวช เจนวัฒนวิทย์ หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษาทางธุรกิจ



    Succession Planning หรือการวางแผนสืบทอดตำแหน่ง กำลังเป็นโจทย์ใหญ่ท้าทาย CEO ในองค์กรต่าง ๆ อยู่ในขณะนี้ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมจะขอปันเกร็ดเล็ก เกร็ดน้อยที่จะทำให้องค์กรของท่านประสบความสำเร็จในการทำ Succession Planning ได้

    Succession Planning เน้น "กระบวนการ" หาใช่แต่ "บุคคล"

    - การทำ Succession Planning ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การชี้ตัวผู้สืบทอด หากแต่เป็นการสร้าง "ระบบการลำเลียงความเป็นผู้นำ" ของบุคลากร (Leadership Pipeline) เพื่อให้องค์กรบรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจในปัจจุบันและอนาคต

    - "สภาวะผู้นำ" ดังกล่าวจำเป็นที่จะต้องมีความสอดคล้องกับทิศทางของธุรกิจในอนาคตด้วย

    ยกตัวอย่างเช่นในองค์กรที่ต้องการขยายกิจการไปต่างประเทศ องค์กรต้องมีการพัฒนา "สมรรถนะ" ที่แตกต่างออกไปจากสมรรถนะเดิม

    ความมุ่งมั่นของเจ้าหน้าที่ในการพัฒนา "สมรรถนะ" ของตัวเอง

    - อุปสรรคใหญ่ที่เป็นตัวกีดกั้นการพัฒนา "สมรรถนะ" คือการไม่ยอมรับว่าตนเองมี "ส่วนขาด" ปัญหาดังกล่าวมักจะเกิดกับเจ้าหน้าที่ที่ประสบความสำเร็จในการนำพาองค์กรมาอยู่ในแนวหน้าได้ในปัจจุบัน ฉะนั้นจึงก่อให้เกิด "จุดบอด" โดยไม่ยอมรับว่า "ความเก่ง" ของตนอาจไม่สอดคล้องกับสมรรถนะที่จะสามารถนำพาองค์กรให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จในอนาคตได้

    *ในหลาย ๆ องค์กร จึงสรรหาวิธีการที่ทำให้บุคลากรของตน โดยเฉพาะบุคลากรในระดับบริหารได้ตระหนักและยอมรับถึง "ส่วนขาด" ของตน โดยจัดทำโครงการ Executive Development Centre ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นการจำลองสถานการณ์ของการบริหารงานในอนาคต เช่น การสร้างความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ภาครัฐในต่างประเทศ หรือการคิดแผนธุรกิจที่ต้องอาศัยการมองภาพกว้างและเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจมากกว่าการมองเพียงแค่ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับแผนกของตน โครงการ Executive Development Centre เป็นเพียงจุดเริ่มในการพัฒนา "ระบบลำเลียงความเป็นผู้นำ" แต่เป็นจุดเริ่มที่สำคัญ ละเอียดอ่อน และต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจ อีกทั้งยังต้องทำอย่างมีหลักการ และต้องมีกระบวนการในการวางแผน รวมทั้งต้องได้รับการยอมรับจากคนในองค์กร ฉะนั้นการจัดทำโครงการ ดังกล่าวให้ประสบความสำเร็จได้นั้น จำเป็นต้องมีปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

    1) มีการกำหนด "สมรรถนะ" ของกลุ่มผู้นำ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจในอนาคต ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว จากนั้นจึงนำ "สมรรถนะ" ดังกล่าวมาจำลองเป็นกิจกรรมหรือสถานการณ์ เพื่อวัด "ความเก่ง" ของบุคลากรแต่ละท่าน รวมถึงส่วนขาด (gap) ของตนที่ยังคงต้องได้รับการพัฒนาต่อไป กิจกรรมบางกิจกรรมอาจเป็นการร่วม รับประทานอาหารระหว่างคู่ค้ากับผู้ร่วมโครงการ เพื่อสังเกตความสามารถในการเปิดประเด็นในการสนทนา การสร้างความสัมพันธ์ และการมองหาโอกาสทางธุรกิจในอนาคต

    2) กระบวนการในการประเมินสมรรถนะของผู้ร่วมโครงการ จะต้องสามารถอ้างอิงได้จากการสังเกตพฤติกรรม (Evident Base) ผ่านกิจกรรมหรือ สถานการณ์จำลองที่อธิบายได้อย่างโปร่งใสและเป็นกลาง กระบวนการการประเมินสมรรถนะที่อ้างอิงได้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะทำให้ผู้เข้าร่วมโครงการเปิดใจยอมรับ "ส่วนขาด" ของตน โดยไม่เคลือบแคลงว่าถูกประเมินผลโดยมีอคติจากผู้ประเมิน

    3) ก่อนเริ่มโครงการมีการทำความเข้าใจกับกลุ่มบุคคลที่จะเข้าโครงการ เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของโครงการอย่างชัดเจน หากไม่มีการสื่อสารถึงความจำเป็นของโครงการกับผู้เข้าร่วมโครงการตั้งแต่แรก อาจก่อให้เกิดความระแวง การต่อต้าน และความย่อท้อ พนักงานหลายท่านจะสงสัยว่าโครงการเป็นการแข่งขันเพื่อเฟ้นหา CEO คนใหม่ ซึ่งความเข้าใจดังกล่าวอาจก่อให้เกิดการแตกแยก จึงต้องมีการทำความเข้าใจว่าโครงการนี้ไม่ใช่การแข่งขันชิงตำแหน่ง หากแต่เป็นการมององค์กรไปในอนาคตระยะไกล ที่อาจจะมีตำแหน่งระดับสูง ใหม่ ๆ ซึ่งยังไม่มีในปัจจุบันอันเรียกว่า "CEO Level Positions" ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้ตำแหน่ง CEO เช่น "Regional Director of Sales & Marketing" เป็นต้น

    อีกสิ่งที่ต้องมีการทำความเข้าใจคือ Executive

    Development Centre เป็นแค่ "จุดเริ่ม" ของการพัฒนาสภาวะผู้นำ ส่วนขั้นตอนการพัฒนาจริง ๆ อาจต้องใช้เวลานานตั้งแต่ 1-3 ปี จึงควรต้องริเริ่มโครงการตั้งแต่เนิ่น ๆ

    แรงผลักดันในการทำ "Succession Planning" ให้มีความต่อเนื่อง

    - ผู้นำองค์กร ถือเป็นหัวจักรสำคัญในการผลักดัน "Succession Planning" ให้เกิดขึ้น จากจุดนี้คงไม่มีใครเถียง แต่ในหลาย ๆ ครั้ง ภาระดังกล่าวกลับถูกผลักไปให้ CEO โดยคณะกรรมการบริษัทจะเป็น ผู้ให้หลักการ แต่ยังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องมากเท่าที่ควรที่จะช่วยให้ CEO เข้าถึงรากของปัญหาในการพัฒนาเจ้าหน้าที่ระดับสูงได้ ฉะนั้น CEO จึงตกอยู่ในภาวะ "กลืนไม่เข้า คายไม่ออก" เพราะการพัฒนากลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรง เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ในบางครั้งอาจเกิดการกระทบกระทั่งกันได้ อันเนื่องมาจากมุมมองที่แตกต่างกัน และที่สำคัญที่สุดคือเมื่อมีการพูดถึง "ส่วนขาด" หรือ "ข้อด้อย" ของตน

