พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    รับทราบครับ ได้เห็นแล้ว :cool:
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948


    หลวงปู่ท่านเมตตาพวกเรามากจริงๆครับ

    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้าว ทำไมมีผมคนเดียวล่ะเนี่ย ทั้งเว็บเนี่ย

    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><THEAD><TR><TD class=tcat colSpan=2>มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง?</TD></TR></THEAD><TBODY><TR><TD class=thead colSpan=2>[​IMG] คน Online อยู่บนบอร์ดในขณะนี้: 1 ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน and 0 Spiders) </TD></TR></TBODY><TBODY id=collapseobj_forumhome_activeusers><TR><TD class=alt2>[​IMG]</TD><TD class=alt1 width="100%">สถิติที่เคยมีคน online พร้อมกันมากที่สุด 31,241 คน, เมื่อ วันที่06-09-2009 เวลา 05:38 PM.

    • WebMaster • Administrators • Super Moderators • ผู้ดูแลเว็บบอร์ด • พระไตรปิฏก • ทีมงานเว็บบอร์ด • นักบวช • ผู้สนับสนุน กิตติมศักดิ์• สมาชิก Premium • ผู้สนับสนุนบริจาค • สมาชิก

    , sithiphong


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แนะสิ่งละอันพันละน้อย ประหยัด"เงิน"ในกระเป๋า
    Matichon Online: ˹ѧ��;������Ԫ��͹�Ź� : ˹ѧ��;�����س�Ҿ ����ͤس�Ҿ�ͧ������=

    ใครรู้บ้างว่า ถ้าใช้หลอดไฟอ่านหนังสือ ควรใช้หลอดไส้หรือหลอดตะเกียบที่จะถนอมสายตามากกว่ากัน..

    [FONT=ms sans-serif, Tahoma, DB ThaiTextFixed, Thonburi]<STYLE> P { margin: 0px; } </STYLE>[/FONT]
    [FONT=ms sans-serif, Tahoma, DB ThaiTextFixed, Thonburi][FONT=MS Sans Serif,

    sans-serif]ในงาน"พลังงานกู้วิกฤตไทย" ที่พารากอนฮอลล์ สยามพารากอน ได้มีการสาธิตการอนุรักษ์พลังงานอย่างง่ายใน 60 นาที โดยวิทยากรจากโครงการ"กองทัพสีเขียว" ซึ่งได้มาบอกเกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับการประหยัดพลังงานที่เราอาจมองข้ามไป ไม่ว่าจะเป็นการใช้ "หลอดไฟ" ได้มีการสาธิตให้เห็นกันจะจะผ่านมิเตอร์ไฟฟ้าว่า หลอดไส้สิ้นเปลืองกว่าหลอดตะเกียบ [/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=ms sans-serif, Tahoma, DB ThaiTextFixed, Thonburi]

    [FONT=MS Sans Serif, sans-serif]"เราจ่ายไฟ 100% ให้หลอดไส้ แล้วหลอดไส้ก็จะผลิตแสงสว่างออกมาแค่ 10% ส่วนพลังงานอีก 90% ที่หายไปนั้น กลายเป็นพลังงานความร้อน ไม่ใช่แสงสว่าง แตกต่างจากหลอดตะเกียบที่ให้แสงสว่างเกือบทั้งหมดของไฟที่จ่ายเข้าไป" [/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, sans-serif]สิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อน คือ หลอดตะเกียบกินไฟน้อยกว่าหลอดไส้ก็จริง แต่หากเราใช้หลอดไฟอ่านหนังสือ "กองทัพสีเขียว"แนะนำว่าให้ใช้หลอดไส้ดีกว่า เพราะว่าหลอดไส้สำหรับอ่านหนังสือ หรือหลอด Black light ให้แสงสว่างที่นิ่งกว่าหลอดตะเกียบที่ให้แสงสว่างกระเพื่อมตลอดเวลา แม้ว่าเราอาจไม่รู้สึก แต่ม่านตาเราหุบลงอยู่ตลอดเวลา[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif,

    sans-serif]ส่วนการใช้งาน "โทรทัศน์" นั้น แนะนำว่า อย่าวางมือถือ อุปกรณ์สื่อสารหรือแม้แต่บัตรเครดิตไว้บนโทรทัศน์ เนื่องจากหากมีคนโทรเข้ามา จะเกิดการดูดภาพส่งผลให้โทรทัศน์เสียเร็วกว่าเดิม นอกจากนี้ยังแนะนำอย่าเอาผ้าคลุมเพราะอาจทำให้โทรทัศน์เกิดความร้อนมากยิ่งขึ้น จนอาจระเบิดได้ และควรตั้งให้ห่างผนังอย่างน้อย 15 เซนติเมตร เพื่อระบายความร้อนออกด้านหลัง[/FONT]


    [FONT=MS Sans Serif, sans-serif]หากต้องการทำความสะอาดโทรทัศน์ ควรปิดและถอดปลั๊กทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ก่อนใช้น้ำสะอาด หรือน้ำผสมน้ำยาล้างจานเจือจางเช็ด [/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif,

    sans-serif]มาถึง "พัดลม" แนะนำให้ตั้งห่างจากผนังหรือผ้าม่านอย่างน้อย 50 เซนติเมตร เพื่อจะไม่ใช้พลังงานมาก แต่สิ่งที่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า พัดลมตัวใหญ่กินไฟมากกว่าพัดลมตัวเล็ก แม้จะเปิดพัดลมตัวเล็กระดับความแรงสูงที่สุด ขณะที่เปิดพัดลมตัวใหญ่ระดับความแรงต่ำที่สุดก็ตาม นอกจากนี้ การเปิดพัดลมแบบส่ายหัวไปมากับการตั้งนิ่งอยู่กับที่นั้น กินไฟเท่ากัน ไม่ได้แตกต่าง [/FONT]


    [FONT=MS Sans Serif, sans-serif]หากพัดลมมีฝุ่นเยอะ แนะนำการทำความสะอาด เพราะหากฝุ่นเกาะพัดลมจะกินไฟมากกว่าพัดลมสะอาด แต่อย่าใช้น้ำมะนาว น้ำส้มสายชู หรือน้ำที่เป็นกรดทำความสะอาดใบพัด เนื่องจากฉาบน้ำยาเคลือบเอาไว้ นอกจากนี้หากใบพัดหมุนฝืด ให้หาน้ำมันจักรหรือน้ำมันเครื่องมาหยดลงไปบริเวณเฟืองเพียง 3 หยด ขอย้ำว่า 3 หยดเท่านั้น มิเช่นนั้นน้ำมันอาจเยิ้มเข้าไปถึงด้านใน [/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif,

    sans-serif]เหล่านี้ คือสิ่งละอัน พันละน้อยที่หลายคนอาจมองข้ามไป หากเราหันมาใส่ใจกันสักนิด จะช่วยประหยัดได้ทั้งพลังงานและพลังงานเงินในกระเป๋าได้ รวมถึงกระเป๋าเงินของชาติด้วย [/FONT]


    Matichon Online: ˹ѧ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระพุทธจริยาวัตร 60 ปาง ปางห้ามมาร

    คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ

    โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

    ˹ѧ��;������Ԫ�����ѹ : ˹ѧ��;�����س�Ҿ ����ͤس�Ҿ�ͧ������

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>ทางด้านทิศบูรพาแห่งต้นพระศรีมหาโพธิ์ มีต้นไทรย้อยที่ร่มรื่นอยู่ต้นหนึ่ง พวกเด็กเลี้ยงแพะชอบมาอยู่กัน จึงเรียกว่า "อชปาลนิโครธ" พระพุทธองค์ได้เสด็จออกจากรัตนฆรเจดีย์ มาประทับใต้ต้นอชปาลนิโครธนี้ เพื่อเสวยวิมุติสุขต่อในสัปดาห์ 5 (ตามหลักฐานพระไตรปิฎก เป็นสัปดาห์ที่ 2 ดังกล่าวมาแล้ว)

    วสวัตตีมาร เมื่อพ่ายแพ้พระพุทธองค์แล้ว ก็นั่งเสียอกเสียใจที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนีพ้นวิสัยแห่งตนไปเสียแล้ว ขณะนั้นธิดาพญามาร 3 ตน มีนามว่า ตัณหา ราคา และอรดี ตามลำดับ พากันมาปลอบโยนบิดามิให้เศร้าโศกเสียใจ พวกตนอาสาจะไปยั่วยวนพระสมณะโคดม นำกลับมาสู่วิสัยแห่งมารให้ได้

    นางทั้งสามไปปรากฏกายต่อพระพักตร์พระพุทธองค์ ขณะประทับอยู่ใต้ต้นอชปาลนิโครธ ร่ายรำ แสดงอาการยั่วยวนด้วยประการต่างๆ เพื่อให้พระพุทธองค์ทรงมีความยินดี

    พระพุทธองค์ประทับนิ่ง ยกพระหัตถ์ทำนองห้ามปราม ตรัสด้วยพระอาการอันสงบว่า

    พุทธะใด เอาชนะกิเลสได้เด็ดขาดแล้ว ปราศจากตัณหาดุจตาข่ายดักสัตว์ อันร้ายกาจแล้ว พุทธะนั้น มีสัพพัญญุตญาณหาที่สุดมิได้ ไม่เดินตามทางของสรรพกิเลสแล้ว พวกเธอจะนำพุทธะนั้นไปตามทางไหนเล่า

    ธิดามารทั้งสามยังไม่ยอมละความพยายาม จำแลงกายเป็นหญิงวัยต่างๆ ตั้งแต่วัยกัลยาณีแรกรุ่น เพื่อให้พระพุทธองค์ทรงยินดี แต่พระพุทธองค์ยังคงประทับนิ่งในสมาธิ มิได้สนพระทัยไยดีแม้แต่น้อย เมื่อเห็นพวกนางยังดื้อดึงอยู่ จึงทรงบันดาลให้ร่างสาวงามทั้งสามนั้นกลายเป็นหญิงชรา ร่างกายเหี่ยวย่นน่าเกลียดขึ้นมาทันที นางทั้งสามพากันตกใจ หายวับไปในทันใด

    พระพุทธรูปปางนี้ สร้างเป็นท่านั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวายกขึ้นป้องเสมอพระอุระ แสดงอาการห้าม เรียกกันว่า "ปางห้าม (ธิดา) มาร"

    เมื่อมารหมายถึงกิเลสตัวเบิ้มทั้ง 3 คือ โลภ โกรธ หลง ธิดามารก็คือกิเลสนั้นเอง ฟังแต่ชื่อก็รู้ว่ากิเลสตัวใด ราคะก็คือราคะ (ความกำหนัดยินดีในกามารมณ์) ตัณหาก็คือความทะยานอยาก อรดีก็คือความขัดเคืองใจ หรือความพยาบาท

    สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เมื่อทรงนิพนธ์พุทธประวัติ ทรงสันนิษฐานว่าพญามารที่มาผจญพระพุทธเจ้าคือกิเลส การที่ทรงเอาชนะพญามารได้ก็คือ ทรงชนะกิเลสทั้งหมดได้เด็ดขาดแล้ว เมื่อมีฉากธิดามารมาผจญอีกหลังตรัสรู้แล้ว ไม่ทรงแน่พระทัยว่าเหตุการณ์นี้ทำไมจึงเกิดขึ้นหลังตรัสรู้กิเลสที่ทรงละได้หมดแล้ว จะกลับมายั่วยวนพระพุทธองค์ ย่อมไม่สมเหตุสมผล "ข้อนี้ขอฝากผู้รู้พิจารณาด้วย" พระองค์ว่าอย่างนั้น

    แต่ก็ไม่เห็นมีใครรับฝาก คือ ไม่มีใครหาเหตุมาอธิบายให้สมเหตุสมผล ก็มีหลวงพ่อพุทธทาสนี่แหละครับที่ได้ให้คำวินิจฉัยไว้ ซึ่งผมว่าเข้าท่าดี

    ท่านว่าธิดามารมาผจญหลังจากตรัสรู้แล้วนั่นแหละถูกต้องแล้ว ธิดามารในที่นี้มิใช่กิเลส เพราะกิเลสทรงละได้หมดตอนตรัสรู้ แต่เป็นเพียงทรงรำลึกถึงความร้ายกาจของกิเลสที่เพิ่งชนะได้หยกๆ ว่ามันช่างร้ายกาจจริงๆ ต้องต่อสู้เป็นกัปเป็นกัลป์กว่าจะละมันได้

    การทรงหวนรำลึกถึงความร้ายกาจของกิเลสนี้ เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นในหนังสือจึงว่า ธิดามารทั้งสามมาร่ายรำยั่วยวนพระพุทธเจ้าเพียงชั่วครู่ เมื่อเห็นว่าพระองค์ไม่สนใจไยดีจึงพากันหนีไปในทันที ฉากธิดามารยั่วยวน จึงไม่นานมาราธอนเหมือนตอนพญามารและกองทัพมาผจญ

    คำอธิบายนี้ผมเห็นว่าสมเหตุสมผล น่ารับฟังเป็นอย่างยิ่ง

    อนึ่ง ในขณะที่พระพุทธองค์ประทับ ณ โคนต้นอชปาลนิโครธนี้ มีพราหมณ์คนหนึ่ง มีอัสสมิมานะ (ความถือตัว) สูง ชอบตวาดคนอื่น เข้ามาถามพระพุทธองค์ว่าท่านเป็นพราหมณ์หรือไม่ ทำนองว่าถ้าไม่ใช่พราหมณ์ก็ไม่คุยด้วยเพราะเป็นคนชั้นต่ำ

    พระพุทธองค์ได้ตรัสให้ "นิยาม" คำว่าพราหมณ์ เป็นคาถา (โศลก) ว่า

    ผู้ใดลอยบาป (คือ ละบาป) ได้แล้ว ไม่ขู่ตวาดคนอื่นด้วยคำหยาบ หมดกิเลสเครื่องย้อมใจ สำรวมถึงที่สุดแห่งพระเวท ถึงที่สุดแห่งพรหมจรรย์แล้ว ผู้ที่ไม่มีกิเลสเหิมเกริมใดๆ จึงควรเรียกว่าพราหมณ์

    คนทั่วไปมักนึกว่า การเกิดในวรรณะพราหมณ์ การเรียนจบไตรเพท เป็นคุณสมบัติของพราหมณ์ พระพุทธองค์ตรัสว่าเพียงแค่นั้นยังไม่ใช่ พราหมณ์ที่แท้จริงต้องละบาปได้ ละกิเลสได้ ไม่มีอัสสมิมานะ สงบสำรวมอยู่จบพรหมจรรย์ (คือประพฤติพรหมจรรย์จนบรรลุ มรรค ผล นิพพาน)
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>นิทานสอนใจ: ปัญญาจากหมาขี้เรื้อน
    Life & Family - Manager Online

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>4 ตุลาคม 2552 10:17 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพจาก www.bwfoto.net</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่ง เพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน เพื่อเห็นแก่แม่..

