ไม่ใช่นะครับที่มักกล่าวว่า “สมถะเหมือนการหลบภัย วิปัสสนาเหมือนการผจญภัย”

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 26 พฤษภาคม 2009.

  1. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    ท่านธรรมภูต หายใจเข้าอย่างเดียวหรือหายใจออกอย่างเดียวล่ะ หายใจเข้าหรือออก วิทย์เขาบอกเป็นการแลกเปลี่ยนคาร์บอนกับออคซิเจน แต่นานาเห็นการเกิดดับนี้ นานาเอาลงไตรลักษณ์อีก มีเกิด มีตั้งอยู่ ดับไป พิจารณาแบบนี้ทีละขั้น ถ้าไ่ม่พิจารณาไตรลักษณ์ที่ลมหายใจ มีอะไรอีกล่ะี่ที่จะพิจารณาได้ชัดเจนยิ่งกว่า ผิดมากไหมที่คิดแบบนี้
    มองต่างมุม


    นานาจิตตัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2009
  2. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    ในพระไตรปิกฏข้อบอกไว้นะ การพูดบอกกล่าวต้องละมัดระวังหากผู้อ่านไม่มีอุเบกขา จะเป็นเวรกรรรมต่อกัน
     
  3. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    นานาผิดเอง แหล่ะที่ถามท่านพูดต่อ

    นานาเคยเจอเขาโพสไว้ เลยเอามาจำไว้ว่า
    พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง

    มันแปลว่าอะไรคะท่านภูต?!!
     
  4. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ในการปฏิบัติของเราจำเป็นที่จะต้องเข้าถึงฌานหรือไม่ครับ

    ไม่ ฌานไม่เรื่องจำเป็น ท่านต้องฝึกจิตให้มีความสงบและมีอารมณ์เป็นหนึ่ง (เอกัคคตา) อาศัยอันนี้สำรวจตนเองถ้าท่านได้ฌานในขณะฝึกปฏิบัตินี้ก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่อย่างไปติดหลงอยู่ในฌานหลายคนชะงักติดอยู่ในฌานมันทำให้เพลิดเพลินเมื่อ ไปเล่นกับมัน ท่านต้องรู้ขอบเขตที่สมควร ถ้าท่านฉลาดท่านก็จะเห็นประโยชน์และขอบเขยของฌาน


    http://palungjit.org/threads/แนวทางการปฏิบัติธรรม-หลวงพ่อชา-สุภัทโท.191104/
     
  5. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    นานา ไม่พูดระบบการศึกษาดีกว่าในบอร์ด มันเสี่ยงต่อผลกระทบมากมาย เพราะอะไรรู้ไหนมีการจัดลำดับคอรัปชั่น ท่านไปหาอ่านเองนะ ถ้ามีโอกาส นานาทำภาระกิจทางโลกของนานาเสร็จอีกไม่กี่เดือน
    นานาจะขอโอกาสเชิญท่านภูตและเพื่อนท่านภูต มาเป็นวิทยากรสักหน่อยนะ
    ไม่ว่ารู้ท่านจะสะดวกไหม

    มีประโยคหนึ่งของคนเรียนแพทย์ที่ต้องตระหนัก หากหมอดี ยาดี แต่คนไข้ไม่รับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง กับคนไข้ที่สามารถรักษาตัวเองได้โดยใช้วิธีธรรมชาติและประสบการณ์ของตัวเอง ไม่ได้ อันนี้สู้ไม่ได้จริง ไม่รูว่าท่านภูตฟังพอจะเข้าใจไหม ไม่น่าเกินกำลังนะ

    ที่สำคัญนานามองว่าเรากำลังพูดเรื่องเดียวกัน ทางโลกกับทางธรรมไม่ได้แยกกันเลยสักนิด
     
  6. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    ตอบท่านธรรมภูต

    แต่ที่แน่ื ๆ นานาคิดว่านานาจำไม่ผิด เป็นเพราะท่านเคยปรามาสพระปัจเจก
    ท่านเลย ต้องใช้เวลาตั้ง 6 ปี ก่อนจะตรัสรู้ เดียวนานาจะหาหลักฐานมายืนยันทีหลังนะ

    http://www.bp-smakom.org/BP_School/Social/Bud-birth.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2009
  7. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852

