นิทานเซ็น..อ่านเล่นก่อนนอน..

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ..กลับตัวกลับใจ.., 26 พฤษภาคม 2009.

  1. ..กลับตัวกลับใจ..

    ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96
    อาจารย์บันไก ได้เปิดสอนวิปัสสนากรรมฐาน ขึ้นที่วัดของท่าน เนื่องจากท่านเป็นอาจารย์เซ็นที่มีชื่อเสียง จึงมีนักศึกษามาจากทั่วสารทิศในประเทศญี่ปุ่น เข้ามารับการศึกษาเป็นจำนวนมาก ในจำนวนนักศึกษาที่มาศึกษานั้น มีผู้หนึ่งชอบประพฤติตัวเป็นขโมย
    ชอบขโมยทรัพย์สินของนักศึกษาด้วยกัน วันหนึ่งถูกจับได้ พวกนักศึกษาโกรธแค้นมาก จึงนำเรื่องไปฟ้องร้องท่านอาจารย์บันไก แต่ท่านก็กลับนิ่งเฉย ต่อมา นักศึกษาผู้นั้นก็ทำการขโมยของ และถูกจับได้อีก พวกนักศึกษาจึงพากันไปกล่าวโทษอีก
    แต่ท่านอาจารย์กลับทำเป็นไม่สนใจ คราวนี้พวกนักศึกษาโกรธมาก จึงยื่นคำขาดกับท่านอาจารย์บันไกว่า หากท่านอาจารย์ยังไม่ยอมชำระโทษหัวขโมยให้อีก พวกตนจะพากันออกจากสำนักทั้งหมด
    เมื่อท่านอาจารย์บันไกได้อ่านคำฟ้องแล้ว ท่านก็ให้เรียกประชุมบรรดานักศึกษาทั้งหลาย และกล่าวว่า
    "พวกเธอทั้งหลายที่ลงชื่อในหนังสือฟ้องร้องนี้ นับว่าเป็นคนฉลาดมาก เพราะเธอต่างก็รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรทำอะไรควรละเว้น หากพวกเธอประสงค์จะออกจากสำนักฉันไปศึกษาต่อที่อื่นฉันก็ยินดี ให้เธอไปได้ตามแต่ใจปรารถนา แต่เจ้าเพื่อนขี้ขโมยที่น่าสงสารของเธอคนนี้ เขายังโง่เขลามาก ยังไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ถ้าหากฉันไม่สอนเขาแล้ว ใครล่ะจะเป็นผู้สอน เธอทั้งหลายจงเห็นใจเถิดที่ฉันต้องให้เขาอยู่กับฉันต่อไป"
    :boo::boo:
     
  2. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    มีนิทานอยู่เรื่องหนึ่ง เขาเป็นนักเล่านิทานสอนผู้คนจนเลื่องลือไปทั่ว
    รู้เรื่องราวต่าง ๆมากมาย รู้จักผู้คนเยอะแยะ พอคนฟังนิทานถามช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวท่าน
    ให้หน่อยได้ไหม เพราะเห็นท่านคอยฟันธง ว่าใช่กับไม่ใช่ คนเล่านิทานตอบว่า
    ฉันไม่รู้ฉันเล่าไม่ได้หรอก เพราะฉันไม่รู้ตัวเองเหมือนกัน เพราะฉันจะคอยฟันธงว่าคนอื่นไม่รู้แค่นี้เอง อย่าได้ถามมากนะ

    กิเลิศฉันมันหนา ปัญญาฉันมันมีน้อย
     
  3. ..กลับตัวกลับใจ..

    ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96
    ดึกสงัด ขโมยคนหนึ่ง ถือมีดย่องเข้าไปในอาราม ข่มขู่อาจารย์เซ็นชีหลี่ว่า
    "เอาเงินออกมาเสียดี ๆ ไม่อย่างนั้นจะฆ่าเสีย"

    อาจารย์เซ็นชีหลี่กล่าวว่า "อย่ามารบกวน อาตมาทำสมาธิภาวนา เงินอยู่ในลิ้นชัก ไปหยิบเอง!"
    ขโมยคนนั้นรีบไปค้นที่ลิ้นชัก เก็บเอาเงินไปหมด
    ขณะที่จะจากไปอาจารย์เซ็นชีหลี่กล่าวว่า "อย่าเอาไปหมดนะ เหลือไว้หน่อยให้อาตมาซื้อดอกไม้ไหว้พระพรุ่งนี้"

    ขโมยจึงทิ้งเงินเล็กน้อยไว้ในลิ้นชัก พอหันหลังจะจากไปอาจารย์เซ็นชีหลี่ก็กล่าวอีกว่า "ไม่ขอบคุณสักคำหรือ?"
    ขโมยจึงกล่าวขอบคุณก่อนสาวเท้าจากไป
    หลังจากนั้น ขโมยผู้นี้ได้ก่อคดีขึ้นอีก กระทั่งถูกมือปราบจับตัวไว้ได้ ขโมยให้การว่าเคยปล้นเงินของอาจารย์เซ็นชีหลี่
    ขณะที่มือปราบเรียกตัวอาจารย์เซ็นชีหลี่ไปให้การชี้ตัวจำเลย อาจารย์ชีหลี่กลับให้การว่า
    "เขาไม่ใช่ขโมย เขาไม่ได้ปล้นอาตมา อาตมาให้เงินเขาเอง เขาขอบคุณอาตมาแล้ว".................:boo:
     
  4. ..กลับตัวกลับใจ..

    ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96
    หญิงคนหนึ่งมีนิสัยแปลกประหลาด เรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็กน้อยก็ทำให้หล่อน<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    โกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้ หล่อนเองก็รู้ซึ้งถึงนิสัยของตัวเองดี แต่ก็ไม่สามารถ<o:p></o:p>
    ควบคุมตัวเองไม่ให้โกรธได้ <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    มีเพื่อนแนะนำหล่อนว่า “วัดที่อยู่ใกล้ๆนี้มีพระบรรลุธรรมขั้นสูงอยู่ท่านหนึ่ง<o:p></o:p>
    เจ้าทำไมไม่ไปเล่าสิ่งที่เจ้าเป็นให้ท่านฟัง และจะได้ขอคำชี้แนะจากท่าน”<o:p></o:p>
    หญิงคนนั้นจึงไปหาพระท่านนั้น เพื่อจะลองให้ท่านชี้แนะดู<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เมื่อพบกับพระท่านนั้น หญิงคนนั้นจึงเล่าเรื่องราวของตัวเองด้วยกิริยาท่าที<o:p></o:p>
    นอบน้อมและจริงใจ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการชี้แนะอย่างดี พระรูปนั้น<o:p></o:p>
    ก็ตั้งใจฟังหล่อนพูดจนจบ เมื่อพูดจบแล้วจึงให้หล่อนไปที่ห้องหนึ่ง<o:p></o:p>
    แล้วขังหล่อนไว้ในนั้น ไม่พูดกล่าวอะไรแล้วเดินจากไป<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หญิงคนนั้นคิดว่าถูกขังอยู่ในห้องนั้นแล้วจะได้ยินคำชี้แนะจากท่าน ไม่คิดว่า<o:p></o:p>
    ท่านไม่พูดอะไรสักคำ ซ้ำยังขังไว้ในห้องที่มืดและเย็นชื้นอีก หญิงนั้นโกรธจน<o:p></o:p>
    ใช้เท้ากระแทกพื้นแล้วส่งเสียงด่าออกมาดังลั่น ไม่ว่าหล่อนจะด่าว่าอย่างไร<o:p></o:p>
    พระรูปนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไร หญิงคนนั้นด่าจนทนไม่ไหว จึงร้องวิงวอนขอความ<o:p></o:p>
    ช่วยเหลือ แต่พระรูปก็ไม่สนใจจะฟังอีก ยังคงปล่อยให้หล่อนแสดงอารมณ์ต่อไป<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ผ่านไปอีกนาน เสียงในห้องนั้นเงียบลง พระรูปนั้นถามว่า “ยังโกรธอยู่หรือเปล่า?”<o:p></o:p>
    หญิงนั้นตอบว่า ข้าโกรธแต่ตัวเอง ที่ไปเชื่อคนอื่นที่แนะนำให้มาหาท่าน”<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    “ท่านไม่ให้อภัยแม้แต่ตัวเอง แล้วเจ้าจะอภัยให้คนอื่นได้อย่างไร?” พระนั้นตอบ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ผ่านไปสักพัก พระรูปนั้นถามอีกว่า “ยังโกรธอยู่หรือเปล่า?”<o:p></o:p>
    “ไม่โกรธแล้ว” หญิงนั้นตอบ <o:p></o:p>
    “ทำไมถึงไม่โกรธแล้ว?”<o:p></o:p>
    “ข้าโกรธแล้วจะมีประโยชน์อะไร? ไม่ว่าจะโกรธอย่างไรก็ถูกท่านขังอยู่ใน<o:p></o:p>
    ห้องมืดนี้อยู่ดี” หญิงนั้นตอบ<o:p></o:p>
    “เจ้าเป็นอย่างนี้ยิ่งน่ากลัวกว่า เพราะเจ้ากดข่มความโกรธของตัวเองไว้<o:p></o:p>
    เมื่อระเบิดออกมาเมื่อไหร่กลับจะยิ่งรุนแรงกว่าเก่า” พูดจบพระท่านนั้น<o:p></o:p>
    ก็เดินจากไปอีก<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เมื่อกลับมาถามอีกเป็นครั้งที่สาม หญิงนั้นตอบว่า “ข้าไม่โกรธแล้ว เพราะ<o:p></o:p>
    ท่านไม่ควรค่าที่จะให้ข้าโกรธ”<o:p></o:p>
    “รากเหง้าแห่งความโกรธของเจ้ายังคงอยู่ เจ้ายังไม่ได้หลุดพ้นไปจากวังวน<o:p></o:p>
    แห่งความโกรธ”<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่ง หญิงคนนั้นถามขึ้นว่า “พระอาจารย์ บอกข้าพเจ้า<o:p></o:p>
    หน่อยได้ไหมว่า ความโกรธคืออะไร?”<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    พระอาจารย์ไม่กล่าวอะไรออกมาอีก แต่มองไปเหมือนกับพระอาจารย์ไม่ตั้งใจ<o:p></o:p>
    ที่จะเทน้ำชาลงไปที่พื้น หญิงคนนั้นจึงเข้าใจแล้วว่า ที่แท้ถ้าตัวเองไม่โกรธ<o:p></o:p>
    โกรธนั้นจะมาจากไหน จิตใจสว่างโร่ด้วยความรู้และเข้าใจ หากไม่มีสิ่งใดเลย<o:p></o:p>
    ตัวโกรธไหนเลยจะมี<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    fishh_
     
  5. ..กลับตัวกลับใจ..

    ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96



    ...คำนี้คุ้นๆ..จริงๆแล้วต้องบอกว่า..

    ...กิเลสผมยังหนา..ปัญญาผมยังน้อย..

    ...มันถึงจะถูกเน้อ..

    :z8
     
  6. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    โห เดินทะเลมากไปหน่อยเค็มเลยนะ
    ยืมนิดเดียวเอง รู้ว่าจะมีโครงการจะบวชก็อโหสิกรรมด้วยนะ
     
  7. ..กลับตัวกลับใจ..

    ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96




    ...บวชไม่บวช..ก็ขออโหสิกรรมกันได้ครับ..


    ...ผมก็ขออโหสิกรรมกับทุกท่านครับ..

    ...กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม..



    ...กรรมทั้ง ๓ นี้ ที่ข้าพเจ้าได้สบประมาทพลาดพลั้ง..

    ... ล่วงเกินต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี แกล้งก็ดี หรือมิได้แกล้งก็ดี..

    ... ขอท่านทั้งหลายจงอโหสิกรรมนี้ ให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด..

    ... นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป..

    ...จนตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานะปัจจะโย โหตุ ..




    ...จริงๆแล้วผมก็ขออโหสิกรรมแผ่เมตตาให้ทุกคน..ทุกคืนก่อนนอนนะ..



    fishh_
     
  8. ..กลับตัวกลับใจ..

    ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96
    วันหนึ่งมีชายหนุ่มที่ผิดหวังสองคนมาหาพระอาจารย์พร้อมกัน<O:p</O:p
    “พระอาจารย์ครับ พวกเราถูกคนในที่ทำงานกลั่นแกล้ง อย่างแสนสาหัส<O:p</O:p
    ขอท่านช่วยชี้แนะหน่อยว่า พวกเราควรจะลาออกหรือไม่?”<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    พระอาจารย์ปิดตานิ่งอยู่นานแล้วจึงพูดออกมาแค่ห้าคำว่า “ก็แค่ข้าวชามเดียว”<O:p</O:p
    แล้วโบกมือทำท่าว่า ให้กลับไปได้แล้ว<O:p</O:p

    เมื่อกลับไปแล้ว คนหนึ่งก็ไปลาออกทันที กลับไปทำไร่นาอยู่ที่บ้าน<O:p</O:p
    อีกคนหนึ่งก็ยังคงทำงานต่อไป วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว<O:p</O:p

    สิบปีให้หลัง คนที่กลับไปทำไร่นา ใช้วิทยาการยุคใหม่ บวกกับความตั้งใจ<O:p</O:p
    อย่างมุ่งมั่น กลายเป็นเกษตรกรมืออาชีพและมีชื่อเสียง<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    อีกคนที่ยังทำงานอยู่ที่บริษัท พยายามใช้ความอดทน <O:p</O:p
    ตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อด้วยความมุ่งมั่น ก็ค่อยๆได้รับความสนใจจาก<O:p</O:p
    เจ้านาย ในที่สุดก็ได้กลายเป็นผู้จัดการของบริษัท<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    วันหนึ่ง เมื่อทั้งสองได้พบกันแล้ว คนที่เป็นเกษตรพูดว่า <O:p</O:p
    “แปลกนะ พระอาจารย์เพียงชี้แนะคำว่า ”ก็แค่ข้าวชามเดียว” ให้กับเราสองคนเหมือนกัน<O:p</O:p

