พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    รูปที่ 1แรง รูปที่2แรงมากครับ อ่า...ว่าแต่องค์ที่ ในรูปที่1ท่านได้แต่ใดมา มาเหลือเพื่อผมนิมนต์ปล่าวครับ หุ หุ
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]

    เหอๆๆๆ ผมมีเผื่อครับ เดี๋ยวดำเนินการให้
    ขอถ่ายรูปมาครับ จากเพื่อนเจ้าอาวาสวัดไ.....แล้วจะส่งรูปให้ทางEmail นะครับ
    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]
    82.3 KB, ดาวน์โหลด 4 ครั้ง


    [​IMG]
    76.0 KB, ดาวน์โหลด 6 ครั้ง
     
  5. Natachai

    Natachai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +937
    การจองหนังสือ "ปู่เล่าให้ฟัง"
    สามารถจองได้ เล่มละ 500 บาท

    ขอสอบถาม จองหนังสือ "ปู่เล่าให้ฟัง" ที่นี้หรือปล่าวครับ ขอจองด้วย 1 เล่ม ขอรายละเอียดการโอนเงินที่ไหนอย่างไรด้วยครับ E-Mail: dr.natchai@gmail.com
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รับทราบครับ

    ผมจะส่งรายละเอียดให้ครับ

    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การจองหนังสือ "ปู่เล่าให้ฟัง"
    #33681
    #33682
    #33685

    สามารถจองได้ เล่มละ 500 บาท

    หากจองตั้งแต่ 20 เล่มขึ้นไป ผมมอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) ให้ 1 องค์

    และผมขอค่าจัดส่งหนังสือ 100 บาท (เป็นการจัดส่งแบบลงทะเบียน) หากจำนวนเงินในการจัดส่งไม่ถึง 100 บาท ผมขอนำเงินในส่วนที่เหลือสมทบทุนการจัดพิมพ์ครั้งต่อไปหรือสมทบทุนการจัดพิมพ์หนังสือวิเคราะห์พระสมเด็จและสมเด็จเจ้าคุณกรมท่าครับ

    ส่วนสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า รายละเอียดการจอง ผมส่งให้ทุกๆท่านทาง Email ส่วนค่าจัดส่งไม่ต้อง เพราะเราต้องพบกันในการประชุมอยู่แล้วครับ

    ระยะเวลาตั้งแต่วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2552

    สิ้นสุดวันพุธที่ 30 กันยายน 2552

    การจองหนังสือ ต้องโอนเงินภายในวันที่ 30 กันยายน 2552 หากยังไม่ได้โอนเงินภายในระยะเวลาที่กำหนด ผมขออนุญาตยกเลิกการจองหนังสือ (หลังจากนั้นผมจะปิดบัญชีนี้) ครับ

    รายนามผู้จอง
    1.คุณnongnooo (ชมรมรักษ์พระวังหน้า) จอง 1 เล่ม ยังไม่ได้โอนเงิน
    2.คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->แหน่ง<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2434226", true); </SCRIPT> (ชมรมรักษ์พระวังหน้า) จอง 3 เล่ม ยังไม่ได้โอนเงิน
    3.คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->jirautes<!-- google_ad_section_end --> จอง 1 เล่ม โอนเงินแล้ว 500 บาท และค่าจัดส่ง 100 บาท เมื่อ 19.92552/
    4.คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->พรสว่าง_2008<!-- google_ad_section_end --> (ชมรมรักษ์พระวังหน้า) จอง 1 เล่ม ยังไม่ได้โอนเงิน
    5.คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->psombat<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2435705", true); </SCRIPT> <!-- google_ad_section_end -->(ชมรมรักษ์พระวังหน้า) จอง 2 เล่ม ยังไม่ได้โอนเงิน(พรุ่งนี้มอบเงินให้)
    6.คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ลุงจิ๋ว<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2435951", true); </SCRIPT> <!-- google_ad_section_end -->จอง 1 เล่ม ยังไม่ได้โอนเงิน(โอนวันที่ 28 กย 52)
    7.คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Natachai<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2408238", true); </SCRIPT> จอง 1 เล่ม ยังไม่ได้โอนเงิน
    8.น้องชา (ชมรมรักษ์พระวังหน้า) จอง 2 เล่ม ยังไม่ได้โอนเงิน
    9.
    10.
    11.
    12.
    13.
    14.
    15.
    16.
    17.
    18.
    19.
    20.

    โมทนาสาธุครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2009
  8. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    จัดให้เรียบร้อยครับลูกพี่
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรียนคุณNatachai

    ผมส่งไปหาไม่ได้ ชื่อ Email ผิดหรือเปล่าครับ

    รบกวนส่ง Email มาให้ใหม่นะครับ
     
  10. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    วันนี้เวลา 14.55น.ผมฝากเงินผ่าน adm ktb *********6 จำนวนเงิน 1000บาทเพื่อร่วมช่วยค่าหนังสือและขอรับ 1เล่มตามที่แจ้งครับ
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การจองหนังสือ "ปู่เล่าให้ฟัง"
    #33681
    #33682
    #33685

    สามารถจองได้ เล่มละ 500 บาท

    หากจองตั้งแต่ 20 เล่มขึ้นไป ผมมอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) ให้ 1 องค์

    และผมขอค่าจัดส่งหนังสือ 100 บาท (เป็นการจัดส่งแบบลงทะเบียน) หากจำนวนเงินในการจัดส่งไม่ถึง 100 บาท ผมขอนำเงินในส่วนที่เหลือสมทบทุนการจัดพิมพ์ครั้งต่อไปหรือสมทบทุนการจัดพิมพ์หนังสือวิเคราะห์พระสมเด็จและสมเด็จเจ้าคุณกรมท่าครับ

    ส่วนสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า รายละเอียดการจอง ผมส่งให้ทุกๆท่านทาง Email ส่วนค่าจัดส่งไม่ต้อง เพราะเราต้องพบกันในการประชุมอยู่แล้วครับ

    ระยะเวลาตั้งแต่วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2552

    สิ้นสุดวันพุธที่ 30 กันยายน 2552

    การจองหนังสือ ต้องโอนเงินภายในวันที่ 30 กันยายน 2552 หากยังไม่ได้โอนเงินภายในระยะเวลาที่กำหนด ผมขออนุญาตยกเลิกการจองหนังสือ (หลังจากนั้นผมจะปิดบัญชีนี้) ครับ