    บัณฑิตใหม่หมาดจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้ เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับ พระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสาน พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดี มีแต่ความสุขสบายเมื่อมาอยู่วัดป่า กว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน

    แต่ก็นั่นแหละกว่าจะ'นิ่ง' ก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกัน ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะ พระใหม่มีนิสัยชอบจับผิดและชอบอวดรู้ ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ

    วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่า ไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้า ก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่า ล้าสมัยไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี

    ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า ท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกิน กว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้าง ก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปที ล้างไปบ่นไปประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมือง นอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพจาก puensea4kaa.com</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>โอ้ชีวิต!ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถือดีว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่า ตัวเองเหนือกว่าทุกประตู นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจกลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทินนับถอยหลัง รอวันสึกด้วยใจจดจ่อ

    อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่า ท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง วันๆไม่เห็นท่านทำอะไรเอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่าง

    เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชาเสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วย อีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก

    อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้น พระใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาส มีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้ สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงาน อย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเอง ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ

    หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทราด้วย ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่าน ให้พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายฟัง แต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน

    อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลาย ดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง ที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ

    "เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อนคันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้น เดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหม เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหน มันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจหาว่า แต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี”

    “คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้ง วันเจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้น หาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่ แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก"

    พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว

    ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกตินอกสงบแต่ในวุ่นวาย นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู ยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง

    นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง

    แม้เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัว ท่านก็ยังไม่ยอมสึก "อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อนขออยู่รักษาโรค จนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา"
    โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า "หมาขี้เรื้อน" ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก วัดเกาะ.คอม

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    Life & Family - Manager Online
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ร่วมด้วยช่วยกันสอดส่องภัยต้มตุ๋นในเน็ต คน คนเดิมกำลังหาเหยื่อและส่งพีเอ็มถึงท่าน

    โดย ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2325449", true); </SCRIPT>
    ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    ประกาศเตือน...เรื่องการบอกบุญทาง พีเอ็ม(ข้อความส่วนตัว) จากคนที่ไม่รู้จัก ขอให้ตรวจสอบให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ


    พบเห็นผู้ส่งพีเอ็มนี้ถึงท่าน กดปุ่มแจ้งลบที่พีเอ็มด่วน V


    [​IMG]


    ทำผิดกฏ (ใบแดง) สำหรับ คุณ 8Thefive: คนบาปกำลังทำกรรมหนักอย่างต่อเนื่อง

    ทำผิดกฏ (ใบแดง) สำหรับ คุณ total108: มิจฉาชีพ หลอกลวง หนักต่อเนื่องในเว็บ

    ทำผิดกฏ (ใบแดง) สำหรับ คุณ jjj333ttt: คนส่งคนนี้ใช้หลายชื่อ กำลังทำทางลงนรกทุกวัน

    ทำผิดกฏ (ใบแดง) สำหรับ คุณ nanee152: บุคคลหลายชื่อเข้ามาทำความชั่ว ทำบาป ทำทางสู่นรก

    ทำผิดกฏ (ใบแดง) สำหรับ คุณ rinlanee: เปลี่ยนชื่อมากมายเข้ามาเพื่อไม่ให้คนอื่นสังเกตว่าเป็นการหลอกลวง

    ทำผิดกฏ (ใบแดง) สำหรับ คุณ 9totalsteal: คนๆเดียวเปลี่ยนชื่อเข้ามา กระทำการหลอกลวงอย่างอุกอาจไม่ยอมหยุด

    แบน 18 มงกุฏที่รับแจ้งล่าสุด> ทำผิดกฏ (ใบแดง) สำหรับ คุณ 222moon: ช่วยขจัดคนชั่วออกไปจากเส้นทางความดีของพวกเรา


    ขอบคุณทุกท่านที่เป็นหูเป็นตาช่วยกัน พวกเรากำลังร่วมมือกันทำสังคมให้ดีขึ้น<!-- google_ad_section_end -->
    <!-- google_ad_section_end -->__________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->
    ขอสมาชิกทุกท่านร่วมมือกันกับทางเว็บ เมื่อได้รับข้อความส่วนตัวนี้จากใครก็ตาม ขอให้แจ้งทีมงานตรวจสอบด่วน​
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อวานนี้ ไปพบปะพูดคุยกันเพียงไม่กี่ท่าน แต่ก็สนุกมาก ได้ความรู้จากท่านอาจารย์ประถม ค่อนข้างมาก

    พระสมเด็จ(ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีท่านอธิษฐานจิตไว้ก่อนปี พ.ศ.2415) หาง่าย หาไม่ยาก เพียงแต่ต้องศึกษาทั้ง "รูป (เนื้อหาทรงพิมพ์)" และ "นาม (พลังพุทธคุณหรือพลังอิทธิคุณขององค์ผู้อธิษฐานจิต)" ให้แตกฉานแค่นั้นเอง

    ที่สำคัญได้ไปชมพระ.......กันจุใจ ทั้งของพี่..... , พี่..... และพี่....... มีกันอย่างถ้วนหน้า ต้องขอขอบคุณในความมือบอนของพี่.... ที่คณะเราได้ทราบกันถึงความลับบางอย่าง เหอๆๆๆๆๆๆ

    ทีมเวิร์คของคณะเรา ต้องยอมรับว่า ดีเลิศเป็นอย่างมากครับ อิอิอิ

    --------------------------------------------------------

    ห่าน...สัญลักษณ์ของทีมเวิร์ค
    ห่าน...สัญลักษณ์ของทีมเวิร์ค

    ในฤดูใบไม้ร่วงฝูงห่านมักบินมุ่งหน้าไปยังทิศใต้ในลักษณะที่เป็นตัวอักษรวี (V)
    จากการศึกษาตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่าเหตุใดฝูงห่านจึงต้องบินเช่นนั้น

    ในขณะที่ห่านตัวหนึ่งกระพือปีก ห่านที่บินตามมาจะได้รับแรงยกเพิ่มขึ้น
    ดังนั้น การที่ฝูงห่านบินเป็นตัวอักษรวี (V) นั้น จะทำให้ประสิทธิภาพการบินเพิ่มขึ้น 76% กว่าการบินเดี่ยวเพียงตัวเดียว

    คนที่เป็นส่วน 1 ของทีมซึ่งไปในทิศทางเดียวกัน สามารถไปถึงจุดหมายได้เร็วกว่าและง่ายกว่า
    เพราะว่าคนเหล่านั้นมุ่งหน้าไปโดยอาศัยความไว้วางใจในเพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ

    หากห่านตัวใดตัว 1 เกิดบินหลุดจากฝูง มันจะรู้สึกได้ทันทีถึงแรงต้านทานที่เพิ่มมากขึ้น
    ดังนั้น มันจะรีบบินกลับเข้าฝูงอย่างรวดเร็ว เพื่อจะได้ประโยชน์ในการบินเป็นฝูง………………..
    ถ้าเรามีไหวพริบเหมือนห่าน เราจะมีการแบ่งปันข้อมูลกับบุคคลอื่นที่มุ่งหน้าไปยังที่ที่เดียวกับเรา

    เมื่อห่านที่บินอยู่ข้างหน้ารู้สึกเหนื่อย มันจะบินไปอยู่ข้างหลัง และให้ห่านตัวอื่นบินข้างหน้าแทน………………..
    เราต้องมีการแบ่งปันภาวะผู้นำ และผลัดเปลี่ยนกันในการทำงานหนัก

    ฝูงห่านที่บินอยู่ข้างหลังจะส่งเสียงร้องเพื่อให้กำลังใจห่านที่บินอยู่ข้างหน้าให้รักษาระดับความเร็วต่อไป………………
    คำพูดชมเชยและกำลังใจ จะทำให้คนที่อยู่ในแนวหน้ายังคงมุ่งหน้าต่อไปได้ ท่ามกลางความกดดันและความอ่อนล้าที่ต้องเผชิญในแต่ละวัน

    ท้ายที่สุด หากว่าห่านตัวใดตัว 1 ป่วยหรือได้รับบาดเจ็บและไม่สามารถบินร่วมฝูงได้
    ห่านอีก 2 ตัวจะบินตามลงมาเพื่อช่วยเหลือและปกป้องห่านตัวที่บาดเจ็บจนกระทั่งห่านตัวนั้นหายดีหรือว่าตายไปแล้ว
    ห่านทั้ง 2 ตัวนั้นจะเข้ากลุ่มกับฝูงห่าน เพื่อจะตามหาฝูงห่านเดิมให้ได้ทัน………………
    หากเรามีสัญชาตญาณเหมือนห่าน เราจะยืนอยู่เคียงข้างคนอื่นๆ ในช่วงเวลาที่ยุ่งยาก

    หากคุณมีโอกาสได้เห็นฝูงห่านอีก จงอย่าลืมว่ามันเป็นรางวัล ความท้าทาย และสิทธิพิเศษในการเป็นส่วน 1 ของทีม

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2009
  10. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 9 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 7 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>แหน่ง, psombat </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ดีท่านสมบัติ

    เป็นงัยบ้างครับ สบายดีไหม ไปทำบุญที่ไหนมาครับ

    ส่วนผมเพิ่งกลับมาถึงกรุงเทพฯ บ่ายแก่ๆๆ

    วันนี้มีความสุขมากๆๆ เพราะเมื่อวานได้ไปทำบุญกับคุถณแม่ผมครับ

    ท่านอายุ 73 ปีแล้ว

    ท่านบอกว่าต่อไปมีโอกาส จะมาใส่บาตรและทำบุญ บ่อยๆ ขึ้น

    พอผมได้ยินที่ท่านพูดอย่างนั้น ผมดีใจมากๆๆๆเลยครับ

    ช่วงปิดเทอมใหญ่ของหลานๆ ผมบอกท่านว่าผมจะไปรับและจะพาไปไหว้หลวงพ่อโสธร

    เพราะผมจะไปทุกๆ ปี แต่ยังไม่เคยพาคุณแม่ผมไปเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2009
  11. มูริญโญ่

    มูริญโญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +583
    วันนี้ไปทำบุญตักบารตเทโว ถวายบุญแก่ผู้มีส่วนร่วมในพระวังหน้า พร้อมทั้งอุทิศส่วนบุญให้ บิดามารดาเจ้ากรรมนายเวร เพราะฉนั้นผมเผื่อบุญให้พี่น้องด้วยครับ ฮิฮิฮิฮิฮิ
    พร้อมกันนี้เพื่อให้เป็นวันดีเลยเหมาข้าวขาหมู กับ ข้าวโพดย่างเลี้ยงน้องๆในสังกัด 100 กว่าคน เสียดายไม่ได้เจอทุกท่านเมื่อวานนี้ เดือนหน้าค่อยเจอกันนะครับ
    ยังจำคำพูดของท่านเลขาได้ไม่ลืมเลยครับ ไก่เบรก / ครุฐ / เม่น / ครบชุดเลย
    ฮิฮิฮิฮิฮิ วาสนาจริงๆนะเรา ถ้าคุณสมบัติไม่ว่างมาผมรับแทนก็ได้นะครับ ฮิฮิฮิฮิฮิ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โมทนาสาธุครับ

    อย่าให้มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนตลอดไปนะครับ

    ส่วนคำพูดที่ผมบอกไว้ รับรองครับว่า ต้องได้แน่ และได้มากกว่าที่บอกอีกครับ

    สำหรับสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า ผมจะมีพระ.... ไปให้ทำบุญกัน เงินที่ร่วมทำบุญนั้นนำเข้าบัญชีของชมรมรักษ์พระวังหน้า ผมให้ร่วมทำบุญองค์ละ 10,000 บาท รับรองได้ว่า หาได้ยาก ส่วนคณะพระวังหน้า ผมให้ร่วมทำบุญองค์ละ 20,000 บาท ส่วนที่เป็นบุคคลภายนอกท่านอื่นๆ ที่ไปร่วมในงาน ผมให้ทำบุญองค์ละ 5,000,000 บาท ผมนำไป 5 องค์เท่านั้น ส่วนเงินหากมั่นใจก็สามารถโอนเงินเข้าบัญชีของชมรมได้เลย หากจำไม่ได้ขอให้แจ้งด้วย ผมจะส่งเลขที่บัญชีให้ทาง Email ครับ

    แต่หากในอนาคต การร่วมทำบุญเพื่อรับพระชุดนี้ คงต้องสูงกว่านี้แน่นอน

    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โมทนาสาธุครับ
     
  14. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    สวัสดีครับท่านแหน่งและชาวรักษ์พระวังหน้า โมทนาสาธุด้วยครับ..