    - สำหรับบางองค์กร จะเปิดโอกาสให้ "ผู้ใหญ่" ในองค์กร เช่น กรรมการบริษัทบางคน เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการ Executive Development Centre ซึ่งทำให้คณะกรรมการได้เข้าใจถึงศักยภาพที่แท้จริงของเจ้าหน้าที่ระดับสูง อีกทั้งยังก่อให้เกิดสายสัมพันธ์ระหว่างคณะกรรมการกับ เจ้าหน้าที่ระดับสูงอีกด้วย เพราะก่อนหน้านั้น นอกจากการประชุมคณะกรรมการและงานสังสรรค์ บริษัทพวกเขาแทบจะไม่มีโอกาสพบกันเลย สายสัมพันธ์ดังกล่าวนี้จะเป็น ตัวผลักดันให้วาระ "Succession Planning" เป็น "วาระแห่งชาติ" และได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรมจากคณะ กรรมการในทุก ๆ ครั้งที่มีการประชุมคณะกรรมการอีกด้วย

    เคล็ดลับดังกล่าวที่ผมสรุปมา เปรียบเสมือนตัวช่วยให้องค์กรสามารถสร้าง "ระบบการลำเลียงความเป็นผู้นำ" (Leadership Pipeline) เพื่อให้องค์กรสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจได้ นี่แหละครับ จะทำให้องค์กรมีความต่อเนื่องในการบริหารงาน และสามารถประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนในยุคโลกาภิวัตน์ รวมทั้งยังช่วยให้องค์กรบรรลุความสำเร็จในการทำ "Succession Planning" ให้มีประสิทธิภาพอีกเช่นกัน

    ขอเอาใจช่วยท่าน CEO ทั้งหลายนะครับ

    ˹ѧ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มท.ตั้งตู้อัจฉริยะบริการประชาชน

    ��з�ǧ��Ҵ��� ��秵��� ��� MPM ��ԡ�� �����¹��ɮ��



    [​IMG]


    มท.ตั้งตู้อัจฉริยะบริการประชาชน (ไทยรัฐ)

    ระบุตู้บริการอเนกประสงค์เบื้องต้นให้บริการได้ 12 ตู้ แบ่งเป็นกทม. 3 เขต และกระจายตามจังหวัด ชี้ตู้ดังกล่าวสามารถจะช่วยประชาชนประหยัดเวลาการทำธุระทางอำเภอได้

    จากกรณีที่กระทรวงมหาดไทย เริ่มการทำบัตรประชาชนอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อช่วงกลางปี 2551 โดยการฝังไอซีซิพ ซึ่งทำหน้าที่เหมือนคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋ว สามารถเก็บข้อมูลได้มากกว่าเดิมหนึ่งเท่าตัว คือจาก 32 Kbyte เป็น 64 Kbyte ด้านหน้าบัตรมีรูปครุฑ และมีการพิมพ์มาตรการป้องกันการปลอมแปลง รวม 12 จุด อีกทั้งยังสามารถยืนยันตัวบุคคลผู้เป็นเจ้าของบัตรด้วยลายพิมพ์นิ้วมือหรือรหัสลับประจำตัว เพื่อรองรับการใช้งานระบบอินเทอร์เน็ตและตู้บริการอเนกประสงค์ หรือ MPM

    ความคืบหน้าล่าสุด ขณะนี้ทางกระทรวงมหาดไทยได้สั่งเครื่อง MPM เพื่อให้บริการประชาชนในระยะแรกจำนวน 12 เครื่อง โดยใช้ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 3 เครื่อง ได้แก่ในเขตบางเขน บางขุนเทียน และนางเลิ้ง ส่วนอีก 9 ตู้ จะจัดให้ตามจังหวัดต่าง ๆ ที่ได้รับรางวัลสำนักทะเบียนดีเด่น จากกระทรวงมหาดไทย เนื่องการใช้บริการตู้ดังกล่าวในระยะแรกจะต้องมีเจ้าหน้าที่คอยให้ความรู้ เพราะประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ข้อมูลและการใช้บริการตู้ดังกล่าว

    ทั้งนี้ ตู้ MPM สามารถให้บริการได้ 6 อย่าง คือ

    1.ทะเบียนราษฎร ให้บริการตรวจสอบและคัดรับรองรายการบุคคล, ปรับปรุงทะเบียนด้วยตนเอง, การย้ายปลายทางอัตโนมัติ และการตรวจสอบและคัดรับรองรายการสูติบัตร

    2. ทะเบียนบัตรประจำตัวประชาชน ให้บริการตรวจสอบและคัดรับรองรายการบัตร, การปรับปรุงข้อมูลในบัตร, การตรวจสอบและคัดสำเนาหน้าบัตร และการเปลี่ยนรหัส Pin Code

    3. ทะเบียนชื่อสกุล ให้บริการตรวจสอบชื่อสกุลที่จะจัดตั้ง, ตรวจสอบประวัติการตั้งชื่อสกุล, ตรวจสอบประวัติให้ร่วมใช้ชื่อสกุล และตรวจสอบจดทะเบียนชื่อตัวเอง

    4. ทะเบียนครอบครัว ให้บริการตรวจสอบคัดรับรองรายการทะเบียนสมรส ทะเบียนหย่าและทะเบียนรับรองบุตร

    5. ทะเบียนเลือกตั้ง ให้บริการตรวจสอบสิทธิและการใช้สิทธิเลือกตั้ง, ตรวจสอบการลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตจังหวัด, ลงทะเบียนและยกเลิกการลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร และยกเลิกการลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตจังหวัด

    และ 6. ทะเบียนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบสิทธิการรักษาพยาบาล การตรวจสอบหนังสือเดินทาง การตรวจสอบการขึ้นทะเบียนทหาร และการตรวจสอบใบขับขี่ เป็นต้น

    อย่างไรก็ตามการให้บริการตู้ดังกล่าว ขณะนี้ยังติดกฎหมายการทำธุรกรรมที่ระบุว่า จะต้องทำต่อหน้านายทะเบียนเท่านั้น หากกฎหมายดังกล่าวผ่านและสามารถให้บริการผ่านตู้ MPM ได้จะทำให้ประชาชนสะดวกต่อการรับบริการอย่างมาก


    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ตุลาคม 2009
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ระวัง 'โรคหัวใจ-มะเร็ง' ถามหา เมื่อไร้งาน 'หลังเกษียณ'
    Life & Family - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>16 ตุลาคม 2552 12:05 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> วิจัยเผย นอกจากอัลไซเมอร์จะถามหาชีวิตหลังเกษียนที่สุขสบายไม่ได้ทำงานอะไรเลยนั้น ล่าสุดพบอัตราเสี่ยงโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคอื่นๆตามมาเป็นลำดับอีกด้วย

    เมื่อคนเราทำงานหาเลี้ยงครอบครัวมาได้สักพักใหญ่ จนเริ่มเข้าสู่วัยที่ต้องเริ่มวางมือจากการทำงานบ้างแล้วนั้น หลายคนเริ่มวางแผนพักผ่อน ปลดเกษียณตัวเอง อยู่บ้านสบายๆ ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเที่ยว พักผ่อนตามใจชอบ แต่ทว่านักวิจัยเปิดเผยว่า ชีวิตหลังเกษียณนั้น หากไม่มีกิจกรรม หรือการงานอะไรให้ทำ ให้คิดเสียเลยจะเสี่ยงต่อโรคร้ายหลายเท่าตัวเมื่อเทียบกับคนที่ยังคงมีงานทำอยู่ และส่งผลให้อายุสั้นลงไปอีกด้วย

    ดร. โม หวัง หัวหน้าโครงการศึกษาในครั้งนี้ กล่าวว่า การที่คนเราทำงานมาทั้งชีวิตแล้ววันหนึ่งปลดตัวเองออกจากชีวิตการทำงานทันทีนั้น อาจส่งผลกระทบทำให้เสียชีวิตเร็วขึ้น เพราะการปรับตัวที่ต้องใช้เวลานานทำให้บางคนมีอาการเหงา เป็นโรคซึมเศร้า อันก่อให้เกิดโรคอื่นๆตามมาอีกนับไม่ถ้วน

