พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระพิมพ์ ซุ้มไทรย้อย กรุวัดประยูร จริงๆแล้ว เป็นพระวังหน้าอยุธยา มีการนำพระชุดนี้มาฝากไว้ที่วัดประยูรฯ ในบางส่วน ส่วนอื่นๆ ไว้ที่ไหน ขอสงวนไว้ไม่แจ้งบนบอร์ดครับ

    [​IMG]

    ประสบการณ์ที่มีมา เยอะแล้วครับสำหรับชุดนี้
    หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร อธิษฐานจิต (ขอสงวนสิทธิ์ไม่แจ้งว่า เป็นหลวงปู่องค์ไหน)

    แต่ที่แจ้งได้ คุณnongnooo ดีป่าวครับ แรงป่าวครับ อิอิ

    .
     
  2. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    อ่ะ...มาป่วนหน่อยครับ หุ หุ
    1. แท้ทั้งคู่ครับ
    2.ไม่มีผู้อธิษฐานเพิ่ม
    3.เนื้อผงใบลาน
    4.องค์ที่1.สมเด็จโต องค์ที่2 ปู่อิเกสาโร
    5.คาดว่าไม่ครับ
    55 หุ หุ
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  4. dragonlord

    dragonlord เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +1,541
    555

    เชื่อท่านอาจารย์คะ

    แท้ทั้งคู่ (เอ พิมพ์วัดระฆังรึเปล่าคะ)
    เนื้อผงใบลาน
    หลวงปู่โตอธิษฐาน

    องค์แรก พระปิลันทร์ พิมพ์ซุ้มประตู
    องค์ที่สอง พระปิลันทร์ พิมพ์ครอบแก้วใหญ่



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2009
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ่า ทั้งอาจารย์ ทั้งศิษย์ มาป่วนกันทั้งคู่เลย

    pig_cryy
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หา มีตอบว่าพิมพ์อะไรเพิ่มด้วยหรือนี่

    ทั้งอาจารย์ ทั้งศิษย์ ไม่ธรรมดาซะแล้ว

    pig_cryy
     
  7. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    อ่า....ดูพิมพ์ออกด้วย ม่าย-ทำ-มา-ดา เลยนาคร๊าบ หุ หุ
     
  8. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    555 คุณอุ้ม แฟนพันธุ์แท้ ม่าย-ทำ-มา-ดา จริงๆ ครับ หุ หุ(deejai)(deejai)
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โลกผลิตยังไม่เสร็จ วัคซีน ไข้หวัด 2009

    http://health.kapook.com/view4416.html


    [​IMG]

    ไข้หวัด 2009


    โลกผลิตยังไม่เสร็จ วัคซีน ไข้หวัด 2009 ไทยสั่งอภ.ดูแล (ไทยรัฐ)

    รมว.สาธารณสุข เผยยังไม่มีบริษัทใดในโลกผลิตวัคซีนป้องกัน ไข้หวัด 2009 ได้สำเร็จ สั่ง อภ.ดูแลการทดลองในคน เชื่อเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของไทยที่จะสามารถผลิตวัคซีนใช้เอง

    เมื่อวันที่ 10 กันยายน นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขทุกจังหวัด ประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เร่งรณรงค์ให้ความรู้ประชาชนเพื่อป้องกันโรคอย่างต่อเนื่อง จัดว่าเป็นการให้วัคซีนพื้นฐานที่ดีที่สุดในขณะนี้ เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยถือว่ายังอยู่ในช่วงการระบาดระลอกแรก สัปดาห์ที่ผ่านมาตัวเลขผู้ป่วยเริ่มเพิ่มขึ้น มีผู้เสียชีวิตถึง 12 คน หากเกิดการระบาดเพิ่มจะทำให้ควบคุมได้ยาก อาจเป็นความหมายของการระบาดระลอกสองก็ได้
    ส่วนสถานการณ์ระบาดในกรุงเทพมหานครที่ชะลอตัวลง เป็นผลมาจากประชาชนตื่นตัวในการป้องกันโรคดีขึ้น แต่การระบาดในต่างจังหวัดยังมีแนวโน้นเพิ่มขึ้น จึงยังต้องเร่งรณรงค์ให้ความรู้ สร้างความตระหนักแก่ประชาชนต่อไป เพื่อให้สถานการณ์ระบาดชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวต่อถึงวัคซีนที่สั่งซื้อจากต่างประเทศ ว่า ตามกำหนดส่งคือเดือน ตุลาคม 2552 ข้อเท็จจริงก็คือขณะนี้ ยังไม่มีบริษัทใดผลิตเสร็จ ส่วนวัคซีนที่ไทยผลิตเองและจะเริ่มทดลองกับอาสาสมัครนั้น ได้มอบให้องค์การเภสัชกรรมเป็นผู้รับผิดชอบดูแล ไม่มีการเร่งรัดแต่อย่างใด ถือเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไทยที่จะสามารถผลิตวัคซีนใช้เอง



    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
    [​IMG]
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    4 กฎเหล็ก ก่อนเลือก บัตรเครดิต

    http://hilight.kapook.com/view/41311




    [​IMG]


    4 กฎเหล็ก ก่อนเลือก บัตรเครดิต (Lisa)

    เมื่อคุณจำเป็นต้องถือบัตรเครดิตสักหนึ่งใบ คุณอาจจะเลือกดูที่โปรโมชั่นส่วนลดต่าง ๆ จนลืมเรื่องพื้นฐานไปว่า การเลือกใช้บัตรเครดิตนั้นต้องดูที่อะไรบ้าง จึงจะคุ้มค่าและไม่เสียเงินเปล่ากับค่าธรรมเนียมจิปาถะที่ตามมาอีกมากมาย

    สาว ๆ หลายคนไม่ทราบว่าเมื่อปีที่ผ่านมา เราได้จ่ายค่าดอกเบี้ยบัตรเครดิตไปเท่าไร หรือแม้แต่ค่าบริการรายปีที่ต้องเสียไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพราะบางคนจ่ายเฉพาะหนี้ขั้นต่ำสุด หรือบางคนก็ดูแต่ยอดที่ต้องชำระเงินเท่านั้น ถามตัวเองให้ดีว่าจะปล่อยให้ค่าจิปาถะเหล่านี้ลดเงินในกระเป๋าคุณไปทำไม มาเลือกบัตรเครดิตให้เหมาะสมกับตัวคุณกัน

    [​IMG]ค่าธรรมเนียมรายปี

    ธนาคารบางแห่งยินดียกเลิกค่าธรรมเนียมรายปีเพื่อให้เป็นโปรโมชั่นแก่ลูกค้า แต่บางที่ยกเลิกแค่เพียงปีแรกเท่านั้น หรือไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเมื่อได้ใช้จ่ายครบวงเงินตามที่บัตรเครดิตตั้งเป้าไว้ ซึ่งบางครั้งเราไม่ได้ใช้เงินผ่านบัตรเครดิตเยอะขนาดนั้น คุณอาจจะมานั่งเสียดายค่าธรรมเนียมที่มีมูลค่าประมาณ 2,000-5,000 บาทต่อปีทีเดียว

    แต่ทว่ายังมีอีกวิธีหนึ่งคือให้คุณโทรไปปรึกษาที่ Call Center ของบัตรเครดิตนั้น ๆ ว่าไม่ยินดีที่จะเสียค่าธรรมเนียมและอาจจะขอยกเลิกบัตรเครดิตใบนี้ บางครั้ง Call Center สามารถช่วยเหลือให้คุณไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในบัตรได้เลย เนื่องจากกว่าธนาคารจะให้คุณสมัครบัตรเครดิตได้นั้นแสนยากเย็น จะให้คุณปิดบัตรออกไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน ก็ต้องมีการซื้อใจกันบ้าง

    [​IMG]ดอกเบี้ยและวิธีคิดดอกเบี้ย

    หากคุณมีบัตรเครดิตเพื่อเอาไว้หมุนเงิน ต้องคิดเรื่องอัตราดอกเบี้ยให้ดีๆ เพราะทุก ๆ ใบแจ้งหนี้ของบัตรเครดิตในแต่ละธนาคารจะแจ้งให้คุณทราบอยู่แล้วว่า คิดดอกเบี้ยในอัตราเท่าไรต่อเดือนหรือต่อปี ซึ่งถ้าคุณจำเป็นต้องเป็นหนี้ระยะยาวให้เลือกบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า

    นอกจากนั้น ยังต้องถามเรื่องวิธีคำนวนดอกเบี้ย บางธนาคารคำนวนดอกเบี้ยจากยอดหนี้ในงวดก่อนหน้า แม้ว่าทางคุณจะตั้งใจชำระเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยแล้วก็ตาม

    [​IMG]ช่วงเวลาปลอดดอกเบี้ย

    ทุกบัตรเครดิตจะมีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย บางธนาคารให้ระเวลา 30 วัน บางธนาคารให้นานถึง 45 วัน แน่นอนว่าช่วงระยะเวลาดังกล่าวคุณไม่ต้องเสียดอกเบี้ย แต่ถ้าเลยระยะเวลาที่กำหนดให้แล้ว ก็ต้องเสียดอกเบี้ยตามกฎเกณฑ์เช่นกัน

    [​IMG]ระวังค่าทำรายการ

    แม้เราจะเสียค่าดอกเบี้ยแล้ว แต่หากเรายังใช้เงินเกินวงเงินหรือใช้บัตรกดเงินสด และชำระเงินไม่ทันกำหนด คุณอาจจะต้องเสียเงินค่าทำรายการในการจ่ายเงินช้าอีก 100-200 บาท ทุกบริการล้วนเป็นเงินเป็นทอง เพียงแค่คุณเข้าใจและเลือกบัตรเครดิตให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคุณ บัตรเครดิตก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยให้คุณหมุนเงินได้คล่องขึ้นเช่นกัน

    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
    [​IMG]
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มะเร็งเต้านม Breast cancer

    มะเร็งเต้านม Breast cancer


    [​IMG]
    มะเร็งเต้านม



    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    มะเร็งเต้านม หรือ Breast cancer เป็นหนึ่งใน โรคมะเร็ง ที่พบเป็นอันดับ 2 รองจาก มะเร็งปากมดลูก ในหญิงไทย วันนี้เราไปรู้จักโรค มะเร็งเต้านม กัน