    เทศกาลออกพรรษาคราวนี้ไม่ได้อยู่แม่สอด ซึ่งปกติจะต้องตักบาตรในเช้าวันนี้ซึ่งจะมีพระทั้งจากประเทศเพื่อนบ้านทั้งในอำเภอมารับบิณฑบาตรนับพันรูปเลยทีเดียว

    ผมมาทำงานที่แม่สะเรียง(1-6 ต.ค) เสาร์อาทิตย์ก็ขึ้นไปเที่ยวแม่ฮ่องสอน ในตอนเช้าของเมื่อวาน ซึ่งเป็นพระใหญ่ 15 ค่ำเดือน 11 ที่นั่นก็จะเริ่มตักบาตรเทโว ณ วัดพระธาตุดอยกองมู พระภิกษุ สามเณร จะเดินลงมาจากวัด ซึ่งอยู่ภูเขา พวกเราขับรถมาตำรวจไม่ให้ขึ้น ต้องรอข้างล่างตั้งแต่ 7 โมง กว่าพระจะลงมาถึงก็ราว 8 โมงครึ่ง พระท่านบอกว่าเหนื่อยมาก... จากนั้นผมได้ไปทำสังฆทานที่วัดจองคำ กลับมานอนแม่สะเรียง เมื่อคืนพระจันทร์สวยงามมาก เคยได้เห็นแต่พระอาทิตย์ทรงกรด คราวนี้เป็นพระจันทร์ทรงกรดและไม่ธรรมดา แต่เป็นทรงกรดสองชั้นด้วยซี (มีวงแหวนสีรุ้งสองชั้น สวยมาก) พยายามถ่ายรูปออกมา แต่ไม่สามารถครับ ดูรูปกันเลย ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1090763.JPG
      P1090763.JPG
      ขนาดไฟล์:
      140.1 KB
      เปิดดู:
      78
    • P1090772.JPG
      P1090772.JPG
      ขนาดไฟล์:
      99.3 KB
      เปิดดู:
      73
    • P1090814.JPG
      P1090814.JPG
      ขนาดไฟล์:
      151.8 KB
      เปิดดู:
      67
    • P1090872.JPG
      P1090872.JPG
      ขนาดไฟล์:
      148.2 KB
      เปิดดู:
      65
    • P1090873.JPG
      P1090873.JPG
      ขนาดไฟล์:
      133 KB
      เปิดดู:
      68
    • P1090877.JPG
      P1090877.JPG
      ขนาดไฟล์:
      151.7 KB
      เปิดดู:
      68
    • P1090944.JPG
      P1090944.JPG
      ขนาดไฟล์:
      67.6 KB
      เปิดดู:
      72
    • P1090968.JPG
      P1090968.JPG
      ขนาดไฟล์:
      71.9 KB
      เปิดดู:
      756
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แต่สำหรับท่านที่มีความประสงค์จะสมัครสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้าในวันงาน ผมแจ้งว่า ท่านต้องกรอกใบสมัครก่อนแล้วผมจะนำใบสมัครไปเข้าที่ประชุมอีกครั้ง (ว่า ที่ประชุมจะรับหรือไม่รับการสมัครของบุคคลท่านนั้น) ซึ่งไม่ทราบว่า จะประชุมได้ในเดือนธันวาคม หรือมกราคมไปแล้ว ดังนั้น การสมัครสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้าในวันนั้นจึงไม่สามารถสมัครได้ทันและขอร่วมทำบุญรับพระ.....ในวันนั้นทันครับ

    ส่วนค่าสมาชิกรายปี ที่ท่านสมาชิกต้องจ่ายเงินเข้าบัญชีชมรม ในเดือนมกราคม 2553 นั้น ในวันงานผมจะนำเลขที่บัญชีไปมอบให้กับทุกๆท่านอีกครั้งครับ
     
  16. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768

    โมทนาสาธุครับคุณสมบัติ

    เวลาผมขึ้นไปทางเหนือผมก็จะหาโอกาสไปทำบุญและไหว้ตามวัดต่างๆ

    แต่ยังไม่เคยไปที่วัดพระพุทธบาทสี่รอย คุณสมบัติเคยไปหรือยังครับ

    ผมว่าขึ้นไปเชียงใหม่อีกครั้งวันที่ 16-17 ที่จะถึงนี้ว่าจะหาโอกาสไปซักวัน

    ถ้าอยากรู้เรื่องราววัดพระพุทธบาทสี่รอย มากกว่านี้ต้องถามพี่เบิ้มครับ

    เพราะพี่เขาไปเดินทุกปี

    <TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center>วัดพระพุทธบาทสี่รอย จ.เชียงใหม่

    </TD><TD style="FONT-SIZE: smaller" height=20 vAlign=bottom align=right></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <HR class=hrcolor SIZE=1 width="100%">[​IMG]

    ที่ตั้ง

    "พระพุทธบาทสี่รอย" แห่งวัดพระพุทธบาทสี่รอย ต.สะลวง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

    ประวัติและที่มาของวัด พระพุทธบาทสี่รอย

    [​IMG]

    เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในศาสนาปัจจุบันนี้ได้เสด็จจาริกประกาศธรรม และโปรดเวไนยสัตว์มายังปัจจันตประเทศ ( ประเทศไทยปัจจุบัน ) จนกระทั่งมาถึงเทือกเขาทางตอนเหนือของประเทศชื่อ เขาเวภารบรรพตซึ่งขณะนั้นได้เสด็จพร้อมกับพุทธสาวก 500 องค์และได้ แวะฉันจังหันอยู่บนเขาเวภารบรรพตแห่งนี้ เมื่อพระพุทธองค์ฉันจังหันเสร็จขณะประทับอยู่ที่นั้นก็ได้ทราบด้วยญาณ สมาบัติว่าบนเทือกเขาแห่งนี้ได้มีรอย พระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ามาประทับอยู่บนก้อนหินใหญ่ คือ พระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ภัทรกัลป์นี้แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงเล็งดูรอยพระ พุทธบาทแห่งพระ พุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ คือ พระพุทธเจ้ากกุสันธะ พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ พระพุทธเจ้ากัสสปะ อันมีในที่นี้พุทธสาวกทั้งหลายมีพระสารีบุตรเป็นประธาน เมื่อเห็นเช่นนี้จึงทูลถามว่าพระพุทธองค์ทรงเล็งดูด้วยเหตุใด

    [​IMG]

    พระพุทธองค์ตอบว่า ดูก่อนท่านทั้งหลายสถานที่แห่งนี้ แม้นว่าพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ที่ ล่วงมาแล้วในอดีตกาล ก็มาประทับรอยพระบาทไว้ ณ ที่นี้ทุกๆพระองค์ และแม้นว่าพระศรีอาริยเมตไตร ก็จักเสด็จมาประทับรอยพระบาทไว้ ณ ที่นี้ และ จักรประทับรอยพระบาทสี่รอยนี้ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว ( คือ ประทับลบทั้งสี่รอยให้เหลือรอยเดียว ) เมื่อพระพุทธองค์ตรัสแก่สาวกทั้งหลายเสร็จแล้วพระ องค์ก็เสด็จไปประทับรอยพระบาทซ้อนรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ จึงมีรอยพระพุทธบาท ของพระพุทธเจ้า 4 พระองค์จึงกําเนิดเป็นพระ พุทธบาทสี่รอย เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราประทับรอยพระบาทซ้อนรอยพระบาท ของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์นั้นแล้วก็ทรงอธิฐานว่า ในเมื่อกูตถาคตนิพพานไปแล้ว เทวดาทั้งหลายก็จักนําเอาพระ ธาตุของกูตถาคมมาบรรจุไว้ที่รอยพระบาทที่นี่

    [​IMG]
    พระพุทธรูป พุทธศิลป์แบบศิลปะล้านนาในพระอุโบสถ วัดพระพุทธบาทสี่รอย จ. เชียงใหม่

    ในเมื่อกูตถาคตนิพพานไปแล้ว 2,000 ปี พระพุทธบาทสี่รอยนี้ก็จักปรากฏแก่ปวงคนและเทวดาทั้งหลาย ก็จักได้มาไหว้และบูชา เมื่อทรงอธิฐานและทํานายไว้ดังนี้แล้ว พระพุทธองค์ก็เสด็จไป เชตวันอารามอันมีในเมืองสาวัตถีวันนั้นแล เมื่อพระพุทธเจ้าทรงนิพพานไปแล้วเทวดาทั้งหลายก็นําเอาพระธาตุของพระ พุทธองค์มาบรรจุไว้ที่พระพุทธ บาทสี่รอยเมื่อพระพุทธองค์นิพพานล่วงแล้วประมาณ 2,000 วัสสา เทวดาทั้งหลายต้องการอยากให้พระพุทธบาทสี่รอยปรากฏแก่คนทั้งหลายตามที่พระ พุทธองค์ทรงอธิฐานไว้ก็จึงเนรมิตเป็นรุ้งตัวใหญ่ ( เหยี่ยว ) ก็บินลงจากภูเขาเวภารบรรพตอันเป็นที่ตั้งแห่งพระพุทธบาทสี่รอยในปัจจุบันนี้ เพื่อบินลงไป เอาลูกไก่ชาวบ้าน ( คนป่า )ที่อยู่ตีนเขาเวภารบรรพต แล้วก็บินกลับขึ้นไปอยู่ยอดเขา มันก็โกรธมากจึงตามขึ้นไปคิดว่าจะยิงเสียให้ตาย มันก็ติดตามไป ค้นหาดูแต่ก็ไม่เห็นรุ้งตัวนั้นอีก แต่เห็นรอยพระพุทธบาทสี่รอยอันอยู่พื้นต้นไม้และเถาวัลย์ พรานป่าผู้นั้นก็ทําการสักการะบูชา เสร็จแล้วก็ลงจากภูเขา พอมาถึงหมู่ บ้านก็เล่าบอกแก่ชาวบ้านทั้งหลายฟังความอันนั้นก็ปรากฏสืบๆกันไปแรกแต่นั้น ไปคนทั้งหลายที่ทราบก็พากันไปสักการะบูชามาก แต่นั้นมา จึงได้ชื่อว่า พระบาทรังรุ้ง ( รังเหยี่ยว ) ในสมัยนั้นมีพระยาตนหนึ่งชื่อว่าพระยาเม็งราย เสวยราชสมบัติในเมืองเชียงใหม่ ได้ทราบข่าวจึงมีพระราช ศรัทธาอยากเสด็จขึ้นไปกราบบูชาพระพุทธบาทสี่รอยก็นําเอาราชเทวีและเสนาพร้อม กับบริวารทั้งหลาย เมื่อพระยาเม็งรายกราบนมัสการเสร็จแล้ว ก็นําเอาบริวารของตนกลับมาสู้ เมืองเชียงใหม่ ก็ตั้งอยู่เสวยราชมบัติตราบเมี้ยนอายุขัยแล้ว ก็เจริญตามรอยและได้ขึ้นมากราบพระพุทธบาท

    [​IMG]
    ภายในวิหารที่มีรอยพระบาท

    [​IMG]
    รอยพระบาท ของพระพุทธเจ้าทั้ง 4 พระองค์ในภัทรกัลป์นี้

    ทั้งสี่รอย ทุกๆพระองค์ หลังจากนั้นมาพระบาทรังรุ้งหรือรังเหยี่ยวก็เปลี่ยนชื่อเป็น" พระพุทธบาทสี่รอย " เพราะมีรอยพระพุทธบาทประทับซ้อนกันถึงสี่รอย คือมีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์ที่ล่วงลับมาแล้วในภัทร กัลป์นี้ คือ รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากกุสันธะ รอยแรกเป็นรอย ใหญ่ยาว 12 ศอก รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ เป็นรอยที่ 2 ยาว 9 ศอก รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากัสสปะเป็นรอยที่ 3 ยาว 7 ศอก รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโคตะมะ ( ศาสนาปัจจุบัน ) เป็นรอยที่ 4 รอยเล็กที่สุด ยาว 4 ศอก เมื่อมาถึงสมัยพระยาธรรมช้างเผือกผู้ครองนคร เชียงใหม่ พร้อมด้วยบริวาร 500 คนก็ขึ้นไปกราบสักการะบูชาพระพุทธบาทสี่รอย และได้สร้างวิหารครอบพระพุทธบาทสี่รอยไว้ชั่วคราว