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพจากเดลิเมล</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> อย่างไรก็ดี สถาบันการเกษียณอายุแห่งชาติของอเมริกา ระบุว่า จากการสอบถามอาสาสมัครกว่า 12,000 ราย ในเรื่องของสุขภาพและการเกษียณอายุ พบว่า ในทุกๆ 2 ปี คนที่มีอายุระหว่าง 51-61 ปี ส่วนใหญ่แล้วจะวางแผนปลดเกษียณตัวเองในช่วง 58 ปี ซึ่งตัวเลขโดยเฉลี่ยนี้คงที่มานากกว่า 6 ปีแล้ว

    ดร.หวัง ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ และทีมงานพบว่า อัตราของผู้คนกลุ่มนี้จะเริ่มมีปัญหาในช่วงหลังจากเกษียณ ไม่ว่าจะเป็น โรคความดันสูง โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคปอด โรคหัวใจ การอุดตันในเส้นเลือด และปัญหาเรื่องสุขภาพจิต

    “คนที่ยังคงทำงานบ้างเล็กๆน้อยๆในช่วงที่ตัวเองเกษียณแล้วนั้น จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่างๆได้น้อยมาก ซึ่งแตกต่างจากคนที่อยู่บ้านเพียงลำพัง ไม่มีกิจกรรมอะไรเลย”
    ทั้งนี้ ทีมงานพบอีกว่า งานสำหรับคนที่เกษียณแล้วสามารถทำได้และมีความสุขด้วย ก็คืองานที่เขาทำมาทั้งชีวิต ซึ่งการได้ทำงาน มีกิจกรรมร่วมกันคนอื่นนั้น นับเป็นยาบำบัดขนานเอกที่ได้ผลมากทีเดียว โดยอาชีพในที่นี้ยกตัวอย่างเช่น พ่อเป็นครู เมื่อเกษียณแล้วก็อาจหาพื้นที่ได้พอยังคงสานงานดีๆ สร้างคนดีๆ และยังเป็นการเพิ่มคุณค่าในชีวิตตนเองอีกด้วย

    ขณะเดียวกัน หากคนไหนคิดไว้ว่าจะอยู่เฉยๆ ไม่มีกิจกรรมทำอะไรเลยนั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะสุขสบายไปตลอด เพราะในต่างประเทศนั้นพบว่า คนแก่กลุ่มนี้จะมีปัญหาด้านสุขภาพจิตมากพอควร แทนที่จะอยู่บ้านอย่างมีความสุข กลับต้องมาโรงพยาบาล เข้ารับการรักษาและเปิดพื้นที่ให้พวกเขาอยู่ร่วมกันกับคนในสังคมต่อไป

    ดังนั้น หากคนในครอบครัวกำลังจากเกษียณ ก็ขอให้ทุกคนได้หันหน้ามาคุยกัน แล้วช่วยกันระดมความคิดว่า ชีวิตหลังเกษียณจะไปในทิศทางใด ก่อนที่จะมานอนพักอยู่กับบ้านจนความจำเริ่มหายไป ชีวิตเริ่มสั้นลง และหาคำว่า “สุข” ไม่ได้แม้สักช่วงหนึ่งของชีวิต

    เรียบเรียงข้อมูลบางส่วนจาก เดลิเมล
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>“ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์” รับสั่งถึงพระอาการประชวร “ในหลวง” ทรงดีขึ้นแล้ว
    Quality of Life - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>16 ตุลาคม 2552 21:25 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=406 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=406>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ ทรงมีรับสั่งถึงพระอาการในหลวงดีขึ้นเป็นลำดับ พระหทัยเป็นปกติดี ไม่มีอะไรเป็นอันตรายแล้ว เสวยได้เกือบปกติ ทรงท้าดวลเสวยซุปผัก คณะแพทย์ถวายการดูแลเพียงเรื่องกายภาพบำบัดเพื่อให้ทรงพระดำเนินได้คล่องแคล่วเหมือนเดิม ทรงเผย สมเด็จพระนางเจ้าฯ และสมเด็จพระเทพฯ ทรงเฝ้าไข้อยู่ตลอด

    สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงมีพระดำรัสรับสั่งแก่ข้าราชการในสถานเอกอัครราชทูตไทย และนักศึกษาไทยที่อยู่ที่ประเทศเยอรมนี ในการเสด็จฯ เยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระหว่างวันที่ 13-17 ตุลาคม 2552 ถึงพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า

    “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประชวรตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน ด้วยพระอาการที่ทรงมีไข้ และก็หมอตรวจพบว่ามีอาการปอดอักเสบ ก็ได้ทรงเข้ารับการรักษาพระองค์ที่ รพ.ศิริราช ที่ตึกเฉลิมพระเกียรติ กาญจนาภิเษก ตั้งแต่วันที่ 19 มา พระอาการก็ดีขึ้นเป็นลำดับ แต่ในช่วงอาทิตย์แรกที่ทรงเข้าโรงพยาบาลนั้น ทรงมีไข้สูงมาก ทำให้ทรงไม่สามารถลุกขึ้นได้ เพราะว่าทรงไม่มีแรงตอนที่เป็นไข้สูงๆ

    ขณะนี้ไข้ได้ลดลงมาแล้ว เหลือแต่ตอนนี้หมอยังติดตามพระอาการใกล้ชิด ดูว่าปอดเป็นอย่างไร คือ เท่าที่เอกซเรย์มาก็ดีขึ้น ดีขึ้น ปอดเคลียร์ขึ้น ไม่มีน้ำ ไม่มีอะไรแล้ว และอาการทางพระหทัยก็เป็นปกติดี และก็ขณะนี้ที่แพทย์ถวายการดูแลอยู่ คือ เรื่องการทำกายภาพบำบัด อันนี้เป็นธรรมดาของผู้ที่ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ถ้านอนอยู่บนเตียงนานๆ หลายวัน คือไม่ต้องผู้สูงอายุ อย่างตัวข้าพเจ้าเองตอนที่ผ่าตัดออกลูก นอนอยู่บนเตียง 2 วัน ยังรู้สึกว่าเดินไม่ค่อยมั่นคง คือ มันลำบาก เดินลำบาก เพราะว่ากล้ามเนื้อล้า ไม่ได้ออกกำลังกายมานาน

    ตอนนี้ที่หมอทำถวายพระเจ้าอยู่หัว คือ ทำกายภาพบำบัด เพื่อจะให้ทรงยืน ทรงเดินได้คล่องแคล่วอย่างเดิม อันนี้ทำกายภาพบำบัดต้องใช้เวลาสักนิดหนึ่ง จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมที่ยังไม่ได้เสด็จออกจาก รพ.ศิริราช แต่พระอาการแพทย์บอกว่าไม่มีอะไรที่อันตรายแล้ว ทุกวันนี้ทรงพูด ทรงคุย เดี๋ยวนี้ก็เสวยอาหารได้เกือบเป็นปกติ คือ เสวยได้มากทีเดียว

    ตอนที่เข้าโรงพยาบาลใหม่ๆ ต้องถวายอาหารทางเส้น เพราะไข้สูงท่านก็ไม่อยากเสวย แต่ตอนนี้พอไม่มีไข้ ท่านก็เสวยได้อย่างปกติ จนต้องมีเล่าเกร็ดตลกสนุกๆ คือว่า ตัวข้าพเจ้าเองก็ไปถวายดูแลพระอาการอยู่ที่ศิริราช