    [​IMG]สาเหตุหลักที่ทำให้เกิด มะเร็งเต้านม

    เดิมเชื่อกันว่า สาเหตุหลักของการเกิด มะเร็งเต้านม มาจากพันธุกรรม แต่ปัจจุบันพบว่า ผู้ที่ป่วยเป็น มะเร็งเต้านม จากพันธุกรรม มีเพียง 4-6% เท่านั้น ซึ่งสาเหตุที่แท้จริง ที่ทำให้เกิด มะเร็งเต้านม ก็คล้ายกับสาเหตุที่ทำให้มะเร็งชนิดอื่น ๆ คือ เกิดจากการทำปฏิกิริยา Oxidation ของเซลล์ต่าง ๆ ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ขึ้น และเกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางพันธุกรรมขึ้นที่ DNA ของเซลล์ ทำให้เซลล์ในอวัยวะนั้น ๆ มีการทำงานที่ผิดปกติ ทำให้เกิดการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้

    นอกจากนี้ยังมีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เนื้อแดง รวมทั้งฮอร์โมนเพศหญิง

    [​IMG] ใครเสี่ยงต่อการเป็น มะเร็งเต้านม

    [​IMG] ผู้หญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม

    [​IMG] ผู้ที่มีคนในครอบครัวมีประวัติเป็น มะเร็งเต้านม มีโอกาสเสี่ยงเป็น มะเร็งเต้านม มากกว่าสองเท่า รวมทั้งผู้ป่วยที่เคยเป็น มะเร็งเต้านม ก็มีอัตราเสี่ยงที่จะกลับมาเป็นใหม่สูงกว่าคนปกติ

    [​IMG] ผู้หญิงที่มีเต้านมใหญ่ หรือมีเต้านมที่เต่งตึงกว่าอายุ มีความเสี่ยงสูงกว่าผู้หญิงที่มีเต้านมเล็ก

    [​IMG] ผู้หญิงที่ไม่มีลูก หรือมีลูกคนแรกหลังอายุ 30 ปีขึ้นไป

    [​IMG] ผู้หญิงที่กินยาคุมกำเนิดต่อเนื่องนาน 10 ปีขึ้นไป หรือใช้ยาคุมกำเนิดตั้งแต่อายุน้อย ๆ

    [​IMG] ผู้ที่มีระดับฮอร์โมนเพศเอสโตรเจน สูงกว่าปกติ

    [​IMG] ผู้หญิงที่มีประจำเดือนตั้งแต่อายุยังน้อย (ก่อน 9 ขวบ) หรือประจำเดือนหมดช้า หลังอายุ 55 ปี

    [​IMG] ผู้ที่อยู่ในมลภาวะที่เป็นพิษ เนื่องจากนาน ๆ เข้าอาจเกิดการสะสมของความผิดปกติของเซลล์ได้

    [​IMG] ผู้ที่สูบบุหรี่มากกว่าวันละ 2 ซอง

    [​IMG] ผู้หญิงที่ได้รับการรักษาด้วยฮอร์โมนทดแทน ในสตรีวัยหมดประจำเดือน

    [​IMG] ผู้ที่มีความเครียดสูง

    ทั้งนี้ มะเร็งเต้านม พบได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่พบในผู้ชายในอัตราที่น้อยมาก

    [​IMG] อาการของ มะเร็งเต้านม

    ผู้ที่เป็น มะเร็งเต้านม ในระยะแรก จะไม่มีอาการเจ็บปวดใด ๆ จนเมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จะเกิดอาการ คือ

    [​IMG] คลำพบก้อนที่เต้านม หรือใต้รักแร้ โดยร้อยละ 15-20 ของก้อนที่คลำได้บริเวณเต้านม คือ มะเร็งเต้านม

    [​IMG] ขนาดเต้านมมีการเปลี่ยนแปลงขนาด และรูปร่าง

    [​IMG] มีน้ำ หรือเลือดไหลออกมาจากหัวนม โดยร้อยละ 20 ของการมีเลือดออกที่เต้านมจะเป็น มะเร็งเต้านม

    [​IMG] รู้สึกเจ็บ และหัวนมถูกดึงรั้งเข้าไปในเต้านม

    [​IMG] ผิวที่เต้านมจะมีลักษณะเหมือนเปลือกส้ม อาจมีรอยบุ๋ม ย่น หดตัว หนาผิดปกติ แดงผิดปกติ บางส่วนอาจมีสะเก็ด

    [​IMG] รักแร้บวม เพราะต่อมน้ำเหลืองโต

    หากใครพบอาการเหล่านี้ คุณอาจเสี่ยงต่อการเป็น มะเร็งเต้านม ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

    [​IMG] ระยะของ มะเร็งเต้านม

    มะเร็งเต้านม แบ่งออกเป็น 5 ระยะ คือ

    [​IMG] ระยะ 0 เป็นระยะเริ่มต้นของเซลล์มะเร็ง ซึ่งยังไม่ลุกลามไปยังเนื้อเยื่อเต้านม

    [​IMG] ระยะ 1 ก้อนมะเร็งมีขนาดไม่เกิน 2 เซนติเมตร และยังไม่ลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลือง

    [​IMG] ระยะ 2 ก้อนมะเร็งมีขนาดระหว่าง 2-5 เซนติเมตร อาจจะลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้หรือไม่ก็ได้ หรือมีขนาดไม่เกิน 2 เซนติเมตร และลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้แล้ว แต่ยังไม่แพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่น

    [​IMG] ระยะ 3 ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่กว่า 5 เซนติเมตร และลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้แล้ว แต่ยังไม่แพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่น

    [​IMG] ระยะ 4 มะเร็งแพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่น ๆ แล้ว

    [​IMG] การวินิจฉัยโรค มะเร็งเต้านม

    วิธีการวินิจฉัย มะเร็งเต้านม ทำโดยการเอ็กซเรย์เต้านม หรือแมมโมแกรม และใช้วิธีการตรวจอัลตราซาวน์ คือ การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง ซึ่งได้ผลดีที่สุด โดยเฉพาะกับก้อนที่มีขนาดเล็ก หรืออยู่ลึก จนคลำไม่ได้ และเมื่อตรวจพบก้อน มะเร็งเต้านม แล้ว แพทย์จะประเมินการแพร่กระจายของมะเร็ง ว่าจะลุกลามไปยังที่อื่น เช่น ต่อมน้ำเหลือง ปอด กระดูก หรือไม่ ซึ่งผู้ป่วยต้องถ่ายภาพรังสีทรวงอก อัลตราซาวน์ตับ และตรวจกระดูกชนิดสแกน ด้วยเภสัชรังสี

    [​IMG] หากก้อนที่พบบริเวณเต้านม ไม่ใช่เนื้อร้าย?

    บางครั้งก้อนที่เต้านม อาจไม่ใช่เนื้อร้าย หรือ มะเร็งเต้านม เพราะก้อนนั้น อาจมีสาเหตุมาจากโรคต่าง ๆ คือ

    [​IMG] 1.Fibrocystic change เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด โดยก้อนที่บริเวณเต้านมนี้ ไม่ใช่เป็นมะเร็ง แต่เกิดจากการกระตุ้นของฮอร์โมน ทำให้มีถุงน้ำ มักจะมีอาการปวดบริเวณก้อนก่อนมีประจำเดือน อาการมักเกิดช่วงอายุ 30-50 ปี ก้อนนี้มีหลายขนาด ขยับไปมาได้ มักจะเป็นสองข้างของเต้านม พบที่บริเวณรักแร้ เมื่อเข้าสู่วัยทองก้อนนี้จะหายไปเอง ไม่ต้องรักษา

    [​IMG] 2.Fibroadenomas มักจะเกิดในช่วงอายุ 20-40 ปี ไม่รู้สึกปวด ก้อนเคลื่อนไปมา ต้องรักษา ด้วยการผ่าออก

    [​IMG] 3.Traumatic fat necrosis เกิดจากการที่เต้านมได้รับการกระแทกและมีเลือดออกในเต้านม มักเกิดในคนที่มีเต้านมโต บางครั้งผู้ป่วยอาจจะไม่รู้ตัว รวมทั้งไขมันเกิดการอักเสบรวมกันเป็นก้อนซึ่งอาจจะปวดหรือไม่ก็ได้

    [​IMG] การรักษา มะเร็งเต้านม

    การรักษา มะเร็งเต้านม ทำได้ทั้ง การผ่าตัด การฉายรังสี การให้ยาเคมีบำบัด รวมทั้งการให้ฮอร์โมนรักษา แต่โดยปกติแพทย์จะเลือกวิธีการรักษาตามลำดับความเหมาะสม เพื่อให้ได้ผลการรักษาดีที่สุด โดยคำนึงถึง วัย ภาวะประจำเดือน สุขภาพทั่วไป ขนาดของเซลล์มะเร็ง ตำแหน่งของก้อนมะเร็ง รวมทั้งระยะของมะเร็งเต้านม ที่เป็นอยู่

    [​IMG] การรักษา มะเร็งเต้านม ด้วยวิธีการผ่าตัด ในทางปฏิบัติมี 2 วิธี คือ

    [​IMG] 1.การผ่าตัดเต้านมออกบางส่วน คือ ตัดก้อนมะเร็ง รวมทั้งเนื้อเต้านมที่ดีที่หุ้มรอบมะเร็งออกด้วย และถ้าหากมีมะเร็งแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง จะต้องเลาะต่อม น้ำเหลืองบริเวณรักแร้ออกด้วย การผ่าตัดโดยวิธีนี้ต้องฉายรังสีบริเวณเต้านมภายหลังการผ่าตัดทุกราย เพื่อ ลดโอกาสกลับเป็นใหม่ของมะเร็ง ผลการผ่าตัดโดยวิธีนี้ได้ผลดีพอ ๆ กับ การตัดเต้านมออกทั้งเต้า

    [​IMG] 2.การผ่าตัดเต้านมออกโดยวิธีมาตรฐาน คือ การตัดเนื้อเต้านมทั้งหมดร่วมกับเลาะต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ออก แพทย์จะผ่าตัดด้วยวิธีนี้ ในกรณีที่ก้อนเนื้องอกมีขนาดใหญ่กว่าวิธีแรก

    ทั้งนี้ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับการรักษาโดยการผ่าตัด บางกรณีจำเป็นต้องได้รับการรักษาเสริมเพื่อหวังผลให้ หาย หรือมีชีวิตยืนยาวขึ้น ด้วยการฉายรังสีรักษา การให้ยาเคมีบำบัด และการให้ฮอร์โมนรักษา ซึ่งการรักษาแบบผสมผสานดังกล่าวเป็นวิธีการรักษาที่ได้ผลดี อันจะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยหายจากโรคหรือมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นได้