    เอาอย่างนี้ดีกว่า ท่านเอกวีร์ได้ยินกิติศัพท์มานานแล้ว

    ฝึกแนวสุกขวิปัสสโก ไม่ต้องทำฌาน
    แต่ก็ช่วยไม่ได้ถ้าบรรลุวิปัสสนาญาณ และ ฌานได้เกิดขึ้นขณะนั้น

    ก็จะเป็นพระอรหันต์มีฤทธิ์
     
  8. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    การเจริญสติเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต



    [​IMG]
    “พุทธรรมกับเป้าหมายชีวิตมนุษย์นั้นถือได้ว่าเป็นอันเดียวกัน” ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ด้วยการพัฒนาจิต เจริญสติให้มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม จนเป็นวิปัสสนาญาณ รู้เท่าทันความคิด ไม่เข้าไปอยู่ในความคิด ออกจากความคิดได้อย่างสิ้นเชิง มีปัญญาทำลายอุปาทานนั้นเสีย หายสงสัยไม่หลงสร้างสมมุติ ภพ ชาติ ไว้เป็นกับดักกักขังจิตตัวเองต่อไป
    <o:p></o:p>
    การเจริญสติแนวนี้ พูดง่าย ฟังง่าย แต่เข้าใจยาก เพราะความเข้าใจในวิธการ นี้เน้นองค์ความรู้ที่ได้แบบประจักษ์แจ้งผุดขึ้นจากจิตชนิดที่มันเป็นเอง อันสืบเนื่องมาจากการที่ได้เจริญสติปัฏฐานสี่อย่างจริงจังต่อเนื่องและถูก ต้อง “เฝ้าดูอาการกายเคลื่อนไหว เฝ้าดูอาการใจที่คิดนึก” ฝึกสติให้ทำหน้าที่รู้ทุกข์โดยตรง ให้รู้เท่าทันแบบเป็นธรรมชาติ จนกระทั่งตัวรู้นี้ตื่นโพลง จิตใจสว่างรู้ทุกข์อย่างแจ่มแจ้ง อายตนะเปิดกว้าง จิตจะเห็นความจริงในจิต เข้าใจจิตเดิมแท้ของตัวเองที่ไม่ถูกปรุงแต่งว่ามันเป็นอย่างไร ที่มันทุกข์เพราะอะไร ทุกข์ที่เกิดแล้วจะดับอย่างไร และที่ยังไม่เกิดจะป้องกันได้อย่างไร จะรู้เองเห็นเอง
    <o:p>
    </o:p>
    ผู้ร่วมปฏิบัติในวิธีการนี้มีผลการตอบรับเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนภายในระยะเวลาอันใกล้ แม้ว่าจะแตกต่างกันด้วยสมมุติสถานภาพทางสังคม เพศ วัย การศึกษา อาชีพหรือแม้กระทั่งความเข้าใจพื้นฐานต่อเป้าหมายของการปฏิบัติ แต่ก็หาได้เป็นอุปสรรคต่อการรู้ธรรมอย่างใดไม่ ส่งผลต่อคุณภาพของการดำเนินชีวิตเป็นอย่างมากเพราะเหมือนชีวิตได้ประทีปส่องทาง หรือของที่ปิดมานานแล้วถูกเปิดเผย ของที่คว่ำกลับทำให้หงายได้หรือเหมือนดังเช่นผู้หลงทางแล้วได้รับการชี้บอก ซึ่งหากน้อมใจ ลงมือพิสูจน์กันจริงจังอย่างต่อเนื่องและถูกต้อง ย่อมได้รับอานิสงส์คือความสิ้นทุกข์อย่างแน่นอน.
     