    คนที่เฝ้าไข้อยู่นี่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเฝ้าไข้อยู่ตลอดไม่เสด็จไหนเลย ประทับอยู่ที่ รพ.ศิริราชตลอด และเสด็จเข้าไปดูพระอาการตลอด ทรงไม่ได้เสด็จไหนจริงๆ ทรงเฝ้าฯ อยู่ และมีสมเด็จพระเทพรัตนฯ ที่ค้างอยู่ที่โรงพยาบาลรวมทั้งตัวข้าพเจ้าเองก่อนมาก็ค้างที่โรงพยาบาลคอยดูแลท่านอยู่ ก็มีสนุกขำๆ คือว่าตัวข้าพเจ้าเองขึ้นไปเฝ้าท่าน บางครั้งขึ้นไปเฝ้าฯ ท่านตอนเสวยข้าว ท่านก็ทรงท้าบอกมาดวลกันไหม รับประทานแข่งกันไหม ท่านรู้ข้าพเจ้าตั้งแต่เล็กมาแล้ว กินผักไม่เป็น ไม่กินผัก แล้วท่านก็บอกว่า วันนี้มีซุปผักขม บอกมาดวลกันไหม ก็ทูลท่านว่า ดวลก็ดวล รับประทานถวายพ่อองค์เดียวนะ เพราะกับคนอื่น แหม จะให้กล้ำกลืนทานซุปผักนี่ก็คงแย่เหมือนกัน แต่วันนั้นก็ได้รับประทานซุปผักถวายท่านไป 1 ชาม ท่านก็เสวยซุปผักเหมือนกัน 1 ชาม

    ทรงดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ ก็เหลือแต่ว่าต้องทำกายภาพบำบัด เรื่องการทรงพระดำเนินจะได้ทรงคล่องขึ้น และพระกำลังขาจะได้ดีขึ้นเท่านั้น
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "ถือศิล-อิ่มบุญ"ทั่วทิศ ร่วมงาน"กินเจ"ทั่วไทย

    รายงานพิเศษ

    ˹ѧ





    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เทศกาลกินเจ ประเพณีสำคัญของชาวจีนทั่วโลก กำหนดเอาวันตามจันทรคติ เริ่มต้นตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึง ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีนทุกๆ ปี รวม 9 วัน 9 คืน

    การกินเจ หรือตามสำเนียงภาษาจีนแต้จิ๋ว ว่า "เจียะแจ" แปลว่า การกินอาหารที่บริสุทธิ์ หมายความถึงอาหารที่ไม่คาวหรือไม่เจือปนซากผลิตภัณฑ์ของสัตว์ รวมทั้งไม่ปรุงใส่พืชผักต้องห้าม

    ในช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน 9 คืน ผู้ที่ต้องการกินเจอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามประเพณีการกินเจ จะต้องงดเว้นเนื้อสัตว์หรือทำอันตรายต่อสัตว์ งดนม เนย และน้ำมันที่มาจากสัตว์ งดอาหารรสจัด เผ็ด หวานมาก เปรี้ยวมาก เค็มมาก งดผักหรือเครื่องเทศที่มีกลิ่นแรง เช่น กระเทียม หัวหอม ต้นหอม กุยช่าย รวมทั้งใบยาสูบ สิ่งเสพติดและของมึนเมาต่างๆ

    รักษาศีลห้า รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์ ทำบุญทำทาน และนุ่งขาวห่มขาว

    สำหรับงานเทศกาลกินเจในปีนี้จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 18-26 ตุลาคม

    ประเทศไทยที่มีชาวไทยเชื้อสายจีนกระจายไปอยู่ในทุกภูมิภาค จึงมีการจัดงานเทศกาลกินเจในทุกจังหวัดทั่วประเทศ แต่ละแห่งมีการจัดงานเพื่อเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ จนหลายแห่งกลายเป็นประเพณีที่อยู่ในปฏิทินท่องเที่ยวประจำปี



    เทศกาลถือศีลกินเจที่ปัตตานี ทำความดีเพื่อถวายในหลวง

    จังหวัดปัตตานี แม้เป็นดินแดนที่มีผู้นับถือศาสนาอิสลามมากว่าร้อยละ 87 ของประชากรทั้งหมด แต่มีการจัดเทศกาลกินเจมาอย่างยาวนานกว่า 100 ปี

    นอกจากชาวไทยเชื้อสายจีนในพื้นที่จะเคร่งครัดต่อประเพณีที่สืบทอดมาแต่โบราณแล้ว อีกส่วนหนึ่งมาจากในตัวจังหวัดเป็นที่ตั้งของ "ศาลเจ้าเล่งจู่เกียง" ที่ประดิษฐานขององค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ที่ชาวไทยเชื้อสายจีน และชาวจีนจากทั่วโลก ให้ความเคารพศรัทธาเป็นอย่างมาก

    ปีนี้เทศบาลเมืองปัตตานี ร่วมกับองค์กรต่างๆ อาทิ มูลนิธิเทพปูชนียสถาน มูลนิธิท่งเต็กเซี่ยงตึ๊งปัตตานี มูลนิธิโรงเรียนจ้องฮั้วปัตตานี มูลนิธิจ้าวเองสือ มูลนิธิปัตตานีสงเคราะห์ สมาคมไหหนำ และสมาคมฮากกาปัตตานี

    กำหนดจัดงานเทศกาลกินเจที่บริเวณหน้า ศาลเจ้าเล่งจู่เกียง (ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว) เพื่อเป็นการถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว

    และอนุรักษ์ประเพณีการถือศีลกินเจของชาวปัตตานีให้ดำรงสืบไป อีกทั้งยังเป็นกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เกิดการหมุนเวียนด้านเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดความรักสามัคคีและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับจังหวัด
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    กำหนดให้มีพิธียกเสาเทวดา ในเวลา 16.00 น. วันที่ 17 ต.ค. เทศบาลเมืองปัตตานีเป็นเจ้าภาพจัดเลี้ยงอาหารเจ 2 มื้อ คือ ในวันแรกของการกินเจ และวันที่ 26 ต.ค.เวลา 11.30 น. วันสุดท้ายของการกินเจ

    สำหรับมื้ออื่น มูลนิธิเทพปูชนียสถาน จัดอาหารเจให้บริการแก่ผู้ที่มาท่องเที่ยววันละ 3 มื้อ ตลอดเทศกาล พร้อมเชิญชวนทุกท่านร่วมงานเทศกาลกินเจ และร่วมประดับโคมไฟตามอาคารบ้านเรือน เพื่อสร้างสีสันสวยงามให้กับเมืองปัตตานี



    ทำบุญชำระกาย-ไหว้พระคู่เมือง

    โรงเจวัดโสธรวรารามวรวิหาร จ.ฉะเชิงเทรา เริ่มเทศกาลกินเจ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. วันที่ 17 ต.ค. ทำพิธีอัญเชิญเทวดา และเริ่มพิธีกินเจ มีพิธีเดินธูปทุกวัน

    การถือศีลกินเจนั้นเป็นการสักการบูชาดวงดาว 9 ดวง และพระมหาโพธิสัตว์ ผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาต่างสละกิจทางโลกียวัตร มาร่วมใจกันบำเพ็ญมหาทานรักษาศีล ไม่นำเนื้อสัตว์มากินเพื่อต่อเติมชีวิต

    นอกจากนั้น ยังจัดเครื่องกระดาษที่ทำเป็นรูปทรง เสื้อผ้า หมวก รองเท้า กระดาษเงิน กระดาษทอง เพื่อนำไปเผาส่งให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้วตามประเพณีที่ได้ทำติดต่อสืบทอดกันมานาน

    ผู้ที่เข้าร่วมพิธีกินเจของโรงเจวัดโสธรวรารามวรวิหาร นอกจากเป็นการชำระร่างกายให้บริสุทธิ์แล้ว ยังมีโอกาสนมัสการ หลวงพ่อโสธร พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านเมือง

    โดยผู้ที่มาจากต่างจังหวัด โรงเจวัดโสธรวรารามวรวิหาร มีที่พักจัดไว้ให้บริการ รวมถึงอาหารเจ 3 มื้อทุกวัน หากตรงกับวันพระใหญ่มีการเลื้ยงข้าวต้มมื้อดึก หลังเลิกเดินธูปอีก 1 มื้อ