    คำห้าคำนี้ข้าฟังทีเดียวก็เข้าใจ ก็แค่ข้าวชามเดียว ถึงกับจะต้องอะไรนักหนา<O:p</O:p
    ทำไมต้องไปนั่งทนอยู่ในบริษัทให้เขาโขกสับ ดังนั้นจึงคิดลาออก”<O:p</O:p
    “ตอนนั้นทำไมเจ้าไม่ฟังคำของพระอาจารย์ล่ะ” เกษตรถาม<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    “ข้าฟังแล้ว คิดว่า อดทนอีกหน่อย เหนื่อยอีกหน่อย ก็เพื่อข้าวชามหนึ่ง<O:p</O:p
    คนอื่นจะแกล้งอย่างไร ก็ไม่คิดโกรธ ไม่เกี่ยงงอน ก็ได้แล้ว<O:p</O:p
    พระอาจารย์ไม่ได้ชี้แนะลักษณะนี้หรือ?”<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ทั้งสองเก็บความสงสัยไปถามพระอาจารย์ พระอาจารย์ก็ชราภาพมากแล้ว<O:p</O:p
    ท่านก็ยังคงปิดตานิ่งอยู่นาน ตอบมาอีกห้าคำเหมือนกัน<O:p</O:p
    “แค่ความคิดช่วงหนึ่ง” แล้วก็โบกมือให้ออกไปได้<O:p</O:p

    fishh_<O:p</O:p
     
  9. ..กลับตัวกลับใจ..

    ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96
    ซามูไรผู้หนึ่งมีลูกชาย 3 คน ต่างก็มีความเชี่ยวชาญในเชิงซามูไร พอถึงวาระที่ซามูไรผู้พ่อจะต้องมอบตราประจำตระกูลให้ลูกชายเพื่อสืบทอดต่อไปนั้น เขาก็ใช้วิธีทดสอบความสามารถของลูกๆ ทั้ง 3 คน

    ซามูไรผู้พ่อคิดวิธีได้แล้วก็เข้าไปนั่งอยู่ในห้อง แล้วหับประตูไว้ ประตูห้องแบบญี่ปุ่นเป็นแบบฉากเลื่อน และบนประตูแบบฉากเลื่อนนี้เอง ซามูไรผู้พ่อก็นำเอาหมอนลูกหนึ่งขึ้นไปวางไว้ แล้วแกก็เรียกให้ลูกชายเข้าไปหาทีละคน

    ลูกชายคนโตถูกเรียกก่อน เมื่อเดินไปถึงประตูเลื่อน พอขยับประตู ก็มองเห็นหมอนอยู่ข้างบน จึงเอื้อมมือไปหยิบ แล้วเลื่อนประตูเข้าไปหาพ่อ ซามูไรผู้พ่อสั่งให้เอาหมอนไปไว้ที่เดิม แล้วให้นั่งรออยู่ในห้อง

    ลูกชายคนกลางถูกเรียกเป็นคนต่อไป เมื่อเดินไปถึงประตูก็เลื่อนประตูเปิด ทันใดนั้นหมอนก็ตกลงมา ลูกชายคนกลางรีบรับเอาไว้ทันทีโดยแทบไม่มีเสียงเลย แล้วจึงเดินเขาไปหาพ่อ ซามูไรผู้พ่อ จึงสั่งให้เอาหมอนไปวางไว้ที่เดิม แล้วให้นั่งรออยู่ในห้องเช่นกัน

    ลูกชายคนเล็กถูกเรียกเป็นคนสุดท้าย พอเดินถึงประตูก็เลื่อนเปิดทันที หมอนก็ตกลงมา แว็บเดียวดาบซามูไรก็ปลิวออกจากฝัก ในชั่วพริบตา หมอนถูกฟันจนนุ่นปลิวว่อน แล้วเสียบดาบลงฝักเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แทบไม่มีใครเห็นใบดาบซามูไรเลยก็ว่าได้ แล้วลูกชายคนเล็กก็เดินอย่างสง่าและสงบเข้าไปหาพ่อ ถ้าเป็นท่าน ๆ จะมอบตำแหน่งให้ลูกคนไหน ?

    ซามูไรผู้พ่อได้พูดกับลูกทั้งสามว่า
    "เจ้าเล็ก เจ้าใช้ดาบได้รวดเร็วดังใจ" เจ้าใช้ใจ
    "เจ้ากลาง เจ้ารู้วิธีใช้มือแทนดาบได้" เจ้าใช้มือ
    "เจ้าโต เจ้ารอบคอบรู้การควรไม่ควรก่อนทำการทั้งปวงเจ้าใช้หัวหรือปัญญา
    ไม่ได้ใช้ดาบเพียงอย่างเดียว พ่อขอมอบดาบประจำตระกูลให้เจ้า จงปกครองคนในตระกูลแทนพ่อสืบต่อไป"

    :boo:
     
  10. ..กลับตัวกลับใจ..

    ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96
    วันหนึ่ง พระอาจารย์ท่านหนึ่งถามศิษย์ว่า “วันหนึ่งเจ้าดูคัมภีร์กี่เล่ม<O:p</O:p
    “เจ็ดแปดเล่ม บางทีก็สิบเล่ม” ลูกศิษย์ตอบ<O:p</O:p
    พระอาจารย์พูดว่า “เจ้าดูคัมภีร์ไม่เป็น”<O:p</O:p
    ลูกศิษย์เลยถามว่า “แล้วอาจารย์ดูวันละกี่เล่ม?”<O:p</O:p
    “วันหนึ่งดูหนึ่งคำ” อาจารย์ตอบ</O:p

    คำพูดของอาจารย์ที่ว่าวันหนึ่งดูหนึ่งคำ คือจิต<O:p</O:p
    จิตครอบคลุมสรรพสิ่ง จิตคือธรรมะ จิตก่อให้เกิดสรรพสิ่ง<O:p</O:p
    จิตคือทุกอย่าง จิตคือพุทธะ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ดูตำราแม้จะมีประโยชน์ เข้าใจผิดไปกลับมีโทษ<O:p</O:p
    ตำราอาจจะเป็นยา หรืออาจเป็นยาพิษ<O:p</O:p
    การให้ยากับโรค ให้ถูกโรคหาย ให้ผิดอาจถึงตาย<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ดังนั้น การอ่านคัมภีร์จะไม่ระมัดระวังไม่ได้<O:p</O:p
    ตำราคัมภีร์มีเป็นพันๆเล่ม ไม่รู้จะเริ่มอ่านเล่มไหนก่อน<O:p</O:p
    ธรรมะแปดหมื่นสี่พันข้อ สามารถเข้าถึงธรรมได้ทุกข้อ<O:p</O:p
    เราอาจไม่รู้จะเริ่มที่ข้อไหนก่อน<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    แต่การดูจิตสามารถดูได้ทุกที่ทุกเวลา<O:p</O:p
    จนมีผู้กล่าวว่า "ตู้พระไตรปิฎกก็อยู่ในจิตของเรานั่นเอง"<O:p</O:p

    :boo::boo:<O:p</O:p
     
  11. ..กลับตัวกลับใจ..

    ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96
    ยังมีหนุ่มน้อยหน้ามนคนหนึ่ง ชื่อ ซีนก่าย เป็นผู้สืบเชื้อสายของซามูไร แต่ไปได้กำเนิดอยู่ในถิ่นบ้านนอก พออายุรุ่นกระทงขึ้นมา ก็มีการปรารภที่เข้าไปหาความก้าวหน้าในกรุง ฉะนั้นพ่อแม่จึงส่งเข้าไปพำนักอาศัยอยู่กับท่านขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่ง ในกรุงเอโดะ (คือโตเกียวของญี่ปุ่นสมัยนี้) ในฐานะเป็นเด็กรับใช้อยู่ในเคหาสน์อันโอ่อ่า

    ต่อมาเนื่องจากหนุ่มซีนก่ายเป็นเด็กหน้าตาหมดจด มีหน่วยก้านดี ทำงานอะไรก็ได้อย่างใจของเจ้านาย เพราะมีพื้นความเฉลียวฉลาดว่องไว จึงได้รับเลือกเข้ารับใช้ใกล้ชิดประจำตัวท่านขุนนางผู้นั้น อยู่มาไม่นาน คุณนายภรรยาของขุนนางคนนั้น จิตใจไม่ดี คิดวกลงต่ำจึงใช้เด็กผู้ใกล้ชิดคนนี้ให้บำบัดความต้องการ เด็กหนุ่มของเราก็เลยได้กระทำความผิดพลาดในชีวิตเสียตั้งแต่เริ่มแรกทีเดียวโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง ได้ลอบกระทำชู้ร่วมกันมา

    จนคืนหนึ่งท่านขุนนางผู้นั้นจับได้ ท่านขุนนางได้กระชากดาบซามูไรที่แขวนไขว้อยู่ที่ฝา หมายจะสังหารเด็กซีนก่ายทันที แต่ด้วยอารามที่ท่านโกรธจัด ย่อมทำไปด้วยอาการสุดแรงเกิด เหวี่ยงซ้ายป่ายขวา เด็กซีนก่ายเห็นจวนตัว ก็เอาเก้าอี้ เอาทุกสิ่งที่ใกล้ ป้องปัด รับดาบไว้พลาง ถอยรอบๆ ห้องไปพลาง ใกล้ๆจะหมดหนทางอยู่แล้ว ก็พอดี คุณนายผู้เป็นตัวการนั่นเองได้คิดตัดสินใจ ว่าไหนๆ เขาก็จับการเล่นชู้ได้ เราก็ไม่อาจจะครองความเป็นใหญ่อยู่ต่อไปอีกได้ จึงคิดเลือกเอาข้างผัวหนุ่มไว้ก่อนค่อยไปตายเอาดาบหน้า จึงรีบไปชักดาบที่แขวนข้างฝาอีกเล่มหนึ่งมาแทงขุนนาง ทันเวลาช่วยชีวิตให้หนุ่มหน้ามน ได้อยู่ฟันฝ่าชีวิตต่อไปอีก เมื่อเห็นท่านขุนนางตายแล้ว คุณนายก็ออกคำสั่งให้เด็กซีนก่าย รีบรุดหนีออกจากบ้านไปพร้อมกันในตอนดึกคืนนั้นเอง

    หลังจากผ่านฉากชีวิตที่น่าหวาดเสียว เหมือนดั่งฝัน เพราะอะไรๆ มันช่างเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มซีนก่ายซึ่งก่อนหน้านี้หมายมั่นจะมาสร้างความเจริญก้าวหน้า แต่บัดนี้ได้มาอยู่ในฐานะสามีของคุณนายเสียทันที แต่ก็ต้องอยู่กันอย่างแอบแฝงหลบลี้หนีหน้าในแหล่งที่ไม่มีใครจะตามพบ ทีแรกๆ ก็พอจะมีอะไรๆ แลกเปลี่ยนซื้ออาหารการกินบ้าง แต่ในที่สุดก็ไม่มีอะไรจะจับจ่าย จะไปทำงานทำการก็ไม่สามารถแสดงตัวต่อสังคมได้ ต้องจำใจเลือกเอาข้างลักขโมยเขากิน แม้แต่ตัดช่องย่องเบาเอาทั้งนั้น ตอนต้นก็นึกว่าพอทนทำไปได้ เพราะเห็นแก่ความสุขในการได้เป็นผัวเป็นเมียกันใหม่ๆ

    ทีนี้อยู่ๆ กันไป หนุ่มซีนก่ายถึงคราวจะหมดเวรหมดกรรม ได้เกิดมีความคิดขึ้นอย่างหนึ่งว่า คนเราคนหนึ่งๆ นี้ช่างเป็นไป เปลี่ยนไปเพราะผลของความคิดนี้เอง และความคิดนี้ มันก็ช่างขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมในขณะนั้นๆ เสียเหลือเกิน จนไม่อาจจะกระดิกกระเดี้ยขอผัดผ่อน ไม่ให้เป็นไปตามนั้นไม่ได้ คนทุกคน จะดีจะชั่ว มันก็อยู่ตรงนี้เอง

    แม้จะตั้งปรารถนาดิบดีมาตั้งแต่บ้าน ว่าจะเข้ากรุงเพื่อหาความเจริญก้าวหน้าให้แก่ชีวิต และพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างดีมาแล้ว แม้คนอื่นที่เขาอยากเจริญก้าวหน้า ต่างก็ปรารภและทำอย่างเดียวกัน แต่เหตุไฉนบางคนจึงสามารถไต่เต้าทำไปได้จนถึงที่หมาย แต่บางคนไปไม่ถึงที่หมาย ข้อนี้มันก็เพราะมนุษย์เราทนต่อสิ่งมายั่วเฉพาะหน้านี้ไม่ได้ นั่นเอง ความคิดจึงเปลี่ยนรูป วิถีชีวิตก็จำต้องแปรผันไปตาม

    เมื่อได้คิดอย่างนั้นแล้ว หนุ่มซีนก่ายก็หวนมาดูภรรยาตนซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นคุณนายผู้สูงศักดิ์ แต่เพราะเธอไม่มีความรู้เรื่องความคิด เธอจึงถูกความคิดหลอกเอา และตัวเราเอง ก็เพราะเจอเอาสิ่งที่มาพบเห็นเข้า แล้วทนไม่ได้ ความคิดมันก็เปลี่ยนไปปุบปับ ชนิดที่เจ้าตัวเองไม่มีวันจะควบคุม หรือชักบังเหียนให้คืนหลังได้มนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ช่างตกอยู่ในอำนาจของกิเลส และสิ่งแวดล้อมอย่างนี้เสียจริงๆ สุดที่จะแหวกหนีไม่ให้เป็นอย่างนั้นไปได้
    จะมีทางเดียวก็แต่จัดให้ตัวเองไปได้พบกับสิ่งแวดล้อมที่ช่วยมิให้เป็นอย่างนั้นเท่านั้น ซึ่งบางทีก็ยังพอควบคุมทำกับตัวของตัวได้บ้าง แล้วสายแห่งความคิดที่ไหลมาให้คิดให้รู้อยู่นี้ มันก็จะเบนวิถีไปทางที่ปลอดภัย

