ไม่ใช่นะครับที่มักกล่าวว่า “สมถะเหมือนการหลบภัย วิปัสสนาเหมือนการผจญภัย”

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 26 พฤษภาคม 2009.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ประเด็นนะครับ ดูเหมือนว่า คุณ เอกวีร์ จะเป็นคนที่พูดไม่รู้เรื่องที่สุด เพราะว่า กิเลสมากที่สุด
    ประเด็นก็คือ การปฏิบัติธรรมไม่ใช่ การไปมีสติรู้อย่างเดียว เท่านั้น
    ดังนั้นคำสอนอะไร ที่นำไปสุ่การรู้อย่างเดียว ก็เป็นคำสอนที่คับแคบ

    สำหรับ ขวัญ ที่บอกว่า รู้อดทน เดี๋ยวมันก็ดับไปเอง เจอครั้งหน้าก็รู้เท่านั้น นั่นเป็น ความหลงผิดอย่างมากที่สุด
    เพราะว่า ชาวบ้านทั่วไป เขาก็เป็นแบบนั้นแหละ เขาไม่ต้องมาอวดรู้ เขาก็อดทนแบบนั้น

    ทีนี้ สิ่งที่บ่งบอก ว่า วิธีนี้ใช้ไม่ได้ คือ พฤติกรรม ของเอกวีร์ ที่หมายรู้ผิด การวกวนในความคิด การเลี่ยงประเด็น การเฉไฉ นั้นแหละคือ สิ่งที่บอกว่า แม้คุณรุ้มาก แต่กิเลสไม่ได้เหือดหายไปเลย ยังคงความสับสนอึมครึม ด้วยใจที่เป็นกิเลสมากกว่าธรรม

    <!-- google_ad_section_end -->
     
  2. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    มีคนตอบให้แล้ว บทตรงนี้ หาจาก ธรรมะจากพระโอษฐ์ ก็ได้
    พระพุทธองค์กล่าวไว้ชัดเจน เพราะ นิพพาน นั้นเป็นสภาพธรรม
    ที่มีอยู่แล้ว ไม่มีใครไปทำขึ้น พระพุทธองค์ท่านทรงเห็น แล้ว
    ชี้บอกทางเท่านั้น

    นิพพาน จึงไม่มีใครครอง ไม่มีการไป ไม่มีการมา ไม่ใช่เมือง
     
  3. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ประเด็นก็คือ คุณไม่รู้เรื่อง มันยังอยู่ที่เดิม คือไม่รู้เรื่อง หรือ ไม่ยอมรับ

    หากผมกล่าวว่า สมาธิจิต ผมมีอยู่ตลอดเวลานั้น ตรงนี้คุณไม่ยอมรับ

    พอไม่ยอมรับ ก็ไม่รู้ว่า ผมยกฌาณจิตขึ้นมาดูได้อย่างไร

    พอไม่รู้ว่า ฌาณจิตนั้นต้องถูกยกเป็นของถูกรู้ถูกดู ก็จะยิ่ง งง อยู่อย่างนั้น

    การที่เรากล่าวว่า เรามีฌาณจิต นั่นก็บอกอยู่ในตัวอยู่แล้วว่า เราทำสมาธิ
    มาชำนิชำนาญขนาดไหน เรื่องกิเลสถูกเห็นแล้วถูกตัดด้วยสมถะสมาธิ
    มันก็ปรากฏในพื้นจิตให้เห็น เราเรียกอาการพฤติจิตทีทำอัตโนมัตอย่าง
    นั้นว่า การรักดี การปรุงดี ภพนักปฏิบัติ เราเอามาเห็นภพของนักปฏิบัติ
    ก็เพื่อถอนความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งไม่ได้แปลว่าจะไปหยุดการเข้าสมาธิ
    ของจิตที่มันทำ มันคนละเรื่อง เราเพียงแต่ไม่ยินดี ยินร้ายอะไรกับมัน
    มันจะทำก็เรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของเรา

    หากเรายินดี ยินร้ายกับการทำสมถะตัดกิเลส ก็จะเกิดสักกายทิฏฐิทันที

    ดังนั้น มันจะตัดกิเลส ก็เรื่องของมัน เราไม่ฉวยมาเป็นเรา

    ส่วนกิเลสที่มันโผ่ลมา เรารู้ถ้วนแล้ว มันก็ไม่ส่งถึงจิต ทำไมมันไม่ส่ง
    ถึงจิต ก็เพราะ จิตผู้รู้ผู้ดูเขามาสัมมาสมาธิสัมปยุตอยู่ กิเลสมันก็เกิด
    ไปตามผัสสะที่กระทบ แต่เราไม่ได้ออกไปปรุงด้วย หรือ ถ้าปรุงก็ปรุง
    ไปเพื่อสลัดคืนกุศลให้กับโลก ไม่ใช่ปรุงเพื่อสนองกิเลสตนเอง

    เมื่อได้ยินในวรรคตะกี้แล้ว ก็อย่าให้ความคิดมันออกมาโผล่หน้า จน
    ลักลั่นถามหาความเป็นอรหันต์ อย่าคิดเอา หากคิดเอามันจะถามออกมา

    สภาวะการสลัดคืน หรือ จาคะ ดังกล่าวเป็นเพียร บารมี 10 ทัศนเท่านั้น

    ในกรณี บารมี 30 ทัศน์ ก็ยิ่งไปไม่ต้องกล่าวถึง หากมองไม่ออกว่านั่นกำลัง
    พูดแค่ บารมี 10 ทัศน์

    เพราะ บารมี 30 ทัศน์ การสลัดคืนกายและใจให้ทั้งหมด เพื่อแลกกับการ
    ปรุงดีเพื่อให้สัตว์รอดพ้นภัยนั่น โพธิจิตไม่ได้ทำด้วยเพราะกิเลสผลักดัน

    มันเป็นการสลัดคืนสู่โลก สะสมไว้เป็นบารมี ไม่ใช่การสะสมกิเลส30ทัศน์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2009
  4. nooy09

    nooy09 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +3


    ******
    ตรงนี้เนี่ย จิตใต้สำนึกมันยินดีและพอใจในความว่าง จิตเค้าจึงชอบเข้าไปว่าง ๆ ไม่ว่าจะว่างแบบไหน พอมีสติระลึกรู้ สมมุติรู้สึกว่าทุกข์ บางคนนะ จิตเค้ามีช่องทางของเค้า เค้ารู้สึกว่าจิตมันเกิดความทุกข์และ จิตเค้าก็หนีทุกข์เข้าไปในความว่างเลยครับ เพราะจิตใต้สำนึกเค้าคิดว่า ตรงนั้นสบายที่สุดสำหรับเค้า ถ้าสติระลึกรู้ไม่ทัน หรือละเอียด ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่า จิตใต้สำนึกเค้าไปยินดี ในความว่างครับ เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ว่าจิตใต้สำนึกเค้าทำงานอย่างไร อาสวะกิเลศ มีอะไรที่คอยผลักดันอยู่เบื้องหลัง ก็คือต้องเจริญสติ + สมาธิ ครับ จึงจะเกิดปัญญา
    .
    ;aa46
     
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ขยายความนิดหนึ่ง

    ความรู้ร้อยแปด มีสติมากมาย มั่นคง ทำทุกอย่างดีเลิศ พูดกันง่ายๆ ว่า ถ้าหากว่า คนฉลาดมากอย่าง เอกวีร์ หรือ พระปราโมทย์ เข้าถึงธรรมประเภท ปัญญามาก ฟังทีเดียวแทงตลอด
    สมมตินะครับ ว่า ท่าน เข้าถึงอมตะธรรมจริง ผมแปลกใจว่า ทำไมจึง ฉลาดในด้านผล แต่ ฉลาดน้อยในด้านมรรคจริงๆ เพราะว่าไม่สามารถนำเอาคำพูด และ วิธีการที่ดี มาสอนให้คนดำเนินได้ตามขั้นตอน และไม่สามารถอธิบายให้สอดคล้องกับธรรมของพระอาจารย์มั่น และ พระพุทธองค์
    แล้วก็ฉลาดน้อยไปหน่อยที่ มองไม่ออกว่า คำสอนของตนนั้นจะทำให้ คนอื่นสับสน
    แล้วก็ฉลาดน้อยไปหน่อยที่มองว่า มันขัดกับพระไตรปิฎกอย่างมาก และ หลายบท
    ผมไม่เข้าใจว่า คนฉลาดมากจนถึงกับว่า รู้แจ้งแทงตลอด ทำไมจึงฉลาดน้อยกับเรื่อง การอธิบายวิธีการให้คนอื่นฟัง