    ผู้ที่ต้องการจองที่พักติดต่อได้ตั้งแต่เวลา 08.00 น. วันที่ 16 ต.ค. เป็นต้นไป



    ถือศีลกินเจยิ่งใหญ่เมืองระนอง

    เทศบาลเมืองระนองร่วมกับชมรมศาลเจ้าระนอง จัดงานประเพณีถือศีลกินผักประจำปี 2552 รวม 9 วัน 9 คืน ระหว่างวันที่ 18-26 ต.ค. ณ ลานอเนกประสงค์หน้าสำนักงานเทศบาลเมืองระนอง</B>

    เพื่อเป็นการสืบทอดประเพณีถือศีลกินเจของประชาชนชาวไทยเชื้อสายจีนในจังหวัดระนอง และประชาชนทั่วไป รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการค้าขาย การท่องเที่ยวในจังหวัดระนอง
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    เปิดงานและประกอบพิธียกเสาเทวดา ในเวลา 14.30 น. วันที่ 18 ต.ค. จากนั้นทุกศาลเจ้าจะเข้าร่วมริ้วขบวนอย่างยิ่งใหญ่ ทั้งพระจีน ม้าทรง ริ้วธง ป้ายผ้า ขบวนสิงโตกวางเจา มังกรทอง แป๊ะยิ้ม ไปยังถนนสายเรืองราษฎร์ สิ้นสุดที่ลานอเนกประสงค์หน้าเทศบาลเมืองระนอง

    เวลา 18.30 น. ชมการแสดงของสิงโตกวางเจา และมังกรทองพ่นไฟ

    ในวันที่ 22 ต.ค. เวลา 10.30 น. มีพิธีอิ้วเก้งใหญ่ แห่พระประทับม้าทรงจำนวน 299 องค์ ของทุกศาลเจ้า ออกจากหน้าโรงแรมทินิดี ผ่านตัวเมืองระนอง พร้อมจุดประทัดล้านนัด

    และในแต่ละคืนจะมีศาลเจ้าหมุนเวียนมาประกอบพิธีกรรม อาทิ สวดมนต์เวียนธูป ข้ามสะพานสะเดาะเคราะห์ เคี่ยวน้ำมันบำบัดรักษา อาบน้ำมันเดือด ลุยไฟ ตั้งแต่เวลา 19.00 น.เป็นต้นไป



    กินเจหนึ่งมื้อ หมื่นชีวิตรอด

    ชมรมศาสนิกชนไทย-จีนกินเจเดือน 9 จ.นครศรีธรรมราช ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช

    กำหนดจัดประเพณีกินเจในวันที่ 17 ต.ค. เวลา 19.30 น. ณ ศาลเจ้ากวนอู ถ.ราชดำเนิน ต.ท่าวัง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ประกอบพิธีเปิดงานประเพณีกินเจเดือน 9 จังหวัดนครศรีธรรมราช ประจำปี 2552

    ชาวนครศรีธรรมราชให้ความสำคัญต่อประเพณีถือศีลกินเจ เพราะจะเป็นกุศลแก่ชีวิต ด้วยการละเว้นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ หันมาบริโภคผักและผลไม้ ไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์โลก

    และถือว่า "กินเจหนึ่งมื้อ หมื่นชีวิตรอด"

    เพื่อประกอบพิธีกรรมสักการบูชาเทพเจ้า 9 องค์ พระพุทธเจ้า 7 พระองค์ กับพระโพธิสัตว์ 2 องค์ โดยจัดงานเป็นเวลา 10 วัน ระหว่างวันที่ 17-26 ต.ค. เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนบำเพ็ญศีลกินเจ งดเว้นเนื้อสัตว์ สร้างเสริมสุขภาพอนามัย และถวายเป็นราชสักการะแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมพรรษา 82 พรรษา



    ประเพณีกินผัก ตะกั่วป่า คุณค่าแห่งวัฒนธรรม

    การประกอบพิธีกินผักครั้งแรกของเมืองตะกั่วป่า หรือที่ชาวจีนเรียกว่า "เจี๊ยะกิ๋วอ๋องฉ่าย" ตามภาษาจีนฮกเกี้ยน เกิดขึ้นในปีมะเส็ง ตรงกับวันขึ้น 1-9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน ตรงกับปี พ.ศ. 2325 ที่ศาลเจ้า "ต้าวโบ้เก้ง"

    ความเชื่อเกี่ยวกับที่มาของประเพณีกินผักมาจากหลายที่มา บ้างว่าชาวจีนที่มาอาศัยทำมาหากินในเมืองตะกั่วป่า มีความเชื่อถือศรัทธาต่อเทพเจ้าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเกิดโรคภัยไข้เจ็บไปขอพรให้หายเจ็บไข้ได้ป่วยจากเทพเจ้า

    เมื่อคราวเกิดโรคไข้ป่า ไข้มาลาเรีย โรคระบาดครั้งใหญ่ขึ้นในเมืองตะกั่วป่า ชาวจีนได้ร่วมมือกันอัญเชิญเทพเจ้า ที่เคารพบูชามาประกอบพิธีกินผัก "เจี๊ยะฉ่าย" ปรากฏว่าโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ หายไปอย่างน่าอัศจรรย์ จึงสืบทอดประเพณีนี้มาอย่างยาวนาน

    ปีนี้เพิ่มกิจกรรม "อิ่มบุญ อิ่มเจ มหากุศล" เป็นกิจกรรมกินผัก เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    ผู้ร่วมกิจกรรมจะอิ่มอร่อยพร้อมทั้งได้บุญ กับบุฟเฟต์อาหารเจนานาชนิด 129 เมนู ในราคาเพียง 9 บาท ในวันที่ 25 ต.ค. เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ณ บริเวณตลาดใหญ่ เทศบาลเมืองตะกั่วป่า จ.พังงา

    รายได้มอบให้ศาลเจ้าในพื้นที่



    กินเจสงขลา เน้นอาหารทานบุญ กินอย่างพอเพียง

    งานประเพณีถือศีล กินผัก หรือการ "กินเจ" จ.สงขลา มีการจัดงานที่ยิ่งใหญ่ทุกปี

    แต่ละปีในเทศกาลกินเจ นอกจากคนในพื้นที่จะมีการเข้าร่วมงานถือศีล กินผัก กันอย่างถ้วนหน้าแล้ว ยังมีชาวต่างชาติ เช่น มาเลเซีย และ สิงคโปร์ เดินทางมาร่วมงานบุญอย่างคึกคักด้วย

    ปี้นี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัด ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานหาดใหญ่ สมาพันธ์ธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา สมาคมมูลนิธิหาดใหญ่ และเทศบาลนครหาดใหญ่ จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 17-23 ต.ค. บริเวณสวนหย่อมมูลนิธิท่งเซียเซี้ยงตึ๊ง อ.หาดใหญ่

    วันเปิดจะมีขบวนแห่ มีขบวนอัญเชิญเจ้าที่ยิ่งใหญ่ ตระการตากว่าทุกปี มีการอัญเชิญพระและเจ้าจากศาลเจ้าต่างๆ ใน จ.สงขลา มาประดิษฐานในบริเวณงาน เพื่อให้นักท่องเที่ยว และประชาชนได้บูชา สักการะ เพื่อความเป็นสิริมงคลแห่งชีวิต

    ปีนี้จะเน้นที่ อาหารทานบุญ กินอย่างพอเพียง เลี้ยงคนทั้งเมือง 108 อาหารเจ 108 รสชาติ โดยการจัดซุ้มอาหารเจ รับการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน สมาคม มูลนิธิ ชมรม โรงแรม บริษัท ห้างร้าน และประชาชน ที่มีจิตศรัทธา คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานเทศกาลกินเจ ไม่ต่ำกว่า 30,000 คน


    http://www.khaosod.co.th/view_news.p...MHhNQzB4Tnc9PQ==

    <!-- google_ad_section_end --><!-- / message --><!-- sig -->
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิธีปฏิบัติเมื่อขับรถตกน้ำ

