ไม่ใช่นะครับที่มักกล่าวว่า “สมถะเหมือนการหลบภัย วิปัสสนาเหมือนการผจญภัย”

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 26 พฤษภาคม 2009.

  1. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    การจับผิดคนอื่นมันง่ายเสียยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ

    การดูคนอื่นมันง่ายเสียยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก

    การดูตัวเองส่วนใหญ่ก็มีข้ออ้างว่าทำไม่ได้

    สำหรับพี่ศรีว่าไม่ได้ทำซะมากกว่า
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    พวกเขา ไม่เห็นความสำคัญ ของการดูตัวเอง รู้ตัวเอง
    พวกเขา เห็นความสำคัญของความรู้ที่ได้และยึดไว้ว่าถูกแล้ว ไม่มีสิ่งอื่นยิ่งกว่านี้
    ไม่เห็นความสำคัญของปัญญาในตัวตน เห็นว่าการเรียนรู้กิเลส รู้กาย รู้ใจ ของตน
    คือคำสอนที่ผิดพลาด ผิดไปจากคำสอนของพระพุทธองค์
     
  3. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    ขอบคุณค่ะ พี่ศรี ที่เล่าให้ฟังเป็นวิทยาทานค่ะ อนุโมทนาค่ะ
     
  4. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    k.ขวัญ การฝึกตนให้ได้ที่พึ่งอันได้ยากสำคัญกว่า

    ไปโทษคนอื่น โทษตนอยู่ไหน เห็นบ้างไหม

    พี่ศรีฝึกตนเองจนได้ที่พึ่งอันได้ยากก่อน จึงทำในสิ่งที่พี่ศรีรัก

    ไม่มีใครผิดจากคำสอนของพระพุทธองค์หลอก

    ทุกคนก็ลองผิดลองถูก ลองจนถูกจริตของตนนั่นแหละดี
     
  5. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2009
  6. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ....
     
  7. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    สหายธรรมคงเคยได้ยินบางคนชักชวนพิจารณาใคร่ครวญ วิปัสสนา ว่าเป็นเรื่องการหยิบ
    เรื่องราวโลกๆ ที่เราติดข้อง เช่น พ่อตาตาย แม่ยายเตะ คู่ชีวิตทิ้ง ใครๆก็ไม่รัก พัดลมยัง
    ส่ายหน้า ให้คิดกลับไปกลับมาจนเบื่อที่จะคิด แล้วสรุปว่า เห็นอวิชชาจึงทำให้เลิกคิดลง
    ได้ ให้พิจารณาคำสอนนั้นใหม่ การพิจารณานั้นต้องมี อารมณ์รู้ที่ขันธ์5 ไม่ใช่รู้ที่
    เรื่อง คำว่า อารมณ์ นั้นหากไม่เข้าใจให้อ่านใน Link นี้ หากเข้าใจแล้วว่า อารมณ์
    คือสิ่งที่รู้ ระลึกรู้ วิปัสสนาจะเลือกอารมณ์รู้ขันธ์5 เท่านั้น ไม่ใช่รู้ที่เรื่อง ถึงจะเห็นอุปทาน
    ขันธ์5 และเห็นอวิชชาได้จริง ไม่ใช่นั่งคิดจนเมื่อยแล้วเลิกคิด แล้วบอกว่ามีนิพพิทายาน
    ต่องแต่ง แบบที่คนๆนั้นสอน

    มาอ่านธรรมของพระสังฆราชอีกสักครั้ง ...

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2009
  8. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230


    อ้าว! เป็นซะงั้น 555 เค้าให้ฉายาซะแว้ว.. เง้อ;aa54
     
  9. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230

    กำ..ยังกะสังเวียนชกมวย .... เง้อ


    rat_wting
     
  10. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    เรื่องของคุณ sriaraya5 น่าศึกษานะครับ
    ครูบาอาจารย์ผมท่านหนึ่งก็พูดและสอนเรื่องการถอดกายทิพย์เหมือนกัน
    ท่านถอดกายทิพย์ได้ครับ ถอดไปไหนต่อไหนก็ได้ ไปต่อรองกับพระยายมราช ขอต่ออายุให้ลูกศิษย์บางคนได้มีโอกาสทำดีต่อก็มีนะ และพระยายมราชท่านก็ยอมต่อให้ 3 วัน และเขาก็อยู่ได้จริง ๆ ทีแรกทำท่าจะไม่รอดแล้วนะ