    หนุ่มซีนก่าย คิดเรื่องนี้ทบทวนอย่างหนัก ทำอย่างไรหนอคนเรานี้จะควบคุมให้ความคิดเป็นไปอย่างถูกต้อง และคงเส้นคงวาอยู่ในแนวที่ถูกต้อง ถ้าปล่อยให้สิ่งแวดล้อม รูปเสียง กลิ่น รส เข้ามาจ่อถึงตัวอยู่อย่างนี้ ก็ไม่มีวันจะควบคุมสายความคิดนี้ได้ จะต้องยักย้ายให้ตัวเองได้ที่แวดล้อมชนิดทำให้ตั้งตัวได้เสียก่อน ฉะนั้นหนุ่มซีนก่าย จึงคิดบริจาคคุณนายผู้ภรรยาของตัว โดยตัวเองกลับเป็นฝ่ายหนีไปเสียให้ห่าง คิดดังนั้นก็หลบหนีทิ้งภรรยา
    เดินทางจากไปเสียให้สุดหล้าฟ้าเขียว สู่อำเภอบ้านนอกแห่งหนึ่ง จังหวัดบูเส็น หัวเมืองทางฝ่ายใต้ ณ ที่นั้น หนุ่มซีนก่ายได้เข้าอาศัยวัดแห่งหนึ่ง อยู่เป็นลูกศิษย์พระ ไม่นานก็ขอบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา ซึ่งในศาสนาที่เขาสนใจใหม่นี้เอง หนุ่มซีนก่ายได้พบว่า คำสอนพุทธศาสนา มีแต่ว่าด้วยเรื่องที่เขากำลังฉงนสนเท่ห์อยู่ทีเดียว คือในปัญหาข้อที่ว่า “ทำอย่างไร คนเราจะอยู่อย่างชนะภัยอันเกิดจากรูป เสียง กลิ่น รส ได้ และควบคุมจิตใจไม่ให้เป็นไปตามความต้องการฝ่ายต่ำ ที่มีประจำอยู่เองแล้วในใจ”

    เมื่อมาได้ความเป็นตัวของตัวได้ ในบวรพุทธศาสนาแล้วก็ทำให้หวนไปถึงเมื่อครั้งที่ตนยังซัดเซในสงสารสาครแต่อดีต ภิกษุหนุ่มซีนก่ายจึงปรารภจะชดใช้ความกระดำ-กระด่าง ในชีวิตอดีต ด้วยสำนึกบาป ไถ่ถอนด้วยกรรมดี กรรมที่มีประโยชน์ จวบเท่าชีวิตนี้จะหาไม่
    ในถิ่นที่ท่านบวชอยู่นั้นชาวบ้านชาวช่องยากจนข้นแค้น เป็นอำเภอเล็กๆ ไปมาติดต่อกับตัวจังหวัดเพียงทางเท้าเล็กๆ ที่ต้องค่อยเดินเรียงหนึ่ง เลียบหินผาของภูเขาสูง ซึ่งกางกั้นอำเภอกับตัวจังหวัด ถ้าวันไหนฝนตก ฟ้าร้อง หิมะตก หรือลมแรง ก็ไปมาไม่ได้ และท่านยังได้ทราบว่าแต่ละปีมีเสมอที่คนข้ามเขาได้พลัดลื่น หล่นจากชะง่อนผาสูงลงไปตายเสียมากต่อมาก สุดที่จะมีใครคิดแก้ไขประการใด
    หากใครอยู่ทางกิ่งอำเภอหลังเขานี้แล้ว ก็เป็นอันแน่ว่าจะต้องอดอยาก ลำเค็ญ แม้จะมีเงินก็ไม่มีค่า ชาวบ้านโดยมากยากจนไม่อาจเพาะปลูกอะไร เพื่อเอามาแลกเปลี่ยนซื้อขายในเมืองได้ เพราะนำไปนำมาไม่ได้มาก แม้มีใครเจ็บป่วยลง ไม่พอที่จะตายก็ต้องปล่อยให้ตายไป เพราะไม่สามารถจะพากันหามคนไข้คนเจ็บไต่ไหล่หินข้ามมายังตัวจังหวัดได้
    ภิกษุหนุ่ม มานั่งคำนึงถึงทุกข์ยากของคนหมู่มาก เห็นความเป็นไปของมนุษย์ด้วยกัน ที่แม้แต่จะอยู่ไม่ห่างกันนักแค่เขากั้นเท่านั้น ก็ยังแตกต่างยากไร้กว่ากันมากเห็นปานนี้ ท่านเห็นว่า จะปล่อยให้ไม่มีทางแก้เช่นนี้อยู่เรื่อยไป ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่เอง มีทางเดียว คือเจาะอุโมงค์ลอดภูเขาใหญ่เอาดื้อๆ เพราะไม่มีทางอื่นใดอีกแล้ว
    ครั้นจะพูดเรื่องนี้กับใครก็คงไม่มีใครเขาเห็นด้วย ความคิดอย่างนี้ มันคิดได้ แต่ใครจะทำ ฉะนั้นภิกษุหนุ่มของเราจึงตัดสินใจเริ่มสกัดหิน เริ่มงานมันคนเดียวโดยไม่คำนึงว่าภูเขาที่เขาไปนั่งสกัดทีละสะเก็ดๆ อยู่นั้น มันตระหง่านสูงค้ำฟ้าเพียงไร
    ท่านภิกษุซีนก่าย ใช้เวลาตอนเช้าออกบิณฑบาตเวลานอกนั้น อุทิศให้แก่หินที่ภูเขานั้นทั้งหมด เมื่อมันเหนื่อยก็พักเสีย มีเรี่ยวแรงคืนมาก็ทำต่อ เป็นอย่างนี้ไม่ว่าจะค่ำจะมืด นานๆ จะมีคนผ่านมาทางนั้น คนพวกนั้นก็ได้แต่หัวเราะ ถามว่าท่านจะสร้างถ้ำหรือจะสร้างวัด แล้วต่างก็มองตากันอย่างไม่ไว้ใจว่า ท่านองค์นี้ สติยังบริบูรณ์อยู่หรือ ดูไม่มีความหมายอะไรมากไปกว่าท่านทำ เพราะทำตามประสาที่ไม่มีอะไรจะทำนั่นเอง

    วันเวลาได้ผ่านไปนานถึง 30 ปี ภิกษุองค์หนึ่งเคยนั่งสกัดหินมาตั้งแต่ยังหนุ่ม บัดนี้ก็ยังคงนั่งสกัดเอา –สกัดเอา ไม่ลดละ แม้ท่านจะมีอายุห้าสิบแล้ว ร่างกายของท่านก็ยังรับใช้จิตใจที่บึกบึนแข็งกว่าหินได้เป็นอย่างดี ไม่มีใครทราบหรอกว่าท่านเอาน้ำอดน้ำทนมาจากไหน เอาเรี่ยวแรง เอากำลังใจมาจากไหน นอกจากตัวท่านเอง
    เหตุการณ์เป็นไปเช่นนี้จึงทำให้จังหวัดบูเส็น ที่ท่านเลือกเอาเป็นถิ่นปฏิบัติธรรมของท่านได้มีอุโมงค์เจาะลอดภูเขาใหญ่เชื่อการคมนาคมติดต่อระหว่างกิ่งอำเภอ ที่ครั้งหนึ่งแสนจะทุรกันดารให้เปิดมาสู่ความเจริญในเมืองได้ ในปัจจุบันนี้ แม้ใครไปญี่ปุ่น ไปเมืองบูเส็น ก็ยังพบอุโมงค์อันมีประวัติ ที่เจาะด้วยแรงคน และเป็นแรงคนที่เกิดจากพลังธรรมะในพุทธศาสนา อุโมงค์นี้สมัยแรก มีแนวคดไม่เกลี้ยงเกลาอยู่บ้าง บัดนี้เป็นอุโมงค์ที่มีขนาด กว้าง 30 ฟุต สูง 20 ฟุต ทะลุภูเขายาว 2,280 ฟุต (ค่อนๆ ไปเกือบ 1 กิโลเมตร หรือครึ่งๆ ถ้ำขุนตาลของไทยเรา)