    รายนามผู้จอง
    1.คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->nongnooo (ชมรมรักษ์พระวังหน้า) จอง 1 เล่ม โอนเงินแล้วเมื่อ 19.92552/ จำนวน 1,000 บาท
    2.คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->แหน่ง<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2434226", true); </SCRIPT> (ชมรมรักษ์พระวังหน้า) จอง 3 เล่ม ยังไม่ได้โอนเงิน
    3.คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->jirautes<!-- google_ad_section_end --> จอง 1 เล่ม โอนเงินแล้ว 500 บาท และค่าจัดส่ง 100 บาท เมื่อ 19.92552/
    4.คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->พรสว่าง_2008<!-- google_ad_section_end --> (ชมรมรักษ์พระวังหน้า) จอง 1 เล่ม ยังไม่ได้โอนเงิน
    5.คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->psombat<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2435705", true); </SCRIPT> <!-- google_ad_section_end -->(ชมรมรักษ์พระวังหน้า) จอง 2 เล่ม ยังไม่ได้โอนเงิน(พรุ่งนี้มอบเงินให้)
    6.คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ลุงจิ๋ว<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2435951", true); </SCRIPT> <!-- google_ad_section_end -->จอง 1 เล่ม ยังไม่ได้โอนเงิน(โอนวันที่ 28 กย 52)
    7.คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Natachai<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2408238", true); </SCRIPT> จอง 1 เล่ม ยังไม่ได้โอนเงิน
    8.น้องชาsira (ชมรมรักษ์พระวังหน้า) จอง 2 เล่ม ยังไม่ได้โอนเงิน
    9.คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->psombat<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2438846", true); </SCRIPT> จอง 2 เล่ม โอนเงินแล้ววันที่ 19.92552/
    10.
    11.
    12.
    13.
    14.
    15.
    16.
    17.
    18.
    19.
    20.

    โมทนาสาธุครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2009
  12. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมส่งไปให้ตามสัญญาแล้วนะครับ พระทวาราวดี

    และรูปอื่นๆด้วย

    ตกลง ดีป่าวครับ แรงป่าวครับ อิอิ
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไข้หวัด2009 จัด 5 กลุ่มเสี่ยง รับวัคซีน ไข้หวัด 2009

    ไข้หวัด2009 จัด 5 กลุ่มเสี่ยง รับวัคซีน ไข้หวัด 2009


    [​IMG]

    ไข้หวัด 2009

    สธ.จัด5กลุ่มเสี่ยงรับวัคซีนหวัด09 ทั้ง"หมอ-คนท้อง-อ้วน-พิการ-ป่วยเรื้อรัง" (มติชนออนไลน์)

    สาธารณสุขจัดอันดับ5กลุ่มเสี่ยงรับวัคซีน"หวัด2009"ล๊อตแรก2ล้านโดส ให้หมอพยาบาล-หญิงท้อง-คนอ้วน-ผู้พิการ-ป่วยเรื้อรังก่อน ส่วนอีก 3 ล้าน โดส รอ ครม.พิจารณา

    นพ.ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยเมื่อวันที่ 18 กันยายน ว่า คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ได้สรุปกลุ่มประชากรที่จะได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 หรือไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ชนิดเชื้อตายจากบริษัท ซาโนฟี ปาสเตอร์ จำกัด จำนวน 2 ล้านโดส ตามลำดับความสำคัญ 5 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มบุคลากรทางด้านสาธารณสุขที่ดูแลผู้ป่วย อาทิ แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ 3-4 แสนคน 2.กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ 3 เดือนขึ้นไป ประมาณ 500,000 คน 3.กลุ่มผู้ที่มีภาวะโรคอ้วน น้ำหนักเกิน 100 กิโลกรัมขึ้นไป หรือกลุ่มที่มีดัชนีมวลกายเกินมากๆ ซึ่งในรายละเอียดจะหารือกันอีกครั้ง ประมาณ 1-2 แสนคน 4.กลุ่มผู้พิการทางสติปัญญา และ 5.กลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง อาทิ โรคตับ ไตวาย หัวใจ ปอด หอบหืด ฯลฯ โดยทั้ง 5 กลุ่มเสี่ยง มีทั้งสิ้น 5 ล้านคน

    "ขณะนี้มีวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จำนวน 2 ล้านโดส จึงต้องคัดเลือกผู้ที่อยู่กลุ่มเสี่ยงแต่จำเป็นมากก่อน ส่วนวัคซีนอีก 3 ล้านโดสที่จะต้องจัดซื้อจะต้องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อมป้องกันและควบคุมสถานการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่ ที่มี พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิจารณาและนำเข้าสู่การเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกครั้งเดือนตุลาคมนี้" นพ.ม.ล.สมชายกล่าว

    นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ คณะอนุกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า การระบาดขณะนี้เหลือ 98 อำเภอที่ยังไม่มีรายงานผู้ป่วย ซึ่งเป็นอำเภอที่ติดชายแดนแต่พบว่ามี 10 จังหวัดที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน นครสวรรค์ นนทบุรี ภูเก็ต สุโขทัย หนองบัวลำพู ร้อยเอ็ด ยโสธร และนครนายก โดยในช่วงที่ผ่านมามีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ จำนวน 5.7 ล้านคน ซึ่งจำนวนผู้ป่วย 1 แสน จะพบผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 3 คน ในช่วงวันออกพรรษาที่มีกลุ่มโรงงานทอดกฐิน โรงเรียนปิดเทอม มีเด็กจำนวน 12 ล้านคน ที่กระจายตามสถานที่ต่างๆ หากปล่อยไว้สภาพการระบาดจะเหมือนช่วงเดือนมิถุนายน



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก มติชน
    [​IMG]
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ไทยรัฐ
    <SCRIPT language=JavaScript>function BackPage() {history.back();}</SCRIPT>
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หากินกับพระ

    คอลัมน์ ศาลาวัด



    ปัจจุบัน พบว่ามีแก๊งมิจฉาชีพหากินกับพระศาสนาอยู่บ่อยๆ

    มีทั้งแก๊งต้มตุ๋น ปลอมบวช ออกเรี่ยไร รวมถึงพระสงฆ์จริงที่มีความประพฤตินอกลู่นอกทาง

    บ้างปลอมเป็นพระธุดงค์ ปักกลด สร้างกระต๊อบอยู่ในชายป่าในเมือง

    พุทธศาสนิกชนบางคนเห็นแล้วก็เฉยๆ เนื่องจากเห็นว่าธุระไม่ใช่

    แต่จริงๆ แล้ว ถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องช่วยกันสอดส่องดูแล และกำจัดกาฝากศาสนาพวกนี้ให้หมดไป

    อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ พระมงคลวราสิทธิ อายุ 86 ปี เจ้าอาวาสวัดลาดปลาเค้า อ.เมืองนครปฐม ได้เข้าแจ้งความกับ ร.ต.ท.ปิยะชัย มั่นคง ร้อยเวร สภ.เมืองนครปฐม ขอให้ ตร.อายัดจับกุมตัวชาย 3 คน หญิง 2 คน 1 ใน 3 ชายโกนศีรษะแต่งตัวเป็นพระ ที่ถูก สภ.นครชัยศรี จับกุมตัวไว้ หลังใช้เล่ห์กลเข้าไปลักทรัพย์ในกุฏิหลวงพ่อวัดกกตาล อ.นครชัยศรี เมื่อวันที่ 11 ก.ย.ที่ผ่านมา