    นั่นแหละผมจึงบอกว่า ถ้าคนเห็นธรรมละเอียดมันจะกว้างกว่านี้ แล้วจะเห็นว่าองค์ธรรมอันใดบ้างที่ต้องทำให้เกิด อันจะนำไปสุ่องค์ธรรมอันเป็นที่สุด จึงบอกว่า ทำไมจึงคับแคบกับธรรมขนาดว่า ไม่เอาอะไรเลย ครั้นพอไปไม่ถูก กลับลำบอกว่า ก็ที่พูดไปนั้นครอบคลุมหมด ทำหมด ทั้งเพียร ทั้งสมาธิ ก็ถามว่ามันจะไปครอบคลุมหมดอย่างไร ในเมื่อ คำพูดมันชัดแจ้งอยุ่อย่างนั้นว่า ให้ทำอะไร
    เว้นเสียแต่ว่า จะบอกว่า อย่าไปเพียร นั้นหมายถึง ต้องเพียร แบบนี้มันก็ขั้วตรงข้ามกันในคำสอนซึ่งขัดแย้งกันเอง เป็นทิฎฐิที่ไม่ควรเอาอย่างเลย
     
  6. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    นั่นเพราะคุณไม่เข้าใจ มรรค ที่ตรงต่อ นิพพาน โลกอุดรโดยตรง
     
  7. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    พูดกันยาวเลยนะครับ......

    อย่าลืมปฏิบัตินะครับ.......

    ความปรุงแต่งฟุ้งซ่านฝ่ายดีมันไม่มีจบนะครับ.....

    ศีล 5 ให้ได้ก่อนแล้วกัน......ฐานไม่มีพูดยอดเปล่าประโยชน์นะครับ.....

    fishh_
     
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    นั่นคือ นิกายเซ็น
    แล้วผมก็ถามว่า มรรค ที่คุณว่าถึงนิพพาน โลกอุดร โดยตรงนี้ คุณเอาอะไรมาพิสูจน์ หรือ เป็นพยานในวิธีการนี้หรือ
    คุณ เป็นพยานได้ไหมหละ ว่า วิธีการนี้ ทำให้คนหลุดพ้นได้จริง

    แต่วิธีการที่ผม และ ครูบาอาจารย์สั่งสอนมา ล้วนแล้วแต่มี พระอริยะสงฆ์ เป็นพยานมาไม่รุ้กี่สมัย

    วันหนึ่ง คุณเอาวิธีการใหม่มาเสนอ แต่คุณไม่อาจจะ เอามาอธิบายให้สอดคล้องกับ ทางที่ดีอยู่แล้ว

    คุณจะมาบอกว่า คนอื่นไม่เข้าใจไม่ได้ ต้องบอกว่า คุณไม่เข้าใจหนทางเดิมที่มีอยุ่ จนกลายไปหาหนทางอันใหม่ อันไม่สามารถเข้ากับของเดิมได้
     
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ไม่ใช่สวนยอดหรอกครับ แล้วก็ไม่เกี่ยวอะไรกับ เซน สำหรับสภาวะที่ผมกล่าว

    มันแค่โคนต้นเท่านั้น แต่คุณเห็นเป็นยอดก็เพราะ ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้