    หลวงปู่ถอดกายทิพย์ได้คล่องแคล่ว
    แต่เมื่อคราวผมไปกราบท่านล่าสุด ท่านกล่าวออกไมค์ดัง ๆ เลยว่า
    ท่านยังไม่สำเร็จธรรม ด้วยเหตุที่ท่านไม่ได้ดูแลบุพพการี (ท่านบวชตั้งแต่เป็นสามเณรน้อย) แม้ยามพ่อแม่จะละสังขารจากโลกนี้ไป ท่านก็ไม่ได้ไปทำบุญเก็บกระดูกให้ กรรมอันนั้นทำให้ท่านไม่อาจบรรลุธรรมชั้นสูงได้ อันนี้เป็นสิ่งที่ท่านพูดออกมา จริง ๆ เมื่อสมัยผมอยุ่กับท่าน ท่านก็มักเปรยแบบนี้เสมอว่า ท่านยังไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ครับ แต่ลูกศิษย์หลายคนก็มักนึกว่าท่านไม่แสดงตน แต่การประกาศออกไมค์ในครั้งล่าสุดเมื่อ วันมาฆะบูชา ที่ผ่านมานั้น เหมือนประกาศอะไรบางอย่างให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาได้ทราบครับ อาจจะสอนอะไรอยู่ในที

    เวลาท่านปลุกเสก หรือแผ่เมตตา กระแสสัมผัสท่านจะเย็นนุ่มนวลมาก ๆ ครับ

    มีคราวหนึ่ง ผมได้ขอขมาและขออนุญาตสัมผัสกระแสจิตของท่าน (ท่านเป็นพระที่สามารถล่วงรู้วาระจิิตของคนได้เป็นอย่างดี) และได้กำหนดจิตนึกถึงองค์ท่าน ทำจิตให้ว่างอยู่กับปัจจุบัน ไม่หลงปรุงแต่ง ทันใดนั้น ผมก็สัมผัสกับกระแสอันสะอาดบริสุทธิ์ของท่าน มันให้รู้สึกถึงความใสสะอาดบริสุทธิ์มาก ๆ นะครับ บางทีก็งงเหมือนกันเรื่องนี้ เอาเป็นว่า พอคิดไปคิดมา ผมก็เลิกคิดครับ เพราะเราจะไปยุ่งจริยาของท่านทำไม ก็เลยจบข่าว แค่เล่าให้ฟัง ท่านกำลังสอนอะไรเราอยู่หรือเปล่า เท่านั้นเองครับ

    ขอบคุณครับ
     
  11. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    ครั้งสุดท้าย นั้นท่านสอนเยอะนะคะ ลึกซึ้ง ลึกซึ้ง
     
  12. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    ผึ้งว่าท่านมีเหตุผลของท่านที่ลึกซึ้งจริง ๆ
     
  13. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ท่านศรีฯๆ ตอนจิต(กายทิพย์)แยกจากกาย ..มีความรู้สึกมั๊ย(เวทนา)
     