    [​IMG]
    พระประธานในพระอุโบสถ วัดพระพุทธบาทสี่รอย จ. เชียงใหม่


    โดยแต่เดิมถ้า ใครจะดูรอยพระพุทธบาทบนยอดหินก้อนใหญ่ ต้องใช้บันไดพาดขึ้นไปหรือปีนขึ้นไปดูซึ่งก็คงจะขึ้นได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น ดังนั้น พระยาธรรมช้างเผือก จึงตรัสสร้างแท่นยืนคล้ายๆนั่งร้านรอบๆก้อนหินที่มีพระ พุทธบาทสี่รอยและได้สร้างหลังคาชั่วคราวมุงไว้ ต่อมาในสมัยพระชายาเจ้าดารารัศมีก็ได้ขึ้นไป กราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอยและได้มีพระราชศรัทธา ก่อสร้างวิหารเป็นการกราบบูชารอยพระพุทธบาทไว้หนึ่งหลัง หลังเล็กปัจจุบันได้บูรณะปฏิสัง ขรณ์แล้วทั้งหลัง พอมาสมัยเมื่อปี พ.ศ. 2472 ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทยก็ได้ขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย และได้รื้อพระวิหารที่เจ้า พระยาธรรมช้างเผือกสร้างไว้ชั่วคราว และได้สรางพระวิหารครอบรอยพระพุทธบาทไว้ใหม่ และได้ฉาบปูนครอบรอยพระพุทธบาทสี่รอย พระพุทธบาทสี่รอยนี้เป็นพระพุทธบาทที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย


    ขอขอบคุณเว็บ http://members.tripod.com
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับรายละเอียดในวันงาน ผมจะนำมาแจ้งให้ทุกๆท่านทราบอีกครั้ง

    ผมได้นิมนต์พระอาจารย์รูปหนึ่ง และพระอาจารย์นิล มาฉันเพลด้วย

    เรื่องของอาหาร ผมจะประสานงานกับพี่แอ๊ว ,คุณแด๋น และพี่จิ๋วอีกครั้งนะครับ

    ส่วนเรื่องของเวลานั้น

    ประมาณ 10.00 น. นิมนต์พระอาจารย์ทั้งสองรูปฉันเพล

    หลังจากนั้นเวลาประมาณ 13.00 น.ก็จะเริ่มการสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 5 พระองค์ ,พระธาตุพระอรหันต์ ,ธาตุพระโพธิสัตว์ ,พระพุทธรูป ,หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ,สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญ ญาณวรเถระ )

    หลังจากที่ทุกๆท่านสรงน้ำแล้วก็มารับพระพิมพ์จากท่านอาจารย์ประถม ท่านละ 1 องค์ ส่วนสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า เมื่อรับพระพิมพ์จากท่านอาจารย์ประถม ท่านละ 1 องค์แล้ว ผมจะนำพระวังหน้าที่ฯ(พิมพ์คล้ายหลวงพ่อปาน) ที่จัดเป็นชุด ,และพระวังหน้ารุ่นอื่นๆ มอบให้กับสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้าอีกครับ

    เมื่อรับพระกันเรียบร้อยแล้ว ผมจะนำพระ.... มาแจ้งให้ทุกๆท่านทราบ หากท่านใดสนใจจะร่วมทำบุญ ก็จะได้เข้ามาชมกัน และตัดสินใจกันเองครับ

    ปล.ผมจะนำคอนโดบุญไปด้วย จะเป็นอย่างไร ไว้ไปชมกันในวันงานครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2009
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แผนที่นรกดูซะ กันหลงทาง
    PI: Ἱ?ը?á?٫Р?ѹ˅??ҧ

    ๔. ล้อมรอบโรรุวมหานรก ๔๐ ขุม



    ๔. ล้อมรอบโรรุวมหานรก ๔๐ ขุม

    ๕. ล้อมรอบมหาโรรุวมหานรก ๔๐ ขุม



    ๖. ล้อมรอบตาปนมหานรก ๔๐ ขุม



    ๗. ล้อมรอบมหาตาปนมหานรก ๔๐ ขุม



    ๘ . ล้อมรอบอเวจีมหานรก ๔๐ ขุม









    รวมเป็น ยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม เฉพาะในที่นี้ จักขอกล่าวถึงชื่อแห่งยมโลกนรกเพียง ๑๐ ขุม ซึ่งล้อมรอบเป็นบริวารชั้นนอกของมหานรกขุมที่ ๑ คือ สัญชีวมหารก แต่เพียงทิศเดียวเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพราะว่า ยมโลกนรกที่ล้อมรอบเป็นบริวารชั้นนอกของมหานรกขุมอื่น ๆ ก็ดี ยมโลกนรกเหล่านี้ทั้งหมด ต่างก็มีชื่อและมีวิธีการลงโทษเหมือน ๆ กันกับยมโลกนรกทั้งหลายที่จะกล่าวต่อไปนี้
    ----------------------------------------------------------------------



    โลหะกุมภี ๑.



    กุมภีแปลว่าหม้อ หรือแปลมีหม้อโลหะใหญ่ ตามศัพท์หนังสือท่านเขียนว่าหม้อทองแดง หรือมีหม้อทองแดงใหญ่โตมหึมา ใหญ่เท่า ๆ กับสัตว์ที่จะลงนรกขุมนี้ ถ้ามีสัตว์ที่จะลงนรกมาก หม้อก็ใหญ่มาก มีสัตว์ลงนรกน้อย หม้อใหญ่ก็น้อยหดลง ดีเหมือนกัน นรกตามใจคน นรกไม่ขัดใจนคน พอมีคนมากก็ขยายออกไปให้ใหญ่มีคนน้อยก็ขยายให้น้อยได้ ในหม้อทองแดงนี้มีน้ำทองแดง น้ำเป็นน้ำโลหะที่ถูกเคี่ยวจนเดือดพล่าน



    ท่านเคยเห็นคนที่เขาหล่อพระพุทธรูปหรือหล่อหล่อมโลหะไหม? เขาจะเคี่ยวทองเหลือหรือทองแดงหรือว่าโลหะ เคี่ยวไปจนเป็นน้ำ แล้วก็เทลงไปในเบ้าหลอม สภาพของน้ำทองแดงก็เป็นอย่างนั้น แต่ว่ามีความร้อนแรงยิ่งกว่าน้ำทองแดงหรือทองเหลืองที่เราเห็นกัน มันแรงมากกว่าเรียกว่ามีความร้อนจัด และมีความรัดตัวมากกว่า เพราะเป็นน้ำทองแดงของนรก บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายที่มีโทษปาณาติบาตเหลือเป็นเศษของกรรม เศษนะ นายนิริยบาลก็เอาหอกมาเสียบแล้วก็โยนลงเทลงหม้อทองแดง



    หม้อทองแดงเป็นน้ำเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา ถูกความร้อนจากเหล็ก ถูกความร้อนจากไฟ เผาผลาญอยู่อย่างนั้น ขึ้นปากหม้อแล้วก็จมลงไปก้นหม้อ จมลงไปก้นหม้อแล้วก็ไหลขึ้นมาปากหม้อ วนเวียนกันอยู่แบบนี้ไม่มีเวลาจำกัด จนกว่าจะหมดเศษกรรมเรื่องปาณาติบาต มนุษยเราชอบพูดกันนักว่า สัตว์ทั้งหลายเกิดมาก็เป็นอาหารของคน สัตว์ทุกตนรักชีวิตของตัวเวลาที่เราจะเข้าไปจับ หรือเวลาที่เราจะไปฆ่ามันจะดิ้นรนเพื่อหาอิสรภาพ ไม่ต้องการให้ใครมาฆ่าหรือทำร้ายมัน



    ถ้าบุคคลผู้นั้นไม่ได้เจตนาหรือจงใจ เช่นบังเอิญเราเดินไปเหยีบบ้าง หรือเวลายุงมันมากัดเรา ๆ รำคาญก็เอามือไปลูบไปแตะเพื่อให้ยุงมันหนีไป แต่บังเอิญเจ้ายุงมันตระกระกินมากไปบินไปไม่ไหว ตัวมันอ่อน ไปถูกเข้าตายโดยบังเอิญ เราไม่มีเจตนาฆ่าให้มันตาย อันนี้ไม่มีโทษต้องลงยมโลกยนรก ลงโลกหะกุมภี ทั้งนี้เพราะว่าเราไม่ได้มีเจตนา



    เป็นอันว่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นจะลงนรกได้ต้องมีเจตนา ถ้าท่านอยากลงนรกขุมนี้ ก็เชิญฆ่าสัตว์ด้วยเจตนา ถ้าไม่อยากจะมาก็ให้มีเมตตาปราณีเข้าไว้ ทรงพรหมวิหาร ๔ มีเมตตาในพรหมวิหาร ๔ หรือทรงวิหาร ๔ ทั้งหมด นรกยมโลกียนรกขุมนี้ ท่านไม่ได้บอกอายุไว้ ไม่บอกว่าตกกี่วันกี่ปีกี่เดือน แต่ว่านานเหลือเกิน อย่าลืมนะ พอลงไป ๑ ขุม อย่างน้อยที่สุดพระพุทธเจ้าตรัสไป ๒ - ๓ องค์ ก็ยังไม่ได้โผล่ขึ้นมาเลย
    ----------------------------------------------------------------------
    สิมพลีนรก ๒.



    สิมพลีนรก นรกต้นงิ้ว เป็นต้นงิ้วยักษ์มีพิษมาก และเป็นต้นงิ้วที่ไม่มีใบมีแต่กิ่งกับหนาม ปุ่มเล็ก ๆ นิดเดียวอยู่รอบของต้น หนามงิ้วยาว ๑๖ องคุลีนรก ( ไม่ใช่องคุลีมนุษย์เรา) ยาวมาก ใหญ่มาก มีสภาพเป็นสปริงมันเกาะอยู่กับต้นธรรม มีความคมเป็นกรด เวลามีคนมีบาปขึ้นไป มันมีอาการพุ้งตัวแทงให้ทะลุหลังขึ้นไปได้ มันไม่นอนนิ่ง ๆ มันเด้งได้เหมือนสปริงที่เราทำเก้าอี้ พอเวลานั่งก็ยบลงไป เวลาลุกก็ฟูขึ้นมา ดูคล้าย ๆ กับมันมีชีวิต แต่จริงๆ แล้วมันไม่มีชีวิต แต่มันรู้ว่าคนที่มีความชั่วขึ้นไป ไปกระทบตัวมัน ๆ ก็จะพุ่งแทงทันที เลือดของคนมีบาปแดงฉานลงมา นรกขุมนี้เขามีไว้สำหรับลงโทษ พวกคนชั่วใจชั่วเจ้าชู้ไม่เลือก ไม่รู้จักว่าผัว เมียใคร ลูกใคร ข้าทาสหญิงชายของใคร



    เรื่องนี้ไม่ได้บังคับแต่เฉพาะว่า ผัวใครเมียใครหรอก แม้แต่ลูกของเขา ถ้ายังไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปรกครอง คือบิดามารดา แม้ว่าเจ้าตัวเขาจะยินยอมก็ตามที ไม่ได้ต้องลงโทษ ต้องมานรกขุมนี้ ข้าทาสหญิงชายของบุคคลอื่นหรือบุคคลที่อยู่ในปกครอง ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปรกครองแล้วไปร่วมรักกันเข้า ท่านกล่าวว่ามีโทษตกนรกขุมนี้



    เอาละมาดูว่าที่นรกขุมนี้มีอะไรบ้างทำอย่างไรกับสัตว์นรกนี้บ้าง โคนต้นงิ้วจะมีนายนิริยบาลถือหอกใหญ่โตมาก มีความคม แล้วก็มีสุนัขคอยยื้อและกัดสัตว์ใจบาป และบนยอดงิ้วก็มีแร้งมีกาตัวใหญ่ ๆ ปากเป็นเหล็กคอยรออาหารอยู่ ต้นงิ้วในนรกขุมนี้ดูสะพรั่งไปหมด และไม่มีต้นไหนเลยที่จะว่างเว้นจากสัตว์นรกเลย มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย ไต่ไปบนต้นกันยั้วเยี้ยไปหมด คนที่ยังไม่ขึ้น นายนิริยบาลก็เอาหอกเสียบเข้าให้ สัตว์นรกเหล่านั้นต้องตระเกียกกระกายขึ้นไป ถ้าไม่ไต่ที่สูงขึ้นไปก็จะถูกหอกแทงซ้ำดันขึ้นไป หนามก็บาดเลือดก็โทรมบรรดาหนามทั้งหลายก็พุ่งหน้าพุ่งหลังพุ่งข้างตัว ดูเลือดฉานไปหมด ร้องครวญครางกันเป็นตับเสียงระงมไปหมด



    เมื่อสัตว์เหล่านั้นไต่ขึ้นไปจนถึงยอดก็ถูกแร้งกาปากเหล็กจิกกินเนื้อบ้าง ตีด้วยปีกบ้าง ข่วนด้วยเล็บบ้าง อดรนทนไม่ไหวไต่ลงมาข้างล้าง นายนิริยบาลก็เอาหอกยันเข้าไว้ และสุนัขใหญ่ก็กระโจนเข้ากัดอีก กินเนื้อแทะถึงกระดูก เมื่อกระดูกล่อนไม่มีเนื้อแล้วก็มีเนื้อเต็มร่างขึ้นมา นายนิริยบาลก็เอาหอกยันให้ไต่ขึ้นไปใหม่ วนเวียนอยู่อย่างนี้จนกว่าจะสิ้นกรรม



    ท่านทั้งหลายผู้หญิงหรือผู้ชาย อย่าคิดว่าไปยุ่งกับคนอื่นแล้วไม่มีโทษ ถ้าเมียเขาหรือสามีเขาไม่อนุมัติแล้ว อย่าเชียว มาแน่ นรกต้นงิ้วนี่มาแน่ แล้วเวลากลับก็ไม่มีเวลากลับที่แน่นอน...
    ----------------------------------------------------------------------
    อสินขนรก ๓.