    แล้วพอได้ยินแล้ว ก็คิดว่าไม่มี

    ที่คิดว่าไม่มี เพราะมองสิ่งที่มีในมือ แล้วพอใจสิ่งนั้น

    หากยังไม่เคยลองทำ จะกล่าวว่าไม่มี หรือ เห็นว่าเป็นยอดมันก็ไม่แปลก

    เพราะ ตาว่างเปล่า
     
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    นั่นเป็นคำพูดลอยๆ เท่านั้น เอกวีร์ มันไม่มีน้ำหนักเลย เพราะมันไม่มีที่อ้างอิง
     
  11. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ทำไมมันดูลอย รู้ไหมครับ ก็เพราะคุณภาวนาแบบติดคิด

    พอภาวนาแบบติดคิด พอเจอความคิดเห็น หรือ คำพูด ก็จะพิสูจน์
    ความจริงในระดับ คำพูด ความคิด

    และเพราะ ตัวเองคิดไม่ถึง คาดไม่ถึง ว่า สภาวะเช่นนั้นมีด้วยเหรอ

    มันเลยเกิดอาการ มรรคคังๆ หรือ ไม่รู้ทาง หรือ ตาว่างเปล่า

    พอรู้สึกว่า ตัวเองไม่มีความรู้ชนิดนี้ในหัวเลย ก็คิดว่า มันเลื่อนลอย

    พอความเลื่อนลอยปรากฏ แทนที่จะดูไปว่า จิตมันส่งออกนอกลอย
    ไปไหนต่อไหนไม่รู้ คือ จมคิดอยู่ กลับไม่เห็น

    .....ไม่ตื่น นั่นเอง

    * * * *

    อย่าลืมนะครับ สภาวะใดที่เกิดขึ้น มันก็เกิดขึ้นในกายในใจคุณ นั่นแหละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2009
  12. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เอกวีร์ แล้วที่เอกวีร์ อธิบายอะไรต่างๆ นาๆ ยืดยาววกวน นั่น เอกวีร์ ไม่คิดหรือ
    ไอ้เรื่องส่งจิตเข้าใน นี้ไม่ต้องเอามาพูดกันหรอก

    พูดกันในเรื่องวิธีการ อันเหมือนหลุมพรางของคุณดีกว่า

    คุณ ระลึกเอาไว้อย่างหนึ่งว่า วิธีการของเดิมนั้นไม่มีที่ติอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ต้องมาตำหนิว่า ใครจะไม่รุ้
    แต่หน้าที่ของคุณ คือ ต้องทำให้เขารู้ ถ้าของคุณดีจริง เพราะว่า คุณถูกกล่าวหา คุณไม่ใช่คนกล่าวหา
    คุณเป็น จำเลยสังคมแล้วรู้ตัวไหม ไม่ใช่โจทย์

    ดังนั้น คุณต้องพิสูจน์ตัวเอง ไม่ใช่มาด่าคนอื่นว่าไม่รุ้
     
  13. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ก็อย่างที่บอก ว่าคุณไม่เคยยอมรับ ต่อให้ผมพูดกีทีว่า ผมทำสมาธิมาอย่างดีแล้ว
    คุณก็มองไม่ออก และไม่รับตรงนั้น ก็เลยคิดว่า ผมไม่ได้พูดในส่วนที่คุณเน้น

    ทั้งนี้เพราะคุณดู "ธรรมดา"ไม่ออก แล้วก็ไม่เข้าใจความเป็นมนุษย์ และก็ไม่เข้าใจว่า
    โลกนั้นข้องอยู่กับสองสิ่ง คือ อัตกลิมัถานุโยค และ กามสุขขัลกลิมัตถานุโยค

    ซึ่งแปลว่า ธรรมชาติมนุษยนั้น หากไม่จมกิเลสอยู่ ก็แปลว่า กำลังทำสมาธิมสถะอยู่

    สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาไม่รู้ เพราะไม่เคยสดับถึงทางสายกลาง ที่ไม่ติดข้องในส่วนสุดโต่ง
    สองด้านนั้น