  9. ศิษย์เซียน

    ศิษย์เซียน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2009
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +9
    บางครั้งตอนนั่งอ่านหนังสือ หรือทำอะไรไปเรื่อยๆจิตใจจะร้อนมากเหมือนกับโดนไฟเผาใจจนไหม้ไม่ทราบว่าเกิตจากสาเหตุอะไรได้บ้างครับ จะแก้ไขได้บ้างไหมครับ
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คุณศิษย์เซียน ถ้าเป็นเรา จะดูจิตใจที่มันร้อนเหมือนถูกไฟเผาไหม้ อยู่นั้น
    เหมือนดูหนัง ดูทีวี จะไม่เข้าไปแก้ หรือหาทางหยุดมัน เพราะว่า ถ้าเราไปทำ
    อย่างใดอย่างหนึ่ง เราจะลืมตัว ลืมดูจิตใจที่มันร้อน สำหรับเรานะไม่รู้คนอื่นจะ
    เป็นอย่างเราไหม ถ้าเราดูจิตใจที่มันทิ่มแทงเราอยู่ แล้วเรารู้สึกตัวขึ้นมาได้ อาการ
    ที่แสดง มันจะหายไปเอง เหมือนคนที่เกร็งหรือกลัว แล้วจิกเล็บที่มือ พอรู้สึกตัวว่า
    จิกเล็บเข้าเนื้อตัวเองอยู่ พอรู้สึกเจ็บ มันก็รู้สึกตัวว่า เพราะจิกเล็บเอง มันก็เจ็บเนื้อตัวเอง
    มันก็คลายออกเอง เหมือนกับจิตใจที่มันร้อนเหมือนถูกเผานั้น ถ้าเราดูมันไปโดยไม่เข้าไป
    แทรกแซง ไปแก้ไขมัน เราดูมันเฉยๆ สักพักจะรู้สึกตัวขึ้นมาเอง ถ้าเราไม่ดูเฉยๆ เราจะไม่
    เห็นตัวเอง ไม่รู้สึกตัวเอง แล้วจะหลงไปค้นหา ไปสืบว่าอะไร ที่ไหน อย่างไร ไปเรื่อย
    ไม่รู้ จะช่วยคุณได้ไหม

    ถ้าให้เราเดานะ เราว่าจิตคุณมันลืมตัว ก็เลยทำร้ายตัวเอง แบบว่าจิตมันทำโดยอัตโนมัติ
    ว่าพออ่านหนังสือแล้ว ต้องเผาหัวตัวเอง แบบว่าจิตเขาสำคัญผิดไป แต่เกิดได้ยังไง หรือ
    ตั้งแต่เมื่อไร ก็ไม่รู้นะ ประมาณว่าเป็นวิบากกรรม คุณคงไปทำอะไรมาซักอย่าง ทำให้จิต
    เขาเกิดอาการอย่างนี้ ถ้าคิดว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรมาทวงนะ ก็ลองทำบุญอุทิศส่วนกุศล
    ช่วยไปอีกแรง จะได้เพิ่มกำลังใจให้ตัวเอง เผื่อจะเรียกพระสติกลับมาได้เร็วขึ้น

    อยากช่วยคุณนะ แต่ไม่รู้จะช่วยได้ไหม
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านศิษย์เซียนฯ ครับ ผมขอเสนอแนะแบบง่ายๆ ลองทำดูนะครับ
    เมื่อสภาวะนั้นเกิดขึ้น มีอาการจิตใจจะร้อนมากเหมือนกับโดนไฟเผาใจจนไหม้

    ท่านลองหยุดการงานที่ทำอยู่ชั่วขณะ แล้วลองสูดลมหายใจเข้าช้าๆลึกๆ
    อั้นไว้สักครู่ ปล่อยลมหายใจออกช้าๆ เบาๆ ทำแบบนี้ติดต่อกันสัก๓ครั้ง
    แล้วดูว่าเย็นลงมั้ย ถ้าไม่เย็นลงแสดงว่า ท่านไม่ได้มีสติจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจเข้า-ออก

    คราวนี้ทดลองใหม่หายใจเข้า-ออกเหมือนเดิม ช้าๆสัก๓ครั้ง
    ถ้าเย็นลงก็อาศัยขณะจิตที่เย็นลงสำรวจดูว่าเพราะอะไร

    ใหม่ๆอาจยังแยกสิ่งที่มาทำให้เกิดอาการนั้นไม่ได้ชัดเจน
    เมื่อฝึกฝนดูลมหายใจเข้า-ออกด้วยสติต่อเนื่องๆเนืองๆแล้ว
    ย่อมหาสาเหตุได้พบเองครับ