    พระมงคลวราสิทธิ บอกว่าเห็นหน้าผู้ต้องหาทั้ง 5 จากทีวีช่องหนึ่งจึงจำได้ว่าเป็นแก๊งที่เข้ามาลักทรัพย์ในกุฏิไป เป?นเงินจำนวน 200,650 บาท เมื่อบ่ายวันที่ 17 ส.ค. ซึ่งเงินดังกล่าวได้เบิกจากธนาคารมาเพื่อนำไปจ่ายค่าแรงคนงานทำกำแพงวัด

    เจ้าอาวาสเล่าพฤติการณ์ของแก๊งดังกล่าวว่าได้เข้ามาหาที่กุฏิ โดยมีพระเข้าไปด้วย 1 รูป ทำทีเข้าไปขออนุญาตติดแผ่นป้ายโฆษณางานฝังลูกนิมิต พอช่วงที่เผลอ ก็ให้เพื่อนร่วมแก๊งเข้าไปค้นโต๊ะที่เก็บเงินไว้ไป มาทราบเมื่อคนงานมาเบิกเงินปรากฏว่าหายไป ตร.จึงบันทึกปากคำไว้เพื่อตรวจสอบไปที่ สภ.นครชัยศรี พบว่าทั้งหมดได้ประกันตัวออกไปแล้ว

    อย่างไรก็ตาม พระรัตนเมธี เจ้าคณะเขตบางซื่อ ในฐานะหัวหน้าพระวินยาธิการ กรุงเทพมหานคร ได้แนะข้อสังเกตเบื้องต้นเกี่ยวกับพระสงฆ์ที่ไม่น่าเลื่อมใสหรือพระปลอมบวชว่า

    จะมีย่ามใบใหญ่ ซึ่งภายในอาจมีผ้าขนหนู เสื้อผ้า สบู่ ยาสีฟัน อย่างครบครันรวมอยู่ในย่าม, จีวรไม่สะอาด เพราะต้องนอนตามสถานีรถไฟ ตามสถานที่ต่างๆ, มีบาตรและกลดพระติดตัวในย่านชุมชนเมือง ซึ่งกิจของพระที่ธุดงค์ต้องเดินห่างจากชุมชนเมือง 25 ก.ม. ซึ่งเป็นการเดินในป่าไม่ใช่เดินในเมือง, นอนมั่วไปทุกแห่ง, แหล่งที่พักไม่แน่นอน, สัญจรอยู่ตลอดเวลา, อธิษฐานพรรษาไม่ถูก ไม่มีใบสุทธิ

    ถ้าพบเห็นหรือต้องสงสัยว่าเป็นพระปลอมหรือแก๊งมิจฉาชีพ อาจจะแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือสำนักงานพระพุทธศาสนาประจำจังหวัด หรือแจ้งกับพระสังฆาธิการผู้ปกครองสงฆ์ในพื้นที่ก็ได้


    ˹ѧ
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การจองหนังสือ "ปู่เล่าให้ฟัง"
    #33681
    #33682
    #33685

    สามารถจองได้ เล่มละ 500 บาท

    หากจองตั้งแต่ 20 เล่มขึ้นไป ผมมอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) ให้ 1 องค์

    และผมขอค่าจัดส่งหนังสือ 100 บาท (เป็นการจัดส่งแบบลงทะเบียน) หากจำนวนเงินในการจัดส่งไม่ถึง 100 บาท ผมขอนำเงินในส่วนที่เหลือสมทบทุนการจัดพิมพ์ครั้งต่อไปหรือสมทบทุนการจัดพิมพ์หนังสือวิเคราะห์พระสมเด็จและสมเด็จเจ้าคุณกรมท่าครับ

    ส่วนสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า รายละเอียดการจอง ผมส่งให้ทุกๆท่านทาง Email ส่วนค่าจัดส่งไม่ต้อง เพราะเราต้องพบกันในการประชุมอยู่แล้วครับ

    ระยะเวลาตั้งแต่วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2552

    สิ้นสุดวันพุธที่ 30 กันยายน 2552

    การจองหนังสือ ต้องโอนเงินภายในวันที่ 30 กันยายน 2552 หากยังไม่ได้โอนเงินภายในระยะเวลาที่กำหนด ผมขออนุญาตยกเลิกการจองหนังสือ (หลังจากนั้นผมจะปิดบัญชีนี้) ครับ

    รายนามผู้จอง
    1.คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->nongnooo (ชมรมรักษ์พระวังหน้า) จอง 1 เล่ม โอนเงินแล้วเมื่อ 19.92552/ จำนวน 1,000 บาท
    2.คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->แหน่ง<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2434226", true); </SCRIPT> (ชมรมรักษ์พระวังหน้า) จอง 3 เล่ม ยังไม่ได้โอนเงิน
    3.คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->jirautes<!-- google_ad_section_end --> จอง 1 เล่ม โอนเงินแล้ว 500 บาท และค่าจัดส่ง 100 บาท เมื่อ 19.92552/
    4.คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->พรสว่าง_2008<!-- google_ad_section_end --> (ชมรมรักษ์พระวังหน้า) จอง 1 เล่ม ยังไม่ได้โอนเงิน
    5.คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->psombat<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2435705", true); </SCRIPT> <!-- google_ad_section_end -->(ชมรมรักษ์พระวังหน้า) จอง 2 เล่ม ยังไม่ได้โอนเงิน(พรุ่งนี้มอบเงินให้)
    6.คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ลุงจิ๋ว<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2435951", true); </SCRIPT> <!-- google_ad_section_end -->จอง 1 เล่ม ยังไม่ได้โอนเงิน(โอนวันที่ 28 กย 52)
    7.คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Natachai<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2408238", true); </SCRIPT> จอง 1 เล่ม ยังไม่ได้โอนเงิน
    8.น้องชาsira (ชมรมรักษ์พระวังหน้า) จอง 2 เล่ม ยังไม่ได้โอนเงิน
    9.คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->psombat<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2438846", true); </SCRIPT> จอง 2 เล่ม โอนเงินแล้ววันที่ 19.92552/
    10.
    11.
    12.
    13.
    14.
    15.
    16.
    17.
    18.
    19.
    20.

    โมทนาสาธุครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จากราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลี่ยม สู่ราคาขายปลีก ณ สถานีบริการ

    piti31 blog

    อาจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม

    คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


    ในตอนที่แล้วผมเล่าให้ฟังไปแล้วนะครับว่าจากราคาน้ำมันดิบ หน่วยเป็นดอลลาร์/บาร์เรล เราจะคำนวณออกมาเป็นราคาน้ำมันเบนซินในหน่วยบาท/ลิตรได้อย่างไร และผมก็ยกตัวอย่างให้ดูไปแล้วนะครับว่า ถ้าราคาน้ำมันดิบอยู่ที่บาร์เรลละ 72.21 ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 34.080 บาท/ดอลลาร์ เราพบว่าราคาของน้ำมันเบนซินในส่วนที่เป็นเนื้อน้ำมันดิบจริงๆ จะมีราคาเท่ากับ 15.4787 บาท/ลิตรเท่านั้นเองครับ แต่ที่เราต้องเติมน้ำมันเบนซินกันลิตร 40 กว่าบาทนั้น มันเป็นเพราะอะไร มาอ่านในบทนี้ครับ


    [​IMG]


    คู่มือการอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจ ตอนที่ 9





    จากราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลี่ยม สู่ราคาขายปลีก ณ สถานีบริการ





    ในตอนที่แล้วผมเล่าให้ฟังไปแล้วนะครับว่าจากราคาน้ำมันดิบ หน่วยเป็นดอลลาร์/บาร์เรล เราจะคำนวณออกมาเป็นราคาน้ำมันเบนซินในหน่วยบาท/ลิตรได้อย่างไร และผมก็ยกตัวอย่างให้ดูไปแล้วนะครับว่า ถ้าราคาน้ำมันดิบอยู่ที่บาร์เรลละ 72.21 ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 34.080 บาท/ดอลลาร์ เราพบว่าราคาของน้ำมันเบนซินในส่วนที่เป็นเนื้อน้ำมันดิบจริงๆ จะมีราคาเท่ากับ 15.4787 บาท/ลิตรเท่านั้นเองครับ แต่ที่เราต้องเติมน้ำมันเบนซินกันลิตร 40 กว่าบาทก็เนื่องจากเราคงไม่ได้เอาน้ำมันดิบมาเติมลงไปได้เลยในถังน้ำมันรถใช่มั้ยครับ เราต้องเอาไปน้ำมันดิบไปกลั่นเสียก่อน แล้วเรายังต้องขนน้ำมันเข้ามาจากต่างประเทศอีกต่างหาก ดังนั้นนอกจากค่าการกลั่นแล้วเรายังต้องจ่ายค่าขนส่ง ค่าประกันภัย และค่าอื่นๆ อีกมากมายกว่าน้ำมันจะเข้มาในประเทศไทย แล้วเมื่อเข้ามาในประเทศไทยแล้วเรายังต้องมีการเสียภาษีต่างๆ อีกหลายประเภท รวมทั้งรัฐบาลยังเก็บเงินจากผู้ซื้อน้ำมันเข้ากองทุนต่างๆ อีกด้วยครับ โดยในประเทศไทย เรามีโครงสร้างราคาน้ำมันดังนี้ครับ





    ราคาต้นทุน =ราคาน้ำมันในตลาดจรที่สิงคโปร์+ค่าขนส่ง+ค่าประกันภัย +ค่าจัดเก็บน้ำมัน+ภาษีศุลกากรนำเข้า





    ราคาน้ำมันในตลาดจรที่สิงคโปร์คือราคาน้ำมันดิบบวกด้วยค่าการกลั่นและค่าธรรมเนียมต่างๆ ในสิงคโปร์ครับ ที่เราชอบอ้างราคาสิงคโปร์กันเพราะตลาดโภคภัณฑ์ที่มีการซื้อขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลี่ยมที่อยู่ใกล้ประเทศไทยมากที่สุดคือที่สิงคโปร์ครับ ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีความจำเป็นแต่อย่างใดที่เราจะต้องอ้างอิงราคาจากเค้าเลยครับ สิงคโปร์ก็ไม่ได้มีน้ำมันของตัวเองด้วยครับ ซื้อต่อเขามาอีกที เรื่องอะไรต้องไปจ่ายเงินกำไร จ่ายค่านายหน้าให้กับ Trader ผู้ค้าน้ำมันในสิงคโปร์ด้วย ทั้งๆ ที่จริงๆ เราซื้อน้ำมันโดยตรงจากตะวันออกกลางก็ได้ เราก็จะสามารถอ้างอิงราคาซื้อขายที่ตลาด โอมาน-ดูไบ ซึ่งมีราคาที่ต่ำกว่าครับ เรื่องนี้ต้องพูดกันอีกยาวครับ (ไว้รออ่านในตอนที่ 10 – 11 ในสัปดาห์หน้าครับ) เอาเป็นว่าเมื่อเราได้ราคาต้นทุนมาเราก็จะสามารถคำนวณราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นได้ครับ โดย





    ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น=ราคาต้นทุน+ภาษีต่างๆ+กองทุนต่างๆ




    ซึ่งภาษีต่างๆ ได้แก่ ภาษีสรรพสามิต (ดูอัตราภาษีล่าสุดที่พึ่งจะมีการกำหนดเพดานภาษีใหม่ และอัตราภาษีที่มีการเก็บจริง ปรับปรุงล่าสุดเดือน ได้จากตารางที่ 1 ข้างล่างครับ), ภาษีเทศบาล (=10% ของภาษีสรรพสามิต), ภาษีมูลค่าเพิ่ม (อีก 7% ครับ), กองทุนน้ำมัน, กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ดูอัตราที่จัดเก็บได้จากตารางที่ 1 เช่นเดียวกันครับ) เราจะเห็นนะครับว่ารัฐบาลพยายามส่งเสริมพลังงานทางเลือกมากขึ้นโดยการแทนที่จะเก็บเงินจากผู้ซื้อเข้ากองทุนน้ำมัน รัฐบาลกลับให้เงินอุดหนุนสมทบเข้าไปทำให้ แก็สโซฮอล์ (Gasohol) หรือน้ำมันที่มีส่วนผสมของเอทานอล์ (Ethanol) แอลกอฮอล์ และไบโอดีเซล หรือน้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมของน้ำมันที่สกัดจากผลผลิตทางการเกษตรมีราคาถูกลงครับ

    [​IMG]



    จริงๆ แล้วมีแต่ประเทศไทยนะครับที่นิยมการตั้งชื่อโดยใช้การสมาสคำแบบนี้ เราเลยมีน้ำมันที่เรียกว่าที่เรียกว่า Gasohol ใช้โดยเป็นการรวมคำระหว่าง Gasoline กับ Alcohol ครับ ส่วนทั่วๆ ไปในโลกจะนิยมเรียกน้ำมันเบนซินปกติว่า ULG ครับ ซึ่งย่อมาจาก Unleaded Gasoline ครับ ส่วน Gasohol นั้นทั่วโลกนิยมเรียกว่า E-10, E-20 และ E-85 ครับ โดย E-10 คือ Gasohol ที่มีส่วนผสมของน้ำมันเบนซิน 90% และมี Ethanol ผสมอยู่ 10% ครับ E-20 และ E-85 ก็จะมีสัดส่วนของ Ethanol เพิ่มขึ้นเป็น 20% และ 85% ตามลำดับครับ