    ผลข้างเคียงของการรักษา ด้วยการผ่าตัด นอกจากจะมีอาการเจ็บปวดแล้ว อาจมีการติดเชื้อ หรือแผลหายช้า จะรู้สึกตึง ๆ หน้าอก บริเวณแขนข้างที่ผ่าตัดจะมีแรงน้อยลง และมีอาการชา บวม อีกทั้งการตัดเต้านมไปข้างหนึ่งอาจทำให้เสียสมดุลทำให้ปวดหลัง คอ

    [​IMG] การรักษา มะเร็งเต้านม ด้วยรังสี (Radiation therapy)

    เป็นการใช้รังสีเพื่อฆ่าหรือหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยทั่วไปให้ 5 วันต่อสัปดาห์ติดต่อกัน 5-6 สัปดาห์ บางครั้งอาจให้รังสีรักษา เคมีบำบัด หรือให้ฮอร์โมนก่อนการผ่าตัดเพื่อให้ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กลง ง่ายต่อการผ่าตัด

    ผลข้างเคียง คือ มีอาการอ่อนเพลีย ผิวหนังแห้ง แดง เจ็บ คัน และควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เครื่องสำอาง

    [​IMG] การรักษา มะเร็งเต้านม ด้วยวิธีเคมีบำบัด (Chemotherapy)

    วิธีเคมีบำบัด จะใช้ยาฉีด หรือยากิน มาฆ่ามะเร็ง มักจะให้ระยะหนึ่งแล้วหยุด โดยจุดประสงค์ของการให้ เพื่อป้องกันมะเร็งกลับเป็นซ้ำหลังการผ่าตัด รวมทั้งลดขนาดของก้อนมะเร็งก่อนผ่าตัด และควบคุมโรคในรายที่มะเร็งแพร่กระจายไปที่อวัยวะอื่น

    ผลข้างเคียง คือ ผู้ป่วยอาจผมร่วง เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน มีภาวะซีด เม็ดเลือดขาวต่ำ เกร็ดเลือดต่ำทำให้เหนื่อยง่าย ติดเชื้อง่าย และเลือดออกง่าย อีกทั้งอาจเป็นหมันได้

    [​IMG] การรักษา มะเร็งเต้านม ด้วยฮอร์โมน (Hormone therapy)

    เป็นให้ฮอร์โมนเพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง จะใช้ในรายที่ให้ผลบวกต่อฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือ progesterone receptor ผลข้างเคียงของการรักษาวิธีนี้ คือ ผู้ป่วยจะมีอาการ วูบวาบ ตั้งครรภ์ง่าย คันช่องคลอด น้ำหนักเพิ่ม ตกขาว ดังนั้นจึงควรตรวจภายในทุกปีและรายงานแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ



    [​IMG]
    ตรวจ มะเร็งเต้านม


    [​IMG] การตรวจเต้านม เพื่อตรวจสอบ มะเร็งเต้านม ด้วยตัวเอง

    ผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป ควรเริ่มตรวจเต้านมด้วยตนเอง เพื่อหา มะเร็งเต้านม โดยควรทำทุกเดือน ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยสูงอายุ ทั้งนี้เวลาที่ดีที่สุดในการตรวจหา มะเร็งเต้านม คือ หลังหมดประจำเดือนแล้ว 7-10 วัน เนื่องจากช่วงนั้นเต้านมจะไม่คัดตึง จึงตรวจพบได้ง่าย โดย วิธีการตรวจ มะเร็งเต้านม ต้องบิดลำตัวไปทั้งทางซ้ายและขวา สังเกตรูปร่าง ลักษณะ ความผิดปกติของผิวหนัง รอยบุ๋ม รอยนูน หรือความผิดปกติอื่น ๆ ของเต้านม โดยมีท่าคือ

    1.ยืนหน้ากระจก

    [​IMG] ให้ปล่อยแขนไว้ข้างลำตัว ยืนตามสบาย

    [​IMG] ยกแขนทั้ง 2 ข้าง ประสานกันเหนือศีรษะ เพื่อเปรียบเทียบขนาดของเต้านมทั้งสองข้าง ว่ามีการบิดเบี้ยวหรือไม่ ผิวเรียบ มีรอยบุ๋มหรือไม่

    [​IMG] ยืนเท้าเอว เกร็งอก ให้ผนังทรวงอกกระชับขึ้น

    [​IMG] โค้งตัวมาข้างหน้า ใช้มือบีบหัวนมว่า มีสิ่งผิดปกติไหลออกมาหรือไม่

    2.นอนราบ

    [​IMG] นอนให้สบาย ตรวจเต้านมด้านขวา โดยสอดหมอนหรือม้วนผ้าไว้ใต้ไหล่ขวา เพื่อตรวจเต้านม

    [​IMG] ยกแขนขวาเหนือศีรษะ เพื่อให้เต้านมด้านแบราบ จะทำให้คลำได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเต้านมส่วนบนด้านนอก ที่มีเนื้อหนามากที่สุด และมีการเกิดมะเร็งบ่อยที่สุด

    [​IMG] ใช้กึ่งกลางตอนบนของนิ้วมือซ้าย คือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง คลำทั่วเต้านมและรักแร้ ห้ามบีบเนื้อเต้านม เพราะจะทำให้รู้สึกเหมือนเจอก้อนเนื้อซึ่งความจริงไม่ใช่ การคลำให้คลำจากรอบหัวนม และขยายวงจนทั่วเต้านม ถ้าเจอก้อนถือว่าผิดปกติ

    [​IMG] ทำวิธีเดียวกันนี้กับเต้านมด้านซ้าย

    3.ขณะอาบน้ำ

    [​IMG] ผู้หญิงที่มีเต้านมเล็ก ให้วางมือข้างเดียวกับเต้านมที่ต้องการตรวจบนศีรษะ แล้วใช้นิ้วมืออีกข้างคลำไปทิศทางเดียวกับที่ใช้ในท่านอน

    [​IMG] สำหรับผู้ที่มีเต้านมขนาดใหญ่ ให้ใช้นิ้วมือข้างนั้นประคอง และตรวจคลำเต้านมจากด้านล่าง ส่วนมืออีกข้างให้ตรวจคลำเต้านมด้านบน

    [​IMG] การป้องกันโรค มะเร็งเต้านม

    ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการป้องกัน มะเร็งเต้านม อย่างแน่นอน แต่มีหลายปัจจัยที่จะช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิด มะเร็งเต้านม ได้ คือ

    [​IMG] การตรวจมะเร็งเต้านม ด้วยตัวเอง สำหรับผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ควรรับการตรวจแมมโมแกรม และอัลตราซาวนด์ เพื่อตรวจหาเซลล์มะเร็ง เป็นประจำทุกปี ทั้งนี้ การตรวจแมมโมแกรม เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะค้นพบมะเร็งในระยะเริ่มแรก จึงควรตรวจทุก1-2 ปี สำหรับผู้หญิงอายุมากกว่า 40 ปี สำหรับผู้หญิงที่อายุน้อยกว่านี้ หรือมีปัจจัยเสี่ยงควรปรึกษาแพทย์ว่าจะตรวจบ่อยแค่ไหน

    [​IMG] หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ อาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที จะช่วยลดความเสี่ยงเป็น มะเร็งเต้านม ลงได้ถึง 60%

    [​IMG] พยายามรับแสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าสม่ำเสมอ เพราะจากการศึกษาพบว่า ผู้หญิงที่ได้รับแสงแดดอ่อน ๆ สม่ำเสมอ มีแนวโน้มเป็นมะเร็งเต้านมน้อยลงถึง 40%

    [​IMG] งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

    [​IMG] นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

    [​IMG] ควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้อ้วนมากเกินไป

    [​IMG] ลดการรับประทานเนื้อแดง อาหารมัน เกลือ

    [​IMG] รับประทานผัก ผลไม้ เป็นประจำ








    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    - siamhealth.net
    - medinfo2.psu.ac.th
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2009
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แนะ 7 สัญญาณมือ ที่ผู้ขับรถควรรู้

    �͹�Ѻö 7 �ѭ�ҳ��� �������Ѻö������




    [​IMG]


    แนะ 7 สัญญาณที่ผู้ขับขี่ควรรู้ (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)

    กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แนะผู้ขับขี่ควรเรียนรู้สัญญาณมือ 7 ประเภท ที่นอกจากจะเป็นการแสดงมารยาทและความมีน้ำใจให้กับเพื่อนร่วมทางแล้ว ยังทำให้การติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่ด้วยกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนน

    นายอนุชา โมกขะเวส อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า บ่อยครั้งที่มักเกิดอุบัติเหตุทางถนนที่มีสาเหตุมาจากความเข้าใจผิดระหว่างผู้ขับขี่ สัญญาณมือจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ขับขี่บนท้องถนนควรเรียนรู้ เพราะเป็นการแสดงถึงมารยาทที่ดีในการขับขี่ และทำให้การติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่รถด้วยกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุทางถนนลงได้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ขอแนะนำ 7 สัญญาณมือที่ผู้ขับขี่ควรรู้ ดังนี้

    [​IMG] การขอโทษ

    หลายครั้งที่ผู้ขับขี่มักขับรถด้วยความประมาทขับขี่ด้วยความเร็วสูงและแซงในระยะกระชั้นชิด นอกจากจะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูงแล้ว ยังทำให้ผู้ขับขี่คันที่ถูกแซงโมโหได้ ผู้ขับขี่จึงควรส่งสัญญาณมือขอโทษ โดยชูนิ้ว 2 นิ้ว เป็นรูปตัว V พร้อมยื่นมือออกมานอกรถ แต่ก่อนยื่นมือออกไปควรดูให้รอบคอบ เพราะอาจมีรถสวนทางมาและเกิดการเฉี่ยวชนได้

    [​IMG] การเตือนว่าเส้นทางข้างหน้าไม่ปลอดภัย

    บ่อยครั้งที่พบเห็นอุบัติเหตุและผู้ขับขี่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ทัน ทำให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนบ่อยครั้ง เพื่อเตือนให้ผู้ขับขี่ที่สวนทางมาทราบว่าเส้นทางข้างหน้ามีอันตรายหรือเกิดอุบัติเหตุให้กระพริบไฟสูง หากเป็นการเตือนให้ ผู้ขับขี่ที่ขับตามหลังมา ให้แตะเบรคหรือยื่นแขนขวาออกไปนอกตัวรถโดยคว่ำมือลงและโบกช้า ๆ จะช่วยให้ผู้ขับขี่ที่ขับตามหลังมา จะทราบทันทีว่าเกิดอุบัติเหตุให้ชะลอความเร็วของรถลง