    ;aa24
     
  12. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    ลองฟังเพลงนี้ดูครับ
    ...อาการฟุ้งๆจนเหมือนไฟไหม้ ใจลุกรี้ลุกลน อยู่ไม่ถูก เหมือนมันกระสับกระส่าย หาก รู้ทัน สติมันจะไประลึกได้เหมือนมีอะไรวิ่ง แถวลำไส้ กระเพราะอาหาร ถุงน้ำดี เวียนไปเวียนมาเพี๊ยวๆ เป็นระยะ หากกำลังสมาธิมีมันจะดูได้ ทนอยู่ได้ สาเหตุมีหลายกรณี..
    1. คนนินทาว่าร้าย
    2. คนคิดถึง ห่วงหา
    3. ศีลด่างพร้อย
    4. เกิดจากพลังงานรอบๆตัวที่หยาบ และละเอียด
    5. ไปถวายสัจจะที่ไหนไว้หรือให้คำมั่นสัญญาที่ไหนไว้แล้วไม่ทำตาม
    6. จิตไม่ได้กินข้าว (ทำสมถะ) เป็นต้นฯ

    การ ทำสมถะ ด้วยการสวดมนบท ยาว ๆเช่นธัมมะจัก แล้วต่อด้วยอิติปิโส 108 พาหุงมหากา แต่ต้องฝืนสวดด้วยนะ
    หรือไม่ก็ไปถวายสังฆทาน อาจช่วยได้บ้าง

    หรือหายใจเข้ายาวๆ แรงๆ หายใจออกยาวๆแรงๆ แบบทำเร็วๆ ซักสี่ห้ารอบก็พอช่วยได้ชั่วขณะแต่ จะไม่รู้เหตุ
    ...หากฝึกระลึกรู้ทัน ที่ใจเราตอนมันฟุ้ง แล้วทำได้บ่อยๆ จะเริ่มไปเห็นเหตุเอง ..ก็ลองดูไปว่า เวลาจิตมีกำลัง เวลาฟุ้ง ค่อยๆหยั่งตามรู้ก็ได้ แต่ไม่จ้อง ให้รู้แบบผ่านๆ แต่ให้ได้บ่อยๆ
     
  13. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    อาจเป็นเพราะคุณเป็นคนขี้หงุดหงิดบ่อย ปล่อยให้โทษะ เข้าแทรกได้ง่าย เห็นอะไรไม่ชอบใจบ่อยๆ ก็ได้นะหรือฉันมองผิดก็ได้ นัยหนึ่งส่วนใหญ่จะสมาธิสั้น
    ดังนั้น ควรตั้งต้นที่ลมหายใจคุณนั้นแหล่ะ ให้เดินปกติไม่ช้าหรือเร็วจนเกินไป
     
  14. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ดูมันไปเลย มันร้อนขึ้นมา ระลึกรู้ว่าร้อน แต่ไม่ต้องไปเติมรู้ ว่าร้อนเพราะอะไร ให้
    ฝึกระลึกรู้ว่าร้อน เป็นความร้อนเป็นของถูกรู้ถูกดู เดี๋ยวมันก็มา เดี๋ยวมันก็ไป จะมาก็
    ระรู้ว่าร้อน(โดยไม่ต้องไปบริกรรม) ใช้ใจรู้สึก พอไม่ร้อนก็ให้รู้ว่าไม่ร้อน แล้วตาม
    ดูจิตยินดี ยินร้าย ที่มันจะเกิด ทำให้รู้สึกวูบๆ วาบๆ ไหลไปไหลมายังกับไส้มันไหล
    ยังกับมีอะไรไหลในกาย ก็ระลึกรู้ไปแทนรู้ความร้อน เรียกว่า รู้ลงปัจจุบันไป ดูอย่าง
    นี้ไปเรื่อยๆก่อน ยังไม่ต้องเติมรู้ เพราะยังไม่มีฐานะจะเจริญปัญญ การตามรู้เรื่อยๆ
    ตรงนี้เป็นการฝึกสติ ภาวนาเจริญสติก่อน