  14. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192

    (การหาก็เป็นทุกข์แล้ว หาใจเราดีกว่า)
    ท่านนานาฯครับ การที่พระพุทธองค์ทรงออกผนวช<O:p
    เพื่อค้น “หา” อมตะธรรมใช่มั้ยครับ<O:p
    เป็นการหาทุกข์หรือเป็นการหาวิธีพ้นทุกข์ครับ<O:p
    <O:p
    ปัจจุบันธรรมคืออะไร ของนานาลมหายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้<O:p
    ท่านนานาฯครับ ต้องขอชมเชยจากใจจริงครับว่า
    เป็นคนอาจหาญมากยิ่งกว่าผู้ที่ชอบโชว์ภูมิรู้ชอบสอนอย่างเดียวเสียอีก<O:p
    ที่กล้าตอบทั้งที่ไม่ได้ถามเลย ดีครับที่ตอบมานั้นถูกครับ<O:p
    เพียงเป็นการรู้ปัจจุบันกาลเท่านั้น แต่ยังไม่จัดว่าเป็นธรรมครับ<O:p
    <O:p
    ไหนๆก็ตอบแล้วว่าปัจจุบันกาลเป็นอย่างไร?<O:p
    ก็ช่วยสานต่อให้ถึงปัจจุบันธรรม ซึ่งจัดว่าเป็นเรื่องความเป็นกลางที่แท้จริง <O:p
    <O:p
    ตามใจกิเลิศตัวเองก็หนักนะ จะให้ตามใจกิเลิศท่านอีกเหรอคะ<O:p
    ท่านานาฯครับ ผมระลึกไม่ออกจริงๆว่า<O:p
    ผมไปร้องขอให้ท่านมาให้ตามใจกิเลสตนเองเมื่อไหร่<O:p
    ทุกวันนี้ที่ต้องคอยซักซ้อมการเข้าถึงปัจจุบันธรรมวันละหลายรอบ<O:p
    เพียงต้องการลดทอนกิเลสตนเองลงเท่าที่จะทำได้<O:p
    เพื่อให้ความรู้เห็นที่เย็นสบายๆผุดขึ้นมาได้บ่อยๆเนืองๆ<O:p
    <O:p
    แค่ปัญญาท่านว่า วิมุตตินี่ สามารถไปนิพพานได้ไหมคะ ท่านขา<O:p
    ท่านานาฯครับ ที่พูดมานี่ต้องการอะไรกันแน่ครับ <O:p
    ผมไม่อยากคาดเดาครับว่า ท่านได้แล้วซึ่งปัญญาวิมุตติ<O:p
    หรือท่านที่ว่าได้ปัญญาวิมุตติกันแน่ครับ
    <O:p
    ผมขอตอบตามสไตล์ผมก็แล้วกัน<O:p
    ก่อนจะพูดถึงปัญญาวิมุตตินั้น ท่านๆที่กล่าวมาได้ซึ่งเจโตวิมุตติแล้วหรือครับ<O:p
    ถ้ายังเข้าไม่ถึงเจโตวิมุตติ อย่างคล่องแคล่วจนชำนาญเป็นวสีแล้ว<O:p
    อย่ามาพูดถึงเรื่องปัญญาวิมุตติเสียให้ยากเลยครับ พวกโม้อมตะทั้งนั้น

    <O:p
    นั้นซิ นานาก็อายนะ เห็นย้ำแล้วย้ำอีกอ่ะ
    เรียนทางโลก นานาเรียนตั้งแต่นานากำลังปฏิสนธิ จนปัจจุบันโตจนหมาเลียก้นไม่ถึงแล้วก็ยังจะเรียนอยู่ค่ะ จนกว่าลมหายใจสุดท้าย(น้าน)<O:p
    ดีครับท่าน ที่ยังรู้ตัวว่าต้องเรียนอยู่ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ตามประสาคนชอบฟัง<O:p
    แล้วมีข้อข้องใจว่า เรียนยังไงครับ?ตั้งแต่นานากำลังปฏิสนธิ<O:p
    เป็นไปได้หรือครับว่ากำลังปฏิสนธิอยู่นั้น ใช่เป็นการเรียนรู้ของท่านนานาหรือครับ<O:p
    <O:p
    แม้ปฏิสนธิแล้ว และอยู่ในครรภ์ตามกาลนั้นก็ยังเรียนรู้อะไรไม่ได้ครับ<O:p
    <O:p
    ผมขอทิ้งท้ายด้วยคำถามเพื่อประเทืองปัญญาว่า<O:p
    พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอนเพียงแค่เรื่องจิตกับอารมณ์เท่านั้นใช่มั้ยครับ<O:p