    [​IMG] การขอแซง

    ผู้ที่ขับขี่รถเร็วมักแซงรถที่ขับขี่ช้ากว่า ควรให้สัญญาณขอแซง โดยเปิดไฟเลี้ยวขวากระพริบประมาณ 4 – 6 ครั้ง กรณีที่ผู้ขับขี่รถช้ามองไม่เห็น ควรเปิดไฟกระพริบสูง เพื่อเตือนให้ระวังและขอแซง

    [​IMG] การเตือนว่ารถมีปัญหา

    ควรใช้นิ้วชี้ไปยังจุดที่รถเกิดปัญหาและกำมือโดยใช้นิ้วหัวแม่มือคว่ำลง

    [​IMG] การตรวจสอบไฟ

    บ่อยครั้งที่ผู้ขับขี่มักขับโดยลืมปิดไฟหน้ารถในช่วงกลางวัน เพื่อเตือนให้ผู้ขับขี่ทราบควรใช้นิ้วชี้แตะกับนิ้วหัวแม่มือเป็นจังหวะถี่ ๆ

    [​IMG] การขอความช่วยเหลือ

    กรณีรถเกิดเหตุฉุกเฉินและต้องการขอความช่วยเหลือจากบุคคลอื่นให้ส่งสัญญาณโดยใช้ 2 มือตั้งฉากเป็นรูปตัว T

    [​IMG] การขอบคุณหรือรับทราบ

    เพื่อเป็นการขอบคุณรถคันอื่นหรือตอบรับการส่งสัญญาณ สัญญาณที่ผู้ขับขี่นิยมใช้ ได้แก่ สัญลักษณ์โอเค หรือการชูนิ้วหัวแม่มือคว่ำลง

    สุดท้ายนี้ ผู้ขับขี่ต้องระลึกอยู่เสมอว่าการขับขี่บนถนนมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุหรือการกระทบกระทั่งกันได้ตลอดเวลา ดังนั้น ผู้ขับขี่ควรมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมทาง ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด รวมถึงการเรียนรู้สัญญาณมือที่จะทำให้การติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่รถด้วยกันมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้


    [​IMG][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B][B] [URL="http://palungjit.org/attachments/a.693241/"][IMG]http://palungjit.org/attachment.php?attachmentid=693241&stc=1&thumb=1&d=1252683538[/IMG][/URL][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B][/B]




    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิธีรักษากระดูกสันหลัง มนุษย์เงินเดือนต้องอ่าน!

    การดูแลสุขภาพ ดูแล รักษากระดูกสันหลัง




    [​IMG]



    วิธีรักษา กระดูกสันหลัง มนุษย์เงินเดือนต้องอ่าน! (มติชน)

    วันนี้เรามีวิธีการหลีกหนีความเสี่ยงที่จะทำร้ายกระดูกสันหลัง โดยปรับเปลี่ยนท่วงท่าการนั่ง ยืน เดิน นอน เพื่อยืดอายุการใช้งานของกระดูกสันหลัง ดังนี้

    [​IMG] 1. การนั่งไขว่ห้าง จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคด

    [​IMG] 2. การนั่งกอดอก ทำให้หลังช่วงบน สะบัก และหัวไหล่ ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรง หรือชาได้

    [​IMG] 3. การนั่งหลังงอ หลังค่อม เช่น การอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนาน ๆ เป็นชั่วโมง จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้างเกิดการคั่งของกรดแลกติค มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา

    [​IMG] 4. การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น ทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ

    [​IMG] 5. การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว การยืนที่ถูกต้องควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่า ๆ กัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพกจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย

    [​IMG] 6. การยืนแอ่นพุง หรือหลังค่อม ควรยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย เพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่นและทำให้ไม่ปวดหลัง

    [​IMG] 7. การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง

    [​IMG] 8. การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว ไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือกระเป๋า โดยใช้ร่างกายทั้ง 2 ข้างให้เท่า ๆ กัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้ต้องทำงานหนักอยู่เพียงซีกเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้

    [​IMG] 9. การหิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อย ๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ

    [​IMG] 10. การนอนขดตัวหรือนอนตัวเอียง ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างก่ายโดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง


    [​IMG]เคล็ดลับสุขภาพ สุขภาพใกล้ตัว โรคและการป้องกัน คลิกเลย




    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>“ทะเลาะ”อย่างไรให้ชีวิตคู่ยืนยาว
    Life & Family - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>11 กันยายน 2552 08:44 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> หลายคนมักมีความเชื่อหลังจากที่ผ่านประสบการณ์ตรงในการใช้ชีวิตคู่ว่า “การทะเลาะกันจะทำให้รักกันมากขึ้น” ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า การทะเลาะกัน ทำให้คนเราได้มีโอกาส “ง้อ” กัน และ “เข้าใจ” กันและกันมากขึ้น

    แต่ทว่ากว่าคนสองคนจะกลับมารักกัน เข้าใจกัน และยอมคืนดีกันเหมือนเดิมนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดยังไม่ลดทิฐิในตัว และไม่เห็นแก่ความรัก ความผูกพันที่ร่วมสร้างกันมา

    ทั้งนี้ เราจะเห็นได้จากตัวอย่างของบางครอบครัวที่ทะเลาะกันจนแทบเป็นเรื่องธรรมดาแต่เขาก็ยังอยู่ด้วยกัน ไม่คิดทิ้งกันไป ในทางกลับกันคนหลายคนก็ต้องตัดสินใจแยกทางกันเพราะทะเลาะจนถึงทางตันก็มี

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพจาก www.jabchai.com</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> อย่างไรก็ดี 2 กรณีนี้มีปัญหาเหมือนกัน คือ “ทะเลาะเบาะแว้ง” แต่เคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมหลายครอบครัวไม่เลือกการหย่าร้างมาเป็นทางออกและมองว่า การทะเลาะกันไม่ได้นำไปถึงทางตันของชีวิตคู่ ก่อนที่เขาทั้งคู่จะอภัยกันและกันนั้น วินาทีที่อารมณ์ร้อนเหมือนไฟกันทั้งคู่ เขาทำอย่างไรถึงยังอยู่ด้วยกัน และรักกันเหมือนเดิม

    ดังนั้นจากประสบการณ์ตรงของหลายๆคู่ ต่างมีความเห็นตรงกันในเรื่องของข้อห้ามหรือกฎกติกาในการทะเลาะกันของสามี-ภรรยา เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติไม่ให้ล้ำเส้นหรือทะเลาะเกินงามดังนี้

    1. “ความผิด” ที่โยนกันไป-มา


    เคยไหมที่คำว่า "คุณไม่เคยเข้าใจฉันเลย" ทำให้อะไรๆ กลับยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิม คุณอาจจะเมินหน้าหนี ไม่พูดไม่จากัน คุณอาจจะหันหลังให้กันในขณะที่บรรยากาศแห่งความน่าอึดอัดนั้นจะยังคง อัดแน่นอยู่ในหัวใจ

    นั่นเป็นเพราะความเข้าใจกันเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ความรักมั่นคง คุณจึงไม่ควรโทษว่าความผิดพลาดหรือการกระทบกระทั่งกันด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้น เป็นผลมาจากการที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ใส่ใจหรือรักที่นับวันจะยิ่งลดน้อยลงจนคุณรู้สึกได้บางครั้งมันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น

    เรื่องของคนสองคนไม่จำเป็นที่จะต้องมีคนผิดเสมอไปท้ายที่สุดคุณอาจพบว่าเรื่องจริงของความไม่เข้าใจนั้นอาจเกิดจากการที่คุณสองคนไม่รู้จักปรับตัวเข้าหากันก็เป็นได้

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพจาก http://lifenstyle.hroyy.com</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> 2. กำจัด “จุดอ่อน” พูดทุกครั้งเมื่อทะเลาะกัน

    เมื่อถึงจุดหนึ่งที่คุณไม่รู้จะยกอ้างสรรหาคำพูดอะไรที่จะมาด่าทอใส่กัน คุณอาจจะพลั้งเผลอยกเอาข้อด้อยของอีกฝ่ายขึ้นมาพูดอย่างไร้เหตุผล หลายคู่ต้องจบกันด้วยสาเหตุจากเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้เอง

    ทุกคนควรตระหนักไว้ว่า ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่คุณจะหยิบยกเอาจุดอ่อนของคนรักขึ้นมาพูดเพราะก่อนที่คุณจะคบกันนั่นหมายความว่าคุณสามารถยอมรับความเป็นตัวเขาหรือเธอได้ตั้งแต่แรกแล้ว ดีไม่ดีการกระทำเช่นนี้อาจทำให้คุณดูแย่ลงในสายตาคนรักและสุดท้ายคุณอาจจะกลายเป็นคนผิดในเรื่องนั้น ๆ ก็เป็นได้

    3. คุยเรื่องเก่าเป็น "ครั้งที่ล้าน"

    เรื่องเก่าๆ ก็คือเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ประโยชน์อะไรที่คุณจะไปรื้อฟื้นมันขึ้นมาเพื่อทำให้บรรยากาศที่มันคุกรุ่นอยู่แล้วยิ่งแย่ลงไปอีก คุณรู้ไหมว่าการกระทำเช่นนั้นนอกจากจะไม่ทำให้กลับมาคืนดีกัน ความรักที่คุณสองคนเคยมีให้แก่กันก็รังแต่จะลดน้อยลงไปกว่าเดิมอีกด้วย

    4. “ตำหนิ” ช่วงเป็นฟืนเป็นไฟ

    เป็นเรื่องดีหากคนสองคนจะเปิดใจพูดกันว่าต่างฝ่ายต่างมีข้อเสียที่ต้องปรับปรุงอย่างไรแต่บรรยากาศที่ไม่เป็นใจอาจทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้าย คุณคงไม่อาจเปิดใจกว้างรับฟังคำตำหนิจากอีกฝ่ายในขณะที่ความโกรธเข้าครอบงำจิตใจเป็นแน่ ถ้าอยากจะติเตียนกันแล้วล่ะก็ ...รอให้อารมณ์เย็นกว่านี้ก่อนดีไหม?