    จากตารางที่ 1 เราจะเริ่มพบการบิดเบือนในโครงสร้างราคาน้ำมันแล้วนะครับ เพราะน้ำมันดิบ 1 บาร์เรลกลั่นเป็นน้ำมันเบนซินได้ 73.13416 ลิตร แต่ได้น้ำมันดีเซลแค่ 34.97721 ลิตรเท่านั้นเอง ดังนั้นราคาเนื้อน้ำมันดิบที่เป็นราคาน้ำมันเบนซินจะถูกกว่าราคาเนื้อน้ำมันดิบที่เป็นราคาน้ำมันดีเซล แต่เนื่องจากภาษีสรรพสามิต, ภาษีเทศบาล และเงินกองทุนต่างๆ ที่เก็บในอัตราที่ต่ำกว่า ดังนั้นราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นของดีเซลจึงต่ำกว่าของน้ำมันเบนซิน ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากรัฐบาลต้องการช่วยให้ราคาน้ำมันดีเซลที่ใช้ในโรงงาน ใช้ในภาคการผลิต และภาคการขนส่งมีราคาต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซินซึ่งส่วนใหญ่ถูกใช้ไปในการเดินทางของผู้ที่มีรถยนต์ส่วนตัว (นัยว่าพวกนี้รวยแล้ว จ่ายแพงๆ หน่อยก็ได้)





    ดังนั้นคราวต่อไปที่จะซื้อรถยนต์ พยายามเลือกรถยนต์ประเภท FFV หรือ Flexible Fuel Vehicle ที่สามารถเลือกเติมเชื้อเพลิงได้หลายๆ ประเภทดีกว่าครับ เพราะทุกครั้งที่คุณเติม E-85 (แม้ว่าจะหาปั๊มยาก แต่ถ้าโชคดีหาปั๊มเจอ) รัฐบาลจะช่วยออกเงินค่าน้ำมันให้คุณลิตรละ 7 บาทกว่าๆ ครับ หรือถ้าเจอปั๊มที่ขาย E-20 คุณก็จะได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลลิตรละเกือบ 50 สตางค์ครับ





    เมื่อเราได้ราคาราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นมาแล้ว บริษัทผู้ขายปลีกน้ำมันแต่ละบริษัทไม่ว่าจะเป็น เชลล์ ปตท. บางจาก เอสโซ่ คาลเท็กซ์ ทีพีไอ ฯลฯ ก็จะเอาน้ำมันที่ซื้อมามาปรับปรุงคุณภาพครับ เช่น การใส่สารทำความสะอาดเครื่องยนต์ ใส่สารที่ทำให้น้ำมันมีค่าออกเทนที่สูงขึ้น (ออกเทนสูงทำให้การเผาไหม้มีจุดเดือดที่สูงขึ้น ได้ความร้อนและพลังงานจากการเผาไหม้ที่สูงขึ้น และไม่เกิดการชิงกันสันดาป เนื่องจากมีจุดเดือดหลายจุด เป็นการทำให้เครื่องยนต์เดินได้เรียบขึ้น) นอกจากค่าสารปรับปรุงคุณภาพแล้ว หลังจากบวกค่าส่งเสริมการตลาด เช่น การแถมเสื้อยืด แถมของเล่นแล้ว แต่ละบริษัทก็ยังต้องบวกกำไรที่ตนเองต้องการได้รับอีกด้วยครับ โดยค่าต่างๆ ที่เพิ่มเข้ามานี้เราเรียกรวมกันว่า “ค่าการตลาดครับ”





    ค่าการตลาด=ค่าสารปรับปรุงคุณภาพ+ค่าขนส่ง+ค่าส่งเสริมการตลาด+ค่าผลตอบแทนการดำเนินธุรกิจ





    คำนี้ก็ได้ยินกันบ่อยๆ นะครับ เวลาน้ำมันดิบราคาสูงขึ้น พวกบริษัทน้ำมันชอบออกมาบอกก่อนจะขอขึ้นราคาน้ำมันขายปลีกว่า บริษัทแทบจะมีค่าการตลาดติดลบอยู่แล้ว ขอขึ้นราคาน้ำมันที่เราจะใช้เติมรถยนต์หน่อยนะ โดยราคาขายปลีก ณ สถานีบริการที่เราต้องจ่ายเงินเพื่อเติมรถยนต์ของเราก็จะคำนวณได้ดังนี้ครับ





    ราคาขายปลีก ณ สถานีบริการ = ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น + ค่าการตลาด




    ดังนั้นตัวอย่างของราคาขายปลีก ณ สถานีบริการของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมต่างๆ จึงสามารถคำนวณได้ดังที่แสดงให้เห็นในตารางที่ 2 ครับ

    [​IMG]


    สำหรับคุณผู้อ่านที่สนใจในการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันก็สามารถหาข้อมูลได้จากแหล่งต่างๆ ดังนี้ครับ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก หาได้จาก Website ของ Energy Information Administration (EIA), US Department of Energy Energy Information Administration - EIA - Official Energy Statistics from the U.S. Government ครับ ส่วนราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น, ราคาขายปลีก, เงินกองทุนและภาษีสรรพสามิต หาได้จาก Website ของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน Energy Policy & Planning Office, Thailand ครับ ส่วนคราวต่อไป ผมจะมาคุยให้คุณๆ ฟังเรื่อง 5 คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับราคาน้ำมันครับ ได้แก่ ทำไมราคาน้ำมันในประเทศไทยถึงแพงกว่าราคาน้ำมันที่ขายในประเทศมาเลเซีย? อะไรคือน้ำมันม่วง น้ำมันเขียว? ทำไมที่ไหนๆ ในโลกนี้ราคาน้ำมันดีเซลก็แพงกว่าราคาน้ำมันเบนซิน ยกเว้นที่ประเทศไทย? รัฐบาลจะลดราคาน้ำมันลงได้หรือไม่? และคำถามสุดท้าย คำถามยอดฮิตคือ จำเป็นด้วยหรือ ที่เราต้องอ้างอิงราคาน้ำมันในตลาดจรที่สิงคโปร์ (ราคาหน้าโรงกลั่นที่สิงคโปร์)?
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หลักชีวิต หลักชาวพุทธ