    ;aa24
     
  15. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    จากหนังสือจิตเป็นหนึ่ง
    พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)ศิษย์อาวุโสรุ่นแรกสุดของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายอรัญวาสี<O:p</O:p
    ได้มีบันทึกคติธรรมและธรรมเทศนา ของท่าน ชื่อหนังสือหลวงปู่ฝากไว้รวบรวมบันทึกไว้โดย พระโพธินันทมุนี<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    หลวงปู่ดูลย์เน้นเรื่องการปฏิบัติภาวนา ให้พิจารณาจิตในจิต จนรู้แจ้ง
    ท่านเทศนาแต่เพียงสั้นๆ แต่เฉียบคม ท่านสอนว่า
    <O:p</O:p
    หลักธรรมที่แท้จริงคือจิต
    จิตของเราทุกคนนั่นแหละคือ หลักธรรมสูงสุด ที่อยู่ในจิตใจเรา
    นอกจากนั้นแล้ว มันไม่มีหลักธรรมใดๆเลย ..
    ขอให้เลิกละการคิด และการอธิบาย เสียให้หมดสิ้น
    จิตในจิตก็จะเหลือแต่ความบริสุทธิ์ ซึ่งมีประจำอยู่แล้วในทุกคน”

    ;aa24
     
  16. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    อริยทรัพย์ พระธรรมเทศนาของ หลวงปู่ขาว อนาลโย

    การเจ็บปวดเมื่อนั่งสมาธิ พระพุทธเจ้าว่าให้สู้มัน มันจึงจะเห็นทุกขเวทนา
    นั่งสมาธิ มันเจ็บ ให้ดูมัน มันเกิดมาจากไหน
    เวทนามันก็เวทนาต่างหากไม่มีตัว เราก็พิจารณาให้รู้เท่านั้นแหละ ของไม่มีตนมีตัว


    มันเกิดขึ้น ก็เกิดจากร่างกายนี้ อย่างหนึ่ง แล้วมันก็รู้สึกถึงจิต รู้ถึงกัน
    จิตก็ไปยึด ยึดก็เจ็บ หนักเข้าไม่สู้มัน ต้องสู้มัน มันจะเห็น


    พระพุทธเจ้าว่ากำหนดให้รู้ทุกข์
    ทุกข์มาจากไหน
    ทุกข์มาจากเหตุ คือ อยากเป็น อยากมี ความอยากเป็น อยากมี


    ความอยากมันเกิดมาแต่เหตุ เหตุมันเกิดมาจากไหน
    เหตุเกิดมาจากความไม่รู้ ไม่รู้เท่ากาย จนกระทั่งความคิดทั้งหลายเข้ามามันก็ไม่รู้ทั้งนั้น
    คือ มันโง่ เรียกว่า อวิชชา


    เป็นเหตุให้สัตว์ผู้ไม่รู้เท่าเกิดความยินดียินร้าย
    เกิดความพอใจไม่พอใจ เกิดความอยากเป็นอยากมี
    เป็นเหตุให้วนเวียน เรียกว่า สังสารจักร วัฏฏกา เวียนอยู่อย่างนั้น
    เป็นเหตุให้เราเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในภพน้อยภพใหญ่


    กรรมดี เหมือนพวกคุณหมอก็ดี ไม่เจอะทุกข์ปานใด เกิดมาไม่เสียชาติเกิด
    เกิดเป็นมนุษย์มิหนำ ได้เกิดมาพบโอวาทคำสอนของพระพุทธเจ้า
    เกิดมาในปฏิรูปเทศ ประเทศอันสมควร คือประเทศมีพระพุทธศาสนา
    ประเทศมีนักปราชญ์อาจารย์เพื่อแนะนำสั่งสอน ประเทศอย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านว่าเป็นมงคล


    พวกท่านทั้งหลายท่านเป็นผู้ไม่ประมาท
    อตฺตสมฺมาปณิธิ ผู้ตั้งตนไว้ในที่ชอบ อาชีพเลี้ยงชีพภายนอกดีโดยชอบ


    ธรรมโอวาท คำสั่งสอน ก็ไม่ประมาท ทุกสิ่งทุกอย่าง
    มีการจำแนกแจกทาน มีการสดับรับฟัง
    แล้วก็ปฏิบัติตาม ดำเนินตาม โอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า


    ธรรมทั้งหลาย มี กาย กับ ใจ เท่านั้นแหละ
    ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า
    ใจที่มันรู้เท่าแล้วก็มีความเหนื่อยหน่ายต่อสิ่งทั้งปวง
    ทางความชั่วมันก็รู้เท่า แล้วมันก็เอาอยู่ นั่นแหละ
    ไปยึดภพน้อยภพใหญ่ อยู่นั่นแหละ