    อสินขนรก นรกขุมนี้มีสัตว์คอยกัดกินอยู่ตลอกเวลา ตามบาลีท่านกล่าวว่ามีสุนัขตัวใหญ่คล้าย ๆ ช้างคอยกัดกินสัตว์นรก สำหรับโทษของนรกขุมนี้ท่านกล่าวว่าเป็นโทษอทินนาทาน ความจริงโทษอทินนาทานก็ดี โทษปาณาติบาตก็ดีก่อนที่จะมานรกขุมนี้ ต้องไปเสวยนรกขุมใหญ่เสียก่อนไม่ขุมใดก็ขุมหนึ่ง เพราะเนื่องด้วยกรรมบถ ๑๐ สำหรับกาเมสุเมจฉาจารนี่ ก็คิดว่าเหมือนกันต้องไปลงนรกขุมใหญ่ก่อนแล้วมายุมโลกีนรก มันเนื่องด้วยกรรมบถ ๑๐ เหมือนกัน



    คือ กรรมบถ ๑๐ ก็มี ปาณษ อทินนา กาเม ๓ อย่างนี้มีอยู่ในกายกรรม ฉะนั้นท่านที่ระเมิดกรรมประเภทนี้ต้องไปนรกขุมใหญ่ขุมหนึ่งหรือว่าสองขุมสามขุม แล้วผ่านนรกบริวาร จึงมาไล่เบี้ยเฉพาะในยมโลกีนรกนี่อีกใหม่ นรกขุมนี้ไม่มีอะไรวิจิตรพิสดารอะไร จะมีนายนิริยบาลคอยควบคุมอยู่ และสุนัขตัวใหญ่ คล้าย ๆ ช้าง คอยไล่กัดตลอดเวลา ครั้นสัตว์นรกเหล่านั้นวิ่งหนีสุนัขก็จะไปเจอกับนายนิริยบาลเอาหอกเสียบแทงบ้าง ใช้ค้อนทบบ้าง สุนัขก็กัดกินสัตว์นรก กินจนเหลือแต่กระดูก พอเหลือถึงกระดูกก็เจ็บแสบนัก ขึ้นชื่อว่าความตายไม่มี สัตว์นรกไม่มีการตาย แม้ชั่วครึ่งวินาทีก็ไม่ตาย ความรู้สึกตัวนี่ไม่มีสำหรับสัตว์นรก ถ้ายิ่งถึงกระดูกสัตว์แทะกระดูกก็ยิ่งเจ็บหนัก พอมันของกระดูกหมดแล้วก็ปรากฏว่ามีเนื้อหนังขึ้นมาตามเดิมลุกขึ้นวิ่งหนีสัตว์ นายนิริยบาลก็ไล่ทุบไล่แทงอีก บรรดาสัตว์ทั้งหลายก็ไล่ต้อนกัดกินอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา



    ทั้งนี้ก็เพราะโทษของการชอบขโมยทรัพย์สินของชาวบ้าน คดโกงเขาบ้าง จี้ ปล้น เรียกว่าหาทรัพย์สินมาได้โดยไม่ชอบธรรม ฯลฯ
    ----------------------------------------------------------------------
    ตามโพทนะนรก๔.



    นรกขุมนี้มีหม้อเหล็กแดงแล้วก็เคี่ยวน้ำทองแดงไว้เต็ม คอยรอสัตว์ใจบาปหยาบช้าทั้งหลาย นรกขุมพิเศษขุมนี้สำหรับสัตว์ที่ดื่มสุราและเมรัย เรียกว่าของที่ทำให้ใจของเรานี้ฟั่นเฟือนด้วยอำนาจการเสพติด จะเป็นสุราเมรัยที่เป็นน้ำ หรือเป็น กัญชา เฮโรอิน อะไรก็ตาม ที่ทำให้มีความมึนเมาสติสัมปชัญญะเคลื่อน นี่นายนิริยบาลท่านไม่ถือ ท่านได้ต้อนรับด้วยการเลี้ยงดูปูเสือด้วยน้ำกระทองแดงอยู่แล้ว



    นรกขุมนี้มีไฟแดงฉาน พื้นข้างล้างเป็นพื้นเหล็กเเดง ไฟเผาจนแดงโชน บริเวรนั้นจะมีหม้อทองแดงที่เคี่ยวน้ำทองแดงไว้เกลื่อนกลาดไปหมด พอดีกับปริมาณของคนที่ลงมาในนรกขุมนี้ เรียกว่าจะขาดจะเกินนั้นไม่มี ลงมาเท่าไรหม้อทองแดงเกิดเท่านั้น นายนิริยบาลจะจับสัตว์นรกเหล่านั้นให้นอนนบแผ่นเหล็กที่มีไฟเผ่โชน เห็นพรือยัง บังคับให้นอน ถ้าไม่นอนก็ขวานบ้าง หอกบ้าง ค้อนบ้าง ทุบลงไป แทงลงไป ฟันลงไป ต้องนอน ถ้นดินรนขัดขืนจะมีคนจับหัวจับท้ายจับหัวกดห้ามดิ้น ลองคิดดูว่าไฟก็เผา เหล็กก็แดงโชนเป็นเปลวเพลิงแล้วไหม้ทั้งกายอยู่แล้ว แล้วนี่มานอนลงไปอย่างนั้นมันจะแสบปวดร้อนแค่เพียงใด สัตว์นรกทุกตัวทุกตนดิ้นร้องกระวนกระวาย น่าสงสาร



    เมื่อสัตว์นรกทั้งหลายนอนลงแล้ว เขาก็เอาหม้อที่มีน้ำทองแดงเคี่ยวไว้ดีแล้วมีกระแสเปลวเพลิงขึ้นมาพรึ่บ ๆๆ เต็มหม้อ เอาคีมงัดปากให้สัตว์นรกเหล่านั้นอ้าปาก เมื่ออ้าปากแล้วก็กรอกด้วยน้ำทองแดง น้ำทองแดงเข้าปาก ปากพัง ไหลไปถึงคอ คอพัง ไหลไปถึงอก อกพัง ไหลไปถึงท้อง ท้องพังหมด ร่างกายสลายหมด แต่สัตว์ทั้งหลายไม่ตาย เมื่อร่างกายสลายตัวไปแล้วก็กลับเป็นตัวเป็นตนเหมือนเดิม ปับเดียว เป็นคนบริบูรณ์ไปด้วยอวัยวะต่าง ๆ ตามเดิม แล้วก็ถูกนายนิริยบาลกรอกอยู่อย่างนนั้น จนกว่าจะสิ้นกฏของกรรม ถ้าจะถามว่าเวลากฏของกรรมเป็นกี่วัน กี่เดือน กี่ปีของเมืองนรกก็ตอบไม่ได้เพราะเขาไม่ได้บอกไว้
    ----------------------------------------------------------------------
    อาโยฬะนรก ๕.



    นรกขุมนี้มีก้อนเหล็กแดงเกลื่อนกลาด พื้นก็เป็นเหล็กเผาจนแดงเหมือนกัน มีไฟเผ่ตลอดเวลา ในบริเวรของพื้นที่เป็นเหล็กเผาจนแดงโชน ก็มีก้อนเหล็กกลม ๆ คล้าย ๆ ลูกกระสุนปืนใหญ่โบราณ วางแดงอยู่เกลือนไปหมด และก็มีไฟเผาสุกอยู่เหมือนกัน นรกขุมนี้มีไว้เป็นที่ลงโทษสัตว์นรกคือ นักบุญ???? คือนักบุญประเภทที่มีการเรี่ยไรบอกบุญ เขามีไว้เฉพาะนะ เมื่อลักขโมยเขาก็มี ว่าไว้เรื่องหนึ่ง ที่นี่มาว่าถึงนักบุญที่มีการเรี่ยไร มีการบอกบุญ จะเป็นพระเป็นเณรเป็นเถรเป็นชีเป็นฆราวาสเป็นทายกทายักอะไรก็ตาม มีการลงโทษเหมือนกัน เวลาบอกบุญเวลาเรี่ยไรเขามาแล้ว



    บอกว่าจะสร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างถนน สร้างส้วม สร้างกุฏิ สร้างหอสวดมนต์ อะไรก็ตาม เป็นเรื่องของบุญก้แล้วกัน เมื่อบอกมาแล้ว เวลาได้มาแล้วไม่ยักเอาไปทำหมด บางทีก็กันเสียหมดเลย หรือไม่ก็ถึงแค่ครึ้ง ตัวเองเสียครึ้งหนึ่งอย่างนี้ หรือว่าบางรายบอกเรี่ยไรเขามาได้แล้ว แต่เอามาแบ่งสรรปันส่วนกันก่อน ว่านี่ค่าจ้างของฉัน นี่ค่าอาหาร นี่เป็นค่าเครื่องดืม นี่เป็นค่าเหล้า เมื่อเราเรี่ยไรให้แก่วัด เราก็ต้องกินของวัด แต่ความจริงจะกินแค่อาหารอีกทั้งบุหรี กาแฟตามความจำเป็น อันนี้ก็เห็นว่าไม่น่าเป็นอะไร แต่ทว่าจะต้องตกลงกันไว้กับเจ้าอาวาสเสียก่อน หรือบรรดาคณะสงฆ์เสียก่อน แต่ว่าถ้าจำเป็นไปถึงสุราเมรัยละก็ อันนี้ไม่เป็นเรื่องแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่จะอภัยกันได้ ระวังกฏของกรรมเขาจะลงโทษเอาเข้าให้นะ



    นรกขุมนี้ปรากฏว่าก้อนทองแดงหรือเหล็กแดงที่เผาโชนมีเปลวไฟไปด้วยกฏของกรรมบังคับอยู
    ่ แทนที่สัตว์นรกเหล่านั้นจะเห็นเป็นก้อนเหล็ก สัตว์เหล่านั้นก็จะเห็นว่าเป็นชิ้นเนื้ออันโอชะ เกิดความหิวความกระหายอย่างหนัก วิ่งเข้าไป แย่งกันกิน เพราะเห็นว่าเป็นก้อนเนื้ออย่างดีมีกลิ่นหอม พอวิ่งเข้าไปถึงก็แย่งกันเอาก้อนเหล็กแดงเข้าใส่ปาก เคี่ยวกินก้อนเหล็กแดงไม่ใช่สีแดง มันแดงเพราะความสุกของไฟ พื้นที่วิ่งลงไปก็มีไฟตลอดเวลา คือบริเวรที่วิ่งลงไปนั้นเดินไปอยู่นั้นนะ มีไฟทั้ง ๔ ทิศตลอดเวลาพุ่งเข้าหากัน พื้นข้างล้างก็เป็นแผ่นเหล็กแดงโชนก้อนเหล็กที่กินเข้าไปก็เป็นก้อนเหล็กที่เผาแดงโช
    น เมื่อกินก้อนเหล็กแดงเข้าไปพอถึงปาก ปากพัง ถึงคอ คอพัง ถึงอก อกพัง ถึงท้อง ท้องพัง ล้มลงถึงแก่ความตาย แต่ความจริงไม่ตาย มีความรู้สึกแต่กระดิกกระเดี้ยไม่ไหว เมื่อกระดิกกระเดี้ยไม่ไหว ก็ปรากฏว่ามีการทรงกายตามเดิม



    เมื่อมีการทรงกายตามเดิมก็ลุกขึ้นมีความหิวจัด กฏของกรรมมันบังคับให้หิว เรื่องของความจำว่าไอ้อาหารก้อนนี้มันเป็นก้อนเหล็กที่เผาไฟจนแดงนั้น ไม่มีความจำเลย เพราะเป็นกฏของกรรมบังคับ เกิดความหิวขึ้นมาอีก ถูกไฟเผาทั้ง ๔ ทิศ ข้างล้างก็เป็นพื้นเหล็กที่เผาจนแดงโชนร้อน แต่ความหิวบัวคับให้วิ่งเข้าไปหาก้อนเหล็กแดงใหม่ กินเข้าไปแบบนั้น ทำอยู่อย่างนี้อยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะสิ้นกฏของกรรม ท่านที่เป็นนักเรี่ยไรจงระวังให้ดีอย่าได้มาที่นี่ก็แล้วกัน
    ----------------------------------------------------------------------
    ปิสสกปัพพตะนรก ๖



    สำหรับนรกขุมที่ ๖ แห่งนมโลกียนรกนี้ มีชื่อว่าปิสสกปัพพตะนรก นรกขุมนี้แปลว่าภูเขา บรเวรของนรกขุมนี้ทั้งหมดมีกำแพง ๔ ด้านกั้น เป็นบริเวรใหญ่มาก แล้วจากกำแพง ๔ ด้านนั้น ก็มีไฟพุ่งเข้ามาส่วนกลาง พุ่งเข้ามาทั้ง ๔ ทิศแล้วในบริเวรกำแพงนั้น มีบรรดาสัตว์นรกกลาดเกลื่อน นรกขุมนี้ดูแล้วมีคนมากจริง ๆ มากไม่น้อยหน้าขุมอื่น ๆเลย กลาดเกลื่อนไปหมด นอกจากมีกำแพงกั้นแล้วก็มีภูเขาเหล็กใหญ่มหึมาไม่ใช่ภูเขาหิน แล้วไม่ขรุขระเหมือนหินธรรมดาบนภูเขา เรียกว่าเหล็กก้อนใหญ่คล้ายภูเขา เท่า ๆ ภูเขาเป็นเหล็กก้อนใหญ่เท่า ๆ ภูเขา แล้วเหล็กนี่ก็ถูกเผาจนแดงโชน มีอยู่ ๔ ทิศด้วยกันประสานกัน กลิ้งเข้ากลิ้งออก กลิ้งออกแล้วกลิ้งเข้าอยู่ตลอดเวลา