    จำไว้ว่า ขณะที่คนเราโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จนไร้สตินั้น คำพูดที่ออกมาก็ไม่ได้ดีไปกว่าท่าทางและอารมณ์ที่แสดงออกไปเท่าใดนัก

    5. “โยน-ทำลาย ของในบ้าน” เหมือนในละคร

    ข้าวของในที่นี่คงไม่ได้หมายความว่าเป็นการปาหมอนใส่กันอย่างในมิวสิควิดีโอ แต่เป็นของใกล้มือ ไม่ว่าจะแก้วน้ำ จาน ชาม ของแข็ง หรืออาจจะของมีคม ที่ให้ผลไม่ดีด้วยประการทั้งปวง เพราะนอกจากของจะเสียแล้ว คุณก็อาจจะเจ็บตัว และยังได้แผลเป็นของแถมจากการทะเลาะกันอีกด้วย

    และหากพิจารณาดีๆ การทำลายข้าวของก็ยังแสดงถึงพฤติกรรมที่ไม่น่าเอาเยี่ยงอย่างซึ่งอาจจะดูไปถึงครอบครัวของคุณด้วย ยิ่งไปกว่านั้นหากลูกเห็นการกระทำแบบนี้ ก็จะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้ลูกอีก ฉะนั้นควรเตือนสติตัวเอง อย่าเลียนแบบในละครเด็ดขาด เพราะชีวิตจริงมันยิ่งกว่าละครเป็นไหนๆ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพจาก www.panclick.com</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> 6. “สบถ” ทันทีที่ไม่ปลื้ม

    คงเป็นเรื่องแย่ถ้าหากคุณจะต้องทนฟังถ้อยคำหยาบคายจากอีกฝ่าย ซึ่งมันคงจะไม่แปลกอะไรหรอกถ้าฝ่ายนั้นเป็นผู้ชาย ดังนั้นคุณสาวๆ โปรดจำไว้ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายสักแค่ไหน ถ้าคำหยาบจะหลุดจากปากก็ขอให้เป็นวิธีสุดท้ายที่จะเลือกใช้ อย่าปล่อยให้บรรยากาศพาไปเป็นอันขาดเชียว เพราะนอกจากจะทำให้ผู้หญิงเราดูแย่แล้ว เปอร์เซ็นต์ที่จะเลิกกันก็มีสูงตามไปด้วย

    7. ด่าเข้าไป...ครอบครัว-เพื่อนฝูง ไปจนถึงต้นตระกูล

    อย่าปล่อยให้เรื่องส่วนตัวกลายเป็นเรื่องส่วนรวมเด็ดขาด ถ้าคุณจะทะเลาะกันก็ขอให้อยู่แต่ในบ้าน แต่อย่าได้พาลไปถึงคนอื่นเป็นอันขาดเชียว โดยเฉพาะคุณสาวๆ พึงรู้เอาไว้ว่าเรื่องเพื่อนสำหรับผู้ชายถือเป็นของต้องห้ามคุณพาดพิงแม้เพียงนิดเดียว เรื่องเล็กๆ มันอาจจะกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมาได้ ในขณะเดียวกันคุณก็ไม่ควรกล่าวอ้างไปถึงญาติพี่น้องเขา ไปจนถึงต้นตระกูลของเขาด้วย เพราะนอกจากจะเป็นการลามปามอย่างไม่รู้จักกาลเทศะ คุณก็อาจกลายเป็น “คนเคยรัก”ในสายตาคนรักโดยไม่รู้ตัว

    ยิ่งไปกว่านั้น หากเรื่องเหล่านี้เข้าหูครอบครัว ญาติๆ และเพื่อนฝูงของเจ้าตัว แน่นอนว่า...คุณมีงานเข้าแน่! แม้จะเคยทำดีแค่ไหน หากลามปามเมื่อไหร่ ก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป

    8. “บทเงียบ” และ “เย็นชา”

    ไม่เสมอไปที่ความเงียบจะทำให้คนสองคนเข้าใจกัน การไม่พูดไม่จาอาจทำให้ได้ผลดีบางครั้ง แต่คุณสาวๆ ต้องอย่าลืมว่าในเรื่องที่ละเอียดอ่อนมนุษย์ผู้ชายที่มาจากดาวอังคารเขาไม่มีวันเข้าใจ การปิดหากเงียบจึงไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง คุณควรลดทิฐิในตัวเองลงเสียบ้างแล้วหันมาเปิดอกคุยกันด้วยความละมุนละไมจะดีกว่า

    แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว หากมีเรื่องฉุนเฉียวขึ้นมา ในช่วงอารมณ์โมโห และกำลังจะมีปากเสียงกันนั้น หลายคนอาจบ่นว่า เทคนิคเหล่านี้อาจไม่ได้อยู่ในหัวสมองเลย พูดได้ คิดได้ แต่ทำไม่ได้ ทั้งๆที่จริงๆแล้ว หากคนเราฝึกใช้สติ ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ เคล็ดลับที่กล่าวมาก็จะเป็นประโยชน์ที่มีส่วนให้อัตราการหย่าร้างไม่เพิ่มสูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้

    แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรที่ทำให้ผิดใจ สิ่งที่ทำให้ความรักมั่นคงอยู่ได้ก็ขึ้นอยู่กับคนสองคนเป็นสำคัญ ดังนั้นทะเลาะกันบ้าง ก็อาจเป็นภูมิคุ้มกันและยาบำรุงที่จะให้คนสองคน “รักกัน”มากขึ้นจนไม่รู้ตัวก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะรู้ตัวต่อเมื่อ...เสียงทะเลาะและเสียงยั่วยุนั้น...หายไปอย่างไม่มีวันกลับมา!!

    ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก Jabchai.com [
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ลิ้มลองของอร่อยอาหารจีนต้นตำรับ 8 มณฑล
    Metro Life - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>10 กันยายน 2552 17:28 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=208 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=208>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>หมูสามชั้นน้ำแดง ของหูหนาน ซึ่งเป็นจานโปรดของเหมาเจอตุง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> คนจีนเวลาเจอกันมักจะใช้คำพูดติดปากว่า “เจี๊ยะปึ่งบ่วย” ซึ่งแปลว่า “กินข้าวแล้วหรือยัง” สะท้อนให้เห็นว่า คนจีนให้ความสำคัญกับเรื่องอาหารมาเป็นอันดับต้นๆ เลยทีเดียว ไม่เพียงแต่รู้จักกินเท่านั้น ยังให้ความสำคัญกับเรื่องวิธีกิน กินอย่างไรให้อร่อย และเลือกกินแต่ของดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย อาหารจีนจึงมีตั้งแต่พื้นๆ ไต่ระดับไปจนถึงเมนูฮ่องเต้ที่กินกันแบบวิลิสมาหรา

    ยิ่งประเทศจีนมีพื้นกว้างขวาง ทั้งภูมิประเทศและภูมิอากาศแตกต่างกัน รวมทั้งจีนประกอบด้วยชนเผ่าหลากหลายจึงมีผลถึงอาหารตั้งแต่เหนือจดใต้ ที่กินผิดแผกแตกต่างกันไปตามวัตถุดิบและวัฒนธรรมการกิน แต่ก็กลายเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของประเทศจีน ใครที่คิดจะไปลิ้มลองอาหารจีนให้ถึงแก่นแท้ จะต้องรู้ก่อนว่าเมืองจีนแบ่งอาหารออกเป็น 8 มณฑลใหญ่
    อาทิ อาหารชานตง วัฒนธรรมการปรุงอาหารแห่งลุ่มแม่น้ำฮวงโห และกลายมาเป็นอาหารประจำถิ่นชาวจีนทางเหนือตั้งแต่ราชวงศ์ซ่ง และอาหารชานตงถือเป็นตำรับอาหารหลักห้องเครื่องราชสำนักหมิง เพื่อปรุงถวายกษัตริย์และเหล่าราชนิกูล ซึ่งเน้นกลิ่นและความสดใหม่ของอาหารหนักไปทางรสเค็ม



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ปลาไหลเหลืองเส้นผัดถั่วงอกหุ้ยหยาง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> อาหารเสฉวนค่อนข้างจะคุ้นลิ้นกับคนไทย เพราะมีรสชาติเข้มข้นด้วยเครื่องปรุงที่ขาดไม่ได้คือ พริกขึ้หนู พริกไทย จึงได้รับความนิยมพอสมควร แต่เดิมมีคำพังเพยว่า “กินอาหารที่จีน รสชาติอยู่ที่เสฉวน” เพราะอาหารเสฉวนต้นตำรับเป็นอาหารแถบเมืองเฉิงตู และฉงชิ่ง ที่ให้ความสำคัญกับวัตถุดิบที่ใช้ เน้นจุดเด่นในเรื่องกลิ่นและรสชาติที่มีทั้งเปรี้ยว หวาน เผ็ด หอม และต้องใช้น้ำมันมากๆ อีกด้วย

    แต่อาหารจีนที่คนทั่วโลกคุ้นเคยคือ อาหารกวางตุ้ง ที่แพร่หลายไปทุกประเทศ อาหารกวางตุ้งจะใช้วัตถุดิบในการปรุงที่หลากหลาย และเน้นการปรุงอาหารด้วยเนื้อสัตว์เป็นหลัก ให้ความสำคัญกับความสดใหม่ กลมกล่อม โดยทั่วไปจะปรุงรสจืดในฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง ส่วนฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิจะปรุงอาหารให้มีรสชาติค่อนข้างเข้มข้น

    เนื่องจากฮกเกี้ยนเป็นเมืองติดทะเล จึงอุดมไปด้วยอาหารทะเลมากกว่าเนื้อสัตว์อื่นๆ นึกไม่ถึงว่าคนจีนก็กินกะปิเหมือนคนไทย โดยเฉพาะ อาหารฮกเกี้ยนที่ใส่กะปิและน้ำปลาเป็นหลัก หรือถ้าต้องการเปรี้ยวก็เหยาะน้ำส้มสายชู หากจะกินเผ็ดก็มีพริกไทยและมัสตาร์ด ชูความเผ็ดแบบร้อนแรง