    เมื่อเห็นความร้อนก็ดี อะไรไหลในกายก็ดี ให้มองเป็นของถูกรู้ถูกดู หรือ ขันธ์5 หรือ
    อุปทานขันธ์ได้ จะเกิดสติเนืองๆ เมื่อเกิดสติเนืองๆ จะรู้ว่า ตนคือผู้สังเกตการณ์ หรือ
    เป็นผู้รู้ ผู้ดู ไม่ใช่ ผู้ร้อน ผู้เลื่อน อีก เมื่อนั้นจะเกิดการแยกระหว่าง ผู้รู้ กับ สิ่งที่ถูกรู้

    คือ สามารถแยกได้ว่า นี่จิต(ที่เป็นผู้รู้ หรือ ใจ) กับ อารมณ์(สิ่งที่จิตไปรู้เข้า)

    ทำเนืองๆ ให้สติ เกิดบ่อยๆ ถี่ๆ ผู้รู้ผูดูจะค่อยๆเด่นดวงขึ้น ตั้งมั่นมากขึ้น เมื่อไหร่
    ที่ผู้รู้ ผู้ดู ตั้งมั่นในการดู ไม่จมไปกับความร้อน การเคลื่อนไหว ก็เรียกว่า มีสัมมาสมาธิ
    เมื่อนั้นถึงจะควรวิจัยธรรม จะมีฐานะเจริญปัญญาได้ ให้เติมรู้เอาตอนนี้ แต่อย่า
    เพลินเติมรู้ เราเติมรู้ก็แค่เพื่อทบทวนเท่านั้น

    คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้(ไม่เกิดจิตผู้รู้) เมื่อหยุดคิดจึงรู้(หยุดเติมคิดจึงเกิดสติตามรู้) แต่
    ต้องอาศัยคิด(ธรรมวิจัย) แต่อย่ายึดในรู้นั้น(อย่าหยุดที่การวิจัย) ให้รู้ลงเป็นปัจจุบัน
    (รู้ตัวทั่วพร้อม) มีสติตั้งมั่น(สัมมาสมาธิ) พิจารณาในไตรลักษณ์ของสภาวะธรรมที่
    กำลังปรากฏ

    * * *

    การอ่านหนังสือ : เป็นการทำสมถะ ศิษย์เซียน อ่านหนังสือแล้ว เกิดความสุข ทำให้จิต
    รวมลงสู่ความสงบ จะเห็นว่า ความสุขเป็นเหตุให้เกิดความสงบ

    เมื่อสงบแล้ว : จึงไปรู้สังขารธรรมในกายในใจ จากที่ไม่เคยเห็น ก็ได้เห็น จึงรู้ว่ามี
    ร้อน มีเคลื่อน มีผลัก มีดัน มีชอบใจ มีไม่ชอบใจ เห็นอะไร ก็เอามาอาศัยระลึกใน
    การเจริญสติ สติจะเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2009
  15. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    มหาประเทศ ๔

    ธรรมะข้อนี้ พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนพระภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาไว้
    ด้วยมีพระญาณเล็งเห็นการณ์ไกล ว่า

    เมื่อพระองค์เสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานเสียแล้ว พุทธบริษัท ๔ จะได้มีหลักตัดสินว่า
    ธรรมวินัยข้อใดที่ใช่, ธรรมวินัยข้อใดที่ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระองค์

    ซึ่งพระพุทธองค์ทรงแสดงที่อานันทเจดีย์ บ้านโภคนคร ดังนี้คือ

    “ถ้ามีภิกษุมากล่าวอ้างว่านี่เป็นธรรม นี่เป็นวินัย
    พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น

    ครั้นแล้วให้พึงเรียนบทและพยัญชนะให้ดี
    แล้วนำไปสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย

    (แสดงว่าพระอภิธรรมปิฎกยังไม่มีในพุทธกาล)

    ถ้าหากลงในพระสูตรไม่ได้ เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้
    พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า
    นี่ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคย์แน่นอน และภิกษุนี้จำผิดมาแล้ว

    ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย

    แต่ถ้าสอบสวนลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้
    พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า
    นี่เป็นคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคย์แน่นอน และภิกษุนี้จำมาถูกต้องแล้ว”.