    * * * *

    คุณลองไปนั่งพิจารณาคนนอกศาสนาเวลาเขาเจอทุกข์รุมเร้า เขาแสดงอาการอะไรบ้าง

    ใช่ไหมที่

    1.บางคนก็นั่งนิ่ง บางคนปลีกวิเวก เอาสมถะนำหน้า
    2.บางคนนักตรึกตรอง จนกระทั่งนิ่ง เอาปัญญานำหน้า
    3.บางคนทั้งตรึกทั้งแยกตัวไปวิเวก เอาปัญญาควบสมถะ
    4.บางคนไม่หยุดไม่ละล้าละลัง แต่ลุยได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ทุกข์
    แถมมีสุขกับกิจ ไม่สนใจที่จะวิเวกและไม่มัวนั่งคิดให้เสียเวลา โดยที่
    ทุกอย่างออกมาจากปัญญาญาณ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2009
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เอกวีร์ อธิบายหลักการของคุณ มาว่า มีอย่างไร เอาให้ชัด แล้วผมจะได้บอกถูก

    การอ้างว่า คนวิปัสสนา คนสมถะ ไม่เข้าใจอะไรต่างๆ นาๆ นั้นอยู่ไกลไป

    เอาวิธีการของคุณ นั่นแหละ บรรยายมา แล้วผมจะบอกให้ว่า ทำไมมันจึงมีการโต้แย้งกันแบบนี้
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ผมถามหน่อยเถอะครับ ว่า ถ้าผมพูดถูกว่า วิธีการของพวกท่านมันผิด แล้วถ้ามันผิดจริงๆ
    ผลที่พวกท่านได้ จะได้อะไร แล้ว คนอื่นที่เขาอ่าน เขาฟัง เขาจะได้อะไร

    แล้ว มันมีทางไหมที่มันจะผิด ตอบว่า มีทางที่น่าสงสัยว่า ไม่น่าประพฤติตาม
    เมื่อน่าสงสัย แบบนี้ มันยิ่งสมควร ที่จะต้องเอามาถกกันอย่างจริงจัง

    ปัญหาตัวเดียวที่ทำให้ ยอมรับกันไม่ได้ คือ การไม่ยอมลงให้กับเหตุกับผล กับธรรม
    แต่ยอมลงให้ความเชื่อ ทั้งๆ ที่คนที่เชื่อนั้นก็มาเป็นพยานให้ฝ่ายตนเองไม่ได้สักคนว่า วิธีการนี้ ผมขอยืนยันครับ ขอยืนยันคะ
    หาไม่มี
    ขอตัว
     
  16. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    "คุณลองไปนั่งพิจารณาคนนอกศาสนาเวลาเขาเจอทุกข์รุมเร้า เขาแสดงอาการอะไรบ้าง

    ใช่ไหมที่

    1.บางคนก็นั่งนิ่ง บางคนปลีกวิเวก เอาสมถะนำหน้า
    2.บางคนนักตรึกตรอง จนกระทั่งนิ่ง เอาปัญญานำหน้า
    3.บางคนทั้งตรึกทั้งแยกตัวไปวิเวก เอาปัญญาควบสมถะ
    4.บางคนไม่หยุดไม่ละล้าละลัง แต่ลุยได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ทุกข์
    แถมมีสุขกับกิจ ไม่สนใจที่จะวิเวกและไม่มัวนั่งคิดให้เสียเวลา โดยที่
    ทุกอย่างออกมาจากปัญญาญาณ"


    ขอยืนยันตามนี้ค่ะ มันเป็นเรื่องจริง คนนอกศาสนา แค่ตามบัตรประชาชน แต่วิธีการเขาใช้ธรรมชาติบำบัด ภาวนาด้วยตัวเขาเอง ไม่มีบทสวดมนต์ ไม่มีแบบแผน เขาใช้เจริญสติแทนการทำสมถะก็คือพูดคำนั้นต่อเนื่องเร็ว ๆ เปล่งเป็นวาจา จนไม่ส่งสมุทัย แล้วปัญญาจะตามมา และขึ้นอยู่กับสภาวะตอนนั้นด้วย
    แบบไม่มีตำรา เกิดสัญญา ด้วยการจดจำสภาวะนั้นไว้
     