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=199 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=199>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>กุ้งอบแห้งซอสพริกซานตง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> อาหารซูโจว เป็นอาหารที่มีชื่อของชาวจีนตอนใต้ ที่ประกอบไปด้วยหลายๆ เมืองสำคัญคือ ซูโจว หยางโจว นานกิง และ เจิ้นเจียง จุดเด่นของอาหารคือ ความใสในความเข้มข้น อย่างเช่น เนื้อเปื่อยที่คนไทยคุ้นเคยนั้น ชาวซูโจวจะต้มเนื้อจนเปื่อยนุ่มและมีกลิ่นหอม รสชาติออกเค็มปนหวาน ส่วนนานกิงและเจิ้นเจียงจะมีชื่อเสียงด้านการปรุงเนื้อเป็ดเป็นหลัก

    ใครได้ลิ้มลองอาหารจากเจ้อเจียงแล้ว จะต้องชื่นชอบแน่ เพราะนอกจากจะให้ความสำคัญเรื่องความลงตัวของส่วนผสมแล้ว ยังพิถีพิถันในขณะปรุงอีกด้วย อาหารที่นี่จึงได้รับการยกย่องว่าเป็น “อาหารชั้นเลิศกว่า 3,000 ชนิด” ทีเดียว ซึ่งอย่างน้อยต้องมีหลายสิบจานที่ถูกปากคนไทยบ้าง

    อาหารหูหนาน หรือเซียงไช่ ต้นตำรับจะเน้นความมันและเข้มข้น ให้ความสำคัญกับสีสันของอาหาร โดยมากนิยมใช้พริกและเนื้อรมควันเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหาร มีครบทุกรสชาติ โดยเฉพาะ รสเผ็ดและเปรี้ยวที่เป็นกลิ่นอายของอาหารเมืองนี้

    อาหารอานฮุย มีจุดเด่นอยู่ที่การนำวัตถุดิบที่มีในท้องถิ่นมาปรุง และให้ความสำคัญกับความแรงของกำลังไฟ หรือเรียกว่าพ่อครัวจะเล่นกับไฟเพื่อให้อาหารมีรสชาติสดหวานและกรอบ

    นักกินทั้งหลายที่ตั้งใจจะชิมให้ได้ครบ 8 มณฑลนั้น ตอนนี้ไม่ยากแล้ว เพราะโรงแรมคอนราด กรุงเทพฯ กับบริษัท อิตัลไทย ร่วมกันจัดเทศกาลอาหารจีนต้นตำรับ 8 มณฑล โดยเชิญ โทนี่ เหลียง เชฟชาวจีนมือหนึ่งจากร้านอาหารชื่อดัง ไชน่า ฮาร์เวสต์ เมืองซันย่า อันเป็นเมืองท่าสำคัญของเกาะไหหลำ เชฟโทนี่ มีประสบการณ์ในการทำอาหารจีนมานานกว่า 10 ปี โดยเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำอาหารและเป็นหัวหน้าเชฟตามร้านอาหารและโรงแรมชื่อดังในประเทศต่างๆ ทั้งในเอเชียและยุโรป อาหารของเชฟนั้นจึงถูกปรุงอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ได้รสชาติตามต้นตำรับแท้ๆ




    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=214 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=214>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ตาม ตาม หมี่เสฉวน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ครั้งนี้เชฟได้บินตรงมาเพื่อปรุงอาหารต้นตำรับของจีน 8 มณฑล ที่มีความหลากหลายทั้งรสชาติและวัฒนธรรมการกิน ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละมณฑล โดยเลือกสรรเมนูจานเด็ดที่ขึ้นชื่อของแต่ละมณฑลให้คนรักการกินได้ลิ้มลองกัน

    โดยเมนูแนะนำจะให้ลูกค้าเลือกสั่งได้ตามใจชอบ อาทิ มณฑลซานตง อาทิ กุ้งอบแห้งซอสพริกซานตง และ นกพิราบขี้เมาซานตง, มณฑลหูหนาน อาทิ หมูสามชั้นน้ำแดง และหัวปลาจีนนึ่งพริกดองสไตล์หูหนาน, มณฑลเสฉวน อาทิ ไก่ยำซอสถั่วเสฉวน และเนื้อผัดพริกแห้งซอสพริก, มณฑลกวางตุ้ง อาทิ รวมมิตรทะเลหลวงผัดแห้ง และปลาบู่อบซีอิ๊วหม้อดิน, มณฑลฝูเจี้ยน/ฮกเกี้ยน อาทิ พระกระโดดกำแพงฝูเจี้ยน และหมูไข่เค็มฝูเจี้ยน, มณฑลอานฮุย อาทิ เจลลี่ขาหมูเย็นอานฮุย และเนื้อปลาเก๋าชุปขนมปังเจี๋ยน, มณฑลหุยหยาง/เจ้อเจียง อาทิ ซุบใสหัวสิงโต และปลาไหลเหลืองเส้นผัดถั่วงอกหุ้ยหยาง, มณฑลเจียงซู/ซูโจว อาทิ ตงปอหยก เจียงซู และ กุ้งม้วนขนมปังทอดกรอบ

    เทศกาลอาหารจีนต้นตำรับ 8 มณฑล เปิดให้บริการวันที่ 10-19 ก.ย. นี้ ที่ห้องอาหารจีนหลิว ของโรงแรม Conrad บริการทั้งมื้อกลางวันและมื้อเย็น มีให้เลือกเป็นเซ็ทเมนูและอาหารตามสั่ง ส่วนใครต้องการสัมผัสความพิเศษจับคู่อาหารจีนกับไวน์มีดินเนอร์ ในวันศุกร์ที่ 18 ก.ย. นี้ ในราคาเซ็ทละ 2,580 บาท++ สำหรับอาหาร 7 คอร์ส สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ 0-2690-9999

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=199 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=199>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>พระกระโดดกำแพงฝูเจี้ยน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=199 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=199>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>อาหารอานฮุย ปีกไก่ยูนานแฮมน้ำแดง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=216 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=216>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ปลาบู่อบซีอิ้วหม้อดินจากกวางตุ้ง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 12 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 10 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>แหน่ง, nongnooo </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ดีครับท่านรองครับ
    สมาชิกมีแค่ สองคน เอง
    สงสัยยังไม่ตื่นนอนกันนะครับ ฮ่าๆๆๆๆๆ
     
  18. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    10 อาหารเพื่อสุขภาพที่ควรมีติดตู้เย็นไว้<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><IFRAME id=google_ads_frame1 style="LEFT: 0px; POSITION: absolute; TOP: 0px" name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-2576485761337625&output=html&h=250&slotname=7252767143&w=250&lmt=1252720568&flash=9.0.45.0&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff9%2F10-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B9%89-204530.html&ref=http%3A%2F%2Fwww.palungjit.org%2F&dt=1252720568421&correlator=1252720568421&frm=0&ga_vid=1626296622.1231650141&ga_sid=1252720568&ga_hid=578143927&ga_fc=1&u_tz=420&u_his=4&u_java=1&u_h=800&u_w=1280&u_ah=775&u_aw=1280&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1261&bih=602&fu=0&ifi=1&dtd=32&xpc=ydy7LB1kYs&p=http%3A//palungjit.org" frameBorder=0 width=250 scrolling=no height=250 allowTransparency></IFRAME></INS></INS>
    <TABLE style="WIDTH: 100%" cellSpacing=1 cellPadding=1 border=0><TBODY><TR><TD>


    </TD><TD>อาหารถือเป็นปัจจัยสี่ที่มีความ สำคัญกับชีวิตเรา ยิ่งปัจจุบันคนทั่วโลกหันมาใส่ใจกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น การเลือกทานอาหารที่ให้ประโยชน์สูงสุดแก่ร่างกายจึงกลายเป็นกระแสที่หลายๆ คนทำ โดยเฉพาะในหมู่สาวๆ ที่ต้องดูแลรูปร่างไม่ให้มีไขมันส่วนเกิน ว่าแต่อาหารสุขภาพชนิดใดที่สาวๆ ควรมีติดตู้เย็นบ้างเรามีคำตอบมาให้คุณค่ะ </TD></TR></TBODY></TABLE>"น้ำ" ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิต ช่วยทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นไม่อย่างปกติ ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติและมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น รวมทั้งช่วยให้การขับถ่ายของเสียทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ผิวชุ่มชื่น โดยน้ำที่เหมาะแก่การดื่มคือน้ำอุณหภูมิปกติ สาวคนไหนอยากสุขภาพดี อย่าลืมดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วนะคะ

    "ผัก" เหมาะ มากในยุคเศรษฐกิจพอเพียง ยิ่งถ้าคุณปลูกพืชผักสวนครัวไว้ทานเอง จะได้ทานผักที่สดและปลอดภัยจากสารพิษ แถมประหยัดด้วย คุณประโยชน์ของผักนั้น ถือเป็นอาหารที่มีคุณค่ามาก เพราะมีสารอาหารมากมาย อาทิ วิตามิน เกลือแร่ เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ในผักยังมี "ใยพืช" (Fiber) ซึ่งช่วยกระตุ้นลำใส้ให้ทำงานดีขึ้น ทำให้ท้องไม่ผูก ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้

    "ไข่ไก่" หากคุณกำลังหาอาหารไว้ติดตู้เย็นสักชนิดที่ทั้งราคาถูกและมีคุณค่าทางอาหาร เราขอแนะนำ "ไข่ไก่" เพราะมีทั้งโปรตีนและกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย 9 ชนิด ทั้งยังมีวิตามินกับเกลือแร่อีกหลายชนิด เช่น วิตามินเอ, บี, ดี และ อี ธาตุเหล็ก, สังกะสี, ซีลีเนียม และไอโอดีน ส่วนใครที่เคยเชื่อมาผิดๆ ว่าทานไข่แล้วจะเสี่ยงกับความอ้วนนั้น คุณเข้าใจผิด เพราะโคเลสเตอรอลในไข่แดงมีประมาณ 230 มิลลิกรัมต่อฟอง ซึ่งนับว่าปลอดภัยกว่าการกินเนย แป้ง น้ำตาล และเนื้อสัตว์ติดมันมาก

    "นม" ในที่นี้จะเป็นประเภทใดก็ได้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นนมวัว นมถั่วเหลือง หรือนมเปรี้ยว เพราะทุกประเภทล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเราต้องอ่านฉลากข้างกล่องหรือขวดให้ดีก่อนจะซื้อมาเก็บไว้ในตู้ เย็นนะคะ เพราะในนมแต่ละยี่ห้อแต่ละสูตรก็จะมีปริมาณน้ำนมและสารปรุงแต่งไม่เท่ากัน สำหรับคนที่ไม่มีปัญหาในเรื่องระบบย่อยอาหารคุณควรดื่มนมวัวค่ะ เพราะในนมวัวมีแคลเซียมและโปรตีนซึ่งมีความสมบูรณ์ของกรดอะมิโนดีกว่าโปรตีน จากถั่วเหลือง