    คอลัมน์ คาร์ทิป

    ˹ѧ

    วิธีปฏิบัติเมื่อขับรถตกน้ำ

    คอลัมน์ คาร์ทิป

    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01car03171052&sectionid=0124&day=2009-10-17

    กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แนะวิธีปฏิบัติตนเมื่อประสบอุบัติเหตุรถตกน้ำ เมื่อรถตกลงน้ำรถจะไม่จม ลงน้ำในทันที แต่จะค่อยๆ จมจนกว่าจะถึงพื้นล่าง ผู้ประสบเหตุต้องพยายามควบคุมสติให้ได้ รีบปลดเข็มขัดนิรภัยออก โดยพยายามไม่ออกแรงใดๆ เพื่อเป็นการรักษาอากาศหายใจที่มีอยู่ในปริมาณที่จำกัด พร้อมกับปลดล็อคประตูรถทุกบาน และหมุนกระจกลงให้น้ำไหลเข้ามาในรถเพื่อปรับระดับความดัน ทั้งภายในและนอกรถให้เท่ากัน มิฉะนั้น จะเปิดประตูไม่ออกเพราะน้ำภายนอกตัวรถจะดันประตูเอาไว้

    จากนั้น ให้ยกศีรษะขึ้นให้อยู่สูงเหนือระดับน้ำ และเมื่อเห็นว่าความดันอากาศทั้งภายในและภายนอกใกล้เคียงกัน แล้วให้เปิดประตูออกให้กว้างที่สุดแล้วรีบดีดตัวออกมาจากรถ จากนั้นปล่อยตัวลอยขึ้นเหนือน้ำ

    ในกรณีที่น้ำลึกมากความมืดจะทำให้มองไม่เห็นว่าทิศไหนเหนือน้ำ จึงไม่ควรใช้วิธีว่าย เพราะอาจว่ายไปในทิศที่ไม่ได้ขึ้นเหนือน้ำ ดังนั้น ควรปล่อยตัวให้ลอยขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือลองเป่าปากดูว่าฟองอากาศลอยไปในทิศทางใด ให้ว่ายน้ำไปในทิศทางที่ฟองอากาศลอยขึ้นก็จะไม่เกิดอาการหลงน้ำ

    หากระบบการทำงานของรถเกิดขัดข้องจนไม่สามารถลดกระจกลง และเปิดประตูได้ให้ใช้ค้อนหรือเหล็กทุบกระจกด้านข้าง ไม่ควรทุบกระจกด้านหน้าหรือด้านหลังเด็ดขาด เพราะเป็นกระจกนิรภัยจะแตกยากกว่า หลังจากนั้น จึงค่อยๆ ดีดตัวออกจากรถและลอยตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การทุจริตปลอมแปลงบัตรประจำตัวประชาชน

    คอลัมน์ มุมบริการ

    ˹ѧ��;������Ԫ�����ѹ : ˹ѧ��;�����س�Ҿ ����ͤس�Ҿ�ͧ������

    สำหรับเราๆ ท่านๆ แล้ว บัตรประจำตัวประชาชนคงเป็นแค่เพียงบัตรพลาสติคใบหนึ่งที่ถูกเก็บไว้ที่ก้นกระเป๋าชั้นในสุด หรือบางท่านอาจเก็บเอาไว้ที่บ้าน ซึ่งดูไม่สมกับชื่อ "บัตรประจำตัวประชาชน" สักเท่าไหร่ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า สำหรับบุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือชนกลุ่มน้อยเผ่าต่างๆ ที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินไทยแล้ว บัตรประจำตัวประชาชนมีค่าเสียยิ่งกว่าเงินพัน เงินหมื่นเสียอีก พวกเขาพยายามให้ได้มาซึ่งเอกสารแสดงความมีสัญชาติไทยใบนี้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีที่ถูกหรือผิดกฎหมายแล ด้วยเหตุนี้เอง การทุจริตปลอมแปลงบัตรประจำตัวประชาชน หรือแม้แต่การสวมตัวทำบัตรจึงเป็นทางเลือกที่เหล่ามิจฉาชีพนำมาใช้หาประโยชน์ใส่ตัว โดยมิได้เห็นถึงความเสียหายที่ประเทศชาติจะได้รับ ซึ่งกรมการปกครองในฐานะเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนก็มิได้นิ่งนอนใจ ได้คิดมาตรการและเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อนำมาใช้สกัดกั้นมิให้เกิดการทุจริตดังกล่าวขึ้นได้

    นับตั้งแต่การเปลี่ยนตัวบัตรให้ใช้เป็นบัตร Smart Card ซึ่งยากแก่การปลอมแปลง หรือการตรวจสอบประวัติของผู้มาขอรับบริการที่จะเป็นระบบปฏิบัติการอัตโนมัติ เมื่อเจ้าหน้าที่บันทึกเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก และพิมพ์ลายนิ้วมือของผู้ขอทำบัตร ระบบจะนำข้อมูลรูปถ่ายและลายพิมพ์นิ้วมือเดิมจากฐานข้อมือขึ้นมาเปรียบเทียบทันที

    นอกจากนั้น กรมการปกครองยังได้มีการฝึกอบรมเพิ่มพูนความรู้และประสิทธิภาพให้แก่บุคลากร ควบคู่ไปกับการตรวจสอบผลการปฏิบัติงานประจำวันของนายอำเภอ/เจ้าหน้าที่ อีกด้วย ซึ่งก็สามารถมั่นใจในความถูกต้องได้ในระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม ความโปร่งใสในเรื่องนี้สามารถเติมเต็มได้ด้วยความร่วมไม้ร่วมมือจากภาคประชาชน หากประชาชนต้องการแจ้งเบาะแสหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรสารด่วน 1543 หรือศึกษาดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จากทาง website ของกรมการปกครอง �����û���ͧ ��з�ǧ��Ҵ��� หรือหากผู้ใดรู้เห็นหรือพบเบาะแส สามารถแจ้งโดยตรงได้ที่ ผู้อำนวยการสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง เลขที่ 59 หมู่ที่ 11 ต.บึงทองหลาง อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี 12150 หรือ E-mail : m03090001@dopa.go.th หรือ 08-9200-2457
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เดี่ยวผมจะส่งรูป พระวังหน้า ไปให้ชมกันนะครับ สำหรับสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า

    ผมจะส่งทาง Email และขอความกรุณาอย่าส่งต่อไปนะครับ แต่หากเป็นสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้าด้วยกัน ก็ไม่เป็นไรครับ

    ดูแล้วอย่าลืมมาบอกด้วยนะครับว่า ดีป่าวครับ แรงป่าวครับ อิอิ
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>สำรวจ “15 พฤติกรรมยอดแย่” คุณมีหรือไม่?
    Life & Family - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>17 ตุลาคม 2552 14:10 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> ปัญหาหนึ่งของการนำไปสู่แห่งการแตกแยกในครอบครัวระหว่างคนสอนคนนั้น ส่วนใหญ่แล้วมักมาจากการไม่เข้าใจกันและการไม่ยอมปรับตัวเข้าหากัน

    ทั้งนี้ที่ผ่านมาทางทีมงานได้เสนอเคล็ดลับดีๆที่เสริมสร้างความสุข เติมรักทั้งชีวิตคู่และคนในครอบครัวมาหลายครั้ง ในวันนี้จึงลองนำวิธีที่อ่านแล้วอาจได้เหมือนส่องกระจกมองตัวเองอีกครั้ง ว่าเราเคยผิดพลาดหรือมีนิสัยที่ควรปรับอีกหรือไม่