    คอลัมน์ มองอย่างพุทธ

    โดย พระไพศาล วิสาโล เครือข่ายพุทธิกา เครือข่ายพุทธิกา : เพื่อพระพุทธศาสนาและสังคม



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>อาจารย์ของมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เล่าว่า คราวหนึ่งได้ไปบรรยายให้แก่นักศึกษาปริญญาโท ซึ่งมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาเข้าเรียนเป็นจำนวนมาก ตอนหนึ่งท่านได้พูดถึงพุทธศาสนาและคำสอนเรื่องไตรลักษณ์ พอถึงตรงนี้ท่านก็ถามนักศึกษาว่า ไตรลักษณ์นั้นได้แก่อะไรบ้าง นักศึกษาทั้งชั้นนิ่งเงียบ ท่านจึงเฉลยข้อแรกว่าได้แก่ "อนิจจัง" ท่านถามต่อว่า ไตรลักษณ์ข้อถัดมาคืออะไร ก็ยังไม่มีคำตอบจากนักศึกษาทั้งหนุ่มทั้งแก่ ท่านจึงเฉลยให้อีกว่า "ก็ ทุกขัง ไงล่ะ"

    ท่านยังไม่ละความพยายาม ถามนักศึกษาต่อว่า ไตรลักษณ์ข้อสุดท้ายคืออะไร ทีนี้นักศึกษาทั้งชั้นตอบอย่างเต็มปากว่า "พลัง" !

    คำตอบดังกล่าวสร้างความประหลาดใจแก่อาจารย์ท่านนี้มาก เพราะแสดงว่าแม้แต่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ระดับอธิบดี ก็ยังไม่รู้ว่า ไตรลักษณ์คืออะไร ทั้งๆ ที่เฉลยไปถึง 2 ใน 3 ข้อ ก็ยังตอบผิด ราวกับว่าพวกเขาไม่เคยได้ยินคำว่า "อนัตตา" เลย

    คำตอบของนักศึกษาเหล่านั้นยังทำให้เห็นว่า พวกเขาคุ้นเคยกับคำให้พรของพระมากกว่า โดยเฉพาะท่อนท้ายที่ว่า "อายุ วัณโณ สุขัง พลัง" ดังนั้นจึงพร้อมใจตอบว่า "พลัง" ทันทีที่ได้ยินคำว่า "ทุกขัง"

    ที่จริงการไม่รู้จักหลักไตรลักษณ์ ไม่ใช่เรื่องใหญ่หากมีการประพฤติหรือปฏิบัติตามหลักพุทธศาสนา เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จหัวเมือง พระองค์ทรงเคยสอบถามชาวบ้านตามหมู่บ้านต่างๆ ไม่มีใครตอบศีล 5 ได้ครบถ้วน พระองค์จึงทรงปรารภว่าคนไทยไม่รู้จักพระพุทธศาสนา แม้กระนั้นพระองค์ก็ยังทรงยอมรับว่าผู้คนในหัวเมืองอยู่กันอย่างเรียบร้อย ไม่มีการประพฤติผิดศีลผิดธรรม

    ทุกวันนี้ถ้าถามว่าศีล 5 คืออะไร เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ตอบได้ครบถ้วนหรือเกือบครบ แต่นั่นหมายความว่าคนไทยรู้จักพุทธศาสนาหรือเป็นชาวพุทธแล้วใช่ไหม เราคงตอบได้ไม่เต็มปากเพราะปรากฏการณ์ที่เห็นอยู่รอบตัวบ่งชี้ว่า คนไทยไม่ได้ปฏิบัติตามศีล 5 กันเท่าใดนัก หาไม่อาชญากรรม คอร์รัปชั่น ความสำส่อนทางเพศ และสุรายาเมาคงไม่แพร่ระบาดไปทุกหัวระแหงดังทุกวันนี้ พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบและผู้รู้หลายท่านถึงกับบอกว่า เมืองไทยจะเจริญก้าวหน้าอีกมากหากคนไทยเพียงแต่รักษาศีล 5 ให้ครบถ้วนเท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม ลำพังการรักษาศีล 5 ให้ครบยังไม่เพียงพอที่จะบอกว่าผู้นั้นเป็นชาวพุทธที่แท้ หากว่าผู้นั้นยังลุ่มหลงในอบายมุข พึ่งพาไสยศาสตร์ หวังลาภลอยคอยโชค คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน (แม้จะชอบทำบุญแต่ไร้น้ำใจ) หรือเชื่อกรรมในทางที่ผิด จนคิดแต่จะแก้ปัญหาชีวิตด้วยการประกอบพิธี "แก้กรรม" และ "ตัดกรรม" หรือกลัวเจ้ากรรมนายเวรจนไม่กล้าช่วยเหลือใครเพราะกลัวเจ้ากรรมนายเวรของผู้นั้นจะมาทำร้ายตน ที่พูดเช่นนี้ก็เพราะวิธีการหรือความเชื่อเหล่านั้นสวนทางกับหลักการทางพุทธศาสนาที่เน้นการพึ่งความเพียรของตน หมั่นฝึกฝนพัฒนาตน และตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

    ทุกวันนี้มีความเข้าใจว่าการรักษาศีล 5 ก็เพียงพอแล้วสำหรับชาวพุทธที่เป็นฆราวาส ความเข้าใจนี้ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะศีล 5 เป็นเพียงหลักปฏิบัติขั้นต่ำเท่านั้น จำต้องมีข้อปฏิบัติอย่างอื่นเพิ่มเติมด้วย หากพิจารณาจากสิงคาลกสูตร ซึ่งถือกันว่าเป็นคำสอนสำคัญว่าด้วยหลักความประพฤติของฆราวาส จะเห็นชัดว่านอกจากการละกรรมกิเลส 4 (การผิดศีล 4 ข้อแรก) แล้ว พระพุทธองค์ยังทรงวางข้อปฏิบัติให้แก่ฆราวาสอีกหลายประการ ได้แก่ การละเว้นอคติ 4 และอบายมุข 6 การประพฤติตามหลักทิศ 6 (ข้อปฏิบัติระหว่างบุคคลในความสัมพันธ์ 6 แบบ เช่น ระหว่างพ่อแม่กับลูก ระหว่างครูกับศิษย์ ระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง ฯลฯ) ใช่แต่เท่านั้นยังมีหลักการคบมิตร การจัดสรรทรัพย์เพื่อใช้สอย และสังคหวัตถุ 4 (ได้แก่ ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา-บำเพ็ญประโยชน์ และสมานัตตตา-วางตนเสมอต้นเสมอปลาย)