    "เนื้อปลา" สาวๆ ยุคใหม่หลายคนมองข้ามการทานเนื้อสัตว์ไปเพราะกลัวอ้วน แต่เราว่าคุณจะต้องเปลี่ยนความคิดใหม่หลังจากที่ทราบคุณประโยชน์ของ "เนื้อปลา" เพราะโปรตีนจากเนื้อปลามีไขมันต่ำ ย่อยง่าย และมีสาอาหาร คือ กรดโอเมก้า 3 ซึ่งมีกรด DHA และกรด EPA โดย DHA จะช่วยบำรุงเซลล์สมอง เซลล์ประสาท และเรตินาในดวงตา ส่วนกรด EPA ช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอล และลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในร่างกาย จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

    "ผลไม้รสเปรี้ยว" ต้องย้ำไว้ก่อนค่ะว่าเป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม , มะม่วง,ฝรั่ง, กีวี่ ,ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เพราะผลไม้ประเภทนี้จะมีวิตามินซีสูง (แถมยังปลอดภัยจากความอ้วนกว่าผลไม้รสหวานที่มีน้ำตาลมาก) ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้านทานโรค ช่วยลดระดับไขมันที่จะไปพอกพูนเส้นเลือดในร่างกายแล้วทำให้หลอดเลือดอุดตัน ทั้งยังช่วยควบคุมโคเลสเตอรอล และป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี ที่สำคัญวิตามินซีททำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นเหตุของการเสื่อมของร่างกายอีกด้วย

    "โยเกิร์ต" เป็นผลิตภัณฑ์จากนมยอดฮิตที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ โดยใน "โยเกิร์ต" มีวิตามิน ได้แก่ วิตามิน เอ, บี1, บี 2, บี3,บี6, บี12, ดี, อี มีกรดที่ช่วยในการดูดซึมโปรตีน แคลเซียมและเหล็กเข้าสู่ร่างกาย ช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร และระบบการขับถ่าย ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ช่วยบำรุงผิวพรรณ แต่ก่อนซื้อต้องอ่านฉลากให้ดีก่อนนะคะว่าในโยเกิร์ตรสและยี่ห้อนั้นๆ มีส่วนประกอบและคุณค่าทางอาหารอะไรบ้าง แนะนำว่าโยเกิร์ตธรรมชาติที่มีน้ำตาลน้อยดีที่สุดค่ะ

    "แอปเปิ้ล" แอปเปิ้ลมีสารอาหารที่มีประโยชน์หลายชนิด อาทิ สารเบตาแคโรทีน วิตามินซี นอกจากนี้แอปเปิ้ลยังเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยมาก ซึ่งจะทำหน้าที่ทำความสะอาดลำไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น อ้อ ถ้าอยากได้คุณค่าเต็มเปี่ยมแนะนำให้ทานแอปเปิ้ลทั้งเปลือกค่ะ เพราะเปลือกของแอปเปิ้ลแดง 1 ผลนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่ากับวิตามินซี 820 มิลลิกรัมทีเดียว

    "ถั่ว" ถือเป็นโปรตีนจากพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงไม่แพ้โปรตีนจากเนื้อสัตว์เชียว ค่ะ ดังนั้นคนที่อยู่ในช่วงทานเจหรือมังสวิรัติแต่ไม่อยากให้ร่างกายขาดโปรตีน ถั่วจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของคุณค่ะ ที่สำคัญถั่วยังอุดมไปด้วยวิตามินที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของผิวหนัง ผม การควบคุมความดันโลหิต ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบการแข็งตัวของเลือด นอกจากนี้ไขมันไม่อิ่มตัวในถั่วจะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล ใครที่อยากทานอาหารสุขภาพราคาประหยัดต้องไม่พลาดถั่วค่ะ

    "ธัญพืช" มื้อเช้าที่เร่งรีบ ถ้าคุณไม่มีเวลาในการเข้าครัวเพื่อทำกับข้าว การมี "ธัญพืช" จำพวกข้าวโพด , ลูกเดือย ,งา ,ข่าวฟ่าง,เมล็ดทานตะวัน, จมูกข้าว, รำจ้าว (ชนิดที่อบกรอบพร้อมทาน) ติดตู้เย็นไว้จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาได้มากทั้งยังดีต่อสุขภาพ โดยในธัญพืชจะมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ต้องใช้เวลาในการย่อย ทำให้น้ำตาลในเลือดไม่ขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว จึงไม่ทำเกิดเป็นโรคเบาหวานตามมาในภายหลัง (ต่างจากแป้งขัดขาวซึ่งน้ำตาลจะถูกย่อยเร็ว) นอกจากนี้ธัญพืชยังเปี่ยมด้วยวิตามิน เกลือแร่ และไฟเบอร์


    ขอบคุณนิตยสาร Spicy

    <!-- google_ad_section_end -->
     
  19. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    นม - มัจจุราชเงียบ<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><IFRAME id=google_ads_frame1 style="LEFT: 0px; POSITION: absolute; TOP: 0px" name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-2576485761337625&output=html&h=250&slotname=7252767143&w=250&lmt=1252720728&flash=9.0.45.0&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff9%2F%E0%B8%99%E0%B8%A1-%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A-204529.html&ref=http%3A%2F%2Fwww.palungjit.org%2F&dt=1252720728593&correlator=1252720728609&frm=0&ga_vid=1626296622.1231650141&ga_sid=1252720568&ga_hid=331737285&ga_fc=1&u_tz=420&u_his=4&u_java=1&u_h=800&u_w=1280&u_ah=775&u_aw=1280&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1261&bih=602&fu=0&ifi=1&dtd=63&xpc=kKyuaDjeJG&p=http%3A//palungjit.org" frameBorder=0 width=250 scrolling=no height=250 allowTransparency></IFRAME></INS></INS>
    [​IMG]

    ใครๆ ก็แนะนำให้ดื่มนม นมมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งเป็นความจริงที่สำหรับคนเราในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะตอนนั้นข้าวของทุกอย่างแพงหมด เพราะขาดแคลน คนที่มีเงินเท่านั้นจึงจะได้กินดีอยู่ดี ได้รับโปรตีนมากกว่า ทำให้มีสุขภาพดีกว่าคนที่ขาดอาหาร ขาดโปรตีน

    แต่ในสมัยนี้มันเปลียนไปแล้ว เพราะคนส่วนมากจะเกิดภาวะการบริโภคเกินซะมากกว่า และที่สำคัญโปรตีนที่คนส่วนใหญ่ได้มา ส่วนหนึ่งก็มาจากการดื่มนมนั่นเอง ในนมมีอะไรที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ทั้งที่ในนม มีไขมัน โปรตีน และแคลเซียม ไขมันในนมเป็นไขมันจากสัตว์ ซึ่งอุดมไปด้วยโคเลสเตอรอล เป็นไขมันอิ่มตัว เราอุตส่าห์หนีน้ำมันหมู แล้วยังมากินนมเอาโคเลสเตอรอลเข้าไปอีกหรือ คนที่วิจัยเรื่องนี้ ก็คือ The Milk Industry Foundation บอกว่า คนกินนมแล้วเสี่ยงต่อโรคอ้วน บริษัทนมจึงแก้ปัญหาด้วยการทำนมพร่องไขมัน ซึ่งก็ยังมีไขมันเหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่ง
    จากข้อสังเกตที่ว่า คนอเมริกันกินนมเยอะที่สุด และมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเกินพ่วงตามมาด้วย ผู้ชายอ้วน 27% ผู้หญิง 46% ในขณะที่สถิติเรื่องอ้วนในคนไทยมีแค่ประมาณ 20% ทั้งหญิงและชาย

    เรื่องเบาหวานในคนอเมริกันก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ ขอกระซิบเบาๆ ว่า คนอเมริกันเป็นเบาหวานมากกว่าคนไทย 3 เท่าเชียวนะ สถิติโรคกระดูกพรุน โรคหัวใจ โรคมะเร็ง ในคนอเมริกันล้วนแล้วแต่สูงกว่าคนไทยทั้งสิ้น น่าแปลกที่ฝรั่งที่มาสอนให้เราดื่มนมป้องกันกระดูกพรุน กลับมีอัตราเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนมากกว่าเราเกือบ 9 เท่า !

    จึงมีคนเอะใจว่า การกินอาหารแบบอเมริกันน่าจะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เราเจ็บป่วยเสียแล้ว และเรื่องนมวัวก็ไม่หลุดรอดจากการตรวจสอบไปได้ ผลจากการตรวจสอบเราพบว่าปัญหาจากนมวัวเกิดเพราะสถานการณ์ต่างๆ ในโลกได้เปลี่ยนไป

    สุขภาพคนไทยเปลี่ยนจากทุโภชนาการเป็นโภชนาการล้นเกิน

    สถานการณ์แรกที่ต้องคิดถึงก็คือ การรณรงค์ให้ดื่มนมวัวเริ่มสมัยหลังสงครามโลกใหม่ๆ สมัยนั้นเป็นสมัยที่คนไทยยังขาดอาหารอยู่ มีภาวะทุโภชนาการอยู่ทั่วไป แต่ปัจจุบันสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม คนไทยมีอาหารการกินอย่างเหลือเฟือ จนโรคอ้วนถามหากันเป็นทิวแถว การมาส่งเสริมให้ดื่มนมกลับเป็นการซ้ำเติมโรคอ้วนให้แย่ลงไปอีก

    มีวิจัยว่า นมวัวเป็นสาเหตุของโรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง และโรคหัวใจหลอดเลือด แม้ว่าคุณจะดื่มนมพร่องไขมันแล้วก็ตาม แต่คำว่าพร่องไขมันในที่นี้ เป็นการเล่นคำ เพราะพร่องไขมันก็คือยังมีไขมันอยู่ แต่น้อยกว่าปกติเท่านั้นเอง