    พวกเรายังนับว่าไม่เสียที แม้ยังไม่มีความเบื่อหน่าย ก็ยังเป็นผู้ฉลาด
    เป็นผู้เอาทรัพย์สมบัติ คือ อริยทรัพย์
    ให้ได้เกิดให้มีอยู่ในหมู่ของตน อยู่ในสันดานของตน สะสมไว้


    มีต่อ

    ;aa24

     
  17. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    อัตภาพร่างกายเป็นของไม่มีสาระแก่นสาร
    ทรัพย์ภายนอกก็ไม่มีสาระแก่นสาร
    ชีวิตของพวกเรา ความเป็นอยู่ ก็ไม่มีแก่นสาร
    เรามาพิจารณารู้อย่างนี้แล้ว เราเป็นผู้ไม่ประมาท


    รีบเร่งทำคุณงามความดีประกอบขึ้น รีบเร่งสะสมอริยทรัพย์
    ศีลของเราก็บริบูรณ์ ไม่มีด่างพร้อยตามภาวะของตน ศีล ๕ ศีล ๘
    เดี๋ยวนี้พวกท่านกำลังอบรมสมาธิ กำลังจะเอาทรัพย์ อันนี้เรียกว่า อริยทรัพย์


    ศีลก็เป็นอริยทรัพย์อันหนึ่ง
    สมาธิก็เป็นอริยทรัพย์ หมั่นอบรมจิตใจ
    ปัญญาก็เป็นอริยทรัพย์ หมั่นอบรมจิตใจ


    เวลาเราเข้าทำสมาธิ จงให้มีสติประจำใจ
    กำหนดสติให้แม่นยำ รักษาจิตใจของเราให้อยู่กับที่
    และให้จิตใจปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง


    กิจการงานของเราเคยทำมาอย่างไรก็ดี
    เวลาเข้าที่ให้ปล่อยวางให้หมด ความรัก ความชัง อดีต อนาคต วาง ปล่อยวาง
    ไม่ให้เอาใจใส่เรื่องนั้นๆ ให้มีสติประจำ ไม่ให้มันไปตามอารมณ์เหล่านั้น


    ครั้นควบคุมสติได้แล้ว จิตมันอยู่คงที่แล้ว อยู่กับกายของตนแล้ว
    ให้มันเห็นกายของตนนั่นแหละ สิ่งอื่นอย่าให้มันมาเป็นอารมณ์ของใจ


    ครั้นจะเพ่งเอาอารมณ์ ก็ต้องเพ่งเอาอัตภาพสกนธ์กายของตนนี้
    ให้มันเห็น มัน กรรมฐาน ๕ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
    พระพุทธเจ้าแจกไว้หมดแล้ว ไม่ใช่คน แต่ไปยึดถือมัน


    ผมไม่ใช่คน ขนไม่ใช่คน เล็บไม่ใช่คน เราจะมาถือว่าตัวว่าตนอย่างไรล่ะ
    ฟันก็ไม่ใช่คน ฟันมันต้องเจ็บต้องคลอน ต้องโยก ต้องหลุด
    อันนี้มันไม่ใช่ของใคร สิ่งเหล่านี้เป็นของกลางสำหรับให้เราใช้


    เราต้องหมายเอาใจไว้เสียก่อน แท้ที่จริงก็ไม่ใช่ของเราอีกนั่นแหละ
    ถ้าใจเป็นของเราแล้ว เราบอกเราบังคับคงจะได้ อันนี้ไม่อยู่ในบังคับบัญชาของใคร
    แล้วแต่มันจะไปถึงคราวมันจะเป็นมันถือกำเนิดขึ้น
    มันยังไงก็ไม่ฟัง จะตีมันก็ไม่ฟังอีกแหละ
    เพราะเหตุนั้นมันจึงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราต้องรู้เท่ามัน