    แล้วบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้นก็พากันถูกบดขยี้ไปด้วยภูเขาเหล็กทั้ง ๔ ทิศ จะวิ่งหนีไปทางไหนนะไม่มีโอกาส แสงไฟที่พวยพุ่งเข้ามาก็มีความแรงมาก ถูกเข้าที่ไหนพังที่นั้น พอพังแล้วเป็นเนื้อเต็มตามเดิม เรียกว่าการหมดไปสูญไปตายไปไม่มีสำหรับสัตว์นรก เป็นแดนทรมาน เรียกว่าจะมีความสุขสักหายใจเข้าครึ้งท้องไม่ เรียกว่าหายใจเข้าไม่ต้องเต็มท้อง ไม่ต้องถึงที่สุดของลมหายใจ ดึงลมหายใจเข้าไปสักนิดหนึ่งจัดว่าเป็นความสุข เวลานั้นไม่มี ถูกไฟเผา ถูกภูเขาบดขยี้ตลอดเวลา กาลเวลาสำหรับในนรกขุมนี้ก็ไม่ทราบชัดเหมือนกันว่าเวลาเท่าไร ท่านบอกว่าจะต้องเสวยผลไปจนกว่าจะหมดกฏของกรรม ระยะของกรรมชั่วนี้เขาให้เวลาเท่าไหร่ไม่ทราบ นรกขุมมีไว้ลงโทษ พวกช้อราชบังหลวง พวกทุจริตหาประโยชน์ให้ตัวเองโดยไม่คำนึงว่าถูกหรือผิด พวกชอบรีด พวกคดโกง สำหรับคนพวกนี้เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ชอบไปรีดเขา เมื่อตายไปแล้วจึงต้องให้นรกรีดให้บ้าง ทับบดขยี้ให้แบนราบแล้วก็ยังมีไฟเผาอยู่อย่างนี้ตลอดเวลาอีกด้วย...ถ้าท่านไม่กลัวก็เชิญนะ.....
    ----------------------------------------------------------------------
    ธุสะนรก ๗



    ธสะนรกขุมนี้ เป็นแม่ใหญ่ น้ำใสแจ๋ว สะอาดสะอ้านดูแล้วรื่นรมย์เหลือเกิน น่าโดดเล่น บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายที่ลงนรกต่าง ๆ มาแล้ว ถูกไฟเผาผลาญมีความร้อน นับเวลาไม่ได้ ก็รู้สึกทุรนทุรายต้องการน้ำ คือความกระหายน้ำ ต้องการจะอาบน้ำให้สบายตัวสบายกาย เมื่อเดินทางมาใกล้ถึงนรกขุมนี้แล้ว มองเห็นน้ำใสสะอาดมีความเย็นสดชื่นตา ต่างก็วิ่งรี่เข้าไปหาแม่น้ำเพราะความหิวน้ำ เพราะความร้อนบังคับ



    เมื่อถึงแม่น้ำแล้วก็วิ่งกรู ต่างก็กระโดดลงไปหวังจะดื่มกินไปพร้อม ๆ กันกับเล่นน้ำให้ชุ่มชื่นใจ แต่ที่ไหนได้ พอโดดลงไปแล้วก็ปรากฏว่าน้ำในนั้นแห้งหมด ไม่เหลือ ไม่ปรากฏมีซากของน้ำแม้สักนิดเดียว กลายเป็นแกลบ น้ำเป็นแกลบหิน แกลบเหล็ก แล้วแกลบนั้นก็กลายเป็นไฟกรดลุกโพลง แกลบแดงโชนเป็นเหล็กแดง ไฟเผาผลาญ เมื่อเป็นเช่นนี้ต่างก็วิ่งกันพลุกพล่าน



    ถ้าวิ่งขึ้นมาบนของแม่น้ำ ก็ถูกนายนิริยบาลยันลงไปด้วยหอกบ้าง ตีลงไปด้วยค้อนบ้าง ให้ลงไปบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้นก็มีแต่ทุกขเวทนา วิ่งไปวิ่งมา วิ่งมาวิ่งไป แกลบก็เป็นแกลบเหล็กเผาไฟแดงโชนอย่างนี้ได้รับทุกข์ทรมานน่าสลดใจยิ่ง



    นรกขุมนี้เขามีไว้สำหรับคนประเภท ชอบคดโกงหลอกลวงชาวบ้าน จะเป็นกรณีใด ๆ ก็ตาม เมื่อลงไปสู่นรกขุมใหญ่แล้ว ก็มาผ่านนรกขุมนี้อีก ๑ ขุมเป็นอันว่ายมโลกียนรกนี่ เป็นเศษส่วนหรือเป็นนรกบริวารของนรกขุมใหญ่ เป็นเศษส่วนหนึ่งของนรกขุมใหญ่ หมายความว่ามาเก็บกรรมตามกฏของกรรม นรกขุมใหญ่นะ รวมกฏของกรรม ละเมิดกรรมบถ ๑๐ ร้ายแรงน้อยกว่านรกขุมที่ ๑ ร้ายแรงมากอีกนิดก็นรกขุมที่ ๒ แต่ต้องผ่านบริวาร ร้ายแรงมากก็ลงอเวจี แต่ทว่ามายมโลกียนรกนี่ มาไล่เบี้ยกฏของกรรมเป็นอย่าง ๆ



    ใครทำแบบไหนก็ต้องลงนรกขุมนั้น ๆ โดยเฉพาะ ไม่ใช่ลงโทษรวม เป็นอันว่านรกขุมใหญ่เป็นนรกเป๊ะเจี๊ยะเฉย ๆ เผาผลาญเฉย ๆ ลงโทษเฉย ๆ ไม่ได้ให้สิทธิออกมาเลย ออกมาแล้วก็มาถูกเก็บขุมนี้อีก บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายที่มาอยู่นรกขุมนี้ทุกคนเป็นคนไม่ซื่อ ความไม่ซื่อตรงด้วยกรณีใด ๆ ก็ตาม ผ่านนรกขุมใหญ่แล้วก็มาขุมนี้...
    ----------------------------------------------------------------------
    สีตโลสิตะนรก ๘



    สีตโลสิตะนรก ชื่อแปลก ในนี้เขาบอกว่ามีน้ำเย็นเฉียบ มาพบนรกน้ำอีกแล้ว นี่ก็แปลกเหมือนกัน นรกน้ำติด ๆ กัน ๒ ขุมน้ำเย็นเฉียบ ที่นี่สัตว์นรกทั้งหลายต่างก็ได้รับความทุกข์ทรมานเพราะความเย็นของน้ำเป็นสำคัญ นรกขุมนี้เขามีไว้สำหรับคนที่ขาดเมตตา เมื่อตอนที่เขาเหล่านั้นสมัยเมื่อเป็นมนุษย์นั้น เป็นคนที่ไม่มีเมตตาปรานีใคร เจอะเป็ดเจอะไก่ เจอะหมู เจอะหมาก็เหวี่ยงลงไปใต้ถุนบ้านบ้าง เหวี่ยงจากที่สูงไปที่ต่ำบ้าง เหวี่ยงลงน้ำบ้าง เหวี่ยงลงเหวบ้าง หาความเมตตาปรานีไม่ได้



    พบสัตว์ที่กินได้หรือไม่ได้ก็ทุบก็ตีเข่นก็ฆ่า เพื่อความสนุกบรรเทิงใจบ้าง ฯลฯ แต่ว่านรกขุมนี้ไม่ใช่ถึงขั้นฆ่า โยน ไร้ความเมตตา หรือว่าทรมานสัตว์เล่น ไม่ถึงกับฆ่าให้ตาย นี่ความจริงเขาควรจะไปรวมไว้ในโลหะกุมภี โลหะกุมภีนี่เขาฆ่าสัตว์ให้ตาย แต่ว่านรกขุมนี้ ไม่ได้ทำให้สัตว์ให้ถึงตาย เพียงแต่ไร้ความปรานี ลงโทษสัตว์เล่น เช่นทุบตีบ้าง คือขาดเหตุผล อย่างคนเราเลี้ยงสุนัขเลี้ยงแมวถ้าปฏิบัติตนไม่ดี ข่มแหงตะกละตะกราม เราตีเพื่อความหวังดี นี่ท่านไม่ว่าไม่นำมานรกขุมนี้เพราะทำด้วยความอำนาจของเมตตา หากว่าทำไปด้วยอำนาจการขาดเมตตาละก็เอาแน่ นรกขุมนี้ท่านไม่ปล่อย ให้ลอยนวน



    วิธีลงโทษของนรกขุมนี้ เมื่อสัตว์นรกทั้งหลายเห็นน้ำเย็นต่างก็โดดลงไป น้ำเย็นนี่เย็นจริง ๆ มันเย็นยะเยือก เย็นจับจิตจับใจแล้วกลายเป็นน้ำกรด กัดบาดตัวสัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้น นรกขุมนี้ไม่มีความร้อนมีแต่ความหนาว เมื่อถูกความแสบของน้ำกรดแล้วก็มีความหนาวเยือกเย็นเข้ามาทับท้วมหัวใจ ทนไม่ไหวต่างก็ตะเกียกตะกายขึ้นมาบนฝั่ง นายนิริยบาลก็ใช้หอกแทงสวนไปบ้าง ใช้ค้อนทุบให้ลงไป ห้ามขึ้นเอาค้อนตีให้หล่นลงไป ห้ามขึ้น แม่น้ำนี้ไม่ยักเป็นแกลบไม่แห่ง มีน้ำ แต่ว่าเป็นน้ำกรดเย็นยะเยือก..
    ----------------------------------------------------------------------
    สุนขะนรก ๙.



    สุนขะนรก นรกขุมนี้ไม่ใช่นรกลงโทษหมา แต่หมาลงโทษสัตว์นรกที่นี่ เป็นนรกหมาที่หมาทีอำนาจมาก มีหมาแยะ หมาที่นี่ตัวใหญ่มาก มีหน้าที่คอยกัดกินสัตว์นรกที่ลงมาในนรกขุมนี้ พื้นก็เป็นเหล็กเผาแดง มีกำแพงทั้ง ๔ ก็มีไฟพวยพุ่ง จะมีสัตว์นรกเหล่านั้นวิ่งอยู่ในบิเวรของไฟ แล้วก็มีสัตว์ใหญ่ ๆ คือสุนัขอยู่เยอะแยะ ไล่กัดกินสัตว์นรกเหล่านั้นอย่างไม่มีความปรานี กินเนื้อหมดก็แทะกระดูกเหมือนนรกทุกขุม เมื่อเนื้อหมดเหลือแต่กระดูกแทะจนหมดมันก็ไม่ตายเนื้อก็เกิดขึ้นมาใหม่อีก แล้วก็วิ่งหนีหมา ไฟหรือก็เผา วนเวียนอยู่อย่างนี้จนกว่าสิ้นกฏของกรรม



    นรกขุมนี้เขามีไว้เพื่อลงโทษ พวกคนที่ปากคอเลอะร้าย ด่าไม่เลือก พ่อแม่ก็ด่า ชาวบ้านและพระเณรเถรชีด่าไม่เลือก นินทราว่าร้ายกล่าวโทษโจษความไม่ดีของบุคคลผู้ทำความดี ใครเขาไม่ได้เลวตามที่ตนว่า ไอ้ตนเองก็นึกว่าเขาเลวตามตน คนที่จะเห็นว่าบุคคลอื่นเลว ตนต้องเลวตามนั้น เพราะตามธรรมดาคนเรากินอาหาร ถ้าเราชอบเปรี้ยว ก็นึกว่าชาวบ้านเขาชอบเปรี้ยว ถ้าเราชอบเค็มก็นึกว่าชาวบ้านชอบเค็ม มักจะปรุงอาหารตามอัธยาศัยของตัว นี่ฉันใด คนประเภทนี้จึงได้มาลงในนรกขุมนี้ไงละ...
    ----------------------------------------------------------------------

    ยันตปาสาณนรก ๑๐



    ยันตปาสาณนรก นรกขุมนี้มีภูเขา ๒ ลูก แน่ะมาเจอภูเขาเข้าอีก ๒ ลูกกระทบกัน พอกระทบกันมันหมุนคล้าย ๆ กับที่หีบอ้อย เครื่องหีบอ้อยที่เขาบีบน้ำนะ มีสะภาพคล้ายกัน หรือที่รีดปลาหมึก ใครเคยเห็นไหม? ไปดูตามซอกซอยจะเห็นบรรดารถเข็นที่เขามาขายปลาหมึกปิ้งแขวนปลาหมึกเป็นราวหลายชั้นนั
    ้นแหละไปขอเขาดู แต่ว่าอย่าไปเทียบว่าคงเท่ากับภูเขานี้ มันเทียบกันไม่ได้ ภูเขาในนรกนี้ใหญ่โตมโหราญเขามีไว้สำหรับลงโทษสัตว์นรก นรกขุมนี้มีไฟเหมือนกัน แหละก็เป็นเหล็กด้วย ไม่ใช่ภูเขาหิน ไม่ค่อยมีแง่มีช่องหรอก มันเรียบ ๆ บดเสียติดกัน