    มีการนำเอาเด็กนักเรียนโรงเรียนนานาชาติในจังหวัดเชียงใหม่มาตรวจหาระดับไขมันในเลือดดู พบว่าเด็กเหล่านี้ที่ถูกเลี้ยงดูให้กินนมต่างน้ำ มีไขมันสูง ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปีสูงถึง 25% อายุ 6-15 ปีมีถึง 70% และระดับไขมันก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุ นั่นหมายความว่าเด็กเหล่านี้เริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มสาว เขาก็มีปัญหาไขมันอุดตันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    นมวัวเพิ่มความเสี่ยงต่อภูมิแพ้ - ไซนัสอักเสบ - หอบหืด

    นมวัวเพิ่มความเสี่ยงต่อภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ และหอบหืดในคนไทยด้วย เพราะว่าพันธุกรรมของคนไทยนั้นมักจะแพ้ต่อนมวัว เคยมีการวิจัยในอาสาสมัครคนไทยที่ให้ดื่มนมวัวแล้วนำมาส่องดูเยื่อบุโพรงจมูกและเยื่อบุลำไส้ พบว่าคนเหล่านี้มีอาการบวมของเยื่อบุโพรงจมูกและลำไส้ถึง 100%

    ดื่มนมเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี

    เนื่องจากนมเป็นสาเหตุที่สำคัญของไขมันในเลือดสูง ดังนั้นนมจึงมีส่วนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคนิ่วในถุงน้ำดีได้ด้วย ทั้งนี้นิ่วในถุงน้ำดีบางส่วนเกิดจากการที่มีสมดุลของน้ำดีและไขมันผิดปกติ ทำให้น้ำดีตกตะกอนเป็นนิ่วได้

    ดื่มนม...มะเร็งอาจถามหา

    นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1950-1975 หลังญี่ปุ่นแพ้สงคราม นักวิจัยชาวญี่ปุ่นพบว่าคนญี่ปุ่นดื่มนมเพิ่มขึ้น 15 เท่า กินเนื้อสัตว์เพิ่ม 7.5 เท่า ผลก็คือในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้หญิงญี่ปุ่นป่วยเป็นโรคมะเร็งปอด มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้มากกว่าเดิม 300% ซึ่งตรงกับงานวิจัยของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติอเมริกาที่ว่า อาหารไขมันอิ่มตัวสูงเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งเต้านม

    การประชุมกองทุนวิจัยมะเร็งโลก (WCRF) และสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐ (AICR) ก็มีงานวิจัยการสรุปออกมาเหมือนกันว่านมเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งของมะเร็ง แต่ด้วยความเกรงใจบริษัทที่มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้ ก็เลยมีการแก้ไขถ้อยคำให้รุนแรงน้อยลงหน่อยว่า นมอาจจะเป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็ง

    นมไม่ใช่แหล่งอาหารที่ดีที่สุด

    การวิจัยว่าการที่ชาวตะวันตกเกิดโรคมากมายมีผลมาจากการดื่มนม 150 ลิตร/ปี หรือเฉลี่ยคือการดื่มนมมากเกิน 1.6 แก้ว/วัน แต่อย่าลืมนะว่าฝรั่งน่ะตัวใหญ่กว่าเรานะ ดังนั้นการออกมารณรงค์ให้คนไทยที่ดื่มนมวันละ 1 แก้วก็นับว่ามากจนเกินไป
    จะกินดื่มอะไร ถ้าไม่ให้ดื่มนม(วัว)

    มีคนถามว่า ถ้าการดื่มนมวัวน่าจะเกิดโทษมากกว่าเกิดประโยชน์ ถ้าเช่นนั้นเราจะกินดื่มอะไรกันดี

    เด็ก นมแม่มีประโยชน์ที่สุด การเข้ามาของผลิตภัณฑ์นม ทำให้แม่ลดการให้นมลูกเองเหลือเพียง 4 % กรณีที่แม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน แม่สามารถกลับมาป้อนนมได้ในตอนเย็นและค่ำ หลังจากนั้นปั๊มน้ำนมเก็บใส่ตู้เย็นไว้ เพื่อให้คนที่บ้านป้อนเด็กในตอนกลางวัน

    การให้นมแม่ประหยัดเงินได้มาก ลูกมีภูมิต้านทานดี ไม่เจ็บป่วยง่าย เด็กที่เติบโตด้วยนมแม่จะอารมณ์ดี

    นมวัวมีกรณีให้เลือกสถานเดียว คือกรณีที่แม่ไม่มีน้ำนมพอให้ลูก ก็อาจพิจารณาให้นมวัวที่ปรับสภาพให้ใกล้เคียงนมแม่ ให้ดื่มจนครบ 1 ขวบแล้วให้เลิกเสีย โดยให้กินอาหารอย่างอื่นแทน อีกทางหนึ่งคือ ให้เลี้ยงลูกด้วยนมถั่วเหลือง โดยเฉพาะพ่อแม่ที่มีประวัติเป็นภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเกิดภูมิแพ้มากขึ้นถ้าให้ดื่มนมวัว

    ส่วนเด็กเล็กและเด็กโตกินอาหารธรรมชาติ โดยไม่ต้องดื่มนม แต่ถ้ายังไม่สบายใจ พ่อแม่ก็อาจจะให้ลูกดื่มนมถั่วเหลือง ซึ่งก็มีโปรตีนใกล้เคียงกับนมวัว ถ้าจะเปรียบเทียบแหล่งโปรตีนแล้ว กินหมูกินไก่ก็ได้โปรตีนทั้งคุณภาพและปริมาณ
    - นมวัว 1 แก้ว ให้โปรตีน 8.5 กรัม
    - นมถั่วเหลือง 1 แก้ว ให้โปรตีน 7 กรัม
    - น่องไก่ 1 ชิ้น ให้โปรตีน 18.8 กรัม

    หญิงมีครรภ์ หญิงมีครรภ์ต้องการแคลอรี โปรตีน กรดไขมันจำเป็น แคลเซียม ธาตุเหล็ก กรดโฟลิก วิตามินต่างๆ แต่คุณแม่ต้องรู้ว่าไม่ต้องการสารเหล่านี้เป็น 2 เท่า เพราะเด็กในครรภ์ตัวเล็กกว่าแม่ 15 เท่า ถ้าขืนกินเข้าไปแบบยัดทะนาน ก็รังแต่จะไปพอกพูนที่ตัวแม่ การดื่มนมอย่างมากมายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แม่อ้วนหลังคลอด

    แคลอรีที่ดีต้องเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้องซึ่งจะใช้เป็นเรี่ยวแรงได้อย่างหมดจด
    โปรตีน ถ้ากินไก่ ไข่ หมู กุ้ง ปลา ก็ได้โปรตีนเพียงพอ สามารถดื่มนมถั่วเหลือง และข้าวกล้องก็ให้โปรตีนด้วย
    - เนื้อไก่ส่วนอก 1 ชิ้น (100 กรัม) ให้โปรตีน 11 กรัม
    - ไข่ไก่ 1 ฟอง ให้โปรตีน 10 กรัม
    - ปลา 1 ชิ้น (100 กรัม) ให้โปรตีน 21 กรัม
    - หมูเนื้อแดง 1 ขีด ให้โปรตีน 14 กรัม
    - เต้าหู้ 100 กรัม ให้โปรตีน 13.3 กรัม
    - นมถั่วเหลือง 1 แก้ว ให้โปรตีน 7 กรัม
    - ข้าวกล้อง 2 ทัพพี ให้โปรตีน 15.6 กรัม

    แคลเซียม อาหารไทยมีแคลเซียมมากมายไม่ต้องพึ่งนมวัว เช่น กุ้งแห้ง กุ้งฝอย ปลากรอบ มีปริมาณแคลเซียมสูงกว่านม 13-23 เท่า ถ้าคุณแม่ตั้งครรภ์กินเต้าหู้วันละ 1 แผ่น กับกุ้งชุบแป้งทอดวันละ 1 ชิ้น เท่ากับได้ดื่มนมวันละ 2 แก้ว

    ธาตุเหล็ก ใช้สร้างเม็ดเลือดแดง เราได้รับจากเนื้อสัตว์ ตับ ไข่แดง ถั่วงอก ผักบุ้ง ผักใบเขียว

    กรดโฟลิก ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง และสำคัญในการพัฒนาระบบประสาท มีมากในผักใบเขียว แคนตาลูป แครอท ตับ ไข่แดง ฟักทอง ถั่วต่างๆ

    วิตามิน เกลือแร่ และสารผัก ช่วยจรรโลงขบวนการเคมีทั้งในแม่และทารก ช่วยเสริมภูมิต้านทาน เป็นฮอร์โมนเสริมสำหรับบำรุงครรภ์ มีในผักสด ผลไม้ต่างๆ ต้องรู้จักกินผักให้หลากหลาย ผักพื้นบ้าน เครื่องแกง เครื่องสมุนไพรต่างๆ

    กรดไขมันจำเป็น ช่วยเสริมระบบฮอร์โมน ระบบสืบพันธุ์ให้ทำงานดี ทำให้ผิวพรรณผ่องใส มีอยู่ในน้ำมันปลา น้ำมันดอกพริมโรส น้ำมันเมล็ดฝ้าย

    ถ้าคุณแม่ต้องการดื่มนม ให้ดื่มนมถั่วเหลือง พร้อมโรยงาดำคั่ว วันละ 1-2 แก้ว ก็จะได้ทั้งโปรตีนและแคลเซียมเพียบพร้อม

    สำหรับสตรีวัยทอง และผู้สูงอายุ ที่เสี่ยงต่อโรคกระดูกผุ เป็นจุดขายของผลิตภัณฑ์นมแคลเซียมสูง สำหรับอาหารไทยเรา มีแคลเซียมอยู่มากมายดังเช่น ปลาร้าผง กุ้งแห้งตัวเล็ก กะปิเคย งาดำคั่ว กุ้งฝอยน้ำจืด ถั่วแดงหลวง ใบชะพลู มะขามฝักสด แคยอดอ่อน ผักกระเฉด สะเดายอดอ่อน เม็ดบัวดิบ ถั่วเน่าแห้ง เต้าหู้ขาวอ่อน ผักคะน้า ถั่วเหลือง ปลาไส้ตัน จะเห็นได้ว่าถ้าขยันกินอาหารไทยๆ จะไม่ขาดแคลเซียมทั้งคนทั่วไป และผู้สูงอายุเลิกดื่มนม(วัว)เสียแต่วันนี้ ร่างกายแข็งแรง ไร้โรคภัยแน่นอน
    ที่มา LadeTip

    <!-- google_ad_section_end -->
     
  20. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446

แชร์หน้านี้

Loading...