    เรื่องมีเล่าต่อออกไปอีกหน่อยว่า ก่อนที่อุโมงค์จะสำเร็จใช้เดินถึงกันได้ สัก 2 ปีนั้นได้มีชายคนหนึ่ง ซอกซอนมาจากเมืองกรุง ปรากฏภายหลังว่าเป็นบุตรชายของท่านขุนนางเจ้านายเก่าที่ตายไป ชายหนุ่มคนนี้ขณะบิดาถูกฆ่าเขายังเล็กๆ อยู่ พอโตขึ้นก็ผูกใจเจ็บ เที่ยวถามติดตามมาหลายปี พร้อมกับหัดเป็นนักดาบมาอย่างช่ำชอง พอแน่แล้ว ก็จะเข้าเอาชีวิตเพื่อล้างแค้น
    แต่ยังมีติดขัดอยู่ว่า มาเห็นคนฆ่าพ่อของเขา บัดนี้อยู่ในแบบฟอร์มของพระภิกษุแล้ว เพื่อไม่เป็นการฆ่าผิดตัว จึงถามเอาตรงๆ พอท่านซีนก่ายถูกถามเช่นนั้น ก็รับว่าเป็นนายซีนก่ายที่เขาต้องการพบและต้องการฆ่า ท่านไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างไร
    แต่พูดจาชี้แจงให้ชายหนุ่มคนนั้นฟังว่า ท่านกำลังทำงานที่จะเป็นประโยชน์ต่อมหาชนมากหลาย และจะสำเร็จอยู่แล้ว ขอผ่อนผันให้ท่านได้สกัดหินต่อไป เท่าที่ชายหนุ่มนั้นก็เห็นอยู่แล้วว่าเหลือเพียงเล็กน้อย เมื่อเสร็จในวันใด ท่านยอมใช้กรรม ให้ตัดศีรษะในวันนั้นทีเดียว ชายหนุ่มคนนั้นก็ตกลง เพราะมองเห็นจริงๆ ว่าถ้าท่านไม่ทำต่อ งานชิ้นสำคัญต่อสังคมส่วนใหญ่นี้ จะเป็นอันยกเลิกไปเสีย
    ทีแรกหนุ่มชาวกรุงก็ยังไม่วางใจนัก ว่าคนที่เคยฆ่าพ่อของตนจะไม่เป็นคนลอบทำร้ายตนก่อน ต้องเหน็บดาบและมีดระแวดระวังตัวแจอยู่ และคอยเวียนไปที่อุโมงค์นั้นเสมอๆ เพื่อจะรู้ว่าท่านชิงหนีไปเสียที่ไหน หรือท่านจะคอยถ่วงเวลา สกัดช้าๆ ให้เวลาเนิ่นนานไป เมื่อมีการไปพบหลายหนหลายครั้ง และเคยยืนดูท่านกำลังทำงานอยู่อย่างสม่ำเสมอ ไม่ลดละทั้งคืนทั้งวัน ก็ทำให้รู้สึกแปลกประหลาด
    นานเข้า ก็มีการปรารภชวนท่านคุย และถามนั่นถามนี่ เป็นอยู่อย่างนี้หลายเดือน หินของภูเขาก็ถูกสกัดกร่อนบางไปเรื่อยๆ หนุ่มลูกชายของท่านขุนนาง เมื่อยืนเฝ้าดู จนเมื่อยแล้วก็เริ่มนั่งคุย การได้สังสนทนากันจึงเป็นที่แน่ใจว่าท่านรู้สึก-นึกคิด เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ว่าอย่างไร เมื่อยู่เฉยๆ ไม่รู้จะทำอะไร ก็ลองสกัดหินช่วยท่านซีนก่ายไปพลาง
    เรื่องเลยกลายเป็นได้ร่วมงาน ร่วมกิน ร่วมนอนด้วยกัน ในอุโมงค์นั้นเอง ในที่สุดก็กลายเป็นผู้ช่วยที่รู้จักทำงานโดยตั้งจิตไว้ในธรรมปฏิบัติ ตามแบบที่ท่านซีนก่ายแนะให้ ทำไปทำไปโดยไม่หยุดยั้งเหมือนกัน จนกระทั่งวันเวลาผ่านไปกว่าขวบปีอย่างไม่รู้สึกว่านาน ตลอดเวลา ชายหนุ่มได้เลียนลอกแบบเอาคุณธรรมที่ตนได้เห็น ได้ค้นพบ ที่เนื้อที่ตัวของท่านซีนก่ายนั้นเอง ว่าท่านองค์นี้ ช่างเต็มไปด้วยบุคลิกภาพพิเศษและความเป็นผู้มีใจสิงห์เหลือเกิน

    ในที่สุด อุโมงค์ลอดภูเขาใหญ่ ก็สำเร็จลุล่วง ผู้คนพากันมาดู และได้ใช้เป็นหนทางติดต่อกับตัวเมือง ไม่ได้รับความยากลำบากที่จะต้องไต่ไปตามไหล่หินชันอีกต่อไป พอเสร็จในวันนั้น ท่านซีนก่ายก็เหลียวมายังชายหนุ่ม ที่ยืนอยู่ข้างหลังกำลังมองดูความสำเร็จที่ตนมีส่วนร่วมอยู่ด้วย ท่านได้พูดขึ้นว่า “เราตัดภูเขาแท่งทึบ เชื่อมให้คนติดต่อถึงกันได้แล้ว ทีนี้ก็ถึงตอนที่ คอที่ต่อศีรษะติดกับร่างของฉัน ได้เวลาขาดออกจากกันตามสัญญาแล้ว” พูดแล้วก็น้อมกายยื่นไปให้ชายหนุ่มลูกศิษย์เชลยศักดิ์ของท่านโดยดี


    ชายหนุ่ม น้ำตานองหน้า ทรุดตัวลงคุกเข่า มือทั้งสองพนมไหว้ พลางกล่าวว่า “หลวงพ่อจะให้ผมตัดศีรษะของบุคคลที่เป็นอาจารย์ของผมได้อย่างไร?”

    นิทานก็จบ



    fishh_
     
  12. ..กลับตัวกลับใจ..

    ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96
    ...
    สมัยก่อน ตามแถบชานเมืองหรือตามชนบทในประเทศเรา มักจะนิยมฟังพระเทศน์แบบหลายธรรมมาส เช่น 2 หรือ 3 ธรรมมาส ในทำนองปุจฉา วิสัชนา ถาม ตอบกัน มากกว่าจะฟังพระเทศน์องค์เดียวแบบในปัจจุบัน

    เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 50-60 ปีมาแล้ว แถบชานเมืองกรุงเทพฯ นี่เอง วันนั้นชาวบ้านต่างนิมนต์พระที่ได้ชื่อว่าเป็นนักเทศน์ที่ตนเองชื่นชอบมาแสดงธรรมเรื่อง "อาทิตตปริยายสูตร" โดยพระทั้งสามรูปต่างก็ไม่รู้จักกันมาก่อน สมัยนั้น ขอให้ทราบว่าจะเทศน์เรื่องอะไรเท่านั้น ท่านก็สามารถแสดงธรรมได้ โดยใช้ความสามารถและปฏิภาณของตนเองซักไซ้ไล่เรียงจนผู้ที่นั่งฟังรู้แจ่มแจ้งก่อนเทศน์ พระท่านก็จะมีการสมมุติมอบหมายหน้าที่กัน ปกติองค์กลาง จะรับหน้าที่เป็นผู้ถาม ซักไซ้ไล่เรียง ที่เหลือองค์ซ้ายและองค์ขวาจะมีหน้าที่วิสัชนา ตอบชี้แจงให้เข้าใจ

    องค์กลาง เมื่อรับหน้าที่ ก็ดำเนินการซักถามองค์ซ้ายมือก่อนเกี่ยวกับเรื่อง "ไฟคือราคะ" ทั้งสององค์ซักถามโต้ตอบกันด้วยปฏิภาณเป็นที่เฮฮาถูกใจญาติโยมเป็นอย่างยิ่งจากนั้น ท่านองค์กลางก็หันมาถามท่านองค์ขวามือ ขอให้วิสัชนา "โทสัคติ" ไฟคือโทสะว่าเป็นอย่างไร ท่านองค์ที่สามนั่งฟังท่าน 2 องค์แรกโต้ตอบกันอย่างเงียบๆ โดยดุษฎี
    พอถูกถามว่าโทสะคืออะไร แทนที่ท่านจะเจื้อยแจ้วเทศน์ตามธรรมเนียม ท่านกลับนั่งนิ่งเงียบ ได้แต่จ้องมองดูท่านองค์กลางอย่างไม่วางตา สร้างความอึดอัดให้กับท่านองค์กลาง และญาติโยมเป็นอย่างยิ่ง สักพักท่านองค์ที่สามก็เอ่ยเสียงต่ำๆ ไม่ดังนักว่า
    "ส้นตีน !" แล้วจ้องตาเป๋งไปที่ท่านองค์กลาง
    ทุกคนตกตลึงไปหมด ท่านองค์กลางหน้าตาแดงก่ำไม่ยอมสบตากับใคร นั่งกระสับกระส่ายอยู่บนธรรมมาส ครู่หนึ่งพอสมควรแก่เวลาแล้ว ท่านองค์ที่สามก็เทศน์วิสัชนาเกี่ยวกับไฟคือโทสะต่อไปอย่างหน้าตาเฉย

    dencee
     
  13. ..กลับตัวกลับใจ..

    ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96
    มีพระอาจารย์ท่านหนึ่ง สร้างวัดใกล้ๆกับสำนักของท่านนักพรตท่านหนึ่ง<O:p</O:p
    นักพรตท่านนั้นไม่ต้องการให้เขตละแวกนั้นมีวัด เลยเสกเวทย์มนต์คาถา<O:p</O:p
    ใช้เหล่าภูติผีปีศาจมารังควานภิกษุที่อยู่ในวัดอยู่เนืองๆ เพื่อให้ภิกษุเหล่านั้น<O:p</O:p
    หวาดกลัวไม่กล้าที่จะอยู่ที่วัดนี้อีกต่อไป ไม่นานเหล่าพระและสามเณรล้วน<O:p</O:p
    หวาดกลัวและย้ายหนีกันไปหมด เหลือแต่พระอาจารย์อยู่ที่วัดนี้เพียงผู้เดียว<O:p</O:p
    ถึงสิบกว่าปี<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ที่สุดเวทย์มนต์คาถาของนักพรตท่านนั้นถูกนำมาใช้จนหมดสิ้น พระอาจารย์<O:p></O:p>
    ก็ยังไม่ยอมย้ายไปไหน นักพรตรู้สึกหมดหนทางที่จะต่อกรด้วยแล้วจึงย้ายหนีไปเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    หลังจากนั้นมีผู้ถามพระอาจารย์ว่า นักพรตมีวิชาคาถาอาคมแก่กล้า ท่านชนะเขา<O:p</O:p
    ได้อย่างไร? พระอาจารย์ตอบว่า อาตมาไม่มีอะไรที่จะชนะพวกเขาได้ แต่ถ้าหาก<O:p</O:p
    จะให้พูดจริงๆแล้ว มีเพียงคำเดียวว่า “ไม่มี” ซึ่งพวกเขาเปรียบเทียบไม่ได้”<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    “คำว่า “ไม่มี” จะไปชนะเขาได้อย่างไร?”“พวกเขามีเวทย์มนต์คาถา ในขณะเดียวกันเวทมนต์เหล่านั้นมี จำกัด มีสิ้นสุด <O:p</O:p
    มีประมาณ มีขอบเขต แต่ของอาตมา ไม่มีคาถา แต่ไม่มีจำกัด ไม่มีสิ้นสุด<O:p</O:p
    ไม่มีประมาณ ไม่มีขอบเขต อาตมาไม่ต้องใช้อะไรย่อมจะต้องชนะสิ่งที่ต้องใช้อะไร”<O:p</O:p

    :boo:<O:p</O:p
     
  14. ..กลับตัวกลับใจ..

    ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96
    ..โย พาโล มญฺญตี พาลฺยํ..
    ..ปณฺฑิโต วาปิ เตน โส..
    ..พาโล จ ปณฺฑิตมานี..
    ..ส เว พาโลติ วุจฺจติ . . .
    .
    ..คนโง่ รู้ตัวว่าโง่..

    ..ยังมีทางเป็นบัณฑิตได้บ้าง..

    ..แต่โง่แล้ว อวดฉลาด..

    ..นั่นแหละเรียกว่าคนโง่แท้..


    A fool aware of this stupidity
    Is in so far wise,
    But the fool thinking himself wise
    Is called a fool indeed.

     
  15. ..กลับตัวกลับใจ..

    ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96
    ในราวปีมะเมีย เมื่อพ.ศ.๒๔๑๓ ในรัชกาลที่ ๕ ที่บ้านสมเด็จเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) ได้จัดการประชุมนักปราชญ์ทุกชาติ ทุกภาษา ที่รอบรู้การศาสนาของชนชาติของตน ในการนี้สมเด็จเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ ได้อาราธนาสมเด็จพระพุฒาจารย์โต ไปเผยแพร่ความรู้ในพระพุทธศาสนาของชาวสยาม พอถึงวันกำหนด เมื่อสมเด็จโตฯไปถึง ปราชญ์ทั้งหลายพร้อมใจกันให้เกียรตินักปราชญ์ไทยก่อน ท่านจึงขึ้นบัลลังก์แสดงธรรม ต่อที่ประชุมปราชญ์และขุนนางทั้งปวงทันทีว่า

    “พิจารณา มหาพิจารณา พิจารณา มหาพิจารณา ๆๆๆ...”

    เป็นดังนี้ ซ้ำๆ กันอยู่เป็นเวลากว่าชั่วโมง จึงมีผู้สะกิดเตือนท่านว่า ให้ขยายคำอื่นให้ฟังบ้าง สมเด็จโตฯ ก็เปล่งเสียงให้ดังขึ้นกว่าเดิมอีกว่า

    “พิจารณา มหาพิจารณา พิจารณา มหาพิจารณา ๆๆๆ...”