  17. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    อาจานนิฯครับ คุณเองก็พยายามจริงพยายามจังเลยนะครับ
    คุณก็เพียรเพ่งในสิ่งที่ไม่ควรเพียรเพ่ง
    มีสติปัฏฐานให้เพียรเพ่งก็ไม่ทำ
    แต่กลับไปเพียรเพ่งในจิตสังขาร(จิตประสมอารมณ์แล้ว)
    ซึ่งเป็นสภาพที่จิตเสียคุณภาพไปแล้ว เพียรเพ่งไปเพื่ออะไร

    ในเมื่อทุกวันนี้ สามัญสัตว์โลกก็มีแต่โลกียจิต(จิตที่เสียคุณภาพ)อยู่แล้ว
    ทำไม่ฝึกฝนอบรมเพียรเพ่ง เพื่อรู้จักว่าจิตที่มีคุณภาพ(ของดี)เป็นยังไง

    เมื่อรู้จักของดีแล้ว ย่อมดูของไม่ดีเป็น เมื่อดูของไม่ดีเป็น ย่อมคัดออกมาได้

    อาจานนิฯ แสดงว่า คุณเองก็ยังยังลังเลสงสัย
    ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จึงได้มีคำถาม
    ชวนให้คนอื่นเกิดความลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้าไปด้วย

    ผมถึงได้เตือนคุณอยู่เรื่อยๆไม่ครบ๑๐๐ครั้ง ยังไม่เลิกเตือนครับ
    คุณควรสมาทานสัมมาสมาธิอย่างเต็มที่เต็มหัวใจได้แล้วครับ

    มีพุทธพจน์กล่าวไว้เพื่อแก้สงสัยอยู่หลายแห่ง
    คุณกลับไม่นำพาเอง
    แต่พยายามลดความน่าเชื่อถือของฝ่ายปฏิบัติให้ลดลง
    แม้แต่อ้างพระพุทธเจ้าให้เกิดความเสียหายก็ตาม

    ปฐมพุทธพจน์และในพระสูตรต่างๆก็บอกอยู่แล้วว่า
    “จิตของเราสิ้นการปรุงแต่ง บรรลุพระนิพพานเพราะสิ้นตัณหาแล้ว”

    จิตที่สิ้นการการปรุงแต่งใช่อยู่ในฌานมั้ยครับ???
    ที่บรรลุพระนิพานเพราะสิ้นตัณหา จิตหรือกายที่ตายเน่าเปื่อยได้ครับ???

    “เรานั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว อ่อนควรแก่การงาน”
    คำว่า “อ่อนควรแก่การงาน” หลับตาหรือลืมตาครับ???

    ;aa24
     
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    สำหรับคุณวิษณุ12

    อาจานวิฯครับ ก่อนอื่นผมต้องขอปรารภ เสียงดังๆหน่อยนะครับ
    เท่าที่ผมได้สนทนากับคุณมานั้น
    ผมมีความรู้สึกว่า ในกลุ่มของคุณๆดูแล้วน่าจะมีเหตุมีผลที่สุดในกลุ่ม

    แต่เท่าที่ผ่านมาในช่วงหลังนี้ ผมรู้สึกผิดหวังเล็กๆในตัวคุณ
    เนื่องจากที่ผ่านตามา ผมเริ่มเห็นด้วยกับอาจานขันธ์แล้วว่า
    พวกคุณมีต้องการเพียงแค่หาวิธีที่จะให้ผมตกหลุมพรางคุณเท่านั้น

    โดยคำถามที่ถาม บางคำถาม ผมคิดว่าได้ชี้แจงไปกระจ่างพอสมควรแล้ว
    คุณไม่เคยคิดที่จะลองสมาทานดูเลย เพียงต้องการหาช่องว่างรอยโหว่
    ในการยิงคำถามกลับ เพื่อที่จะให้ผมหลงทางหรือเข้าทางพวกคุณเท่านั้น

    อย่างครั้งที่ผ่านมาเราถกกันเรื่องสติ
    คุณก็แสดงอาการขาดเหตุผลออกมาแล้วในหลายคคห.
    จนผมต้องออกปากถามว่าทำแบบนี้เพื่ออะไร???
    หวังความจริงหรือ??? หวังความกระจ่างหรือ??? หวังความหลุดพ้นหรือ???
    หวังเพียงเพื่อการชนะคะคานเท่านั้นเพราะทิฐิตัวเดียวแท้ๆหรือ???