    อย่างไรก็ดี 15 พฤติกรรมยอดแย่ที่ไม่ควรทำนี้ คือสิ่งที่คนมีคู่ครองนั้นไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง มิเช่นนั้นแล้ว สาเหตุเหล่านี้จะเป็นตัวตัดทอนความรักลงไปเรื่อยๆจนในที่สุด ครอบครัวที่เคยสุขก็จะพัง คนที่เคยรักกันก็จะไม่มีอีกต่อไปอย่างแน่นอน

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> 1.ชอบขุดคุ้ย

    ถ้าคนสองคนคิดจะรักและสร้าครอบครัวร่วมกันแล้ว เรื่องราวเก่าๆที่ช้ำใจ ก็อย่ามัวแต่จดจำแล้วนำมาพูดเพื่อทำร้ายจิตใจกันอีกเลย เพราะทำไปปล้วมันก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมา

    ดังนั้นถ้าคิดจะรักกันแล้วก็ควรจับมือกันไปและทำทุกวันให้มันดีที่สุด อย่าให้คำพูดเหล่านั้นมาสร้างรอยร้วกันอีกเลย

    2.ไม่เปิดใจรับฟัง

    อย่ามัวแต่ยึดตัวเองเป็นหลักแล้วคิดว่าทำถูกเสมอไป คุณควร ฟังความคิดเห็น หรือรับฟังเรื่องราวของเขา (หรือเธอ) บ้าง ไม่ใช่ให้เขา (หรือเธอ) เป็นฝ่ายรับรู้และรับฟัง แต่เรื่องของคุณอย่างเดียว

    3.ตัวติดกันตลอด

    คนรักกัน เป็นสามี-ภรรยากัน ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา เพราะสังคมและเพื่อนฝูงรวมไปถึงเวลาส่วนตัวของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน

    ทั้งนี้หากลูกๆต้องการให้พาไปไหนมาไหน พ่อหรือแม่ก็สามารถพาไปได้โดยไม่จำเป็นต้องไปด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาเสมอ บางครั้งพ่ออาจพาไปเที่ยว แม่ทำงาน หรือแม่อาจเป็นคนพาไปแล้วพ่อไม่สะดวกก็ได้

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามก็ควรหาเวลาครอบครัว ให้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันบ้าง อย่าให้ความอบอุ่นตรงนี้มันหายไปเพราะพ่อแม่ไม่ว่าง

    4.ชอบออกคำสั่ง

    ไม่ว่าจะเป็น แฟน สามีหรือภรรยาก็ตาม ควรจะวางตัวให้ถูกต้อง ไม่ใช่ออกแต่คำสั่งเหมือนเจ้านายกับลูกน้อง ถ้าต้องการให้เขาทำอะไรให้เปลี่ยนจากการออคำสั่งเป็นการขอร้องให้ช่วยน่าจะดีกว่า

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=200>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> 5.ฉีกหน้า

    อย่าฉีกหน้า คนที่คุณรักต่อหน้าคนอื่น ไม่ว่าในกรณีใดๆ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะห้ามเอาปมด้อยของเขามาล้อเล่นอย่างสนุกสนานต่อหน้าคนอื่น แม้กระทั่งกับเพื่อนสนิทกันก็ตาม เพราะไม่มีใครเขาชอบพฤติกรรมแบบนี้แน่นอน

    6.ซ้ำเติม

    อย่า.ที่กล่าวไว้ว่า สิ่งใดที่ผ่านไปแล้วก็อย่าไปขุดคุ้ยอีกเลย ให้มันผ่านแล้วผ่านไปจะดีกว่า ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบเอาเรื่องที่เขา (หรือเธอ) ผิดพลาดในอดีตขึ้นมาตอกย้ำอีก ก็จะทำให้ยิ่งทะเลาะกันเข้าไปใหญ่ และจะทำให้ยิ่งเพิ่มความแตกร้าวมากขึ้น

    7.ขี้หึงอย่างเว่อร์

    การคบกันก็ต้องมีความไว้ใจ ซึ่งกันและกัน ความรักถึงจะยืนยาว มีครอบครัวที่อบอุ่น ถ้ามัวแต่หึง ไม่ไว้ใจและไม่ให้เกียรติกัน รับรองว่า ไม่ถึงไหนก็ต้องจากกันไปอยู่ดี

    8.จุกจิก จู้จี้

    พฤติกรรมนี้ ผู้หญงอาจเป็นมากกวาผู้ชาย ซึ่งในช่วงคบกันแรกๆ เขา (หรือเธอ) อาจจะทนได้ แต่พอนานวันเข้า อันนี้ไม่รับประกัน เพราะความอดทนอาจจะหมดไป เหลือไว้แต่ ความรำคาญใจ ไม่ถูกใจ ทำให้คนๆนั้นกลายเป็นคนขี้บ่น จู้จี้ จุกจิก ไปโดยปริยาย

    9.พูดชม หรือให้กำลังใจใครไม่เป็น

    ไม่เคยที่จะเอ่ยปากชมแฟนของคุณ เวลาที่เขา (หรือเธอ) ทำดีให้คุณ อย่างนี้ต้องหัดและควรทำบ้าง แต่ก็ไม่ใช่เว่อร์จนเขาคิดว่า คุณประชดหและไม่จริงใจไปได้นะ

    10. “ขอบคุณและขอโทษ” ไม่เคยหลุดออกจากปาก

    “ขบคุณและขอโทษ” คือคำพูดที่คนไทยไม่ควรลืม ดังนั้นถ้ายิ่งรักกันแล้วก็ควรหัดกล่าวคำเหล่านี้ไว้ เวลาที่คุณทำผิด การยอมรับความผิดแต่โดยดี จะให้เขา (หรือเธอ) รู้สึกว่าคุณมีความรับผิดชอบ และทำให้เขา (หรือเธอ) ไว้วางใจ

    11.ช่างดุ… ช่างด่า...

    ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบด่าว่า แฟนคุณเสียๆ หายๆ ต่อหน้าคนอื่น ก็ควรหยุดได้แล้ว เพราะนี่เป็นข้อสำคัญที่ทำให้ความรักของคุณ เกิดรอยร้าวแบบประสานไม่สนิท เพราะการทำแบบนี้ทำให้เขา (หรือเธอ) เสียหน้าและโกรธคุณมากๆ ด้วย

    12. ขี้งอน

    ส่วนมากเวลาผู้หญิงโกรธ มักจะทำหมางเมิน ไม่พูดไม่จา คุณควรจะบอกว่า โกรธเขา (หรือเธอ) เรื่องอะไร จะได้ปรับความเข้าใจกันได้ง่ายขึ้น และเขา (หรือเธอ) ก็จะได้ง้อคุณให้ถูกวิธี

    13. สกปรก เป็นที่หนึ่ง

    การเป็นผู้หญิง สำคัญที่สุดคือ เรื่องของความสะอาด ดังนั้นไม่มีผู้ชายคนไหนยอมทนคบผู้หญิง ที่ไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย สกปรก ไม่มีวินัย เพราะผู้ชายส่วนมากมักวาดฝันว่าแฟนของตัวเอง อย่างน้อยต้องมีความเป็นกุลสตรีบ้างซัก 10 หรือ 20 เปอร์เซนต์ก็ยังดี

    ในทางกลับกัน ความสกปรก็ไม่ใช่สัญลักษณ์ของเพศชาย ดังนั้นคุณก็ควรทำตัวให้ดี สะอาดสะอ้าน เพราะถ้าแค่ตัวเองยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้ แล้วคุณจะดูและภรรยาได้อย่างไรกัน

    14. โกหกเป็นไฟ

    อย่าหัดเป็นคนโกหก เพราะมันจะติดเป็นนิสัย มีอะไรก็พูดตรงๆ แต่ไม่ใช่แบบขวานผ่าซาก หรือแบบมะนาวไม่มีน้ำ เพราะบางคนาจรับความจริงไม่ได้ทันที ดังนั้นควรนำหลักจิตวิทยามาใช้ด้วยจะดีกว่า