    เฉพาะสองคำนี้อยู่อีกกว่าชั่วโมง ก็ถูกสะกิดเตือนอีก สมเด็จโต ท่านก็ตะโกนดังกว่าครั้งที่สองอีกว่า

    “พิจารณา มหาพิจารณา พิจารณา มหาพิจารณา ๆๆๆ...

    อธิบายว่า
    การของโลกก็ดี การของชาติก็ดี การของศาสนาก็ดี กิจที่จะพึงกระทำต่างๆ ในโลกก็ดี กิจควรกระทำสำหรับข้างหน้าก็ดี
    กิจควรกระทำให้สิ้นธุระทั้งปัจจุบันและข้างหน้าก็ดี สำเร็จกิจเรียบร้อยดีงามได้ ด้วยกิจพิจารณาเป็นขั้นๆ พิจารณาเป็นเปราะๆเข้าไป ตั้งแต่หยาบๆ และปานกลาง และขั้นสูง ขั้นละเอียด พิจารณาให้ประณีตละเมียดเข้า จนถึงที่สุดแห่งเรื่อง ถึงที่สุดแห่งอาการ ให้ถึงที่สุดแห่งกรณี ให้ถึงที่สุดแห่งวิธี ให้ถึงที่สุดแห่งประโยชน์ยืดยาว
    พิจารณาให้รอบคอบทั่วถึงแล้ว ทุกๆ คนจะรู้จักประโยชน์คุณเกื้อกูลตน ตลอดทั้งเมื่อนี้ เมื่อหน้า จะรู้ประโยชน์อย่างยิ่งได้ ก็ต้องอาศัยกิจพิจารณาเลือกฟั้น คั้นหา ของดีของจริง เด่นชัดปรากฏแก่คน ก็ด้วยการพิจารณาของคนนั่นเอง

    ถ้าคนใด สติน้อยถ่อยปัญญา พิจารณาเหตุผลเรื่องราวกิจการงานของใคร ของธรรมดาแต่พื้นๆ ก็รู้ได้พื้นๆ ถ้าพิจารณาด้วยสติปัญญาเป็นอย่างกลาง ก็รู้เพียงชั้นกลาง ถ้าพิจารณาด้วยสติปัญญาอันละเอียดลึกซึ้ง ในข้อนั้นๆ อย่างสูงสุด ไม่หลับหูหลับตา ไม่งมงายแล้ว อาจจะเห็นผลแก่ตน ประจักษ์แท้แก่ตนเอง ดังปริยายมาทุกประการ จบทีฯ”

    ครั้นจบแล้ว ท่านลงจากบัลลังก์ ก็ไม่มีนักปราชญ์อื่นๆ ออกปากขัดคอคัดค้านถ้อยคำของท่าน แม้แต่คนเดียว

    เจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ พยักหน้าให้หมู่นักปราชญ์ทั้งหลายขึ้นบัลลังก์ต่อ ต่างคนก็ต่างแหยงไม่อาจขึ้นแถลงต่อที่ประชุมได้ ถึงแม้ต่างจะตระเตรียมเขียนกันมาแล้ว
    แต่คำของสมเด็จโต ท่านได้ครอบคลุมเรื่องต่างๆ ไว้ทั่วถึงหมด เมื่อปราชญ์ทั้งหลายเกียงกัน จนไม่มีผู้ใดกล้าขึ้นแถลงต่อที่ประชุม จึงต้องเลิกประชุมปราชญ์ในวันนั้น และต่างก็แยกย้ายกันกลับไป<!-- google_ad_section_end -->

    rabbit_scary
     
  16. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    bubu เอากิเลสมาฝากก่อนนอน ..อิอิ อยากนอนแล้ว
     
  17. ..กลับตัวกลับใจ..

    ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96


    ...ผมไม่เอา..;k01




    ************************************************************






    การเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า ไม่มีสิ่งใดเลย ที่เราอาจมองพบตัวมัน แต่แล้วก็ยังคงเก็บเอาความรู้สึกว่า "ความไม่อาจจะมองเห็นได้" ไว้อีก
    ข้อนี้
    เปรียบเหมือนกับดวงอาทิตย์ ที่ถูกบังคับอยู่ด้วยเมฆที่ลอยมาขวางหน้า


    การเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า ไม่มีสิ่งใดเลย ที่เราอาจจะรู้จักมันได้ แต่แล้วก็เก็บเอาความรู้สึกว่า "ความที่ไม่อาจจะรู้ได้" ได้อีก
    ข้อนี้
    อาจเปรียบกันได้กับท้องฟ้าแจ่มแจ้ง แต่เสียรูปไปเพราะสายฟ้าแลบ


    การปล่อยให้ความรู้สึก นึกเอาเองเช่นนี้ เกิดขึ้นตามสบายในใจของท่าน
    ย่อมแสดงว่า ท่านไม่รู้จักจิตเดิมแท้อย่างถูกต้องด้วย ทั้งไม่มีเครื่องมืออะไร ที่มีประสิทธิภาพพอที่จะทำให้ท่านรู้ได้ด้วย


    ถ้าท่านรู้อย่างแจ้งฉาน แม้เพียงขณะเดียวเท่านั้นว่า

    ความรู้สึกที่นึกเอาเองเช่นนี้ เป็นความผิดใช้ไม่ได้แล้ว

    แสงสว่างภายในจิตของท่านเอง จะลุกโพลงออกมาอย่างถาวร
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ถ้าท่านรู้อย่างแจ้งฉาน แม้เพียงขณะเดียวเท่านั้นว่า

    ความรู้สึกที่นึกเอาเองเช่นนี้ เป็นความผิดใช้ไม่ได้แล้ว

    แสงสว่างภายในจิตของท่านเอง จะลุกโพลงออกมาอย่างถาวร

    จริงหรือคะ กลัวว่า ตอนนี้ยังรู้ แต่พอเกิดอีกทีมันลืม ง่ะ
    เอ หรือว่า เรายังไม่รู้จริง แค่รู้เล่นๆ ต้องรอต่อไปจนกว่า รู้เล่นๆจะส่งผลให้เกิดเป็นรู้จริง
     
  19. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    เมื่อใดคิดว่าตัวฉลาด เมื่อนั้นความหลงจะมา ทั้งเพลิดเพลิน ทั้งมานะ ต่อด้วยราคะ ทั้งละเอียด ทั้งหยาบ ไล่ออกมาถึงโทสะ ^-^
     
  20. ..กลับตัวกลับใจ..

    ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96


    ...ตามความเข้าใจของผม..
    ...มันเป็นการวิปัสสนูปกิเลสหรือหลงธรรม..
    ...คิดว่าบรรลุแล้ว..ประมาณนี้นะครับ..

    ...แต่เมื่อรู้อย่างแจ้งฉานแล้วว่ามันผิดทาง..ก็จะกลายเป็นวิสัชชนา..
    ...ปัญญาที่แท้จริง..ที่ไม่มีเสื่อม..
    ...ผมคงเข้าใจไปคนละอย่างกับคุณขวัญนะครับ..อิอิ
    .:boo:
     

แชร์หน้านี้

Loading...