    เวลาเราภาวนาอย่าให้มีอะไรเข้ามาเป็นอารมณ์นอกจากสังขารตัวนี้
    แล้วก็ให้เห็นเป็นอนิจจัง ให้เห็นไตรลักษณ์
    ผม ขน เล็บ หนัง ฟัน กระดูก เห็นเป็นไตรลักษณ์
    แล้วก็ให้เห็นเป็นปฏิกูลสัญญาของโสโครกน่าเกลียด
    ให้เห็นมันเป็นอนัตตาไม่ใช่เรา แล้วก็ไม่ใช่จริงๆ


    ผม ขน เล็บ หนัง ฟัน กระดูก ไต หัวใจ ตับ ม้าม พังผืด อาหารใหม่ อาหารเก่า
    มันไม่ใช่ของเราทั้งนั้น ถ้าแจกออกไป ไม่ต้องไปยึดถือนะ ไม่ใช่นะ
    พระพุทธเจ้าว่า เรายังไปยึดถือว่าผมของเรา ขนของเรา เล็บของเรา ฟันของเรา อันนี้แหละห้าม


    บางทีจิตของเราใจของเราถูกกับอันหนึ่งอันใด ก็เอาอันเดียวเท่านั้นแหละ
    พระพุทธเจ้าแจกไว้ แต่ว่าจริตของคนนิสัยของคนมันถูกอันไหนก็เอาอันนั้นแหละ
    จิตมันหยุด จิตมันสงบกับ พุทโธ จิตใสกับ “พุทโธ” มันก็อยู่กับ พุทโธ
    อาตมามันถูกกับพุทโธ


    ตั้งใจเอาไว้ ปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างกำหนดเอาสติรักษาใจไว้
    เอาพุทโธไม่เผลอสติ ให้เห็นพุทโธตั้งอยู่กลางใจนี้ ไม่สบายเลยหาย
    อาตมานิสัยถูกกับพุทโธ บริกรรมอัฐิ กระดูก บางครั้งมันก็ถูก
    ถูกมันก็ปรากฏเห็นกระดูกหมดทั้งสกนธ์กาย


    ;aa24

     
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    พระพุทธเจ้าต้องการให้จิตมันเห็น จิตมันไม่เห็น ให้บริกรรมให้เห็น
    ต้องการให้มันเบื่อหน่ายให้มันเห็นว่าไม่ใช่ตน


    สิ่งเหล่านี้ ธาตุทั้ง ๑๘ ก็ดี ล้วนตกอยู่ในไตรลักษณ์ ทั้งนั้น
    อายตนะก็ดี ตกอยู่ในไตรลักษณ์หมด ทั้งนั้น
    เรามาสำคัญว่าหู ว่าจมูก ว่าตา ว่าลิ้น ว่ากาย ว่าใจเป็นของเรา เป็นเหตุให้ยึดมั่นถือมั่น
    นั่งก็ให้มีความเจ็บ เจ็บบั้นเอว ปวดหลัง ปวดเอว ปวดขา อะไรนั้น สมาธิก็ต้องออก


    ท่านจึงให้สู้มัน ไม่ต้องหลบมัน เราจะสู้ข้าศึกก็ต้องอย่างนั้นแหละ
    ต้องมีขันติความอดทน ทนสู้กับความเจ็บปวดทุกขเวทนา ดูมัน
    จิตมันถูกอันใดอันหนึ่ง
    เมื่อเราสกัดกั้นไม่ให้มันแส่สายไปตามอารมณ์ภายนอก
    มีรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส เป็นต้น เรียกว่า กามคุณ ๕
    ไม่ให้ไปจดจ่ออยู่กับสิ่งเหล่านั้นแล้ว มันจะอยู่ที่ มันก็ว่างอารมณ์


    ไม่มีอารมณ์เข้ามาคลุกคลีดวงจิตแล้ว จิตตั้งมั่นเรียกว่าจิตว่าง
    ไม่มีอะไรมาพลุกพล่านเหมือนกันกับน้ำในขัน
    หรือน้ำอยู่ที่ไหนก็ตาม เมื่อมันไม่กระเพื่อมแล้วมันนิ่ง ก็เห็นสิ่งทั้งปวงอยู่ในก้นขัน