    นายนิริยบาลก็ไล่ให้บรรดาสัตว์นรกเหล่านั้นให้เข้าไประหว่างภูเขาที่บีบเบียดกันหมุน
    กระทบกันอยู่ตลอดเวลา บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายฝืนใจเขาไม่ได้นะ จะไปดื้อไปด้านน่ะไม่ได้หรอก หอกที่มือค้อนใหญ่ที่มือ ทั้งแทงทั้งทุบ มีความเจ็บปวดมากก็เลยต้องวิ่งหนีเข้าไปในซอกภูเขา ภูเขาก็หมุนกระทบกันบีบเหมือนกับบีบน้ำอ้อยหรือรีดปลาหมึกย่าง ให้แบนแต๊ดแต๋ ทำอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา แล้วแทนที่จะตายร่างกายก็คงเดิม แล้วก็ถูกไฟเผาอีก ก็ต้องวิ่งเข้ามาทางนี้ให้ภูเขามันบี้มันบดให้อีก จนกว่าจะสิ้นกฏของกรรม



    นรกขุมนี้เขามีไว้เพื่อลงโทษคนใจร้าย ขาดความเมตตาปรานีต่อคู่ครอง เห็นไหมละ ใครล่ะที่ว่า ผัวฉันเมียฉันมันเป็นสิทธิ์ของฉันจะทำอะไรก็ได้ จะทุบจะตีจะด่าว่าก็ได้ เห็นไหมล่ะ เลยต้องมาลงนรกในขุมนี้ พวกที่ชอบด่าผัว ตีเมียชอบสาปแช่งชักหักกระดูก ด่าด้วยอำนาจความโกรธไร้เหตุผล ไม่ใช่ด่าด้วยความปรานี การด่าการว่าน่ะมี ๒ อย่าง ด่าด้วยเจตนาดี กับด่าด้วยเจตนาร้าย ว่าด้วยเจตนาร้ายก็ดี หรือเขาเรียกว่าติเพื่อก่อ ด่าด้วยความหวังดี ตักเตือนด้วยดีแล้วไม่ฟังก็ต้องด่าต้องว่า เพื่อให้กระทบใจแรง เพราะมีนิสัยหยาบ



    คนเราเกิดมาในโลกนี้มีนิสัย ๒ อย่าง ถ้าคนมีนิสัยละก็ให้เหตุผล เขาชอบรับฟัง เมื่อเข้าใจในเหตุผลก็ปฏิบัติตามโดยง่าย แต่ว่าคนที่มีนิสัยหยาบไม่ยังงั้น ไปพูดดี ๆ พูดเพราะ ๆ ให้เหตุผลแก แกไม่ฟัง ดันเข้าใจว่าเขาเกรงกลัวอำนาจแก ในที่สุดก็ต้องด่า ต้องตีกันแกจึงจะทำ มันเป็นอย่างนี้ แต่ว่าที่เขาพูดไว้ในที่นี้ก็หมายความว่าไม่ได้ด่าได้ตีด้วยความหวังร้าย ขาดเหตุผล แต่เขาพูดสำหรับคนที่ถือว่าตนมีอำนาจบาทใหญ่ยิ่งกว่าผัวหรือเมีย อันนี้แหละนรกนี้เขาต้องการบุคคลอย่างนี้ท่านละอยู่ในบุคลลประเภทไหน..



    โลกกันตนรก นรกน้ำกรด เย็นสบาย

    [​IMG]

    โลกกันตนรก



    นิรยภูมิ หรือโลกนรกนี้ นอกจากจะมีมหานรก อุสสุทนรก และยมโลกนรกดังกล่าวมาแล้ว ยังมีนรกขุมพิเศษอีกขุมหนึ่งซึ่งมีนามว่า โลกันตนรก อันว่าโลกันตนรกนี้เป็นขุมยิ่งใหญ่ แปละประหลาดกว่าบรรดาขุมนรกทั้งหลายเพราะอยู่ภายนอกจักรวาล สถานที่ตั้งของโลกันตนรกนี้อยู่ในจักรวาล ๓ โลก ถ้าจะเปรียบให้เห็นเป็นมโนภาพก็เหมือนกับเอาดอกปทุมชาติ ๓ ดอกมาตั้งชิดติดกัน ก็จะเกิดมีช่องว่างขึ้นในตอนกลางจักรวาล ต่าง ๆ ก็ตั้งชิดติดกันเช่นกับดอกปทุมชาติ ๓ ดอกนั้น



    ตรงช่องว่างเว้นอยู่ในระหว่าง ๓ โลกจักรวาลนั้นเอง เป็นสถานที่ตั้งแห่งนรกขุมพิเศษนี้ เพราะฉะนั้น นรกขุมพิเศษนี้จึงมีชื่อว่า โลกันตนรก = นรกขุมนี้พิเศษอันอยู่สุดโลกจักรวาล



    ก็ในโลกันตนรกนี้ มีสถาพมืดมนเป็นยิ่งนัก แสงดาวแสงเดือนและแสงตะวันส่องไปไม่ถึง เป็นสถานที่อันมืดมนนอนธการ สามารถที่จักห้ามเสียซึ่งความบังเกิดขึ้นแห่งจักษุวิญญาณ เปรียบปานเช่นกับคนหลับตาในคราวเดือนดับข้างแรมฉะนั้น



    สัตว์ที่ไปอุบัติเกิดในโลกันนรกนี้ ย่อมมีสภาพแปลกประหลาดพิลึก คือ มีสรีระร่างกายโตใหญ่เป็นยิ่งนัก ประกอบไปด้วยเล็บมือและเล็บเท้ายาวเหลือประมาณ ต้องใช้เล็บมือและเท้าเกาะอยู่ตามเชิงเขาจักรวาลห้อยโหนโยนตัว โดยเอาหัวปักลงมาข้างล้างชั่วนิรันดร์ เปรียบปานดังค้างคาวห้อยหัวอยู่บนกิ่งไม้ในมนุษย์โลกที่เราเห็นนี้ฉะนั้น ครั้นเขาได้ประสบการณ์อันแสนจะทรมานด้วยความมืดมากเช่นนี้ เขาก็ได้เแต่รำพึงรำพันอยู่ในใจว่า



    อโห ! กรรม ...อโห กรรม....ทำไมตูจึงเป็นอย่างนี้ และ ทำไมตูจึงมาอยู่ที่นี่ ชะรอยที่นี่จักมีแต่เพียงตูเพียงผู้เดียวกระมังหนา



    เขาไม่ได้อยู่แต่เพียงผู้เดียวดอก มีอยู่มากมายที่สัตว์บุคคลทั้งหลายตายแล้วไปเกิดที่มันมืดแสนมืด มองไม่เห็นเพื่อนสัตว์นรกโลกันตนรกด้วยกัน และมองไม่เห็นอะไรเลยนั้นเอง



    ตลอดเวลาเหล่าสัตว์นรกโลกันตนรกไม่ต้องทำอะไร มีแต่จะห้อยโหนโยนตัวเปะปะด้วยความหิวโหยอย่างเหลือประมาณ ครั้นปีนป่ายตะกายไปถูกต้องตีนมือแห่งกันและกันเข้าแล้ว ก็สำคัญว่าตนมีชะตาผ่องแผ่วโชคดีเจออาหารซึ่งปรารถนาอยากจะกินมานาน จึงต่างก็ดีเนื้อดีใจ มิกิริยาขวนขวายไขว่คว้าฉวยจับกันและกัน โดยต่างตนต่างก็จะตะครุบกันกินเป็นอาหาร



    ต่างก็ปล้ำฟัดกันเพื่อจะจับกินเป็นภักษาหารอยู่อย่างนี้ ในไม่ช้าก็เผลอปล่อยมือและเท้าที่ใช้เกาะเชิงชายภูเขาจักรวาลนั้นเลยกันดำดิ่งนรกพลั
    ดตกลงไปเบื้องล้าง โดยลักษณะการมีหัวปักดินลงมาและมีตีนชีฟ้า ลอยละลิ้วลงมาอย่างน่าหวาดเสียว



    สถานที่เบื้องล่างที่เขาพากันพลัดตกลงมานั้นมันไม่ใช่เป็นพื้นที่ธรรมดาโดยที่แท้เป็
    นทะเลนำกรดอันเย็นยะเยือก ซึ่งมีความเย็นอย่างร้ายกาจยิ่งนักครั้นเขากอดคอกันพลัดตกลมา พอถึงพื้นน้ำกรดนั้นแล้ว บัดเดี๋ยวใจตัวตนร่างกายของเขาก็เปื่อยพังแหลกลาญลงอย่างไม่มีชิ้นดี ทั้งนี้ก็เพราะว่าถูกน้ำกรดนรกอันมีความเย็นอย่างร้ายกาจนั้นกัดเอาร่างกายอันใหญ่โต
    และเหม็นสาบเหม็นสางน่าเกลียดน่าชังของเขา ถึงความเหลวแหลกละลายเพราะฤทธิ์น้ำกรดไปอย่างรวดเร็วประดุจดังก้อนอุจจาระที่ตกไปในน
    ้ำ



    ครั้นแล้วด้วยอำนาจกรรมบันดาล เขาก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดมหัศจรรย์กลับเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาอย่างเก่า ให้รู้สึกหนาวเย็นและเจ็บปวดอย่างลึกเป็นกำลัง จึงรีบตะเกียกตะกายปีนป่ายขึ้นมาเกาะเชิงเขาจักรวาลด้วยความลำบากยากเย็น แล้วก็ห้อยโหนโยนตัวแสวงหาอาหารด้วยความหิวโหยต่อไปอีกตามเดิม



    ครั้นตะกายไปพบปะกันเข้า ก็ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะตะครุบกันกินด้วยความสำคัญผิดคิดว่าเป็นภักษาหาร แล้วก็กอดคอพากันพลัดตกลงไปในทะเลน้ำกรดเย็นจนถึงแก่ความตาย และแล้วก็กลับเป็นขึ้นมามาตามเดิมอีก พวกเขาเฝ้าเวียนตายเวียนเกิดด้วยความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสอยู่เช่นนี้ไม่มีวันสิ้
    นสุด โน่นแหละชั่วพุทธันดรหนึ่งนั้นแล จึงจะพ้นทุกข์โทษไปจากขุมนรกโลกันต์นี้



    ปรากฏมีปัญหาสอดแทรกเข้ามาว่า ได้เคยก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้เล่าจึงต้องมาเป็นสัตว์นรกเหมือนนกค้างคาว เกาะเชิงเขาจักรวาล ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสสากรรจ์ในโลกนตนรกนี้?



    ผีนรกเหล่าโลกันต์นี้ ได้เคยประกอบอกุศลกรรมอันร้ายกาจและหยาบช้าลามกนัก คือ เมื่อครั้งที่เขาเป็นมนุษย์ได้เคยทำการประทุษร้ายทรมานบิดามารดาผู้ให้กำเนิดตน เพราะเหตุที่เป็นคนปราศจากกตัญญูกตเวทีมีตามืดบอดมองไม่เห็นคุณท่านแม้แต่นิดหนึ่ง เมื่อเกิดความไม่พอใจขึ้นมาก็ทุบตีเตะถีบและด่าทอเอาตามอัธยาศัย อีกประการหนึ่งนั้นไซร้ได้เคยประกอบกรรมอันชั่วหนักไว้ คือ ประทุษร้ายพิฆาตท่านผู้ทรงศีลทรงธรรมไม่นำพาต่อบาปบุญคุณโทษคล้ายกับเป็นคนวิกลจริตเ
    ป็นบ้า ทั้ง ๆ ที่ตนก็เป็นมนุษย์มีรูปทรงสุดสง่าดีกว่าหมูหมาเป็ดไก่ซึ่งเป็นสัตว์เดียรัจฉานมากมาย
    นัก



    แม้มีใจรักในการทำบาป จึงก้มหน้าทำแต่บาปทุก ๆ วัน เช่นกระทำปาณาติบาตหรือทินนาทาน ก็ทำมันทุกวันไป ครั้นแตกกายทำลายขันธ์แล้ว อำนาจอกุศลกรรมอันหนักและแกร่งกล้าเช่นนั้น จึงพลันให้วิบากชักนำให้ลงมาเกิดในโลกันตนรกนี้ ซึ่งมีสภาพมืดบอดนอนธการอยู่เป็นนิตย์ ต่อเมื่อใดองค์สมเด็จพระพิชิตมารสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติในโลกเรานี้แล้ว



    เมื่อนั้นโลกันตนรกนี้ จึงมีโอกาศปรากฏเป็นแสงสว่างขึ้นนิดหนึ่งชั่วฟ้าแลบ หรือชั่วระยะมาตรว่าสักลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น ตามที่พรรณนามานี้แล้ว คือสภาพแห่งนรก โลกันตนิรยภูมิ



    สรุปทิ้งท้าย

    [​IMG]

    บรรดาขุมนรกทั้งหลายที่กล่าวมาแล้วนั้น ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายก็คงจะเห็นได้แล้วว่ามีอยู่มากมานหลายขุม เมื่อมีมากมายหลายขุมอยู่ ก็เป็นการยากลำบากแก่การที่จักจำได้ง่าย ๆ ฉะนั้น ในที่นี้เพื่อความเข้าสะดวกแก่การจดจำ จึงจักขอเวลานำเอาจำนวนนรกทั้งหมดมากล่าว ซ้ำไว้อีกสักครั้งหนึ่ง ดังนี้
    ๑. มหานรก ๘ ขุม