    15. หวานชั่วครู่ อยู่ไปก็ลืม

    ถ้าคุณลืมความหวานชื่นในอดีตไปแล้ว รักของคุณก็ขาดน้ำตาล หรือความหวานไปแน่นอน ดังนั้นคุณน่าจะลองรำลึกถึงอดีตหวานๆ กับภรรยาบ้าง ทำตัวเหมือนเพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ เพราะมันจะทำให้ความรักของคุณคงอยู่ แบบไม่จืดจางไปแม้สักวัน

    เรียงเรียงข้อมูลบางส่วนจาก expert2you
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    มีเรื่องราวเล่าสู่กันฟังอีกแล้วครับเพื่อนๆ เมื่อวานนี้ผมได้ไปงานสัปดาห์หนังสือที่ศูนย์ประชุมสิริกิตต์ ผมตั้งใจไปที่บูธหนังสือเก่า(ป้ายสีเหลือง)เท่านั้น ด้วยความรู้สึกว่าจะได้พบอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ ที่ตามหามานาน และก็พบจริงๆครบทุกรายการที่เคยต้องการมาก่อน แต่เวลา หรือวาระยังไม่ใช่ หรือยังไม่ได้เวลานั่นแหละครับ อาการที่พบคล้ายกับเมื่อหลายปีก่อนพบบาตรน้ำมนต์ที่สร้างเป็นที่ระลึกหอสมุดสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส คือพบบาตรก่อน แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดที่มาที่ไปว่าใครสร้าง สร้างที่ไหน จำนวนเท่าไหร่ ทำด้วยมวลสารอะไรบ้าง และพิธีใด สร้างเมื่อไหร่ จนหลัง ๖ เดือนที่ได้บาตรน้ำมนต์แล้ว จึงพบตำราการสร้างบาตรน้ำมนต์ซ่อนอยู่ในชั้นหนังสือตั้งวางซ้อนๆกัน และเป็นวันสุดท้ายของการจัดมหกรรมหนังสือ อีกทั้งเหลือเวลาอีกครึ่งชม.ร้านหนังสือก็จะปิดแล้ว ผมยกกองหนังสือขึ้นเพียงครั้งเดียว ก็พบหนังสือเล่มนี้วางอยู่ หยิบดูแต่ไม่ได้เปิดซองพลาสติก เพียงเห็นว่าบาตรน้ำมนต์สมเด็จโตเท่านั้น จากนั้นก็ไม่เคยได้เปิดดูว่าตำรานั้นเเขยนไว้ยังไงด้วยความไม่สนใจยังไงยังงั้น วันหนึ่งเปิดออกดู ก็พบว่า คือรายละเอียดประกอบบาตรน้ำมนต์ใบนี้นั่นเอง...

    เมื่อวานนี้ไปที่ร้านแรกพบตำราโหราศาสตร์เล่มหนึ่ง ที่ครั้งหนึ่งจำได้ว่าหมอกฤษณ์ คอมเฟิร์มเคยพูดถึงวิชาบริเฉจเจ็ดดารา ซึ่งรุ่นพี่ที่รู้จักท่านว่า คือภาคหนึ่งของสิบลัคนาของอจ.อรุณ เทศถมทรัพย์ ศิษย์ผู้หนึ่งของหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่หลวงพ่อท่านเคยมอบให้ทำนายในเรื่องต่างๆ แต่ตำราท่านกระจายไปไม่ทราบสารทิศใด ปัจจุบันยังเก็บกลับไม่ครบ คนขายบอกว่า เมื่อวานมีคนหาเล่มนี้ แต่สุดท้ายก็มาอยู่ที่ผม...

    เล่มที่ ๒ นี้อยู่ร้านติดกัน มีความรู้สึกว่า ตำราที่ต้องการอยู่มุมซ้ายล่าง ลองรื้อดูพบดั่งคาด เป็นตำราของพระธุดงค์รูปหนึ่งที่บันทึกเป็นกระดาษข่อย มอบให้ท่านผู้หนึ่งไว้ จนท่านได้มอบถวายพ่อท่านคล้าย วัดจันดี ซึ่งเวลานี้ได้บรรจุไว้ภายในเจดีย์หินอ่อนแล้วในปี ๒๕๑๑ ฉบับที่อยู่กับผมนี้เป็นสำเนา คุณป้าร้านหนังสือเก่าท่านหนึ่งพอได้เห็นสภาพหนังสือท่านบอกว่า ไม่น่าเชื่อว่าจะสมบูรณ์ขนาดนี้ ตั้งแต่ขายหนังสือเก่ามานานหลายสิบปี ยังไม่เคยพบหนังสือเล่มนี้เลย...

    เล่มที่ ๓ นี้อยู่ห่างไปอีก ๒ ล๊อค ช่วงที่ผ่าน ๒ บูธนี้ใจพาไปที่ร้านนี้ เหมือนจะพาไปเอาอะไรบางอย่าง ซึ่งไม่รู้ว่าคืออะไร เหลือบตาดูข้างบน ใจนี้แป้วเลยครับ "ตำราพระร่วง" ของคุณพร้อม สุทัศน์ ณ อยุธยาเป็นผู้เขียน และรวบรวมไว้ เล่มนี้เปิดไม่ระวังขาดแน่ๆครับ ภายในมีประวัติของพระร่วงเจ้า ที่ละเอียดอย่างที่หาอ่านที่ไหนไม่ได้ พร้อมภาพเก่าโบราณพระร่วง พระลือ วัดตระพังทองครั้งสุโขทัยนั่นเอง ต่างจากที่ไปชมมาแล้วมากมายจริงๆ อีกทั้งแผนที่เมืองสวรรคโลก ก่อนรวม และหลังรวมกับสุโขทัย ทั้งที่เมื่อไม่กี่วันนี้เกิดความรู้สึกคิดถึงองค์พระร่วงเจ้าพระอาจารย์อย่างมาก และได้ post พระพิมพ์ท่านใน board นี้....

    ปฏิบัติการตามหา"ของ"บางอย่าง สงสัยจะจบกิจแล้ว เพราะรู้สึกเบาโหวงจริงๆ กระแสความศรัทธาโน้มนำให้ได้ไปพบเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกัน เกี่ยวข้องกับความสงสัยใจ คล้ายการต่อ jigsaw ยังไงยังงั้น สุดท้ายผมขอยืนยันว่าหากสร้างศรัทธาจนตอกย้ำเข้าไปในจิตใต้สำนึกได้ กระแสคลื่นที่ส่งออกไป จะไป attune กับคลื่นที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ส่งออกมาก่อนแล้ว เพียงแต่เวลายังไม่ได้เท่านั้นเอง เมื่อเวลาได้ แทบจะไม่ต้องไปเหนื่อยหาเลยครับ...
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ยินดีด้วยครับคุณเพชร

    ว่าแต่ว่า มาจองยืมอ่านก่อนครับ อิอิ

    หมายเลข 1

    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มาบอกอีก(แล้ว)ครับ

    พระสมเด็จ ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีท่านเมตตาอธิษฐานจิต มีมากมาย

    และที่สำคัญ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านไม่เคยสร้างพระสมเด็จ ท่านผู้สร้างคือช่าง 13 ทีมผู้สร้าง แต่มีบางองค์เท่านั้นที่ท่านกดพิมพ์

    ย้ำ ย้ำ ย้ำ ย้ำ และย้ำ ในองค์ความรู้จริง

    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แล้ว โคตรพระสมเด็จ กลักไม้ขีด ที่ผมส่งรูปให้ทาง email

    เป็นอย่างไรบ้างครับ
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

แชร์หน้านี้

Loading...