    ต้องเห็น เห็นอันนี้ เห็นแล้วเราต้องสละปล่อยวาง
    มันจะเห็นโลภะ โทสะ โมหะ ราคะ เรามี เราจะได้พยายามถอนสิ่งเหล่านี้ออก
    ปล่อยจิตว่างแล้ว จิตสบาย เพราะจิตเป็นหนึ่งไม่ขุ่นมัว
    เพราะไม่มีอารมณ์มาฉาบทาดวงจิตแล้ว ดวงจิตใส ดวงจิตขาว
    จิตก็เย็น มีแต่ความสบาย มีความสุข รู้เท่ากับสังขาร รู้เท่าสิ่งทั้งปวง
    รู้เท่าความเป็นจริงแล้ว เกิดอันใดอันหนึ่งก็ดี หรือไม่ก็ครบรอบก็ดี


    เมื่อพิจารณาอันใดอันหนึ่งแล้ว
    จิตของเราไม่มีความหวั่นไหวต่อสิ่งทั้งปวง
    ถึงมรณะจะมาถึงก็ตาม ทุกขเวทนาเจ็บปวดจะมาถึงก็ตาม ไม่มีความหวั่นไหวต่อสิ่งเหล่านั้น
    เมื่อรู้เท่าตามความเป็นจริงแล้ว ความติฉินนินทาก็ตาม ไม่มีความหวั่นไหวต่อสิ่งเหล่านั้น
    เสื่อมลาภก็ตาม เสื่อมยศก็ตาม เสื่อมความสรรเสริญรักชอบก็ตาม
    ไม่เอาใจใส่เอามาเป็นอารมณ์ มันก็มีความสุขเท่านั้น
    จะหาความสุขใส่ตนก็มีแต่ฝึกฝนทรมานตนนั่นแหละ


    พระพุทธเจ้าท่านว่า สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํพุทฺธานสาสนํ
    ให้ทรมานจิต ฟอกฝนจิตของเรา
    ฝนจิตให้มันว่าง ให้มันรู้เท่าความเป็นจริง ไม่ยึดมั่นถือมั่น


    จิตนั่นแล จะทำประโยชน์มาให้ในชาตินี้ คือความสุขคือนิพพานมาให้
    หรือจิตเรายังไม่พ้น ก็จะนำสวรรค์มาให้
    นำเอาความสุขมาให้ตราบเท่าตลอดกาล ตราบเท่าชีวิตแล้วมีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป


    ;aa24

    หลวงปู่ขาว อนาลโย
    จาก
     
  19. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    หลักธรรมที่แท้จริงคือจิต
    จิตของเราทุกคนนั่นแหละคือ หลักธรรมสูงสุด ที่อยู่ในจิตใจเรา
    นอกจากนั้นแล้ว มันไม่มีหลักธรรมใดๆเลย ..
    ขอให้เลิกละการคิด และการอธิบาย เสียให้หมดสิ้น
    จิตในจิตก็จะเหลือแต่ความบริสุทธิ์ ซึ่งมีประจำอยู่แล้วในทุกคน”

    เห็นด้วยกับตรงนี้นะ จิต กับอารมณ์ เพียงแยกให้เท่านั้น
    ลมหายใจเข้าออก เข้าใจเป็นธรรม เพราะมันคือสิ่งที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้มีการเคลื่อนที่
    เกิดดับ สังเกตุง่ายดี พอเราชำนาญตรงนี้แล้วอย่างอื่นก็ง่ายค่ะ จริงค่ะ นานาจะใช้วิปสสนาร่วมด้วย เสมอ นานาเป็นวิทย์ค่ะ เลยติดคิด เมื่อก่อนเยอะด้วยเดี๋ยวนี้น้อยลงค่ะ
    นานาเกิดศรัทธาเรื่องจิตค่ะ เลยไปศึกษาเรื่องจิตวิทยาด้วย
    แต่ของพุทธศาสนายากกว่าเยอะ แต่เดี๋ยวนี้นานามองพุทธะเป็นเรื่องง่าย ๆ
    ไปสะแล้วจะผิดไหมคะ นานาไม่ค่อยเน้นตำรา เรียนรู้จากร่างกายและจิตใจค่ะ
    มันเป็นตำราเล่มใหญ่ของนานา

     
  20. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    บางที แค่มองไฟจราจร ความคิดดี ๆ ก็ผุดขึ้นมาค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...