    ๒. อุสสุทนรก ๑๒๘ ขุม



    ๓ ยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม



    ๔. โลกันตนรก ๑ ขุม



    รวมเป็นนรกทั้งสิ้น ๔๕๗ ขุม เหล่าสัตว์ที่ไปอุบัติเกิดเป็นสัตว์นรก ในขุมนรกเหล่านี้ทั้งหมด ย่อมมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างแสนจะเป็นทุกข์ทรมาน โดยได้รับการลงโทษอย่างสาหัสสากรรจ์อยู่ตลอดเวลา แต่การที่ว่าจักเป็นเวลานานเท่าไรจึงจะพ้นจากทุกขโทษในนรกเหล่านี้นั้น เป็นการไม่แน่นอน ทั้งนี้ก็เพราะว่าขึ้นอยู่กับบาปกรรมที่เหล่าสัตว์นรกเจ้ากรรมเหล่านั้นได้ทำไว้เป็น
    ประมาณหมายความว่า ถ้าทำบาปกรรมไว้มาก ก็ต้องตกนรกอยู่นานและตกอยู่หลายขุม เช่น พอไปตกมหานรกและได้รับทุกขโทษอย่างหนักแล้ว หากบาปกรรมยังไม่สิ้นก็ต้องไปตกอุสสุทนรก เสวยทุกขโทษอยู่ในอุสสุทนรกนั้นพอสมควรแก่กาลแล้ว
    หากกรรมยังไม่สิ้น ก็ต้องไปตกยมโลกนรกและเสวยกรรมต่อไปอีก เสวยทุกขโทษเรื่อยไปเช่นนี้ จนกว่าจะสิ้นบาปกรรมบางทีตกนรกที่เป็นบริวารก่อนแล้วจึงไปตกนรกขุมใหญ่ก็มี บางทีตกนรกขุมใหญ่ก่อนแล้ว จึงไปตกนรกขุมที่เป็นบริวารก็มี ทั้งนี้สุดแต่ว่ากรรมใดจะมีกำลังให้ผลก่อน และบางทีหากทำบาปไว้มากมายหลายประการ ต้องตกนรกดะเรื่อยไปผ่านมหานรกทั้ง ๘ ขุม และนรกที่เป็นบริวารมากมายหลายขุมก็มี



    แต่บางทีหากทำบาปไว้น้อย เพียงมาตกนรกได้ไม่นาน กุศลกรรมที่ตนเคยทำไว้บันดาลให้ระลึกถึงบุญกุศลขึ้นมาได้ ก็จะตายจากความเป็นสัตว์นรกไปเกิดในภูมิอื่นต่อไปตามยถากรรม จะอย่างไรก็ตามขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายได้รับทราบหลักไหญ่ไว้ในที่นี้ง่าย ๆ ว่า การที่สัตว์ทั้งหลายจักต้องมาตกนรกหมกไหม้อยู่ในขุมนรกทั้งหลายเหล่านี้



    ก็เพราะเหตุที่ตนเป็นคนล่วงอกุศลกรรมบถ ประกอบอกุศลกรรมบถไว้มิอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อถึงคราวดับขันธ์สิ้นชีวิตแล้ว จึงถูกอกุศลกรรมชักนำให้มาเกิดเป็นสัตว์นรกและเสวยวิบากเป็นทุกข์อยู่ในนรกนี้



    ดังนั้นจะขอยกเรื่องของท่านสุปติฏฐเทพบุตรตอนที่เป็นเทวดานี่พระพุทธเจ้าไปเทศน์พระอ
    ภิธรรม ๗ คัมภีร์ เวลานั้นปรากฏว่าท่านจะต้องจุติพอดี มีอากาสจารีเทพบุตรเข้าไปเตือน



    ท่านมองดูตัวของท่านว่าท่านตายจากเทวดาแล้วท่านจะไปไหน ความจริงเทวดาก็รู้สถานที่ไปเพราะมีอารมณ์เป็นทิพย์ ก็ทราบชัดว่าเมื่อจุติจากเทวดาแล้วต้องไปเกิดในเอวจีมหานรก สิ้นระยะเวลา ๑ กัปตามอายุของอเวจีมหานรก แล้วหลังจากนั้น ออกจากอเวจีมหานรกแล้วก็ผ่านบริวาร ๔ ขุม เมื่อพ้นบริวาร ๔ ขุมแล้วต้องมาตกยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม เพราะท่านทำกรรมหนัก เรียกว่ากรรมในยมโลกียนรกนี่มีกี่อย่างท่านทำหมดตั้งแต่ปาณาติบาตขึ้นมาเลย ถึงจิตโหดร้าย การประทุษร้ายต่อคู่ครอง นี่เรียกว่าหนักมาก เมื่อพ้นจากยมโลกียนรก ๑๐ ขุมแล้ว ต้องมาเป็นเปรตตามลำดับ ๑๒ จำพวก



    พ้นจากเปรต ๑๒ จำพวก แล้วก็มาเป็นอสุรกาย เมื่อพ้นจากความเป็นอสุรกายแล้ว หลังจากนั้นก็มาสู่ความเป็นสัตว์เดียรัจฉาน คือเป็นแร้ง ๕๐๐ ชาติ เป็นกา ๕๐๐ ชาติ เป็นสุนัขบ้า ๕๐๐ ชาติ เมื่อพ้นจากภาวะสัตว์เดียรัจฉานแล้วก็เกิดเป็นคน เป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติ เป็นคนตาบอด ๕๐๐ ชาติ เป็นคนบ้า ๕๐๐ ชาติ เป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขา ๕๐๐ ชาติ จึงจะมาเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ นี่ท่านรู้กฎของกรรมของท่าน เมื่อท่านรู้แล้วท่านก็ตกใจ บอกให้อากาสจารีเทพบุตรช่วย ท่านอากาสจารีบอกว่า เราก็เป็นเทวดาเหมือนกัน จะช่วยท่านยังไง คนที่จะช่วยได้ก็เห็นจะมีพระอินทร์องค์เดียว ก็เลยพากันไปหาพระอินทร์ พระอินทร์ก็บอกว่าฉันเป็นเทวดาเหมือนท่านช่วยไม่ได้ ท่านที่จะช่วยได้ก็คือพระพุทธเจ้า



    เวลานี้กำลังมาแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ไปด้วยกัน ไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้า ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วยกัน พระพุทธเจ้าอาจช่วยได้ต่างก็พากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระอินทร์ก็กราบทูลเรื่องราวของสุปติฏฐิตเทพบุตรให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้า ในเมื่อพระพุทธเจ้าทรงพิจารณาทราบว่า สุปติฏฐิตเทพบุตรคนนี้ สมัยที่เป็นมนุษย์เป็นมิจฉาทิฐิอย่างหนัก คือแกเกิดมาพอแกทำงานได้ตั้งแต่เล็ก แกก็มีปาณาติบาตเป็นเครื่องอาศัย ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตลอดเวลา วันดีไม่ละวันพระไม่เว้น ทำบาปเป็นอาจิณกรรม เรียกว่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นอาจิณกรรม แล้วนอกจากนั้น กรรมอะไรล่ะที่เขาว่ามันไม่ดี อทินนาทานลักขโมยเขา ถ้ามีโอกาสก็เอาเหมือนกัน เอาไม่น้อย เอาพอกำลังที่จะเอาไปได้ เรียกว่ามาก กาเมสุมิฉาจาร ชอบจริงๆ ผู้หญิงสาวๆ เด็กๆ เท่าไหร่ท่านสุปติฏฐิตชอบมาก



    ปรนเปรอด้วยเงินด้วยทอง มุสาวาทรึ? เป็นปกติ การดื่มสุราเมรัยเป็นเกมกีฬา ตานี้มาว่ากัน ถ้าว่าใครเขามาบอกบุญบอกทาน ใครเขามาบอกว่าวัดโน้นเขาจะสร้างนั่น



    วัดนี้เขาจะสร้างนี่ ไปทำบุญตรุษ ไปทำบุญสงกรานต์ แกเห็นแล้วแกล้งทำไม่เห็น ได้ยินแล้วแกล้งทำไม่ได้ยิน ดีไม่ดีพระเจ้าเทศน์ ส่งเสียงกลบ ทำลายพระธรรมเสียอีก นี่เจตนาของสุปติฏฐิตเทพบุตรเป็นมิจฉาทิฐิอย่างหนัก แล้วก็ทำลายคุณความดีที่บุคคลอื่นจะพึงได้จะพึงถึง ฉะนั้น สุปติฏฐิตเทพบุตรคนนี้ ถ้าเราไม่ช่วยเธอจุติจากความเป็นเทวดาแล้ว เธอจะต้องไปตกอเวจีมหานรก สิ้นเวลาระยะ ๑ กัป พ้นจากอเวจีมหานรกแล้วต้องผ่านนรกบริวาร ๔ ขุม นอกจากนั้นยมโลกียนรก ๑๐ ขุม เธอต้องผ่านทั้งหมด เป็นกฎของกรรมอย่างหนัก จะต้องเป็นเปรต ๑๒ ระดับ เป็นอสุรกาย ต่อมาเป็นแร้ง ๕๐๐ ชาติ เป็นกา ๕๐๐ ชาติ เป็นสุนัข (แล้วเป็นสุนัขบ้าไม่ใช่สุนัขธรรมดา) ๕๐๐ ชาติ



    ทีนี้พอมาเป็นคน เป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติ นี่เพราะกฎของกรรม ที่คนเขาบอกบุญแกได้ยินแล้วแกล้งทำไม่ได้ยิน เวลาพระเทศน์เวลาพระสวดแกล้งส่งเสียงกลบให้คนอื่นฟังไม่ชัดอย่างนี้ติดตามแกมา



    ต้องเป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติ ต่อมาจากนั้นแกก็ต้องตาบอด ๕๐๐ ชาติ ท่านกล่าวว่าในตอนนี้ใครเขามาบอกบุญบอกทาน แกเห็นแล้วแกแกล้งทำเป็นไม่เห็นเลยกลายเป็นคนตาบอด ๕๐๐ ชาติ แล้วก็มาเป็นคนบ้า ๕๐๐ ชาติ ก็เพราะดื่มสุราเมรัยหลังจากนั้นมาเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขา ๕๐๐ ชาติ เพราะโทษของปาณาติบาตที่ทำไว้มาสนับสนุนเป็นเศษของกรรมจึงจะหมด องค์สมเด็จพระสามิสรพระสุคต ได้ทรงทราบก็มีความสงสาร ก็พิจารณาด้วยอำนาจพระพุทธญาณ ว่าถ้าตถาคตจะเทศน์พระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ เทวดาองค์นี้จะมีผลเป็นประการใดบ้าง เมื่อทรงดำริดังนี้แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า ถ้าเราเทศน์พระอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์นี้ไม่มีประโยชน์แก่เทวดาองค์นี้เลย



    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่ากรรมหนัก จริตไม่พอกับพระอภิธรรม คือมีอารมณ์หยาบมาก ถ้าเทศน์จบเธอไม่ได้อะไร ไม่ได้พระโสดาบัน เธอจะต้องไปจุติในอเวจีมหานรก เป็นบุคคลผู้น่าสงสาร นี่น้ำใจของพระพิชิตมารเป็นอย่างนี้ แล้วต่อไปองค์พระธรรมสามิสรก็คิดต่อไปว่า จะเทศน์อะไรดี ก็ทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า ถ้าเราเทศน์อุณหิสวิชัยสูตร เมื่อเธอฟังแล้วจะตรงกับอัธยาศัย พอเทศน์จบเธอจะได้พระโสดาบัน แล้วหลังจากนั้นอบายภูมิตามที่กล่าวมา ความทุกข์ทั้งหมด โทษทัณฑ์ทั้งหมดจะถูกปิด คือไม่มีโอกาสจะลงโทษเธอได้เพราะว่าพระโสดาบันนั้นเกิดเป็นเทวดาแล้วก็เกิดแค่มนุษย์
    ถ้ายังไม่ไปนิพพานจุติลงมาเป็นมนุษย์แล้วก็เกิดเป็นเทวดาหรือพรหม



    พระโสดาบันมีอารมณ์หยาบเกิดเป็นมนุษย์ ๗ ชาติ พระโสดาบันมีอารมณ์อย่างกลางเกิดเป็นมนุษย์ ๓ ชาติ พระโสดาบันมีอารมณ์อย่างละเอียดเกิดเป็นมนุษย์ ๑ ชาติ ไปนิพพาน ฉะนั้น โทษทัณฑ์ทั้งหลายที่จะต้องตกนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉานไม่มี แต่ทว่าที่มีขันธ์ ๕ เป็นคน ต้องพบกับเศษของอกุศลในฐานะที่มีร่างกายเป็นเครื่องรับ คือมีขันธ์ ๕ เป็นเครื่องรับก็ยังดี เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณ องค์สมเด็จพระพิชิตมารจึงทรงแสดงอุณหิสวิชัยสูตร เทศน์อุณหิสวิชัยสูตรพอจบ ท่านสุปติฏฐิตเทพบุตรก็เป็นพระโสดาบัน เป็นเทวดาต่อไป...



    ----------------------------------------------------------------------

    นรก สำนวนของ พระธรรมธีรราชมหามุนี

    จาก --ภูมิวิลาสินี--
    โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี

    PI: Ἱ
     
  19. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    โมทนาสาธุครับลูกพี่ ...

    ขอบคุณท่านแหน่งมากที่นำเสนอข้อมูลวัดพระพุทธบาทสี่รอย ซึ่งเป็นวัดในฝันของผมที่จะต้องไปสักการะบูชาให้ได้ เนื่องจากได้คำรับรองจากหลวงปู่มั่นว่าเป็นรอยพระพุทธบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์จริงๆ แต่เชียงใหม่ผมไม่ถนัด คงต้องรอโอกาสดีมีเพื่อนๆพาไปครับ คิดว่าหนาวนี้คงได้มีโอกาส ยังไงก็สักการะเผื่อด้วยนะครับ
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

แชร์หน้านี้

Loading...