    การละเลยข้อปฏิบัติดังกล่าวทำให้ชาวพุทธในเมืองไทยทุกวันนี้มีความประพฤติที่ผิดเพี้ยนจากคำสอนทางพุทธศาสนาอย่างกว้างขวางดังได้กล่าวมา ไม่เว้นแม้กระทั่งในหมู่คนที่ใกล้วัดหรือใฝ่ทำบุญ จนทำให้เกิดคำถามขึ้นในหมู่ผู้รู้ทางพุทธศาสนา (และศาสนาอื่น) ว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธจริงหรือ ทั้งๆ ที่มีวัดและพระภิกษุเป็นจำนวนมากมาย

    มีเหตุผลมากมายที่ทำให้เป็นเช่นนั้น อาทิ การไม่ได้รับการศึกษาทางพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง (ทั้งๆ ที่มีการสอนวิชาศีลธรรมในโรงเรียนมานานหลายทศวรรษ) ความอ่อนแอและย่อหย่อนของสถาบันสงฆ์ อีกสาเหตุหนึ่งที่น่ากล่าวถึงคือ การขาดหลักความเชื่อและหลักปฏิบัติที่ถูกต้อง ครอบคลุมและสอดคล้องกับสังคมสมัยใหม่

    เมื่อเร็วๆ นี้ พระสงฆ์และฆราวาสกลุ่มหนึ่งซึ่งตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว ได้ร่วมกันเชิญชวนชาวพุทธทั้งประเทศประกาศเจตนาสมาทาน "หลักชาวพุทธ" ซึ่งประกอบด้วยหลักการ 5 ประการ และข้อปฏิบัติ 12 ประการ โดยพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) เป็นผู้ประมวลสรุปจากแก่นคำสอนของพุทธศาสนาและนำมาจัดวางให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนสมัยใหม่

    หลัก 5 ประการ เน้นในเรื่องการฝึกตน (เพราะเชื่อว่า "มนุษย์จะประเสริฐได้เพราะฝึกตนด้วยสิกขา คือ การศึกษา") และพึ่งความเพียรของตน (คือมุ่งมั่นที่จะ "สร้างความสำเร็จด้วยการกระทำที่ดีงามของตน โดยพากเพียรอย่างไม่ประมาท")

    ส่วนในเรื่องไตรสรณคมน์ หรือการถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ได้จำแนกเป็นหลัก 3 ประการ และอธิบายอย่างเป็นรูปธรรม กล่าวคือ การถือพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ หมายถึง ความตั้งใจที่จะ "ฝึกฝนตนให้มีปัญญา มีความบริสุทธิ์และมีเมตตากรุณา ตามอย่างองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า"

    การถือพระธรรมเป็นสรณะ หมายถึง การถือว่า "ความจริง ความถูกต้องดีงามเป็นใหญ่ เป็นเกณฑ์ตัดสิน"

    การถือพระสงฆ์เป็นสรณะ หมายถึง ความตั้งใจที่จะ "สร้างสังคมตั้งแต่ในบ้าน ให้มีสามัคคี เป็นที่มาเกื้อกูลร่วมกันสร้างสรรค์"

    ขอให้สังเกตว่า พระรัตนตรัยในที่นี้มิได้หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วางไว้บนหิ้งเพื่อกราบไหว้บูชา หรือหวังผลดลบันดาลให้ร่ำรวยอวยโชค อย่างที่คนทั่วไปเข้าใจ แต่หมายถึงแบบอย่างอันควรแก่การดำเนินรอยตามหรือเป็นอุดมคติในการดำเนินชีวิต

    ข้อที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งคือ การตอกย้ำให้คิดถึงส่วนรวม ซึ่งตรงกับหลักการของสงฆ์ที่ถือเอาประโยชน์ของสังฆะ หรือส่วนรวมเป็นใหญ่ นี้เป็นประเด็นที่สำคัญอย่างมากเพราะชาวพุทธไทยนับวันจะคิดถึงแต่ตัวเองมากขึ้นทุกที จนปล่อยปละละเลยสังคม ซึ่งมีส่วนในการทำให้สังคมเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ

    ข้อปฏิบัติหรือ "ปฏิบัติการ" 12 ข้อนั้น แบ่งเป็น 3 หมวด พระพรหมคุณาภรณ์ได้เรียบเรียงอย่างคล้องจองกัน ทำให้จำง่าย กล่าวคือ "มีศีลวัตรประจำตน เจริญกุศลเนืองนิตย์ ทำชีวิตให้งามประณีต" โดยมีข้อปฏิบัติที่ชัดเจนในแต่ละข้อ

    หมวด ก. "มีศีลวัตรประจำตน" เน้นการพัฒนาฝึกฝนตน แต่ไม่ได้หมายถึงศีล 5 เท่านั้น หากครอบคลุมถึงไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ดังนั้นนอกจาก "สมาทานเบญจศีลเป็นนิจ" และ "ไม่มืดมัวด้วยอบายมุขแล้ว" ยังมีอีก 2 ข้อ คือ "ทำจิตให้สงบ ผ่องใส" ด้วยการเจริญสมาธิและอธิษฐานจิต วันละ 5-10 นาที ในด้านปัญญานั้น ข้อปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมคือ "สวดสาธยายพุทธวจนะ หรือบทสวดมนต์ โดยเข้าใจความหมาย อย่างน้อยก่อนนอนทุกวัน"

    นอกจากนั้นยังมีข้อปฏิบัติเพื่อการปลูกฝังศรัทธาในสิ่งที่ดีงามและเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต นั่นคือ "แสดงความเคารพต่อพระรัตนตรัย บิดามารดา ครูอาจารย์ และบุคคลที่ควรเคารพ" กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการมีกัลยาณมิตรเพื่อเกื้อกูลต่อการฝึกฝนตน

    หมวด ข. "เจริญกุศลเนืองนิตย์" มีจุดเด่นคือการทำความดีเพื่อเกื้อกูลผู้อื่น ช่วยเหลือส่วนรวม หรือส่งเสริมสิ่งดีงามในสังคม ได้แก่ "บำเพ็ญทานเพื่อบรรเทาทุกข์ เพื่อบูชาคุณ เพื่อสนับสนุนกรรมดี" และ "บำเพ็ญประโยชน์ อุทิศแด่พระรัตนตรัย มารดาบิดา ครูอาจารย์ และท่านผู้เป็นบุพการีของสังคมแต่อดีตสืบมา" โดยทำสัปดาห์ละ 1 ครั้งทั้งการให้ทานและบำเพ็ญประโยชน์

    นอกจากการทำความดีเพื่อผู้อื่นแล้ว หมวดนี้ยังพูดถึงการบำเพ็ญกุศลเพื่อพัฒนาตนด้วย ได้แก่ ตักบาตรวันพระ หรือ "แผ่เมตตา ฟังธรรม หรืออ่านธรรม โดยบุคคลที่บ้าน ที่วัด ที่โรงเรียน หรือที่ทำงานร่วมกัน ประมาณ 15 นาที" รวมทั้งร่วมกิจกรรมในวันสำคัญทางศาสนาและวันสำคัญของครอบครัว