    จากมหาประเทศ ๔ ที่ได้ทรงแสดงในพรรษาสุดท้าย
    แสดงว่าพระพุทธองค์มีพระญาณแลเห็นการณ์ไกล
    จึงได้ทรงวางหลักเพื่อให้พุทธบริษัทได้ใช้
    สำหรับวินิจฉัยธรรมของพระองค์ซึ่งมีอยู่มากมายได้.

    ถ้าหากมีผู้บัญญัติธรรมะข้ออื่นแปลกปลอม,เพิ่มเติม,ดัดแปลง,
    หรือตัดทอนให้ผิดไป, เกินไป, เพี้ยนไป, คลาดเคลื่อนไปจากเดิมแล้ว
    จะได้มีหลักสำหรับตัดสินอย่างถูกต้อง.

    หลักฐานอีกประการหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงตรัสกับพระอานนท์
    โดยทรงปรารภถึงพระสาวกว่า

    “โยโว อานนฺท ธมฺโม จ เทสิโต วินโย จ ปญฺญตฺโต, โส มม อจฺจเยน สตฺถา
    แปลว่า
    ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยใด ที่เราได้แสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่เธอทั้งหลาย,
    ธรรมและวินัยนั้น จักเป็นศาสดาแทนเรา ปกครองท่านแทนเมื่อเราล่วงลับไปแล้ว”.


    ดังนี้ แสดงว่า พระอภิธรรมปิฎก ยังไม่มีในครั้งพุทธกาลอย่างชัดแจ้ง
    .

    (smile)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2009
  16. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2009
  17. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    พระอภิธรรมปิกฏไม่ใช่อยู่ในตู้ แต่มันอยู่ในตัว นอกเหนือจากนั้น เรียกว่าการเทียบเคียง
    ถ้าสัญญา เป็น สัญญา ต่อไปจะไม่ได้ปัญญา
    แต่ถ้าสัญญา เป็น ปัญญา เราจะวิปัสสนาด้วยสัมมาทิฐฐิ

    เหมือนสังคมโลก ถ้าเราเป็นคนดี เราไม่จำเป็นต้องกลัวกฏหมาย แต่เรามีกฏหมายไว้เป็นที่พึ่งของเรา
     
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ครับท่านนานาฯ ท่านพูดถูกแล้วครับ
    ผมเห็นด้วยครับว่า เป็นการดูไตรลักษณ์ที่ลมหายใจเข้าก็รู้-ออกก็รู้

    ที่ผมต้องการคำตอบก็ตรงนี้แหละครับว่า
    ที่เห็นการเกิด-ดับนั้น เป็นการเห็นการเกิด-ดับของลมหายใจ
    แต่จิตไม่ได้เกิด-ดับ เพราะจิตเป็นธาตุรู้ ย่อมต้องยืนตัวรู้อยู่เสมอ
    จึงรู้อยู่เห็นอยู่ว่าลมหายใจเท่านั้นที่เกิด-ดับ

    ;aa24
     
  19. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ครับท่านนานาฯ ท่านพูดถูกแล้วครับ
    ผมเห็นด้วยครับว่า เป็นการดูไตรลักษณ์ที่ลมหายใจเข้าก็รู้-ออกก็รู้

    ที่ผมต้องการคำตอบก็ตรงนี้แหละครับว่า
    ที่เห็นการเกิด-ดับนั้น เป็นการเห็นการเกิด-ดับของลมหายใจ
    แต่จิตไม่ได้เกิด-ดับ เพราะจิตเป็นธาตุรู้ ย่อมต้องยืนตัวรู้อยู่เสมอ
    จึงรู้อยู่เห็นอยู่ว่าลมหายใจเท่านั้นที่เกิด-ดับ

    ;aa24
     
  20. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านก็ถือว่าเมตตาต่อคนเหล่านั้นก็แล้วกันครับ ถ้าคิดว่าดีมีประโยชน์แล้ว
    ควรเห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าครับ

    ;aa24
     

แชร์หน้านี้

Loading...