    ;aa24
     
  19. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ในครั้งนี้อีกเช่นกันครับ

    คุณพูดมานั้นใช่การละเหตุที่ไหนครับ???
    มันเกิดขึ้นแล้วนี้เป็นผลแล้วครับ ไม่ใช่เหตุ

    แล้วผมพูดขัดกับพระพุทธเจ้าตรงไหนครับ
    คุณอย่าคิดว่าหลุมพลางเพียงตื้นๆเท่านี้

    สำหรับคนที่ผ่านการปฏิบัติ เค้าย่อมรู้ดีว่า
    ราคะ โทสะ โมหะ ที่เรียกว่าสมุทัยเพราะอะไร
    เพราะจิตของเราออกไปยึด(เหตุ)
    เอากิเลสเหล่านั้นเข้ามาเกิดขึ้นที่จิต(ผล)
    เมื่อเกิดขึ้นที่จิตแล้วก็กลับเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
    วนเวียนกันเป็นวัฏฏะ แต่ที่คุณพูดมานั้นเป็นผลแล้ว
    และพร้อมที่จะกลับเป็นเหตุให้เกิดทุกข์....

    ก็คุณพูดว่า “ราคะ โทสะ โมหะ ที่มันเกิดขึ้น”(ที่จิต)
    มันเกิดขึ้นเป็นทุกข์ที่จิตแล้ว คุณกลับพูดว่า
    ดูจิตเฉยๆมันจะช่วยอะไรได้ครับ??? ในเมื่อเป็นทุกข์
    คุณตามดูทุกข์ที่จิต จิตก็ยิ่งทุกข์ครับ แล้วใครครับมาเฉยๆ???

    ต้องละเหตุสิครับ คือ ราคะ โทสะ โมหะ ก่อนที่จะเกิดขึ้นที่จิต
    ซึ่งจะเกิดเป็นผลคือเกิดทุกข์ที่จิตครับ

    ;aa24
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2009
  20. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ผมถึงไม่แปลกใจเลยครับว่า การฝึกดูจิตถึงได้ผิดเพี้ยนไปจากครูบาอาจารย์เอามากๆ
    และผมย้ำอยู่เสมอๆว่า การดูจิตที่คุณพูดมากันหนะ มันเป็นแค่ดูอาการของจิตเท่านั้น

    ขนาดเหตุที่แท้จริงพวกคุณยังไม่รู้จักเลย
    แล้วที่ดูอยู่ทุกวันนี้คุณดูอะไรของจิต

    ในเมื่อเป็นผล พวกคุณยังเอามาเป็นเหตุ
    เมื่อเหตุแห่งทุกข์พวกคุณยังไม่รู้จัก
    แล้วจะดูจิตติดความคิดไปเพื่ออะไร

    ผมขอปรารภเสียงดังมากหน่อยครับ
    เพราะเอือมระอากับความเชื่อที่ขาดเหตุขาดผล
    โดยยึดติดกับตัวบุคคลมากเกินไป
    โดยไม่เคยยอมสมาทานในสิ่งมีคนมาทักท้วง

    ตั้งแต่เรื่องสติเรื่องเดียวที่เป็นหัวใจหลัก
    ผมก็ต้องลองลงมือสมาทานอย่างเต็มที่ในสิ่งที่มีคนทักท้วงมา
    ผมเองบอกเสมอๆว่า ก่อนที่ผมจะกล่าวแย้งใครนั้น
    ผมต้องสมาทานอย่างเต็มที่ในสิ่งที่กล่าวมาแล้ว จึงมีการทักท้วงออกมา

    ;aa24
     

แชร์หน้านี้

Loading...