    เห็นได้ว่าหมวดนี้เป็นข้อปฏิบัติเพื่อนำพาตนออกมาเชื่อมโยงกับสังคมและพระศาสนาด้วยการบำเพ็ญประโยชน์หรือร่วมกิจกรรมทางศาสนา โดยชักชวนครอบครัว เพื่อนบ้าน หรือเพื่อนร่วมงานให้เข้ามามีส่วนร่วมด้วย นับเป็นการสร้าง "ชุมชนทางศีลธรรม" อย่างใหม่ ทดแทนหมู่บ้าน ซึ่งเคยเป็นสถานที่บ่มเพาะศีลธรรมให้แก่ผู้คนอย่างได้ผลมาแล้วในอดีต

    ข้อปฏิบัติหมวดนี้จะช่วยให้ชาวพุทธไม่เก็บตัวอยู่ตามลำพัง หรือมัวแต่ฝึกฝนตนจนละเลยผู้อื่น ทั้งๆ ที่ยังมีการฝึกฝนตนอีกมากที่สามารถทำร่วมกับผู้อื่นหรือทำเพื่อผู้อื่นได้

    หมวด ค. "ทำชีวิตให้งามประณีต" มีจุดเน้นอยู่ที่การเกี่ยวข้องกับสิ่งเสพหรือเครื่องใช้ ได้แก่ "ฝึกความรู้จักประมาณในการบริโภค" นอกจากรู้จักพอดีในการกินแล้ว ความพอดีในการเสพความบันเทิงก็สำคัญ ข้อปฏิบัติในส่วนนี้คือ "ชมรายการบันเทิงวันละไม่เกินกำหนดที่ตกลงกันในบ้าน" ที่น่าสนใจในข้อนี้คือ "มีวันปลอดการบันเทิงอย่างน้อยเดือนละ 1 วัน"

    นอกจากนั้นยังมีข้อปฏิบัติเพื่อการอยู่อย่างประหยัดเรียบง่าย คือ "ดูแลของใช้ของตนเองและทำงานของชีวิตด้วยตนเอง"

    หมวดนี้เป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับการดำเนินชีวิตในยุคบริโภคนิยม ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งกระตุ้นเร้าให้เสพจนงมงายมืดมัว หากไม่มีข้อปฏิบัติหรือข้อกำหนดที่เป็นรูปธรรม ก็ง่ายที่จะพลัดหลงจนเป็นทาสของสิ่งเสพ โดยเฉพาะความบันเทิงเริงรมย์ทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นอบายมุขอย่างใหม่

    ข้อสุดท้ายของหมวดนี้คือ "การมีสิ่งบูชาสักการะประจำตัวเป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงพระคุณของพระรัตนตรัย และตั้งมั่นอยู่ในหลักชาวพุทธ" ข้อนี้เป็นหลักปฏิบัติเพื่อการมีท่าทีอย่างถูกต้องต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาทิ พระพุทธรูป หรือพระธาตุ นั่นคือไม่ใช่บูชาเพื่อหวังผลดลบันดาลให้สำเร็จทางโลก แต่ถือเป็นอนุสติเพื่อการทำความดีตามหลักการของชาวพุทธ คือ ฝึกตน พึ่งความเพียร และไม่ประมาท

    หลักชาวพุทธ ทั้ง 5 หลักการ และ 12 ปฏิบัติการ นับได้ว่าเป็นหลักแห่งการดำเนินชีวิตอันประเสริฐที่เหมาะกับยุคปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง ครอบคลุมทั้งการบำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน โดยอาศัยหลักไตรสิกขา ไตรสรณคมน์ และบุญกิริยาวัตถุ 10 สามารถเป็นเครื่องกำกับชีวิตไม่ให้พลัดลงไปในกระแสบริโภคนิยมอันเชี่ยวกราก หรือหลงงมงายกับลัทธิหวังผลดลบันดาลที่กำลังแพร่ระบาด ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้ชาวพุทธมีบทบาทในการสร้างสรรค์สังคมส่วนรวม

    หากจะมีสิ่งใดที่น่าเพิ่มเติมในหลักนี้ก็เห็นจะเป็น ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับสัมมาอาชีวะ ซึ่งเป็นหนึ่งในอริยมรรคมีองค์ 8 ที่ชาวพุทธไทยในปัจจุบันไม่สู้จะให้ความสำคัญเท่าไร ยิ่งปัจจุบันสังคมมีความซับซ้อนมากจนเราสามารถมีส่วนร่วมในการเบียดเบียนผู้อื่นผ่านอาชีพการงานได้ นอกเหนือจากการค้าขายอาวุธ มนุษย์เนื้อสัตว์ ของเมา และยาพิษ ซึ่งพุทธศาสนาถือว่าเป็น มิจฉาวณิชชา อยู่แล้ว

    ในข้อนี้สิกขาบทของคณะสงฆ์หมู่บ้านพลัมของท่านติช นัท ฮันห์ น่าจะเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับชาวพุทธไทยได้ กล่าวคือ "ขอเธออย่าได้ประกอบอาชีวะอันก่อให้เกิดภัยต่อมนุษย์และธรรมชาติ อย่าเข้าร่วมลงทุนในบริษัทกิจการใด ที่กำจัดโอกาสในการหาเลี้ยงชีวิตของผู้อื่น จงเลือกอาชีวะซึ่งช่วยให้เธอประจักษ์ในอุดมคติแห่งการุณยธรรม"

    จุดเด่นประการหนึ่งของหลักชาวพุทธที่ควรย้ำในที่นี้ก็คือ การมีข้อปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ลำพังความตั้งใจว่าจะ "ทำให้ดีที่สุด" นั้นยังไม่เพียงพอ เพราะเลื่อนลอย และมักจะไร้ความหมาย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการตั้งจิตแน่วแน่ที่จะทำความดีอย่างเป็นรูปธรรม (เช่น ทำสมาธิวันละ 10 นาที บำเพ็ญทานอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง มีวันปลอดการบันเทิงอย่างน้อยเดือนละ 1 วัน) ความตั้งใจมั่นที่จะทำความดีนี้แหละที่เรียกว่า "อธิษฐาน" ซึ่งมิได้แปลว่า การตั้งจิตร้องขอจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างที่เข้าใจกันในปัจจุบัน

    ผู้ที่ต้องการประกาศเจตนาสมาทานหลักชาวพุทธ หรือต้องการร่วมเผยแพร่หลักดังกล่าว โปรดดูรายละเอียดได้ใน www.chaobuddha.com

    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01bud01200952&sectionid=0121&day=2009-09-20
     

แชร์หน้านี้

Loading...